X
    Categories: everYทดลองอ่านผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 53-54 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3

ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การลักพาตัว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด การติดสารเสพติด และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

 

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 53

 

เงาดำเริ่มจางลง ทั้งๆ ที่ไม่มีดวงตา แต่กลับยังคงทำให้เฉินรุ่ยเจ๋อรู้สึกว่ามันกำลังจับจ้องเขาอยู่ในอนธการ

เขานั่งอยู่บนวีลแชร์ไฟฟ้า ทั้งห้องนี้ล้วนถูกปรับปรุงให้ไร้อุปสรรคในการใช้วีลแชร์ เป็นการบอกใบ้ว่าในความฝันเขาคือคนที่ไม่สามารถเดินเหินได้สะดวก

เมื่อตระหนักได้ว่าตนนั่งอยู่บนวีลแชร์ เฉินรุ่ยเจ๋อก็คิดอยากจะหนี ถ้าได้ซิ่งวีลแชร์ไฟฟ้าไม่แน่ว่าอาจจะเร็วกว่าขาของเขาก็ได้ แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายด้วยตัวเองได้เลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน จะกลัวขนาดไหนก็ไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว

เฉินรุ่ยเจ๋อรู้ว่าหากมองเงาดำนั่นจะต้องอันตรายมากๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่กล้าหันไป และไม่อยากหันไป แต่กลับมีพลังอย่างหนึ่งบีบให้เขาต้องหันกลับไปมอง

ในความฝันเขากลัวมากๆ ในชีวิตจริงเขาก็ไม่เคยกลัวขนาดนี้มาก่อน เฉินรุ่ยเจ๋อหันไปช้าๆ ก็เห็นเงาดำคล้ายจะขยับใกล้เข้ามาเล็กน้อย

มันขยับเคลื่อนย้ายอย่างอ่อนแอยิ่ง เฉินรุ่ยเจ๋อถึงกับนึกสงสัยอยู่ในความฝันว่าเงาดำที่เข้าใกล้เขาเข้ามานั้นคือความฝัน ภาพหลอน หรือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกันแน่

เช้าวันนั้นหลังจากตื่นขึ้นเฉินรุ่ยเจ๋อรู้สึกอ่อนล้าสุดๆ

แม้ปกติช่วงถ่ายหนังจะเหนื่อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็เหนื่อยกันคนละแบบ

หลังจากวันนั้นทุกๆ คืนเขาก็จะฝันถึงแต่เรื่องนี้

เขามักจะค่อยๆ หันกลับไปท่ามกลางความกลัวอย่างสุดซึ้ง และเงาดำก็จะเข้ามาใกล้ทีละนิดๆ เสมอ

จนเขาฝันถึงเรื่องนี้ติดกันเจ็ดแปดวันก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเงาดำนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาราวกับเหลือเพียงครึ่งก้าวแล้ว

บางครั้งเขาต้องถ่ายทำตอนกลางคืน เขาตื่นตัวตลอดทั้งคืน เดิมคิดว่าวิธีนี้จะทำให้เขาหนีจากเงาดำนั้นได้ แต่เมื่อนอนหลับตอนเช้าก็ยังคงฝันเห็นเงาดำอยู่ดี

ขณะเฉินรุ่ยเจ๋อเล่าเขาตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด คอยเช็ดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากไม่หยุดหย่อน

ฉยงเหรินยื่นชานมจ่อปากอีกฝ่าย “ดื่มอะไรร้อนๆ ปลอบขวัญสักหน่อยสิครับ”

เฉินรุ่ยเจ๋อลังเลเล็กน้อย ฉยงเหรินยัดหลอดเข้าปากเขา “ตอนนี้คุณน่าจะผอมกว่าตัวละครที่เล่นแล้วนะครับ ดื่มเถอะ”

ต้นแบบเฉินเถาที่เฉินรุ่ยเจ๋อแสดงก็คือซ่งตี้หวัง ซ่งตี้หวังเขาผอมแห้งเหมือนกระดูกเดินได้แบบนี้ที่ไหน

“เสี่ยวเมิ่ง เสี่ยวหวัง พวกเธอคิดว่าไง”

เมิ่งชิงเสวียนกับหวังป๋อตวนมาจัดการกับสถานการณ์ด้วยตัวเองไม่บ่อยนัก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีประสบการณ์เคยติดตามอาจารย์มาตั้งแต่ยังเล็ก ประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง ทั้งคู่สบตากัน เมิ่งชิงเสวียนหันไปมองฉยงเหริน “อาจารย์ฉยงครับ พูดตรงๆ เลยได้มั้ยครับ”

ฉยงเหรินพยักหน้า “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย ไม่ต้องปิดบังรุ่ยเจ๋อ”

เมิ่งชิงเสวียนกล่าว “คุณเฉินครับ คุณสะดวกถอดเสื้อออกหรือเปล่า พวกเราอยากดูหลังของคุณครับ”

“ทำไมต้องดูหลังฉันด้วยล่ะ” เฉินรุ่ยเจ๋อไม่ได้สงสัยคนที่ฉยงเหรินพามา เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ “ดูจากหลังได้เหรอว่าเจอผีหรือเปล่า”

เมิ่งชิงเสวียน “คุณไม่ได้เจอผีครับ แต่ถูกคนเล่นของใส่”

“ใครจะมาเล่นของใส่ฉัน” เฉินรุ่ยเจ๋อไม่ค่อยเชื่อ “ถึงฉันจะชอบพูดเล่นว่ามีคู่แข่งอยู่ก็เถอะ แต่ฉันว่าคนประเภทเหมียวเจ๋อเหยียนคงไม่ถึงกับต้องการชีวิตฉันหรอก”

ฉยงเหรินเข้าใจความรู้สึกของเฉินรุ่ยเจ๋อ การได้รู้ว่ามีคนตัวเป็นๆ อยากให้ตัวเองตาย กับการถูกผีตามรังควานแบบไม่รู้ที่มาที่ไป ระหว่างสองอย่างนี้ อย่างแรกน่ากลัวกว่ามาก และยังยากจะยอมรับด้วย

เขาถามด้วยความใจเย็น “จะยังไงก็เถอะครับ ถ้าเจอผีหลอก เกินครึ่งก็จะมีจุดพลิกสถานการณ์อยู่ทั้งนั้น ช่วงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า อย่างเช่นไปสถานที่ที่มีหลุมฝังศพ ซื้อวัตถุโบราณที่มีที่มาไม่ชัดเจน แจกันราชวงศ์หมิงชิง หรือไปสวมชุดงิ้วเก่าของคนอื่นตอนถ่ายทำอะไรแบบนี้น่ะครับ”

เฉินรุ่ยเจ๋อตั้งใจครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าย่ำแย่

วันๆ เขาเอาแต่ยุ่งกับการถ่ายทำ ได้นอนสักครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกขอบคุณฟ้าดินแล้ว จะมีอารมณ์ไปเล่นโบราณวัตถุที่ไหนล่ะ แจกันราชวงศ์หมิงชิงอะไรนั่น ทั้งเดือนนี้เขายังไม่ได้ออกไปจากกองเลย ชุดงิ้วทั้งหมดของกองถ่ายก็เป็นของใหม่ที่ทำให้เหมือนเก่าอีกที

แถมชุดงิ้วของเฉินรุ่ยเจ๋อยังมีเยอะมาก แต่รูปแบบไม่ได้เยอะนัก ชุดแบบเดียวกันต้องทำไว้หลายๆ ชุด แล้วทำเอฟเฟ็กต์ความเสียหายแบบต่างๆ ตามเรื่องราวในบท

แทบไม่มีทางไปสวมชุดที่มีประวัติได้เลย

“มีคนเล่นของใส่ฉันจริงๆ เหรอ” เฉินรุ่ยเจ๋อแม้แต่ลมหายใจก็ยังสั่นเทา

ฉยงเหรินเอ่ยเสียงเนิบช้าอ่อนโยน สามารถปลอบใจคนได้เป็นอย่างดี “ให้เสี่ยวหวังกับเสี่ยวเมิ่งดูหลังก่อนเถอะ”

คราวนี้เฉินรุ่ยเจ๋อไม่รอช้าอีกต่อไป เลิกเสื้อขึ้นมาด้วยตัวเอง

เขาผอมจนเห็นกระดูกนูนขึ้นมา ฉยงเหรินเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ ไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นเฉินรุ่ยเจ๋อต้องทนทุกข์ทรมานมามากแค่ไหน แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยขอลาหยุด ยังคงฝืนตัวเองมาถ่ายหนังทุกวัน

บูชางานเกินไปแล้วจริงๆ

เมิ่งชิงเสวียนบรรจงดึงเสื้อขึ้นไปถึงหลังคอ พร้อมว่า “มาดูสิครับอาจารย์ฉยง”

บนหลังเฉินรุ่ยเจ๋อมีเงาเขียวคล้ำจางๆ เหมือนรอยช้ำที่เพิ่งเกิดจากการถูกกระแทกแบบไม่ได้รุนแรงนัก รอยเขียวนี้ลามออกไปอย่างมีหลักการมาก ฉยงเหรินถอยออกไปไกลๆ แล้วถ่ายไว้หนึ่งรูป

เมิ่งชิงเสวียนปล่อยเสื้อของเฉินรุ่ยเจ๋อลง

เฉินรุ่ยเจ๋อร้อนใจมาก “บนหลังฉันมีอะไรเหรอ”

ฉยงเหรินให้เขาดูรูป ในรูปถ้าดูใกล้ๆ ก็อาจเห็นเป็นรอยฟกช้ำประปรายบนหลัง แต่เมื่อซูมออกดู พร้อมทั้งฉยงเหรินยังปรับค่าความอิ่มสีให้เห็นชัดขึ้น จึงสามารถมองออกว่ารอยช้ำบนหลังของเขาก็คือตัวอักษรตัวหนึ่ง

เฉินรุ่ยเจ๋อแค่คิดว่าบนหลังตนมีรอยตัวอักษรปรากฏขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เขาก็สั่นสะท้านทันที มือที่จับฉยงเหรินอยู่สั่นระริกอย่างคุมไม่อยู่ “นี่มันคำว่าอะไร คงไม่ใช่คำว่าตายใช่ไหม…”

ฉยงเหรินเองก็ไม่เคยเห็นตัวอักษรนี้มาก่อน มันดูบิดเบี้ยว เหมือนพวกอักษรกระดองเต่า* หรือตัวอักษรจ้วนซู**

“ด้านบนมันเหมือนคนกำลังโต้คลื่นสองคน ด้านล่างเหมือนโอ่งขนาดใหญ่ที่เปิดฝาไว้” ฉยงเหรินยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา ขมวดคิ้วกล่าว “มันคือคำว่า ‘แทน’ จากคำว่าตัวตายตัวแทนหรือเปล่า”

หวังป๋อตวนควักมือถือมาเสิร์ชเชียนตู้ทันที กล่าวด้วยความเลื่อมใส “คือคำว่า ‘แทน’ จริงๆ ครับ ท่านอาจารย์ฉยงชาญฉลาดที่สุด”

ฉยงเหรินยังคงมุ่นคิ้วยุ่ง “คำนี้หมายถึงจับตัวตายตัวแทนเหรอ ในเมื่อพวกเธอรู้ว่าบนหลังจะมีรอยพวกนี้ งั้นก็รู้แล้วใช่ไหมว่าเฉินรุ่ยเจ๋อโดนอะไรมา”

หวังป๋อตวนกล่าว “เป็นศาสตร์อักขระอย่างหนึ่งครับ”

ประวัติการบูชาอักขระสามารถย้อนสืบสาวไปได้ถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน อย่างเช่น การเผากระดองเต่า ใช้รอยแตกในการทำนาย เป็นต้น ความจริงแล้ววิธีการนี้ก็คือการบูชาอักขระในสมัยบรรพกาลอย่างหนึ่ง

เนื่องจากตัวอักษรจีนพัฒนามาจากอักษรภาพ คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าในตัวอักษรจีนนั้นซ่อนสัจธรรมฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว* ไว้ สามารถพยากรณ์ดวงดีร้ายได้จากตัวอักษร ชื่อแซ่ของคนก็มีอิทธิพลต่อดวงชะตาทั้งชีวิตของคนคนนั้นเช่นกัน

ศาสตร์อักขระก็ใช้อาคมตัวอักษรในการเชื่อมประสานกับฟ้าดินเพื่อให้วัตถุประสงค์ของตนเองสำเร็จเช่นกัน หัวใจหลักของมันก็คือตัวอักษรที่ผู้ใช้อาคมเลือกใช้ ซึ่งสามารถทำให้บรรลุผลได้หลากหลาย

อย่างเช่นเมื่อผู้ใช้งานเขียนคำว่า ‘รวย’ สิ่งที่เฉินรุ่ยเจ๋อเห็นก็อาจจะไม่ใช่เงาดำ แต่อาจเป็นเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะสีแดงมงคลที่ค่อยๆ เข้าใกล้เขาทีละนิด แล้วร่างกายเขาก็จะไม่อ่อนแอลงทุกวันๆ แต่จะเริ่มมีโชคลาภทางการเงินแทน

ถ้าผู้ใช้เขียนคำว่า ‘งาม’ ไม่แน่เฉินรุ่ยเจ๋อก็อาจจะฝันเห็นหมอศัลยกรรมความงามก็ได้

เมิ่งชิงเสวียนเอ่ย “วัตถุดิบที่ใช้กับศาสตร์อักขระแบบนี้หายากมาก สิ่งที่ต้องแบกรับตัวอักษรนั้นจะเป็นกระดาษธรรมดาที่หาได้ทั่วไปไม่ได้ แต่ต้องเป็นผ้าแพรบนร่างคนตาย และจะใช้ได้แค่ผ้าส่วนลำตัวเท่านั้น เจ้าของผ้าแพรจะต้องลงโลงฝังไม่ต่ำกว่าสิบปี”

คนสมัยนี้สนับสนุนพิธีฌาปนกิจ ศพจะสวมอะไรก็ล้วนแล้วแต่ต้องนำไปเผาเป็นเถ้าถ่าน แม้ว่าสถานที่ไกลปืนเที่ยงจะยังมีพิธีฝังศพอยู่บ้าง แต่ก็มีอยู่น้อยที่จะสวมผ้าแพรลงโลง

มิหนำซ้ำผ้าแพรนี้ยังต้องฝังถึงสิบปี ผ้าส่วนลำตัวยังต้องสมบูรณ์ไม่มีความเสียหาย และจะเล็กเกินไปไม่ได้ หากเล็กเกินไปตัวอักษรที่เขียนก็จะเล็กตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์

เมิ่งชิงเสวียนว่าต่อ “หมึกที่ใช้เขียนตัวอักษรก็ยังยุ่งยากมาก ต้องใช้ต้นพังคี** เก่าเก็บ ใช้หมึกเขม่าไม้สนที่โตบนเนินหลุมศพที่กิ่งยื่นไปทางทิศหยิน แล้วยังต้องใช้กระดูกข้อนิ้วนิ้วนางทั้งมือซ้ายและมือขวาของคนนิรนามที่เกิดในปีหยินเดือนหยินวันหยินยามหยิน บดทั้งหมดให้เป็นผง เอาไปฝังไว้ในพื้นที่กาลกิณีร้ายแรงเป็นเวลาสี่ห้าปีถึงจะนำมาใช้ได้ครับ”

เมิ่งชิงเสวียนท่าทางดูซื่อบื้อไม่น่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็เป็นลูกหลานตระกูลเก่าแก่ เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเต็มไปด้วยตรรกะเหตุผล ทำให้ฉยงเหรินเปลี่ยนมุมมองต่อเขาเล็กน้อย

เฉินรุ่ยเจ๋อฟังแล้วใจก็ยิ่งครั่นคร้าม “ลงทุนใช้ของอะไรยุ่งยากแบบนี้เพื่อเล่นของใส่ฉัน…เขาเป็นบ้าหรือเปล่า เขียนตัวอักษรมงคลให้ตัวเองไม่ดีกว่าหรือยังไง”

ฉยงเหริน “เอาของแบบนี้มาเขียนตัวอักษรมงคล เกรงว่าคงจะมงคลได้ไม่กี่น้ำหรอกครับ…”

หวังป๋อตวนพยักหน้า “อาจารย์ฉยงพูดถูกครับ พวกเรารู้วัตถุดิบคร่าวๆ ในการใช้ศาสตร์อักขระ แต่กับวิธีการโดยละเอียดนั้นไม่มีใครสืบทอดมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นวิชาประเภทนี้ล้วนแต่เป็นการดื่มเหล้าพิษแก้กระหาย* ใช้แล้วไม่มีทางจบสวย สำนักสงฆ์สำนักพรตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมไม่มีการเรียนการสอนให้ใช้วิชาพวกนี้”

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นวิชาคุณไสย ผลลัพธ์ยิ่งแรง ขอบเขตที่จะเกิดผลก็ยิ่งกว้างขึ้น และข้อกำหนดสำหรับผู้ใช้คุณไสยก็จะยิ่งสูงขึ้นเช่นกัน การที่สามารถเสกศาสตร์อักขระใส่คนอื่นได้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่ปรมาจารย์คุณไสยชั้นฟ้าธรรมดาๆ

ดูอย่างที่พวกเขาอยากเรียนคาถาเรียกเหล่าจอมทัพอสนีบาตกับฉยงเหรินสิ หนึ่งคาถาต่อหนึ่งผลลัพธ์ ต้องวางแผนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ต่อให้เป็นแบบนั้น พวกเขาก็ยังใช้ไม่เป็นเลย

เพราะนัยในอักขระนั้นกว้างมาก ตัวอักษร ‘แทน’ จริงๆ แล้วบ่งชี้ถึงอะไรกันแน่ก็ยากจะอธิบาย แต่จากสถานการณ์ของเฉินรุ่ยเจ๋อ ความหมายแฝงของมันต้องเป็นคำว่าตัวตายตัวแทนอย่างไม่ต้องสงสัย

เฉินรุ่ยเจ๋อรู้สึกท้อแท้ ถามอย่างร้อนใจ “งั้นฉันควรทำยังไงดีล่ะ”

เมื่อคืนตอนเขาฝัน จู่ๆ ก็พบว่าเงาดำนั้นเริ่มปรากฏองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าแล้ว ดวงตาที่มองไม่เห็นคู่นั้นเผยรูปร่างออกมาเป็นครั้งแรก เฉินรุ่ยเจ๋อสังหรณ์ว่าหากตนยังไม่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอีกก็อาจจะไม่ทันการณ์ เขาจึงโทรไปหาฉยงเหริน

ฉยงเหรินถอนหายใจเบาๆ “ทำไมถึงไม่รีบบอกผมตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะครับ จะอดทนคนเดียวตั้งนานขนาดนี้ไปทำไม”

เฉินรุ่ยเจ๋อ “การเงินของนายเพิ่งจะเข้าที่เข้าทาง ฉันเห็นตารางงานนายยุ่งขนาดนั้นก็เลยไม่อยากรบกวน ยิ่งไปกว่านั้น…จางเฮ่าก็บอกฉันทุกวันว่าฉันคิดมากไป ฉันก็เลยคิดว่าฉันอาจจะคิดมากเกินไปจริงๆ อย่างที่เขาว่าก็ได้ ช่วงนี้ถ่ายหนังเหนื่อย ต้องไดเอ็ตเพื่อบทเฉินเถาอยู่ตลอดด้วย ตอนกลางคืนจะนอนหลับไม่สนิทก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ฉันเลย…”

ฉยงเหรินฟังแล้วก็โกรธสุดจะทน ท่านพญายมถูกเขาไล่ตะเพิดยังรู้จักเอาของกินมาเติมในตู้เย็น เอานมสดมาให้เขาเลย

จางเฮ่านี่เป็นคนยังไง ไม่ว่าเฉินรุ่ยเจ๋อจะเจอผีหรือไม่ก็ตาม แต่ตัวเขาผอมอย่างกับไม้เสียบผีอยู่แล้ว เดินหลายๆ ก้าวก็เหมือนจะเหนื่อยตายได้ แต่อีกฝ่ายดันไม่รู้จักเอาใจใส่ดูแลคู่ตัวเองเลย

เจ้าของโรงโม่ยังไม่ใช้งานลาลากโม่หนักขนาดนี้

ผู้ช่วยของเฉินรุ่ยเจ๋อเคาะประตู ก่อนยื่นหน้าเข้ามา “ผู้กำกับจางให้ผมมาถามว่าเสร็จหรือยังครับ”

เฉินรุ่ยเจ๋อพยักหน้า “ฉันต้องไปถ่ายต่อแล้ว พวกนายอยากตามไปดูด้วยไหม”

ตอนนี้ ‘พัดดอกท้อ’ ถ่ายมาถึงฉากที่ซ่งอวิ๋นเฉิงเสียชีวิตจากการป่วยหนัก เฉินเถาตรอมใจจนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แม้แต่การแต่งหน้าก็ยังไม่จำเป็นสำหรับเฉินรุ่ยเจ๋อ สภาพเขาตอนนี้ก็คือจวนเจียนจะตรอมใจตายตามคนรักไปอยู่แล้ว

“แน่นอนครับ” ฉยงเหรินกล่าว “ผมจะไปดู”

เฉินรุ่ยเจ๋อยิ้มอย่างซาบซึ้ง

เมื่อเดินมาถึงนอกประตูก็ไม่นึกว่าจางเฮ่าจะอยู่ด้วย เฉินรุ่ยเจ๋อเห็นเขาก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง จางเฮ่ายิ้มกระอักกระอ่วน “ถ้าคุณไม่วางใจจริงๆ วันนี้เสร็จกองแล้วพวกเราไปเชิญคนที่วัดมาทำพิธีกัน”

เฉินรุ่ยเจ๋อพูดเสียงเย็นชา “ไม่ต้องหรอก ฉยงเหรินมาแล้ว”

จางเฮ่าเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ฉยงเหริน?”

ฉยงเหรินคิดในใจ คุณประหลาดใจอะไรล่ะ ข้างๆ ผมมีนักพรตน้อยออกมาฝึกตนในสังคมโลกภายนอกสองคนเลยนะ สายมูเตลูแต่ละสายก็ช่วยเชียร์ช่วยชวนคนมาโหวตให้ผมด้วย ขนาดตอนทำพิธีในวัดในอารามยังต้องเปิดเพลง ‘อุบัติสุขาวดีคาถา’ เวอร์ชั่นที่ผมร้องเลย ผมมาจัดการปัญหาเรื่องที่เฉินรุ่ยเจ๋อเจอผีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือไง

อา…ฟังจากที่เฉินรุ่ยเจ๋อบอก จางเฮ่าคงไม่เชื่อเรื่องพวกนี้สินะ เพราะงั้นอีกฝ่ายก็เลยน่าจะมองข่าวเรื่องอภิปรัชญาทั้งหลายที่เกี่ยวกับเขาว่าเป็นการปั่นกระแส

ตอนนี้เฉินรุ่ยเจ๋อผอมจนน่ากลัว ไม่ต้องให้จางเฮ่าขยับหลีกทางให้ก็สามารถเบี่ยงตัวแทรกออกจากข้างตัวเขาได้สบายๆ ฉยงเหรินจะตามไปด้วย แต่ถูกจางเฮ่าดึงตัวไว้

ฉยงเหรินจึงบอกให้เมิ่งชิงเสวียนกับหวังป๋อตวนตามไป ส่วนตนก็หันไปถาม “ว่าไงครับ”

“ช่วงนี้เสี่ยวเจ๋อมีปัญหาทางจิตใจค่อนข้างรุนแรง ชอบฝันว่าตัวเองเป็นคนป่วยที่ขยับไปไหนไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะอินกับบทเฉินเถาเกินไป เธอช่วยฉันโน้มน้าวให้เขาไปหาหมอได้หรือเปล่า” จางเฮ่าดูท่าทางกลัดกลุ้มใจมาก “ป่วยก็ต้องรักษา จะบ่ายเบี่ยงไม่ไปรักษาไม่ได้ เขานอนหลับไม่สนิทเลยสักคืน ผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ฉันพูดไปเขาก็ไม่ฟัง”

ฉยงเหรินประหลาดใจ “เห็นๆ อยู่นี่ว่าคุณต่างหากที่ไม่ฟังเขา ผมรู้ว่ามีคนบางคนที่ไม่เชื่อเรื่องผี แต่นั่นก็ไม่อะไรหรอก แต่ถ้าคุณลองตั้งใจคุยกับเขาดีๆ สักครั้งคุณก็จะรู้ว่าคนในฝันของเขานั่งวีลแชร์ไฟฟ้า เฉินเถาเป็นคนยุคแปดศูนย์ เขาตรอมใจอย่างหนักเพราะการตายของซ่งอวิ๋นเฉิง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นอัมพาต ไม่จำเป็นจะต้องนั่งวีลแชร์ด้วยซ้ำ แล้วเฉินเถาจะไปหาซื้อวีลแชร์ไฟฟ้าที่วิ่งฉิวบนถนนได้แบบปัจจุบันจากที่ไหนล่ะครับ”

ฉยงเหรินน้ำเสียงกระแทกกระทั้น จางเฮ่าอึ้งไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเคยได้ยินรายละเอียดที่ฉยงเหรินพูดครั้งแรก

“แล้วก็ในเมื่อพวกคุณอยู่ด้วยกัน คุณไม่เคยสังเกตเห็นรอยช้ำบนหลังเฉินรุ่ยเจ๋อเลยเหรอครับ”

จางเฮ่าชะงัก “เขามีเข้าฉากทะเลาะกับคนอื่นด้วย รอยช้ำคงจะเกิดจากตอนนั้นหรือเปล่า นักแสดงต้องเจอกับการชนการกระแทกตลอด มันเลี่ยงยากน่ะ ฉันทายาดองแก้ฟกช้ำให้เขาไปแล้ว”

ฉยงเหรินกำหมัดแน่นกว่าเดิม ถึงจางเฮ่าจะเป็นผู้กำกับที่ดี แต่ในฐานะแฟนหนุ่มเขาห่วยแตกเกินไปแล้ว

ฉยงเหรินล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าหน้าอก เปิดรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อกี้ให้จางเฮ่าดู “อุบัติเหตุจากกองจะทำให้ช้ำแบบนี้ได้เหรอครับ”

ต้องบอกว่าสมแล้วที่จางเฮ่าเป็นผู้กำกับชื่อดัง ค่อนข้างจะมีวัฒนธรรมอยู่บ้าง เพียงปราดเดียวก็มองออกว่านี่คือคำว่า ‘แทน’ แบบตัวอักษรจ้วนซู

“นี่มันอะไร ทำไมถึงมีคำนี้ล่ะ…” จางเฮ่าขมวดคิ้วแน่น

หรือว่าจะเจอผีจริงๆ

ขณะนั้นเองจางชิงชิงก็โทรมาหาฉยงเหริน อาจเพราะฉยงเหรินไม่ตอบกลับวีแชตเลย อีกฝ่ายจึงติดต่อหาเขาด้วยตัวเอง

ฉยงเหรินทำมือขอหยุดคุยชั่วคราวให้จางเฮ่า

“พ่อ อะแฮ่ม อาจารย์ฉยงครับ คุณเห็นรูปหูฟังหรือยัง พอใจหรือเปล่า นี่ผมปฏิเสธออเดอร์ลูกค้ารายใหญ่รีบมาทำให้คุณเลยนะ”

ที่จริงฉยงเหรินยังไม่มีเวลาตั้งใจดูรูปเลยสักนิด แต่เขาเชื่อฝีมือจางชิงชิงมาก จึงกล่าว “ฝีมือคุณไม่มีทางผิดพลาดหรอกครับ”

จางชิงชิงที่อยู่ปลายสายหัวเราะฮี่ๆ

ฉยงเหรินถือโอกาสถาม “ลูกค้ารายใหญ่อะไรเหรอครับ”

“ห้าร้อยชิ้นที่สั่งผมแค่คำนวณปริมาณเผื่อไว้ คุณจะมารับก่อนส่วนหนึ่งก็ได้ครับ ที่เหลือจะเลื่อนไปอีกหน่อยก็ได้ ถ้าออเดอร์ใหญ่หายไปคงน่าเสียดายแย่”

หูฟังของเขาเอาแค่รับประกันได้ว่าจะพอให้ยมบาลในนรกจานถูใช้ก่อนก็พอ ที่เหลือไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

จางชิงชิงกล่าว “ก็ลูกค้ารายใหญ่ที่เคยสั่งทำหวังเย่าชิงกับดาราคนอื่นๆ กับผมนั่นน่ะครับ”

ฉยงเหรินกำมือถือแน่นทันใด แม้แต่หลังก็ยังเหยียดตรงด้วยความเกร็ง

จางชิงชิงยังคงพูดอยู่ปลายสาย “แต่พอผมคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว ถ้าผมรู้ว่ามีลูกค้าไปสั่งทำตุ๊กตากระดาษรูปคุณกับเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่น ผมต้องโกรธมากแน่นอน ตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้ว การละเมิดรูปถ่ายส่วนบุคคลของคนอื่นเป็นเรื่องไม่ดีจริงๆ ครับ ผมก็เลยบอกปฏิเสธออเดอร์นี้ไป ธุรกิจแบบนี้ผมคิดว่าอนาคตก็จะไม่ทำแล้วเหมือนกัน”

ฉยงเหรินลำคอเกร็งแน่น ถามซักไซ้ “เขาสั่งทำใครไปเหรอ”

จางชิงชิง “เมิ่งชิงเหิงกับฟู่จยาเจ๋อ เห็นบอกว่าอันที่สั่งทำไปก่อนหน้านี้ขึ้นราหมดแล้ว ตอนนี้รีบใช้มาก สองคนนี้เป็นคนดังทำผิดกฎหมายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขายังไม่เลิกชอบกันอีก”

 

* อักษรกระดองเต่า เป็นตัวอักษรจีนโบราณยุคแรกที่สลักลงบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ ซึ่งมีลักษณะเป็นอักษรภาพ

** จ้วนซู คือรูปแบบตัวอักษรจีนที่เส้นจะมีลักษณะเป็นทรงยาวและโค้งมนสม่ำเสมอ เริ่มใช้ในช่วงหลังจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง

* ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว เป็นแนวคิดปรัชญาของเต๋าที่กล่าวว่าฟ้าคือธรรมชาติ คนคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

** ต้นพังคี เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มักใช้รากเป็นยารักษา แก้ไข้ แก้ปวดท้อง หรือประคบแก้ปวด

* ดื่มเหล้าพิษแก้กระหาย เป็นการอุปมาถึงการหวังแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่คิดถึงผลร้ายแรงที่จะตามมา

 

บทที่ 54

 

หลังฉยงเหรินวางสายจากจางชิงชิงก็โทรไปหาปีศาจแพนด้าทันที

สยงเหมียวบอกว่าพวกเธอก็สังเกตถึงเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

จางชิงชิงเปิดร้านออนไลน์ ผู้ต้องสงสัยอย่างชายหน้าบากซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่คนนั้นล้วนตกลงซื้อขายกับจางชิงชิงผ่านร้านออนไลน์ตลอด หลังจากที่กองตรวจการพิเศษได้รับแจ้งจากฉยงเหรินคราวก่อน ก็ติดต่อหลังบ้านของแพลตฟอร์มให้จับตามองข้อมูลการซื้อขายของร้านจางชิงชิง รวมถึงการพูดคุยของคนคนนั้นกับจางชิงชิง และพวกเขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากหลังบ้านว่าตอนนี้กำลังค้นหาข้อมูลของลูกค้าคนนั้นอย่างเต็มความสามารถ

ตำรวจเชื่อมือได้จริงๆ ตั้งแต่มีตำรวจมาประจำการในกองตรวจการพิเศษ การทำงานของหน่วยงานที่อืดอาดยืดยาดไร้ระเบียบก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

จางเฮ่ารอจนฉยงเหรินวางสาย หัวคิ้วก็ขมวดเป็นปม “ตอนนี้เราควรทำยังไง เจอผีจำเป็นต้องทำพิธีหรือเปล่า”

ฉยงเหรินส่ายหน้า “เขาไม่ได้เจอผี ถึงจะรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว แต่รายละเอียดเป็นยังไงตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

จางเฮ่าหัวคิ้วยับยู่ หักข้อนิ้วตัวเองอย่างลืมตัว ฉยงเหรินเห็นข้อนิ้วเขาโดนหักจนเสียหมดแล้ว

มีคนที่เป็นแบบนี้จริงๆ ขอแค่เริ่มมีความเครียดก็จะฉีกจมูกเล็บ หักข้อนิ้ว กัดนิ้ว ดูจากสภาพมือของจางเฮ่า ก็รู้สึกว่าเขาคงจะเครียดมาเป็นเวลานานแล้ว

ฉยงเหรินสัมผัสได้ว่าจางเฮ่าไม่ได้ไม่แคร์เฉินรุ่ยเจ๋อ ในฐานะที่ฉยงเหรินเป็นสุนัขโสด ก็รู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักมาก น้ำเสียงจึงเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย “ผมจะหาวิธีช่วยแน่นอนครับ คุณไปถ่ายทำก่อนเถอะ”

จางเฮ่าว้าวุ่นใจ กระทั่งพยักหน้าก็ยังดูฝืน

“อาจารย์ฉยงงง…”

เมิ่งชิงเสวียนเรียกเสียงดังสะเทือนฟ้า หัวใจฉยงเหรินกระตุกอย่างแรง เร่งสาวเท้าวิ่งปรี่ไปทันที

จางเฮ่าเพิ่งตั้งสติได้ว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เหงื่อเย็นเฉียบผุดซึมกลางหลังและหน้าอกในชั่วพริบตา รีบวิ่งตามหลังฉยงเหรินไป

“อาจารย์ฉยง คุณเฉินเป็นลมไปแล้วครับ” เมิ่งชิงเสวียนกล่าวเสียงร้อนรน “ไปโรงพยาบาลดีไหมครับ”

ทว่าหวังป๋อตวนกลับส่ายหน้า “ฉันว่าเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างมากกว่า”

จางเฮ่าเข้าไปโอบไหล่เฉินรุ่ยเจ๋อ มองฉยงเหรินด้วยความกระวนกระวาย หวังอยากได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้จากเขา

“เป็นวิญญาณหลุดจากร่างจริงๆ” ในสายตาฉยงเหริน วิญญาณของเฉินรุ่ยเจ๋อคล้ายจะถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นล่ามตัวไปด้วยความเร็วสูง ถึงวิ่งก็คงไม่มีทางตามทัน

ฉยงเหรินเอ่ยอย่างร้อนใจ “พวกเธอมีวิธีสืบหาร่องรอยวิญญาณหรือเปล่า”

หวังป๋อตวนรีบตอบ “ผมทำได้ครับ!”

เหตุการณ์ยิ่งเร่งด่วน ฉยงเหรินกลับยิ่งใจเย็น เขาเอ่ยกำชับ “ชิงเสวียน คุ้มครองเฉินรุ่ยเจ๋อไว้ ป๋อตวน ไปตามวิญญาณรุ่ยเจ๋อกับผม”

ฉยงเหรินมอบภารกิจการสงบสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ให้กับเมิ่งชิงเสวียน แล้วตนกับหวังป๋อตวนก็รีบพุ่งออกไป

ทีมงานที่อยู่ในกองเหลอหลา เกิดอะไรขึ้น พวกเขากำลังถ่าย ‘พัดดอกท้อ’ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังดู ‘Supernatural’* เวอร์ชั่นจีนอยู่อย่างงั้นแหละ…

หวังป๋อตวนขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ หนีบหลัวผาน** ไว้ที่ช่องแอร์ เข็มเล็กๆ บนหลัวผานชี้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มันน่าจะเป็นของที่เขาเอาไว้ใช้ไล่ตามร่องรอยของวิญญาณ

กำลังจะออกรถ จางเฮ่าก็เปิดประตูกระโดดเข้ามา

“ฉันไปด้วย” แรงกายของจางเฮ่าไหนเลยจะสู้กับฉยงเหรินและหวังป๋อตวนได้ เขาพูดเสียงติดหอบ “ฉันไม่สบายใจ”

ฉยงเหรินเมินเขาแล้วมาเปิดประตูโดยตรง ก่อนจะดันเขาลงไป “ผู้กำกับจาง คุณอยู่คุ้มครองเขาให้ดีก็พอ เรียกชื่อเขาบ่อยๆ มันเป็นการเรียกวิญญาณน่ะครับเข้าใจไหม ผมจะไปช่วยเขากลับมาเอง”

 

รถขับเคลื่อนตามทิศทางของหลัวผานมาได้ระยะหนึ่ง ถนนก็ยิ่งเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ เดิมสถานที่ถ่ายทำก็อยู่แถบชานเมืองอยู่แล้ว นี่ยิ่งออกไปห่างเมืองมากกว่าเดิมอีก

ฉยงเหรินขึ้นรถมาก็แจ้งกองตรวจการพิเศษทันที แต่เขาจะฝากความหวังไว้ที่กองตรวจการพิเศษทั้งหมดไม่ได้ ถึงตอนนี้กองตรวจการพิเศษจะน่าเชื่อถือกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกรมตำรวจที่มีอยู่ในทุกเขตที่อยู่อาศัย ความไวในการออกปฏิบัติการมีจำกัดมาก

จากสำนักงานกองตรวจการพิเศษถึงชานเมืองเขตตะวันออก ต่อให้ขึ้นทางด่วนก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

จนพวกเขาขับมาถึงถนนเส้นเล็กๆ ที่เปลี่ยวมาก เข็มบนจานหลัวผานก็หมุนวนหลายรอบ ไม่ชี้ไปทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอนอีก หวังป๋อตวนกล่าว “น่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้แหละ”

“อืม” ฉยงเหรินพยักหน้าเบาๆ เขาเห็นปลายถนนคล้ายจะมีประตูอยู่บานหนึ่ง “จอดรถไว้ข้างทางนี่แหละ เราจะเดินไปกัน”

ทั้งคู่ลงจากรถ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็นึกไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะเป็นคฤหาสน์หลังเดี่ยว ผ่านประตูเหล็กไปก็คือเนินเขาเล็กๆ และคฤหาสน์ที่หลังไม่ใหญ่มากก็ตั้งอยู่บนเนินนั้น

ฉยงเหรินได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเฉินรุ่ยเจ๋อรางๆ

เขาตื่นตัวทันที “อยู่ที่นี่จริงๆ!”

รั้วล้อมรอบคฤหาสน์สูงมาก ทั้งยังติดลวดหนามกันขโมยไว้ด้านบนด้วย ไม่มีที่ให้ปีนได้เลย

ขณะฉยงเหรินกำลังปวดหัวว่าจะเข้าไปได้ยังไง มือก็เผลอแตะประตูโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วประตูก็เปิดออก

หวังป๋อตวนทำหน้าตกใจระคนยินดี พูดพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้ประตูก็ไม่ได้ล็อกแฮะ”

ฉยงเหรินผลักประตูเปิด แล้วถือโอกาสลูบกลอนประตูดู มันร้อนเล็กน้อย และถูกตัดอย่างเรียบร้อย

มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น พูดกับหวังป๋อตวน “เข้าไปกันเถอะ”

พวกเขาเดินไปตามทาง จากหน้าประตูล้วนถูกต้นไม้ปกคลุมตลอดไปจนถึงด้านหน้าเนินเขา ฉยงเหรินมองเข้าไปในคฤหาสน์บนยอดเนิน พยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่มีกล้อง บุกเข้าไปเลย”

หวังป๋อตวนเลื่อมใสสุดๆ “ขนาดกล้องก็ยังคำนวณได้เลยเหรอครับ”

ฉยงเหริน “สกิลของไอดอลน่ะ”

การมองหากล้องเป็นสกิลสำคัญอย่างหนึ่งของคนเป็นไอดอล ถ้าหากล้องบนเวทีตอนแสดงไม่เจอ การรับชมของผู้ชมที่อยู่ตรงหน้าจอก็จะแย่ลงไปด้วย

ในฐานะที่ฉยงเหรินอยู่ในชั้นเพดานของวงการไอดอล สกิลการมองหากล้องเองก็ย่อมอยู่ในจุดสูงสุดด้วยเช่นกัน

หวังป๋อตวนวิ่งตามมาจนถึงเชิงเขา แล้วพูดขึ้น “ฮวงจุ้ยที่นี่เหมาะกับสร้างเป็นศาลเจ้ามากกว่า ไม่เหมาะให้คนอยู่”

ฉยงเหรินไม่เข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ย จึงมองอะไรไม่ออกสักอย่าง

เขาวิ่งเร็วมาก และเท้าก็เบามากเช่นกัน เหมือนกวางแสนคล่องแคล่วว่องไวตัวหนึ่ง เขาวิ่งนำหน้าไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ มาถึงตรงนี้เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเฉินรุ่ยเจ๋อไม่ได้ชัดเจนขึ้น แต่กลายเป็นว่าไม่ได้ยินเลย

นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด

เพียงดันเข้าไปประตูก็เปิดออก อย่างกับว่าเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ตระหนักรู้เรื่องการป้องกันเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถเปิดประตูได้ตามใจชอบหมดทุกบาน

ฉยงเหรินคลำกลอนประตูที่ร้อนเล็กน้อย มุมปากก็ยกขึ้นบางๆ

ทั้งอาคารเงียบสงัด ไม่มีวี่แววของคนอยู่เลย

ฉยงเหรินนึกถึงสภาพแวดล้อมในความฝันที่เฉินรุ่ยเจ๋อเล่า รู้สึกว่าห้องในความฝันน่าจะอยู่ชั้นบน เขาจึงล้มเลิกแผนค้นหาชั้นแรก แล้วตรงไปหาทางขึ้นบันไดที่จะนำไปสู่ชั้นสองทันที

หลังจากเจอบันไดฉยงเหรินก็ยิ่งมั่นใจว่าที่นี่คือสถานที่ในความฝันของเฉินรุ่ยเจ๋อ เพราะบันไดของที่นี่ทำการติดตั้งลิฟต์บันไดด้วย เขาเคยเห็นในหนังมาก่อน ลิฟต์แบบนี้เอาไว้ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายวีลแชร์ขึ้นลงชั้นบนชั้นล่าง

ฝีเท้าเขาเบาหวิวไร้สุ้มเสียงใดๆ ราวกับแมวตัวหนึ่ง เขาย่องฝีเท้าขึ้นบันไดไป หวังป๋อตวนก็ตามเข้ามาด้วย ฉยงเหรินหันไปชูนิ้วให้อีกฝ่ายอย่าส่งเสียง

มาถึงชั้นสองเขาได้ยินเสียงคนฟังดูอุดอู้รางๆ ดังออกมาจากห้องทางปีกขวา ฉยงเหรินมุ่งหน้าไปทางนั้นทันที

เมื่อเขาแยกเสียงออกแล้วว่ามาจากห้องไหนจึงผลักประตูเบาๆ และเป็นดังคาด ประตูห้องนี่ก็สามารถเปิดออกได้สบายๆ

ม่านควันสีม่วงคลุ้งเต็มห้อง คนคนหนึ่งนั่งอยู่บนวีลแชร์ หันหลังให้ประตู มองออกไปนอกหน้าต่าง มันคือภาพที่เฉินรุ่ยเจ๋อเคยเล่าให้ฟัง

ควันธูปหนาตีเข้าแสกหน้า

ภายในห้องมีตั๋วพระเล็กๆ ตั้งอยู่ และมีป้ายเทพเจ้าเซ่นไหว้อยู่บนนั้น กระถางธูปด้านหน้าป้ายเทพเจ้ามีธูปปักอยู่แน่นขนัด และถูกเผาไปจนถึงครึ่งแล้ว

คนในชุดสีดำกำลังทำการบูชาป้ายเทพเจ้าองค์นั้น

ฉยงเหรินพูดขึ้นในทันใด “อย่าขยับ คุณถูกเราล้อมไว้หมดแล้ว!”

คนคนนั้นได้ยินจึงผินหน้ามา วินาทีที่มองเห็นหน้าอีกฝ่ายฉยงเหรินก็ขนลุกชันไปทั้งกาย

ใบหน้าของคนในชุดดำเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ราวกับถูกใครเฉือนหน้าเป็นริ้วๆ ไปแล้วครึ่งหน้า

ฉยงเหรินเคยเห็นใบหน้านี้จากในรูปเหมือนและรูปถ่ายมาก่อน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริง

บุคคลในหมายจับที่ถูกนักพรตเต๋า กองตรวจการพิเศษ และศาลหลักเมืองตามหามาเป็นเวลานาน ไม่นึกว่าจะอาศัยอยู่ในแถบชานเมืองของหลงเฉิงอย่างลอยชายแบบนี้…

อีกฝ่ายเห็นฉยงเหรินแล้วก็อึ้งกิมกี่เช่นกัน ดูท่าทางเหมือนไม่รู้จักฉยงเหรินมาก่อน เขาขมวดคิ้วกล่าว “ที่นี่คือสถานที่ส่วนบุคคล คุณเป็นใคร”

ชายหน้าบากหมุนตัว เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหน้าป้ายเทพเจ้า ฉยงเหรินเหลือบเห็นผ้าสีเหลืองอ่อนๆ ผืนหนึ่ง บนนั้นคล้ายจะเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งไว้ด้วย

อย่าบอกนะว่าเป็นคำว่า ‘แทน’ นั่น!

ฉยงเหรินบุกเข้าไปโดยไม่มัวรีรอ ชายชุดดำหวังจะขวาง แต่เขาเคลื่อนไหวได้ไม่เร็วเท่าฉยงเหริน ช้าไปเพียงพริบตาเดียวฉยงเหรินก็ช่วงชิงผ้าผืนนั้นมาไว้ในมือได้

ผ้ามีสัมผัสลื่นเรียบ บนนั้นเขียนตัวอักษร ‘แทน’ ที่เหมือนกับบนหลังของเฉินรุ่ยเจ๋อทุกกระเบียดนิ้ว หวังป๋อตวนเคยเล่าระหว่างเดินทางมาที่นี่ วิธีทำลายศาสตร์อักขระนั้นเพียงแค่จุดไฟเผาผ้าแพรผืนนั้นก็เสร็จสิ้น ฉยงเหรินจึงโยนผ้าแพรลงไปบนธูปทันที ไม่นานปลายธูปก็เผาไหม้ผ้าแพรไม่เหลือชิ้นดี

แค่คิดว่าผ้าผืนนี้ตัดมาจากเสื้อผ้าของคนตาย ฉยงเหรินก็ทนไม่ไหวอยากจะล้างมือสักยี่สิบรอบ

หวังป๋อตวนรีบพุ่งเข้าห้องตามฉยงเหรินไป

ชายหน้าบากหัวเราะอย่างมีเลศนัยหนึ่งที ลงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ซึ่งสลักลายดอกไม้ไว้โดยปราศจากท่าทีร้อนรน พิงพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “โห มีผู้ช่วยด้วย”

หวังป๋อตวนรู้สึกว่าคนคนนี้ดูมีมาดสุดๆ อย่างบอกไม่ถูก

ต่อให้นั่งอยู่ก็มองออกว่าหุ่นของอีกฝ่ายสูงใหญ่แค่ไหน ชุดผ้าไหมสีดำบนร่างกายประณีตงดงาม ผมก็หวีอย่างพิถีพิถันเช่นกัน

แม้จะมีรอยบากเกลื่อนกลาดอยู่บนใบหน้าขนาดนั้นก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายดูหน้าตาน่าเกลียดเลย เมื่อมองหลายๆ ทีกลับทำให้คิดว่ามีเสน่ห์แบบแปลกๆ ด้วยซ้ำ

คงเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ชายหน้าบากจึงส่งยิ้มให้เขาหนึ่งที หวังป๋อตวนตกใจรีบเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก

“เฉินรุ่ยเจ๋อล่ะ” หวังป๋อตวนถามเสียงแผ่ว

ฉยงเหรินหันวีลแชร์ที่อยู่ริมหน้าต่างกลับมา ทันทีที่คนบนวีลแชร์เห็นเขาน้ำตาก็พานหลั่งไหล ทว่ากลับไม่สามารถเปล่งเสียงพูดได้ ทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ

ฉยงเหริน “รุ่ยเจ๋อหรือเปล่า”

คนบนวีลแชร์ส่งเสียงอือๆ อาๆ ออกมา แววตาตื่นเต้นดีใจมาก

หวังป๋อตวนเบิกตาโต การจับตัวตายตัวแทนสำหรับคนอย่างพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไร แต่การย้ายวิญญาณหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งโดยศาสตร์อักขระนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเหลือเกิน

ชายหน้าบากปรบมือหัวเราะลั่น

“ฉลาดดีนี่ แต่สายไปแล้วล่ะ เฉินรุ่ยเจ๋อไม่ตอบสนองอะไรเลยตลอดหนึ่งเดือน ฉันยังคิดอยู่เลยว่าคนคนนี้มันสมองช้าจริงๆ ยังดีที่ก่อนตายเขาทำเรื่องอะไรสนุกๆ อย่างเรียกพวกเธอสองคนมาหาฉันถึงที่นี่ด้วย ไม่ทราบว่าวีรบุรุษน้อยทั้งสองท่านเป็นศิษย์จากสำนักไหน ฝึกตนอยู่ที่อารามไหน”

ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฉยงเหรินก็รังเกียจตัวร้ายที่ทำร้ายคนอื่นแล้วยังมีหน้าเอามาพูดโอ้อวดความเลวของตัวเองสุดๆ

เขามองหาของที่ค่อนข้างเหมาะมือในห้องนี้ ก่อนเข็นวีลแชร์ไปให้หวังป๋อตวน “วิ่งหนีไปให้ไกลๆ นะ”

ส่วนตัวเขาก็ข้ามไปอยู่ตรงหน้าป้ายเทพเจ้า กำก้านธูปแล้วเหวี่ยงซัดหน้าชายหน้าบาก

หวังป๋อตวนเข็นวีลแชร์วิ่งไปจนถึงมุมผนัง เมื่อหันมามองแวบหนึ่งก็เป็นต้องเหม่อ ในใจมีแต่คำว่าชิบแล้วๆๆ อาจารย์ฉยงจะกลายเป็นฆาตกรแล้ว

ชายหน้าบากสีหน้าเปลี่ยนทันที เขายกเท้าขึ้นถีบโต๊ะ เอนล้มไปข้างหลังตามเก้าอี้ ถึงจะรอดพ้นจากกองธูปที่ซัดสาดเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด แต่กลับถูกฉยงเหรินทุ่มกระถางธูปใส่หัวต่อทันที

ขี้เถ้าและปลายธูปร้อนๆ ที่ลุกไหม้ลวกหัวลวกหน้าชายหน้าบาก เขากรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทรงผมที่เรียบร้อยเป็นระเบียบและเสื้อผ้าไหมสีดำสะอาดสะอ้านของเขาล้วนถูกทำลายจนหมดสภาพโดยปลายธูปและขี้เถ้าความร้อนสูง

บทตัวร้ายที่เมื่อครู่นี้ยังดูมีมาดท่าทาง ตอนนี้กลายเป็นตัวตลกที่ทั้งตัวคลุกไปด้วยฝุ่นผงขี้เถ้า หน้าถูกความร้อนลวกจนเป็นแผลพุพองและแดงไปทั้งแถบ

ชายหน้าบากพยายามทำใจให้สงบเยือกเย็น คิดจะหัวเราะเสียงเย็นสักสองที แต่เขาได้หัวเราะออกไปแค่ทีหนึ่ง หนังหน้าของเขาก็เจ็บปวดแสบร้อน แถมเผลอสูดฝุ่นเถ้าเข้าไปเต็มรัก สำลักจนวิญญาณแทบหลุดไปอีกโลก

ฉยงเหรินยิ้มเยาะ “ผมล่ะเกลียดไอ้เลวที่ชอบตอแหลอย่างพวกคุณจริงๆ”

ชายหน้าบากไอจนปอดจะฉีก เขาท่องคาถาเสียงขาดๆ หายๆ ออกมา แล้วเขาก็หยุดไอได้ สายตาที่มองฉยงเหรินด้วยความสนุกในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น

ฉยงเหรินเห็นเขาทำหน้าแบบนั้นก็รู้สึกยังไม่สาแก่ใจพอ เมื่อเห็นป้ายเทพเจ้าที่ตั้งสักการบูชาอยู่ในห้องเขียนว่า ‘ถวายแด่กัวจู่เจินจวิน พระจิตศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรฟ้าทั้งสี่สิบแปดชี่’ แล้วก็นึกถึงที่ปีศาจแพนด้าเคยบอกกับตนว่าชายหน้าบากคนนี้มีแซ่เดิมว่ากัว

เหยียนโม่ก็เคยบอกด้วยว่าหาแซ่กัวที่มีบาปหนาบนบัญชีเป็นตายไม่เจอ ไม่แน่อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่บนบัญชีเป็นตายตั้งแต่แรก…

ฉยงเหรินสมองแล่นทันที เขาโยนกระถางธูปในมือตัวเองออกไปอย่างแรง กระถางธูปลอยไปโดนป้ายเทพเจ้าแล้วก็เด้งออก ป้ายเทพเจ้าที่ทำจากไม้ถูกกระแทกหักครึ่งท่อน

ชายหน้าบากงอตัวกุมท้อง พูดอย่างกราดเกรี้ยว “นี่แกกล้าทำลายป้ายเทพเจ้างั้นเหรอ”

ฉยงเหรินปัดฝุ่นขี้เถ้าบนมือ “พังก็พังไปแล้วนี่ หรือต้องเลือกวันด้วยเหรอ”*

 

* Supernatural เป็นทีวีซีรี่ส์แนวดาร์กแฟนตาซีของอเมริกา ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2005

** หลัวผาน หลอผาน หรือหล่อแก เป็นเครื่องมือสำคัญของวิชาฮวงจุ้ยซึ่งใช้ในการตรวจจับพลังงานที่มองไม่เห็น มีลักษณะเป็นจานกลมแบน

* พังก็พังไปแล้วนี่ หรือต้องเลือกวันด้วยเหรอ เป็นประโยคดังจากซีรี่ส์ฮ่องกงเรื่อง ‘ศึกบุปผาวังมังกร’

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: