ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 106 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 106

ลู่เหิงออกแรงจับไหล่หญิงสาว ตอบว่า “ข้ากำลังเดิมพันอยู่จริงๆ แต่ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ที่ข้ารู้จัก พระองค์จะทรงต้องเห็นชอบแน่”

หวังเหยียนชิงสบตากับเขาผ่านทางคันฉ่อง แม้ในเวลาเช่นนี้นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นก็ยังคงทอประกายระยิบระยับ สุขุม และกระจ่างใส หญิงสาวคิดในใจ เขาช่างเป็นนักเสี่ยงโชค เป็นคนเสียสติ และเป็นผู้ที่มีใจทะเยอทะยานโดยแท้

เรื่องนี้หากสำเร็จลง เขาจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจต่อฮ่องเต้แบบที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ในทางตรงกันข้าม หากล้มเหลว นับแต่นี้ไปเขาจะพ่ายแพ้ย่อยยับ ไม่เหลืออะไรเลย

ดวงตาของหวังเหยียนชิงใสกระจ่างเช่นกัน เอ่ยถามด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก “ดังนั้นท่านจึงอยากดึงข้าลงน้ำไปด้วยหรือ”

ลู่เหิงใช้มือข้างหนึ่งยันโต๊ะ มืออีกข้างโอบไหล่หวังเหยียนชิง เสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำทะมึนเบื้องหลังเขาทิ้งตัวลงมาคล้ายห่อหุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดโดยสมบูรณ์ “ชิงชิง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากไปจากนครหลวง หาสถานที่ที่เขาเขียวน้ำใสใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร แต่การไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครเป็นเพียงความฝันอันงดงามอย่างหนึ่งเท่านั้น หากราชสำนักฟอนเฟะ บ้านเมืองโกลาหล ในใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีธารดอกท้อ* เล่า ต่อให้เจ้ากลับไปเมืองต้าถงจริง ใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าวาดหวังไว้ ทว่าหากต้าหมิงเกิดความวุ่นวายภายในขึ้น พวกเหมิ่งกู่จะต้องยกทัพลงใต้มาแน่ ถึงเวลานั้นบ้านเกิดเจ้าจะต้องมีทหารบริสุทธิ์ตายในสงครามอีกมากน้อยเพียงใด จะต้องมีเด็กกลายเป็นเด็กกำพร้าเหมือนอย่างเจ้าอีกมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากเห็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น คนในสภาขุนนางเหล่านั้นร้อนใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก บุคคลที่มีพรสวรรค์เยี่ยงเจ้าหาได้ยากยิ่ง อย่าปล่อยให้ไข่มุกคลุกฝุ่น* เลย เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่บางครั้งบางคราวคำพูดประโยคเดียวของเจ้ากลับทำให้อีกหลายคนรอดชีวิตได้”

หวังเหยียนชิงหลับตาลงอย่างจนใจ ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าบนไหล่ของตนหนักอึ้งถึงเพียงนี้ “ทว่าแม้แต่ท่านข้ายังดูไม่ออก อุบายและความคิดของคนอย่างพวกท่าน ข้าไม่เข้าใจและไม่อาจทำได้”

ดวงตาของลู่เหิงผุดรอยยิ้มจางๆ แม้เขาจะไร้คุณธรรม แต่ถนัดการใช้คุณธรรมมาผูกมัดผู้อื่นมากทีเดียว เขายื่นมือไปประคองปิ่นของนาง “ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจกลอุบายเหล่านั้น หากจะพูดถึงอุบาย ไม่มีใครเอาชนะฮ่องเต้ได้ เจ้าแค่ต้องพูดความจริงเท่านั้นเอง”

คำพูดนี้ของลู่เหิงเป็นความจริง หวังเหยียนชิงไม่มีวงศ์ตระกูลและไม่มีภูมิหลัง ไม่เคยผ่านการฝึกฝนจากฝ่ายใดมาก่อน ความคิดยังเป็นแบบ ‘ชาวบ้านทั่วไป’ ที่มองว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วอยู่ นี่กลับเป็นฐานะที่ทำให้ฮ่องเต้วางใจได้มากที่สุด

ไม่ว่าเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างลู่เหิงหรือซย่าเหวินจิ่นจะแสดงออกอย่างจริงใจมากเพียงใด ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้

หวังเหยียนชิงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ตีหน้าขรึมทันใด เอ่ยเสียงเย็น “ท่านยืนดีๆ”

ลู่เหิงจะกอดนางทั้งตัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มทอดถอนใจด้วยความเสียดาย สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือ ยืดตัวขึ้นช้าๆ “เตรียมตัวเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ ข้าถือโอกาสออกมาตอนฝ่าบาทบรรทม ไม่อาจจากมานานเกินไป”

 

ลู่เหิงออกจากวังไปตามลำพัง ตอนกลับเข้ามากลับพาสตรีนางหนึ่งมาด้วย องครักษ์เฝ้าประตูวังมองหวังเหยียนชิงหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่กล้าซักถาม ปล่อยให้นางผ่านเข้าไปอย่างนอบน้อม

หวังเหยียนชิงกลับมายืนในเขตพระราชฐานชั้นในอีกครั้ง นางยังคิดว่าตนเองจะไม่ต้องพัวพันกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว สายลมยามค่ำคืนโชยพัดมา เงาไม้ภายในวังหนาแน่นมืดสลัว เห็นแล้วน่ากลัวทีเดียว ลู่เหิงกุมมือนางถามว่า “หนาวหรือไม่”

หวังเหยียนชิงดึงมือออก ตอบเสียงเย็นชา “ใต้เท้าลู่ พวกเราคุยกันแล้วมิใช่หรือว่าจะตัดขาดจากกัน”

ลู่เหิงลอบถอนหายใจ ไฉนจึงเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้เล่า เขาตอบอย่างเปิดเผย “ทว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นภรรยาของข้าอยู่ ก่อนที่ลู่ฮูหยินจะ ‘ป่วยตาย’ ยามอยู่ในวังช่วยให้เกียรติข้าด้วย”

หวังเหยียนชิงแค่นเสียงใส่ ไม่สนใจเขา แต่ก็ไม่ได้สะบัดมือลู่เหิงออกอีก

ฮ่องเต้ถูกลอบทำร้ายในวังของเฉาตวนเฟย แม้จะช่วยเหลือจนฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนย้าย ดังนั้นตอนนี้ฮ่องเต้จึงยังประทับอยู่ในวังอี้คุน หวังเหยียนชิงพิจารณารอบด้านเงียบๆ ลู่เหิงรู้ว่านางไม่รู้จักเส้นทางบริเวณนี้จึงบอกว่า “ที่นี่คือหกวังประจิม สถานที่พำนักของเหล่าสนมชายา หากมิใช่เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้เข้ามาในหกวังประจิม”

ลู่เหิงแม้จะเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง แต่สถานที่ที่ไปบ่อยคือวังเฉียนชิงและตำหนักเฟิ่งเทียน ตอนที่เจี่ยงไทเฮายังมีชีวิตอยู่ เขายังไปเยือนวังฉือหนิงบ่อยครั้ง แต่เพื่อป้องกันข้อครหา เขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาบริเวณที่พักของสนมชายามาก่อน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในชีวิตนี้ของตนจะต้องมาอยู่ในตำหนักในตอนกลางคืน

หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ ในสถานที่เช่นนี้นางไม่รู้จักใครสักคน ได้แต่ตามติดลู่เหิง ตอนก้าวผ่านประตูใหญ่ของวังอี้คุน ในใจนางรู้สึกเหม่อลอยคล้ายย้อนกลับไปตอนที่สูญเสียความทรงจำ เวลานั้นโลกของนางมีแต่สีขาวโพลน มีเพียงลู่เหิงที่เป็นความจริงแท้

น่าเสียดายสุดท้ายลู่เหิงก็ฉีกทำลายความฝันของนางด้วยมือของเขาเอง แม้แต่ที่พึ่งพิงเพียงอย่างเดียวของนางก็เป็นเรื่องหลอกลวง

ทั่วทุกหนแห่งในวังอี้คุนมีแต่องครักษ์เสื้อแพร พวกเขาเห็นลู่เหิงแล้วแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ลู่เหิงก้าวไปบนทางเดินขณะที่สายตามองตรงไปข้างหน้า องครักษ์เสื้อแพรก้มหน้าตลอดเวลา รอจนลู่เหิงเดินจากไปไกลแล้วจึงเหยียดกายตรงดังเดิม

พวกเขาเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นหนึ่งเดียวราวกับไม่มีความฉงนใจในตัวสตรีที่ปรากฏตัวข้างกายลู่เหิงแม้แต่น้อย ตำหนักกลางของวังอี้คุนมีคนเฝ้าอยู่ผู้หนึ่ง ได้ยินว่าลู่เหิงกลับมาแล้วก็รีบออกมาต้อนรับ “ใต้เท้าลู่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้วหรือ”

ตอนเขาวิ่งเข้ามา สายตากวาดมองไปยังหวังเหยียนชิง ดวงตาคล้ายมีความประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา กัวเทาเก็บสีหน้าท่าทีอย่างรวดเร็ว เขามิกล้าลืมว่าฮูหยินท่านนี้เชี่ยวชาญการแยกแยะสีหน้าคนมาก วิชาอ่านใจเรียกได้ว่าร้ายกาจ

เส้นทางขุนนางของกัวเทาเพิ่งจะเริ่มต้นไม่นานเท่าไร เขายังไม่อยากถูกผู้บังคับบัญชาเพ่งเล็ง

กัวเทาหลุบตาลง โค้งคำนับหวังเหยียนชิงอย่างนอบน้อม “คารวะฮูหยิน”

หวังเหยียนชิงหาได้รู้สึกแปลกใหม่กับท่าทีของกัวเทา ทุกคนในจวนสกุลลู่เห็นนางล้วนมีท่าทีเช่นนี้ หวาดกลัวแต่สะกดกลั้นไว้ เกรงว่าจะถูกหวังเหยียนชิงอ่านใจ

ก่อนหน้านี้หวังเหยียนชิงยังไม่เข้าใจ ต่อให้ทุกคนล้วนไม่ชอบถูกอ่านใจ แต่ไยต้องหวาดกลัวนางถึงเพียงนี้ด้วยเล่า จนกระทั่งนางฟื้นฟูความทรงจำจึงรู้ว่าที่พวกหลิงซีหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ไม่ใช่เพราะหวังเหยียนชิงคนเดียว แต่พวกเขากลัวลู่เหิงมากกว่า

หวังเหยียนชิงยิ้มตอบตามมารยาท พยักหน้าให้กัวเทา นางกับกัวเทาเคยพบกันหลายครั้ง ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่สนิทสนม หลังจากทักทายปราศรัยกันแล้ว ลู่เหิงก็เข้าประเด็นทันที เขาถาม “ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”

“ฝ่าบาทบรรทมไม่สนิทเท่าไร น่าจะใกล้ตื่นบรรทมแล้วขอรับ”

“ระหว่างที่ข้าออกจากวังฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”

“ไม่ขอรับ”

เช่นนี้ก็ดียิ่ง ลู่เหิงไปตำหนักข้างถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกก่อน ขณะเดียวกันก็พาหวังเหยียนชิงไปที่ตำหนักข้างด้วย เขาวางเตาอุ่นมือลงในมือนาง “เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่ เมื่อเวลาเหมาะสมข้าจะส่งคนมารับเจ้า”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.1

บทที่ 7.1 วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและ...

community.jamsai.com