ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 2
ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย อาการป่วยทางจิต
และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 34
“เวลาคนเป็นกลัวเขาไม่ทำเสียงแบบคุณนะครับ คุณต้องตัวสั่น ต้องหอบหายใจไม่ทันด้วย” ผีในชุดยูนิฟอร์มชี้แนะอย่างกระตือรือร้น “นักแสดงก็แสดงแข็งเกินไปแล้ว ผีอย่างเราลอยเอาต่างหาก การขยับร่างกายต้องสมูธ แล้วเวลาผีขยับก็ต้องมีลมด้วย ผ้าม่านก็ควรขยับให้พอเหมาะ แบบนี้คนถึงจะกลัว”
เขาชี้แนะติดลมไปหน่อย ไม่วายวิ่งไปหลังผ้าม่านแล้วสาธิตให้ดูหนึ่งรอบ
จู่ๆ นักแสดงก็รู้สึกถึงลมเย็นวาบวนเวียนอยู่รอบตัว เธอลูบแขน รู้สึกว่าลมรอบนี้ชักจะหนาวเกินไปหน่อย
เอ๊ะ นักแสดงเบิกตาโพลง หน้าต่างนี่มันของปลอมนี่ ในห้องปิดแบบนี้ไม่ควรมีลมลอดเข้ามาได้ไม่ใช่เหรอ…
ผ้าม่านสะบัดโดนแขนของเธอ นักแสดงเห็นผ้าม่านลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างนุ่มนวลและราวกับมีชีวิต คล้ายว่ามีคนที่มองไม่เห็นควบคุมมันอยู่
ขนอ่อนเธอลุกชัน
นักแสดงหันไปหาฉยงเหรินช้าๆ หัวเราะแห้งๆ ถามเสียงเบา “ผะ…ผ้าม่านนี่ คุณเห็น…”
ฉยงเหรินที่กำลังพยายามหวนนึกว่าตัวเองตอนกลัวเป็นแบบไหน ได้ยินนักแสดงพูดกับเขา ก็ทุ่มเทให้กับการแสดงทันที เขาชะงักนิ่งครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเบิกกว้าง “ตะ…ตะ…ตัวอะไรน่ะ อย่าเข้ามาน้า~”
นักแสดงเห็นฉยงเหรินที่เมื่อกี้ยังท่องบทอาขยานอยู่มองไปด้านหลังเธอด้วยสีหน้าหวาดผวาพร้อมร้องเสียงหลง อย่างกับว่ากลัวจนขวัญหดขวัญหาย
ทำไมจู่ๆ เขาถึงกลัวขนาดนั้นล่ะ มีผีอยู่ในห้องนี้จริงๆ ด้วย!
ปราการป้องกันจิตใจของนักแสดงพังทลายลงในชั่วพริบตา เธอกรีดร้อง หันหลังคิดจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก
วิ่งมาถึงหน้าประตู บิดซ้ายก็แล้วบิดขวาก็แล้ว แต่ก็เปิดประตูไม่ออก นักแสดงกลัวจนร้องไห้โหยหวน
ที่ประตูห้องเปิดไม่ออกก็เป็นการออกแบบของทีมงาน ไม่ใช่เพราะผีขังเธอไว้ในห้องนี้ แต่เธอตกใจกลัวสติหลุดหายจนลืมเรื่องนี้ไป
ฉยงเหรินมองผีปลอมถูกผีจริงหลอกจนไม่เหลือสภาพ ก็เดินไปด้านหลังนักแสดง ตบไหล่เธอปุๆ พยายามเอ่ยปลอบ “ไม่มีผีหรอก คุณ…”
“กรี๊ด…กรี๊ดดด” นักแสดงถูกตบไหล่ ก็นึกว่าจะถูกผีจับตัวไป เธอกลัวยิ่งกว่าเดิม หลับหูหลับตาเขย่าประตูเอาเป็นเอาตาย “ช่วยด้วยค่า มีผีจริงๆ ค่า! กรี๊ดดด! มีผีตบไหล่ฉัน!”
ฉยงเหริน “…”
ทีมพร็อพเห็นว่าเพื่อนร่วมงานไม่ไหวแล้ว จึงรีบเปิดประตูอย่างด่วนจี๋ นักแสดงผีสาวกรีดร้องพุ่งออกไปจากห้องทันทีทันใด
ซย่าหุยและเจียงอี้หมิงตอนนี้ก็มาถึงชั้นสองแล้วเช่นกัน ทันทีที่ขึ้นชั้นสองมาก็เจ๊อะกับผีสาวหน้าขาวซีด อ้าปากกว้างๆ ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงและน้ำตาไหลนองใบหน้ากำลังพุ่งมาทางพวกเขา
ซย่าหุยร้องกรี๊ดกอดหัวนั่งคุดตัว ส่วนเจียงอี้หมิงก็ตกใจวิ่งหนีกลับไปชั้นแรก เสียงร้องกรี๊ดของเขาดังออกไปไกล…แสนไกล
ซับกระสุนเต็มไปด้วย ‘ฮ่าๆๆๆ’ อย่างปราศจากซึ่งความเห็นใจ
[คนแสดงเป็นผีหลอกฉยงเหริน แต่โดนฉยงเหรินหลอกกลับจนฉี่ราดไปแล้ว ทำไมถึงตลกขนาดนี้ 555555]
[นักแสดงคนนั้นน่าสงสารมาก ฉยงเหรินเป็นสายน้ำโคลน* ของรายการระทึกขวัญจริงๆ]
[ตกลงผ้าม่านนั่นใช่เอฟเฟ็กต์ของทีมงานเปล่าอะ]
[ฉันว่าไม่ใช่ ไม่งั้นเธอคงไม่กลัวถึงขนาดนั้นหรอก]
[หลี่จอมถลกหนังแต่งเรื่องผีในตึกร้างนี่ขึ้นมามั่วๆ ไม่ใช่เหรอ เชี่ย ฉันไม่กล้าดูแล้ว]
ส่วนเจ้าตัวตอนนี้กำลังนั่งชมอย่างเบิกบาน เขาถามทีมพร็อพ “พวกเธอเพิ่มเอฟเฟ็กต์ผ้าม่านขยับเข้าไปทีหลังใช่ไหม ทำได้ดีมาก โคตรสมจริง! ได้อารมณ์สุดๆ”
ทุกคนในทีมพร็อพสั่นระริก “ไม่ใช่ฝีมือพวกเราค่ะ มันลอยขึ้นมาเอง”
หลี่ขุย “…” เขาลุกขึ้นพึ่บ “เป็นไปได้ไง ตึกนี้ฉันคัดแล้วคัดอีกเลยนะกว่าจะเลือกได้ ที่นี่ไม่เคยเกิดเรื่องไม่ดีมาก่อน เทียบกับตึกอื่นที่มีคนกระโดดตึกเป็นว่าเล่น ที่นี่มงคลจนไม่รู้จะมงคลยังไงแล้ว”
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
หัวหน้าทีมพร็อพสั่นงักๆ “ไม่งั้นเราเชิญต้าซือสักท่านมาปัดเป่าสถานที่ดีไหมครับ” เขาอดพูดออกมาไม่ได้ “ที่จริงฉันรู้สึกตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้วว่าที่นี่ไม่ค่อยชอบมาพากล”
ตึกแห่งนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่ หลังจากปล่อยเช่าให้พวกเขาเอามาใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ เจ้าบ้านก็มาร์กไว้ให้หมดแล้วว่าห้องไหนสามารถใช้งานได้ ห้องไหนไม่สามารถใช้งานได้
ตอนแรกหลี่ขุยอยากเล่นเกมปริศนาตัวเลขกับป้ายเลขห้องด้วย แต่เพราะเจ้าของห้องตั้งข้อจำกัดกับห้องเข้มงวดเกินไป เลยทำให้ไอเดียนี้ของพวกเขาเป็นอันต้องพับเก็บไป
เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ในเมื่อเป็นตึกร้างสูงใหญ่ ในเมื่อปล่อยให้เช่าแล้ว ทำไมถึงไม่ให้ทีมงานที่ถ่ายทำเลือกห้องเองล่ะ
แล้วห้องทุกห้องยังสะอาดสะอ้านอีก
ห้องที่ว่างเปล่า ต่อให้ปิดประตูปิดหน้าต่างมิดชิด ยังไงก็ต้องมีฝุ่นบ้าง ทว่าที่นี่กลับสะอาดใสกิ๊งแม้แต่หน้าต่าง
หัวหน้าทีมพร็อพยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว แต่หลี่ขุยก็หย่อนก้นลงนั่งเหมือนเดิม
“ไม่จำเป็นต้องกังวล มีเขาอยู่ จะไม่เกิดเรื่องแน่นอน”
“เขา?” หัวหน้าทีมพร็อพถาม “เขาเป็นผู้สูงส่งท่านไหนเหรอครับ”
หลี่ขุย “พ่อแท้ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดของฉัน”
หัวหน้าทีมพร็อพ “…”
ในฐานะที่ฉยงเหรินเป็นคนทำงานผู้รักและเทิดทูนงานอย่างยิ่ง หลังจากนักแสดงสาววิ่งหนีไป เขาก็หันไปยิ้มโล่งอกกับกล้อง “ที่แท้ก็เป็นการแสดง เมื่อกี้ตกใจแทบแย่แน่ะ”
เพื่อนๆ ในเว็บบอร์ดเรื่องผีเมืองหลงเฉิง คลับฉยงเหรินหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
[เจ้าหนูของฉันพยายามแกล้งกลัวได้น่ารักเกินไปแล้ว]
[ตอนเขาท่องบทอาขยานนะ ฉันหลุดหัวเราะเลย ทำไมจางเฮ่าถึงชมทักษะการแสดงของเขาซะเว่อร์ขนาดนั้นนะ เจ้าหนูเคยช่วยจางเฮ่าจับผีมาเหรอ]
[เจ้าหนูฉันเป็นไอดอลจริงๆ ด้วย ขำเป็นบ้า]
[ตอนหลังก็แสดงดีจนผีกลัวเลยไม่ใช่เหรอ จางเฮ่าสมกับเป็นสุดยอดผู้กำกับ มีศักดิ์ศรี ไม่ได้ชมไปเรื่อยจริงๆ]
ฉยงเหรินทำการค้นหาข้อมูลในห้องนี้ต่อ ตามหลักการโดยทั่วไปแล้ว ในเมื่อวางแผนให้ผีสาวมาหลอกคนตรงนี้ ก็ต้องมีเบาะแสปรากฏด้วยแน่ๆ
ไม่อย่างนั้นจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ!
นอกจากรูปใบหน้าของทั้งสิบคนที่ไม่เหมือนเด็กฝึกเลยสักคนแล้ว ฉยงเหรินก็ค้นพบหีบติดรหัสใบหนึ่ง รหัสบนหีบเป็นรหัสสามหลักที่มีทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขรวมกัน
ฉยงเหรินใส่เข้าไปทันทีว่าคือ BJX
หีบเปิดออกแล้ว
[โห เร็วมาก ไม่ต้องคิดเลยเหรอ]
[เก่งชะมัด ว่าแต่ BJX คืออะไรอะ]
[น่าจะมาจากตำราไป่จยาซิ่ง* ไหม ตอนนี้เบาะแสที่ชัดสุดก็มีแต่นามสกุลหลังรูป จริงๆ หลักการไม่ยากเลย แต่เขาก็คิดได้เร็วจริงๆ นั่นแหละ]
ในหีบมีไดอารี่เล่มหนึ่ง
‘วันที่ 1 เดือนมกราคม ปี 2070 อากาศแจ่มใส
เกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นแล้ว พวกเราฆ่าคน หวังปาบอกว่าใครกล้าหักหลัง เขาจะฆ่าคนนั้น ฉันไม่หักหลังแน่ ฉันยังอยากเรียนอย่างสงบๆ อยู่ แต่ฉันทรมานใจมากเลย ทุกคนอยู่ในตึกเดียวกันหมด ทำไมตอนจบถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้
วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2070 อากาศแจ่มใส
ฉันลาหยุด หวังปากับหลี่ซื่อโทรหาฉัน พวกเขากลัวว่าฉันจะไปมอบตัว ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ แต่ฉันก็ไม่มีความกล้านั้น
วันที่ 1 เดือนมีนาคม ปี 2070 มีเมฆครึ้ม
สุดท้ายฉันก็ไปเรียนอยู่ดี ที่นั่งของเขาว่างเปล่า ฉันทรมานใจมาก ที่จริงแล้วฉันชอบเขามากๆ บางทีฉันควรใจกล้ากว่านี้หน่อย
วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี 2070 มีฝนตก
เขากลับมาแล้ว ทุกคนกลัวจนเสียสติ แต่พวกเราก็ค้นพบเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น พวกเราจำไม่ได้แล้วว่าใครกันแน่ที่ตาย ความทรงจำของทุกคนมีปัญหากันหมด โชคดีที่ฉันเขียนไดอารี่เป็นนิสัย ฉันรู้จากไดอารี่ตัวเองว่าคนที่ตายไม่มีทางเป็นฉัน หวังปา หลี่ซื่อ แล้วจะเป็นใครในเจ็ดคนที่เหลือกันแน่’
ไดอารี่เขียนมาถึงตรงนี้ กระดาษด้านหลังก็เป็นรอยเลือดที่จงใจทำให้เป็นปริศนา
ดูท่าเด็กฝึกทั้งสิบคนจะสอดคล้องกับชื่อเจ้าอีไปจนถึงเฉินสือ ส่วนเด็กฝึกลับเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกฆ่าแล้วฟื้นคืนชีพคนนั้น
ฉยงเหรินอ่านไดอารี่จบแล้วเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นซย่าหุยที่หมอบตัวกลมอยู่หน้าห้อง เขาจำได้ว่าตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงซย่าหุยกรี๊ดจนถึงตอนนี้ก็ราวสิบนาทีได้แล้ว หรือว่าซย่าหุยจะหมอบอยู่ตรงนี้ตลอด
ขาไม่ชาเหรอนั่น
ยังไงก็ควรไปดึงเขาขึ้นมา แล้วพาเขาไปพักที่อื่นสักหน่อย
ซย่าหุยเฝ้าตอรอฉยงเหรินร่วมสิบนาที อุตส่าห์รอจนเห็นเขาเดินออกมา ก็ร้องกระซิกๆ ทันที “ฉันกลัวมาก ขาไม่มีแรงเดินไม่ไหวเลย เจียงอี้หมิงคิดจะวิ่งก็วิ่งหายหัวไปเลย”
พอได้ฟัง ฉยงเหรินก็หยุดฝีเท้า
ฉยงเหรินคิดว่าเขาเริ่มเข้าใจแล้ว
ซย่าหุยพูดถึงเจียงอี้หมิง ความจริงอาจกำลังเตือนเขาอ้อมๆ ว่าห้ามมาช่วยตนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงจะเสียโอกาสเซอร์วิสฉากเจ้าชายขี่ม้าขาวไป
ถึงฉยงเหรินจะไม่สนใจการขายเซอร์วิสคู่ชิป แต่เขาจะเข้าไปยุ่งกับการเซอร์วิสคู่ชิปของคนอื่นไม่ได้
ฉยงเหรินพูดกับตัวเองในใจ วางใจเถอะ ฉันจะไม่มีทางทำลายแผนของนายแน่นอน สู้ๆ
เขาพยักหน้าให้ซย่าหุย ก่อนหันหลังเดินจากไป
ซย่าหุยมองแผ่นหลังเขาจากไปอึ้งๆ สีหน้าค่อยๆ ปริแตก
เมื่อเห็นสีหน้าไร้วิญญาณของซย่าหุย โพสต์เฉพาะกิจของแฟนรายการก็กลายเป็นทะเลแห่งความหฤหรรษ์ทันที
[สีหน้าของซย่าหุยทำให้ฉันหัวเราะได้ทั้งปีเลย]
[ฉยงเหรินเดินไปแบบไร้เยื่อใยมาก เขาต้องมองออกแน่นอนว่าซย่าหุยอยากสร้างเรือคู่ชิปกับเขา ฉลาดมาก รักเลยอะ]
[ฉันชอบฉยงเหรินมากขึ้นเรื่อยๆ เลยอะ เคยแค่เห็นรูปกับ GIF ผ่านๆ เพราะว่าหน้าตาดูเหมือนไม่มีจริง ฉันเลยนึกว่าเขาเป็นแค่แจกันดอกไม้* รุ่นพิเศษแต่งรูปได้ ไม่คิดว่าตัวจริงก็หน้าตาดีขนาดนี้ แถมยังเป็นดาวมฤตยู** ของพวกชาเขียวด้วย]
[ดิฉันยอมกินมังสวิรัติตลอดชีวิต ขอให้ชาติหน้าดิฉันเกิดมาหน้าตาดีแบบฉยงเหรินด้วยเถิด]
ช่องไลฟ์สดที่หลี่ขุยจัดมีคุณภาพสูงมาก ใช้กล้องประเภทความละเอียดสูงจ่อหน้าแถมไม่ใส่ฟิลเตอร์อีก ซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงมองไกลๆ ก็ดูไม่เลว แต่พอสลับมาดูมุมใกล้ก็เห็นคราบแป้งกับอายแชโดว์ที่หลุดออก
เสียอารมณ์การเลียจอของหมาบ้าผู้ชายหน้าตาดีสุดๆ
ฉยงเหรินเป็นคนนิสัยละเอียดรอบคอบ ในเมื่อไม่มีการถ่ายทำแบบพิเศษ แถมหน้าของเขาก็แข็งแรงทนไม้ทนมือสุดๆ อยู่แล้ว ทำไมเขาจำเป็นจะต้องแต่งหน้าด้วยล่ะ
ผมหยิกๆ ของเขาทำให้เหมือนจัดทรงมาเรียบร้อย ประหยัดได้แม้แต่ค่าช่างทำผม
เขาดูดีทั้งสามร้อยหกสิบองศา แล้วยังหาเบาะแสอย่างทุ่มเท ไม่นานก็ค้นพบเส้นเรื่องหลักของเรื่องราวนี้ ส่วนเด็กฝึกคนอื่นๆ ยังคงวิ่งกันให้วุ่นอยู่เลย
เจียงอี้หมิงดวงดี เขาเจอเบาะแสสองอย่างแล้ว แต่เพราะเดารหัสไม่ถูก ตอนนี้จึงยังไม่รู้เนื้อหาของเบาะแส
ช่องไลฟ์ของฉยงเหรินที่ตอนแรกอยู่อันดับสี่ตอนนี้ความนิยมทะยานไปถึงอันดับสองแล้ว ห่างจากกู้เมิ่งซังที่อยู่อันดับหนึ่งแค่นิดเดียวเท่านั้น
ในหมู่คนที่คอยติดตามดูช่องไลฟ์ของฉยงเหริน นอกจากผู้จัดการกับแฟนๆ ของเขา ก็ยังมีเหยียนโม่ด้วย
เขานั่งอยู่ในออฟฟิศขนาดใหญ่ในโลกมนุษย์ จดจ้องไปยังฉยงเหรินที่อยู่บนหน้าจอ
เพื่อให้ตนเห็นได้ชัดขึ้น เขายังบอกให้วิญญาณขนโปรเจ็กเตอร์เข้ามาในห้องด้วย ตอนที่ฉยงเหรินกำลังไขรหัสลับ เขาเห็นสร้อยข้อมือกลีบดอกโกกนุทบนข้อมือของอีกฝ่าย
ข้อมือฉยงเหรินบางแต่มีกำลัง สร้อยข้อมือเกาะอยู่บนข้อมือสวยๆ นั่นได้อย่างพอเหมาะพอดี สีแดงเข้มสวยสดขับให้ผิวของฉยงเหรินผ่องใสเนียนละเอียดยิ่งขึ้น
เหยียนโม่เผยรอยยิ้มพึงพอใจจางๆ
เมื่อเห็นท่านพญายมทั้งหกร่างที่กำลังทำงานเผยยิ้มออกมา เลขาฯ หนานก็พูดในใจ เอาอีกแล้ว
“ต้าหวัง” เลขาฯ หนานตัดสินใจสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองสักนิด “ท่านได้มอบบ้านที่ท่านซื้อให้เขาไปหรือยังคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าพญายมราชเหือดหายไปในชั่วพริบตา เขาขมวดคิ้วเบาๆ “ยัง จากนิสัยของเขา มอบให้ก็คงไม่รับ น่ากลุ้มใจจริงๆ”
มิหนำซ้ำเขายังไม่เคยแสดงออกให้ชัดว่าเหยียนโม่ก็คือพญายมราช ถ้าฉยงเหรินรู้ความจริงแล้วโกรธขึ้นมาจนขอตัดความสัมพันธ์กับเขาเพราะเหตุนี้จะทำยังไง
หลายปีมานี้ซ่งตี้หวังก็มาร้องทุกข์บ่อยครั้ง เพราะตอนแรกเขาปิดบังตัวตนที่ตัวเองเป็นหนึ่งในทศยมราชกับเลขาฯ จินไป ตราบจนตอนนี้เลขาฯ จินก็ยังไม่ยอมให้อภัยเขาเลย
เขาไม่กล้าเสี่ยง
เลขาฯ หนานเป็นเลขาฯ ที่ดีคนหนึ่ง เธอรีบคิดหาทางแก้ไขปัญหาทันที
“ตอนนี้ท่านกับเขายังเป็นแค่เพื่อนกัน ความสัมพันธ์ของพวกคุณในตอนนี้ไม่เหมาะกับการส่งของขวัญที่มีค่าแบบนี้เท่าไหร่
พวกเราได้โอนบ้านหลังนี้ให้อยู่ภายใต้ชื่อของฉยงเหรินโดยใช้ช่องทางพิเศษแล้ว ท่านจะให้เขาหรือไม่นั้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์ของบ้านหลังนี้ ถ้าหากท่านอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขา ไม่สู้เชิญเขามาเป็นเพื่อนร่วมบ้านในฐานะเพื่อนดีกว่าเหรอ
ถึงสถานะของท่านตอนนี้จะเป็นนักธุรกิจที่ล้มละลาย แต่ต่อให้ล้มละลายแล้ว แต่อ้างว่ามีบ้านตกทอดตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษที่ขายไม่ออกก็ยังพอนับว่าสมเหตุสมผลค่ะ”
พญายมราชดวงตาเป็นประกายวาบทันที เขาผงกหัวเบาๆ “ขอบคุณคำแนะนำของเธอมาก”
เลขาฯ หนานก้มหัวให้เล็กน้อย “ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือท่านค่ะ”
เหยียนโม่เก็บจิตสำนึกร่วมกลับมา แล้วดูไลฟ์ต่อ แต่ดูต่อได้ไม่กี่นาที จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าสถานที่ถ่ายทำดูคุ้นตาแปลกๆ แล้วก็เห็นยมทูตขบวนหนึ่งเดินผ่านหลังฉยงเหรินไปแวบๆ
ไม่นึกว่าสถานที่ถ่ายรายการที่ฉยงเหรินเข้าร่วมจะเป็นตึกสำนักงานใหญ่ของสถานทูตประจำแดนหยาง ที่ห่างกับเขาเพียงแค่เหล็กและแผ่นปูนไม่กี่ชั้น
เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง
หลี่ขุยเริ่มพูดเตือน “เด็กฝึกทุกคนโปรดระวัง เวลาของพวกคุณเหลือเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ในชั่วโมงแรกมีเด็กฝึกสองคนไม่ผ่านการทดสอบของเมนเทอร์ และพวกเขาจะต้องถูกหักเวลา
ตอนนี้เมนเทอร์ยังไม่มีเด็กฝึกที่อยากมอบคำใบ้ให้ ถ้าเด็กฝึกทุกคนเจอคำใบ้ที่ไม่ใช่เบาะแสของตัวเอง สามารถใช้ห้องประชุมที่ชั้นสามเป็นสถานที่แชร์หรือแลกเปลี่ยนคำใบ้ได้ โปรดระวัง แชร์หรือแลกเปลี่ยนคำใบ้ได้ที่ห้องประชุมชั้นสามเท่านั้น”
เด็กฝึกทุกคนต่างตื่นตกใจ พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมนเทอร์คือใคร นับประสาอะไรกับเนื้อหาการทดสอบ ทำไมถึงมีคนไม่ผ่านการทดสอบแล้วล่ะ
เจียงอี้หมิงมองกล้อง เผยยิ้มร่าเริงของเด็กหนุ่มสดใสเหมือนพระอาทิตย์
“ไม่รู้ว่าเด็กฝึกคนไหนไม่ผ่านการทดสอบ ต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ” เขาวิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ “ผมว่าเมนเทอร์ต้องเป็นใครสักคนระหว่างอาจารย์เหมียวกับรุ่นพี่กู้ ผมยังไม่เจอพวกเขาทั้งคู่เลย เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ผ่านการทดสอบต้องไม่ใช่ผมแน่นอน”
แม้ว่าไอดอลจะเดาผิดว่าใครเป็นเมนเทอร์ แต่แฟนคลับของเขาก็ยังพากันชมว่าเจียงอี้หมิงฉลาดมาก เจียงอี้หมิงเป็นราชาผู้ครองเกมอยู่ดี
ขณะกำลังคอมเมนต์กันอย่างเมามัน แฟนคลับเจียงอี้หมิงก็พลันเห็นว่าเวลามุมขวาบนของช่องไลฟ์เจียงอี้หมิงลดน้อยลงไปครึ่งชั่วโมง
เพราะก่อนหน้านี้เจียงอี้หมิงพูดว่าการเต้นของฉยงเหรินสู้ PP ไม่ได้ แล้วยังพูดเป็นเชิงกังขาว่าฉยงเหรินลอกเลียนแบบ PP อีก แฟนคลับเจียงอี้หมิงก็กังวลอยู่เช่นกันว่าฉยงเหรินจะใช้สถานะเมนเทอร์ของเจ้าตัวมาแก้เผ็ดพี่ชายของพวกเธอไหม
กลุ่มแฟนคลับถึงกับไปตกลงกันมาแล้วว่าหากฉยงเหรินหักเวลาของเจียงอี้หมิง พวกเขาจะนัดกันไปดันคอมเมนต์ขอความเห็นใจยังไง
แต่หลังจากเนื้อหาการทดสอบปรากฏขึ้นบนช่องไลฟ์ ภายในกลุ่มแฟนคลับก็เกิดความชุลมุนขึ้นมาทันที
เพราะแบบทดสอบของฉยงเหรินดูเหมือนจะห้ามมีการโกง
หากพูดอย่างเคร่งครัด นี่ไม่นับว่าเป็นการทดสอบได้เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นระเบียบพื้นฐานที่เด็กฝึกทุกคนควรรักษา
ตราบใดที่เด็กฝึกรักษากฎระเบียบของการแข่งขัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ผ่านการทดสอบ
สองคนที่ถูกหักเวลาในครั้งนี้ แบ่งเป็นเจียงอี้หมิงและนักแสดงมีชื่อที่ฉยงเหรินไม่รู้จักคนหนึ่งชื่อว่าอูฮว่า
พวกเขาทั้งคู่ต่างแอบอ่านคอมเมนต์ระหว่างการค้นหาเบาะแส
เนื่องจากผู้ชมที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรู้ข้อมูลมากที่สุด ซ้ำสัญชาตญาณของแฟนคลับยังอยากบอกข้อมูลทุกอย่างให้ไอดอลที่ชอบรู้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กฝึกรู้ข้อมูลจากซับกระสุน โทรศัพท์ที่กองถ่ายแจกจ่ายให้พวกเขาจึงปิดการใช้ฟังก์ชันซับกระสุนโดยเฉพาะ
และเพื่อจะได้เห็นซับกระสุน เจียงอี้หมิงกับอูฮว่าจึงแอบดูไลฟ์ผ่านเว็บบราวเซอร์แทน
ทว่าในตึกที่เต็มไปด้วยกล้องอยู่ทั่วทุกมุมนี้ กองถ่ายสังเกตเห็นพฤติกรรมของพวกเขาทันที และยังส่งข้อความโทรศัพท์ไปหาเป็นการเตือน
และตอนนั้นช่องไลฟ์ได้ทำการปรับไลฟ์ของเจียงอี้หมิงและอูฮว่าให้เป็นหน้าต่างเล็กๆ มุมขวาล่าง และฉายภาพขั้นตอนการโกงและตอนที่พวกเขาถูกรายการจับได้
เหล่าผู้ชมต่างหมดคำพูด นี่มันรายการวาไรตี้นะ ยังจะมีคนโกงอีกเหรอ
ชั่วพริบตาคนมากมายก็หลั่งไหลเข้าไปดูช่องไลฟ์ของเจียงอี้หมิง ส่งคอมเมนต์ด่าเขาเต็มหน้าจอ แฟนคลับของเขาอยากจะส่งคอมเมนต์โต้กลับไป แต่ถึงออกไปแล้วก็ถูกกระแสสังคมกลบมิดอยู่ดี
เจียงอี้หมิงที่สนใจเรื่องความนิยมของช่องไลฟ์ตัวเองตลอดเห็นว่าจำนวนคนออนไลน์เข้ามารับชมพุ่งทะยาน ก็ดีใจสุดๆ อย่างเงียบๆ ในใจ เขาเอ่ยแกมหัวเราะ “ว้าว อยู่ๆ ความนิยมก็สูงขึ้น ขอบคุณการสนับสนุนจากทุกคนครับ”
เจียงอี้หมิงผู้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกด่าสาดเสียเทเสียอารมณ์ดีมาก ส่วนแฟนคลับของเขาก็พยายามตามล้างตามเช็ดให้เขาอย่างขะมักเขม้น
[เสี่ยวเจียงยังเป็นเด็ก พวกคุณมาด่าเขาทำไม ตอนเรียนพวกคุณไม่เคยโกงกันเลยเหรอ]
[เจียงอี้หมิงเขาแค่อยากชนะเกินไป แล้วเขาก็ยังไม่เห็นข้อมูลสำคัญอะไรด้วย ไม่เห็นต้องด่าเขาแรงขนาดนี้เลยนี่]
[พวกคุณโหดร้ายมาก จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ ก็แค่โกงในรายการวาไรตี้ ไม่ได้โกงข้อสอบเข้ามหา’ลัยสักหน่อย]
[เพิ่งเคยเจอคำพูดปัญญาอ่อนแบบนี้ โทษทีนะ ฉันไม่เคยโกงว่ะ]
[ฉันเคยเจอคนโกง แต่คนที่เห็นคนโกงแล้วมั่นหน้าแก้ตัวให้คนโกงอย่างพวกคุณนี่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนจริงๆ]
[แฟนคลับก็เหมือนไอดอลนั่นแหละ สมองกลวงเหมือนกัน]
ความนิยมของเจียงอี้หมิงค่อนข้างสูง แถมแฟนคลับยังขี้โวยวายไร้เหตุผล หัวข้อนี้จึงถูกดันขึ้นเทรนด์ฮอตเสิร์ชโดยไม่ผิดไปจากการคาดการณ์ของผู้คน
อูฮว่าค่อนข้างแป้กอยู่แล้ว แฟนคลับก็เงียบเหมือนเป่าสาก จึงรอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้แบบงงๆ แม้จะถูกด่ารวมไปด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับถูกตามจิกตามด่าแบบเจียงอี้หมิง
แฟนคลับอูฮว่าอยากจะมอบรางวัลยอดนักเรียกบาทาอันดับหนึ่งให้เจียงอี้หมิงจริงๆ
ผู้จัดการของเจียงอี้หมิงเห็นศิลปินในความดูแลของตัวเองเริ่มทำแฟนคลับหนีหาย ก็ร้อนใจจนแทบสติแตก เขาติดต่อหลี่ขุยให้ช่วยเตือนคำพูดคำจาและการกระทำของเจียงอี้หมิง
หลี่ขุยปฏิเสธ “ถ้าฉันใช้วิธีการโกงมาเตือนไม่ให้เขาโกง ก็จะดูเป็นการแสดงเกินไปน่ะสิ ถ้ารู้ว่านิสัยของเขาเป็นแบบนี้ พวกคุณก็ไม่ควรให้เขามาถ่ายรายการสดตั้งแต่แรก”
ผู้จัดการหัวเสียจนพูดเสียงหลง “ก็คุณเชิญพวกเราไปไม่ใช่เหรอ”
หลี่ขุย “ใช่ไง เพราะยังไงก็ต้องได้ผลงานดีแน่ๆ แต่ถึงฉันจะเป็นคนเชิญ พวกคุณจะไม่มาก็ได้นี่ เพราะคุณไม่รู้จักศิลปินตัวเองดีพอ ทำไมมาโทษฉันล่ะ”
ผู้จัดการพูดไม่ออก ได้แต่ติดต่อหาหน้าม้าให้พยายามหาข่าวอื่นมากลบกระแสคำวิจารณ์นี้ให้ได้
เจียงอี้หมิงยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกหักเวลา เขายิ้มพูดกับกล้อง “ไม่รู้ว่าเสี่ยวหุยเจอเบาะแสหรือยัง ผมจะเอาที่ผมเจอไปแชร์กับเขาเดี๋ยวนี้เลย”
หีบติดรหัสที่เขาเจอจนถึงตอนนี้ก็ยังถอดรหัสไม่ได้ เจียงอี้หมิงผู้ซึ่งคิดว่าการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวของตัวเองสามารถดึงดูดชิปเปอร์เรือของตนได้ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มเดินเข้าห้องประชุมชั้นสามไป
เด็กฝึกสิบคนมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
จากการสนทนาแลกเปลี่ยน ณ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเด็กฝึกลับคือใคร ฉยงเหรินเล่าเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในชั้นสอง แต่เขาไม่ได้บอกรหัสหีบ
ไดอารี่ที่บรรจุอยู่ในหีบน่าจะเป็นเบาะแสเกี่ยวกับตัวตนเด็กฝึกคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครกันแน่ ตราบใดที่คนพวกนี้ไม่โง่ ก็ควรไปไขรหัสด้วยกันก่อน ถึงค่อยเอาเบาะแสมาแชร์กัน
ทันทีที่เจียงอี้หมิงได้ยินว่าฉยงเหรินปลดล็อกหีบได้ เขาก็มองฉยงเหรินแล้วกล่าว “ในเมื่อคุณเก่งขนาดนี้ ทำไมไม่มาช่วยผมไขรหัสสองหีบนี้ด้วยเลยล่ะ”
ฉยงเหรินไม่แม้แต่จะเหลือบมองหีบ เขาเอ่ย “ผมไขรหัสไม่ได้”
เจียงอี้หมิงเอ่ยเสียงเข้ม “รุ่นพี่ฉยงเหริน ทำไมถึงไม่ยอมช่วยทุกคนล่ะครับ ถึงเราจะอยู่ในรายการแข่งขัน แต่ผมก็คิดมาตลอดว่ามิตรภาพสำคัญที่สุด ผมอยากเอาเบาะแสมาแบ่งปันกับทุกคน ในเมื่อคุณเก่งขนาดนั้น งั้นก็ช่วยพวกเราตอนนี้เลยเถอะ”
เด็กฝึกจำนวนหนึ่งได้ยินว่าเจียงอี้หมิงเต็มใจแบ่งปันเบาะแสให้ ก็คล้อยตามเขาทันที
กู้เมิ่งซังกลับพูดขึ้น “ฉันไม่เห็นด้วย”
เหมียวเจ๋อเหยียนกล่าวตาม “ไม่เห็นด้วย”
กู้เมิ่งซัง “ฉยงเหรินมีความสามารถนั่นก็เป็นเรื่องของเขา ทุกคนต่างก็เป็นคู่แข่งกัน ทำไมนายต้องบังคับให้เขาช่วยด้วยล่ะ”
เหมียวเจ๋อเหยียนพยักหน้าต่อ “บังคับคนอื่นไม่ดี”
ฉยงเหรินเห็นเจียงอี้หมิงเลือดเริ่มขึ้นหน้า เด็กฝึกคนอื่นๆ ก็พูดเสียงเบาว่าเขาเห็นแก่ตัว ตัวเขาจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คำใบ้รหัสจะต้องอยู่ในห้องที่เจอหีบ ผมอยู่ในห้องประชุม ผมจะไขรหัสยังไงล่ะ คนที่เอาเบาะแสมาคือคุณ แล้วก็ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลที่อื่นได้นอกจากในห้องประชุม เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องเป็นคนแก้รหัสหีบนี้สิ”
เจียงอี้หมิงกับเด็กฝึกคนอื่นๆ หน้าแดงแจ๋
คนที่ฉลาดหน่อยอย่างเช่นซย่าหุยรู้สึกตัวก่อนใคร
มิน่าล่ะ ฉยงเหรินถอดรหัสได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เอาเบาะแสมาด้วย ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าเบาะแสเฉพาะบุคคลสามารถแลกเปลี่ยนได้ หลังรู้ว่าเบาะแสไม่ใช่ของตัวเอง ก็ตั้งใจไม่เอามาด้วย
แบบนี้เบาะแสเฉพาะตัวนั่นก็จะไม่กลายเป็นของใครเพียงคนเดียว แต่เจียงอี้หมิงเอาเบาะแสมาด้วย ตอนนี้เบาะแสจึงเป็นของเขา ซึ่งแชร์กับคนอื่นๆ ได้ในห้องประชุมเท่านั้น แต่ในห้องประชุมไม่มีข้อมูลในการไขรหัส
ถ้าเอากลับไปในห้องนั้นก็จะมีข้อมูล แต่เจียงอี้หมิงจะไม่สามารถแชร์เบาะแสกับเด็กฝึกคนอื่นๆ ได้ นี่ก็จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์
คนสมองหมูอย่างเจียงอี้หมิงไม่มีทางแก้โจทย์ได้แน่นอน เบาะแสสองอย่างนี้ก็จะนับว่าไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย
เขาร้อนใจขึ้นมาทันที ใครจะรู้ได้ว่าเบาะแสในหีบเป็นของเขาหรือเปล่า หลังจากคนอื่นๆ เก็ตถึงปัญหานี้ สายตาที่มองเจียงอี้หมิงก็เริ่มกลายเป็นไม่เป็นมิตร
แฟนรายการพากันถากถางทันที
[โง่แบบไม่มียารักษา]
[มิน่าล่ะชิปเปอร์เรือเขากับซย่าหุยถึงกลายมาเป็นแฟนคลับที่คีปเมนแค่ซย่าหุยคนเดียวหมด โง่เกินไปจริงๆ]
ฉยงเหรินส่งข้อมูลต่อ “ในเมื่อคุณคิดว่ามิตรภาพต้องมาก่อน งั้นผมก็แนะนำให้คุณถอนตัวหลังจากช่วยทุกคนหาเบาะแสได้แล้ว จะได้แจ่มแจ้งไปเลยว่าคุณให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก ให้เบาะแสคนอื่นเนี่ย จะมีใครอยากให้เบาะแสกับท็อปสี่ด้วยความจริงใจเหรอ คุณว่าไหมล่ะ ผมแค่แนะนำนะ ไม่ได้บังคับให้คุณทำ”
[ฉยงเหรินพูดแทนใจฉันหมดเลย สะใจ]
[ตอนเขาทำหน้าเย็นชาก็ดูดีโคตร! สุดมาก! มีผู้ชายแบบนี้อยู่บนโลกจริงเหรอเนี่ย]
[ฉันหน้าด้านฉันขอพูดก่อน เมียจ๋า เมียสวยมาก]
ฉยงเหรินกล่าวจบก็กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างนิ่งๆ หนึ่งรอบ เขาเคาะโต๊ะ “ถ้าพวกคุณไม่มีข้อมูลอะไรที่จะแลกเปลี่ยนแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
การมาประชุมครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ตอนที่เห็นเด็กฝึกสิบคนอยู่กันพร้อมหน้า ฉยงเหรินก็หัวแล่นฉิว เขาเดาออกแล้วว่าใครคือเด็กฝึกลับ
อันที่จริงหีบของเจียงอี้หมิงก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้รหัส ถ้าพวกเขาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจะต้องช่วยตอบคำถามตามจริงแน่นอน
แค่ไม่รู้ว่าใครจะได้รับสิทธิ์ขอความช่วยเหลือก่อน
ฉยงเหรินเดินออกไปจากห้องประชุมท่ามกลางสายตาของทุกคน ซย่าหุยที่ตอนแรกกระหายความสามารถในการตกแฟนคลับของเขา อยากสร้างเรือคู่ชิปไว้คอยดูดเลือดฉยงเหรินเฉยๆ แต่เมื่อมองแผ่นหลังของฉยงเหรินที่เดินจากไปอย่างสง่างาม กลับใจเต้นขึ้นมาจริงๆ เสียอย่างนั้น
ฉยงเหรินขึ้นบันไดตรงมาชั้นสิบ
ตอนนี้ชั้นสิบมีแค่ศิลปินอย่างเขาคนเดียว ฉยงเหรินมองกล้อง เริ่มอธิบาย
“ถึงจะยังเก็บเนื้อเรื่องไม่ครบ แต่ผมรู้แล้วครับว่าใครคือเด็กฝึกลับ ที่จริงคำตอบนั้นง่ายมากเลย คำใบ้ที่ทีมงานให้มาชัดเจนมากๆ ตราบใดที่มาถูกทาง พูดได้เลยว่าเฉลยเป็นอะไรที่มองปราดเดียวก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมจะอุบไว้ก่อน พวกคุณจะได้ไม่เลิกดูไลฟ์หลังจากรู้เฉลย”
ขณะที่ฉยงเหรินกำลังพูด วิญญาณดวงหนึ่งก็ลอยมาจากข้างๆ ถามด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “แอบบอกพวกเราก่อนได้ไหมอะ”
ถึงวิญญาณจะไม่สามารถดูไลฟ์ของโลกคนเป็นได้ แต่พวกเขามาล้อมดูสถานที่จริงเลยก็ได้นี่นา นับว่าเป็นการถ่ายทอดสดเหมือนกัน
ฉยงเหรินปัดมือ เป็นเชิงว่าไม่ได้
กลีบบัวบนข้อมือโคลงไปมาเบาๆ ตามการเคลื่อนไหว ไอเทมจากพญายมราชเชื่อถือได้จริงๆ ตั้งแต่สวมสร้อยข้อมือเส้นนี้ เขาก็ไม่กลัวผีอีกเลย
เขาได้ยินเสียงท่องพยัญชนะและสระ ก็เดินไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ที่แท้ชั้นสิบก็มีห้องประชุมอีกห้อง ในนั้นมีวิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลนั่งอยู่เต็มไปหมด กำลังท่องหนังสืออยู่กับผู้อาวุโสสวมชุดทางการสมัยราชวงศ์หมิงบนโพเดียม
สีหน้าของวิญญาณเหล่านี้ย่ำแย่อย่างไม่มีใครแพ้ใคร
ผู้อาวุโสพูดบนแท่นโพเดียม “หลี่ เสียงสาม ตอนออกเสียงมีการเปลี่ยนโทนเสียงด้วย”
คนด้านล่างอ่านเป็นเสียงเดียวกัน “หลี”
ผู้อาวุโส “หลี่ กดเสียงลงก่อน แล้วค่อยลากเสียงขึ้น”
วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลน้ำตาคลอหน่วย “หลี”
ผู้อาวุโสชักโมโห “หลี่!”
เหล่าชาวจีนโพ้นทะเลท่องอย่างตั้งใจทว่าแสนสิ้นหวัง “หลี”
ผู้อาวุโสไหล่สั่นเมื่อเห็นว่าไม่เป็นไปตามที่หวัง “ถ้าสอบไม่ผ่านจะกระทบกับชีวิตของพวกเธอในนรก ถ้าหากลงนรก ลงนรกน่ะเข้าใจไหม Hell ยังไงพวกเธอก็ต้องรู้ไว้หน่อยสิว่ายมบาลจะเอาเธอไปทอดน้ำมันหรือจะหั่นเธอเป็นชิ้นๆ ถ้าเกิดพวกเขาลงโทษผิดขึ้นมาล่ะ”
ฉยงเหรินทนมองต่อไม่ไหว น่าเวทนาเกินไปแล้ว
ในตอนนี้เขาก็ยังคงได้ยินเสียงวิญญาณร้องอย่างทุกข์ตรมจากห้องประชุม
“พาซาจีนยากมาก ฉานทามม่ายดาย ฮือออออ”
ฉยงเหรินออกไปจากห้องประชุม แล้วเข้าไปในห้องข้างๆ ภายในห้องนี้มีข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันวางอยู่เล็กน้อย
เจ้าของห้องนี้มีชื่อว่าเฉินสือ
ขณะค้นหาเบาะแสอย่างขะมักเขม้น ซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงก็โผล่มาทีละคน
ซย่าหุยมาบริหารเรือคู่ชิปของเขาให้เสร็จ ส่วนเจียงอี้หมิงในที่สุดก็ตระหนักแล้วว่าลำพังปัญญาของตนเองไม่พอที่จะหาเบาะแสได้ครบ ความนิยมของช่องไลฟ์หลังจากพุ่งขึ้นมารอบหนึ่งก็ลดลงฮวบๆ การแสดงออกของเขาในรายการดึงดูดคนขาจรที่ผ่านเข้ามาดูไม่ได้ จึงมีแต่ต้องอาศัยฐานความนิยมเดิมล้วนๆ
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะแท็กทีมกับซย่าหุย พยายามเพิ่มอันดับของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ถ้าเกิดเขาได้ความช่วยเหลือจากแฟนคลับคู่ชิป เขาก็มีหลักประกันสำหรับตำแหน่งท็อปสี่แล้ว
ซย่าหุยเดินยิ้มร่าเข้ามา “รุ่นพี่ครับ พวกเรามาเป็นพันธมิตรกันเถอะ ผมยินดีแชร์เบาะแสทุกอย่างที่ผมเจอเลย”
ฉยงเหรินได้ยิน ก็หันไปมอง “คุณเจอเบาะแสแล้วเหรอ”
ซย่าหุยหน้าแข็งค้าง “ตอนนี้ที่เจอมีแต่เนื้อเรื่องครับ ยังไม่เจอเบาะแสที่เกี่ยวกับตัวตนของพวกเรา”
“อ๋อ” ฉยงเหรินหันหลังกลับไปอย่างผิดหวัง เขาค้นตู้พักหนึ่ง เคาะๆ ชั้นไม้ระหว่างตู้ เมื่อได้ยินเสียงไม้กลวงๆ ก็ลองรื้อชั้นออกมา แล้วด้านในก็มีอีกชั้นแทรกอยู่ตามคาด
เขาเจอหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนึ่งจากในนั้น
หน้ารองปกหนังสือคณิตศาสตร์มีสองตัวอักษรเขียนว่าเฉินสือ
บนหนังสือมีเนื้อหาที่เขียนด้วยลายมืออย่างไม่ใส่ใจ ไม่ใช่การจดเนื้อหาการเรียน แต่เป็นความในใจของตัวเฉินสือเอง
เฉินสือแอบชอบเพื่อนร่วมชั้นตัวเอง เขารอคอยที่จะได้กลับบ้านทางเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นทุกวัน
ทว่าเขาไม่กล้าเอ่ยความในใจตัวเองออกไป ด้วยกลัวว่าหากถูกคนรู้เข้า ก็จะเกิดเรื่องไม่ดีตามมา
เนื้อเรื่องแรกๆ ยังเป็นเรื่องราวกวนใจของเด็กหนุ่มวัยใส ลายมือก็สวยงามน่าอ่าน แต่ยิ่งอ่านต่อไปเรื่อยๆ ลายมือก็เละเทะลงทุกทีๆ แล้วยังมีรอยกระดาษถูกปลายปากกาจิ้มทะลุด้วย
คล้ายจะเป็นการประกาศว่าเฉินสือเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ดูจากเนื้อหาบนนี้ ความในใจของเฉินสือคงจะถูกเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นรู้เข้า และหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มกลั่นแกล้งเฉินสือ เฉินสือกลัวว่าเรื่องจะใหญ่จนไปถึงหูพ่อแม่ จึงได้แต่ยอมโดนแกล้งโดยไม่ขัดขืน
หน้าสุดท้ายของหนังสือคณิตศาสตร์ เฉินสือเขียนว่า ‘ฉันจะลงโทษพวกมัน พวกมันจะไม่มีทางได้ตายดี’
ฉยงเหรินกำลังอ่านหนังสืออย่างจดจ่อ ก็ได้ยินเสียงดังเอะอะ เขาเงยหน้าด้วยความสงสัย
ซย่าหุยจับตามองเขาอยู่ทุกเวลา ถามทันที “มีอะไรเหรอ”
วินาทีถัดมาวิญญาณจำนวนหนึ่งก็บุกตรงเข้ามาในห้องนี้ ยมทูตวิ่งไล่ตามจับ ห้องที่ตอนแรกยังนับว่าใหญ่กลับกลายเป็นแออัด
ยมทูตขวางประตูห้อง พูดโน้มน้าว “เลิกหนีเถอะนะ ภาษาจีนไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก คุณทำได้น่า”
ฉยงเหรินหันไปมอง วิญญาณที่วิ่งเข้ามาก็คือวิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลในห้องประชุมเมื่อครู่นี้
เรียนจนสติแตกไปแล้วงั้นเหรอ
วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลสะอึกสะอื้น “พวกคูนโกโหก มานยากมาก ฮือออ”
ฉยงเหรินสามารถสัมผัสวิญญาณได้ เขาเริ่มรู้สึกตึงเครียด ถ้ากายหยาบของเขาไปสัมผัสกับวิญญาณในห้องนี้ขึ้นมา แล้วถูกถ่ายทอดสดออกไป งั้นทุกคนก็จะรู้ความลับที่ว่าเขาเห็นผีหมดน่ะสิ!
วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลอีกดวงปาดน้ำตาร้องโอดครวญ “ฉานม่ายอยากเรียนพาซาจีน ฉานหยักตาย มานยากมาก”
เหล่าวิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลแข่งกันน้อยเนื้อต่ำใจ ประสานเสียงร้องกระจองอแง
ยมทูตอับจนปัญญา “พวกคุณตายกันแล้ว ถ้าตายอีกก็คือวิญญาณแหลกสลายแล้วนะ รู้จักคำว่าวิญญาณแหลกสลายไหม ก็คือ wipe out!” เขาทำท่าเหมือนลูกโป่งระเบิด “ปุ้ง วิญญาณหายไปเลย”
เหล่าวิญญาณร้องโหยหวนยิ่งกว่าเดิม
ฉยงเหรินสวมสร้อยข้อมือกลีบบัวที่ท่านพญายมให้มา เรื่องกลัวน่ะ เขาไม่กลัวหรอก ห่วงแต่ว่าจะโป๊ะแตกนี่สิ
แต่จะออกไปก็ไม่ได้อีก ยมทูตยังบังประตูอยู่เลย
วิญญาณวิ่งกันเป็นพัลวัน ยมทูตก็ไล่ตามเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนแรกฉยงเหรินยังพอทำเป็นเดินไปเดินมาอย่างเป็นธรรมชาติ และหลบเลี่ยงการสัมผัสทางกายภาพกับวิญญาณได้
แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มโกลาหล จะทำเป็นเดิน ก็หาจังหวะเดินหลบให้ทันไม่ได้ แล้วเขาก็ปิ๊งไอเดีย เปิดเพลงจังหวะเร็วๆ หนึ่งเพลงแล้วเริ่มฟรีสไตล์
คนอื่นนึกว่าเขากำลังเต้น แต่จริงๆ แล้วเขากำลังใช้การเต้นหลบผีอย่างบ้าคลั่ง
ฉยงเหรินแอบกดไลค์ให้กับความคิดตัวเอง เขามันอัจฉริยะตัวน้อยจริงๆ
เต้นเก้อๆ จะไปน่าอายอะไร ขอแค่เราไม่อาย คนที่อายก็จะเป็นคนอื่นแทน ยังไงก็ดีกว่าให้ใครรู้ว่ามีผีอยู่เต็มห้องนี้
เขาก้าวซ้ายสไลด์ขวา เมื่อเห็นวิญญาณพุ่งเข้ามา ก็เร่งความเร็วก้าวไปตามทางที่วิญญาณพุ่งมาสองก้าว แล้วหมุนตัวกลางอากาศ เสื้อเขาห้อยตกลงเผยให้เห็นเอวผอมบาง
เหล่าวิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลอึ้งทึ่ง “หนายบอกว่าไชนีสพีเพิ้ลไม่เป็นกังฟูไง เขาใช้วิชาตัวเบาด้ายนี่!”
[เขาทำไรอะ…]
[ฉันขำฟันร่วงเลย 55555555]
[คงเพราะซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงน่ารำคาญเกินไป เขาเลยใช้การเต้นตัวเองแสดงความรำคาญออกมาสินะ อุ๊บ 5555555]
[อย่าว่าไป เขาเต้นโคตรดีเลยนะ ฉันไม่ได้หัวเราะ ฉันซีเรียส]
[เมื่อกี้ฉันนึกว่าเขากระโดดตัวจากพื้นเฉยๆ แต่ไอ้ตีลังกากลางอากาศนี่คือเรื่องจริงงั้นเหรอ]
เมิ่งเซินที่แอบอู้มาดูไลฟ์ระหว่างการทำงานอดสบถไม่ได้ “เชรด!”
ทำไมฉยงเหรินถึงเต้นฟรีสไตล์ได้เหมือน PP ขนาดนี้
โดยเฉพาะท่าหมุนตัวกลางอากาศ ความสูงในการกระโดดกับความสามารถในการลอยค้างกลางอากาศแบบไม่สมเหตุสมผลนี้ เขาเคยเห็นแค่ PP คนเดียวเท่านั้นที่ทำได้…
เดี๋ยวนะ เขาเหมือนจะจับสังเกตได้
ชื่อเต็มของ PP คือ Poor People นั่นก็แปลว่าคนจนเหมือนชื่อฉยงเหรินเลยไม่ใช่เหรอ
เมิ่งเซินอ้าปากค้าง
และคนที่จับสังเกตได้ก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
[ทำไมฉันคิดว่าฉยงเหรินไม่ใช่แค่เหมือน PP แต่เขานี่แหละคือ PP เอง…อายุก็ตรงกันด้วย]
[ฉันก็คิดเหมือนกัน]
เจียงอี้หมิงกับซย่าหุยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ฉยงเหรินถึงเต้น ซย่าหุยสองมือกุมอกด้วยสีหน้าลุ่มหลง ไม่รู้ว่าแสดงหรือมาจากใจจริง
เจียงอี้หมิงเห็นซย่าหุยไม่มีความซื่อสัตย์ในการเป็นคู่ค้าของเขาเลยสักนิด ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มออกมาโดยพลการ
ไร้จรรยาบรรณ!
เขาเริ่มหึงหวงทันที “การฟรีสไตล์นี้จะฟรีเกินไปแล้วครับ ไม่เหมือน PP การฟรีสไตล์ของเขาประณีตมาก เหมือนผ่านการออกแบบมาหมดแล้ว”
ซับกระสุนรู้สึกหมดคำจะพูด แบบนี้ไม่ใช่การตบหน้าตัวเองเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วเหรอ ใครมันพูดไว้ตอนเริ่มไลฟ์ว่าท่าของฉยงเหรินประณีตเกินไป ดูไม่สดใหม่เหมือนเด็กวัยรุ่น ทำไมตอนนี้มากลับคำพูดว่าท่าเต้นของ PP ประณีตกว่าฉยงเหรินล่ะ
จะแสร้งทำเป็นรู้ดีไปก็ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยก็ควรใช้ตรรกะเดียวกันหน่อยสิ
และแฟนรายการที่ดูช่องไลฟ์รวม หลังจากมีคนไม่น้อยที่ชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ฉยงเหรินคือ PP พวกเขาก็หัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง
[ทำไมเจียงอี้หมิงถึงไปออก ‘สปิริต 101’ อะ ‘Top Funny Comedian’ ต่างหากที่เป็นบ้านของเขา]
[มีคนขุดคลิปยูทูบตอน PP แข่งแล้ว ถึงจะใส่หน้ากากปิดครึ่งหน้าด้านล่างไว้ แต่ไฝใต้ตาก็ทำให้มองออกว่าเป็นฉยงเหรินร้อยเปอร์เซ็นต์]
[เจียงอี้หมิงคงไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตการเป็นไอดอลของเขาจะจบลงในตอนค่ำของวันธรรมดาๆ แบบนี้]
[ถ้าฉันเป็นเขานะ ฉันจะหนีออกจากดาวโลกเดี๋ยวนี้เลย]
[หนีออกจากโลกคงไม่พอ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะหนีออกจากกาแล็กซี่คืนนี้เลย]
สถานการณ์ในห้องเลวร้ายลงเรื่อยๆ วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลอาจตกใจกับความยากของภาษาจีนจนทำอะไรไม่ถูก วิญญาณถึงได้มีแนวโน้มจะกลายร่างเล็กน้อย
จู่ๆ ข้าวของในห้องเฉินสือก็ร่วงกระจัดกระจาย หน้าต่างขยับทั้งที่ไม่มีลม โต๊ะและเก้าอี้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด หลอดไฟส่งเสียงกระแสไฟฟ้าจี่ๆ และติดๆ ดับๆ
ซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงกลัวจนฉี่ราดพร้อมกัน ซย่าหุยวิ่งไปหลบหลังฉยงเหรินทันที “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ก็สั่นไปหมด”
เจียงอี้หมิงกลัวจนน้ำตาแทบไหล ล้มลุกคลุกคลานโผเข้าหาฉยงเหริน ไม่รู้ทำไม ถึงเขาจะไม่ชอบฉยงเหริน แต่ก็รู้สึกว่าฉยงเหรินมีบรรยากาศที่น่าเชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก
ฉยงเหรินกำลังเต้นตามบล็อกกิ้งอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วจู่ๆ เจียงอี้หมิงก็โผเข้าใส่อีก พื้นที่เล็กๆ แบบนี้ทำให้เขาขยับหลบไม่ทัน จึงได้แต่กระโดดขึ้นเตียงไป เจียงอี้หมิงคว้าอากาศ สะดุดอากาศล้มทันที ฉยงเหรินกลัวว่าเขาจะล้มกระแทกแผ่นกระดานของเตียง เลยยื่นมือออกไปประคองเขา และในตอนนั้นเองสร้อยข้อมือก็ถูกเจียงอี้หมิงกระชากหลุด
วินาทีที่กลีบดอกบัวหลุดออกจากข้อมือ อย่างแรกคือฉยงเหรินขนลุกซู่ ต่อจากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ แข็งทื่อ
ปะ…ปริมาณผีในห้องสูงเกินไป เขารับไม่ไหวแล้ว!
“ฮือออ ฉานม่ายอยากเลียน”
วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลร้องไห้ฟูมฟายวิ่งมาชนตัวฉยงเหรินเข้า เธอผงะ หนึ่งคนหนึ่งผีสบตากัน วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลนึกว่าตัวเองเรียนภาษาจีนจนหลอน ก็ยื่นมือออกไปทางฉยงเหรินหน้าตาเหลอหลา
ทำไมเหมือนแตะโดนตัวคนเป็นๆ เลยล่ะ
ฉยงเหรินสูดลมหายใจเย็นเฉียบ ก้มเก็บสร้อยข้อมือแล้ววิ่งพุ่งชนยมทูตออกไปข้างนอกทันที
วิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลเองก็ถือโอกาสนี้เบียดออกไป พวกเขาเห็นฉยงเหรินสาวเท้าวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ก็ตระหนักว่ากำลังวิ่งตามหลังเขาอยู่ แล้วเหล่ายมทูตก็วิ่งตามวิญญาณชาวจีนโพ้นทะเลอีกที กลายเป็นขบวนรถไฟผีหนึ่งคัน
พอฉยงเหรินหันกลับไปดู เขาก็ชาหนึบไปทั้งตัว
ทำไมพวกคุณต้องไล่ตามผมมาด้วยเล่า ต่างคนต่างวิ่งไม่ได้เหรอ
จู่ๆ ตรงหน้าก็มีคนผู้หนึ่งโผล่มา ทันทีที่ฉยงเหรินเห็นเขา ความน้อยเนื้อต่ำใจจากไหนนักหนาไม่รู้ก็ถาโถมเข้าใส่ทันที
เขาไม่ลดความเร็ว พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเหยียนโม่ราวกับลูกกระสุน โถมทั้งร่างไปเกาะตัวเหยียนโม่
เหยียนโม่รองก้นของเขาด้วยมือเดียว มืออีกข้างประคองไหล่ของเขาไว้ พร้อมเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ฉันส่งพวกเขาไปหมดแล้ว”
คอมเมนต์ห้องไลฟ์ของฉยงเหรินเดือดปุดๆ ทันที
[ผู้ชายคนนี้ใครอะ ทำไมถึงมาอุ้มเมียฉัน]
* สายน้ำโคลน เป็นสแลงซึ่งมีที่มาจากการใช้คำว่าสายน้ำใสมาอธิบายว่าดาราคนนั้นประวัติใสสะอาด จากนั้นก็เริ่มนำคำว่าสายน้ำโคลนมาใช้บรรยายในเชิงตลกขบขันว่าดาราที่ตัวเองชอบเป็นคนตลกมาก แปลกมาก ไม่เหมือนใครมาก
* ไป่จยาซิ่ง หรือร้อยแซ่ชาวจีน ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง
* แจกันดอกไม้ ในที่นี้เปรียบถึงคนในวงการบันเทิงที่หน้าตาดีมากๆ แต่ความสามารถไม่สัมพันธ์กับหน้าตา โดย ‘แจกันดอกไม้รุ่นพิเศษ’ ใช้กับคนที่หน้าตาดีสุดๆ ในระดับท็อป ซึ่งในบริบทนี้หมายถึงฉยงเหริน
** ดาวมฤตยู ในที่นี้หมายถึงคนที่นำเรื่องร้ายๆ หรือนำโชคไม่ดีมาสู่ผู้อื่น
บทที่ 35
ฉยงเหรินคงจะตกใจไปหน่อย ทั้งร่างถึงเกาะอยู่บนตัวเหยียนโม่ วางคางบนไหล่กว้างๆ ของเขา แถมใช้แขนกอดเพื่อนข้างห้องของตัวเองแน่น หลังได้ยินเหยียนโม่รับประกันว่าด้านหลังไม่มีอะไรอยู่แล้วถึงหยุดสั่น
“ทั้งที่ซ้อมมาตั้งขนาดนั้น ทำไมถึงยังกลัวขนาดนี้อีกนะ” ฉยงเหรินรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
“เธอทำได้ดีมากแล้ว” เหยียนโม่ยืนยัน “เธอแค่คิดว่าตัวเองกลัว ถึงตกใจวิ่งหนี ที่จริงเธอไม่รู้สึกกลัวแล้ว”
ฉยงเหรินได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นสุขุมของเขา จิตใต้สำนึกก็เชื่อไปแล้วเจ็ดส่วน “จะ…จริงเหรอ”
“อืม จริงๆ”
เหยียนโม่ลูบผมหยักศกของฉยงเหรินเบาๆ มองกล้องที่มีอยู่ทั่วทุกที่ ขมวดคิ้วนิดๆ
รายการวาไรตี้เป็นงานที่สำคัญมากสำหรับฉยงเหริน เขาไม่สามารถพาตัวคนออกไปตามใจได้
แต่ฉยงเหรินไม่ได้รีบร้อนผละออกจากอ้อมแขนเขา เขาก็เลยอนุญาตให้ตัวเองครอบครองฉยงเหรินได้ครู่หนึ่ง
เหยียนโม่ชอบท่านี้มาก ฉยงเหรินแนบอยู่กับตัวเขา น้ำหนักทั้งหมดถูกประคองไว้ด้วยมือของเขา
สำหรับเทพแล้ว ความหนักแค่นี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกทั้งหนักทั้งเบาแปลกๆ
ความรู้สึกทำให้อารมณ์ของเขาเบาหวิว ทว่าความหนักอึ้งกลับมาอยู่ที่ใจ ทำให้เหยียนโม่รู้สึกถึงความสงบแสนหายากในชีวิตอันแสนยาวนานของตน
ราวกับในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองอะไรบางอย่าง
กลิ่นหอมน่าลุ่มหลงแผ่ออกมาจากคอเสื้อ เหยียนโม่อดกลั้นเก็บความคิดชั่ววูบที่จะเข้าไปคลอเคลีย ทำเพียงลอบสูดกลิ่นอายหอมหวานนั้น
อยากกอดให้นานกว่านี้อีกหน่อย
หลังฉยงเหรินกระโจนเข้ากอดเหยียนโม่ ความกลัวก็หายวับ สติสัมปชัญญะฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ
เขาค่อยๆ ลงจากตัวเหยียนโม่ พร้อมใบหน้าแดงแจ๋
ถ้าเวลาปกติเจอผีแล้วกระโดดกอดเพื่อนข้างห้องก็ไม่อะไรหรอก แต่วันนี้มีไลฟ์สดนี่ ทำไมเขาถึงไร้สติจนกระโดดเข้าไปกอดแบบนั้นล่ะ!
“อะแฮ่ม” ฉยงเหรินพยายามขายผ้าเอาหน้ารอด “พี่ชายสุดหล่อคนนี้เป็นเพื่อนข้างห้องผม ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็มาโผล่ที่กองถ่ายรายการได้”
เหยียนโม่สบตาเขา ให้ความร่วมมือทันที “ฉันเป็นเจ้าของอาคารนี้เอง”
ฉยงเหรินหัวเราะแห้ง “ฮ่าๆๆ ดีนะที่คนที่ผมวิ่งออกมากอดเมื่อกี้เป็นคุณ ไม่อย่างนั้นน่าอายแย่เลย บังเอิญมากครับ”
[เลิกแต่งเรื่องเถอะ ฉันอุดปากร้องอย่างปวดร้าว เห็นใบหน้าของเจ้าหนูที่พยายามแต่งเรื่องสุดชีวิตฉันก็เข้าใจแล้ว มัมหมีอวยพรให้พวกเธอ]
[เจ้าหนูเพิ่งยี่สิบนะ อย่าไปเชื่อผู้ชายหน้าเหม็นง่ายๆ สิ!]
[เจ้าคนกะล่อนออกไปให้ห่างจากเมียฉันนะโว้ย เว้นแต่ว่าพวกคุณจะให้ฉันส่องตอนพวกคุณจะ XXX ด้วย]
[พ่อหนุ่มสุดหล่อคนนี้แรงเยอะมากนะ แค่มือเดียวก็อุ้มเจ้าหนูของฉันได้ เพราะฉะนั้นก็สามารถอุ้มมือเดียว แล้วจากนั้นก็…ฟาดแรงๆ]
[น้ำตาฉันไหลลงมาจากมุมปาก]
[มีอาจารย์คนไหนวาดไหม เพื่อนคนนึงของฉันบอกว่าอยากเห็นอะไรซี้ดอาห์ๆ ก่อนตาย]
ฉยงเหรินไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขามีเรือคู่ชิปใหม่อีกลำแล้ว เขาแสดงต่อไป “คุณซื้อห้องที่นี่เหรอ”
เหยียนโม่พยักหน้า “เป็นของฉันทั้งอาคารเลย”
ฉยงเหรินหายใจไม่ออกในชั่วพริบตา คุณรู้หรือเปล่าว่าเสื้อกั๊ก* ของคุณขาดรุ่งริ่งหมดแล้ว ขาดจนใส่ไม่ใส่ก็ไม่ต่างกัน อย่าให้ผมพยายามปิดความลับอยู่คนเดียวสิ!
ทว่าเหยียนโม่กลับใจเย็น ตั้งแต่ฉยงเหรินพุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขา เขาก็ไม่อยากทำเรื่องที่ต้องปิดบังอย่างไร้ความหมายอีก
“อ่า…” ฉยงเหรินฉุกนึกขึ้นได้ “สร้อยข้อมือขาดแล้ว โชคดีที่กลีบยังไม่เสียหาย”
เขาที่ไร้สร้อยข้อมือควรเอาชีวิตรอดจากสถานที่ที่มีปริมาณผีเฉลี่ย 0.1 เปอร์เซ็นต์ต่อตารางเมตรยังไง
ถึงเพื่อนข้างห้องจะบอกว่าเขาไม่กลัวแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากทดสอบความกล้าของตัวเองต่อหน้ากล้องไลฟ์สดนะ!
ถ้าเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไง แฟนๆ เขาต้องเป็นห่วงมากแน่
“วางใจเถอะ มันไม่มีวันพังหรอก” เหยียนโม่เห็นฉยงเหรินเป็นกังวลเล็กน้อยจึงขบคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “รอฉันสักครู่”
เขาเดินสุ่มเข้าประตูห้องหนึ่ง หยิบอุปกรณ์จำพวกคีมทำเครื่องประดับออกมาทำประหนึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต โดยแสร้งว่ามีอุปกรณ์พวกนี้วางอยู่ในห้องตั้งแต่แรกแล้ว “ฉันมีสร้อยเปล่าติดตัวมาเส้นหนึ่งพอดี เอาให้เธอใช้ก่อนแล้วกัน”
ด้วยเหตุนี้ผู้ชมทั้งหลายจึงได้รับชมขั้นตอนการซ่อมสร้อยข้อมือของท่านพญายมไปหนึ่งนาที
ระหว่างนั้นกล้องก็ตัดเข้ามาถ่ายโคลสอัพตามคำสั่งอย่างถูกเวลา แต่เพราะตำแหน่งอยู่ผิดที่ จึงถ่ายเห็นแค่กลีบบัวครึ่งกลีบเท่านั้น
“เรียบร้อย” เหยียนโม่พูดเสียงเบา เขาปลดตัวล็อก แล้วช่วยสวมมันให้กับฉยงเหรินเอง
ฉยงเหรินลูบๆ กลีบดอกบัวที่ห้อยพาดอยู่บนไหปลาร้า หัวใจปวดแปลบๆ เพื่อนข้างห้องดีกับเขาขนาดนี้ เขายินดีช่วยปิดความลับของอีกฝ่ายตลอดชีวิต ต่อให้เพื่อนข้างห้องโป๊ะแตก เขาก็จะพยายามทำเป็นตาบอดต่อไป
“ตั้งใจทำงานล่ะ ฉันขอตัวก่อน” เหยียนโม่กดเสียงให้เบามากๆ มีแต่ฉยงเหรินที่ได้ยิน “ฉันดูไลฟ์ตลอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว”
ฉยงเหรินพยักหน้าหงึกๆ ไม่นึกว่าเขาจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
เขานึกถึงตอนที่ตัวเองกระโจนเข้าใส่อ้อมแขนเหยียนโม่แล้วกอดเจ้าตัวแน่น เขาได้กลิ่นสตรอเบอรี่มิ้นต์อันแสนคุ้นเคยจากตัวเหยียนโม่ ทั้งๆ ที่เป็นน้ำยาซักผ้ากลิ่นเดียวกัน แต่เมื่ออยู่บนตัวเหยียนโม่แล้ว มันกลับหอมเป็นพิเศษ
เมื่อกี้เขาแอบดมไปตั้งหลายรอบแน่ะ
เหยียนโม่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันและหายไปทันที ราวกับว่ามาที่นี่เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้ฉยงเหรินเท่านั้น
เมื่อกี้ชาวเน็ตพากันเดาอย่างตื่นเต้นว่านี่จะเป็นเด็กฝึกลับหรือเปล่า หลี่ขุยก็ออกมาแก้ข่าวด้วยตัวเองว่าเหยียนโม่เป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ผ่านมาแล้วรับตัวฉยงเหรินที่ตกใจกลัวสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ในห้องเฉินสือจนแทบบินได้พอดีเฉยๆ
ทุกอย่างเป็นแค่ความบังเอิญ
[หลี่ขุยได้นิยามคำว่า ‘ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ’ ใหม่]
[เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาไม่ไว้ใจให้ภรรยามาถ่ายรายการลี้ลับ เลยตามมาดูหน้างานโดยเฉพาะ]
[ฉันว่าคุณพูดจริง]
[เจ้าหนูแต่งเข้าบ้านเศรษฐี แต่มัมหมีก็ยังโสดสนิท น้ำตาไหล]
ตั้งแต่ฉยงเหรินวิ่งออกมาจากห้องของเฉินสือ จนถึงตอนที่เหยียนโม่ออกไปจากกล้องแล้ว ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แต่ชาวเน็ตก็เอาสิ่งที่เกิดขึ้นในสิบนาทีนี้มาโพสต์กระทู้จนฮอตฮิตไปแล้วนับไม่ถ้วน
กระทู้ที่มีความนิยมสูงสุดสองกระทู้มีชื่อหัวข้อว่า
‘ไม่เข้าใจเลยถาม อันนี้คือการออกจากตู้* หรือเปล่า’
‘ถกประเด็นด้วยเหตุผล พร็อพในห้องเฉินสือเป็นสเปเชียลเอฟเฟ็กต์หรือว่ามีผีจริงๆ’
ชาวเน็ตแต่ละคนกลายเป็นผีสิงกล้องจุลทรรศน์ไปแล้ว พวกเขาต่างวิเคราะห์จากลักษณะท่าทางของฉยงเหรินตอนวิ่งหนีออกมา มีการผลักบางอย่างออกอย่างชัดเจน กล้ามเนื้อแขนและฝ่ามือของเขาเกิดการเปลี่ยนรูปร่าง
ราวกับว่าตรงนั้นยังมีคนที่มองไม่เห็นอีกสองคนยืนอยู่ และฉยงเหรินก็ทำท่านั้นเพื่อผลักพวกเขาออก
กระทู้นี้เริ่มหมักจากกลุ่มเล็กๆ ที่เว็บไซต์โต้วเจี่ยว** ก่อน จากนั้นก็ถูกแพร่ขยายกลับมาที่ช่องไลฟ์ ในช่องคอมเมนต์กับซับกระสุนมีคนไม่น้อยที่เริ่มกลัวสุดขีดหลังจากคิดพิจารณาตามกระทู้นั้น
ขณะเดียวกันเจียงอี้หมิงก็เจอยันต์แผ่นหนึ่งในห้องที่ชั้นแรก
เจียงอี้หมิงยื่นยันต์ไปหน้ากล้อง แล้วพูด “ทุกคนเห็นหรือเปล่า พอเห็นยันต์แผ่นนี้ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ ลี้ลับขึ้นมาทันทีเลย”
รายการประเภทไขปริศนาแบบนี้ไม่เคยขาดเจ้าพ่อแห่งรายละเอียดมาแต่ไหนแต่ไร ไม่นานก็มีคนเจอเวยป๋อของตัวละครในเนื้อเรื่องครบทั้งสิบคน คนที่โพสต์ภาพยันต์แผ่นนี้ไม่ใช่เจ้าอีที่อยู่ชั้นหนึ่ง แต่เป็นเฉียนเอ้อร์ที่อยู่ชั้นสอง
เวยป๋อของตัวละครเหล่านี้ยังมีอีกหลายจุดที่คุ้มค่าแก่การขุดคุ้ย
รายการดำเนินมาถึงตอนนี้ พล็อตเรื่องก็เริ่มชัดเจนขึ้นมาก เหล่าเด็กฝึกที่อยู่ในเกมไขปริศนายังคงหลงทาง แต่เหล่าผู้ชมกลับเรียบเรียงข้อมูลกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
บ้านสุสานกระดูกเป็นแค่มุกที่ผู้กำกับพูดขึ้นมาเพื่อสร้างบรรยากาศให้น่ากลัว ตึกแห่งนี้ถูกใช้เป็นบ้านสุสานกระดูกมานานจริงๆ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องราวหลังจากที่เหยื่อในเรื่องถูกบูลลี่จนเสียชีวิตเพราะชอบเพื่อนเพศเดียวกัน
วิญญาณของเหยื่อกลับร่างเจ็ดวัน ความทรงจำของเด็กที่ใช้ความรุนแรงกลั่นแกล้งทั้งหมดเกิดความสับสน พวกเขารู้ว่าตัวเองฆ่าคน แล้วก็รู้ว่าผู้ที่ตายกลับมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าใครคือผู้ตายกันแน่
ท่ามกลางความน่ากลัวแบบนี้ พวกเขาค่อยๆ ทยอยตายกันไปทีละคนๆ คนที่เคยใช้น้ำเย็นราดหัวเหยื่อถูกแช่แข็งอยู่ในตู้เย็นจนตาย คนที่เคยทำร้ายร่างกายเหยื่อก็ถูกคนรุมกระทืบตาย
และที่พิเศษที่สุดในคนเหล่านั้นก็คือผู้ชายที่เหยื่อแอบชอบ เขาฆ่าตัวตาย
เหยื่อก็คือเฉินสือที่เขียนเล่าเรื่องราวที่ตัวเองถูกกลั่นแกล้งและสภาพจิตใจของตนลงบนหนังสือคณิตศาสตร์ ซึ่งคนที่เฉินสือแอบชอบก็คือเฉียนเอ้อร์
จากเนื้อหาในไดอารี่ ความจริงแล้วเฉียนเอ้อร์เองก็ชอบเฉินสือเหมือนกัน อาจเป็นเพราะขี้ขลาดจึงไม่กล้ายอมรับ รูปยันต์บนเวยป๋อของเขามีแคปชั่นว่ายันต์คืนชีพ เมื่อคิดพิจารณาแล้วถึงรู้ว่าเป็นเขาที่ใช้ยันต์นี้ทำให้เฉินสือที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพ หลังจากฟื้นคืนชีพ เฉินสือก็เริ่มเดินสู่เส้นทางการชำระแค้น
เด็กฝึกลับต้องเป็นคนที่จับสลากได้บทของเฉินสือแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
เนื่องจากยอดคนดูรายการ ‘สปิริต 101’ ออนไลน์สูงมาก ตอนนี้ทะลุสิบล้านไปแล้ว มีคนที่สนใจเนื้อหาของรายการเยอะมาก และเมื่อมีคนเอาสรุปเนื้อเรื่องของเจ้าพ่อแห่งรายละเอียดทั้งหลายและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันมาแปะในช่องคอมเมนต์ หลายๆ คนก็รู้สึกสนอกสนใจยันต์แผ่นนั้นอย่างมาก
และพวกเขาก็รู้สึกหดหู่ใจกับชีวิตของเฉินสืออย่างยิ่ง
ฉยงเหรินเองก็เก็บรวบรวมเส้นเรื่องได้ครบแล้ว เขากำลังเดินเตร่ไปเรื่อยเหมือนกำลังค้นหาอยู่
ผีในชุดยูนิฟอร์มว่างสุดๆ เขาลอยลงมาจากชั้นบน เสนอตัวเป็นไกด์นำทางให้ฉยงเหริน
“นี่คือสํานักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ ซึ่งก็คือช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินตราเหรียญนรกกับเงินในภพภูมิที่แรก ถึงแม้จะจำกัดยอดเงิน แต่ว่าผมสามารถโอนเงินค่าครองชีพกับค่าเรียนให้น้องสาวในฐานะญาติห่างๆ ได้
ทางนี้คือธนาคารเทียนตี้สาขาเมืองหลงเฉิง ธนาคารเทียนตี้สามารถเข้าร่วมยูเนี่ยนเพย์ได้ จะขาดการติดต่อกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้เลย คนพวกนี้เป็นพวกบ้างานทั้งนั้น คุณดูความหัวล้านนั่นสิ!”
ศีรษะล้านแวววาววิบวับศีรษะหนึ่งเงยขึ้น สีหน้าไร้อารมณ์ “ล้านแล้วทำไม ฉันหัวล้านแล้วก็แกร่งขึ้นด้วย ตั้งแต่ผมร่วงหมดหัว ฉันก็ไม่ต้องพะวงว่าจะทำโอทีจนหัวล้านอีก นายไม่เข้าใจหรอก” เขามองมาทางฉยงเหรินด้วยสีหน้าอ่อนโยน “คนไร้ผมอย่างพวกเราต้องการคนมีพรสวรรค์อย่างคุณมาก คุณสนใจหรือเปล่า บางทีคุณอาจจะเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อคนหัวล้านได้นะ ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าหัวล้านต่างหากถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตอันยอดเยี่ยม”
ฉยงเหรินเดินหนีออกมาอย่างแน่วแน่ จุดเริ่มต้นแบบนี้เก็บไว้ให้คนอื่นดีกว่า ตอนนี้เขาพึงพอใจกับผมหยักศกของตัวเองมากๆ!
แต่ว่าผีในชุดยูนิฟอร์มตนนี้ว่างจริงๆ เลย สถานที่ที่ทุกคนในยมโลกต่างทำงานกันอย่างบ้าคลั่งทำไมถึงได้มีพนักงานที่ลอยชายไปมาแบบนี้อยู่ด้วยล่ะ
คงเพราะความสงสัยบนใบหน้าเขาปรากฏชัดเกินไป ผีชุดยูนิฟอร์มจึงกล่าวอย่างเริงร่า “ผมเกษียณแล้วน่ะ พรุ่งนี้ก็จะไปเกิดใหม่แล้ว ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอคุณแล้ว ได้ยินว่าคุณมาก็เลยรีบบึ่งมาดู อย่าเพิ่งรำคาญกันเลยนะ”
รำคาญน่ะไม่รำคาญหรอก แค่รู้สึกแปลกๆ เฉยๆ
ผีชุดยูนิฟอร์มใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ผมน่ะนะ ชีวิตไม่ดี โดนฆ่าตอนขับรถรับส่งรอบดึก ต่อให้ท่านพญายมบอกว่าชาติหน้าผมจะได้เกิดมามีวาสนาดี แต่ในใจก็รู้สึกเคียดแค้นอยู่ดี คุณว่าไหมล่ะ ผมใช้ชีวิตของผมอยู่ดีๆ ก็ตายซะอย่างงั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องขอบคุณคุณมาก”
ฉยงเหรินเบิกตากว้าง “?”
ผีชุดยูนิฟอร์มเผยสีหน้าหวนรำลึก
“ที่จู่ๆ คุณก็มาปรากฏตัวในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของยมโลก ผมรู้สึกสนใจใคร่รู้มากก็เลยติดตามคุณ เข้าไปส่องเวยป๋อคุณ ฟังเพลงของคุณทุกวัน ไม่รู้ทำไมใจผมถึงได้เบาสบายขึ้นมาก รู้สึกเหมือนว่าความพยาบาทในใจลดน้อยลงไปมาก ความกังวลใจว่าชาติหน้าจะถูกฆ่าตายกะทันหันอีกจนไม่กล้าไปเกิดใหม่สักทีเลยทำงานใช้ชีวิตอยู่ในนรกไปวันๆ ก็หายไป ตอนนี้น้องสาวผมแต่งงานแล้ว ผมก็คิดตกแล้ว ผมว่าผมรีบๆ ไปเกิดใหม่ดีกว่า
อย่าทำหน้าเศร้าขนาดนั้นซี่ ตอนนี้ผมมีความสุขมาก ไม่แน่ว่าชาติหน้าผมอาจจะเป็นแฟนคลับตัวน้อยของคุณอีกก็ได้ ตอนนั้นผมจะได้เป็นแฟนคลับตัวน้อยของคุณจริงๆ สักที”
รายการค่อยๆ นับเวลาถอยหลัง
เจียงอี้หมิงดวงดีมาก ถึงจะไขรหัสหีบเบาะแสไม่ได้ ทว่าเป็นเด็กฝึกที่รวบรวมเส้นเรื่องได้ครบก่อนเป็นคนแรก
เขาถือยันต์กับกล่องติดรหัส แล้วต่อสายยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือนอกสนามอย่างระริกระรี้
[พูดแบบไม่ปิดบังเลยนะ ฉันรอดูภาพนี้มานานมาก]
[เหมือนกัน]
เมนเทอร์รับสายเร็วมาก เสียงน่าฟังลอดออกมาจากปลายสาย “ฮัลโหล ต้องการความช่วยเหลืออะไรครับ”
เจียงอี้หมิงรู้สึกเหมือนหูชาหนึบ หน้าแดงร้อนอย่างคาดไม่ถึง หัวใจเต้นตูมตามไปหลายวินาทีถึงค่อยมารู้สึกตัวทีหลังว่า
เสียงนี้โคตรคล้ายกับเสียงของฉยงเหรินเลยนี่!
สาบานจากใจเลยว่าเจียงอี้หมิงที่วิเคราะห์ไม่ต่ำกว่าสามรอบว่าฉยงเหรินเป็นเมนเทอร์หรือเปล่าชาเหน็บไปหมดทั้งตัว เขาแทบอยากจะขุดหลุมโคลนแล้วฝังตัวเองเข้าไปในนั้น เทปูนกลบแล้วหายไปจากโลกอันแสนน่ากลัวนี้ตลอดกาล
เขากล่าวตะกุกตะกัก “ผะ…ผมอยากเชิญเมนเทอร์มาช่วยเปิดหีบคับ”
พูดจบก็ชักกังวลว่าฉยงเหรินจะปฏิเสธเขาหรือเปล่า
“โอเค รอสักครู่”
น้ำเสียงฉยงเหรินไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่น้อย เป็นงานเป็นการสุดๆ ทำให้เจียงอี้หมิงจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมารางๆ
เขาเผลอล่วงเกินฉยงเหรินไปตั้งหลายครั้ง ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ
เพราะรู้สึกดูแคลนเขางั้นเหรอ
ผ่านไปครู่หนึ่งฉยงเหรินก็มาถึง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง “โอกาสขอความช่วยเหลือมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คุณจะเปิดใบไหน”
เจียงอี้หมิงลังเลมาก สองกล่องนี้กล่องหนึ่งมีรอยแกะสลักที่คล้ายคลึงกับยันต์คืนชีพ อีกกล่องหนึ่งก็มีคำใบ้บางอย่างที่ข้อมูลคำใบ้ใกล้เคียงกับตัวเขามาก
ฉยงเหรินชำเลืองมองเวลา แล้วกล่าว “กรุณาตัดสินใจโดยเร็วที่สุดครับ”
ตอนแรกเจียงอี้หมิงก็หงุดหงิดใจอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดเขา ก็เอ่ยอย่างมีน้ำโห “ขอคิดหน่อยไม่ได้หรือไง”
ฉยงเหรินเหลือบมองเวลาบนโทรศัพท์ ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับยิ้มบางๆ “ได้สิ”
ขณะนั้นด้านบนช่องไลฟ์ของเจียงอี้หมิงก็แสดงเวลาคงเหลือ ยังเหลืออีกสามสิบวินาที
เจียงอี้หมิงเห็นเขายิ้มก็เหม่อลอย เหม่ออยู่หลายวินาทีถึงกลับมาคิดต่อได้
ควรเลือกอันไหนดีล่ะ
เจียงอี้หมิงละล้าละลัง หยิบเอายันต์ออกมาเทียบกับลายบนกล่อง ไม่แน่ว่าบนยันต์อาจจะมีข้อมูลอะไรซ่อนอยู่
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ลังเลอยู่นั้น เวลาของเจียงอี้หมิงก็ได้หมดลง
เสียงวิทยุกระจายเสียงดังขึ้นเป็นครั้งแรก “เด็กฝึกเจียงอี้หมิง เด็กฝึกอูฮว่า ได้ใช้เวลาหมดแล้ว กรุณาออกจากสถานที่แข่งขัน”
“ว่าไงนะ” เจียงอี้หมิงอ้าปากค้าง จู่ๆ เขาก็ฉุกนึกถึงคำเตือนของฉยงเหรินเมื่อกี้ “ในเมื่อคุณรู้ว่าเวลาของผมจะหมดแล้ว ทำไมไม่พูดตรงๆ ล่ะ”
ฉยงเหรินยังคงรักษารอยยิ้ม “ก็เตือนไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ” จะว่าไปเขาก็รู้สึกประหลาดใจจริงๆ นั่นแหละ เขาจึงถามเจียงอี้หมิง “ทั้งที่คุณโกงแล้ว ไม่เคยคิดบ้างเหรอว่าคนที่ไม่ผ่านการทดสอบจะเป็นตัวเอง”
เจียงอี้หมิงเพิ่งรู้ว่าเนื้อหาของการทดสอบคืออะไร เขาวิงเวียนศีรษะทันที ผิวบนใบหน้าร้อนฉ่าๆ ทั้งร้อนลวกทั้งเจ็บแสบ
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ว่ารอยยิ้มของฉยงเหรินเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเขา
ตอนนี้เขาคิดแต่อยากออกไปจากตึกนี้ให้เร็วๆ ระหว่างกำลังจะเดินออก ก็เห็นเงาควันดำๆ ลอยออกมาจากยันต์เล็กน้อย เขานึกว่าตัวเองตาฝาด แต่เมื่อมองดีๆ เงาควันดำๆ ที่สั่นวูบไหวไปมาจู่ๆ ก็ใหญ่ขึ้น
นี่มันอะไรกันเนี่ย
ต่างจากเจ้าพนักงานในสถานทูตที่ล่องหนจนคนธรรมดาไม่มีทางมองเห็น เงาสีดำนี้ปรากฏอยู่ในกล้องอย่างชัดเจน
คนที่คอยควบคุมกล้องรีบถ่ายตามไปด้วยสัญชาตญาณความกระหายภาพที่ประหลาดนี้ ด้วยเหตุนี้ยันต์และเงาดำบนนั้นจึงปรากฏอยู่บนหน้าจออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
[นี่ฉันตาฝาดหรือเปล่า ทำไมฉันเหมือนเห็นอะไรดำๆ ในหน้าจอด้วย]
[คุณไม่ได้ตาฝาด อันนี้ก็สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ของรายการอีกแล้วเหรอ]
[พวกคุณยังไม่เคยอ่านกระทู้ขนหัวลุกนั่นใช่ไหม ในกระทู้กำลังถกกันว่าในตึกนั้นมีผีอยู่จริงๆ หรือเปล่า]
ชั่ววินาทีที่เงาดำได้รับความสนใจจากทุกคน มันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาก
เหยียนโม่ที่กำลังสำรวจความงอนของขนตาฉยงเหรินผ่านไลฟ์อย่างขะมักเขม้นอยู่ๆ หางตาก็ชำเลืองไปเห็นเงาดำจากมุมหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังห้องที่ใกล้ที่สุด ก้าวขายาวๆ สามก้าวไปยังข้างกายเจียงอี้หมิง บังตัวฉยงเหรินไว้ด้านหลัง คว้ายันต์หมับ แล้วเผามันให้เป็นเถ้าถ่าน
ทว่าเงาดำกลับใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ถึงยันต์ถูกทำลายไป ก็ไม่ส่งผลอะไรกับมันเลย
เหยียนโม่มุ่นคิ้ว ประหลาดมาก วิธีเขียนยันต์แบบนี้ไม่มีคนใช้มาอย่างน้อยหนึ่งพันปีแล้ว ไม่รู้ว่าทีมงานกองถ่ายไปหาของแบบนี้มาจากไหน
แม้ในกลุ่มเงาดำนั้นจะมีความแค้นและไอชั่วร้าย ทว่ากลับไม่ใช่วิญญาณ หรือพวกดวงจิตอาฆาตเลย แล้วก็ไม่ใช่ปีศาจด้วย มันรู้โดยสัญชาตญาณว่าเหยียนโม่แข็งแกร่งขนาดไหน จึงมุ่งที่จะหนีออกไป แต่จะหนีออกจากเขตแดนที่เหยียนโม่วาดไว้ได้อย่างไร ทำได้แค่พุ่งชนซ้ายชนขวาอยู่ข้างในนั้น
เขาหันมาร้องโหยหวนกับฉยงเหรินและเหยียนโม่ไม่หยุด เพียงแต่ไม่มีเสียงออกมาจากตัว
เจียงอี้หมิงตกใจกลัวจนเป็นลม ฉยงเหรินเขย่งเท้า ก่ายคางกับไหล่เหยียนโม่ ชะเง้อหน้ามอง “มันคืออะไรเหรอ”
เหยียนโม่ส่ายหน้า เป็นการบอกว่ายังไม่แน่ใจ
เขาเพ่งดวงจิต เงาดำตรงหน้าก็ถูกทำลายสลายหายไปกลายเป็นไอหมอกสีดำ แต่เพียงชั่วครู่มันก็หวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เหล่าผู้ชมนิ่งอึ้ง คนในช่องไลฟ์ของคนอื่นก็พรูกันเข้ามาดูช่องไลฟ์ของฉยงเหริน
เงาดำที่พิสูจน์ไม่ได้ทำให้ทุกคนเหลอหลากันไปหมด หรือว่าสุดหล่อที่ชื่อเหยียนโม่คนนี้จะไม่ใช่แค่คนที่ผ่านมา แต่เป็นตัวละครจำพวกนักสืบในหนังสยองขวัญที่รับบทเป็นปรมาจารย์ชั้นฟ้าในพล็อตเรื่องนี้
คนบางกลุ่มที่อ่านกระทู้วิเคราะห์ต่างๆ นานารู้สึกว่าอาคารนี้มีผีสิงร้อยเปอร์เซ็นต์ เงาดำนี้ผุดออกมาจากยันต์คืนชีพในเนื้อเรื่องนี่แปลว่าอะไร ก็แปลว่าพล็อตเรื่องนี้ต้องเอาเรื่องจริงมาใช้แน่นอน ในยันต์นั่นคือวิญญาณของเฉินสือ!
เฉินสือกลับมาแล้ว!
หลี่ขุยงงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
ที่นี่เป็นที่ที่เขาสำรวจมาดีแล้วนะว่าไม่เคยเกิดเรื่องลี้ลับใดๆ มาก่อน แล้วก็ไม่เคยมีคนกระโดดตึกด้วย เขาถึงได้ตัดสินใจเลือกสถานที่นี้!
สถานที่มงคลแบบนี้มีอยู่ที่เดียวในหลงเฉิงเท่านั้น ทำไมพอเขามาถ่ายรายการ ก็เกิดเรื่องลี้ลับขึ้นทันทีเลยล่ะ
เขามองเงาดำลอยไปมา กดต่อสายหาฉยงเหริน “ทางนั้นเกิดอะไรขึ้น”
ฉยงเหรินปิดไมค์ไปนานแล้ว เขาคำรามได้อย่างไม่ต้องกังวล “ยังถามผมอีกเหรอ จะทำพร็อพก็ทำไปสิ เอายันต์ของจริงมาใช้เพื่อ?”
หลี่ขุยรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ความ “ฉันกลัวจะไปสร้างของจริงออกมาน่ะสิ ยันต์นี่ฉันไม่ได้วาดเองด้วยซ้ำ แต่ไปเซฟจากเน็ตแล้วพริ้นต์มาต่างหาก ฉันเห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยถือโอกาสโยนให้ทีมเขียนบท ให้เธอได้แสดงความสามารถ ไม่รู้จริงๆ ว่าในนั้นจะมีผีซ่อนอยู่”
ฉยงเหรินสูดหายใจเข้าลึก “คุณมันยอดอัจฉริยะจริงๆ! ส่งรูปมาให้ผมด้วย” หลังจากเขาได้รับรูป ก็หันไปถามเหยียนโม่ “ยันต์นี้มันเอาไว้ใช้ทำอะไรเหรอ”
เหยียนโม่ส่ายหน้า “โครงสร้างยันต์ในลัทธิเต๋าซับซ้อนมาก และมีอักขระศักดิ์สิทธิ์กับลวดลายที่สร้างขึ้นเองมากมาย นอกจากประเภทที่เห็นได้บ่อยๆ ยันต์พวกนี้จะจำแนกยากมาก”
“แล้วทำไงดีล่ะครับ” มีเหยียนโม่อยู่ ต้องไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยแน่ แต่ถ้าไม่รีบแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านี้ให้ได้ รายการจะดำเนินต่อไปได้ยังไง
ฉยงเหรินที่มีใจรักงานเต็มร้อยร้อนอกร้อนใจ
ตอนนี้กล้องของช่องไลฟ์ทั้งของเขากับของเจียงอี้หมิงล้วนถ่ายจ่อเจียงอี้หมิงที่เป็นลมล้มพับ แจ้งกับคนนอกว่าเกิดความขัดข้องทางเทคนิค สัญญาณขัดข้อง
เงาดำพลันส่งเสียงอ่อนระโหยโรยแรงออกมาราวกับทารกที่เพิ่งพูดอ้อแอ้เป็น ไม่นานเขาก็พูดประโยคแรกออกมาได้ครบประโยค “ฉัน…จะ…ฆ่าพวกแก”
พลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดทำให้เงาดำรู้สึกมั่นใจอย่างมาก เขาคิดออกแล้วว่าจะถลกเนื้อหนังสองคนตรงหน้านี้อย่างไร
น่าเสียดายที่ฉยงเหรินไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการข่มขู่แบบเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรใหม่เลย เหยียนโม่กำมือหนึ่งที กดปิดเสียงเงาดำนั่นไป
เงาดำโกรธจัดทันทีเพราะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ มันถูกคุมขังอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น ร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่คนสองคนตรงหน้ามันกลับไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
เกินไปแล้วนะ ช่วยเคารพตัวร้ายกันหน่อยได้หรือเปล่า!
ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเงาดำที่เข้าใจถึงบทบาทที่อธิบายไม่ได้ของตัวเองอย่างดีถูกลดความน่าเชื่อถือลงอย่างแรง
“นึกออกแล้ว!” จู่ๆ ฉยงเหรินก็ผุดไอเดีย
ในเมื่อเซฟมาจากในเน็ตได้ งั้นจะหาที่มาของรูปควรใช้วิธีอะไรถึงจะสะดวกที่สุดล่ะ ก็ต้องเว็บค้นรูปออนไลน์น่ะสิ!
ฉยงเหรินอัพโหลดรูปภาพให้เว็บประมวลผล ไม่นานก็เจอรูปต้นทางอยู่บนเว็บไซต์ที่ชื่อว่า ‘เว็บไซต์แหล่งเรียนรู้สามพันอาคมเอาชีวิตคุณ’ แล้วยังมีอธิบายรายละเอียดว่าสรรพคุณเป็นยังไงด้วย
ฉยงเหรินกวาดสายตาอ่าน แล้วเอ่ย “มันคือยันต์ฮ่วนเจิน สามารถก่อร่างความคิดให้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงได้ ตำนานเล่าว่ายุคราชวงศ์ฮั่น ปีที่ข้าวยากหมากแพง ปรมาจารย์ชั้นฟ้าจางเต้าหลิง* เคยใช้ยันต์นี้ปลดปล่อยความทุกข์ยากของประชาชนผู้แร้นแค้น”
ฉยงเหรินเข้าใจทันทีว่าเงาดำนี่คืออะไรกันแน่ เขาโทรหาหลี่ขุย “ยันต์นี้สามารถเปลี่ยนสิ่งที่คิดให้กลายเป็นจริงได้ มีคนดูไลฟ์เยอะขนาดนี้ อาจจะมีคนคิดว่าตึกนี่มีผีจริงๆ เมื่อกี้พวกเขาก็เพิ่งเห็นยันต์ฮ่วนเจินพร้อมกันด้วย ก็เลยกระตุ้นให้เกิดเงาดำนี้ขึ้นมา”
ฉยงเหรินพูดแล้วเบนสายตาไป ก่อนจะพบว่าเงาดำเริ่มค่อยๆ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนขึ้นมารางๆ ถึงจะยังเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่เสื้อผ้าบนตัวของเขาก็คล้ายคลึงกับชุดนักเรียนในรูปถ่ายรวมสิบคนมาก
“รีบปิดกล้อง! พวกเขานึกว่าเงาดำพวกนี้คือเฉินสือ”
เฉินสือในพล็อตเป็นวิญญาณร้ายที่เต็มไปด้วยใจประทุษร้าย นี่เป็นการสร้างฆาตกรออนไลน์! แล้วยังมาเป็นเวอร์ชั่นสยองขวัญเหนือธรรมชาติอีก
หลี่ขุยตอบตกลงทันที
เหยียนโม่กลับกล่าว “ไม่ได้ เธอต้องออกกล้องตามปกติ ถ้าไลฟ์ของเธอถูกปิด พวกเขาก็ยังเชื่อว่ามีผีอยู่ที่นี่จริงๆ”
ฉยงเหริน “งั้นควรทำยังไงดีล่ะ”
เสียงของเหยียนโม่สงบนิ่งและใจเย็น “ถ้าถูกกระตุ้นจากความคิดได้ ก็ถูกทำลายจากความคิดได้เหมือนกัน ตราบใดที่ใช้สิ่งที่ดึงดูดความสนใจผู้ชมได้มาหันเหความสนใจออกจากมัน มันก็จะหายไปเอง”
หลังจากไลฟ์ของฉยงเหรินกับเจียงอี้หมิงขึ้นว่าเกิดความขัดข้องทางเทคนิคไปหลายนาที เหล่าผู้ชมที่เริ่มกังวลว่าพวกเขาสองคนจะถูกเฉินสือจัดการหรือเปล่าในที่สุดก็ได้เห็นใบหน้าฉยงเหริน
คอมเมนต์ร้องไห้ฟูมฟายโหยหวนต่างๆ นานาถูกสาดเต็มหน้าจอในชั่วพริบตา ไม่ใช่แค่แฟนคลับของฉยงเหริน คนอื่นๆ ที่เริ่มรู้สึกประทับใจฉยงเหรินเพราะรายการนี้ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเขามากเช่นกัน
ถึงคนส่วนมากจะไม่เชื่อว่ามีผี ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้สติของพวกเขาหลุดลอย และซับกระสุนกับสังคมออนไลน์ต่างถูกเร่งให้เกิดปฏิกิริยาภายใต้ความตื่นตะหนก ราวกับเกิดโรคระบาด
กล้องถูกตัดไปที่ฉยงเหรินกับเหยียนโม่ เงาดำนั่นเหมือนเป็นแบ็กกราวนด์เบลอๆ
ผู้คนกลั้นหายใจอย่างจดจ่อ มีความรู้สึกหวาดกลัวด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แล้วก็ได้ยินเสียงเหยียนโม่พูด
“ฉยงเหริน” เหยียนโม่หยุดครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ “ความจริงแล้วฉันมีบางอย่างในใจที่อยากบอกเธอมาโดยตลอด”
ฉยงเหรินเบิกตากว้าง เขาไม่ได้นัดบทพูดกับเพื่อนข้างห้องไว้ แล้วตอนนี้เพื่อนบ้านของเขายังสีหน้าเคร่งขรึมขนาดนี้อีก คงไม่ได้อยากเปิดเผยตัวกลางไลฟ์หรอกนะ
เพื่อนข้างห้องครับ ตั้งสติหน่อย คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นพญายมราชแค่เพราะอยากอำพรางเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ไม่ได้นะ แล้วทุกคนก็ไม่มีทางเชื่อแน่!
ทว่าตอนนี้หน้าจอเต็มไปด้วยคอมเมนต์ Yooooo~
[เชี่ยยย ฉันนึกว่าฉันมาดูเหตุการณ์ลุ้นระทึกซะอีก ทำไมถึงกลายเป็นเหตุการณ์ออกจากตู้พร้อมขอแต่งงานได้ล่ะเนี่ย]
[ลูกสาวต้องใจเย็น ห้ามขึ้นเรือผู้ชายหน้าเหม็นง่ายๆ นะ มัมหมีใจจะขาดแล้ว]
เงาดำที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างกำลังลำพองใจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพลังของตัวเองพลันไหลหายไป คล้ายว่าพวกคนที่เผลอจินตนาการว่าตัวตนของเขามีจริงตอนนี้เริ่มไม่สนใจเขาแล้ว
เงาดำคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวท่ามกลางกรงไร้รูปร่าง แต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลย
ทำไมล่ะ ฉันเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดในเรื่องเลยนะ ทำไมพวกเขาไม่สนใจฉัน!
เหล่าผู้ชมเห็นเหยียนโม่เริ่มล้วงกระเป๋ากางเกง ก็ยิ่งพากันสูดลมหายใจเย็นเฉียบ
[เชี่ย ฉากขอแต่งงานจริงๆ ด้วย!]
[ทิศทางการดำเนินรายการแบบนี้ฉันชักไม่เข้าใจแล้ว]
[รายการของหลี่ขุยปกติเป็นงี้เหรอ คนที่เพิ่งเคยดูครั้งแรกถึงกับเหม่อ ฉันเป็นใครฉันอยู่ที่ไหน]
แล้วเหยียนโม่ก็ล้วงเอา
มือถือ! เครื่องหนึ่ง! ออกมา!
ฉยงเหริน “…”
เหยียนโม่เปิดหน้าจอมือถือ เปิดรูปให้ฉยงเหรินดู ขณะนั้นกล้องก็ซูมเข้าไป แล้วพบว่าเป็นรูปบ้านหลังใหญ่โตหลังหนึ่ง
ฉยงเหรินชักไม่เข้าใจแล้วว่าเพื่อนข้างห้องต้องการจะทำอะไร
เห็นแค่ว่าหูของเหยียนโม่จู่ๆ ก็แดงขึ้นมาก สีหน้าดูตึงเครียดเล็กน้อย เมื่อเห็นเหยียนโม่มีอาการแบบนี้ ไม่รู้ทำไมฉยงเหรินถึงรู้สึกตึงเครียดไปด้วย
เหยียนโม่เงยหน้าขึ้น จ้องเขาอย่างตั้งใจแล้วกล่าว
“บ้านหลังนี้มีทางเข้าลานบ้านห้าทาง ตั้งอยู่ในเมืองหลงเฉิง มีพื้นที่หนึ่งพันแปดร้อยตารางเมตร ฉันได้ยินมาว่าเธออยากปลูกดอกบัวแดง ตอนเลือกบ้านเลยกำชับเป็นพิเศษว่าต้องเป็นบ้านที่มีสระบัว ถึงพื้นที่สิ่งปลูกสร้างจะเล็กไปหน่อย แต่ฉันหาซื้อหลังใหญ่กว่านี้ไม่ได้แล้ว
ฉันให้บ้านหลังนี้กับเธอ ให้ฉัน…อยู่ในบ้านของเธอได้หรือเปล่า”
ช่องไลฟ์สลับหน้าไปเป็นภาพถ่ายทางอากาศพร้อมรายละเอียดและการตกแต่งของบ้านหลังนี้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ถ้าบอกว่าการอธิบายของเหยียนโม่เป็นแค่ตัวอักษร พอตอนนี้ได้มาเห็นภาพของจริง คำอธิบายที่ยากจะจินตนาการนี้ก็สมจริงขึ้นมา
พื้นที่ที่กว้างจนน่ากลัวนี่ ลานบ้านที่ออกแบบผสมผสานระหว่างยุคปัจจุบันและยุคโบราณนี่ พร้อมทางเข้าลานบ้านจากแต่ละฝั่ง สระบัวขนาดใหญ่โตมโหฬารนี่ แล้วในสระบัวยังมีศาลานี่อีก!
ในลานบ้านยังมีสวนดอกไม้ด้วย
ไม่ใช่ว่ามีแต่ในละครย้อนยุคเท่านั้นเหรอที่จะมีบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้
บ้านแบบนี้ไม่นึกว่าจะตั้งอยู่ในที่ดินทำเลทองอย่างเมืองหลงเฉิง เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นอะไร พระราชวังเหรอ
แม่งเอ๊ย ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกันหมด ทำไม!!!
ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าในตึกมีผีอยู่จริงก็ตาม ขณะนี้ทุกคนล้วนช็อกกับความอวดรวยนี้จนพูดไม่ออก
ผู้ชมที่ถูกหันเหความสนใจไปโดยสมบูรณ์ ความรู้สึกของพวกเขาเหลือเพียง…
[นี่มัน ‘หมา’ เศรษฐีชัดๆ…]
[โอ๊ย ฉันอิจๆๆ]
[ฉยงเหริน แต่งเลยเถอะ ถ้าไม่แต่งฉันแต่งเอง]
[ขออยู่กินด้วยเหมือนสามีภรรยาโดยการพูดว่าขออยู่ในบ้านของคุณได้หรือเปล่า หมอนี่มันร้ายจริงๆ ฮือออ ทำไมฉันไม่เจอแฟนแบบนี้บ้างนะ]
[มองวิลล่าขนาดสองร้อยหกสิบตารางเมตรของตัวเองแล้วก็ร้องไห้ออกเสียง]
เงาดำที่สูญเสียความสนใจจากผู้ชมไปจึงมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เขาคำรามอย่างบ้าคลั่งด้วยความโศกเศร้า
ทำไม เพราะอะไรกันแน่
นี่ฉันไม่ใช่ตัวร้ายที่ดึงดูดทุกสายตาได้ทันทีที่เปิดตัวแล้วเหรอ
* เสื้อกั๊ก หมายถึงแอ็กเคานต์หลุมบนอินเตอร์เน็ตที่สร้างโดยไม่เปิดเผยตัวตน
* ออกจากตู้ เป็นสแลง หมายถึงการเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศของตน
** โต้วเจี่ยว เป็นการล้อไปกับเว็บไซต์โต้วป้าน แพลตฟอร์มสำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนและยังเป็นแหล่งรวมรีวิวหนังสือ ภาพยนตร์ หรือสื่อบันเทิงที่เชื่อถือได้
* จางเต้าหลิง คือปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋านิกายเจิ้งอี
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.