X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 11

หลังจากการสอบฮุ่ยซื่อในวันนั้นราชครูหลี่เป่าก็เข้าพบฮ่องเต้ ครั้งนี้กู้หยวนไป๋มิได้ปฏิเสธเขาอีก ในที่สุดก็เรียกอาจารย์ที่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองผู้นี้มาเข้าเฝ้า

เมื่อออกจากวังไปราชครูหลี่เป่าก็น้ำตาคลอเบ้า เขาถูกพยุงไปถึงในจวน ครั้นหลี่ฮ่วนได้ยินว่าเขากลับมาถึงจวนแล้วก็สั่งให้คนแบกตนเข้าไปหาผู้เป็นบิดา

“ท่านพ่อ” แม้จะถูกสอบปากคำปางตาย ทว่าหลี่ฮ่วนกลับมีชีวิตชีวายิ่ง เขาจับจ้องไปยังราชครูหลี่เป่า แววตาที่เต็มไปด้วยการรอคอย “ฝ่าบาทตรัสเช่นไรบ้าง”

ครั้นหลี่เป่าเห็นเขาก็บันดาลโทสะ ทว่าก็ยังสงสารที่เขามีบาดแผลเต็มตัว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องที่ข้าคุยกับฝ่าบาท เจ้าจะกังวลอะไร!”

“ก็ได้ ลูกไม่ถามแล้ว” หลี่ฮ่วนเปลี่ยนหัวข้อ “ท่านพ่อ วันนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”

วันนั้นที่ฮ่องเต้กริ้วพระองค์ก็กริ้วจนริมฝีปากและใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดง หลี่ฮ่วนเป็นห่วงสุขภาพของฮ่องเต้ ฮ่องเต้มิได้เป็นคนหยาบเยี่ยงเขา จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร

ราชครูหลี่เป่าเอ่ย “ข้าจะมองตรงไปยังพระพักตร์ของฝ่าบาทได้อย่างไร”

หลี่ฮ่วนถอนหายใจ เพียงรู้สึกว่ายังเจ็บไปทั้งตัว เขาพยายามหันหน้าไปด้านข้าง เอานิ้วแตะถุงเครื่องหอมตรงเอวซึ่งมีเส้นผมของฮ่องเต้อยู่ในนั้น เขาทำได้เพียงถอยก้าวหนึ่งแล้วถามต่อ “ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านก็น่าจะรู้ว่าตอนที่ฝ่าบาทคุยกับท่าน ทรงไอหรือไม่กระมัง”

“ไม่ได้ไอ” ราชครูหลี่เป่าเอ่ย “เอาล่ะ เจ้าเลิกถามได้แล้ว รีบกลับไปนอนเสีย”

หลี่ฮ่วนรีบกลับไปยังห้องนอน เขาเอนตัวลงบนเตียง ถอนหายใจอย่างเกียจคร้าน

“เหตุใดท่านพ่อถึงได้สะเพร่าเช่นนี้”

ฮ่องเต้ต้องการให้บิดาของเขาเข้าวัง ทว่าบิดากลับไม่ใส่ใจสุขภาพของฮ่องเต้เลย ผู้เป็นบิดาโง่เง่าเช่นนี้ก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของเขาหลี่ฮ่วน

หลี่ฮ่วนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

 

หลังส่งราชครูหลี่เป่าที่น้ำตานองหน้าออกไปแล้ว ในวังหลวงก็ได้ต้อนรับเหอชินอ๋องที่หน้าบอกบุญไม่รับอีกครั้ง

กู้หยวนไป๋รับการเข้าเฝ้าจากเขา เหอชินอ๋องยืนอยู่หน้าฮ่องเต้ด้วยสีหน้าแข็งทื่อ น้ำเสียงก็แข็งราวกับก้อนหิน “เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมทำ กระหม่อมทำเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฝนในฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเย็นตกลงมาในวันที่สองของการสอบฮุ่ยซื่อ ประจวบเหมาะกับเป็นวันที่เหอชินอ๋องเข้าวังเพื่อสอบถามอาการของหวั่นไท่เฟย กู้หยวนไป๋เห็นสีหน้าประชดประชันของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้เหอชินอ๋องผู้มีเกียรติจัดแจงคนต้มน้ำขิงและส่งไปให้ผู้เข้าสอบในก้งย่วน เพื่อปัดเป่าความหนาวเย็นเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน

ใบหน้าของฮ่องเต้เปื้อนรอยยิ้ม ใบหน้าที่สายลมจันทราไม่อาจเทียบเท่าส่องประกายราวกับหยกงาม เขาเอื้อมมือไปยกถ้วยกระเบื้องเพื่อดื่มชา “เหอชินอ๋องมักทำให้เจิ้นอุ่นใจได้เสมอ”

เหอชินอ๋องอดที่จะหัวเราะเย็นชาไม่ได้

เหอชินอ๋องเก่งกาจในการรบและการนำทัพ ตำแหน่งชินอ๋องนี้เป็นฮ่องเต้องค์ก่อนที่ประทานให้เนื่องจากผลงานทางทหาร แต่บัดนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่คุ้นชินการต่อสู้ในสนามรบกลับถูกขังอยู่ในนครหลวงเพื่อทำงานเล็กๆ เช่นนี้ กู้หยวนไป๋รู้ดีว่าเหอชินอ๋องจะต้องเกลียดเขาเข้าไส้แน่ๆ

อย่างไรก็ดี อำนาจทางทหารจะอยู่ในมือขององค์ชายเพียงคนเดียวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ก็ไม่ชอบหน้าพี่ชายใหญ่ของตน หากเขามิได้ครอบครองคำว่าบุตรภรรยาเอก ก็ต้องได้เป็นบุตรคนโต

นิ้วที่ขาวละเอียดของกู้หยวนไป๋ถือถ้วยชาลายครามสีขาวเอาไว้ทำให้มองไม่ชัดไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าอะไรขาวกว่ากัน เหอชินอ๋องมองดูเขาดื่มชาอย่างช้าๆ แล้วรู้สึกทรมานในใจยิ่ง เมื่อกระหายก็ดื่มน้ำอึกใหญ่ เมื่อหิวก็กินเนื้อคำใหญ่ ทุกคนในนครหลวงมีความเฉพาะมาก ทว่าเหอชินอ๋องกลับไม่รู้จักชื่นชมในสิ่งสวยงามเลย

กู้หยวนไป๋เห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไรก็เหลือบตามองไปที่เขา ทันใดนั้นก็หลุดขำ “เหอชินอ๋องนี่มันสีหน้าอะไรกัน หากเจ้ากระหายก็เพียงบอกมา เจิ้นจะให้เจ้าขาดน้ำชาได้อย่างไร เถียนฝูเซิง”

เถียนฝูเซิงรีบให้คนยกเก้าอี้เข้ามาและส่งชาใหม่ตามมาอีกชุดหนึ่ง เหอชินอ๋องถือชาแล้วนั่งลงด้วยท่าทางอาจหาญสง่างาม เมื่อจิบน้ำชาคำหนึ่งแล้วก็ส่งให้นางกำนัลข้างๆ พร้อมทั้งกล่าวเย้ยหยัน “น้ำขิงสองถ้วยที่ฝ่าบาทประทานให้ผู้เข้าสอบเหล่านั้นก็ทำให้พวกเขาซาบซึ้งแทบแย่แล้ว ตอนนี้ทั้งนครหลวงต่างชื่นชมในน้ำพระทัยของฝ่าบาท เกรงว่าหากฝ่าบาทสั่งให้พวกเขาไปตาย พวกเขาก็จะกระทำตามด้วยความยินดี”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เถียนฝูเซิงกับศิษย์น้อยของเขายืนอยู่ข้างๆ ศิษย์น้อยเห็นฮ่องเต้ขมวดคิ้วก็รู้สึกไม่สบายใจจึงกระซิบถามอาจารย์เสียงเบา “เหตุใดเหอชินอ๋องมักจะกล่าวคำให้ฝ่าบาทลำบากพระทัยเช่นนี้เสมอ”

เถียนฝูเซิงก็ค่อนข้างไม่พอใจเช่นกัน เขาพ่นลมหายใจเย็นชา แต่ก็ยังสั่งสอนศิษย์น้อยก่อน “รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง เหอชินอ๋องเป็นบุคคลที่เจ้าวิจารณ์ได้หรือ”

ที่จริงต้องกล่าวว่าคนที่ไม่พอใจเหอชินอ๋องที่สุดก็คือเถียนฝูเซิง

พวกเขาแทบรอไม่ไหวต้องการที่จะอุ้มฮ่องเต้ไว้ในมือ กลัวว่าฮ่องเต้จะตากลมตากฝน ฮ่องเต้ต้องการจะดื่มชาก็ต้องเป็นน้ำที่มาจากหิมะบนดอกเหมยและน้ำค้างยามเช้าเท่านั้น ขุนนางใหญ่ในราชสำนักและหลี่เป่าที่เพิ่งจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวงเมื่อครู่ มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่น่านับถือ มีเพียงเหอชินอ๋องเท่านั้นที่นิสัยแย่มาก

“เช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้กล่าวเรียบๆ “เหอชินอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว”

เหอชินอ๋องยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “หากฝ่าบาทไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ตามไปดูพร้อมกระหม่อมเถิด เกรงว่าเมื่อผู้เข้าสอบเดินทางกลับ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ฝ่าบาทมีต่อผู้เข้าสอบก็จักเป็นที่รู้กันทั่วหล้า”

กู้หยวนไป๋มองไปนอกประตูด้วยสีหน้าอ่อนไหวเล็กน้อย เถียนฝูเซิงรีบก้าวขึ้นหน้าเพื่อเตือนสติเบาๆ “ฝ่าบาท คนของโหราราชบัณฑิตคาดการณ์ว่าวันนี้จะมีฝน ไม่สะดวกออกจากวังพ่ะย่ะค่ะ”

เหอชินอ๋องหัวเราะเยาะเย้ย ข้างนอกแดดจ้าเพียงนั้น เกรงว่าคนของโหราราชบัณฑิตลืมตากล่าวคำไร้สาระเสียมากกว่า

กู้หยวนไป๋เหลือบมองเหอชินอ๋อง แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ “ไม่เป็นไร ทำตามที่เหอชินอ๋องบอก ออกไปดูกันเถิด”

 

ในหอจ้วงหยวน

กู้หยวนไป๋และเหอชินอ๋องถูกพาไปนั่งลงตรงข้างหน้าต่างชั้นสอง ภายในเหลาสุราคลาคล่ำไปด้วยผู้รู้ตำราในชุดสีฟ้า กลิ่นอายของวรรณกรรมล่องลอยไปทุกหนทุกแห่งทำให้กู้หยวนไป๋รู้สึกง่วงซึมเล็กน้อย

บางครั้งยังได้ยินบทกวีหนึ่งหรือสองบทด้วย ทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่รอบโต๊ะเหมือนภูเขาสูงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าก็หยุดเสียงจ้อกแจ้กเหล่านี้ไม่ได้

เสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ข้างโต๊ะอย่างนอบน้อม “นายท่านทั้งสองต้องการสั่งอะไรดีขอรับ”

กู้หยวนไป๋ยิ้มถาม “พวกเจ้ามีอะไรบ้าง”

เสี่ยวเอ้อร์ท่องรายการอาหารให้ฟังรอบหนึ่งด้วยความสดชื่นราวกับกำลังแสดงละคร กู้หยวนไป๋ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วสั่งอาหารสามอย่าง จากนั้นก็ถามเหอชินอ๋อง “พี่ใหญ่สั่งอีกสักหน่อยหรือไม่”

เหอชินอ๋องที่ถูกเรียกเช่นนี้ตัวสั่น เค้นประโยคหนึ่งออกมา “นำสุราชั้นดีมาสองกา”

ในหอจ้วงหยวนมีจำนวนผู้รู้ตำราเยอะที่สุด และก็เหมือนกับที่เหอชินอ๋องกล่าว การสรรเสริญที่ผู้รู้ตำราเหล่านี้มีต่อฮ่องเต้นั้นกล่าวได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะผู้ที่ออกมาจากก้งย่วนอย่างปลอดภัยเพราะน้ำขิง พอได้ยินแล้วกู้หยวนไป๋เองก็ขนลุกขนชัน

เหอชินอ๋องหน้าเขียว ในแววตามีดวงไฟปรากฏ เขาเป็นคนต้มน้ำขิง ทั้งยังถูกบังคับให้ต้มราวกับเป็นนักโทษ บัดนี้เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็เป็นเหมือนตัวตลกในสายตากู้หยวนไป๋ที่นั่งอยู่ตรงหน้า สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการจะสั่งสอนผู้รู้ตำราเหล่านี้สักตั้ง

“พี่ใหญ่เชิญข้าออกมาก็เพื่อให้ข้าได้ฟังเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ” กู้หยวนไป๋ยกยิ้มมุมปาก กล่าวด้วยความรังเกียจ “ผู้รู้ตำราเหล่านี้สามารถออกมาจากสนามสอบได้อย่างปลอดภัย ผลงานของพี่ใหญ่ก็จะไม่ถูกมองข้าม”

เหอชินอ๋องยิ้ม ไม่คิดจะสนใจเขา

กู้หยวนไป๋หัวเราะพรืด ไม่ว่าอย่างไรก็กลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว เขาเอนตัวพิงขอบหน้าต่างก้มหน้าและลอบขำ เพราะไว้หน้าเหอชินอ๋องจึงไม่ได้หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ผมสีดำบนหลังของเขาสั่นไหว ปลายนิ้วเป็นสีชมพูอย่างเปิดเผย

สีหน้าของเหอชินอ๋องเขียวคล้ำ เขาก้มหน้าบีบถ้วยกระเบื้อง พ่นลมหายใจเย็นชาอย่างแรง

ตอนแรกที่พวกเขาสองคนพาทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้าหอจ้วงหยวนก็ได้รับความสนใจมากมาย ผู้คนทั้งในที่โล่งและที่ลับต่างมองไปยังโต๊ะนั้น กู้หยวนไป๋กับเหอชินอ๋องต่างมีบุคลิกสูงส่งไม่ธรรมดา ในสถานที่เช่นในนครหลวงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นขุนนางในราชสำนักหรือบุตรชายตระกูลสูงศักดิ์ก็เป็นได้ และในขณะที่กู้หยวนไป๋หัวเราะออกมา การกระทำของเขานั้นก็ทำให้บัณฑิตหน้าขาววัยหนุ่มกลุ่มหนึ่งหน้าแดงหูแดง ครั้นแอบดูก็รู้สึกเขินอาย ครั้นไม่มองก็ละสายตาไปไม่ได้

คุณชายท่านนี้สวมชุดสีน้ำเงิน ดูสูงศักดิ์และมั่นคง แต่เสื้อผ้าสีน้ำเงินนั้นกลับไม่อาจยับยั้งแสงสว่างได้ ดังนั้นจึงต้องส่องแสงเจิดจ้า

เพียงแต่เมื่อพวกเขามองนาน ทหารองครักษ์ที่ร่างกายกำยำดุจภูผาเหล่านั้นก็ถลึงตามองอย่างโกรธเคือง ทำให้ทุกคนต่างต้องละสายตากลับมา ใบหน้าห้าวหาญของหัวหน้าทหารองครักษ์จางสงบนิ่ง มองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถึงตายก็ต้องรักษาความปลอดภัยของฮ่องเต้

กู้หยวนไป๋หยุดหัวเราะอย่างยากลำบาก เขายืดตัวขึ้นช้าๆ เอาแขนวางบนหน้าต่าง เอนใบหน้าพิงเพื่อพักผ่อน แค่การหัวเราะครั้งใหญ่ก็ทำให้เขารู้สึกหมดพลัง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย กู้หยวนไป๋พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อหายใจเข้าออกให้ยาวขึ้นเพื่อที่ตนเองจะได้สงบลง

เหอชินอ๋องกล่าวเสียงเย็นชา “คุณชายอย่าหัวเราะจะดีกว่า”

มุมปากของกู้หยวนไป๋เจือรอยยิ้มและไม่สนใจเลยสักนิด แม้เวลานี้เขาจะไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นมองออก บุรุษต่างรักหน้าตาตัวเองกันทั้งนั้น หากกู้หยวนไป๋ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเพียงเพราะเหตุผลทางร่างกาย เช่นนั้นก็ไม่งามแล้ว

“พี่ใหญ่อย่าได้กังวล” กู้หยวนไป๋กล่าว “ร่างกายของน้องชายนี้ยังรับมือกับการหัวเราะไหว”

หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกอาหารเข้ามา กู้หยวนไป๋ไม่อยากอาหาร เขาจิบชาแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่าง

นครหลวงใต้ฝ่าเท้าโอรสสวรรค์นั้นรุ่งเรืองมั่นคง ราษฎรแห่งราชวงศ์ต้าเหิงเบิกบาน สถานะของเด็กสาวไม่ต่ำต้อย ด้วยเหตุนี้จึงสามารถมองเห็นเด็กสาวสองสามคนจับมือกันเดินผ่านไป

กู้หยวนไป๋โปรดปรานทัศนียภาพเช่นนี้ เขาพิงอยู่กับกำแพง ถือถ้วยชาพลางเหม่อมอง

 

ฉู่เว่ยถูกสหายร่วมชั้นนัดไปที่สำนักศึกษา ครั้นเดินผ่านหอจ้วงหยวนก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยกำลังมองขึ้นไปยังด้านบน เขามองตามไปแต่กลับต้องขมวดคิ้ว

คุณชายผู้หนึ่งในชุดสีน้ำเงินนั่งอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง สวมกวนหยกบนผมดำขลับ มองออกไปยังที่ไกลๆ โดยถือถ้วยกระเบื้องสีขาวอยู่ในมือ ดึงดูดให้บรรดาชายหญิงต้องแหงนหน้าขึ้นมองหนุ่มรูปงามผู้เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่หยุดหย่อน

ทุกคนล้วนชอบสิ่งสวยงาม แม้แต่เจตนาที่จะชื่นชมก็ยากที่จะละสายตาไปจากความงาม ทว่าฉู่เว่ยกลับเกลียดชายหญิงที่จ้องมองตน ทั้งยังเกลียดคนเหล่านี้ที่มีเพียงความงามในสายตา

ฮ่องเต้ถูกมองเช่นนี้ ไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือ

สหายร่วมชั้นก็มองตามเช่นกัน ก่อนเอ่ยอย่างมีความสุข “จื่อฮู่ เห็นทีฉายาชายรูปงามอันดับหนึ่งของเจ้าคงถูกคุกคามเสียแล้ว”

ฉู่เว่ยเอ่ยเย็นชา “ใครอยากได้ก็เอาไป”

สหายร่วมชั้นหัวเราะเสียงดังแต่กลับลากฉู่เว่ยเข้าไปที่ชั้นล่างของหอจ้วงหยวน หาตำแหน่งดีๆ แหงนหน้าขึ้นมองคุณชายที่พิงอยู่ตรงหน้าต่างชั้นบน ทอดถอนใจว่า “ในอดีตมีพานอันที่ถูกโยนผลไม้ให้เต็มรถ ทั้งยังมีการพาดพิงถึงเรื่องดูการฆ่าเว่ยเจี้ย เดิมทีนึกว่ารูปลักษณ์ของเจ้าคือความรุ่งเรืองของบุรุษเพศแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณชายผู้สูงสง่าเพียงนี้”

ฉู่เว่ย “ก็เพียงเนื้อหนังมังสาเท่านั้น”

สหายร่วมชั้นหัวเราะเอ่ย “รู้ว่าเจ้าไม่ชอบความงามและก็ไม่ชอบให้คนอื่นมองเจ้า แต่ว่าฉู่จื่อฮู่ ด้วยรูปลักษณ์ของคุณชายท่านนี้ เจ้าก็คิดว่าเป็นเพียงเนื้อหนังมังสาเช่นนั้นหรือ”

ฉู่เว่ยช้อนตาขึ้น คิ้วยาวจนแทบชี้ไปถึงปลายขมับ เขามองฮ่องเต้ด้วยสายตาไม่ไหวติง ยืนตัวตรงเยือกเย็นดุจหิมะ “แล้วจะเป็นอะไรได้”

กู้หยวนไป๋ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของฉู่เว่ย จึงละสายตาออกจากที่ไกลๆ ก้มหน้าลงเพียงเล็กน้อยก็สบสายตาเข้ากับฉู่เว่ยที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านขายเชือกถักสีแดงที่ถนนฝั่งตรงข้ามพอดี

ข้างๆ ฉู่เว่ยมีผู้รู้ตำราบุคลิกสูงส่งผู้หนึ่งยืนอยู่ กู้หยวนไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ละสายตาจากเขา ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบชาอุ่นเบาๆ คำหนึ่ง

มือที่ถือถ้วยชานั้นขาวจนแทบจะโปร่งแสง ทันทีที่ฉู่เว่ยเห็นมือของฮ่องเต้ ในสมองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพมือที่กำลังกำผ้าปูเตียงสีเหลืองสดใสด้วยความเจ็บปวด ผ้าไหมยับย่น แสงเทียนสีเหลืองอบอุ่น และปลายนิ้วที่ขาวซีดไร้เรี่ยวแรง เขาหลุบตาลง ลูกกระเดือกขยับไหวเล็กน้อย ก่อนลากสหายร่วมชั้นจากไปเงียบๆ

เหอชินอ๋องเห็นกู้หยวนไป๋มองไปนอกหน้าต่างตลอดเวลาจึงมองตามไป เห็นว่าผู้คนมากมายด้านนอกกำลังมองมายังชั้นบน จู่ๆ ก็กดมุมปากอย่างไม่พอใจ “ใครกันที่กล้ามองพระพักตร์ของฝ่าบาท”

เพื่อศักดิ์ศรีของราชวงศ์ แม้จะไม่ชอบกู้หยวนไป๋ ทว่าเหอชินอ๋องก็ไม่ลังเลที่จะปกป้อง

“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” กู้หยวนไป๋หัวเราะ แล้วเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อ “พี่ใหญ่คิดว่ารสชาติของอาหารเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เหอชินอ๋องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก ก่อนกล่าวเรียบๆ “ก็ไม่เท่าไร”

ไม่ว่าจะอาหารหรือคนก็ไม่เท่าไรทั้งนั้น สิ่งที่ผู้รู้ตำราเสวนากันในหอจ้วงหยวนเหล่านี้ก็ตื้นเขินมากเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการคุยฟุ้งเสียมากกว่า หากตั้งใจฟังให้ดีแล้วก็จะรู้ว่าไม่มีสาระสำคัญเลย เท้ายังเหยียบพื้นไม่มั่นคงแต่ยังกล้าที่จะพูดคุยแต่เรื่องไร้สาระ

เดิมทีเขาต้องการจะประชดประชันกู้หยวนไป๋เสียหน่อย เพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าผู้เข้าสอบที่ชื่นชมตนเองอยู่ในระดับไหน ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่เป็นทุกข์ก็คือเขาเอง

กู้หยวนไป๋ใช้หนึ่งใจแบ่งทำสองเรื่อง ทั้งยังได้ฟังการเสวนาของผู้รู้ตำราหลายคน ในใจจะบอกว่าไม่ผิดหวังก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของการสอบเคอจวี่ สำหรับฮ่องเต้แล้ว ข้อเสียอย่างแรกสำหรับการสอบเคอจวี่คือการสร้างฝักฝ่าย ข้อสองก็คือพวกเขาอาจไม่ได้รับคนเก่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

หากต้องการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริงก็ต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างเศรษฐกิจ หากเทียบประเทศจีนกับต่างประเทศในสมัยโบราณแล้ว อันที่จริงประเทศจีนเป็นผู้นำเสมอมาจนกระทั่งยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ การปฏิวัติอุตสาหกรรมเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเป็นร้อยเท่า ท้ายที่สุดแล้ววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็คือพลังในการพัฒนาขั้นแรก พ่อค้าและช่างฝีมือสามารถส่งเสริมสังคมและเศรษฐกิจให้พัฒนาไปอย่างเป็นธรรมชาติได้ อย่างไรก็ตามเกษตรกรและอาหารต่างหากที่เป็นรากฐานของประเทศในยุคแห่งความยิ่งใหญ่นี้

หากมีมันฝรั่ง ข้าวโพด หรือข้าวลูกผสม ก็จะสามารถปลดปล่อยกำลังคนชั้นล่าง และมั่นใจได้ว่ายุ้งฉางจะอุดมสมบูรณ์เพื่อที่จะดำเนินการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อื่นๆ ต่อไป

กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นพรวด นางกำนัลรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคอง ก่อนช่วยเขาจัดระเบียบรอยยับย่นตามเสื้อผ้าและจี้หยกที่เอว กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “พี่ใหญ่ ไปเดินเล่นกับน้องชายเถิด”

เหอชินอ๋องลุกขึ้นเงียบๆ เดินตามหลังฮ่องเต้ออกไปจากหอจ้วงหยวน

 

ผู้คนในตลาดหนาแน่นแต่ไม่วุ่นวาย บนพื้นสะอาดสะอ้าน เหอชินอ๋องสีหน้ามืดครึ้ม ดูน่ากลัวกว่าเหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเสียอีก

“ฝ่าบาทจะไปที่ใด”

“หากเจิ้นจำไม่ผิด เหอชินอ๋องมีที่ดินชั้นดีหลายหมู่* ในนครหลวง ทั้งยังมีจวนน้ำพุร้อนไว้ปลูกผักผลไม้?” กู้หยวนไป๋เอ่ย “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจิ้นยึดจวนของหลูเฟิง ก็จำได้ว่าเคยตกรางวัลแก่เหอชินอ๋องด้วยจวนน้ำพุร้อน”

เหอชินอ๋องตอบอย่างแข็งกร้าวว่า “จวนหลังนั้นอยู่ไกลจากนครหลวง หากฝ่าบาทต้องการจะไป เกรงว่าวันนี้คงไม่สะดวก”

ทหารองครักษ์ลอบมองไปยังเหอชินอ๋องอย่างทนไม่ไหว ต้องการให้ฮ่องเต้รีบออกคำสั่งเพื่อสั่งสอนเหอชินอ๋องเสียหน่อย

มีคนที่กล้าพูดจากับฝ่าบาทแบบนี้ที่ไหนกัน!

ทว่ากู้หยวนไป๋กลับมีสีหน้าเรียบเฉย เขาโบกมือไปด้านหลัง ทหารองครักษ์กับข้ารับใช้ฟังคำสั่งแล้วจึงถอยออกไปสองก้าว เพื่อให้พื้นที่แก่สมาชิกจากเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ที่สุดสองคนได้คุยกัน

“เหอชินอ๋อง” กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “เจ้าไว้หน้าเจิ้น เจิ้นก็จะไว้หน้าเจ้า”

สีหน้าของเหอชินอ๋องน่าเกลียดยิ่ง อดกลั้นไว้ไม่ให้พุ่งเข้าหา

“ก่อนหน้านี้เจิ้นต้องการให้เจ้าช่วย เพื่อที่เราจะสามารถขจัดรากฐานของหลูเฟิงออกไปได้” ฮ่องเต้น้ำเสียงเฉยชา “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับขุนนางผู้มีอำนาจ ญาติของจักรพรรดิก็ต้องคุกเข่าเหมือนกัน อำนาจแห่งจักรพรรดิกับประยูรญาติเยี่ยงพวกเจ้าล้วนเชื่อมโยงกัน หากข้าอ่อนแอ พวกเจ้าย่อมอ่อนแอไปด้วย เดิมทีข้านึกว่าเจ้าจะเป็นคนฉลาดเสียอีก ใครจะรู้ว่าเจ้าก็เป็นคนโง่คนหนึ่ง บัดนี้เจ้าโทษข้าที่ข้าขังเจ้าไว้ในนครหลวง ทำได้เพียงเสวยสุขไปวันๆ เจิ้นขอถามเจ้า ตอนนั้นที่เจิ้นให้โอกาสเจ้า ใครกันที่ไม่คว้าไว้เอง”

เส้นเลือดบนศีรษะของเหอชินอ๋องปูดขึ้น เขากัดฟันด้วยความอดทนและอดกลั้น “…ข้ามาแล้ว!”

“เจ้ามาสายเกินไป!” กู้หยวนไป๋คำราม “ยามนั้นเจิ้นฆ่าเขาไปแล้ว เจ้ามาแล้วจะมีประโยชน์อะไร! กว่าเจ้าจะมาถึงอาหารของเจิ้นก็เย็นชืดหมดแล้ว!”

เหอชินอ๋องตกใจกับเสียงคำรามนี้ ทันใดนั้นก็อ่อนแรงลงไปด้วย

กู้หยวนไป๋หายใจเข้าออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเนิ่นนานเขาจึงสงบลง “เหอชินอ๋อง ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่เคยกำชับเจิ้นเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า แต่เจ้าน่าจะไม่รู้”

เหอชินอ๋องหายใจติดขัด หันขวับไปมองกู้หยวนไป๋ “ฮ่องเต้องค์ก่อนตรัสสิ่งใด”

จู่ๆ มุมปากซีดขาวของกู้หยวนไป๋ก็ยกยิ้ม เขากล่าวด้วยความรังเกียจยิ่ง “เจิ้นไม่บอกเจ้าหรอก”

เหอชินอ๋อง “…”

เสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้น มีเสียงดังมาจากขอบฟ้าฉับพลัน

ท้องฟ้ามืดลงทันใด แสงวาบแบ่งท้องฟ้าออกเป็นครึ่งหนึ่ง หลังจากแสงวาบนั้นปรากฏก็เกิดความมืดที่พัดม้วนสายลมเข้ามา

เถียนฝูเซิงก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก “ฝ่าบาท ฝนจะตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ก่อนฝนมาลมพายุก็โหมกระหน่ำแล้ว เสื้อผ้าของกู้หยวนไป๋ถูกลมพัดเสียงดังพึ่บพั่บ เส้นผมกระจัดกระจาย มีบางส่วนถูกลมพัดติดใบหน้าบดบังวิสัยทัศน์ กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้วพลางปัดเส้นผมให้พ้นทาง “จางซวี่ ในละแวกนี้มีที่ให้หลบฝนหรือไม่”

จางซวี่ก็ร้อนใจไม่แพ้กัน เขาจับดาบที่อยู่ตรงเอวพลางกลั้นหายใจ “ฝ่าบาท ที่นี่อยู่ใกล้กับจวนของท่านแม่ทัพเซวียมากที่สุด พวกเราสามารถไปหลบฝนที่จวนสกุลเซวียก่อนได้พ่ะย่ะค่ะ”

จวนสกุลเซวีย?

กู้หยวนไป๋ครุ่นคิดเล็กน้อย “ไปเถิด ก่อนที่ฝนจะมา”

บทที่ 12

หัวหน้าทหารองครักษ์คุ้มกันฮ่องเต้ จนในที่สุดก็มาถึงจวนสกุลเซวียก่อนฝนตก

ในขณะที่ผู้ดูแลจวนกำลังจะถามว่าผู้เดินทางเหล่านี้คือใคร หางตาก็เหลือบไปเห็นตราหยกมังกรที่เอวของกู้หยวนไป๋ หัวใจเต้นตึกตัก สองขาทรุดฮวบลงไปกับพื้น “ผู้ต่ำต้อย ผู้ต่ำต้อย…”

ทั่วทั้งจวนสกุลเซวียต่างได้รับข่าวแล้ว ทันใดนั้นจวนแม่ทัพที่เงียบสงบก็เดือดพล่านราวกับกระทะน้ำมันเดือด แม่ทัพเซวียที่อยู่ในห้องตำราก้าวเท้าฉับๆ ไปที่ประตูจวนพร้อมกับบ่าวรับใช้คนหนึ่ง เดินไปได้ครึ่งทางก็พบกับฮูหยินเซวียที่ถูกสาวใช้ประคองเข้ามาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ปิ่นปักผมยุ่งเหยิง “ท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยตัวเองจริงหรือ”

แม่ทัพเซวียไม่ลดความเร็วลงเลย เขาพยักหน้า “ข้าจะไปรับฝ่าบาทที่หน้าประตู เจ้ารีบแต่งกายให้เรียบร้อย ให้ท่านแม่ออกมารับเสด็จ ห้ามให้คนและสิ่งของน่าวุ่นวายอื่นๆ ปรากฏต่อหน้าฝ่าบาทเป็นอันขาด!”

ฮูหยินพยักหน้าหงึกๆ แล้วจูงมือสาวใช้เดินเข้าไปในลานด้านหลังอย่างรวดเร็ว สาวใช้ที่ประคองนางพยายามก้าวฝีเท้าให้ทัน นี่คือฮูหยินที่ก้าวเดินด้วยความเนิบนาบตามปกติที่ไหนกัน ยังต้องให้นางประคองอีกรึ นางเดินไม่ทันฮูหยินด้วยซ้ำ!

ฮูหยินเซวียรีบเดินไปยังลานด้านหลัง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเซวียได้รับข่าวแล้วและกำลังเปลี่ยนอาภรณ์เครื่องประดับของนายหญิงตราตั้ง ด้วยการปรนนิบัติของสาวใช้ข้างกาย นางสวมเสื้อคลุมสีแดงลายไหมทองชั้นแล้วชั้นเล่า สาวใช้และบ่าวต่างกระหืดกระหอบผิดจากวันปกติ

ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียหน้าแดงระเรื่อราวกับอ่อนเยาว์ลงสิบกว่าปีภายในพริบตา ครั้นนางเห็นฮูหยินเซวียเข้ามา ก็ยิ้มพลางให้สะใภ้เข้ามาใกล้ๆ “ฮุ่ยเหนียง เช้านี้ข้าได้ยินเสียงนกกางเขนร้องเพลงอยู่บนต้นไม้ ตอนแรกก็คิดว่าจะมีเรื่องดีอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องดีที่ใหญ่หลวงเช่นนี้! ฝ่าบาทเสด็จมาที่จวนด้วยตัวเอง ช่างเป็นเกียรติเสียนี่กระไร”

ฮูหยินเซวียเห็นนางมีจิตวิญญาณเช่นกันก็รู้สึกราวกับเจอแรงสนับสนุน “ท่านแม่ เราควรจัดการกฎในจวนพวกเราอย่างไรดีเจ้าคะ ฝ่าบาทน่าจะเข้ามาเพราะหลบฝน หากฝนไม่หยุด เช่นนั้นฝ่าบาทไม่ต้องค้างแรมในจวนของพวกเราหรือ”

สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเปลี่ยนไปทันใด คว้ามือของฮูหยินเซวียแน่นพร้อมตักเตือนอย่างจริงจัง “ไม่ว่าฝ่าบาทจะค้างแรมหรือไม่ ฮุ่ยเหนียง เจ้าต้องดูแลคนในจวนของพวกเราให้ดี อย่าให้ผู้ที่มีความคิดยุ่งเหยิงปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทเป็นอันขาด! อย่านึกว่าข้าไม่รู้ สาวใช้ในจวนหลายคนมักใหญ่ใฝ่สูง หากพวกนางกล้าลอยชายต่อหน้าฝ่าบาท ข้าจะให้พวกนางได้เห็นดี!”

ฮูหยินเซวียเข้าใจแล้วก็พยักหน้า ทั้งยังกล่าวด้วยความกังวล “ท่านแม่ เช่นนั้นหลินเกอเอ๋อร์กับเหล่าอี๋เหนียง ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือไม่”

น้ำเสียงฮูหยินผู้เฒ่าเซวียล้ำลึก “ไม่ได้! ให้ลูกหย่วนเข้าเฝ้าผู้เดียวพอ ฮุ่ยเหนียง เจ้าอย่าได้ชักช้าอีกเลย รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมกับข้า”

ฮูหยินเซวียพยักหน้า ส่งคนไปบอกกล่าวเซวียหย่วนก่อนที่จะตอบว่า “เจ้าค่ะ”

ทางนี้ฮูหยินเซวียกับฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเริ่มง่วนกันแล้ว ส่วนทางนั้นแม่ทัพเซวียได้พาบ่าวรับใช้มากมายรุดไปที่หน้าประตูจวน ฝนตกแรงมาก หัวใจของแม่ทัพเซวียจุกมาอยู่ที่ลำคอ

ครั้นเห็นว่าฮ่องเต้ถูกคุ้มกันท่ามกลางผู้คนจากที่ไกลๆ และเม็ดฝนโปรยปรายนอกจวนไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้เปียกปอนจึงถอนหายใจโล่งอก แม่ทัพเซวียรีบเดินขึ้นหน้า ยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลง “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”

ฮ่องเต้กล่าวอย่างอ่อนโยน “เซวียชิง ลุกขึ้นเถิด”

แม่ทัพเซวียพาเหล่าบ่าวรับใช้ลุกขึ้นยืน เขาเงยหน้าขึ้นมอง ฮ่องเต้ขี้หนาว แม้จะไม่โดนฝนสักเม็ดทว่ากลับถูกลมหนาวพัดจนริมฝีปากขาวซีด สีหน้าก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก แม่ทัพเซวียกระวนกระวายใจยิ่ง ข้ารับใช้ผู้รู้งานที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบส่งเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้

เถียนฝูเซิงคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้กับกู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋ไอสองสามครั้ง มือและเท้าของเขาเย็นลงเล็กน้อย “วันนี้ใส่เสื้อตัวบางออกจากวัง คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีฝนตกหนัก โชคดีที่จวนสกุลเซวียอยู่ใกล้ๆ เจิ้นต้องรบกวนเซวียชิงแล้ว”

แม่ทัพเซวียรีบพูด “ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยตัวเองนับเป็นวาสนาของกระหม่อม จะพูดว่ารบกวนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบ แม่ทัพเซวียประสานมือหันไปทางเหอชินอ๋อง ลดมือลงแล้วกล่าว “คารวะเหอชินอ๋อง”

เหอชินอ๋องพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ท่านแม่ทัพเซวีย”

กู้หยวนไป๋เบี่ยงหน้าไออีกสองสามที ไอหนาวพัดขึ้นมาจากปลายเท้า ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกนี้แย่มากราวกับเป็นสัญญาณก่อนล้มป่วย เถียนฝูเซิงที่คอยสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลารีบพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพเซวีย อย่าพูดมากอีกเลย ฝ่าบาทต้องรีบเข้าจวนเพื่อหลบลมหนาว”

แม่ทัพเซวียให้ทางทันทีและนำฮ่องเต้ไปยังห้องโถง กู้หยวนไป๋โอบกระชับเสื้อคลุม สีหน้าที่ซีดเผือดก่อนหน้านี้ถูกย้อมด้วยสีแดงระเรื่อที่ค่อนข้างผิดปกติ

เขารู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย

กู้หยวนไป๋ยังคงไม่ลืมลมหนาวที่เกือบปลิดชีวิตของตนเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเห็นเงาคันธนู งูในถ้วย* รู้สึกว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจจะจับไข้จากลมหนาวอีกคราหนึ่งก็เป็นได้

กู้หยวนไป๋คิ้วตาล้ำลึก หลังจากถูกพาให้ไปนั่งบนเก้าอี้สูง คำพูดประโยคแรกก็คือ “ในจวนของเซวียชิงมีท่านหมอหรือไม่”

เดิมทีแม่ทัพเซวียนึกว่าฮ่องเต้จะเป็นปกติแล้ว เมื่อถูกถามเช่นนี้ก็ได้สติกลับมาฉับพลัน เขาบังคับตัวเองให้สงบนิ่งและให้บ่าวรับใช้ข้างกายรีบไปเชิญท่านหมอ ทั้งยังสั่งให้คนต้มยาและน้ำร้อนมาดับความหนาวเย็นทันทีโดยมิได้รอช้า

เถียนฝูเซิงเช็ดหน้าฮ่องเต้ด้วยผ้าเช็ดหน้า ความร้อนแทรกซึมสู่ฝ่ามือผ่านผ้าไหม เถียนฝูเซิงใบหน้าซีดขาว มือสั่นสะท้านเล็กน้อย “ฝ่าบาท…”

ลมหายใจของกู้หยวนไป๋หนักหน่วงขึ้น ทันใดนั้นเขาก็หลุดขำ “ดูฝนข้างนอกสิ คิดว่าคืนนี้ก็คงไม่หยุดแน่ เกรงว่าเจิ้นต้องพักอยู่ในจวนเซวียชิงเสียแล้ว”

แม่ทัพเซวียคำนับ “บัดนี้กระหม่อมได้เตรียมห้องให้ฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทต้องการจะพักผ่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋พยักหน้าและรอท่านหมอมาอย่างใจเย็น ระหว่างที่เขากำลังรอ มือและเท้าของเขาก็เย็นลงเรื่อยๆ ทว่าแก้มของเขากลับค่อยๆ ร้อนผ่าว แม้กู้หยวนไป๋ถูกห่มด้วยเสื้อคลุมแล้ว ทว่าความหนาวเย็นกลับทำให้ตัวเขาตัวสั่นสะท้าน

เขาข่มความผิดปกติเหล่านี้เอาไว้ มุมปากยังคงมีรอยยิ้มสงบนิ่ง เหอชินอ๋องมองดูฝนที่ตกหนักนอกหน้าต่างจากนั้นก็ดูใบหน้าแดงก่ำของฮ่องเต้ มุมปากเหยียดตรง ก้มหน้าลงอย่างหดหู่

วันนี้เขาเป็นคนบอกว่าจะออกจากวัง หากกู้หยวนไป๋เป็นอะไรไปจริงๆ เขาก็ยากที่จะหลุดพ้นจากความผิด

ท่านหมอถูกคนพาตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาน่าจะรู้สถานะของกู้หยวนไป๋แล้วจึงสั่นงกไปทั้งตัว หลังจากหัวหน้าทหารองครักษ์ตรวจสอบตัวท่านหมอแล้วจึงปล่อยเขาเข้าไป กู้หยวนไป๋ยื่นมือออกมา เถียนฝูเซิงม้วนแขนเสื้อขึ้นไปข้างบน เผยให้เห็นข้อมือขาวผ่องดุจหยก

ท่านหมอจับชีพจรครู่หนึ่ง สักพักก็สะบัดมือแล้ววางลง “ฝะ…ฝ่าบาท ไอเย็นไม่ได้ทะลุถึงอวัยวะภายใน ตอนนี้แค่แช่น้ำร้อนๆ ดื่มแกงอุ่นๆ ขับเหงื่อให้ออกมาก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เลิกคิ้ว เขาเคยชินกับความระมัดระวังและละเอียดละออของหมอหลวงในวัง บัดนี้ครั้นได้ยินคำพูดที่มิได้ดูแลเขาในฐานะคนเปราะบางดุจแก้วก็รู้สึกมีความสุขมาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็รบกวนเซวียชิงแล้ว”

“มิกล้า” แม่ทัพเซวียเอ่ย “กระหม่อมจะเตรียมน้ำให้ฝ่าบาท ส่วนน้ำแกงร้อนจะพร้อมในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋พ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา ขนละเอียดอ่อนบนเสื้อคลุมกระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจของเขา นิ้วสีซีดวางอยู่บนโต๊ะไม้สีดำ กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นยืนโดยอาศัยกำลังของมัน

เถียนฝูเซิงกับบรรดาทหารองครักษ์ติดตามเขาอยู่ด้านหลัง กู้หยวนไป๋เดินมาถึงหน้าประตูช้าๆ ขาซ้ายหมดแรงฉับพลัน คนทั้งคนล้มคะมำไปข้างหน้าทว่าถูกคนคนหนึ่งประคองเอวไว้ทัน

มือที่โอบรอบเอวของเขาหนาแน่นและมีพลัง เซวียหย่วนมองฮ่องเต้ที่ตกมาสู่อ้อมแขนของเขา เผยรอยยิ้มที่ดูเคารพนบน้อมออกมา “ฝ่าบาทเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของกู้หยวนไป๋เปลี่ยนไปทันใด เซวียหย่วนปล่อยมือแล้วถวายความเคารพกู้หยวนไป๋พร้อมยิ้มให้อย่างสง่างาม

กู้หยวนไป๋เหลือบมองเขา ไอแล้วเดินผ่านเขาไป เซวียหย่วนหุบยิ้มในขณะที่มองแผ่นหลังของฮ่องเต้จากไป ก่อนหันมาถามผู้เป็นบิดา “ฝ่าบาทจับไข้จากลมหนาวหรือ”

แม่ทัพเซวียและเหอชินอ๋องไม่ได้ยินความเย้ยหยันในน้ำเสียงของเขา แม่ทัพเซวียให้เซวียหย่วนเข้ามาคารวะเหอชินอ๋อง เหอชินอ๋องสีหน้าดูอิดโรยเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้จากไปแล้วก็หาข้ออ้างกลับห้อง

เซวียหย่วนส่งเหอชินอ๋องกลับไปด้วยความนอบน้อมแล้วจึงยืดตัวตรงอย่างใจเย็น แม่ทัพเซวียทอดถอนใจพลางกล่าวอย่างเป็นกังวล “แค่หวังว่าฝ่าบาทจะแคล้วคลาดปลอดภัย”

มุมปากของเซวียหย่วนยกขึ้น “ฝ่าบาทเป็นคนดีสวรรค์ย่อมช่วยเหลือ ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว”

ในชั่วขณะที่เข้าใกล้ฮ่องเต้เมื่อครู่นั้น เซวียหย่วนก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่พุ่งเข้ามา เขาต้องนอนอยู่บนเตียงหลายวันกว่าจะรักษาแผลที่เข่าให้หายสนิท คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถึงคราวที่ฮ่องเต้ต้องนอนในจวนสกุลเซวียบ้าง

 

เหอชินอ๋องกลับมาถึงห้อง บ่าวรับใช้ของเขาต้องการที่จะไปห้องครัวเพื่อยกน้ำขิงมาให้เขาสักถ้วย แต่เขากลับมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมกับเลือดกวางถ้วยหนึ่ง “นายท่าน สกุลเซวียได้เชือดลูกกวางตัวหนึ่ง นี่คือเลือดกวางที่ผ่านการต้มมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังอุ่นๆ อยู่เลยขอรับ เจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์กว่าน้ำขิงมากนัก!”

เหอชินอ๋องรับเลือดกวางมาแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด รสเลือดอุ่นๆ พอแทรกซึมเข้าไปในลำคอและร่างกายก็อบอุ่นขึ้น เหอชินอ๋องพลันเกิดจิตเมตตา เสียใจกับการกระทำของตน “เจ้าไปยกมาอีกถ้วยหนึ่ง ข้าจะนำไปให้ฝ่าบาทด้วยตัวเอง”

บ่าวรับใช้ไปยกเลือดกวางร้อนกรุ่นมาอีกถ้วย เดินตามหลังเหอชินอ๋องเพื่อเตรียมถวายแก่ฮ่องเต้ ห้องของฮ่องเต้คือห้องนอนหลักของจวนสกุลเซวีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดของจวนและค่อนข้างอยู่ไกลจากห้องของเหอชินอ๋อง

เหอชินอ๋องเพียงรู้สึกว่ามีเหงื่อออกท่วมตัวตลอดทาง เลือดกวางที่เพิ่งดื่มไปเห็นผลทันตานัก เหอชินอ๋องรู้สึกราวมีไฟป่ากำลังแผดเผาในร่างกาย มันเผาไหม้จนเขาอดที่จะคลายปกคอเสื้อมิได้

ครั้นใกล้จะเดินถึงหน้าประตูห้องของฮ่องเต้ เหอชินอ๋องเดินผ่านหน้าต่างห้องบรรทมพลางมองเข้าไปข้างในโดยไม่รู้ตัว เขาชะงักฝีเท้าทันใด

ภายในห้องบรรทมฮ่องเต้กำลังเอนกายพิงข้างเตียงอย่างเกียจคร้าน สองเท้าแช่อยู่ในน้ำใสที่ผสมยา โดยมีเถียนฝูเซิงนั่งยองอยู่ข้างๆ ทำความสะอาดเท้าให้กับเขา

ขาทั้งคู่ของกู้หยวนไป๋นี้ไม่ได้เดินมากตั้งแต่เกิดมาจวบจนบัดนี้ ฝ่าเท้าได้รับการปรนเปรอราวผ้าไหมนุ่มละมุน มันถูกดูแลอย่างดีจนโปร่งใสราวกับหยก

น้ำอุ่นขับผิวขาวให้กลายเป็นสีชมพู น้ำใสกระเพื่อมขึ้นลง หยดน้ำกระจายอยู่รอบทิศ ดอกไม้ตากแห้งที่ผสมอยู่ในยาค่อยๆ เบ่งบานในน้ำ แต่งแต้มเท้าหยกคู่นี้ราวกับจิตรกรรมพู่กันอันวิจิตรงดงาม

เสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้น เหอชินอ๋องรู้สึกเพียงว่าไฟป่าในหัวใจของตนถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง สมองของเขาว่างเปล่า รู้สึกเพียงทั่วร่างกายร้อนรุ่มสุดจะเปรียบ ไอร้อนพุ่งเข้าไปในสมองขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ฉากนี้

กลิ่นเลือดกวางในปากเขาเข้มข้นขึ้นทันใด

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่ Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App
/ SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

  

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: