ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ห้อง 1303 (1)
“เป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง…เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!!” ดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มแดงก่ำ ขยับปากพึมพำกับตัวเองไม่หยุดด้วยสภาพจิตใจที่คลุ้มคลั่ง มือข้างหนึ่งทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง ขณะที่มืออีกข้างนั้นเส้นเลือดดำนูนโป่ง เขาโยนบางสิ่งในมือลงบนโต๊ะไม่หยุด
ลูกเต๋าสองลูกกลิ้งออกจากฝ่ามือของเขา หลังกลิ้งขลุกๆ อยู่หลายรอบมันก็หยุดนิ่งสนิทอยู่บนโต๊ะ ลูกเต๋าสีแดงฉานสองลูกปรากฏแต้มเก้าแต้ม ราวกับเป็นเชือกแห่งชีวิตที่คล้องอยู่บนคอของเขาอย่างแน่นหนาก็มิปาน ดวงตาทั้งคู่ของเขาปูดโปน ขบฟันเสียงดังกรอด แค่นออกมาจากปากทีละคำ “เป็นไปไม่ได้…”
ดังนั้นเขาจึงโยนมันออกไปอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งโดยไม่หยุดพัก…แต่ไม่ว่าเขาจะโยนออกไปอีกกี่ครั้ง ลูกเต๋าทั้งสองลูกก็ทอยออกมาเป็นเก้าแต้มเสมอ
แก๊ง แก๊ง แก๊ง
เสียงหวีดแหลมของนาฬิกาด้านหลังดังบอกเวลา ชายหนุ่มสติกระเจิงพลันหยุดการเคลื่อนไหว ทั้งสรรพางค์กายแข็งค้างประหนึ่งรูปปั้นหิน เขาค่อยๆ หันหน้าไป แล้วก็พบว่าบนไหล่ของตนมีมือข้างหนึ่งที่ทาเล็บสีแดงเลือด ผิวขาวซีดราวกับกระดาษปรากฏอยู่
หลินปั้นซย่าและจี้เล่อสุ่ยย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนี้ได้ราวหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ห้องนี้เป็นห้องที่สามของชั้นสิบสาม เลขห้อง 1303 หลินปั้นซย่าคือผู้ที่ซื้อห้องนี้ จ่ายเงินดาวน์หนึ่งแสนหกหมื่นหยวน ผ่อนเดือนละสามพันหยวนนานสามสิบปี การซื้อคอนโดฯ ใกล้เมืองได้ในราคานี้นับเป็นราคาที่คุ้มค่าอย่างมาก ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือสภาพแวดล้อมของย่านคอนโดฯ* นี้อยู่ในระดับธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับราคาที่ถูกแล้ว ข้อด้อยเหล่านี้ล้วนไม่นับเป็นอะไรเลย
จี้เล่อสุ่ยเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของหลินปั้นซย่า ทั้งคู่สนิทกันมาโดยตลอด เรียนจบแล้วก็ยังเช่าห้องอยู่ด้วยกัน หลังจากหลินปั้นซย่าซื้อบ้านใหม่เขาก็ชวนเพื่อนมาอยู่ด้วย ซึ่งจี้เล่อสุ่ยก็ตอบรับด้วยความยินดีปรีดา
“ปั้นซย่า คืนนี้นายจะกลับกี่โมงเหรอ”
วันนี้เขาเข้ากะดึก ก่อนจะไปทำงานหลินปั้นซย่ายังช่วยจี้เล่อสุ่ยเตรียมมื้อเย็นไว้ด้วย เขากำลังก้มหน้าสวมรองเท้า แล้วก็ได้ยินจี้เล่อสุ่ยเอ่ยถามเสียงเบา
“น่าจะตีห้าล่ะมั้ง” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ทำไมเหรอ”
“ฉะ…ฉัน…ช่างเถอะ ไม่มีอะไร” จี้เล่อสุ่ยอึกๆ อักๆ อยากจะบอกบางอย่างแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา สุดท้ายก็ไม่สามารถเอ่ยคำพูดในปากออกมาได้
“นายไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” หลินปั้นซย่ามองรูมเมตของตัวเองอย่างแปลกใจ สองสามวันมานี้จี้เล่อสุ่ยดูวิตกอย่างเห็นได้ชัด เอาแต่บอกว่าได้ยินเสียงไอของคนในห้องข้างๆ แต่ว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
“อาจจะเป็นหวัดล่ะมั้ง” จี้เล่อสุ่ยหัวเราะ สีหน้าดูฝืนใจเล็กน้อย
หลินปั้นซย่ากังวล “นายไม่เป็นไรจริงๆ นะ? งั้น…คืนนี้ฉันจะรีบกลับให้เร็วหน่อย”
“ได้” จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “นาย…รีบกลับมานะ”
จากนั้นเสียงปิดประตูก็ดังขึ้นแผ่วเบา หลินปั้นซย่าออกจากห้องไปแล้ว
จี้เล่อสุ่ยนั่งลงบนโซฟา เขารู้สึกว่าทั้งห้องเงียบลงทั้งๆ ที่โทรทัศน์ยังเปิดอยู่ และเสียงของรายการที่กำลังฉายอยู่นี้กลับส่งให้บรรยากาศทั้งห้องดูเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้จี้เล่อสุ่ยไม่เข้าใจว่าเกิดปัญหาที่ตรงไหนกันแน่ จนกระทั่งวันนี้ เขาอยู่ในบ้านแล้วรู้สึกพรั่นพรึงนึกกลัว จึงลงไปเดินเล่นที่ด้านล่างคอนโดฯ สักรอบ
จี้เล่อสุ่ยเดินวนไปมา จู่ๆ เขาก็พบว่าทั้งย่านคอนโดฯ นี้ไม่มีเสียงใดเลยแม้แต่น้อย ไม่มีเสียงแมลง ไม่มีเสียงคน ไฟสีเหลืองนวลข้างทางหลายดวงสาดส่องไปยังพุ่มไม้รกทึบ เงาดำลายพร้อยดูแปลกประหลาดทอดยาวออกมา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและหันไปมองตึกที่พวกเขาอาศัย เหงื่อก็ผุดขึ้นมาที่แผ่นหลังทันที ตึกนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นดวงไฟแม้แต่ดวงเดียว ท่ามกลางแสงยามค่ำคืน อาคารสูงใหญ่นั้นราวกับภูเขาเดียวดาย เผยความหนาวเหน็บมืดสลัวดูน่ากลัวออกมา
จี้เล่อสุ่ยจ้องมองอาคารด้วยตัวสั่นเทา พลันตระหนักได้ว่าย่านคอนโดฯ ที่มีขนาดไม่ใหญ่นี้แทบไม่มีคนอยู่เลย อาคารที่มีเพียงสามหลังก็มองแทบไม่เห็นดวงไฟ แววตาของเขาสับสนลังเลอยู่ท่ามกลางหมู่ตึกอันมืดมิด สุดท้ายก็เจอหน้าต่างบานหนึ่งที่มีแสงสว่าง ในที่สุดในอกที่กลัดกลุ้มก็โล่งใจได้เสียที
“ก็มีคนอยู่ไม่ใช่เหรอ” จี้เล่อสุ่ยล้อตัวเองเล่น และยังบ่นกับตัวเองว่า “คงเป็นเพราะพื้นที่ลาดเอียงเกินไป อัตราคนอยู่อาศัยก็เลยไม่สูง…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ตรงหน้าหน้าต่างที่มีแสงสว่างนั้นก็ปรากฏเงาสีดำขึ้น แต่เพราะยืนในมุมที่ย้อนแสงจี้เล่อสุ่ยจึงมองเห็นไม่ชัดนัก เขาทำได้เพียงจำแนกจากแสงเงาพร่ามัวว่านั่นคงเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างแล้วมองออกมาข้างนอก
เดิมทีจี้เล่อสุ่ยจะเดินผ่านใต้หน้าต่างบานนั้นไป แต่ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก สัญชาตญาณบางอย่างของมนุษย์ยับยั้งฝีเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าทำให้เขาต้องหยุดอยู่ที่เดิม
ท้องฟ้ามืดเกินไป เขาจึงมองรูปลักษณ์ของหญิงคนนั้นได้ไม่ชัด เห็นได้เพียงเลือนรางว่าผู้หญิงคนนั้นยื่นแขนขาวราวหิมะทั้งสองข้างออกมา แล้วผลักหน้าต่างตรงหน้าเปิดออกเบาๆ
เธอจะเปิดหน้าต่างทำไม คืนนี้ลมแรง แล้วยัง…หนาวขนาดนี้อีก จี้เล่อสุ่ยคิดด้วยความสับสนงุนงง
ครู่ต่อมา ความสับสนของเขาก็ได้รับคำตอบ หญิงสาวผลักหน้าต่างเปิด หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วร่างนั้นก็กระโดด กระโดดลงมาทั้งอย่างนั้นเลย!
ตึง!!!
เสียงเสียดหูดังขึ้น จี้เล่อสุ่ยมองคนคนหนึ่งกลายเป็นศพแหลกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าต่อตาตัวเองอย่างตะลึงงัน แสงยามค่ำคืนเสริมให้สีเลือดดูเหมือนกับกลายเป็นน้ำสีดำขลับ กระเซ็นสาดจี้เล่อสุ่ยทั้งตัว
“อ๊าก!!!” เมื่อได้เห็นภาพน่ากลัวตรงหน้ากับตาตัวเองจี้เล่อสุ่ยก็ส่งเสียงกรีดร้อง หมุนตัวเตรียมจะวิ่งหนี ทว่าทันทีที่เขาหันกายก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งจับชายเสื้อของตนไว้แน่น เขาสะดุดซวนเซไปหลายก้าวแล้วล้มลงบนพื้นอย่างทุลักทุเล
“อ๊าก! อ๊ากกก!!!!!” ไม่เคยเห็นคนตายใกล้ขนาดนี้มาก่อน จี้เล่อสุ่ยตกใจจนแทบสติแตก เขาล้มลงกับพื้นและถอยกรูดไปข้างหลังไม่หยุด จนกระทั่งแผ่นหลังไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางต้นหนึ่ง เขาถึงหยุดลง
“มีคนตาย! มีคนตาย!!!” จี้เล่อสุ่ยกรีดร้องเสียงแหบ เขาอยากร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ในย่านคอนโดฯ อันมืดมิดอย่างกับสุสานผีดิบนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
“เล่อสุ่ย? เล่อสุ่ย นายโอเคหรือเปล่า” เสียงคนพูดดังลอยมาอย่างเลือนราง ขับไล่ความหนาวเหน็บบนกายออกไป จี้เล่อสุ่ยที่ขดตัวเป็นก้อนเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงและได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง หลินปั้นซย่า
เหมือนว่าหลินปั้นซย่าจะกลับมาจากทำงานกะดึกแล้ว สภาพไม่ต่างอะไรจากตอนที่ทั้งสองแยกกันเมื่อเที่ยง ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังพยุงไหล่ของเขา ถามว่าเขาเป็นอะไรด้วยความกังวล
“มะ…มีคนกระโดดตึก” จี้เล่อสุ่ยคว้าแขนหลินปั้นซย่า ชี้นิ้วสั่นเทาไปด้านหน้า “ตาย ตายข้างหน้านี้เลย”
“กระโดดตึก?” หลินปั้นซย่าฉงนเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยความลังเล “ข้างหน้านี้น่ะเหรอ”
“ใช่ ใช่แล้ว” จี้เล่อสุ่ยรีบพยักหน้า
หลินปั้นซย่ามองสำรวจทางเดินด้านหน้าครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะ “ไม่เห็นมีเลย”
จี้เล่อสุ่ยได้ยินก็ร้อนรน ขาสั่นเทาทั้งสองข้างฝืนลุกขึ้นยืนจากพื้น แต่ยังคงอ่อนเปลี้ยเล็กน้อย จึงให้หลินปั้นซย่าช่วยประคองเขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว
ทางมืดสลัวเล็กแคบเส้นนี้ทอดยาวคดเคี้ยวไปสุดลูกหูลูกตา แม้จะเห็นไม่ค่อยชัดแต่ก็ยังพอมองออกได้ว่าบนนั้นไม่มีรอยเลือด และยิ่งไม่ต้องพูดถึงศพเลย
“ทำไม…ไม่มีแล้วล่ะ” จี้เล่อสุ่ยเอ่ยถามอย่างเหม่อลอย แทนที่จะบอกว่าเขากำลังถามหลินปั้นซย่า ต้องบอกว่าเขากำลังถามตัวเองอยู่มากกว่า
“อะไรคือไม่มีแล้ว” หลินปั้นซย่ายื่นมือไปจับๆ หน้าผากจี้เล่อสุ่ย “นายโอเคมั้ย”
จี้เล่อสุ่ยสะบัดหัวหนักๆ ให้ตนเองตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย เขาแหงนหน้ามองตึกข้างๆ แต่กลับพบว่าหน้าต่างที่ส่องสว่างบานเมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นานเขาแค่หลอนไปเอง
“เป็นไปได้ยังไง” จี้เล่อสุ่ยเอ่ยอย่างใจลอย
“นายเห็นอะไรมา” หลินปั้นซย่าถาม
“ฉันเห็นคนกระโดดลงมาจากตึก” จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “กระโดดจากตรงนั้นลงมาข้างหน้าฉัน…เลือด…มีเลือดกระเด็นมาโดนตัวฉันด้วย”
เอ่ยจบก็กลัวว่าหลินปั้นซย่าจะไม่เชื่อ เขาจึงดึงชายเสื้อตัวเองขึ้น “ตรงนี้ ตรงนี้ไง”
แต่แสงสลัวของไฟข้างทางส่องให้เห็นว่าเสื้อโค้ตสีขาวของตนสะอาดสะอ้าน รอยเลือดเมื่อครู่นี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
บรรยากาศเงียบสงัดลง
ในตอนนั้นเอง หลินปั้นซย่าจับบ่าจี้เล่อสุ่ยไว้เบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ฉันซื้อเนื้อหมูมาเยอะเลย พวกเราไปกินอะไรกันก่อนสักหน่อยดีกว่า”
จี้เล่อสุ่ยผงกศีรษะเงียบๆ
ทั้งสองเดินทอดน่องกลับไปพร้อมกัน เมื่อถึงใต้อาคารจี้เล่อสุ่ยถึงนึกขึ้นได้ เอ่ยถามหลินปั้นซย่าว่าทำไมถึงกลับมาก่อนเวลาได้
“มีงานเข้ามา พอทำเสร็จก็กลับมาเลย” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ฉันแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตมา ซื้อหมูลดราคามาด้วย”
“อ๋อ” จี้เล่อสุ่ยตอบรับเสียงแผ่ว
“เนื้อหมูนี่แพงขึ้นทุกวันเลย” หลินปั้นซย่าเอ่ย “เมื่อวานนายบอกว่าอยากกินหมูไม่ใช่เหรอ นี่กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้ว” จี้เล่อสุ่ยยังตอบสนองช้าอยู่มาก
หลินปั้นซย่าเห็นสภาพจี้เล่อสุ่ย ในใจก็คิดว่าเขาคงตกใจไม่น้อย จึงหาหัวข้อสนทนาอื่นๆ ขึ้นมาคุยกับอีกฝ่ายแล้วเดินไปคุยไปตลอดทาง รอกระทั่งถึงบ้าน ในที่สุดจี้เล่อสุ่ยที่กลัวจนตัวแข็งทื่อก็ผ่อนคลายกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
จี้เล่อสุ่ยเช็ดหน้าผาก ลูบโดนหยดน้ำเย็นเยียบบนนั้น เขาถอนหายใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เมื่อกี้ตกใจแทบตาย ฉันนึกว่ามีคนกระโดดตึกตรงหน้าฉันจริงๆ”
“อาจจะแค่โยนอะไรลงมาก็ได้” หลินปั้นซย่าเอ่ย “นายคงมองผิดไป”
“งั้นเหรอ” จี้เล่อสุ่ยแค่นยิ้ม “ปั้นซย่า พวกเราก็ย้ายเข้ามาสัปดาห์หนึ่งแล้ว ทำไมย่านคอนโดฯ นี้ถึงไม่เห็นใครเลยล่ะ”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “เจ้าของบ้านบอกว่าที่นี่เป็นย่านใหม่ ไม่ค่อยมีคนอยู่”
จี้เล่อสุ่ยบอกว่า “แต่คนมันน้อยเกินไปหน่อยนะ”
“ก็น้อยไปนิดจริงๆ”
ทั้งสองออกมาจากลิฟต์ พอหมุนตัวเดินเข้าโถงทางเดิน ก็เห็นห้องข้างๆ พวกเขากำลังปิดประตูลงอย่างแรงพอดี
“เอ๋? มีเพื่อนบ้านมาอยู่แล้วเหรอ” จี้เล่อสุ่ยเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ย้ายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อาจจะ…สองสามวันนี้ล่ะมั้ง?” หลินปั้นซย่าเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“มีเพื่อนบ้านสักคนก็ไม่เลว” จี้เล่อสุ่ยเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากจนแห้งแล้วก็ผ่อนลมหายใจ “ไม่อย่างนั้นทั้งตึกนี้ก็มีแค่เราสองคน น่ากลัวใช่ย่อยเลย”
หลินปั้นซย่ายิ้มอ่อนโยน พยักหน้าเบาๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 28 มิ.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.