X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 87-89 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การสะกดรอยตาม การลักพาตัว

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 87

 

ก่อนจะออกจากห้อง ไม่รู้ว่าเกิดอารมณ์ไหนเวินเสี่ยวฮุยจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้า ทั้งยังเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่และจัดเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง เขาคิดอย่างเย้ยหยันตัวเองว่าถ้าเขาแทงบอดี้การ์ดคนนั้นจริงๆ ก็จะต้องตกเป็นข่าวอย่างแน่นอน แต่ต่อให้เป็นข่าวก็ต้องเป็นข่าวด้วยใบหน้าสวยๆ สิ

พอแม่เห็นว่าเขาแต่งหน้าสวยก็นึกว่าเขามีเดต ทั้งยังหัวเราะพลางด่าเขาว่าหลงตัวเอง

เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้ามาจูบแม่ จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายวับไปทันทีที่ออกมาจากห้อง เขากำมีดที่อยู่ในมือแน่น จากนั้นจึงขับรถออกไป

เมื่อมาถึงร้านกาแฟบอดี้การ์ดกำลังรออยู่ตรงที่นั่งข้างหน้าต่างแล้ว เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

บอดี้การ์ดเหลือบมองเขา ดูอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก อีกฝ่ายพูดเยาะเย้ย “แต่งหน้าสวยขนาดนี้จะไปเดินแคตวอล์กหรือไง”

เวินเสี่ยวฮุยเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย บางทีอาจเป็นเพราะกำลังตกใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำเขาจึงไม่รู้สึกกลัวคนคนนี้อีกแล้ว เขานั่งลงอย่างใจเย็นแล้วพูดเรียบๆ

“ต่อให้ฉันตายก็ต้องตายอย่างสง่างาม พูดมาเถอะ นายอยากจะให้ฉันทำอะไร”

“ไม่ใช่ว่าผมอยากให้คุณทำอะไร แต่เป็นเจ้านายของผมที่อยากให้คุณทำ” บอดี้การ์ดมองสำรวจเขา “คุณกล้ากว่าที่ผมคิดซะอีกนะ”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบตาขึ้น “นายหมายความว่าอะไร”

บอดี้การ์ดเงยคางขึ้น “ในกระเป๋ากางเกงคือมีดสินะ”

สีหน้าของเวินเสี่ยวฮุยแปรเปลี่ยน เขากำมีดในกระเป๋ากางเกงแน่นโดยไม่รู้ตัว

บอดี้การ์ดยิ้มเยาะ “ตอนที่ผมเล่นมีด คุณอาจจะเพิ่งหัดเดินก็ได้ ไหล่แข็งทื่อของคุณ มือที่ล้วงกระเป๋าเป็นระยะๆ สีหน้าที่ทั้งวิตกกังวลแล้วก็ตื่นเต้นหนีไม่พ้นสายตาของมืออาชีพไปได้หรอก ทำไม คิดจะแทงผมเหรอ คิดจะเข้าคุกด้วยหน้าสวยๆ น่ะเหรอ คุณถูกเล่นงานจนตายแน่”

เวินเสี่ยวฮุยกัดฟันพูด “นายเป็นอาชญากรที่มีหมายจับ ส่วนฉันก็แค่ป้องกันตัวเอง”

“ที่คุณพูดก็มีเหตุผล แต่น่าเสียดายที่คุณจะไม่มีโอกาสนั้น” บอดี้การ์ดพูดอย่างมืดมน “ถ้าคุณกล้าขยับตัวล่ะก็ ผมจะควักลูกตาของคุณออกมาตรงนี้เลย ศัลยกรรมก็คงช่วยอะไรคุณไม่ได้”

เวินเสี่ยวฮุยหนาวสะท้านในใจ ไหล่ของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

บอดี้การ์ดหัวเราะอย่างเย็นชา “ตอนนี้ก็เก็บแผนการน้อยๆ ของคุณไว้แล้วฟังผม”

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก มองเขาอย่างเคียดแค้น

“ผมอยากให้คุณเอาอะไรบางอย่างมาจากลั่วอี้ ซีดี ตราประทับ และซองเอกสาร มันน่าจะอยู่ด้วยกันทั้งหมด”

“ฉันต้องไปหาที่ไหน แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าเป็นสิ่งที่พวกนายต้องการ”

“จะไปหาที่ไหนนั่นเป็นเรื่องของคุณ ซีดีมันนานมาแล้ว ลั่วอี้อาจจะมีสำเนา แต่เขาไม่มีทางมีสำเนาของตราประทับ หรือถึงมีก็ไม่มีประโยชน์ เอกสารก็เหมือนกัน ฉะนั้นคุณแค่ต้องหาตราประทับของ ‘บริษัทฉางหง คอนซัลติ้ง เซอร์วิส จำกัด’ กับซองที่มีเอกสารอยู่ข้างในเยอะๆ ก็พอ”

“ในซองเอกสารมีอะไร”

“น่าจะมีเอกสารราชการทางการค้า ตั๋วเงิน กำหนดการเดินทาง แล้วก็รูปถ่ายจำนวนหนึ่ง ส่วนเนื้อหาข้างในผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่พอคุณเห็นแล้วก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นของที่เจ้านายผมอยากได้”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “พอได้ไปแล้วพวกนายคิดจะทำอะไร”

“แน่นอนว่าเพื่อคดีความของเจ้านายผม” บอดี้การ์ดพูด “เวลาของพวกเรากระชั้นมาก คุณต้องหาของที่ผมต้องการมาให้ผมภายในหนึ่งอาทิตย์”

“หนึ่งอาทิตย์? ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน”

บอดี้การ์ดนวดขมับ “หาวิธีสิ ผมจะบอกคุณให้ว่าของพวกนั้นคือของที่ลั่วอี้ขุดออกมาจากผนังห้องของคุณนั่นแหละ”

เวินเสี่ยวฮุยเบิกตากว้าง “อะไร…นะ”

“ของพวกนั้นคือของที่ลั่วหย่าหย่าเก็บไว้ปกป้องตัวเอง เธอฝากไว้ที่พ่อของคุณ ผมไม่สนว่าคุณจะใช้วิธีไหน แค่หาพวกมันให้เจอก็พอ” บอดี้การ์ดลุกขึ้นยืน “แล้วผมจะติดต่อคุณไปเอง” เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะหันมายิ้มให้เวินเสี่ยวฮุย “ร้านของเพื่อนคุณนี่ขายดีจริงๆ”

มีความโหดร้ายวาบผ่านใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุย เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบทนไม่ไหวนึกอยากจะกลืนคนตรงหน้านี้ซะ

หลังจากที่บอดี้การ์ดไปแล้วเขาก็นั่งเหม่ออยู่ในร้านกาแฟนานมาก อันที่จริงเขาก็พอจะเดาได้ว่าลั่วอี้จะเก็บของเหล่านั้นไว้ที่ไหน คนอย่างลั่วอี้นั้นไม่น่าไว้วางใจ ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ไม่ไว้ใจใครเลย สิ่งสำคัญจะต้องถูกเก็บไว้ในที่ที่ลั่วอี้สามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน ดังนั้นมันน่าจะอยู่ในคฤหาสน์

เขาไม่รู้ว่าควรจะไปหาที่ไหนในคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น แล้วถ้าหาเจอแล้ว…ถ้าหาเจอแล้ว เขานำสิ่งนั้นไปให้ฉางสิงแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ฉางสิงจะได้รับการปล่อยตัวหรือเปล่า ถ้าฉางสิงออกมาได้แล้ว สถานการณ์ของลั่วอี้ก็คงจะอันตรายมากอย่างแน่นอน

เวินเสี่ยวฮุยดึงผมแล้วขยี้มันอย่างแรง เขารู้สึกปวดหัวจนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

บางครั้งเขาก็จะตกอยู่ในภวังค์และรู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตของตัวเองนั้นไม่สมจริงเกินไป สิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดในชีวิตคือการได้อยู่อย่างมีความสุข ทว่าเขากลับถูกหลอกหลอนด้วยปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่มีสักวันที่หัวใจของเขาจะสามารถสงบได้อย่างแท้จริง และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะลั่วอี้ จนป่านนี้แล้วลั่วอี้ก็ยังไม่ปล่อยเขาไป แล้วจะไม่ให้เขาเกลียดได้อย่างไร

ด้วยการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขานึกถึงสิ่งที่ลั่วอี้เคยทำกับเขา แม้เขาจะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่กล้าแก้แค้น แต่เมื่อความปลอดภัยของครอบครัวและผลประโยชน์ของลั่วอี้มีความขัดแย้งกัน เขาก็ไม่ควรลังเล

แววตาของเวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ เขาจะต้องส่งแม่กลับอเมริกาโดยเร็วที่สุด ทางที่ดีที่สุดก็ต้องให้หลัวรุ่ยไปอยู่ที่ออสเตรเลียสักพัก ไม่ว่าจะเป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของฉางสิงหรือความโกรธของลั่วอี้ ให้เขาแบกรับตามลำพังก็พอ

หลังจากคุยกับตัวเองจบเวินเสี่ยวฮุยก็ไปหาลั่วอี้ในทันที

เมื่อเขาเข้าไปถึงเฉาไห่ก็อยู่ที่นั่นด้วยพอดี ทั้งสองคนคุยกัน ทันทีที่เห็นเวินเสี่ยวฮุย สีหน้าขึงขังของลั่วอี้ในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้เหี่ยวเฉาที่เบ่งบานในทันที งดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้

“พี่เสี่ยวฮุย พี่กลับมาแล้วเหรอ ผมนึกว่าพี่จะกลับมาอาทิตย์หน้าซะอีก” ลั่วอี้เดินเข้าไปก่อนจะก้มหน้าจูบเขาโดยไม่ลังเลแล้วกระซิบข้างหู “วันนี้พี่สวยจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยมองเฉาไห่อย่างอึดอัดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ลั่วอี้ไม่เคยแสดงความรักกับเขาต่อหน้าคนนอก แม้จะเป็นตอนที่รักกันอย่างร้อนแรง ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเรื่องปกติมาก แม้เขาไม่สนใจทว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เป็นผู้ชาย ต่อมาเมื่อหวนนึกถึงมัน เขาจึงตระหนักได้ว่าตอนนั้นลั่วอี้ไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับเขา ในเวลานั้นเขามีความหมายต่อลั่วอี้ในฐานะมรดกก้อนหนึ่งเท่านั้น

แม้ปัจจุบันลั่วอี้จะทนไม่ไหวโดยอยากให้ทั้งโลกรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว

สีหน้าของเฉาไห่ไร้อารมณ์ เขาพูดกับเวินเสี่ยวฮุย “ไม่เจอกันนานเลย”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้าให้เขา

ลั่วอี้พูดอย่างมีความสุข “พี่กลับมากินข้าวใช่ไหม”

“เปล่า ฉันจะมาคุยเรื่องสตูดิโอกับนาย พวกนายคุยกันไปก่อนเถอะ”

“โอเค พี่ไปรอผมที่ชั้นบน เดี๋ยวผมก็คุยเสร็จแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยหมุนตัวขึ้นชั้นบนไปแล้ว

หลังจากมองดูเงาของเวินเสี่ยวฮุยหายลับไปที่หัวบันได เฉาไห่ก็พูดขึ้น “ลั่วอี้ นายคิดจะทำแบบนี้จริงเหรอ มันเสี่ยงเกินไป ตอนนี้ฉางสิงกลายเป็นหมาจนตรอกแล้ว ต่อให้เขาเอาตัวไม่รอด เขาก็จะพานายลงนรกไปด้วย”

ลั่วอี้ยกมาร์ตินี่บนโต๊ะขึ้นจิบก่อนจะพูดช้าๆ “เฉาไห่ นายคิดว่าฉันอยู่ห่างจากนรกมากนักเหรอ ไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้ก็ตาม”

เฉาไห่อึ้งไป

ลั่วอี้เคาะปลายปากกาบนสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดเสียงต่ำ “นายเองก็ถือได้ว่าเห็นฉันโตมา ฉันรู้ดีว่านายก็ถูกบังคับถึงได้ทำสัญญากับฉัน คนอย่างฉันน่ะ ต่อให้ถูกหมาเลี้ยงก็ไม่เชื่องหรอก ถ้าฉันตายไปตอนนี้ก็อาจจะไม่มีใครเสียน้ำตาให้เลยก็ได้” ลั่วอี้เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฉาไห่ด้วยดวงตาลึกล้ำ “แต่ว่าเวินเสี่ยวฮุยเคยชอบฉันจริงๆ เขาชอบฉันคนนี้อย่างจริงใจและบริสุทธิ์ใจ จะมีคนชอบคนอย่างฉันได้ยังไง” เขาหัวเราะเบาๆ สองที น้ำเสียงของเขาสำลักจากการสะอึก “ถึงรู้ว่าถูกฉันหลอกก็ยังเต็มใจช่วยฉัน”

เฉาไห่ขมวดคิ้วมุ่น “ฉันรู้สึกว่านายเข้าใจในทุกตรรกะ จิตใจคนนายก็มองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่นายมักจะเลือกทางที่น่าหวาดระแวงแล้วก็ผิดปกติที่สุดเสมอ ตอนนี้ท่าทีของเวินเสี่ยวฮุยเป็นยังไงนายยังดูไม่ออกอีกเหรอ ยิ่งนายผลักเขาก็ยิ่งต้าน นายไม่เข้าใจจริงๆ เหรอ”

“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ ฉันเข้าใจดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าฉันทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขในตอนนี้ก็คือการได้เห็นเขา แต่บังเอิญว่าในทางกลับกันเขาจะมีความสุขก็ต่อเมื่อไม่เห็นฉัน” ลั่วอี้หัวเราะเยาะตัวเอง เขายกแก้วขึ้นแล้วเขย่ามันเบาๆ ดวงตาล้ำลึกจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง “แน่นอนฉันหวังว่าเขาจะมีความสุข แต่ถ้าจะให้ฉันปล่อยเขาไปในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ฉันทำไม่ได้” เขายกแก้วดื่มรวดเดียวจนหมด

เฉาไห่มองลั่วอี้ มองดูเด็กหนุ่มที่ทั้งฉลาดและงดงามคนนี้ แววตาของอีกฝ่ายเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่งและหวาดระแวง เดิมทีลั่วอี้ควรจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบแต่กลับมาเกิดในครอบครัวเช่นนี้ นับว่าเป็นความน่าเสียใจที่สุดของโลกใบนี้ มันเทียบได้กับผลไม้ที่วิจิตรงดงาม ทว่าข้างในกลับเน่าเฟะแล้ว

 

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยขึ้นไปที่ชั้นบนเขาก็หอบหายใจอย่างแรงอยู่หลายทีจึงจะสามารถสงบหัวใจที่เต้นระรัวได้ เขาแง้มประตูห้องนอนไว้เพื่อให้ได้ยินเสียงเวลาที่ลั่วอี้ขึ้นมาชั้นบน จากนั้นเขาก็เริ่มค้นหาทั่วห้อง

เขาเคยอาศัยอยู่ในห้องนี้มาหลายปีจึงคุ้นเคยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาไล่ค้นหาไปตามจุดที่เหมาะแก่การเก็บของ

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาตื่นตระหนก รีบวางทุกอย่างกลับที่เดิม ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์แล้วเปิดภาพยนตร์ที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาดู

ลั่วอี้ขึ้นมาชั้นบนแล้ว เขาค้ำโต๊ะคอมพิวเตอร์จากทางด้านหลังของเวินเสี่ยวฮุยพร้อมด้วยกลิ่นเหล้าจางๆ น้ำเสียงที่เจือปนรอยยิ้มของเขานั้นช่างอบอุ่นใจเหลือเกิน

“ดูอะไรอยู่น่ะ”

“นายเป็นคนดาวน์โหลดหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ผมดาวน์โหลดให้พี่น่ะ พี่ชอบดูหนังแอ็กชั่นไม่ใช่เหรอ” ลั่วอี้ก้มลงดมผมหอมสดชื่นของเขา ก่อนจะพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “แน่นอนผมรู้ว่าพี่ชอบหนังแอ็กชั่นอีกแบบมากกว่า”

เวินเสี่ยวฮุยกดหยุดภาพยนตร์เรื่องนั้นแล้วหันมาพูด “ฉันอยากคุยกับนาย…อือ…”

ลั่วอี้ฉวยโอกาสจูบริมฝีปากของเขาอย่างอ่อนโยนและดูดดื่ม

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยรู้สึกสั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆ จับที่เท้าแขนของเก้าอี้เอาไว้

หลังจากลั่วอี้จูบเสร็จก็เลียริมฝีปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งลง “พี่ว่ามาเถอะ”

“ตอนนี้สถานการณ์ของจวี้ซิงเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่ฉันกลับมาก็ไม่ได้ติดต่อกับคนที่นั่นเลย”

“ผมติดต่อกับฝ่ายบริหารของจวี้ซิงมาโดยตลอด ตอนนี้จวี้ซิงพัฒนาไปมาก แต่กำลังใจของหลิวซิงเริ่มถดถอย เขาหย่าแล้ว แถมยังมีลูกสองคน จะต้องมีคนช่วยเขา ถ้าพี่กลับไปตอนนี้ล่ะก็อะไรๆ ก็คุยง่ายมาก”

เวินเสี่ยวฮุยพูด “แต่ตอนนี้ฉันอยากเปิดสตูดิโอของตัวเอง ฉันคิดจะย้ายคนจากเผิงเฉิงมาที่นี่”

“พี่ไม่อยากกลับจวี้ซิงเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ฉันชอบจวี้ซิงมาก แต่ฉันอยากมีอิสระมากกว่านี้”

ลั่วอี้ยิ้ม “ไม่ว่าพี่จะทำอะไรผมก็จะสนับสนุนพี่ พี่อยากเปิดสตูดิโอที่ไหนเหรอ พี่บอกทำเลกับความต้องการทั่วไปมาได้เลย ผมจะช่วยพี่เตรียมเรื่องอื่นเอง”

“ตอนนี้จวี้ซิงมีสามสาขาในปักกิ่ง ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงพวกเขา แล้วก็อยากได้ที่ที่อยู่ใกล้ๆ ห้องหน่อยล่ะมั้ง”

“งั้นย่านธุรกิจ XX ดีไหม ร้านของหลัวรุ่ยก็อยู่ไม่ไกลด้วย”

“โอเค”

ลั่วอี้ยิ้มพลางหยิกแก้มของเขา “ได้ทำอะไรให้พี่ ผมดีใจมากจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้า

“คืนนี้อยากกินอะไร ออกไปกินข้างนอกไหม”

“อยู่บ้านดีกว่า”

“ไม่มีปัญหา”

ลั่วอี้หมุนตัวจะลงไปชั้นล่าง ทันใดนั้นเวินเสี่ยวฮุยก็เรียกเขา “ลั่วอี้ คดีของฉางสิงไปถึงไหนแล้ว”

ลั่วอี้ชะงักงันก่อนหมุนตัวกลับมา “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ทำไมเหรอ”

“เขาจะถูกลงโทษจริงๆ ใช่ไหม”

ลั่วอี้พยักหน้า “ปัญหาอยู่ที่ระยะเวลาเท่านั้น”

“กี่ปี”

“อาจจะไม่ได้ออกมาทั้งชีวิต หรือแค่ไม่กี่ปีก็ปล่อยตัว”

“พอเขาออกมาแล้ว นายไม่กลัวว่าเขาจะแก้แค้นเหรอ”

ลั่วอี้กล่าวอย่างมืดมน “ตราบใดที่เขาเข้าไปแล้ว ผมจะถอนรากถอนโคนอำนาจของเขา ถึงเขาจะออกมาได้ในสักวันหนึ่งก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยไตร่ตรองครู่หนึ่ง “พวกนายเป็นพ่อลูกกัน ต้องทำถึงขั้นนี้เลยเหรอ”

“นับตั้งแต่เขาบีบให้แม่ตาย ผมก็เริ่มคิดวางแผนแก้แค้นแล้ว ตอนนี้พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป ตอนนี้ถ้าเขาไม่ลงนรกก็ต้องเป็นผมที่ลงนรก ผมจะไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด ซึ่งเขาก็จะไม่ปล่อยผมเหมือนกัน” ลั่วอี้มองเวินเสี่ยวฮุยอย่างลึกซึ้ง “ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะเขา ผมถึงได้สูญเสียแม้กระทั่งพี่ ผมไม่สามารถปล่อยให้ทุกอย่างที่ผมทำมากลายเป็นอากาศได้”

เวินเสี่ยวฮุยหรี่ตาลง “สิ่งที่นายทำกับฉันเป็นสิ่งที่นายเลือกเอง อย่าโทษคนอื่นเรื่องนี้เลย”

ลั่วอี้หัวเราะน้อยๆ “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องฉางสิงขึ้นมาล่ะ”

“ยิ่งเขาถูกลงโทษเร็วเท่าไร ฉันก็ยิ่งสบายใจเท่านั้น เขามีอำนาจมาก ฉันเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของแม่ฉัน”

“อีกสักพักคุณป้าก็จะกลับอเมริกาแล้วสินะ”

“อืม ฉันจะให้เธอกลับไปเร็วหน่อย”

“กลับไปเร็วหน่อยก็ดี จะให้ผมจัดการให้ไหม”

“ไม่ต้องหรอก”

“ผมจะไปทำอาหารแล้ว” ลั่วอี้เดินไปได้สองก้าวก็หันมาพูด “พี่เสี่ยวฮุย พี่เป็นห่วงคุณป้ากับหลัวรุ่ยมาก ถ้าวันหนึ่งผมหายไป พี่จะเป็นห่วงหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว “นายคิดจะพูดอะไร”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “ผมก็แค่สงสัย ถึงยังไงพวกเราก็รู้จักกันมาเกือบจะห้าปีแล้ว ต่อให้พี่เกลียดผม ต่อให้ไม่มีสักวันที่พี่ไม่อยากไปจากผม แต่ถ้าผมไม่อยู่จริงๆ พี่จะเสียใจหรือเปล่า”

สัญชาตญาณของเวินเสี่ยวฮุยไม่ต้องการที่จะคิดเรื่องนี้

ลั่วอี้แข็งแกร่งมาก ไหนจะฉลาด ยังเด็ก มีอำนาจ มีพลัง ทั้งยังมีจิตใจที่โหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สามารถล้มคนคนนี้ได้ ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันหนึ่งลั่วอี้อาจจะหายตัวไป เขาไม่รู้ว่าลั่วอี้มีเป้าหมายอะไรในการตั้งคำถามแบบนี้ เรียกร้องความเห็นใจอย่างนั้นเหรอ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรเขาก็ไม่อยากคิดแม้แต่นิดเดียว เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกที่ไม่มีลั่วอี้จะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้วคนคนนี้ก็ได้สลักร่องรอยที่เหมือนกับรอยร้าวเอาไว้ในใจของเขาแล้ว เวินเสี่ยวฮุยจึงเบือนหน้าหนี

“ฉันจะดูหนัง”

ลั่วอี้มองแผ่นหลังของเวินเสี่ยวฮุยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

หลังจากลั่วอี้ลงมาจากชั้นบนแล้ว เวินเสี่ยวฮุยก็รีบกดหยุดภาพยนตร์ทันทีและรีบหาสิ่งของที่บอดี้การ์ดพูดถึงต่อ

บทที่ 88

 

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยค้นหาทั่วห้องของลั่วอี้แล้วก็ยังไม่พบอะไร เขาคิดว่าจะไปหาที่ห้องอื่นๆ หลังจากลั่วอี้ออกไปข้างนอกในวันพรุ่งนี้ คฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้เขาต้องหาให้เจอให้ได้

ลั่วอี้ดูมีความสุขกับการกลับมาของเขามาก หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็กอดเขาเอาไว้ขณะที่ดูภาพยนตร์ด้วยกัน อีกทั้งยังปอกส้มด้วยมือของตัวเองแล้วเอาเข้าปากเขาทีละชิ้น เวินเสี่ยวฮุยที่เอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของลั่วอี้ก็รู้สึกง่วงงุน

“ง่วงแล้วเหรอ” ลั่วอี้กระซิบข้างหูของเขา

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ทำไมพี่ถึงได้หลับง่ายแบบนี้ ไอ้ต้าวขี้เซา”

เวินเสี่ยวฮุยหรี่ตาด้วยความสับสน ในขณะที่ดูภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แสงไฟสลัว ขนมเต็มโต๊ะ ทั้งยังมีคนที่มีแขนทรงพลังกับทรวงอกที่หนาและแข็งแรงโอบกอดเขา พร้อมกับกระซิบข้างหูอย่างเอาอกเอาใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่ลั่วอี้เคยพูดไว้ก่อนที่จะออกจากห้องของเขาไปในวันนั้น ชีวิตที่เขาเคยใฝ่ฝัน มันเป็น…เหมือนในตอนนี้หรือเปล่า

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในใจ

เขาลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่ “นอนกันเถอะ”

ลั่วอี้จูบแก้มของเขา “จะให้ผมอุ้มพี่ขึ้นไปข้างบนมั้ย”

“ไม่ต้อง” เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นนั่งบนโซฟาแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปเอง

ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยอาบน้ำ แน่นอนว่าลั่วอี้ก็เข้ามาเบียดในห้องน้ำด้วย ทั้งสองร่วมรักกันในน้ำเย็นใต้ฝักบัว จากนั้นก็ย้ายไปบนเตียงพร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกปอน คืนนั้นเองเวินเสี่ยวฮุยปลดปล่อยตัวเองเพื่อเพลิดเพลินกับมันอย่างเต็มที่ เสียงครางที่ไม่ได้ตั้งใจและท่าทีที่ใจร้อนของเขาเพียงพอที่จะจุดไฟให้กับทุกประสาทสัมผัสของลั่วอี้ ทั้งสองพัวพันกันราวกับสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่ง

แม้กายจะรวมกันจนไร้ช่องว่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถดึงหัวใจให้เข้ามาใกล้กันได้อย่างไร…

 

วันต่อมาลั่วอี้ตื่นเช้าตามปกติ เขากังวลว่าเวินเสี่ยวฮุยจะปวดเอวจึงนวดให้อีกฝ่ายเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เวินเสี่ยวฮุยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของลั่วอี้ราวกับแมวที่ไม่ยอมตื่น ลั่วอี้มองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชั่วขณะนั้นเองเขาก็จมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างสมบูรณ์ โลกที่มีเพียงเขากับเวินเสี่ยวฮุยเท่านั้น จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง

เขารับสายแล้วกระซิบข้างหูเวินเสี่ยวฮุยว่าจะต้องเข้าบริษัท ซึ่งเวินเสี่ยวฮุยก็พึมพำเสียงหนึ่งเป็นอันว่ารับรู้แล้ว

ลั่วอี้ลงไปที่ชั้นล่าง เมื่ออุ่นอาหารเช้าเสร็จแล้วก็นำมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดประตูออกไป

เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงเวินเสี่ยวฮุยก็เบิกตาโพลง เขาอดทนต่ออาการปวดเอวก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียง สวมเสื้อคลุมแล้วลงไปที่ห้องของลั่วหย่าหย่าที่ชั้นล่าง

ห้องของลั่วหย่าหย่าเงียบเชียบเหมือนเคย โต๊ะสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่ามีการทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งราวกับว่าเจ้าของไม่เคยจากไปและอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาสองสามปีแล้วแต่เข้ามาในห้องของลั่วหย่าหย่าน้อยมาก ทุกครั้งที่เข้ามาก็จะเกิดความคิดถึง เขาไม่อาจระงับความคิดถึงนี้ได้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

“พี่ครับ รบกวนแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยพนมมือไหว้แล้วเริ่มค้นห้องของเธอ

ของในห้องของลั่วหย่าหย่าเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความรู้สึกผิดเวินเสี่ยวฮุยไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวแรงจนเกินไป หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่งเขาก็รู้สึกปวดหลังและขาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนโซฟา โซฟาหันหน้าเข้าหาผนังพอดิบพอดีซึ่งมีรูปถ่ายขนาดใหญ่ของลั่วหย่าหย่าติดอยู่ ผู้หญิงในภาพมีความงามที่น่าดึงดูด แต่ดวงตาของเธอกลับมีความเศร้าที่ไม่อาจลบเลือน เวินเสี่ยวฮุยมองไปมองมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา

เขากำลังอยู่ในห้องของพี่สาวที่จากไปของตัวเองเพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่อลูกชายของเธอ บางทีเธอก็อาจจะอยากแก้แค้นฉางสิงก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยเธอคงไม่อยากเห็นลั่วอี้ล้มเหลว ทว่าเขากลับ…

“พี่ ผมควรจะทำยังไงดี” เวินเสี่ยวฮุยมองดูรูปถ่ายรูปนั้นพลางพึมพำเบาๆ เขาเอามือปิดหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่สามารถมองตรงไปที่ดวงตาของลั่วหย่าหย่าได้ ลั่วหย่าหย่าดีต่อเขามาก ทั้งชาตินี้เขาคงไม่มีวันตอบแทนเธอได้หมด ตอนแรกเขายังคิดที่จะคืนมันให้ลั่วอี้แทนด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรแบบนี้ ในขณะที่เขาเกลียดลั่วอี้มากที่สุด เขาเคยคิดว่าสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้ลั่วหย่าหย่าได้คือการไม่ทำร้ายลั่วอี้ แต่สิ่งที่เขาทำตอนนี้…

เขาดิ้นรนกับความคิดตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ โดยนึกถึงแม่ของเขาและนึกถึงหลัวรุ่ย สุดท้ายก็ยังลุกขึ้นยืนแล้วตามหาต่อไป

พี่ ผมขอโทษ

เวินเสี่ยวฮุยค้นหาภายในห้องของลั่วหย่าหย่าตลอดทั้งเช้าแต่ก็ยังไม่เจอในสิ่งที่เขาตามหา ทว่ากลับพบบันทึกประจำวันของลั่วหย่าหย่าโดยบังเอิญ เขาหยิบมันมาถือไว้ในมือ ต่อสู้กับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดมันออกด้วยความคิดที่ต้องการจะทำร้ายตัวเอง

หน้าบันทึกที่เขาสุ่มเปิดนั้นเกี่ยวข้องกับลั่วอี้ เมื่อดูจากเวลาแล้วตอนนั้นลั่วอี้น่าจะอายุประมาณหกขวบ ลั่วหย่าหย่าเขียนลงบันทึกประจำวันด้วยความกังวลว่า

 

ทำไมลูกของฉันถึงได้เป็นเด็กไม่ชอบพูดแบบนี้ล่ะ เพราะปกติไม่มีใครคุยกับเขาอย่างนั้นเหรอ เขาเป็นออทิสติกหรือเปล่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ ไม่ใช่แค่ไม่พูดแต่ยังชอบมองคนอื่นด้วยสายตาที่ดูเหมือนกำลังสังเกตเห็นอะไรบางอย่างด้วย บางครั้งฉันเองก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย

 

เวินเสี่ยวฮุยอ่านมาถึงตรงนี้ก็ปิดสมุดบันทึกเสียงดังปึก เขามีความรู้สึกว่าถ้าเขาอ่านต่อไปจริงๆ เขาก็จะเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ วัยเด็กของลั่วอี้เป็นหัวข้อที่เขาจงใจหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ เขาไม่ต้องการหาข้ออ้างให้ลั่วอี้ด้วยเรื่องราวที่มืดมนและหนักอึ้งเหล่านั้น แล้วก็ไม่อยากเห็นอดีตอันน่าเศร้าของลั่วหย่าหย่าผ่านเรื่องราวเหล่านั้นด้วย ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือไม่ต้องรับรู้

เขาเก็บสมุดบันทึกเข้าที่เดิม หลังจากมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็หันไปโค้งคำนับให้รูปถ่ายครั้งหนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ

คนส่วนใหญ่ไม่เก็บของสำคัญไว้ในห้องนั่งเล่น ฉะนั้นสถานที่สุดท้ายก็คือห้องเก็บของบนชั้นสี่ ห้องที่มีรูปภาพของฉางสิงที่ถูกลูกธนูยิงจนเป็นรูพรุนแห่งนั้น ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ลั่วอี้ไม่อยากให้เขาเข้าไปอีกด้วย แต่เขารู้ว่าลั่วอี้เก็บกุญแจของชั้นสี่ไว้ที่ไหน

เวินเสี่ยวฮุยเปิดห้องเก็บของแล้วเดินเข้าไปอย่างอึดอัด

รูปภาพของฉางสิงยังคงอยู่ แต่บนใบหน้ามีรูลูกธนูเยอะมาก โดยเฉพาะบริเวณดวงตา รูปทั้งรูปเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ว่าเป็นใคร เมื่อเห็นรูปภาพนี้อีกครั้งเวินเสี่ยวฮุยก็สูดหายใจเฮือก ทุกร่องรอยบนรูปภาพนั้นแสดงถึงความเกลียดชังของลั่วอี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เวินเสี่ยวฮุยมองดูสิ่งของที่กองอยู่ในห้องเก็บของ ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เขาสูดลมหายใจเข้าและตามหาต่อ

ขณะที่ค้นหาจนเข้าใกล้รูปภาพของฉางสิง เขาก็จ้องรูปภาพนั้นราวกับมีอะไรมาดลใจ จากนั้นเขาก็พยายามดึงลูกธนูที่อยู่ตรงระหว่างคิ้วของคนในรูปออกเพื่อดูว่าเขาสามารถทำให้รูปภาพกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีได้หรือไม่ ตอนนี้เขาจำไม่ได้ว่าฉางสิงมีหน้าตาอย่างไร ลูกธนูถูกเสียบเข้าไปลึกมาก ทว่าโฟมแข็งๆ ที่เป็นฐานนั้นรองรับแรงได้ไม่มากนัก เขาใช้มือกดที่เป้าแล้วดึงมันออก ทันทีที่ลูกธนูถูกดึงออกมา เขาก็รู้สึกว่าตรงที่ที่มือของเขากดอยู่นั้นจมเข้าไปด้านใน

เวินเสี่ยวฮุยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะย้ายเป้าที่มีรูปภาพติดอยู่ออกไปอย่างแผ่วเบา ผนังด้านหลังเป้านั้นมีประตูไม้เล็กๆ ที่มีขนาดเท่ากับหนังสือ ด้านบนมีรหัสล็อกอยู่

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นอย่างรุนแรง นี่ก็คือตู้เซฟเหรอ ไม่สิ มันเล็กเกินไป เก็บอะไรไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นกลไกก็ได้ ปลายนิ้วของเขาคลำไปที่ประตู สุดท้ายก็หยุดอยู่บนรหัส

รหัสหกตัว…เขาใส่รหัสบัตรธนาคารของลั่วอี้เข้าไปโดยไม่ลังเล

เสียงคลิกดังขึ้น ล็อกถูกปลดแล้ว เขาเปิดประตูบานเล็กอย่างสั่นเทา แน่นอนว่ามีประแจอยู่ในนั้น เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วบิดประแจ

เสียงโครมครามดังขึ้นทื่อๆ ชั้นหนังสือไม้เนื้อแข็งที่ผนังฝั่งตรงข้ามถูกแยกออกเป็นสองด้าน เผยให้เห็นห้องลับอย่างช้าๆ

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือปืนและอาวุธต่างๆ ครึ่งผนัง! มองเพียงแวบเดียวเขาก็เห็นปืนที่ฉางสิงมอบให้ลั่วอี้ในวันเกิดที่ได้ฉลองด้วยกันเป็นครั้งแรก! เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกขาอ่อนเล็กน้อย เขาฝืนเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกระบอกปืนเบาๆ พื้นผิวโลหะเย็นเยียบทำให้รู้สึกหนาวสั่น

มีกล่องที่ไม่ได้ล็อกสองสามกล่องวางอยู่ใต้ชั้นวาง เวินเสี่ยวฮุยเปิดกล่องใบหนึ่งออกดู มันคือทองคำแท่งและเงินสดที่เรียงซ้อนกันอย่างประณีตจากหลากหลายประเทศ

ห้องนี้ไม่ได้ใหญ่ ฉะนั้นจึงมองเห็นทุกอย่างในคราวเดียว มีเพียงกล่องเท่านั้นที่ยังคงซ่อนอย่างอื่นได้ เขาหยิบทองคำแท่งและธนบัตรออกมาด้วยอาการตัวสั่น ถ้าที่นี่ไม่มีสิ่งที่เขาตามหาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปตามหาที่ไหนแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากควานหาในกล่องทั้งสองใบแล้วก็ยังไม่พบอะไร เขานั่งลงบนพื้นด้วยความกระวนกระวายใจเป็นที่สุด เขาเสียใจมาก เมื่อวานเขาน่าจะแทงบอดี้การ์ดคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่ว่าจะถูกแทงจนตายหรือไม่ตาย เขาก็ยังสามารถป้องกันไม่ให้ไอ้สารเลวนั่นมาข่มขู่เขาได้อีก แต่ตอนนั้นเขากลับขี้ขลาดเกินไป

“พี่กำลังทำอะไรน่ะ”

เสียงเย็นชาที่ดังขึ้นระเบิดในหัวใจของเวินเสี่ยวฮุยราวกับระเบิดลูกหนึ่ง เขาสั่นไปทั้งตัว เลือดแทบจะไหลย้อนกลับ เขาหันศีรษะไปช้าๆ ลั่วอี้กำลังยืนพิงประตูพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลายเอื๊อก ลุกขึ้นมาจากพื้น ประตูห้องลับเปิดกว้าง ข้างเท้าของเขายังมีทองคำแท่งกับธนบัตรวางอยู่ เขาจะอธิบายอย่างไรดี

ลั่วอี้พยักพเยิดคางไปที่ทองคำแท่งและธนบัตรเหล่านั้น “พี่คงไม่ได้อยากได้ของพวกนี้หรอกนะ พี่ก็รู้ว่าถ้าพี่อยากได้มากแค่ไหนผมก็จะให้พี่มากเท่านั้น”

เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น เขาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร

ลั่วอี้เดินเข้ามา ทุกครั้งที่อีกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า เวินเสี่ยวฮุยก็จะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว หัวใจของเขาเต้นระรัว หวาดกลัวจนเหงื่อแตกท่วมตัว ความกลัวที่ลั่วอี้มอบให้เขานั้นไม่ได้หยิ่งทะนงและตรงไปตรงมาเหมือนกับของบอดี้การ์ด แต่เป็นความรู้สึกหนักอึ้งคล้ายกับพยายามระงับความรู้สึกกดดันที่อาจจะปะทุได้ทุกเมื่อซึ่งทำให้ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

ลั่วอี้เดินเข้ามาหาเขาก่อนจะเชยคางของเขาขึ้นช้าๆ “พี่เสี่ยวฮุย พี่คิดจะทำอะไร หืม? บอกผมซิ”

เวินเสี่ยวฮุยถูกบังคับให้เงยหน้าและมองเข้าไปในดวงตาที่ไร้ก้นบึ้งของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็คอแห้งผากทันที

“บอกมาสิ ตราบใดที่พี่เอ่ยปากผมต้องให้พี่แน่” ลั่วอี้ก้มหน้าลง ปลายลิ้นแลบเลียริมฝีปากของเวินเสี่ยวฮุยอย่างละมุนละไม น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างที่สุด “ผมสามารถให้พี่ได้ทุกอย่าง”

หนังศีรษะของเวินเสี่ยวฮุยราวกับถูกไฟช็อต ความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วร่างกายทันทีราวกับติดไวรัส เขาผลักลั่วอี้จนเกือบเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง

ลั่วอี้มองเขาเงียบๆ

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลาย เขาเดินผ่านลั่วอี้พร้อมที่จะวิ่งหนี แต่กลับถูกลั่วอี้โอบเอวไว้แล้วผลักกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงจนเท้าของเขาแทบจะลอยจากพื้น!

เวินเสี่ยวฮุยร้องด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ปล่อยฉันนะ!” เขารู้สึกว่าแววตาของลั่วอี้เหมือนกำลังจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น!

ลั่วอี้มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ “บอกผมมาว่าพี่อยากได้อะไร บอดี้การ์ดของฉางสิงให้พี่มาเอาอะไรตรงนี้!”

ดวงตาของเวินเสี่ยวฮุยเบิกกว้าง สมองส่งเสียงหึ่งๆ

“พี่ประหลาดใจมากเลยเหรอ ผมบอกตั้งนานแล้วว่าผมส่งคนไปปกป้องพี่ แม่ของพี่ แล้วก็หลัวรุ่ยเงียบๆ ทำไมพี่ถึงไม่เชื่อล่ะ พี่คิดว่าฉางสิงไม่รู้เรื่องนี้เหรอ ฉางสิงหาทางรอดให้กับครอบครัวของเขาแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาก็เลยพยายามโจมตีผมผ่านพี่อย่างสุดความสามารถ ต่อให้ผมรู้แล้วก็ไม่เป็นไร เพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช่ของพวกนั้นตั้งแต่แรกแต่เป็นผม พี่ไปเชื่อคำพูดของเขาได้ยังไง!”

“เพราะฉันไม่เชื่อนายไง!” เวินเสี่ยวฮุยตะคอกใส่ลั่วอี้ด้วยดวงตาแดงก่ำเช่นกัน

ลั่วอี้คว้าคอเสื้อของเวินเสี่ยวฮุย รอยเลือดในลูกตาของเขาดูเหมือนจะระเบิดได้ทุกเมื่อ สุดท้ายใบหน้าที่ดุร้ายของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

บทที่ 89

 

ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างโกรธเคือง พวกเขาแทบทนไม่ไหวจนอยากจะใช้แววตามองทะลุอีกฝ่ายเพื่อที่จะดูว่ามีอะไรอยู่ในใจกันแน่ น่าเสียดายที่มีเสื้อผ้า เลือดเนื้อ และกระดูกกั้นกลางระหว่างพวกเขา นอกจากนี้ยังมีหุบเหวลึกที่ยากจะเติมเต็มหลังจากการหลอกลวงและการบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า

ท้ายที่สุดลั่วอี้ก็ค่อยๆ ปล่อยคอเสื้อของเวินเสี่ยวฮุยแล้ววางเขาลง

เท้าของเวินเสี่ยวฮุยแตะพื้น ทว่าหัวใจของเขายังคงล่องลอยอยู่กลางอากาศ เขาคุกเข่าลงช้าๆ เอามือปิดตาอย่างเหนื่อยล้า

“ฉันกลัว ถ้าเขาทำร้ายแม่ฉัน…”

ลั่วอี้ก้มลงมองเวินเสี่ยวฮุย มองดูลำคอเรียวบางที่เหมือนจะคว้าได้ด้วยมือเดียว จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัวของเขา ถ้าอย่างนั้นก็ไปตายพร้อมกันเถอะ…เขาจะได้ไม่ต้องกระวนกระวายใจอะไรอีก และไม่ต้องกังวลว่าเวินเสี่ยวฮุยจะจากเขาไป

อย่างไรก็ดีเขาทำใจไม่ได้ เขาจำรอยยิ้มที่ความไร้กังวลบนใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยได้เสมอ มันช่างงดงามเหลือเกิน เขาต้องการคืนรอยยิ้มที่เขาฉวยเอาไปด้วยมือของตัวเองให้แก่เวินเสี่ยวฮุย เขาต้องการเห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง แม้มันจะไม่ใช่รอยยิ้มสำหรับเขาก็ตาม

ลั่วอี้ก็คุกเข่าลงด้วย เขาลูบผมของเวินเสี่ยวฮุย “ผมจะปกป้องพี่กับคนที่พี่รัก ผมจะเพิ่มบอดี้การ์ดเป็นเท่าตัว ถ้าพี่ไม่วางใจจริงๆ ก็รีบส่งคุณป้ากลับอเมริกาเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยกุมศีรษะพลางพูดเสียงเบา “แล้วบอดี้การ์ดคนนั้นจะทำยังไง”

“ผมจัดการเอง”

เวินเสี่ยวฮุยเงยหน้าขึ้นมองเขา “เขาบอกว่าของที่เขาอยากได้ นายเป็นคนขุดมาจากผนังห้องฉันใช่ไหม”

“ใช่”

“ฉะนั้นพ่อแม่ของฉันก็รู้เรื่องของนั้น…”

“แม่ของพี่น่าจะไม่รู้ แต่ว่าพ่อของพี่รู้แน่นอน เขาน่าจะอยากปกป้องแม่ของพี่ล่ะมั้ง ผมดูเอกสารพวกนั้นแล้ว มันไม่ใช่ของที่คนธรรมดาจะเก็บไว้ได้ อย่างน้อยแม่ผมที่อายุแค่ยี่สิบในตอนนั้นก็ทำไม่ได้ เอกสารพวกนั้นถูกซ่อนอยู่หลายปี จนกระทั่งก่อนแม่จากไปฉางสิงถึงได้รู้ว่ามีของพวกนั้นเลยเริ่มตามหาอย่างบ้าคลั่ง…” ลั่วอี้พูดเสียงเบา “มันเป็นเรื่องดีที่ของพวกนั้นตกอยู่ในมือของผม เพราะถ้าฉางสิงเจอพวกมันก่อน เขาคงไม่มีวันปล่อยพวกพี่สองแม่ลูกไปแน่”

เวินเสี่ยวฮุยนึกถึงพ่อของเขา ตอนนี้พ่อจากไปสิบปีแล้ว แม้แต่ใบหน้าก็ค่อนข้างเลือนรางในความทรงจำของเขา แต่เขาจำได้เสมอว่าพ่อเป็นผู้ชายที่เด็ดเดี่ยวและมีความรับผิดชอบ แม้ลั่วหย่าหย่าจะถูกไล่ออกจากบ้านไปในตอนนั้น ทว่าพ่อก็ไม่สามารถนิ่งดูดายต่อความยากลำบากของเธอได้ นี่แหละที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่พ่อทำจริงๆ ที่แท้ฉางสิงก็มีความคับข้องใจบางอย่างกับพวกเขาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว

เวินเสี่ยวฮุยลูบหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันจะกลับห้องแล้วก็จะให้แม่กลับไปภายในสองวันนี้” เขานึกขึ้นได้ว่าวันเกิดของเอียนใกล้เข้ามาแล้ว ทว่าแม่ของเขาดูเหมือนยังไม่คิดที่จะกลับไป เขาคงจะต้องโน้มน้าวเธอสักหน่อย

“จากนี้ไปพี่ก็อย่าทำอะไรหรือไปไหนคนเดียวอีก” ลั่วอี้พูด “เหล่าอู๋อยู่ข้างนอก เขาจะคอยติดตามพี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

เหล่าอู๋ก็คือ ‘คนขับรถ’ ของฉางสิงที่เคยช่วยเขาคนนั้น เป็นบอดี้การ์ดที่ลั่วอี้เชื่อใจมาก เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว เขาต้องการถามลั่วอี้ว่าเพื่อปกป้องเขาหรือกีดกันเขากันแน่ แต่รู้ว่าถามไปก็คงไม่มีความหมาย อาจเป็นทั้งสองอย่างก็ได้ล่ะมั้ง ไม่มีความไว้วางใจระหว่างพวกเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่ไว้ใจลั่วอี้

 

เมื่อเวินเสี่ยวฮุยกลับไปที่ห้องก็เริ่มโน้มน้าวให้แม่ของเขากลับไปฉลองวันเกิดกับเอียน แม่รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งกลับมาได้ไม่นานจึงไม่อยากกลับไปเร็วขนาดนั้น ท้ายที่สุดเวินเสี่ยวฮุยจึงต้องโกหกเธอว่าเขาจะไปฉลองวันเกิดของเอียนในเดือนหน้าด้วยซึ่งทำให้เธอตกลง สามวันต่อมาเวินเสี่ยวฮุยก็ซื้อตั๋วเครื่องบินให้เธอทันที

หลังจากจัดการกับแม่ของตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาก็โทรหาหลัวรุ่ย โดยบอกว่าตัวเองอยากไปเที่ยวที่ออสเตรเลีย เขายุ่งทุกครั้งที่หลัวรุ่ยชวนเขา ครั้งนี้เมื่อได้ยินว่าเขาจะไปหลัวรุ่ยก็ดีใจมาก

หลัวรุ่ยพูดอย่างตื่นเต้น “บ้านหลังใหญ่ของครอบครัวฉันที่ออสเตรเลียสวยมาก ฉันจ้างนักออกแบบที่ดีที่สุดของที่นั่น ข้างหน้ามีไร่เล็กๆ ข้างหลังมีแม่น้ำ…”

เวินเสี่ยวฮุยอมยิ้ม “พอแล้วๆ แม่ลูกเศรษฐี ในที่สุดคราวนี้ฉันก็จะได้ไปกินไปใช้แล้วก็ไปนอนบ้านนายแล้ว”

หลัวรุ่ยหัวเราะร่า “นายคิดจะไปเมื่อไร”

“เดือนหน้าล่ะมั้ง นายกลับไปก่อน ไปอยู่กับพ่อแม่ของนาย ให้ฉันมีเวลาเตรียมตัวหน่อย แล้วอีกสองอาทิตย์ฉันจะตามไป”

“ได้เลย หลายวันก่อนแม่ฉันโทรมาบอกว่าคิดถึงฉันพอดี ฉันเองก็ควรไปพักผ่อนเหมือนกัน”

“งั้นนายก็รีบไปเถอะ” เวินเสี่ยวฮุยรู้ว่าการพิจารณาคดีครั้งที่สองของฉางสิงจะถูกตัดสินอย่างช้าที่สุดในเดือนหน้า ระหว่างนั้นฉางสิงจะต้องหาวิธีช่วยเหลือตัวเองเหมือนหมาบ้าอย่างแน่นอน การที่บอดี้การ์ดคนนั้นมาหาเขาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด อย่างน้อยในช่วงนี้เขาจะต้องส่งแม่กับหลัวรุ่ยไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย เมื่อคดีลงตัวแล้วเขาถึงจะสามารถวางใจได้ เมื่อมีลั่วอี้ไปจัดการกับบอดี้การ์ดคนนั้น เขาก็น่าจะสามารถส่งแม่กับหลัวรุ่ยออกนอกประเทศได้อย่างปลอดภัย

หลังจากแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายแล้ว เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าการไปฟิตเนสเสียอีก เขาพลันนึกถึงชีวิตในเผิงเฉิง มีช่วงหนึ่งที่เขาออกกำลังกายอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ทว่าหลังจากกลับมาแล้วเขากลับไม่ได้ออกกำลังกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะตอนนั้นเขาอยากลืมลั่วอี้แต่กลับลืมไม่ลง แต่ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถขจัดการมีอยู่ของลั่วอี้ได้เลย

เวินเสี่ยวฮุยหมกตัวอยู่แต่ในห้องโดยไม่ได้ออกไปไหนเป็นเวลาสามวัน แม่ของเขาต้องการจะออกไปซื้อของกลับอเมริกาแต่กลับถูกเขาห้ามอย่างหนักแน่น โดยบอกว่าเขาจะนำของเหล่านั้นไปที่อเมริกาเอง ส่วนหลัวรุ่ยนั้นไวมาก หลังจากซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็บินไปออสเตรเลียทันที ที่ร้านของหลัวรุ่ยมีผู้จัดการและเชฟเบเกอรี่ผู้เชี่ยวชาญ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไร

ลั่วอี้ที่ปกติมักโทรและส่งข้อความหาเขาไม่ขาดสายก็ไม่มีข่าวคราวมาสามวันแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร อาจจะกังวลเล็กน้อยล่ะมั้ง สุดท้ายแล้วบอดี้การ์ดคนนั้นก็นับว่าเป็นบุคคลอันตราย แม้ลั่วอี้จะอันตรายยิ่งกว่า แต่สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างคนทั้งสองก็คือบอดี้การ์ดคนนั้นเป็นนักโทษหลบหนี เขาลังเลมาตลอดสามวันที่ผ่านมาว่าควรจะโทรหาลั่วอี้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์หรือไม่ แต่เขาก็ไม่ต้องการแสดงออกว่าตัวเองห่วงใยอีกฝ่าย

เขากับลั่วอี้อยู่ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง พวกเขาอยู่ด้วยกัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เป็นคู่รักในสายตาของทุกคน ทว่ามีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ความจริงอันน่าอับอาย เพียงแต่เมื่อใช้ชีวิตกับบางอย่างมานานเกินไปมันก็จะกลายเป็นนิสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เขายอมรับชีวิตและความสัมพันธ์แบบนี้โดยไม่รู้ตัวไปแล้ว สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถรับคนอื่นเข้ามาในชีวิตได้อีกแล้ว

ฉะนั้นหากทุกอย่างจบลง เรื่องของฉางสิงคลี่คลาย เขาก็คงจะอยู่กับลั่วอี้แบบนี้ต่อไปล่ะมั้ง ไม่มีความรักต่อกันอีก ไม่พูดถึงเรื่องในอดีตอีก มีเพียงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าใครๆ ก็อยากใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายตราบเท่าที่มีโอกาส

วันที่แม่ของเขากลับอเมริกา เขากับเหล่าอู๋ไปส่งด้วยตัวเอง

หลังจากขึ้นรถเฝิงเยวี่ยหวาก็ยังนึกสงสัย “เสี่ยวฮุย แกจ้างคนขับรถตั้งแต่เมื่อไร…” ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ “คนของลั่วอี้เหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยแสร้งตอบว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจ

“ฉันก็ว่าแล้วเชียวว่าแกจะไปซื้อรถ MPV แบบนี้ได้ยังไง” เฝิงเยวี่ยหวาครุ่นคิด “วันนี้ลั่วอี้ไม่มาเหรอ”

“เขามี…” ยังพูดไม่ทันจบมือถือของเวินเสี่ยวฮุยก็ดังขึ้น ทันทีที่เขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นลั่วอี้ที่โทรเข้ามาพอดี เขาพอจะเดาเหตุผลการโทรของลั่วอี้หลังจากขาดการติดต่อมาสามวันได้

เป็นไปตามคาด เมื่อเขารับสายเสียงอันไพเราะของลั่วอี้ก็ดังขึ้นจากปลายสาย “พี่เสี่ยวฮุย ตอนนี้คุณป้าน่าจะอยู่ที่สนามบินแล้วใช่ไหม”

“กำลังไป”

“ให้คุณป้าพูดสายหน่อย”

ภายในรถเงียบสงัดมาก เฝิงเยวี่ยหวาได้ยินคำพูดของลั่วอี้อย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อเวินเสี่ยวฮุยหันไปมอง เฝิงเยวี่ยหวาก็ยื่นมือเตรียมรับสายแล้ว เขารู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยก่อนยื่นมือถือไปให้

“ฮัลโหล เสี่ยวลั่วเหรอ” เฝิงเยวี่ยหวาไอเบาๆ ทีหนึ่ง เธออาจจะต้องการรักษาความสง่างามเอาไว้ ทว่าแม้แต่หลัวรุ่ยก็มองออกว่าเฝิงเยวี่ยหวาพอใจลั่วอี้มาก แม้จะมีอุปสรรคและปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เธอไม่สบายใจ แต่เธอก็ชอบลั่วอี้เป็นการส่วนตัว

“คุณป้า ขอโทษทีครับ วันนี้ตอนแรกผมก็อยากไปส่งคุณป้าที่สนามบิน แต่จู่ๆ ที่บริษัทมีงานสำคัญมาก ผมปลีกตัวไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไร เธอก็ส่งคนขับรถมาแล้วนี่นา อีกอย่างใช่ว่าฉันจะไม่กลับมาสักหน่อย”

“นั่นสิครับ คุณป้ากลับมาครั้งหน้าผมจะต้องไปรับด้วยตัวเองแน่นอน ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ ถ้าคุณป้าต้องการอะไรก็บอกพี่เสี่ยวฮุยได้เลยแล้วผมจะส่งไปให้”

“ได้ ไม่รบกวนเธอแล้ว โอเค ไว้เจอกัน”

หลังจากวางสายเฝิงเยวี่ยหวาก็พยักหน้า “เด็กคนนี้อย่ามองว่ายังเด็กนะ รู้ประสาดีจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจว่าต่อให้พวกเขารวมหัวกันแล้วคูณสองก็ตามความคิดของลั่วอี้ไม่ทันด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยที่ท่าทีของเฝิงเยวี่ยหวาจะเปลี่ยนไปมากหลังเจอกับลั่วอี้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พูดคุยกันเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น ทว่าเขากับลั่วอี้อยู่ด้วยกันมาสามปีแต่เขากลับเห็นคนคนนี้อย่างถ่องแท้ในช่วงเวลาสุดท้าย

ระหว่างทางเฝิงเยวี่ยหวายังคงกำชับเวินเสี่ยวฮุยว่าถ้าสามารถทำได้ก็ให้ดีกับลั่วอี้เข้าไว้ แต่ก็ต้องปกป้องตัวเองและต้องคิดเพื่อตัวเองด้วย

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้าเห็นด้วย แต่คำพูดเหล่านั้นกลับไม่เข้าสมองของเขาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากส่งแม่ไปถึงจุดตรวจความปลอดภัยแล้ว เวินเสี่ยวฮุยจึงรู้สึกโล่งอกโดยสมบูรณ์ ตอนนี้แม่ของเขาออกเดินทางแล้ว หลัวรุ่ยก็ไปแล้วเช่นกัน ต่อให้มือของฉางสิงยาวแค่ไหน ตอนนี้อีกฝ่ายก็ไม่มีเวลาไปต่างประเทศและทำได้เพียงรอการพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายเท่านั้น เขาต้องการถอนตัวจากเงามืดนั้นอย่างสมบูรณ์

ระหว่างทางกลับบ้านเวินเสี่ยวฮุยมองดูท้ายทอยของเหล่าอู๋อยู่นาน ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“พี่อู๋ หลายวันนี้ลั่วอี้กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”

เหล่าอู๋ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ “ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน หลายวันมานี้ผมเฝ้าพวกคุณอยู่ตลอดเวลา”

“พี่ไม่กลัวว่าบอดี้การ์ดของฉางสิงจะมาแก้แค้นพี่เหรอ” ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนตัดเส้นเอ็นของบอดี้การ์ดคนนั้นในตอนนั้น

เหล่าอู๋ตอบอย่างใจเย็น “อาชีพอย่างพวกเรายังต้องกลัวการแก้แค้นอีกเหรอ”

“ก็จริง” เวินเสี่ยวฮุยยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีกครั้ง และเมื่อเห็นชื่อของสายเรียกเข้าก็ทำให้เขาใจสั่น

หลีซั่ว?!

เขาไม่คาดคิดว่าหลีซั่วจะโทรหาเขาอีก แม้หลีซั่วจะเป็นสุภาพบุรุษและสงบเสงี่ยม แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่ง อีกฝ่ายจึงน่าจะหมดหวังกับเขานานแล้ว…หลังจากลังเลนานกว่าสิบวินาทีเวินเสี่ยวฮุยก็รับสายและเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก

“พี่ใหญ่หลี”

น้ำเสียงล้ำลึกน่าดึงดูดของหลีซั่วดังมาจากปลายสาย “เสี่ยวฮุย ช่วงนี้สบายดีไหม”

“ก็ดีครับ…พี่ล่ะ”

“ฉันก็สบายดี ไม่อ้อมค้อมแล้วกัน ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะบอกนาย”

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ฉันไม่รู้ว่าลั่วอี้จะบอกนายหรือเปล่า แต่ฉันคิดว่าด้วยนิสัยของเขา เขาจะต้องปิดบังไว้แน่”

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยจมดิ่ง มือที่ถือโทรศัพท์กำแน่น “พี่ว่ามาเลย”

“ฉันเพิ่งได้ข่าวมาจากวงในว่าฉางสิงหนีไปเมื่อวาน”

แสงสีขาววาบผ่านสมองของเวินเสี่ยวฮุย ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงโดยที่ไม่อาจควบคุมได้

“อะ…อะไรนะ เขา…ทำไมเขาถึงได้…”

“มันเป็นคดีเกี่ยวกับการเงิน เขากำลังอยู่ในระหว่างการประกันตัว ถ้าจะหนีก็ง่ายมาก แต่หนีไปแบบนี้ก็เท่ากับตัดเส้นทางหลบหนีทั้งหมด ฉันไม่รู้ว่าเขากับลั่วอี้มีเรื่องผิดใจอะไรกัน แต่ในเมื่อนายอยู่ใกล้ลั่วอี้ขนาดนั้นก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”

“ขอบคุณครับ พี่ใหญ่หลี ผม…”

ปัง!

แรงปะทะรุนแรงมาพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเวินเสี่ยวฮุยลอยออกจากที่นั่งทันทีและกระแทกเข้ากับประตูรถอย่างจัง เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าครึ่งซีกของร่างกายเจ็บปวดอย่างรุนแรง ภาพเบื้องหน้าพลิกกลับ เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนจะหมดสติไปคือเสียงของหลีซั่วที่กำลังตะโกนเรียกเขาอย่างกระวนกระวายใจ…

  

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: