X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 9

สามวันต่อมาเมื่อผู้คุมสอบที่ฮ่องเต้คัดเลือกได้รับราชโองการก็นำสัมภาระและได้รับการคุ้มกันโดยทหารรักษาพระองค์เข้าไปยังก้งย่วน เมื่อบรรดาจวี่เหรินที่รุดเข้านครหลวงเพื่อทำการสอบได้รับข่าวว่าผู้คุมสอบถูกกักตัว ก็ตึงเครียดกับเวลาที่กระชั้นเข้ามา เพียงชั่วพริบตาคนในเหลาสุราและโรงน้ำชาก็บางตาลงไปมาก

วันนี้หลังประชุมราชสำนักกู้หยวนไป๋เรียกเสนาบดีกรมโยธา เสนาบดีกรมอากร และผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการฉู่สวินมายังห้องโถงเล็กในตำหนักเซวียนเจิ้งเพื่อหารือ

เขามอบบทความเรื่องการจัดการอุทกภัยของแม่น้ำหวงเหอที่อธิบายให้ฉู่เว่ยฟังในวันนั้นให้กับทั้งสามคน เพื่อให้พวกเขาค่อยๆ อ่าน ส่วนตัวเองก็ยกชาถ้วยหนึ่งขึ้นมาดื่มอย่างสบายๆ

เสนาบดีกรมอากรอ่านจบเป็นคนแรก เขาเอ่ยด้วยความลังเล “ฝ่าบาท กระหม่อมมิเคยเห็นวิธีการจัดการภัยพิบัติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน หากต้องนำมาใช้จริง ไม่แน่ว่าอาจได้ผลยิ่ง…เพียงแต่คลังของราชสำนัก…”

ส่วนเสนาบดีกรมโยธาและผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการกำลังหมกมุ่นอยู่กับบทความโดยสมบูรณ์ สีหน้าที่หนักอึ้งนั้นมีความตื่นเต้นเจืออยู่

“ฝ่าบาท!” เสนาบดีกรมโยธายากที่จะปิดบังความปรีดา “ผู้ใดกันที่เป็นคนคิดวิธีนี้ บุคคลนี้ปราดเปรื่องนัก กระหม่อมต้องการจะพบเขา!”

กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็คงจะไม่ได้พบแล้ว”

วิธีจัดการภัยพิบัตินี้มิใช่ความคิดของคนคนเดียว ทว่าเป็นวิธีที่คนรุ่นหลังนับพันนับหมื่นได้มาท่ามกลางอุทกภัยนับครั้งไม่ถ้วน

เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในสภาพแวดล้อมแบบโบราณเช่นนี้

เสนาบดีกรมโยธาดูผิดหวัง บ่นพึมพำ “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”

ในเวลานี้ใต้เท้าฉู่เพิ่งจะอ่านบทความจบ เขาอ่านพลางคิดไปพลาง บางคราวดูเคร่งเครียด บางคราวก็มีรอยยิ้ม หลังจากอ่านจบแล้วก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท วิธีนี้ทำได้พ่ะย่ะค่ะ!”

กู้หยวนไป๋ยิ้มถาม “ใต้เท้าฉู่ก็เห็นว่าทำได้อย่างนั้นรึ”

ใต้เท้าฉู่ที่เคร่งครัดมาตลอด ในเวลานี้กลับพยักหน้าอย่างกล้าหาญ “หากทำตามเนื้อหาที่กล่าวในนี้ทีละขั้นตอน กระหม่อมเห็นว่าทำได้พ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอากรร้อนใจ “ฝ่าบาท! การหว่านพืชในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเริ่มต้น การสอบฮุ่ยซื่อก็ต้องใช้กำลังทรัพย์มาก ก้งย่วนเองก็กำลังปรับปรุงใหม่ สุสานจักรพรรดิก็ถูกเลือกแล้ว ปีนี้ต้องเริ่มการก่อสร้าง ไม่เพียงเท่านี้ กองทัพของฝ่าบาทก็ต้องใช้จ่ายค่าเสบียงอาหารไม่น้อย ไม่อาจหยุดได้แม้แต่วันเดียว หากต้องการแก้เส้นทางน้ำ เกรงว่าเงินในคลังจะหมุนเวียนไม่ทันนะพ่ะย่ะค่ะ”

สุสานจักรพรรดิจะถูกสร้างขึ้นในช่วงแรกๆ ของการสืบราชบัลลังก์ แม้กู้หยวนไป๋จะขึ้นครองบัลลังก์เร็วแต่กลับสูญเสียอำนาจไปให้คนที่อยู่ต่ำกว่า จนกระทั่งบัดนี้เพิ่งจะเริ่มสร้างสุสานจึงยิ่งกังวลขึ้นไปอีก

กู้หยวนไป๋ยิ้มให้เขาอย่างปลอบใจ “เจิ้นเข้าใจ”

“ปกครองแผ่นดิน ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องเงิน” กู้หยวนไป๋เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ตราบใดที่มีเงินก็สามารถสร้างถนน ซื้อม้า ฝึกกองทัพ…เจิ้นก็มิได้ตัดสินใจว่าจะเริ่มจัดการภัยพิบัติจากอุทกภัยของแม่น้ำหวงเหอในตอนนี้ อุทกภัยแม่น้ำหวงเหอแบ่งออกเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิกินเวลาสามถึงสี่เดือน แต่ฤดูร้อนกลับกินเวลาหกถึงสิบเดือน ที่เจิ้นเรียกใต้เท้าทุกท่านมาในวันนี้ก็ต้องการที่จะหารือเรื่องอุทกภัยช่วงฤดูใบไม้ผลิร่วมกัน”

เสนาบดีกรมโยธาเอ่ยอย่างลังเล “ฝ่าบาท หลายปีก่อนหน้านี้แม่น้ำหวงเหอไร้อุทกภัย เหตุใดปีนี้จึงสนพระทัยเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะจนก่อให้เกิดเสียงกระแทกเบาๆ “เจิ้นก็อยากรู้เช่นกันว่าเหตุใดฝนตกทางตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำหวงเหอมาครึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีใครมารายงานราชสำนัก”

…!

เสนาบดีสองคนกับผู้ช่วยเสนาบดีหนึ่งคนเข่าอ่อนทันใด คุกเข่าตึงลงไปกับพื้น

กู้หยวนไป๋ไม่พูดจา ปล่อยให้พวกเขาคุกเข่ากันเองและคาดเดาไปต่างๆ นานาท่ามกลางความเงียบที่แม้แต่เข็มตกก็ได้ยิน ครั้นเหล่าขุนนางมีเหงื่อซึมออกมาจากศีรษะเนื่องจากการคาดเดาของตัวเอง กู้หยวนไป๋จึงเอ่ย “ลุกขึ้น”

ราชวงศ์ต้าเหิงไม่มีอัครเสนาบดี กรมทั้งหกอยู่ในมือของฮ่องเต้โดยตรง ไม่มีสภาขุนนางทว่ามีการแต่งตั้งสภาองคมนตรีและสภาการปกครอง สภาองคมนตรีมีหน้าที่ในการดูแลด้านกองทัพ สภาการปกครองตรวจสอบกิจการของราชสำนักและถูกควบคุมจากฮ่องเต้โดยตรง

เมื่ออำนาจของฮ่องเต้ยิ่งใหญ่เพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนปิดบังไม่รายงาน คนในพื้นที่เหล่านั้นกล้าดีอย่างไรกัน!

แล้วฮ่องเต้รู้เรื่องฤดูฝนในแม่น้ำหวงเหอที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าพันหลี่ ได้อย่างไร

ขุนนางทั้งสามยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งหวาดกลัว พวกเขายืนขึ้นแผ่วเบา ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว

“ฉู่ชิง” กู้หยวนไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจิ้นรู้ว่าเจ้าค่อนข้างมีความรู้เรื่องการบำบัดน้ำ ครั้งนี้มีเวลาไม่มาก เจิ้นจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นอานฝูสื่อ* เพื่อส่งให้เจ้าไปป้องกันอุทกภัยแม่น้ำหวงเหอในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เจิ้นมีคำขอไม่มาก ตราบใดที่ฤดูน้ำหลากขนาดเล็กนี้ไม่ก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงเป็นพอ ฉู่ชิง เจ้ายินดีที่จะไปแม่น้ำหวงเหอหรือไม่”

ฉู่สวินคุกเข่าลงไปกับพื้นอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “กระหม่อมจะทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะ ประคองเขาลุกขึ้นด้วยตัวเอง “ก่อนไป เจิ้นยังมีอีกเรื่องที่อยากจะไหว้วาน เจ้าต้องสืบให้เจิ้นว่าผู้ใดปิดบังไม่รายงานเรื่องนี้! จงไปสืบในพื้นที่เหล่านั้น ไม่ต้องกลัวพวกเขา เจิ้นจะออกหน้าให้เจ้าเอง หากมีเรื่องยุ่งยาก เจิ้นอนุญาตให้เจ้านำผู้บัญชาการมณฑลทหารไปช่วยได้”

ใต้เท้าฉู่รู้สึกซาบซึ้งจนดวงตาเป็นประกาย “ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ”

กู้หยวนไป๋มองไปทางเสนาบดีกรมอากรและเสนาบดีกรมโยธาอีกครั้ง “กรมโยธาจัดคนที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำไปพร้อมกับฉู่ชิงสักสิบกว่าคน กรมพวกเจ้าทั้งสองต้องสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ จะหย่อนยานมิได้”

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

คนทั้งสามที่เดินออกมาจากตำหนักเซวียนเจิ้งต่างปาดเหงื่อบนศีรษะ แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เสนาบดีกรมอากรกับเสนาบดีกรมโยธาต่างแสดงความยินดีกับฉู่สวิน ฉู่สวินรีบคำนับกลับแล้วขอร้องว่า “ใต้เท้าทั้งสอง บัดนี้ฝ่าบาทคาดหวังกับข้ามากนัก เรื่องที่แม่น้ำหวงเหอมีฝนตกติดต่อกันครึ่งเดือนทว่าไม่มีผู้ใดรายงานนี้ ท่านทั้งสองได้โปรดอย่าเพิ่งบอกใคร ข้าเกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”

ใต้เท้าฉู่กำลังสงสัยว่ามีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างขุนนางท้องถิ่นกับขุนนางนครหลวง เสนาบดีกรมอากรกับเสนาบดีกรมโยธารีบพยักหน้า “ใต้เท้าฉู่โปรดวางใจ แม้ว่าท่านไม่พูด พวกข้าก็ไม่กล้าบอกคนนอก จุดประสงค์ของฝ่าบาทชัดเจน พวกเราสองกรมจะให้ความร่วมมืออย่างดี ใต้เท้าฉู่ทำหน้าที่ให้ดีและระวังความปลอดภัยด้วย ไว้ท่านกลับมา การสอบฮุ่ยซื่อก็คงจะรู้ผลแล้ว ความรู้ของคุณชายฉู่โดดเด่นเสมอมา ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจได้ฉลองสองงานมงคลในคราเดียว พวกท่านสองพ่อลูก คนที่สมควรเลื่อนขั้นก็จะได้เลื่อนขั้น คนที่สมควรเข้ารับราชการก็จะได้เข้ารับราชการแล้ว”

ฉู่สวินกล่าวคำถ่อมตัวสองสามประโยค ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะระหว่างออกจากวังไปพร้อมกัน

 

ในตำหนัก

หลังจากบรรดาขุนนางจากไป เถียนฝูเซิงก็ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วออกมา ยาสีดำสนิทที่ดูขมกว่าเดิมในชามลายครามสีขาวนั้น กู้หยวนไป๋เหลือบมองแล้วยกยาดื่มรวดเดียวหมด

คนที่ดื่มยามามากจะไม่รู้สึกว่ายาขมอีกแล้ว กู้หยวนไป๋ดื่มชาไปอีกสองสามคำเพื่อเจือจางรสยาในปาก สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วเดินออกไปจากตำหนักเซวียนเจิ้ง

บัดนี้ด้านนอกมีหิมะปกคลุมหนา

หิมะบนพื้นถูกทำความสะอาดจนหมดจด ทว่าบนต้นไม้บนใบหญ้ายังเหลือหิมะชั้นหนาเท่าฝ่ามือ

กู้หยวนไป๋สูดอากาศอันหนาวเหน็บเข้าไปหลายเฮือก ในใจก็พลอยรู้สึกสดชื่นตามไปด้วย เขาเดินไปยังใต้ต้นไม้ ใช้มือปั้นๆ ก้อนหิมะ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นานสองมือที่ถูกทะนุถนอมมาอย่างดีก็ถูกแช่แข็งแล้ว

หัวหน้าทหารองครักษ์วิ่งหายไปอย่างรีบร้อนแล้วนำถุงมือหนังคู่หนึ่งเข้ามาให้ กู้หยวนไป๋หัวเราะเอ่ย “เจิ้นแค่สัมผัสหิมะเท่านั้น ดูสิว่าเจ้ารีบร้อนอย่างกับอะไรดี”

หัวหน้าทหารองครักษ์มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก “ฝ่าบาท รีบโยนหิมะทิ้งไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้ๆๆ” กู้หยวนไป๋โยนหิมะทิ้งไป ก่อนยื่นสองมือให้หัวหน้าทหารองครักษ์อย่างจนปัญญา “พวกเจ้าก็ระมัดระวังกันเกินไปแล้ว”

หัวหน้าทหารองรักษ์จับปลายนิ้วของกู้หยวนไป๋อย่างระมัดระวัง ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำที่เปียกและหิมะออกจากฝ่ามือของฝ่าบาทอย่างพิถีพิถัน ผิวของฮ่องเต้บอบบางยิ่งนัก หิมะอยู่บนมือของเขาเพียงไม่กี่อึดใจปลายนิ้วทั้งสิบก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูน่ามองเสียแล้ว

เส้นเลือดของฝ่ามือบอบบางนี้แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผิวที่อ่อนนุ่ม หัวหน้าทหารองครักษ์ระวังแล้วระวังอีกจึงจะไม่ทิ้งรอยแดงบนฝ่ามือของฮ่องเต้ได้

ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นทะนุถนอมเขา ร่างกายของกู้หยวนไป๋นี้แยกจากการปรนนิบัติอย่างเอาใจใส่ไม่ออกโดยแท้จริง

ครั้นฝ่ามือไม่มีหิมะแล้ว หัวหน้าทหารองครักษ์จึงปล่อยมือทั้งสองของฮ่องเต้ จากนั้นก็กางถุงมือหนังออกแล้วสวมใส่เข้าไปอย่างพิถีพิถันอีกครั้ง ถุงมือสีน้ำตาลครอบคลุมมือขาวผ่องและยืดขยายไปจนถึงใต้แขนเสื้อ

กู้หยวนไป๋ยกมือขึ้นดมกลิ่นถุงมือเบาๆ มันถูกจัดการอย่างสะอาดสะอ้าน มีเพียงกลิ่นธูปหอมเท่านั้น เขาพยักหน้าแล้วยิ้มเอ่ย “มาชมหิมะกับเจิ้นเถิด”

อย่างไรก็ดี ขณะที่ชมหิมะหัวหน้าทหารองครักษ์กลับเงียบงันไม่พูดจา กู้หยวนไป๋จึงรู้สึกว่าชวนมาผิดคน เขาคิดแล้วคิดอีก พลันคิดถึงเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถด้านประชามติที่ต้องตาในวันนั้น

เหมือนจะชื่อฉางอวี้เหยียน?

 

ในจวนตุลาการศาลสถิตยุติธรรม

ฉางอวี้เหยียนกำลังเขียนบทความอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังนอกห้องตำรา เขาขมวดคิ้ว ข่มความรู้สึกโกรธที่ถูกรบกวนเอาไว้ รีบเปิดประตูทันใด “พวกเจ้าทำอะไรน่ะ!”

บ่าวรับใช้คนสนิทของบิดาเขากำลังรีบนำคนรุดมาที่นี่ ครั้นเห็นว่าเขาเปิดประตูแล้วก็ตะโกนนำมาก่อน “นายน้อย! ฝ่าบาทเชิญท่านไปเข้าเฝ้าในวังขอรับ!”

มือที่จับอยู่ตรงประตูของฉางอวี้เหยียนสั่นสะท้าน “อะไรนะ”

คนจากในวังหลวงยังคงอยู่ที่ด้านหลัง บ่าวรับใช้ร้อนใจ รีบวิ่งเข้ามาก่อนแล้วเอ่ยรบเร้า “นายน้อยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด ฝ่าบาทให้ท่านเข้าวังไปชมหิมะขอรับ!”

ฉางอวี้เหยียนกลืนน้ำลายเอื๊อก รู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งประหลาดใจ ในขณะที่เขากำลังรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คนจากวังหลวงก็เดินตามมาติดๆ ครั้นเห็นดังนี้จึงรีบเอ่ยปราม “คุณชายฉางไม่ต้องลำบากหรอก แต่งกายเช่นนี้ก็ไม่เลว ตามข้าน้อยเข้าวังก่อนเถิด เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทต้องรอนานเกินไป”

ฉางอวี้เหยียนเอ่ยอย่างเขินอาย “ตัวข้ามีแต่กลิ่นหมึก”

“ไม่เป็นไรขอรับ” คนจากในวังหลวงรีบพูด “คุณชายฉางไม่ต้องกังวลว่าฝ่าบาทจะโทษท่านเพราะเหตุนี้หรอก”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะโทษหรือไม่โทษ มันเป็นเรื่องที่ว่าเขาจะมีรูปลักษณ์อย่างไรในสายตาของฮ่องเต้มากกว่า

ภายในใจของฉางอวี้เหยียนซับซ้อนยิ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วความสุขที่ฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้านั้นมีชัยเหนือกว่า เขาละทิ้งความกังวลไป ในขณะที่กำลังจะเดินทางไปพร้อมกับคนจากในวังหลวง ทันใดนั้นกลับนึกอะไรได้ เขาบึ่งกลับไปในห้องตำรา หยิบตำราเล่มหนึ่งแล้วม้วนไว้ในแขนเสื้อก่อนที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง

ทางวังหลวงส่งรถม้ามา ฉางอวี้เหยียนขึ้นรถม้า ผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าจึงรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

อันที่จริงฉางอวี้เหยียนไม่ได้ชื่นชมฮ่องเต้มากเท่านี้มาก่อน

เซวียหย่วนเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง ฉางอวี้เหยียนสามารถคลุกคลีอยู่กับเขาและปล่อยตัวได้ตามใจชอบ การที่เขากล้าเขียนสิบสามบทกวีที่ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น ไม่ใช่เพราะเขาขุ่นเคืองกับเรื่องนี้และไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงบ้านเมืองหรือราษฎร แต่เป็นเพราะว่าเขาคิดต่อกรกับบิดา นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการได้รับชื่อเสียงที่ดี

บทกวีที่ฉางอวี้เหยียนเขียนมีความกังวลเกี่ยวกับสรรพสิ่งในใต้หล้า ทว่าเขากลับเพลิดเพลินกับอาหารชั้นดีและอาภรณ์หรูหราอย่างสบายใจ เซวียหย่วนกับเขาเป็นพวกคนชั่วตะเภาเดียวกัน ภายในเน่าเฟะจนส่งกลิ่นเหม็น ทว่าภายนอกยังคงให้ภาพลักษณ์ว่าตนนั้นงดงามดุจดังทองและหยก

บางคราวชื่อเสียงสำหรับผู้รู้ตำรานั้นมีประโยชน์กว่าอำนาจและเงินทองเสียอีก ทั้งบางคราวยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ด้วยซ้ำ

ระหว่างการตรวจข้อสอบ เหล่าปัญญาชนที่ต้องการเป็นขุนนางจำต้องสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ‘รอปลาในน้ำแข็ง’ ‘ข่งหรงสละสาลี่’ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแผ่ขยายเบื้องหลังของตระกูลผู้รู้ตำราและเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็นต้องพูดกันในหมู่บัณฑิต ตระกูลของฉางอวี้เหยียนมิได้ส่งเสริมชื่อเสียงของเขาจนกว่าเขาจะเข้าพิธีสวมหมวก ฉะนั้นฉางอวี้เหยียนจึงต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง

สามารถยืมมือของผู้มีอำนาจลดตำแหน่งผู้เป็นบิดาได้ สำหรับฉางอวี้เหยียนแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี

ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าการที่ฮ่องเต้เรียกเขาเข้าวังไปปรนนิบัติครั้งนี้จะต้องเป็นเพราะชื่อเสียงของเขาที่มีบทบาทสำคัญ ฉางอวี้เหยียนเย้ยหยันตัวเองแต่ก็รู้สึกขอบคุณในเวลาเดียวกัน

หากเขาไร้ซึ่งชื่อเสียง เป็นไปได้ว่าฮ่องเต้อาจไม่มีวันชายตามอง

รถม้าที่ขับเคลื่อนโดยคนจากวังแล่นไปตามถนนเสียงดังตึกๆ ผู้คนในนครหลวงล้วนหลบอยู่ในบ้านหลังหิมะตก ในสมองฉางอวี้เหยียนร้อนรุ่ม เขาก้มหน้าลงจัดระเบียบตัวเองหลายครั้ง รู้สึกว่าตนยังมีกลิ่นหมึกอยู่ เขาจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทั้งอย่างนี้ได้อย่างไรกัน

ฉางอวี้เหยียนเหลือบมองนอกหน้าต่าง เปิดหน้าต่างตากลมหนาวครู่หนึ่งเพื่อให้สงบลง หลังจากที่สงบสติลงมาได้อย่างยากลำบาก ทันใดนั้นฉางอวี้เหยียนก็เห็นเงาของทังเหมี่ยนบุตรชายเสนาบดีกรมอากรและหลี่เหยียนซื่อจื่อจวนผิงชางโหวแวบผ่านตรงปากทางของตรอกเล็กๆ

คนหนึ่งเป็นบุตรชายขุนนางชั้นสูง คนหนึ่งเป็นซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ แม้ตอนอยู่ในสำนักศึกษาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็ควรหลีกเลี่ยงความน่าสงสัยมิใช่หรือ

อีกอย่างหากมองมิผิดละก็…ฉางอวี้เหยียนหรี่ตา น่าเสียดายที่รถม้าโยกไปมา เขาเพียงชำเลืองมองอย่างเร่งรีบ หากมองไม่ผิดละก็ สิ่งที่พวกเขาสองคนถืออยู่ในมือน่าจะเป็นภาพวาดสองม้วน?

 

กู้หยวนไป๋เดินไปดูไป หลังจากสวมถุงมือหนังก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้เขาสัมผัสหิมะอีก

ตอนที่ฉางอวี้เหยียนมาถึงฮ่องเต้กำลังสั่งให้คนถือโถเอาไว้ ส่วนตัวเองก็ปัดชั้นหิมะบนดอกเหมยลงในโถอย่างระมัดระวัง หิมะที่ร่วงลงบนดอกเหมยผ่านการบ่มมาแล้วหนึ่งราตรี หิมะจึงเจือกลิ่นหอมของดอกเหมยจางๆ หากรอจนหิมะละลายแล้วนำไปต้ม น้ำที่ได้ก็จะมีรสชาติที่ต่างออกไป

ฉางอวี้เหยียนเดินขึ้นหน้ามาถวายความเคารพ เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้วางงานในมือลงแล้วประคองสองแขนของฉางอวี้เหยียนขึ้นมาด้วยตัวเอง “คราวก่อนเห็นเจ้า เจ้าก็มีพิธีรีตองอย่างมาก วันนี้เจิ้นเรียกเจ้ามาชมหิมะ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนี้”

ทันทีที่กู้หยวนไป๋จับแขนของฉางอวี้เหยียนก็รู้สึกได้ว่าผิวหนังภายใต้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายเกร็งแน่น จึงหลุดขำทันใด “เจิ้นน่ากลัวเพียงนั้นเชียว?”

ใบหน้าของฉางอวี้เหยียนร้อนผ่าว ลอบเหลือบตาขึ้นมอง

กู้หยวนไป๋หัวเราะแล้วพาเขาเดินต่อไป โดยมีเหล่าทหารองครักษ์เดินตามห่างออกมาห้าก้าว ส่วนเหล่านางกำนัลรับโถมาแล้วก็รวบรวมหิมะฤดูใบไม้ผลิบนดอกเหมยต่อ

ในวันธรรมดากู้หยวนไป๋จะไม่สวมชุดมังกร ตามปกติแล้วเขาจะสวมชุดลำลอง และชายของชุดจะปักด้วยลวดลายสีเข้มแบบเรียบๆ ทำให้ดูเหมือนว่ามีมังกรเกาะติดอยู่ขณะเดิน

กลีบดอกเหมยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสองสามกลีบติดอยู่บนเส้นผมที่ปล่อยสยายด้านหลัง ฉางอวี้เหยียนเห็นเข้าก็หันมองให้ชัดขึ้นอีกสองสามรอบ แต่กลับเขินอายที่จะเอ่ยเตือนเขา

หลังจากชมหิมะในวังเสร็จ ฉางอวี้เหยียนก็ถูกฮ่องเต้รั้งให้อยู่ต่อเพื่อกินอาหารเย็น โดยหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จและกำลังจะจากไป ฉางอวี้เหยียนก็รวบรวมความกล้า หยิบตำรารวบรวมบทกวีออกจากแขนเสื้อ วินาทีนั้นเขาก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ว่าตัวเองหน้าหนาเพียงใด “ฝ่าบาท นี่คือบทกวีที่กระหม่อมรวบรวมในช่วงนี้ โดยนำบทกวีที่ยังคุ้นตาในอดีตรวมกับที่กระหม่อมแต่งขึ้นหลังกลับมาจากงานชมสวนครั้งล่าสุด หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ กระหม่อมต้องการอุทิศกวีเหล่านี้ถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

กวีเล่มบางๆ นี้น่าจะยังเป็นฉบับร่าง ด้านบนมีรอยยับนิดหน่อย

กู้หยวนไป๋รู้สึกสนใจในกวีบทของผู้มีความสามารถด้านประชามตินี้อย่างยิ่ง หากเป็นผลงานชั้นดี เช่นนั้นเขาก็เชื่อว่ามันจะกระจายไปทั่วนครหลวงในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

ถุงมือหนังก่อนหน้านี้ถูกถอดวางอยู่หน้าจานอาหาร กู้หยวนไป๋ยิ้มพลางพลิกอ่านบทกวี มองผ่านๆ สองสามครา รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นล้ำลึกยิ่งขึ้น

เมื่อเทียบกับสิบสามบทกวีเสียดสีผู้สูงศักดิ์ของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ผลงานในครั้งนี้เหมาะกับความชมชอบของผู้ปกครองเช่นเขายิ่งนัก

กู้หยวนไป๋ยื่นบทกวีให้เถียนฝูเซิงเก็บไว้ ทันใดนั้นเองก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะยิ้ม “อวี้เหยียนกับคุณชายใหญ่ของท่านแม่ทัพเซวียน่าจะเป็นสหายสนิทกันกระมัง”

ฉางอวี้เหยียนที่ไม่รู้เหตุผลพยักหน้าด้วยความระมัดระวัง “พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “หลายวันก่อน เจิ้นได้ยินว่าเซวียจิ่วเหยาบาดเจ็บที่หัวเข่าทั้งสองข้าง อวี้เหยียนได้ยินเรื่องนี้หรือไม่”

จิ่วเหยาคือชื่อรองของเซวียหย่วน

ฉางอวี้เหยียนตกตะลึง อะไรนะ

เมื่อเห็นอาการที่ไม่รู้เรื่องของเขา กู้หยวนไป๋ก็เลิกคิ้วและยิ้มอย่างสบายๆ “ไว้อวี้เหยียนออกจากวังแล้วก็ไปเยี่ยมที่จวนสกุลเซวียสักครั้งสิ แล้วบอกกับแม่ทัพเซวียกับเซวียจิ่วเหยาแทนเจิ้นด้วยว่าหากพวกเขาต้องการ เจิ้นสามารถส่งหมอหลวงไปตรวจและรักษาเขาที่จวนสกุลเซวียได้”

ฮ่องเต้กล่าวอย่างใจเย็น “สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นบุตรขุนนางของเจิ้น เป็นขุนพลของต้าเหิงในอนาคต หากเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นก็นับเป็นความสูญเสียของต้าเหิงแล้ว”

บทที่ 10

จวนสกุลเซวีย

เซวียหย่วนนอนอยู่บนเตียง ฟังไปฟังมาก็อดที่จะหัวเราะมิได้ “เขาพูดเช่นนี้กับเจ้ารึ”

ฉางอวี้เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ต้องเรียกว่าฝ่าบาท”

เข่าของเซวียหย่วนถูกพันผ้ายาเอาไว้ มีเลือดซึมออกมาจางๆ ทว่าใบหน้าของเขากลับดูไร้สติ ชี้ไปที่แผลของตัวเองแล้วพูดเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แผลนี่ฝ่าบาทเป็นคนทำ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ฉางอวี้เหยียนหักล้างตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่า “เจ้าทำอะไรผิดหรือเปล่า”

เซวียหย่วนหรี่ตาแล้วถามกลับ “วันนี้ฝ่าบาทเรียกเจ้าเข้าวังไปทำอะไร”

ฉางอวี้เหยียนได้ยินดังนี้ผิวหนังก็อดที่จะเกร็งมิได้ ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย “ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อน แน่นอนว่าเพื่อให้ข้าอยู่ชมหิมะด้วย”

“ชมหิมะ?” เซวียหย่วนวางสองมือลงบนเตียง สองแขนมีพลังรุนแรง กล้ามเนื้อหดเกร็งแล้วยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ปลายนิ้วของเขาเคาะอยู่บนหน้าตักราวกับกำลังครุ่นคิด “โปรดปรานอะไรในตัวเจ้านะ”

ในสายตาของเซวียหย่วนฮ่องเต้ผู้นี้ดูไม่เหมือนจะทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย แม้แต่หมาบ้าเช่นเขาก็ยังกล้ายั่วยวน ยั่วโมโหก็ช่างประไร อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถอันโดดเด่นดังที่ฮ่องเต้น้อยพูด ทว่าน่าแปลกนัก ฉางอวี้เหยียนผู้นี้มีอะไรกัน

ปัญญาชนที่มีแต่กลิ่นเน่าเฟะคนหนึ่ง ฉางอวี้เหยียนจะมีประโยชน์อันใดได้

อย่างไรก็ดี ฮ่องเต้ยังเชิญผู้รู้ตำราที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้มาชมหิมะ ทว่าเซวียหย่วนผู้มีพรสวรรค์ในอนาคตกลับถูกฮ่องเต้ลงโทษจนเข่าถูกอาบไปด้วยเลือดก่อนที่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

ฉางอวี้เหยียนได้ยินประโยคนี้อย่างชัดเจน เขาฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เซวียหย่วน เจ้าหมายความว่าอะไร”

เซวียหย่วนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เจ้าจะมีประโยชน์อันใดได้”

ฉางอวี้เหยียนจ้องเขาอย่างขุ่นเคือง “ข้ามิใช่ผู้มีชื่อเสียงโดดเด่น แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง คนที่มาอวยพรข้าในพิธีสวมหมวกนั้นมากมายจนทำให้ทางการแตกตื่น ส่วนข้าก็มีความสามารถเสมอมา เจ้ารอผลสอบเตี้ยนซื่อคราวนี้ เจ้ารอข้าเอาตำแหน่งจ้วงหยวนมาก็แล้วกัน!”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้นอย่าง ‘เชื่องช้า’ สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโกรธเคือง

เซวียหย่วนลูบคาง เมื่อฉางอวี้เหยียนหายลับตาไปแล้วจึงหัวเราะเยาะ “จ้วงหยวน?”

ฮ่องเต้น้อยองค์นั้นจะเอาผู้รู้ตำราจอมปลอมมาเป็นจ้วงหยวน เช่นนี้มีประโยชน์อะไร

เซวียหย่วนยกสองขาออกจากเตียง ยืนตัวตรงบนพื้น เขาเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินไปยังหน้าต่างอย่างช้าๆ

ผ้าขาวที่พันเข่ามีรอยเลือดกระดำกระด่างเป็นจุดๆ รสชาติแห่งความเจ็บปวดเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเซวียหย่วนมาก

เซวียหย่วนเติบโตอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่เล็ก เขารู้ว่าหมัดที่แข็งแรงและทหารม้าที่แข็งแกร่งต่างหากที่เป็นทุกสิ่ง ที่บอกว่าสกุลเซวียจงรักภักดีมาสามชั่วอายุคนนั้นฟังดูดีมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีชื่อเสียงย่ำแย่ การที่เขาปล่อยขวดสุราก็มิได้หมายจะทำร้ายฮ่องเต้ ครั้นเห็นว่าฮ่องเต้ผ่านไปแล้วจึงลงมือและเพียงอยากเห็นทัศนคติที่ฮ่องเต้มีต่อสกุลเซวียเท่านั้น

เซวียหย่วนลูบคางพลางครุ่นคิด นึกถึงใบหน้าของฮ่องเต้ แม้ว่าขนยังขึ้นไม่ครบดีแต่กลับงดงามกว่าบรรดาแม่นางน้อยทั้งหลายเสียอีก

เพียงแต่ซ่อนอารมณ์ไว้ลึกเกินไป

เป็นเพราะสกุลเซวียจึงรักษาเขาอย่างดี หรือเป็นเพราะความจงรักภักดีสามชั่วอายุคนจึงต้องรักษาเขาอย่างดีกันแน่

 

ใต้เท้าฉู่สวินพาคนออกเดินทางไปยังแม่น้ำหวงเหอแล้ว หน่วยควบคุมดูแลจะส่งข่าวที่มาจากแนวหน้าให้แก่ฉู่สวิน กู้หยวนไป๋จ่ายเงินก้อนใหญ่มากๆ เพื่ออบรมคนในหน่วยควบคุมดูแล คนในหน่วยควบคุมดูแลไม่เพียงรู้ตำรา ฝึกวรยุทธ์ ขี่ม้า และยิงธนูเท่านั้น ยังต้องเรียนรู้พิชัยสงคราม ภูมิศาสตร์ ทักษะในด้านการสะกดรอย และการลอบโจมตีเหล่านั้นด้วย

นอกเหนือจากการอบรม กู้หยวนไป๋ก็ยังดูแลอาหารการกินของพวกเขาอย่างดียิ่งกว่าการเลี้ยงกองทัพเสียอีก กินข้าวเนื้อสัตว์และผักคู่กัน ข้าวก็ใช้ข้าวอย่างดี เนื้อก็มิให้ขาด ทุกคนในหน่วยควบคุมดูแลต่างถูกเลี้ยงจนมีร่างกายกำยำแข็งแรง หากพวกเขามีสุขภาพที่ดีแล้วก็ย่อมแสดงถึงสุขภาพของกู้หยวนไป๋ด้วย การที่เรื่องฝนตกครึ่งเดือนสามารถเดินทางหลายพันหลี่มายังนครหลวงได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนั้น ร่างกายที่ดีนี้ก็มีบทบาทไม่น้อย

กู้หยวนไป๋วางเรื่องการป้องกันน้ำท่วมลงชั่วคราว แล้วมุ่งเน้นไปยังการสอบฮุ่ยซื่อที่กำลังจะมาถึง

การประชุมราชสำนักในหลายวันนี้ขุนนางแต่ละคนกังวลอย่างยิ่งเช่นกัน เนื่องจากนครหลวงมีคลื่นลมหนาวและครั้งนี้มันโหมกระหน่ำรุนแรง หลายคนเขียนฎีกาเพื่อหวังให้ผู้เข้าสอบสวมเสื้อผ้าเพิ่ม ทั้งยังให้เติมถ่านหินเพื่อเพิ่มความร้อนมากขึ้น รวมถึงให้ซ่อมแซมห้องสอบของก้งย่วนอย่างดีอีกด้วย

โดยเฉพาะบรรดาหัวหน้าสกุลที่มีลูกหลานเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้ ที่โต้เถียงอย่างหนักแน่นเพื่อสิ่งที่ถูกต้องและไม่ยอมถอยออกไปจากราชสำนักแม้แต่ครึ่งก้าว

ฮ่องเต้ทรงเมตตา เดิมทีห้องสอบกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ฎีกาขอเพิ่มปริมาณถ่านหินก็ได้รับการอนุมัติแล้ว ทว่าเรื่องที่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบฮุ่ยซื่อสวมเสื้อผ้าได้มากขึ้นนั้นกลับได้รับการคัดค้านจากขุนนางจำนวนมาก

ในอดีตก็ใช่ว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ฤดูหนาวในนครหลวงนั้นค่อนข้างยาวนานและหนาวเหน็บ บางครั้งฤดูใบไม้ผลิก็เปรียบได้กับฤดูหนาว มีฮ่องเต้ผู้เมตตามากมายที่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบสวมเสื้อหนังได้อีกชั้นหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ในครั้งนั้นกลับพบกระดาษโกงข้อสอบมากมายที่เย็บติดเข้ากับเสื้อผ้าของผู้เข้าสอบ ยิ่งเสื้อผ้าหลายชั้นเวลาตรวจสอบก็ยิ่งยุ่งยาก ความเมตตาของฮ่องเต้จึงถูกปัญญาชนนิสัยต่ำช้าเหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด

“ฝ่าบาท” ขุนนางเกลี้ยกล่อม “ในอดีตก็ใช่ว่าไม่เคยมีคลื่นลมหนาว เพิ่มถ่านหิน ซ่อมแซมห้องสอบ เหล่านี้ก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทว่าคลื่นลมหนาวในปีนี้รุนแรงมาก การสอบฮุ่ยซื่อของราชวงศ์ต้าเหิงใช้เวลาสามวันติดต่อกัน หากในวันนั้นภายในห้องสอบและห้องพักของผู้เข้าสอบมีอากาศเย็นลงหรือมีฝนตกและหิมะตก เกรงว่าคนจำนวนไม่น้อยจะได้รับความเดือดร้อนจากลมหนาว ที่แย่ไปกว่านั้นอาจตายภายในสามวันนี้ก็เป็นได้

กู้หยวนไป๋ใส่ใจกับบรรดาผู้มีความสามารถเหล่านี้อย่างแท้จริง สุดท้ายเขาก็มีคำสั่ง ตัดสินใจให้ผู้เข้าสอบสวมเสื้อผ้าเพิ่มได้

ทันทีที่ราชโองการนี้ออกมา ผู้คนที่รุดมาสอบในนครหลวงต่างก็โห่ร้องด้วยความยินดี ทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า

ผู้เข้าสอบที่ร่างกายอ่อนแอทั้งยังปรับตัวกับอากาศในนครหลวงไม่ได้เหล่านั้นซาบซึ้งยิ่งกว่า โขกศีรษะขอบคุณไม่หยุดพร้อมกับพูดอย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาททรงเมตตา ฝ่าบาทมีพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น!”

เสื้อผ้าบางๆ ตัวหนึ่งแสดงถึงความหวังอันอบอุ่นในห้องสอบที่เยือกเย็นและคับแคบ ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจต่อการห้ามปรามของเหล่าขุนนางและยังคงตัดสินใจที่จะลดระดับข้อจำกัดลง นี่ก็คือความรักความทะนุถนอมที่สว่างสดใสสำหรับพวกเขา

ความเอาใจใส่และความรักจากฮ่องเต้ ทำให้ไฟในใจปัญญาชนผู้เคารพฟ้าดิน และเหล่าอาจารย์ยิ่งลุกโชนมากขึ้น

แน่นอนว่าการที่กู้หยวนไป๋มีความเมตตาต่อผู้เข้าสอบเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดทางให้พวกเขาฉวยโอกาสในการทุจริต

หากมีคนที่บังอาจใช้โอกาสนี้สอดแผ่นกระดาษเข้ามาด้วย เช่นนั้นเขาก็จะลงโทษคนเหล่านั้นให้รุนแรงยิ่งกว่าการเสื่อมเสียชื่อเสียงเสียอีก

กู้หยวนไป๋ไม่ต้องการให้ความใจดีของตนกลายเป็นเรื่องตลกในภายภาคหน้า

 

ระหว่างการรอคอย ในที่สุดวันสอบฮุ่ยซื่อก็มาถึง

ทันทีที่ฉู่เว่ยตื่นในตอนเช้าก็ฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างสงบในลาน ครั้นเหงื่อออกท่วมตัวแล้วจึงหยุด หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ผู้เป็นมารดาก็กำลังตรวจสอบสิ่งของที่จะนำเข้าสู่สนามสอบอีกครั้ง นี่คือการตรวจสอบครั้งที่ห้าของนางแล้ว ฉู่เว่ยเองก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย “ท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเพียงนี้”

“จะไม่ให้ข้าตื่นเต้นได้อย่างไร!” ฮูหยินฉู่ค้านเสียงสูงแล้วก้มหน้าลงนับต่อไปอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง “ผ้าเช็ดหน้า กระดาษ อาหารแห้ง…”

ฉู่เว่ยปล่อยมารดาไปและกินอาหารจนหมดอย่างเงียบๆ บ่าวรับใช้แบกของขึ้นบ่าแล้วเดินทางไปยังก้งย่วนพร้อมกับนายน้อย

ฮูหยินฉู่ส่งเขาที่หน้าประตู ประสานมือขอพรจากสรวงสวรรค์อย่างกังวลใจ “ขอให้ลูกชายข้าสอบฮุ่ยซื่ออย่างราบรื่นด้วยเถิด”

ผู้ที่เข้ามาสอบในนครหลวงมีมาก ด้วยเหตุนี้จึงถูกแบ่งกลุ่มเพื่อเข้าห้องสอบ ฉู่เว่ยโชคไม่ดีนัก เขาต้องเข้าก้งย่วนตั้งแต่เช้าและรออยู่ที่นั้นทั้งวัน

เมื่อเข้าแถวที่หน้าประตูฉู่เว่ยก็ให้บ่าวรับใช้กลับไปก่อน เขาแบกกล่องสอบด้วยตัวเอง ยืนหลังตรงท่ามกลางฝูงคน

รูปลักษณ์ของเขานั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ บุคลิกก็สง่างามดุจพระจันทร์สดใสซึ่งทำให้หลายคนสังเกตเห็นเขาได้ชัด ท่ามกลางเสียงซุบซิบก็เข้าใจแล้วว่าบุคคลนี้คือฉู่เว่ยชายรูปงามอันดับหนึ่งผู้มีชื่อเสียงแห่งนครหลวง

หลี่เหยียนซื่อจื่อจวนผิงฉางโหวซึ่งอยู่ไม่ไกลและกำลังรอส่งสหายคนสนิทอย่างทังเหมี่ยนสังเกตเห็นความโกลาหลของที่นี่เป็นครั้งแรก เขาหันไปข้างหลังก่อนตบไหล่ทังเหมี่ยนอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ทังเหมี่ยน ฉู่เว่ยก็เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ด้วย เจ้ายังจะได้อันดับดีๆ อยู่หรือ”

ทังเหมี่ยนก็เห็นฉู่เว่ยแล้วเหมือนกัน เขาขมวดคิ้วแล้วผ่อนคลายลงอีกครั้ง “เขามิได้สอบเคอจวี่มาเจ็ดปีแล้ว เวลาเจ็ดปีข้าไม่เชื่อว่าความรู้ของเขาจะยังดีเพียงนั้น ฉู่เว่ยจะสอบก็สอบไปเถิด เขาข่มขู่ข้ามิได้หรอก”

ฉู่เว่ยที่อยู่ด้านหลังหูขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หันมามองทางทังเหมี่ยน

ทังเหมี่ยนและหลี่เหยียนต่างมิได้สังเกต หลี่เหยียนถามขึ้น “ทุกครั้งเจ้ามักติดอันดับหนึ่งหรือสองในสำนักศึกษา ครั้งนี้มั่นใจหรือไม่ว่าจะได้จ้วงหยวนมา”

ทังเหมี่ยนเอ่ยด้วยความจริงจัง “ช้าก่อน ได้ยินว่าบุตรชายตุลาการศาลสถิตยุติธรรมฉางอวี้เหยียนก็เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้เหมือนกัน ข้าได้อ่านบทความและบทกวีของเขาแล้ว เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า”

หลี่เหยียนอดที่จะกล่าวอย่างอิจฉาไม่ได้ “อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ก็ย่อมถูกฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าด้วยพระองค์เอง”

ทังเหมี่ยนอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อยไม่ได้ เขาหัวเราะและแสร้งทำเป็นใจเย็น “ข้าจะต้องทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้าให้ได้”

นับตั้งแต่วันที่แข่งชู่จวี ก็ทำได้เพียงหวนระลึกภาพของฮ่องเต้ผ่านภาพวาด แต่รูปลักษณ์ของบุคคลในภาพวาดนั้นจะสามารถเทียบกับหนึ่งในสิบของตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร

ฮ่องเต้ที่แท้จริงเป็นดั่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หากต้องการให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จดจำเขาได้ จะเป็นปั่งเหยี่ยน หรือทั่นฮวาก็ไม่พอ

ผู้ที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสวมหมวกเยี่ยงเขา หากได้ตำแหน่งจ้วงหยวนละก็…

หัวใจของทังเหมี่ยนอดที่ลุกเป็นไฟไม่ได้

ฉู่เว่ยละสายตาออกมาอย่างสงบ หลุบสายตาลงเพื่อปิดบังความไม่พอใจและรอยยิ้มเย้ยหยันในดวงตา

วายร้ายน่ารังเกียจก็ช่างบังอาจคิดจริงๆ

 

ขณะที่การสอบฮุ่ยซื่อในก้งย่วนเริ่มขึ้น กู้หยวนไป๋ที่อยู่ตำหนักในก็ได้รับข่าว

เขาฟังรายงานอย่างละเอียด ไม่นานปากสีซีดก็ยกยิ้มเบาๆ เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ไม่เลว”

เถียนฝูเซิงยกน้ำแกงบำรุงชามหนึ่งมาให้เขา เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังเกษมสำราญก็อดที่จะพูดอย่างมีความสุขมิได้ “ไม่เสียแรงกับความเมตตาของฝ่าบาท หากผู้เข้าสอบครานี้มีความซื่อสัตย์ ปัญญาชนรุ่นต่อไปก็จะสามารถมีร่มเงาให้พักพิงได้เช่นกัน”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า ก่อนวางภารกิจที่สะสางสำเร็จแล้วไว้ข้างๆ “เจิ้นก็ควรไตร่ตรองหัวข้อการสอบเตี้ยนซื่อของพวกเขาแล้วเช่นกัน”

เถียนฝูเซิงถือม้วนตำราเข้ามา ในตำราเหล่านี้บันทึกนโยบายนับพันหัวข้อเอาไว้ กู้หยวนไป๋พลิกหน้ากระดาษลวกๆ สองสามหน้า แล้วจึงส่ายกน้าก่อนพูด “ไม่ว่าจะอ่านสักกี่รอบ หากไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน อ่านอย่างไรก็ไม่สะดวก”

เถียนฝูเซิงมองฮ่องเต้ด้วยความสงสัย “เครื่องหมายวรรคตอน?”

กู้หยวนไป๋ “ไม่มีอะไร”

เครื่องหมายวรรคตอน ก็คือการแบ่งส่วนประโยคหรือที่คนโบราณเรียกว่า ‘จวี้โต้ว’ ทว่าเครื่องหมายวรรคเหล่านี้ไม่สามารถลบออกได้โดยง่ายและไม่สามารถปล่อยผ่านได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

นับแต่โบราณเป็นต้นมาหลักคำสอนจำนวนหนึ่งถูกผูกขาดโดยกลุ่มวิชาการ หลักคำสอนที่ถูกผูกขาดเหล่านั้นก็คือจวี้โต้วนี้ ตัวอย่างเช่น ประโยคอันโด่งดัง ‘ราษฎรสามารถทำตามมันไม่ต้องรู้เหตุผลของมัน’ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองรูปแบบคือ หนึ่ง ‘ราษฎรสามารถทำตามมัน ไม่ต้องรู้เหตุผลของมัน’ และสองคือ ‘ราษฎรสามารถทำตามมันไม่ ต้องรู้เหตุผลของมัน’

กลุ่มวิชาการต่างกันมีวิธีแบ่งวรรคตอนประโยคที่ต่างกันและมีความหมายต่างกันโดยธรรมชาติ หากต้องใช้เครื่องวรรคตอนตามมาตรฐาน กลุ่มวิชาการเหล่านี้ก็จะสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตกลงว่าอันไหนถูก แล้วทำไมอันอื่นต้องผิดด้วย ทำไมต้องนำวิธีการแบ่งวรรคตอนของกลุ่มพวกเขาไปบอกให้ผู้คนในใต้หล้ารู้

กลุ่มวิชาการถูกเรียกเป็นกลุ่มเนื่องจากลักษณะการผูกขาดที่กำหนดโดยวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ และเนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บรรดาศิษย์ที่อยากศึกษาหาความรู้จึงต้องอุทิศตนภายใต้ชื่อของมัน เมื่อมีคนเรียนมากขึ้นกลุ่มเช่นนี้ก็จะกลายเป็นสำนัก

แม้จะมีสำนักศึกษาของทางการ แต่ก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้กลุ่มวิชาการเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปได้

ผู้ที่ได้เรียนอยู่ในสำนักศึกษาของทางการเองก็จะมีการแบ่งสัดส่วนประโยคที่เหมือนกัน และมีความเข้าใจอันเป็นหนึ่งเดียวกันในคำพูดของฮ่องเต้ บัดนี้จู่ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยถึงเครื่องหมายวรรคตอน บทความนี้ต้องใส่สัญลักษณ์จวี้แบบนี้ บทความนั้นต้องใส่โต้วแบบนั้น คนที่ใช้การแบ่งส่วนประโยคไม่เหมือนกับทางการและผู้รู้ตำราในกลุ่มดังกล่าวก็จะไม่พอใจ เหตุใดพวกข้าถึงผิดเล่า พวกข้าสละเวลา พลังงาน และเงินจำนวนมากเพื่อเรียนรู้ หากนี่เป็นสิ่งที่ผิด เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่ได้ผลตอบแทนใดและสิ่งที่ร่ำเรียนไปก็ไม่เปล่าประโยชน์หรอกหรือ

ส่วนกลุ่มที่แบ่งวรรคตอนประโยคแบบเดียวกับทางการก็จะไม่พอใจเช่นกัน เหตุใดความรู้ส่วนตัวของพวกข้าจึงถูกเผยแพร่ในใต้หล้า จะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่บรรพบุรุษของเราได้สะสมมาหลายชั่วอายุคนสำหรับทุกคนในใต้หล้าได้อย่างไร

ทันทีที่เครื่องหมายวรรคตอนถูกเผยแพร่ออกไปก็เท่ากับแตะต้องสมบัติของพวกเขา กลุ่มนักวิชาการเหล่านี้ไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน

เครื่องหมายวรรคตอนเป็นสิ่งที่ดี ทว่าตอนนี้กู้หยวนไป๋กลับเอาออกมาใช้ไม่ได้

ในขณะที่ภายในสงบภายนอกไร้ศัตรูและฮ่องเต้มีอำนาจที่จะล้มโต๊ะ จึงจะสามารถสั่นคลอนเหล่าสำนักต่างๆ และปฏิรูปวิชาการได้

กู้หยวนไป๋พลิกหน้าตำราสองหน้า จิบน้ำอุ่นคำหนึ่ง ครั้นรู้ตัวว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ก็อดที่จะหลุดยิ้มไม่ได้

เขาบอกแล้วว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า ทว่านี่ก็เหมือนคนติดน้ำตาลบอกอยากเลิกน้ำตาล คนสูบบุหรี่บอกว่าอยากเลิกบุหรี่ ปากเต็มไปด้วยคำพูดแต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์ยิ่ง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะไรที่เรียกว่าปากไม่ตรงกับใจ

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 27 มิ.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: