ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1
ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด งู และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
“ฮือออ~”
ฉยงเหรินวิ่งไปสะอื้นโอดครวญไป เพื่อนผู้ป่วยตัวหนักเป็นบ้า เมื่อยแขนไปหมดแล้ว ทำไมยังหนีออกไปไม่ได้อีก
ถ้าเลือกได้ เขายอมไปตะลุมบอนกับสิงโตในทุ่งหญ้าสะวันนายังจะดีกว่ามาเผชิญหน้ากับผีสาวชุดขาวอีก
“ฮือออ” สาวน้อยเดรสขาวก็ร้องไห้อยู่เช่นกัน เธอด้อมๆ มองๆ อยู่ในมุมมืด “ต้าหวังทำไมถึงไม่มาวันอื่นนะ ฉันไม่กล้าออกไปเนี่ย ลูกสาวฉัน ฮือออ”
พื้นที่ของบ้านผีสิงมีจำกัด เพื่อให้พื้นที่ดูกว้างและเพิ่มความน่าเล่น พวกเธอจึงใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ในการสร้างกำแพงผีบังตาขึ้นมา
ไม่ต้องระดมสมองออกแบบสถาปัตยกรรมก็สามารถสร้างพื้นที่แบบทับซ้อนออกมาได้ จากนั้นก็ผลุบๆ โผล่ๆ ตามหลังลูกค้า ให้ลูกค้าสัมผัสกับความกลัวถึงขีดสุดจนเกือบตายแต่ก็ไม่ตายซ้ำยังหนีออกไปไหนไม่ได้
“ถ้าถอนกำแพงผีบังตาไม่ได้ไปตลอดจะทำยังไงดีล่ะ ลูกสาวฉันจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ลูกแม่ร้องไห้แล้วเนี่ย หม่ามี้สงสารจับใจ”
“ผัวฉันร้องไห้ก็ยังดูดี! ยอดชายอันดับหนึ่ง”
เหล่าผีทั้งหลายกดเสียงตัวเองให้เบาที่สุด แต่พญายมราชก็ยังได้ยินอยู่ดี
ไอ้สรรพนามไม่มีตรรกะพวกนี้มันคืออะไร
ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ตกใจไปหน่อย เขาก็คงรู้ตัวนานแล้วว่าบ้านผีสิงหลังนี้มีกำแพงผีบังตา พญายมได้ยินเสียงร้องไห้ของฉยงเหรินก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เพียงเขาตั้งจิต ชั่วพริบตาพื้นที่ทับซ้อนก็ถูกปลดออก
สุดทางเดินพลันปรากฏประตูหนึ่งบาน และมีผีขวานจามหัวลอยอยู่หน้าประตู
“อ๊ากกก”
ฉยงเหรินน้ำตาไหลเป็นสาย เขาวิ่งเร็วเกินจนเบรกไม่อยู่ หวิดจะสัมผัสแนบชิดกับวิญญาณตนนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตรงหน้าถึงได้พลันสว่างวาบ แล้วก็กลับมาอยู่ในห้องรอคิว
เขาอุ้มเพื่อนผู้ป่วย แสงแดดสาดส่องเข้ามากระทบใบหน้า เขายืนทำใจให้เย็นอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง แล้วก็อดปวดใจกับค่าตั๋วที่เสียไปไม่ได้
ทั้งที่ตั้งใจมาฝึกความกล้าแท้ๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าผีในบ้านผีสิงก็คือนักแสดง แต่สุดท้ายแค่เจอหน้าเขาก็ตกใจเผ่นแน่บอยู่ดี
สามสิบหยวนซื้อมันฝรั่งทอดกรอบได้ตั้งห้าห่อเลยนะ แต่มันกลับละลายหายไปกับสายน้ำซะอย่างนั้น
ฉยงเหรินเม้มปาก มุมปากคว่ำลง
ไม่มีใครอยู่ในห้องรอเข้าบ้านผีสิง คนขายตั๋วก็ไม่รู้ไปไหน ฉยงเหรินเรียกหลายครั้งก็ไม่มีใครตอบ ได้แต่พาเพื่อนผู้ป่วยไปนอนบนโซฟาของห้อง
เขาแนบหูกับหน้าอกของเพื่อนผู้ป่วย คิดจะฟังอัตราการเต้นของหัวใจว่าผิดปกติตรงไหนหรือไม่
หน้าอกเพื่อนร่วมป่วยอุ่นร้อนและมีแรงยืดหยุ่น บนตัวมีกลิ่นหอมสะอาดๆ
เสียแต่ไม่มีเสียงหัวใจเต้น…
แย่ล่ะ! ไม่มีเสียงหัวใจเต้น!
ฉยงเหรินกระเด้งตัวขวับ ล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรสายด่วน 120* เยี่ยนหมัวหลัวเสอรีบผุดลุกขึ้นมาทันที แสร้งทำเป็นเพิ่งฟื้นคืนสติ
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ยังไม่ตาย” ฉยงเหรินโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง “เมื่อกี้คุณเป็นลมในบ้านผีสิง รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหมครับ”
เยี่ยนหมัวหลัวเสอส่ายหน้า
ฉยงเหรินเท้าสะเอวสั่งสอนเขา “ถ้าขี้กลัวก็อย่าเข้าบ้านผีสิงคนเดียวสิครับ โชคดีที่ไม่ไปกระแทกอะไรเข้าตอนสลบ ถ้าหัวกระแทกขึ้นมาจะทำยังไง อันตรายเกินไปแล้ว”
สายตาเยี่ยนหมัวหลัวเสอหยุดค้างที่ตัวเขาอย่างอดไม่ได้
ใบหน้างดงามตรงหน้านี้เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาเพราะถูกผีในบ้านผีสิงหลอก ริมฝีปากแดงก่ำเผยอเล็กน้อย อีกฝ่ายเผลอแลบลิ้นออกมาเลียโดยไม่รู้ตัว ขับให้ริมฝีปากดูนุ่มชุ่มชื้นขึ้นไปอีก
เยี่ยนหมัวหลัวเสอคันยุบยิบที่หัวใจ ลำตัวท่อนบนเขาพิงไปทางฉยงเหริน เอ่ยเสียงจริงจัง “ครั้งหน้าอย่าเข้าบ้านผีสิงคนเดียว”
เพื่อนผู้ป่วยรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อเอนตัวมาก็มีแรงกดดันน่าเกรงขามบางอย่างเกิดขึ้นมาด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ ฉยงเหรินจึงหลุดขานอือออกไปโดยไม่รู้ตัว มาคิดได้ทีหลังว่าคำพูดนี้เขาเป็นคนพูดให้เพื่อนผู้ป่วยฟังนี่ ทำไมถึงกลับมาหาเขาซะอย่างนั้น
เขาจึงแก้ตัวให้ตัวเอง “ผมอยากจับกลุ่มกับคุณ แต่คุณน่ะเดินเร็วเกินไป กะพริบตาทีเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว”
ริมฝีปากแดงฉ่ำของฉยงเหรินเบะออก คิ้วมุ่นเบาๆ ดวงตาเปียกชื้นดูน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย
เยี่ยนหมัวหลัวเสอรู้สึกเหมือนกำลังถูกออดอ้อนอยู่ แต่ก็รู้สึกเหมือนฉยงเหรินไม่ได้ตั้งใจออดอ้อนเขาจริงๆ
คนที่หน้าตาดีเกินไป แสดงสีหน้าเพียงนิดเดียวก็ทำให้คนคิดไปไกลได้แล้ว
และตอนนั้นเองคนขายตั๋วก็หามที่นอนเข้ามา ครั้นเขาเห็นพญายม อย่างแรกที่เขาทำคือร่างกายสั่นงกๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ
“ต้า…เอ่อ บอสครับ เลขาฯ หนานโทรมาแจ้งว่าท่านอยากเข้ามานอนที่บ้านผีสิง ผมไปซื้อที่นอนเมมโมรี่โฟมมาให้ท่าน ท่านอยากนอนห้องไหนเหรอครับ ผมจะขนไปให้เองครับ”
ฉยงเหรินงงงัน “นอน?”
นึกย้อนไป จากประสบการณ์การตกใจกลัวจนเป็นลมมาหลายปีของเขา ท่าของเพื่อนผู้ป่วยตอนนอนอยู่บนพื้นก็สงบเสงี่ยมเกินไปจริงๆ นั่นแหละ
“ในบ้านผีสิงนั่น…เมื่อกี้คุณ…ไม่ได้เป็นลมหรอกเหรอ”
เยี่ยนหมัวหลัวเสอเงียบปากด้วยความลำบากใจ ไม่ได้ตอบในทันที
ฉยงเหรินเข้าใจแล้ว
เพราะอย่างนั้นเขาไม่เพียงแต่อุ้มคนที่ตั้งใจมานอนในบ้านผีสิงออกมา แต่ยังสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยว่าอย่าเข้าไปเดินเล่นในบ้านผีสิงคนเดียวถ้าเป็นพวกขี้กลัว…
ฉยงเหรินหยิบมือถือออกมาเสิร์ชด้วยศรัทธาในใจ…มีวิธีไหนสามารถหนีออกจากโลกได้ทันทีบ้าง
ผลการค้นหาไม่มีอันไหนที่สามารถเอามาใช้ได้เลยสักอย่าง
ฉยงเหรินวางโทรศัพท์ลงปลอบใจตัวเอง
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก นายจะผ่านมันไปได้
เยี่ยนหมัวหลัวเสอพูดกับคนขายตั๋ว “เอาเข้าไปด้านในเถอะ ค่าที่นอนไปเบิกที่เลขาฯ หนานได้เลย ขอบคุณ”
ขาสั่นเทิ้มของคนขายตั๋วพลันตรงแหน็ว ถึงใครต่างก็พูดกันว่าท่านพญายมเย็นชาน่ากลัว แต่ต้าหวังที่กล่าวขอบคุณกับผู้น้อยอย่างเขาจะเย็นชาขนาดไหนกันเชียว เขาหัวเราะแฮะๆ แล้วแบกที่นอนเข้าไปในบ้านผีสิง
เยี่ยนหมัวหลัวเสอมองฉยงเหริน เอ่ยเสียงจริงจัง “เมื่อกี้นายกล้าหาญมาก”
ทั้งที่กลัวขนาดนั้นแท้ๆ ซ้ำยังกลัวถึงขั้นร้องไห้ แต่กลับเลือกที่จะย้อนกลับมาช่วยเขา
ความกล้าหาญแบบนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ถึงความจริงจะยิ่งช่วยยิ่งวุ่นวายก็เถอะ แต่ยังไงก็ควรค่าแก่คำชมอยู่ดี
เยี่ยนหมัวหลัวเสอ “ฉันนอนไม่หลับเรื้อรัง หมอแนะนำให้ฉันลองมานอนในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองสบายใจ ฉันมองข้ามไปว่าบ้านผีสิงไม่เหมือนที่อื่น เป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้นายเข้าใจผิด”
ฉยงเหริน “…”
สภาพแวดล้อมที่สบายใจ บ้านผีสิงเนี่ยนะ
ฉยงเหรินรู้สึกเห็นอกเห็นใจทันใด “คุณต้องกดดันกับงานมากแน่เลย” คงทำโอจนกลายพันธุ์ไปแล้วสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดว่าบ้านผีสิงมันสบายใจหรอก
เยี่ยนหมัวหลัวเสอคิด ฉันก็ยุ่งมากจริงๆ นั่นแหละ
หลายสิบปีมานี้จำนวนประชากรพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณบาปเยอะเกินไป ถึงขนาดที่พญายมราชคนเดียวไม่พอใช้แล้ว
เขาจำต้องอวตารร่างมาทำงานพร้อมกันเจ็ดร่างถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของงานอย่างถูๆ ไถๆ
ยมบาลยังหมุนเวียนกะทำงานได้ ทว่าพญายมราชกลับไม่มีวันหยุดพักผ่อน
โซฟาในห้องรอเข้าบ้านผีสิงมีส่วนหนึ่งที่สปริงยุบลงไป ฉยงเหรินไม่อยากให้ก้นของตัวเองต้องลำบากจึงได้แต่กระเถิบก้นไปนั่งข้างพญายม
เยี่ยนหมัวหลัวเสอได้กลิ่นหอมบนตัวฉยงเหริน กลิ่นหอมฟุ้งโชยกรุ่นมาหาเขา
เขากลืนน้ำลาย ย้ายสายตาออกเล็กน้อย “สาเหตุหลักที่ฉันนอนไม่หลับเป็นเพราะเพลงเพลงหนึ่ง”
“เพลงอะไรครับ” เพลงนี้ต้องไม่เพราะขนาดไหน ถึงทำให้คนเรานอนไม่หลับเรื้อรังได้เนี่ย
พญายมราช “นักล่าแสง”
ฉยงเหริน “นัก…นักล่าแสง…”
พญายมราช “นายเคยฟังเหรอ”
ฉยงเหรินปฏิเสธลั่นทันที “ไม่เคยฟัง! ชื่อเพลงประหลาดมาก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ”
ใจเย็นฉยงเหริน!
บนโลกนี้มีเพลงชื่อซ้ำอยู่มากโข นายแป้กขนาดนั้น แล้วประชากรในเมืองหลงเฉิงมีตั้งสิบล้าน จะบังเอิญเจอคนเป็นที่เคยฟังเพลงของนายง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า
พญายมราช “เป็นเพลงของนักร้องที่ชื่อว่าฉยงเหริน เลขาฯ ฉันชอบเขามาก แล้วก็ร้องเพลงของเขาทุกวัน”
ชื่อเหมือนกัน ต้องชื่อเหมือนกันแน่ๆ เพลงของเขาจะทำให้คนนอนไม่หลับได้ไง
“งั้นคุณลองด่าเขาระบายอารมณ์สักสองสามคำดูไหมครับ” ฉยงเหรินแนะนำเสียงแผ่ว ละอายจนไม่กล้าเงยหน้า
เขาเผลอทำลายวงจรการนอนหลับของเพื่อนผู้ป่วยหลายครั้งหลายคราโดยไม่รู้ตัว ยากจะปฏิเสธได้ว่านี่ไม่ใช่ชะตาอย่างหนึ่ง
“ถ้าฉยงเหรินรู้ว่าเขาทำให้คุณนอนไม่หลับ เขาต้องไม่ถือสาแน่นอนถ้าคุณจะด่าเขา”
และยังถึงขั้นช่วยอีกฝ่ายด่าตัวเองด้วย
เยี่ยนหมัวหลัวเสอเหลือบตาขึ้น “เขาไม่ได้ทำให้ฉันนอนไม่หลับ”
“อ๋า?” ฉยงเหรินมึนงง “แต่คุณบอกว่าฟังเพลงเขาแล้วนอนไม่หลับไม่ใช่เหรอ”
“เพลงกับนักร้องไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอาการนอนไม่หลับของฉัน”
เยี่ยนหมัวหลัวเสอมองฉยงเหริน แววตาจริงจังยิ่ง “คนบางคนแพ้แสงแดด แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพระอาทิตย์นี่”
ฉยงเหรินตะลึงงัน
บนโลกนี้คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเอาเพลงที่ทำให้ตัวเองนอนไม่หลับมาเปรียบเป็นพระอาทิตย์
เมื่อคนขายตั๋วเข้ามาในบ้านผีสิง บรรดาพนักงานก็เข้ามาล้อมทันที
“หัวหน้า คุณช่วยคิดวิธีจัดการกับขวานบนหัวฉันทีสิ ลูกชายฉันมา ฉันอยากเจอเขาตัวเป็นๆ”
คนขายตั๋วได้ยินก็ชะงักงัน “ลูกชาย? เธอตายไปสี่ร้อยปีแล้วไม่ใช่เหรอ เขากลับชาติมาเกิดแล้ว?”
ผีสาวเดรสขาว “เธอหมายถึงหนุ่มหล่อที่ใส่หมวกข้างนอกนั่นค่า ฉันก็เคยเปิดเพลงลูกสาวฉันให้ฟังนี่ แถมคุณยังตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าด้วยแน่ะ”
คนขายตั๋ว “อ้อ เขานี่เอง…แต่นักร้องคนนั้นเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเป็นลูกสาวได้ล่ะ”
“หัวหน้าขา คุณไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้หรอกค่ะ คุณช่วยพวกเราจัดการกับสภาพตอนนี้หน่อยได้ไหม ทำให้พวกเราดูเหมือนคนเป็นสักแป๊บนึงเถอะนะ”
คนขายตั๋วกระอักกระอ่วน “มัน…ออกจะยากอยู่นะ ที่ที่ท่านพญายมอยู่เราจะใช้อิทธิฤทธิ์ลำบากมาก”
ฉยงเหรินที่ถูกคนเปรียบเป็นพระอาทิตย์ครั้งแรกรู้สึกตื้นตันใจมาก เพื่อนผู้ป่วยตรงไปตรงมาทั้งยังอ่อนโยน ใครจะเก็บอาการได้กัน
แต่ในฐานะนักร้องต้นฉบับและผู้แต่งเพลง ‘นักล่าแสง’ เขาก็ถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “งั้นเพลงนี้มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“แย่สุดๆ” เยี่ยนหมัวหลัวเสอกำชับเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “อย่าคิดไปลองฟังเพราะแค่อยากรู้เชียว สิ่งต้องห้ามบางอย่างก็ไม่ควรไปแตะต้อง”
ฉยงเหริน “ตะ…ต้องห้าม…”
เยี่ยนหมัวหลัวเสอห่วงว่าฉยงเหรินจะตกอยู่ในภาวะนอนไม่หลับเหมือนตัวเอง เขาเน้นเสียงหนัก “ถึงเลขาฯ ของฉันจะชอบมาก แต่เลขาฯ ของฉันเป็นผู้หญิงที่คิดว่าแมงป่องหน้าตาน่าสงสาร ต้องคอยพิจารณาอย่างรอบคอบต่อมุมมองด้านความงามของเธอ”
ฉยงเหริน “อือ…Q^Q”
คนขายตั๋วที่ไม่สามารถแก้ปัญหารูปลักษณ์ภายนอกของบรรดาพนักงานได้ค่อยๆ กระดึ๊บออกมาจากในบ้านผีสิง ถืออัลบั้มมาสามอัลบั้มพลางกล่าวกับฉยงเหริน
“สวัสดี คุณคือฉยงเหรินใช่ไหมครับ เพื่อนร่วมงานผมชอบคุณมาก พวกเธอวานให้ผมมาขอลายเซ็นคุณครับ”
ฉยงเหริน “…”
เยี่ยนหมัวหลัวเสอ “…”
จู่ๆ ห้องรอคิวก็เงียบฉี่
คนขายตั๋วหน้าซื่อตาใสไร้มลทิน “หือ?”
เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่อย่างกับถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น
คนขายตั๋วทบทวนคำพูดของตัวเองอย่างระมัดระวัง
ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่
เขากล่าวต่อ “เพลง ‘นักล่าแสง’ ของคุณเพราะมากครับ ผมตัดท่อนทาดาดามาตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าโดยเฉพาะเลยด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็รอให้คนโทรเข้ามาตลอดเวลาเลย เพลงของคุณฟังร้อยรอบก็ไม่เบื่อ ฮ่าๆๆ”
บรรยากาศแห่งความสุขลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้องรอคิว
ฉยงเหรินลอบชำเลืองมองเพื่อนผู้ป่วย
เพื่อนผู้ป่วยหลุบตาลงต่ำ ก้มหน้าเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉย
ทว่าติ่งหูกลับแดงแจ๋อย่างกับเลือดจะหยดออกมาอยู่รอมร่อ
ฉยงเหรินรับอัลบั้มมาตวัดเซ็นชื่อ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู “อ๊ะ พี่เองเหรอ อืม ผมยุ่งจนลืมไปเลย ผมจะกลับเดี๋ย…”
เสียงเรียกเข้าของเขาพลันดังขึ้นไม่ดูเวล่ำเวลา โทรศัพท์ก็อยู่ใกล้เกินไปจนดังสะเทือนแสบแก้วหู
ฉยงเหริน “…”
วันนี้มันวันบ้าอะไรเนี่ย โลกที่ผลัดกันหน้าแตกจนอยากหนีกลับหลุมแบบนี้มีอยู่จริงด้วยเหรอ
ฉยงเหรินเลื่อนปลดล็อกหน้าจอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ผู้จัดการเป็นคนโทรมาหาเขา
“นายขึ้นฮอตเสิร์ช! รีบกลับมาคุยกันเถอะว่าจะคว้าโอกาสนี้ยังไงดี”
เหล่าหยางระริกระรี้จนเสียงหลง ฉยงเหรินรีบเข้าเวยป๋อ แล้วก็พบว่าชื่อของเขาแขวนอยู่บนอันดับที่สี่สิบกว่าๆ ของตารางอย่างเหลือเชื่อ เมื่อรีเฟรชตารางอันดับอีกครั้งมันก็พุ่งทะลุไปอีกหนึ่งอันดับ
คำที่ขึ้นฮอตเสิร์ชคือ #ฉยงเหริน เข้าฝัน#
แจ้งเตือนเวยป๋อเด้งขึ้นมาไม่หยุด คอมเมนต์ที่ยังไม่ได้อ่านและเมนชั่นแท็กหาเขาพุ่งเกินสามหมื่นแจ้งเตือน ข้อความส่วนตัวก็เด้งมาเรื่อยๆ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องรีบกลับไปจริงๆ แล้ว
ฉยงเหรินกุมโทรศัพท์ เขายังอยากแอดวีแชตกับเพื่อนผู้ป่วยคนนี้มาก แต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า…
ความแดงจากติ่งหูเพื่อนผู้ป่วยตอนนี้ลามมาถึงแก้มแล้ว แต่ร่างกายก็ยังรักษาอยู่ในท่วงท่าเดิมตั้งแต่เมื่อกี้เป๊ะๆ ประหนึ่งซอมบี้ขี้อายตัวหนึ่ง
* 120 คือเบอร์ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินของประเทศจีน
บทที่ 8
หากเป็นห้านาทีก่อน ฉยงเหรินไม่มีวันเดาถูกแน่ๆ ว่าแชมป์หน้าแตกของวันนี้จะเป็นคนอื่น
สุดท้ายเขาก็รีบจ้ำอ้าวกลับ ให้พื้นที่เพื่อนร่วมป่วยได้เก็บเศษหน้าดีกว่า เพราะยังไงพระราชวังโปตาลา* ก็ใหญ่ไม่น้อย มีที่ให้เก็บเศษหน้าเพียบ
ฉยงเหรินเผ่นออกจากตรงนี้อย่างไว วิ่งเร็วเสียยิ่งกว่าตอนเจอผี
สามผีสาวเกาะประตูบ้านผีสิง มองแผ่นหลังฉยงเหรินจากไปตาปริบๆ น้ำตาไหลเป็นสาย
ผีสาวเดรสขาวมองท่านพญายมที่ยังคงอยู่ในสถานะห่อเหี่ยว ถองศอกใส่เพื่อนข้างๆ เป็นเชิงให้พวกเธอดูโทรศัพท์
‘รู้สึกอะไรไหม’
‘รู้สึก โคตรเหมาะ อร่อยเป็นบ้าเลย’
‘ถึงฉยงเหรินจะเป็นผัวฉัน แต่ยอมให้เขาแต่งกับต้าหวังก็ใช่ว่าจะไม่ได้’
‘เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้าหวังถึงดูห่อเหี่ยวอย่างนั้นล่ะ’
‘อาจจะเป็นเพราะเมียจ๋ากลับไปแล้วก็ได้ ผู้ชายที่คิดถึงเมียก็เป็นงี้แหละ สุดจะเศร้า’
‘อร่อยมาก ขอบคุณ’
เหล่าผีสาวเม้าท์กันในกลุ่มอย่างเร่าร้อน ฉับพลันเงามืดหนึ่งก็ทอดตกลงมาหน้าประตู
พวกเธอสัมผัสได้ก็พากันยืนตัวตรงท่าทางเรียบร้อยขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน สองมือประกบที่หน้าท้องอย่างเรียบร้อย
ขาดแค่ค้อมหัวลงแล้วพูดว่า ‘สายัณห์สวัสดิ์แขกผู้มาเยือนทุกท่าน’ แล้ว
“ขอถามหน่อยสิ” ท่านพญายมถามขึ้น “อัลบั้มของเขาซื้อได้ที่ไหนงั้นเหรอ”
สาวน้อยเดรสขาวอยากจะถวายไอเทมสะสมของตัวเองให้เดี๋ยวนั้น แต่ก๊วนเพื่อนก็รีบส่งสายตาห้ามเธอไว้ก่อน
กิจการของภรรยา คนเป็นสามีก็ต้องสนับสนุนด้วยตัวเองสิ จะให้คนอื่นทำแทนได้ไง!
เธอปัดผมไปด้านหลังขวาน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เชิญดูเลยค่ะต้าหวัง นี่คือเว็บไซต์ออฟฟิเชียลของค่ายเจินเฉิงคัลเจอร์ค่ะ ท่านสามารถเลือกซื้ออัลบั้มกับกู๊ดส์ได้ที่เว็บนี้ แต่ว่าเว็บออฟฟิเชียลส่งของค่อนข้างช้า แล้วก็บนแอพฯ เถิงอวิ๋นมิวสิกสามารถฟังเพลงถูกลิขสิทธิ์ได้ ฟรีด้วยนะค้า แต่ถ้าท่านสมัคร VIP ก็จะสามารถดาวน์โหลดเพลงคุณภาพสมบูรณ์ได้เลยค่า”
ชานเมืองหลงเฉิง ณ ลานเรือนแสนงดงามซึ่งมีทางเข้าสี่ทางแห่งหนึ่ง
ทันทีที่ชิงเหิงเข้าประตูมา เขาก็บังเอิญชนกับเมิ่งเซิน…พี่ชายลำดับสามผู้เกิดในรุ่นเดียวกับเมิ่งชิงเหิง
บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งสร้างตระกูลขึ้นมาด้วยการหากินกับโลกหลังความตาย ทุกๆ รุ่นจะต้องมีผู้สืบทอดตำแหน่งยมทูตคนเป็น หรือก็คือผู้รับวิญญาณแทนยมโลกด้วยวิญญาณของร่างคนเป็น
และผู้ที่ถูกโลกหลังความตายเลือกให้เป็นยมทูตคนเป็นของรุ่นนี้ก็คือเมิ่งเซิน
ชิงเหิงเจออีกฝ่ายก็หัวหดทันที เขากระถดถอยหลังไปด้วยความกลัว “พี่สาม”
เมิ่งเซิน “ได้ยินว่านายไปเป็นไอดอลแล้วเหรอ นายร้องเต้นไม่เป็น แค่เดินยังกระง่อนกระแง่นจะสะดุดล้ม จะทำไหวเหรอ”
ชิงเหิงถูกค่อนแคะให้เจ็บใจ แต่ก็ไม่กล้าโต้ตอบ ได้แต่พูดเสียงเบาๆ ว่า “ก็พอได้”
เขากวักมือเรียกชิงเหิง “มาใกล้ๆ สิ ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
ชิงเหิงเกลียดท่าทางแบบนี้มาก ทุกครั้งที่เมิ่งเซินเรียกเขาแบบนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาที่ถูกเรียกเสมอ
แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ
ชิงเหิงเดินไปข้างๆ เมิ่งเซิน เมิ่งเซินพูดเข้าเรื่องทันที “ได้ยินว่านายคบกับฟู่จยาเจ๋ออยู่ใช่ไหม รีบตัดความสัมพันธ์กับเขาซะ”
ดวงตาสองข้างของชิงเหิงน้ำตาคลอหน่วยทันที เมิ่งเซินเห็นก็รำคาญใจ “ต่อให้นายไม่รู้ใจคน แต่ก็ไม่ใช่ว่านายจะมองโหงวเฮ้งคนไม่เป็นนี่ ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเขาใจคด สมองน้อยๆ อย่างนายตามอะไรเขาไม่ทันหรอก”
ชิงเหิงกำหมัดแน่น ใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวผ่องเริ่มแดง
เขาอยากพูดว่ามันไม่จริง ถึงเขาจะเรียนไม่เก่ง แต่ก็ไม่ถึงกับดูโหงวเฮ้งคนไม่เป็นเลย ใบหน้าของฟู่จยาเจ๋อไม่ได้มีปัญหาอะไรสักหน่อย
แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหลืออดของเมิ่งเซิน เขาก็พูดอะไรไม่ออกสักคำเดียว
เมิ่งเซินสั่งสอนเขาเสร็จก็ล้วงทิชชูออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ร้องทำไม ฉันดุด่านายหรือยัง เช็ดซะ”
ชิงเหิงรับมาด้วยความอัปยศอย่างที่สุด แล้วก็เห็นว่ากระดาษทิชชูยับเป็นขุยหมดแล้ว เมิ่งเซินกำลังหยามเขาอยู่จริงๆ ด้วย
เมิ่งเซินรอจนเขาเช็ดน้ำตาเสร็จ กระแอมแห้งๆ หนึ่งทีก่อนเอ่ย “คือว่า…นายก็นับว่าเป็นบุคลากรภายในเจินเฉิงคัลเจอร์คนหนึ่ง นายช่วยซื้อกู๊ดส์ของฉยงเหรินมาให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า”
ชิงเหิงเงยหน้าขวับ สลัดน้ำตาสองหยดใหญ่กระเด็น “นี่พี่ก็ชอบเขาด้วยเหรอ”
เมิ่งเซินหมดคำจะพูด เช็ดมืออย่างรังเกียจ ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเขาเอาแต่ฟูมฟาย แล้วยังเป็นพวกสมองมีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีก
“ฉันก็ชอบเขาด้วยหมายความว่าไง ฉันไม่ได้สนเขาหรอก แต่นายเหนือหัวฉันเป็นแฟนคลับเดนตายของเขา ฉันก็ต้องรู้จักตบตูดม้า* บ้างไม่ใช่เหรอ”
นายเหนือหัวที่ว่านั่นไม่ใช่เจ้าพ่อหลักเมืองของเมืองหลงเฉิงเหรอ
“ยังไงก็เถอะ บริษัทพวกนายมีอะไรตุนอยู่บ้างก็ค้นมาให้ฉันทั้งหมด ฉันเหมาหมดนั่น”
“แต่…” ราวกับมีไฟสุมในอกของชิงเหิง ฉยงเหรินมีดีอะไร ทำไมท่านเจ้าพ่อหลักเมืองถึงชอบเขา “เจ้าพ่อหลักเมืองจะเอากู๊ดส์ของฉยงเหรินไปทำไม”
เมิ่งเซินมองเขาด้วยสายตาแหม่งๆ “นายไม่ดูเวยป๋อเลยเหรอ ฉยงเหรินจะจัดงานแฟนไซน์ในยมโลก วิญญาณทั้งหลายพากันเข้าฝันมาบอกให้ญาติสนิทซื้อพวกสินค้าออฟฟิเชียลของเขาให้ เรื่องนี้ถึงกับขึ้นฮอตเสิร์ชเวยป๋อเลยนะ”
แล้วเขาก็ถือโอกาสเปิดตารางอันดับฮอตเสิร์ชของเวยป๋อขึ้นมา กวาดมองชั่วครู่ แล้วส่งมือถือให้ชิงเหิง
ชิงเหิงรับมาดู…
[เพื่อน ดูสิว่าฉันไปเจออะไรดีๆ มา คลิปตอนฉยงเหรินเป็นเทรนนี ฉันโหลดมาจากเว็บออฟฟิเชียลของเจินเฉิงคัลเจอร์ เบ้าหน้าโคตรฟ้าประทาน บอกคำเดียวเลยว่าที่สุดของวงการจีน คงไม่มีใครเห็นต่างหรอกนะ]
[เชี่ยยย…]
[เชี่ย!]
[ตอนแรกอยากคอมเมนต์ว่าชาวเน็ตไร้อารยะมาก ทำไมถึงได้เอาแต่พูดคำว่าเชี่ยกับหนุ่มหล่อ แต่พอฉันเปิดเข้าไปดูเท่านั้นแหละ เชี่ย!]
[เบ้าหน้าโคตรสุด เบ้าหน้าแบบเจ้าแม่หนี่ว์วา** บรรจงปั้นขึ้นมาเองกับมือ ส่วนฉันเจ้าแม่หนี่ว์วาน่าจะแค่เขี่ยๆ แตะๆ ปั้นมาส่งเดชสินะ QAQ]
[ชาวเน็ตอย่าเอาแต่พูดเรื่องหน้าสิ หุ่นเขาก็สุดยอดเหมือนกัน ขาจะยาวเกินไปแล้ว ขนาดข้อเท้ายังสวย ไม่สมเหตุสมผลเลย ยังไงก็เหอะ ข้าขอเลียหน้าจอให้เกลี้ยงเพื่อคารวะ]
[ตอนนี้ฉันก็เลียขาอยู่ พวกคลั่งข้อเท้าอย่างพวกเราในที่สุดก็ยืนหยัดได้ (น้ำลายไหล.jpg)]
[เทียบกับฟู่จยาเจ๋อแล้วคิดว่าไงกันบ้าง ฟู่จยาเจ๋อขึ้นชื่อว่าตัวท็อปวงการ แต่หน้ายังไงก็สู้พวกนูกูไม่ได้เลย]
[พวกแฟนคลับไอดอลนูกูกรุณาอย่าเอาตัวท็อปอันดับหนึ่งของวงการจีนมาเทียบชั้นกัน เราห่างชั้นกันมาก อย่าลากมาเกี่ยวกันได้ปะ]
[เจินเฉิงคัลเจอร์เป็นบ้าเหรอ หน้าตาดีขนาดนี้ไม่ดัน แต่กลับไปดันนักพรตปลอมแต่แอ๊บใสซื่ออย่างชิงเหิงอะนะ ค่ายโง่ๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ล่มจมเข้าสักวัน]
[ฟู่จยาเจ๋อกับฉยงเหรินเทียบหน้ากันแล้วก็ห่างชั้นกันจริงๆ นั่นแหละ ดูยังไงฉยงเหรินก็ดูดีกว่าฟู่จยาเจ๋อสองพันกว่าเท่า เจินเฉิงเอ๋ย แนะนำให้พาคุณพรี่ชายของคุณกลับไปซ่อมที่โรงงานใหม่นะ ซิลิโคนเบี้ยวอย่างนั้นยังจะโม้ว่าหล่อที่สุดแห่งยุคอีก]
ถึงตรงนี้ คอมเมนต์ตอบกลับใต้เวยป๋อโพสต์นี้ก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป ชิงเหิงเองก็หัวเสียจนอ่านต่อไปไม่ไหว และสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคือยอดแฟนคลับของฉยงเหรินตอนนี้ทะลุหกหลักไปเรียบร้อยแล้ว
เขาไปออกรายการเซอร์ไววัลเฟ้นหาไอดอลมาแล้ว แต่ก็ยังมียอดแฟนคลับแค่หนึ่งจุดเจ็ดล้านเอง ฉยงเหรินขึ้นฮอตเสิร์ชครั้งเดียว ยอดแฟนคลับก็พุ่งขึ้นมาถึงครึ่งหนึ่งของเขาแล้ว ฉยงเหรินมีดีอะไร
เมิ่งเซินไถโพสต์เวยป๋อพลางบ่นอุบ “ฝูงชนทะเลาะกันเพื่อไอ้หน้าละอ่อนคนเดียว ว่างกันจังนะ”
ชิงเหิงพลันรู้สึกว่าแม้พี่สามของเขาจะน่ากลัวทั้งยังน่ารังเกียจ แต่ว่าอีกฝ่ายก็ตาแหลม
เขาพยักหน้ากล่าว “ใช่ ฉยงเหรินก็แค่ไอ้หน้าอ่อนที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้เท่านั้นแหละ เขาจะไปเทียบชั้นกับฟู่จยาเจ๋อได้ไง”
เมิ่งเซินปรายตามอง หน้าตางุนงงว่าแกพูดไร้สาระอะไรอยู่ “ถ้าฉยงเหรินหน้าตาแค่พอไปวัดไปวาได้ งั้นฟู่จยาเจ๋อก็เป็นได้แค่ไอ้หน้าปลาจวด นี่ขนาดฉันด่าใครอยู่นายยังแยกไม่ออกอีกเหรอ”
ชิงเหิงอุตส่าห์รู้สึกว่าตนมีศัตรูร่วมกันกับเขาแล้วเชียว ผ่านไปแค่สิบวินาทีความรู้สึกพวกนั้นก็โดนตบกลับมาหมด ที่แท้ไอ้ความรู้สึกร่วมกันเหมือนได้เจอกับตัวก็ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
เขาโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าหุบปากฉับ
เมิ่งเซิน “ฉันต้องรีบไปทำงานยมทูตแล้ว เดี๋ยวจะโอนเงินเข้าบัญชีนาย แล้วอย่าลืมซื้อกู๊ดส์มาให้ฉันด้วย”
เมิ่งเซินกล่าวจบก็หายแวบไปทำโอทีที่ศาลหลักเมืองแล้ว
ในตอนที่ชิงเหิงกำลังเหม่อ เสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังขึ้น
ผู้ช่วย ได้ยินว่าฉยงเหรินดวงชะตาพลิกกลับมาดีเพราะพี่หยางไปไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะให้เขา เราไปบูชามาสักการะสักองค์บ้างดีไหม
ชิงเหิงเบิกตากว้างทันที
ฉยงเหรินดวงพลิกเป็นดีเพราะหยางเฟิงไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะงั้นเหรอ
เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไง
เขารู้ว่าหยางเฟิงบูชาเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะมาสักการะ และเพื่อไม่ให้ฉยงเหรินมีโอกาสพลิกดวงได้ เขาก็เลยไปสลับเทวรูปที่เจ้าอ้วนนั่นบูชามาเป็นพญายมราชที่แอบจิ๊กมาจากเมิ่งเซินไปตั้งนานแล้วนี่!
ฉยงเหรินกดปีกหมวกต่ำ มือซ้ายจับราวจับบนรถไฟ มือขวาไถเวยป๋อ
ตอนนี้ยังไม่นับว่าเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แต่ที่นั่งบนรถไฟก็ไม่เหลือที่ว่างอย่างเคย
ไม่รู้ทำไมอกซ้ายถึงรู้สึกปวดแสบนิดๆ ตอนผ้าแฉลบผ่านก็รู้สึกได้ชัดเป็นพิเศษ เขาจึงต้องเปลี่ยนมืออีกข้างไปจับราวจับแทน
เพียงเวลาสิบนาทีสั้นๆ ฮอตเสิร์ชของเขาก็วิ่งขึ้นไปยี่สิบกว่าอันดับแล้ว แฮชแท็กมีไอคอนสีส้มประดับแสดงความนิยมด้านหลังว่า ‘ฮอต’
ฉยงเหรินกดเข้าไปดูรูปแคปหน้าจอจากเพจดังของเวยป๋อโดยตรง จะได้รู้ที่มาที่ไปของฮอตเสิร์ชนี้ได้ทันที
[เมื่อคืนปู่มาเข้าฝัน บอกให้ฉันเผากู๊ดส์ของฉยงเหรินไปให้เขา ตื่นเช้ามาฉันก็เลยเสิร์ชชื่อดู ไม่นึกว่าจะมีไอดอลหน้าใหม่แบบนี้อยู่จริงๆ จมมิดแบบดึงไม่ขึ้นเลย…ยังไงก็เถอะ ฉันแค่อยากถามว่าฉันจะซื้อพวกออฟฟิเชียลของเขาได้ที่ไหนบ้าง]
[ไม่ใช่แค่นาย อาเจ๊ฉันก็บอกให้ฉันเผาสโลแกน* ไปให้ เห็นบอกว่าจะไปงานแฟนไซน์! เพราะเขาโปรโมตงานแต่ในโลกหลังความตายหรือเปล่าก็เลยไม่ดังในโลกคนเป็น (ช็อก.jpg)]
[ไปค้นรูปมา หล่อลากเลยอะ นับแต่นี้ไปฉันจะเป็นแฟนคลับหน้าตาที่รอยัลที่สุดของเขา แผล็บๆๆ]
[หล่อมากแม่! หล่อขนาดนี้ไม่ดังได้ไง]
[อาจจะเป็นเพราะรับงานแต่ในโลกหลังความตายเป็นหลักก็ได้ ฮ่าๆๆ]
[เอ๊ะ? ทำไมของฉันถึงเข้าฝันมาบอกให้ฉันเขียนฟิคฉยงเหรินกับท่านพญายมราชล่ะ]
ฉยงเหรินXพญายมราชจะไม่เร้าใจไปหน่อยเหรอ…สมองของแฟนคลับในยมโลกช่างกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ
ฉยงเหรินจมจ่อมกับความคิดอย่างช้าๆ
มิน่าล่ะอยู่ดีๆ ทำไมถึงขึ้นฮอตเสิร์ชได้ ต้นเหตุมาจากงานแฟนไซน์ในนรกนี่เอง
แฟนๆ ในยมโลกอยากพกกู๊ดส์ศิลปินไปงานด้วย แต่ไม่มีช่องทางการซื้อในนรก พวกเขาก็เลยมาเข้าฝันญาติคนสนิท ผลกลายเป็นว่าจุดประเด็นให้ฉยงเหรินขึ้นฮอตเสิร์ชได้อย่างเกินคาด
คนอื่นขึ้นฮอตเสิร์ชได้อาจเพราะความพยายามของตัวเอง แต่เขาขึ้นฮอตเสิร์ชได้เป็นผลพวงมาจากความพยายามของแฟนคลับเขาล้วนๆ นี่ไม่ใช่ผลตอบรับที่มีเฉพาะคนดังระดับแถวหน้าเท่านั้นที่จะได้สัมผัสหรอกเหรอ ศิลปินไร้แถวอย่างเขาก็ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ด้วย
นี่แหละแฟนคลับของเขา ถึงจะน้อยแต่ก็คุณภาพล้วนๆ ฉยงเหรินอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีแฟนคลับในยมโลกเท่าไหร่
จะถึงสามร้อยหรือเปล่า
ถ้าขอมั่นหน้าหน่อย ไม่แน่อาจจะห้าร้อย!
เดี๋ยวเย็นนี้ลองติดต่อไปถามเลขาฯ จินดีกว่า ดูซิว่าจะมีคนมางานแฟนไซน์เขาเท่าไหร่ เขาอยากจะเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาด้วย
แฟนๆ ในยมโลกพยายามกันเหลือเกินเพื่อให้มีกู๊ดส์สำหรับเชียร์ไปหาเขา ไม่นึกเลยว่าจะคิดวิธีเข้าฝันคนสนิทแบบนี้ได้ พอคิดถึงตรงนี้ ฉยงเหรินก็รู้สึกละอายกับสภาพตัวเองตอนอยู่ที่บ้านผีสิงเหลือเกิน
ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าคืนนี้จะดูเรื่อง ‘เดอะริง คำสาปมรณะ’ แต่คิดๆ ดูแล้ว เอาเป็นว่าดู ‘โปเยโปโลเย’ ก่อนดีกว่า
ยังไงเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนก็น่ากลัวกว่าผีซาดาโกะเยอะ
เขาต้องพยายามมากกว่านี้ถึงจะคู่ควรกับความรักและการสนับสนุนจากแฟนคลับ
ทำงานครั้งแรก มีงานแฟนไซน์ครั้งแรก ขึ้นฮอตเสิร์ชครั้งแรก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปาฏิหาริย์ที่แฟนๆ ในยมโลกบันดาลให้ เทียบกับปาฏิหาริย์เหล่านี้แล้ว สิ่งที่เขามอบให้แฟนๆ ได้ช่างน้อยนิดเหลือเกิน
เขาอยากทำเพื่อแฟนๆ มากกว่านี้
พูดถึงแฟนๆ แล้ว…
ไม่นึกว่าพนักงานในบ้านผีสิงจะเคยฟังเพลงของเขากันด้วย หนึ่งในสามคนนั้นยังซื้ออัลบั้มของเขาอีก บอกไว้ก่อน ยอดขายอัลบั้มของเขาทั้งหมดขายได้แค่ 49 อัลบั้มเท่านั้น
เมื่อดูจากด้านนอก บ้านผีสิงก็ไม่ได้มีพื้นที่มากขนาดนั้นแท้ๆ แต่เขากลับใช้เวลาสิบนาทีกว่าจะหลุดพ้นออกมาจากในนั้นได้
มาคิดดูตอนนี้ ชื่อเต็มของสถานทูตประจำแดนหยางที่ว่านั่นคงไม่ใช่ว่าเป็น ‘สถานเอกอัครราชทูตยมโลกประจำแดนหยาง’ หรอกนะ…
งั้นเพื่อนผู้ป่วยของเขาเป็นใครกันแน่
ทำไมรู้สึกว่าเพื่อนผู้ป่วยของเขาไม่ค่อยจะเหมือนผีเลย
* พระราชวังโปตาลา เดิมถูกใช้เป็นพระราชวังฤดูหนาวขององค์ดาไลลามะ ตั้งอยู่ที่เมืองลาซาของทิเบต
* ตบตูดม้า หมายถึงประจบสอพลอเอาใจเจ้านาย
** เจ้าแม่หนี่ว์วา คือเทพผู้สร้างมนุษย์ เป็นเทพมารดรแห่งชนชาวจีน
* สโลแกน คือผ้าเชียร์หรือป้ายเชียร์
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.