X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 135

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 135

บนใบหน้าของพลทหารที่ชูคบไฟอยู่รอบทิศต่างเผยแววตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่พี่น้องสกุลเหลียงชิวก็มีความรู้สึกเดียวกันนี้อยู่หลายส่วนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นทหารส่วนตัวของหลิงปู้อี๋ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกแต่อย่างใด กลับกันเป็นเฉิงเซ่าซางต่างหากที่คิดกระจ่างทุกสิ่งแล้ว นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวช้าๆ ยื่นมือจับลำต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างเพื่อพยุงร่างกายที่เหมือนถูกดับสิ้นทุกความหวัง

หลิงปู้อี๋มองนางด้วยความระทมทุกข์ “เจ้าทายออกได้อย่างไรหรือ”

ฝ่ามือของเฉิงเซ่าซางแนบไปบนเปลือกไม้ที่หยาบกร้าน กล่าวอย่างเชื่องช้า “มิน่าเล่า เมื่อก่อนท่านจึงไม่ยินดีจะแต่งงาน ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว…ข้าเพียงอยู่ข้างกายท่านปีเดียวยังสังเกตพบช่องโหว่หลายจุด หากท่านแต่งงานไปก่อนหน้านี้หลายปี น่ากลัวว่าทุกเรื่องคงจะถูกล่วงรู้ทั้งหมดแล้ว”

หลิงปู้อี๋เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นมาพลอยเดือดร้อน ข้านึกว่าจะมีวิธีอื่น แต่ที่ผ่านมาล้วนไม่มีเบาะแสเลย จวบจนเมื่อหนึ่งปีก่อนสืบได้ข่าวของบริวารเก่าสกุลฮั่ว ข้าแสนจะตื่นเต้นยินดี ใครจะรู้ว่า…กลับคว้าได้แต่ความว่างเปล่าเช่นเดิม”

“แล้วคำสั่งโยกย้ายทหารหลายแห่งในคืนนี้เล่า นี่ไม่เกี่ยวกับความแค้นระหว่างฮั่วและหลิงสองสกุลกระมัง! หึๆ ท่านช่างทำเรื่องดีนัก เลือดของท่านเย็นชืดชัดๆ…หลิงปู้อี๋ ที่แท้ท่านมีพูดวาจาจริงกับข้าสักประโยคหรือไม่!” ปลายนิ้วของนางออกแรงจิกไปบนเปลือกไม้ เจ็บปวดราวถูกทะลวงใจ

หลิงอี้ที่ถูกกดตรึงอยู่กับพื้นเริ่มเนื้อตัวสั่นระริกอย่างสุดจะระงับยับยั้ง ในดวงตาที่มองไปทางหลิงปู้อี๋ทอประกายตื่นกลัว “เจ้า…เจ้าถึงกับ…จวินหวานาง…” เขาคล้ายฉุกคิดอันใดได้ จึงร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก “อาหลี อาหลีของข้า…อาหลีที่น่าสงสารของข้า!”

เฉิงเซ่าซางมองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย คิดในใจว่า อย่างน้อยเรื่องนี้คนสกุลหลิงก็ไม่ได้โป้ปด อาจเป็นความจริงที่หลิงอี้รักใคร่หวงแหนบุตรชายคนโตของเขามาก…ซึ่งก็คืออาหลี ตัวจริง ที่เคราะห์ร้ายด่วนจากไปผู้นั้น

หลิงปู้อี๋กล่าว “ท่านอาเขยยังเหมือนเดิมเลยนะ พอรู้ว่ามีศัตรูมาจู่โจม สิ่งแรกสุดที่นึกถึงก็คือเอาตนเองรอด ท่านจงใจจัดวางหน่วยป้องกันแบบผ่อนคลายฝั่งตะวันออกเข้มงวดฝั่งตะวันตก ทำทีว่าเจ้านายสกุลหลิงล้วนอยู่ในเรือนใหญ่ฝั่งตะวันตก แท้ที่จริงตนเองกลับซ่อนตัวอยู่ในห้องลับของเรือนฝั่งตะวันออก ตั้งใจว่าอีกสักครู่จะใช้ทางใต้ดินหลบหนีไป…ท่านอาเขยไม่เปลี่ยนสักนิดจริงๆ กล่าวได้ว่าเค้นเล่ห์มาใช้จนสิ้น”

หลิงอี้โต้กลับอย่างเคียดแค้น “เจ้าเองก็ไม่ยิ่งหย่อน…หลังจากจวินหวาตาย เจ้าแสร้งมาใกล้ชิดกตัญญูต่อข้า หลอกข้าว่าอยากจัดงานวันเกิดให้เพื่อแสดงความกตัญญูในฐานะผู้เป็นบุตร ยังพูดอีกว่าในเมืองหลวงมีฝ่าบาททอดพระเนตรอยู่ ไม่เหมาะจะจัดฉลองเอิกเกริก มิสู้มาที่คฤหาสน์นอกเมืองดีกว่า!” เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาก็ขึ้นเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว “หลายปีที่ผ่านมาเจ้ามีโอกาสถมเถที่จะฆ่าข้า ไยต้องเปลืองแรงเยี่ยงนี้อีก!”

หลิงปู้อี๋ตอบเสียงเยียบเย็น “ท่านอาเขยยังไม่เข้าใจ ชีวิตสุนัขเยี่ยงท่านชีวิตเดียวนับเป็นอะไรได้ ที่ข้าต้องการคือท่านทั้งตระกูล ในเมืองหลวงจะจัดการเต็มที่ได้อย่างไรเล่า”

หลิงอี้ทั้งตระหนกทั้งพรั่นพรึง ตะโกนเสียงลั่น “พวกเขามีความผิดอันใดกัน! เจ้าไยต้องจองล้างจองผลาญให้สิ้น!”

หลิงปู้อี๋กล่าว “หลิงอี้ เรื่องในตอนนั้นไม่ใช่ฝีมือเจ้าคนเดียวเสียหน่อย พวกเจ้าสามคนพี่น้องร่วมแรงร่วมใจแยกย้ายกันกระทำการ คนหนึ่งชักนำข้าศึกเข้าเมือง คนหนึ่งสังหารเด็กสตรีฆ่าคนปิดปาก ส่วนเจ้า…ฉวยตอนที่ท่านพ่อข้าไม่ทันป้องกันหาจังหวะปองร้าย! เจ้าคงไม่รู้สินะ ตอนนั้นข้าหลบอยู่ที่ช่องลับในห้องหนังสือของท่านพ่อนั่นเอง!”

หลิงอี้อ้าปากสูดลมเข้าปอดเฮือกหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าตอนนั้นหลิงปู้อี๋ยังเด็ก ไม่แน่ว่าจะรู้รายละเอียดเบื้องลึกจึงยังคิดจะอ้อนวอนดูสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าเรื่องของตนในตอนนั้นกลับถูกเด็กน้อยผู้หนึ่งเห็นอยู่ในสายตาทุกอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อ้อนวอนอันใดล้วนเปล่าประโยชน์แล้ว

“หลิงอี้ เจ้ายังไม่ก้มหัวยอมรับผิดอีก!” หลิงปู้อี๋เดินหน้าไปหนึ่งก้าว พร้อมกับตวาดเสียงกร้าว

หลิงอี้มีไหวพริบถึงขั้นใด เพียงเวลาชั่วประกายไฟแลบ ความคิดก็วาบขึ้นในหัว พูดโพล่งออกจากปากไปทันที “เรื่องคืนนี้ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่”

เฉิงเซ่าซางตะลึงวูบ เดิมนางเพียงวิตกเรื่องโยกย้ายทหาร บัดนี้กลับพบว่ายังมีเรื่องน่าเป็นห่วงที่ใหญ่กว่าซ่อนแฝงอยู่

หลิงปู้อี๋ชะงักเท้า “ข้าต้องไว้ทุกข์สามปี รอไม่ได้แล้ว”

หลิงอี้หัวเราะร่วน “ไม่ใช่กระมัง ฝ่าบาททรงไม่ทราบเรื่องคืนนี้แต่อย่างใด! ไว้ทุกข์สามปี? รอไม่ได้แล้ว? ฮ่าๆๆ ก็ถูกต้อง และก็ไม่ถูกต้อง…ข้าเคยพูดว่ารอจนบุตรีสกุลเฉิงกับท่านหญิงอวี้ชังต่างให้กำเนิดบุตร ข้าจะพาคนทั้งตระกูลกลับภูมิลำเนาไปเซ่นไหว้บรรพชน ปลอบประโลมบุพการีที่ด่วนล่วงลับ หากเจ้าต้องการคนทั้งตระกูลของข้า สามารถลงมือระหว่างทางได้อย่างเต็มที่! ถึงตอนนั้นมือเท้าจัดการให้สะอาดหน่อยแล้วอ้างว่าเป็นฝีมือโจร ย่อมดีกว่าคืนนี้ที่ใช้กำลังทหารโฉ่งฉ่างอยู่ไม่ไกลกำแพงเมืองหลวง!”

ดูเหมือนบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ใต้แสงเพลิงจะคิดได้ชัดแจ้งทุกสิ่งแล้ว จึงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานและกระหยิ่มได้ใจ

“เจ้ารอไม่ได้แล้วจริงๆ ทว่าไม่ใช่เพราะรอไว้ทุกข์สามปีไม่ได้ หากแต่ไม่อาจรอจนเห็นสกุลหลิงแตกกิ่งก้านสาขา สืบทายาทไม่ขาดสาย! ลูกสะใภ้หลายคนของบ้านน้องรองกับน้องสาม หากไม่ใช่กำลังตั้งครรภ์ก็คือคลอดบุตรชายออกมาแล้ว รอจนท่านหญิงอวี้ชังแต่งเข้ามา ในหมู่ทายาทสกุลหลิงก็จะมีสายเลือดราชวงศ์…บุตรหลานยิ่งนานวันยิ่งทวีจำนวน เครือญาติยิ่งเกี่ยวดองยิ่งกว้างขวาง เจ้าก็จะลงมือลำบากยิ่งขึ้นทุกที! ดังนั้นที่เจ้าต้องลงมือก่อนไว้ทุกข์ก็เพราะกลัวว่าที่พึ่งพิงของสกุลหลิงข้าจะยิ่งแข็งแกร่ง! ใช่หรือไม่เล่า!”

หลิงปู้อี๋ลอบถอนใจ หลับตาแล้วลืมขึ้นอีกหน เห็นดวงหน้าของเด็กสาวที่อยู่อีกด้านฉาบด้วยความสับสนระคนหวาดกลัว หัวใจของเขาก็บีบรัดจนปวดแปลบสาหัส…ความหวังสุดท้ายได้พังทลายสิ้นแล้ว

หลิงอี้สับเปลี่ยนโฉมหน้า ในดวงตาบรรจุความกลอกกลิ้งอำมหิต ทั้งที่ปั้นอารมณ์บนใบหน้าเฉกบิดาผู้รวดร้าวถึงขั้วหัวใจ ปากเอ่ยอย่างตรอมตรม “อาหลี ตอนนั้นเจ้าเพิ่งห้าหกขวบ จะรู้เรื่องอะไรที่ใดกันเล่า ย่อมเป็นมารดาเจ้าบอกสิ่งใด เจ้าก็เชื่อไปตามนั้น! ทว่ามารดาเจ้าชิงชังข้าเข้ากระดูก แค้นที่ข้าปันใจมีผู้อื่น แค้นที่ข้าแต่งฉุนอวี๋ซื่อเป็นภรรยา ดังนั้นจึงกุเรื่องอันโหดเหี้ยมมากมายมาหลอกให้เจ้าเกลียดแค้นข้า! อาหลี พ่อไม่โทษเจ้า แต่เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้ อย่าได้ถูกมารดาเจ้าหลอกลวงจนกระทำผิดมหันต์ฐานสังหารบิดาเป็นอันขาด!”

ในใจเฉิงเซ่าซางยุ่งเหยิง จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงอี้ยังต้องเสแสร้งเช่นนี้อีก ผิดกับหลิงปู้อี๋ที่ในใจกระจ่างชัด เขาส่งสัญญาณมือไปทางด้านหลังของตน เหลียงชิวฉี่ก็รีบปลดกระบี่ยาวรุ้งขาวที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังลงมา แล้วใช้สองมือประคองมาถึงตรงหน้าผู้เป็นนาย

หลิงปู้อี๋พลิกข้อมือเบาๆ ประกายเงินหนึ่งสายก็ฉายวาบขึ้น เขาได้ชักกระบี่สับเชือกบนร่างหลิงอี้ขาดเป็นที่เรียบร้อย ก่อนเอ่ยเรียบๆ “เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว อาเฟย ให้กระบี่เขาเล่มหนึ่ง หลิงอี้ วันนี้เจ้ากับข้ามาสะสางกัน”

หลิงอี้ไม่ยอมเก็บกระบี่ที่เหลียงชิวเฟยโยนลงบนพื้น ยังคงร่ำไห้อย่างปวดใจต่อ

เหลียงชิวเฟยเดินขึ้นหน้าไปกล่าวอย่างหงุดหงิด “รีบหยิบกระบี่ขึ้นมา อย่ามัวยืดยาด…”

เขากับพี่ชายเป็นทายาทกำพร้าของทหารสังกัดสกุลฮั่วที่รบมาหลายศึกจนกระทั่งพลีชีพ สกุลฮั่วจึงให้การอุปการะเรื่อยมา ปีที่หลิงปู้อี๋เพิ่งเข้าวังได้ขอร้องฮ่องเต้ให้ตามพวกเขามาเป็นทหารส่วนตัว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าหลิงปู้อี๋พูดอันใด พวกเขาย่อมจะปฏิบัติตามนั้น

ใครจะรู้หลิงอี้ที่กำลังร่ำไห้พลันกระโจนขึ้น พลิกตัวบิดแขนหนึ่งหนก็ฉวยกระบี่บนพื้นเล่มนั้นมาจ่อลำคอเหลียงชิวเฟย แล้วเอ่ยอย่างร้ายลึก “ลูกเนรคุณ แม้เจ้าอกตัญญูยิ่งยวด ทว่าข้าผู้เป็นบิดาไม่อาจถือสาหาความกับเจ้า จงหลีกไปให้ไว ข้าจะออก…”

เสียงพูดไม่ทันขาดคำ เพียงเห็นหลิงปู้อี๋สะบัดข้อมือเบาๆ ประกายเงินในมือก็ส่ายออกเป็นบุปผากระบี่อันจับตาหนึ่งสาย ส่วนตัวกระบี่เป็นเช่นห่านป่าเตลิดพุ่งไปหาหลิงอี้ เสียบเข้าลำคออย่างถนัดถนี่ โลหิตสดไหลพรากๆ ออกจากปากแผล ดวงตาที่เบิกโพลงของหลิงอี้ตื่นผวาคล้ายไม่อาจเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จากนั้นร่างก็ค่อยๆ ทรุดระทวยฟุบลงกับพื้น

หาช่องใช้ทางลัดมาทั้งชาติ เล่นเล่ห์ปลิ้นปล้อนมาทั้งชีวิต บัดนี้ล้วนแปรสภาพเป็นกองเลือดเนื้อที่ไร้ลมหายใจเยี่ยงนี้เสียแล้ว

เฉิงเซ่าซางเอาสองมือป้องปาก ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง

หลิงปู้อี๋เดินเนิบนาบไปถึงข้างกายนาง ในดวงตาคล้ายมีประกายน้ำสั่นไหว “เซ่าซาง ข้าไม่มีทางถอยแล้ว”

ในใจเฉิงเซ่าซางแสนคับแค้น จึงเอ่ยเสียงดังก้อง “เดิมทีท่านมีทางถอยได้! เดิมทีท่านมีหนทางมากมายให้เดินได้!”

หลิงปู้อี๋กล่าว “ความแค้นที่ถูกฆ่าล้างตระกูล ข้ามิอาจไม่ชำระ หนทางมีมากสักเพียงใด ข้าก็จำต้องเดินทางสายนี้!”

เฉิงเซ่าซางตะโกนปนร่ำไห้อย่างสุดจะข่มกลั้น “เช่นนั้นข้าเล่า! ท่านเคยคิดอ่านเพื่อข้าหรือไม่! ในเมื่อท่านจะสละชีวิตไปล้างแค้น แล้วท่านอุตส่าห์มาตอแยข้าเพื่ออะไร! นี่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย! ท่านมันคนสารเลวที่สมควรตาย หลิงปู้อี๋ ที่แท้ท่านมีพูดวาจาจริงกับข้าสักประโยคหรือไม่กันแน่!”

หลิงปู้อี๋ไม่ได้ตอบคำ สองตาเอ่อท้นด้วยความเศร้าสลด

เฉิงเซ่าซางปาดน้ำตาบนดวงหน้า หมุนกายจะออกเดิน ทว่าหลิงปู้อี๋กุมแขนนางไว้แล้วถามปนหอบ “เจ้าจะไปที่ใด”

นางหันหน้ามาเยาะหยัน “ท่านต้องการเอาอย่างบุตรกำพร้าสกุลจ้าว* สู้ทนฝึกฝนให้เหนือผู้อื่นเพียงเพื่อจะชำระแค้น ข้าไม่ขอบ้าคลั่งเป็นเพื่อนท่านด้วยหรอก ใต้เท้าหลิง อ้อ ไม่สิ เป็นใต้เท้าฮั่ว ท่านกับข้าลาจากกันตรงนี้ ไม่ต้องส่ง!”

หลิงปู้อี๋กุมแขนนางไว้แน่น นัยน์ตาเรียวยาวชวนมองทอแวววิงวอน เฉิงเซ่าซางรู้ว่าเขากำลังวอนขอให้นางอย่าจากเขาไป…น่าเสียดาย นางคือผู้ที่แล้งน้ำใจไร้ไมตรีที่สุดในใต้หล้านี้

นางออกแรงสลัดแขน แล้วพูดประชด “ท่านยังคงรีบไปไล่ฆ่าคนสกุลหลิงที่เหลือเถิด ก่อนที่ข้าจะมาได้ส่งคนเข้าวังไปฟ้องร้องความผิดปกติของท่านแล้ว กองทัพของฝ่าบาทจะบุกมาถึงในไม่ช้า ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สกุลหลิงทั้งตระกูลเลย เกรงว่าแค่หลิงเหล่าเอ้อร์กับหลิงเหล่าซันน้องชายสองคนของหลิงอี้ ก็ไม่แน่ว่าท่านจะกำจัดได้สำเร็จ!”

ราวกับเพื่อยืนยันคำพูดของนาง พลทหารนายหนึ่งพลันวิ่งมารายงานอย่างเร่งร้อน “เรียนนายน้อย ทิศทางของเมืองหลวงมีกำลังพลกลุ่มใหญ่บุกตรงมาขอรับ!”

ไม่รอให้หลิงปู้อี๋ตัดสินใจ พลทหารอีกนายหนึ่งก็วิ่งฉิวมาจากด้านข้าง “เรียนนายน้อย เรือนฝั่งตะวันตกกวาดล้างเสร็จสิ้น เด็กสตรีล้วนถูกเฝ้าคุม บุรุษที่เหลือมิใช่ถูกสังหารก็ยอมจำนนแล้ว เพียงแต่น้องชายสองคนของเฉิงหยางโหวอาศัยที่ฟ้ามืดนำนักรบเดนตายกลุ่มหนึ่งฝ่าวงล้อมออกไปจนได้ กำลังหนีมุ่งไปทางหน้าผาขอรับ!”

เหลียงชิวฉี่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงหนัก “นายน้อย ที่นี่ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน อีกอย่างเด็กสตรีเหล่านั้นจะให้จัดการตามคำสั่งก่อนหน้านี้หรือไม่ขอรับ”

เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างตื่นตระหนก “อะไรกัน นี่ท่านยังจะฆ่าเด็กสตรีสกุลหลิงให้ได้?!”

“เหตุใดจะไม่ได้เล่า!” ไอสังหารกำจายทั่วดวงหน้าของหลิงปู้อี๋ “สกุลฮั่วถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล ก็สมควรจะใช้ตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างเลือด! พวกเขาล้วนกินดื่มเลือดเนื้อคนสกุลฮั่วจึงได้มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ สมควรจะรับโทษเดียวกัน!”

เฉิงเซ่าซางพลิกมือมาดึงเขาไว้พลางเอ่ยเสียงสั่น “ท่านอย่าทำเช่นนี้เลยนะ ท่านไม่ใช่คนเยี่ยงนี้ หลิงอี้เป็นสัตว์ เป็นเดรัจฉาน แต่ท่านไม่ใช่!”

หลิงปู้อี๋พิศมองนางอยู่เนิ่นนาน ไอสังหารบนร่างก็ค่อยๆ ลดทอนหายไป

“นายน้อย…” เหลียงชิวเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ “โปรดรีบตัดสินใจเถิด”

ไกลออกไปเริ่มแว่วเสียงปะทะกันของอาวุธแล้ว เสียงเกือกม้าย่ำพื้นกับเสียงตะโกนเข่นฆ่าก็ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ

ยามนี้สีหน้าของหลิงปู้อี๋พลันแปรเปลี่ยน อารมณ์เศร้าตรม เจ็บปวด ความอาวรณ์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ รวมถึงความอ่อนโยนทุกสายใยล้วนอันตรธานไม่เห็นอีก สิ่งที่มาแทนที่คือความเด็ดขาดที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ*

เขาคลี่ยิ้มให้นาง “เซ่าซาง เจ้ากลัวหรือไม่ เจ้าเคยพูดว่าจะดีกับข้า คืนนี้พวกเราก็ไปด้วยกันเถิด”

เฉิงเซ่าซางกล่าวเสียงแหลม ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านว่าอะไรนะ! ไม่ๆ ปล่อยข้า ข้าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งกับท่านหรอก! ท่านปล่อยข้านะ!”

ทว่านางหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงปู้อี๋ได้ สองมือของเขาเพียงออกแรงเล็กน้อยก็สยบนางอยู่ในอ้อมอก บนร่างนางราวถูกรัดด้วยบ่วงเหล็กสุดจะขยับเขยื้อนได้ จากนั้นฟ้าดินหมุนคว้างรอบหนึ่ง นางก็ถูกเขาใช้มือเดียวยกขึ้นพาดบ่าแล้ว

องครักษ์หญิงสี่นางเห็นเช่นนั้นก็หมายจะมาขัดขวาง ทว่ากลับถูกพวกเหลียงชิวฉี่โจมตีทรุดลงกับพื้นในทันที

เฉิงเซ่าซางกรีดร้อง ทุบตีหลังไหล่ของหลิงปู้อี๋ไม่หยุดยั้ง หลิงปู้อี๋จึงฉวยเชือกป่านเส้นหนึ่งจากถุงข้างอานม้ามามัดข้อมือสองข้างของนางติดกัน ก่อนอุ้มพาเด็กสาวขึ้นไปบนม้าพาหนะ ม้าตัวนี้ของเขาเป็นยอดอาชาที่หาไม่ได้แม้หนึ่งในหมื่น ท้องกิเลนอกพยัคฆ์ หัวมังกรเชิดสง่า เปรียบกับมันแล้ว ม้าน้อยลายโคนมตัวนั้นของนางก็ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงในบ้านที่แสนซื่อตัวหนึ่ง

มือขวาของเขากอดกระชับนางไว้แนบอก มือซ้ายพอกระตุกสายบังเหียน ยอดอาชาก็แหงนศีรษะแผดร้อง กีบเท้าทั้งสี่ย่ำหิมะ ควบนำลิ่วไม่เห็นฝุ่น นางเพียงรู้สึกว่าสองหูกรอกด้วยสายลม รอบกายดุจขี่หมอกทะยานเมฆ รวดเร็วปานพายุสายฟ้า

เบื้องนอกคือกระแสลมแรงเหน็บหนาว คมกริบดั่งคมดาบบาดผิวให้เจ็บแปลบ นางไร้ที่ให้หลบซ่อน ได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมอกกว้าง

นางอยากจะใช้มีดแหลมกรีดเปิดแผงอกนี้ ดูว่าหัวใจที่อยู่ใต้เลือดเนื้อดวงนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ เขาพร่ำบอกอยู่ทุกคำว่าเห็นนางเป็นสิ่งสูงค่า ไฉนกลับปิดบังทำร้ายนางเยี่ยงนี้ได้ลง

นางยังอยากจะเปลือยเท้าวิ่งตะบึงไปจนถึงยอดสุดของภูเขา ขอบสุดของทะเล ไปยังจุดที่ไร้ผู้คนแล้วร่ำไห้ให้หนัก ระบายความเจ็บช้ำน้ำใจที่ตนได้รับ นับแต่นี้จากผู้คนไปอยู่โดยลำพัง ไม่ขอพบเจอใครผู้ใดอีก ไม่ขอเชื่อใจใครอีกต่อไป

นางคั่งแค้น โกรธเกรี้ยว ชิงชังทุกสิ่ง ทว่านอกจากน้ำตาที่เย็นเฉียบนองหน้าแล้ว กลับจนปัญญาโดยสิ้นเชิง

ครั้นใกล้จะถึงหน้าผา ภายใต้คบไฟสว่างไสว แลเห็นนักรบเดนตายที่เหี้ยมหาญกลุ่มหนึ่งคุ้มกันหลิงเหล่าเอ้อร์กับหลิงเหล่าซันอยู่ กำลังสู้กับกองทหารของหลิงปู้อี๋แบบสู้ไปถอยไป

หลิงปู้อี๋ใช้เชือกป่านที่เหลือพันตัวเฉิงเซ่าซางหลายรอบ มัดให้อยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างแน่นหนา จากนั้นเจียดมือขวาไปฉวยทวนวงเดือนทองหงส์ชาดค้ำนภาที่สาดรัศมีทั่วทิศจากบนอานม้า ตวาดหนึ่งเสียงแล้วบุกเข้าสังหาร

เฉิงเซ่าซางหลับสองตาสนิทแน่น ทุกหนแห่งคละเคล้าไปด้วยเสียงแผดด่า เสียงอุทานตื่นตระหนก ตลอดจนเสียงอันน่าพรั่นพรึงของอาวุธที่ปะทะกัน

จู่ๆ ตัวม้าก็ส่ายโคลงอย่างรุนแรง นางลืมตาเงยหน้าขึ้นทันใด เพียงเห็นใต้แสงจันทร์สีโลหิต บนดวงหน้าที่เคยขาวหมดจดงามสง่าปานเทพสวรรค์นั้นย้อมไปด้วยคราบเลือดเป็นแต้มๆ เฉกสัตว์อสูรบรรพกาลตัวหนึ่งเผยรูปลักษณ์อันดุร้ายออกมาจนสิ้น นางตัวสั่นระริกดุจเด็กน้อย ขดร่างตนเองจนเป็นกลุ่มเล็กๆ ถูกปกคลุมมิดชิดอยู่ภายใต้เรือนกายอันสูงใหญ่กร้าวแกร่ง

ทวนวงเดือนยาวตวัดออกไปแล้ว หลิงเหล่าซันไม่ทันร้องอุทานก็ถูกสับเป็นสองท่อน โลหิตฉีดกระจาย หลิงเหล่าเอ้อร์รีบตบสะโพกม้าสุดแรงราวคลุ้มคลั่ง ควบหนีไปยังหน้าผาอย่างลนลานโดยไม่เลือกทาง นักรบเดนตายที่เหลือต่างพากันติดตามไป

หลิงปู้อี๋วกเก็บทวนวงเดือนยาว กระตุ้นม้าไล่กวดไปเช่นกัน ตอนนี้เองทหารทางการที่ไล่หลังมาได้บุกมาถึงแล้ว

แม่ทัพเกราะทองหนึ่งในผู้นำทัพนั้นเฉิงเซ่าซางคุ้นตายิ่ง ก็คือแม่ทัพผู้หนึ่งของหน่วยพยัคฆ์เผ่น เขาตะโกนไปทางหลิงปู้อี๋อย่างรุ่มร้อนใจ “เว่ยเจียงจวินอย่าได้วู่วาม ไม่ว่ามีเรื่องใดพูดคุยกันดีๆ เถิด ฝ่าบาทจะทรงออกหน้าให้ท่านเอง! ทหาร! จงเร่งสกัดพวกเขาไว้!”

แม่ทัพเกราะเขียวอีกผู้หนึ่งกลับเอ่ยเสียงเย็นชา “จะพูดพล่ามไปไย! หลิงปู้อี๋สังหารบิดา ใช้ทหารโดยพลการ กระทำผิดอุกฉกรรจ์ ใครก็ปกป้องเขาไม่ได้! ทหารจงฟังบัญชาข้า หากหลิงปู้อี๋ไม่ยอมจำนน ยิงสังหารได้อย่างเต็มที่!”

แม่ทัพเกราะทองเดือดดาล “เป็นบ้าอะไรของเจ้า! ฝ่าบาทเคยตรัสเมื่อไรว่าต้องการชีวิตของหลิงปู้อี๋!”

แม่ทัพเกราะเขียวแย้ง “แต่ฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสว่าห้ามเอาชีวิตเขานี่! คืนนี้หกค่ายทหารโกลาหลหนัก แม่ทัพหลายท่านในค่ายใหญ่ผานชิ่งกับค่ายใหญ่ตงไถนึกว่าข้าศึกมาโจมตี เกือบระดมกำลังพลทั้งหมดออกมาด้วยซ้ำ! จนถึงขั้นนี้หลิงปู้อี๋ยังดื้อด้านต่อต้าน หรือว่ากฎกองทัพกับอาญาบ้านเมืองล้วนวางเป็นเครื่องตกแต่งไปอย่างนั้นเอง?!” วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่จนถึงที่สุดเขาก็ไม่ได้สั่งให้ยิงเกาทัณฑ์ออกไป

เฉิงเซ่าซางเรือนผมรุ่ยร่าย กล่าวเสียงแหบเครือไปทางเหนือศีรษะ “ท่านหยุดมือเร็วเข้าเถิด ชี้แจงกับฝ่าบาทดีๆ พระองค์เป็นคนพระทัยอ่อนเห็นแก่ไมตรี จะต้องทรงผ่อนปรนเปิดทางออกให้ท่านสายหนึ่งแน่!”

“มิผิด ฝ่าบาททรงพระทัยอ่อนเห็นแก่ไมตรี” หลิงปู้อี๋เอ่ยเสียงเบา “เผิงเจินก่อกบฏที่โซ่วชุน กระทำผิดใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นก็ไม่ถูกประหารทั้งตระกูล…ข้าจึงได้แต่ลงมือเองเท่านั้น”

เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาพลันเพิ่มระดับเสียง เปลี่ยนเป็นต่อว่าเสียงกร้าว “สตรีใจจืดใจดำเยี่ยงเจ้า ในเมื่อไม่ยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับข้า รั้งเจ้าไว้จะมีประโยชน์ใด!”

เฉิงเซ่าซางตะลึงงัน

หลิงปู้อี๋ชักมีดสั้นตัดเชือกป่านที่รัดพันอยู่บนร่างของคนทั้งสองขาดในคราวเดียว ประหนึ่งเฉือนสะบั้นสายรกที่เชื่อมโยงเลือดเนื้อของกันและกันไว้ แล้วกระตุกเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขามาห่อหุ้มบนร่างนาง

เฉิงเซ่าซางยังไม่ทันจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวใด เพียงรู้สึกว่าเหนือศีรษะถูกจุมพิตเบาๆ หนึ่งหน ก่อนได้ยินเขากระซิบที่ริมหู “นับแต่นี้ไม่พบกันอีก”

จากนั้นนางก็ถูกโยนสูงออกไป ลอยละลิ่วจนวิงเวียน แล้วร่วงลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง

ที่นี่เต็มไปด้วยหินภูเขา ทว่าจุดที่นางร่วงสัมผัสพื้นกลับเป็นกองหญ้าแห้งอันอ่อนนุ่ม แรงปะทะส่งให้นางกลิ้งต่อไปหลายตลบกว่าจะหยุดลงได้ นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย กระดูกเส้นเอ็นราวจะหักขาด ทว่าชั่วขณะนี้นางไม่มัวมาตรวจดูอาการบาดเจ็บของตน เพียงข่มทนความเจ็บปวดสาหัส หยัดกายขึ้นมองไปยังบริเวณที่มีแสงสว่าง

หลิงปู้อี๋นั่งตัวตรงอยู่บนอานม้าด้วยท่าทางทระนงและเด็ดเดี่ยว

ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างกับแม่ทัพสองคนที่ไล่ตามมา จากนั้นโบกมือให้พี่น้องสกุลเหลียงชิวกับเหล่าทหารของเขาวางอาวุธยอมจำนน ยามที่คนทั้งหมดนึกว่าเรื่องราวยุติลงแล้ว เขากลับกระตุกสายบังเหียนดึงตัวม้าขึ้นสูง พลันวกหัวม้าไปล่าสังหารหลิงเหล่าเอ้อร์ต่อ

แม่ทัพเกราะทองอึ้งงันไปชั่วขณะ ผิดกับแม่ทัพเกราะเขียวที่รีบตวาดสั่งให้ผู้ใต้บัญชากรูตามเขาไปดุจกระแสน้ำ

หลิงเหล่าเอ้อร์เห็นว่าสิ้นหนทางแล้ว จึงให้นักรบเดนตายที่เหลืออยู่เพียงหกเจ็ดคนล้อมตนไว้ หลิงปู้อี๋หนึ่งคนกับหนึ่งม้ารุกไล่ไปพลางตวัดซ้ายผ่าขวาไปพลาง เพียงไม่กี่หนก็กำจัดนักรบเดนตายจนไม่เหลือ ขณะจะจู่โจมไปยังศีรษะของหลิงเหล่าเอ้อร์นั่นเอง แม่ทัพเกราะเขียวกับรองแม่ทัพของเขาก็ไล่มาทันอย่างฉิวเฉียด

อาวุธของแม่ทัพเกราะเขียวคือค้อนคู่ตะขอเหล็ก ส่วนรองแม่ทัพของเขาใช้ดาบใหญ่ด้ามยาวเล่มหนึ่ง เห็นชัดว่าหลิงปู้อี๋สัมผัสได้ถึงเสียงลมจากอาวุธที่ตวัดมาทางด้านหลัง ขอเพียงหมุนตัวไปสกัดไว้ก็เรียบร้อย ทว่าเขากลับยังคงฟันอาวุธลงไปหาหลิงเหล่าเอ้อร์โดยไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น

ภาพฉากนี้เขย่าขวัญสั่นคลอนหัวใจ แม่ทัพทหารหาญที่รายล้อมอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าต่างจรดจ้องไปที่ริมหน้าผา…
เริ่มจากหลิงเหล่าเอ้อร์ถูกประกายสีทองสายหนึ่งฟันเฉียงกุดลำคอ ศีรษะกับร่างกายแยกจากกันในพริบตา ขณะที่ศีรษะกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามเนินเขา หนึ่งค้อนกับหนึ่งดาบของแม่ทัพเกราะเขียวกับรองแม่ทัพก็โจมตีถูกแผ่นหลังของหลิงปู้อี๋โดยพร้อมเพรียง!

แม่ทัพทหารหาญโดยรอบพร้อมใจกันร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก เสียงร้องของพี่น้องสกุลเหลียงชิวแหลมสูงโศกสลดยิ่งกว่าใคร

แม่ทัพเกราะเขียวรู้จักฝีมือของหลิงปู้อี๋ดี ไม่ได้คาดคิดว่าจะโจมตีสำเร็จในคราวเดียว ชั่วขณะนั้นจึงตะลึงค้างอยู่กับที่

สองตาของเฉิงเซ่าซางพร่าเลือน ไม่รู้เป็นเพราะน้ำตาหรือเพราะเลือดที่ไหลลงจากหน้าผาก สองฝ่ามือของนางถลอกปอกเปิกตั้งแต่ตอนที่กลิ้งตัวหลายตลบ กระนั้นกลับยังค้ำอยู่บนพื้นซึ่งมีเศษหินตะปุ่มตะป่ำอย่างไม่รู้จักความเจ็บปวด

นางรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดตาแรงๆ เสี้ยวอึดใจที่ลดมือลง กลับเห็นเงาร่างสีแดงเข้มลายทองอ่อนสายนั้นพลัดตกจากหลังม้า กลิ้งลงหน้าผาไปต่อหน้าต่อตานาง

ชั่วขณะที่เขาพลัดตก ทวนวงเดือนทองหงส์ชาดค้ำนภาหลุดจากมือปักเฉียงอยู่บนพื้น ใบมีดข้างคมทวนซึ่งดูคล้ายปีกหงส์คู่ฉายรัศมีทองอร่ามตานั้นยังคงสั่นสะท้านนิดๆ ท่ามกลางสายลมหนาว

กระแสความคิดพลันย้อนทวนสู่ปีที่แล้วในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ยามนั้นก็เป็นช่วงต้นฤดูวสันต์ที่ยังหนาวเย็น ยามนั้นก็มีร่างคนตายเกลื่อนป่าเขา ในบ้านพรานป่า…นางถอนเกาทัณฑ์หักจากแผ่นหลังของเขา เขาเหลียวใบหน้ามาคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้นาง ถามนางว่าเจ็บมือหรือไม่

รอยยิ้มของเขาในตอนนั้นละมุนละไม ฝากความนัยอันลึกซึ้ง เพียงแรกมองดั่งรู้จักมานับหมื่นปี

นางทรุดฮวบ ศีรษะคะมำลง ไม่อาจรับรู้อันใดอีก

 

* บุตรกำพร้าสกุลจ้าว หมายถึงจ้าวอู่ ขุนนางแคว้นจิ้นยุคชุนชิว บิดาของเขาถูกแม่ทัพใหญ่ถูอั้นกู่ให้ร้าย สกุลจ้าวสามร้อยกว่าชีวิตถูกสังหาร คงเหลือเพียงจ้าวอู่ที่แม้เป็นทารกแบเบาะก็ยังถูกตามฆ่า ได้ผู้ที่ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจหลายคนสละชีวิตช่วยเหลือ ยี่สิบปีให้หลังจ้าวอู่เติบใหญ่จับกุมถูอั้นกู่มาประหาร ล้างแค้นให้คนทั้งตระกูลได้ในที่สุด

* ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายถึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้จนถึงที่สุดโดยไม่ถอยหลังกลับ มีที่มาจากยุทธการที่จวี้ลู่ ศึกนั้นฝ่ายเซี่ยงอวี่ (ฉู่ป้าหวัง หรือฌ้อปาอ๋อง) หมายต่อต้านราชวงศ์ฉินทว่ามีกำลังคนน้อยกว่า เมื่อข้ามแม่น้ำแล้วจึงสั่งให้ทุบหม้อข้าวจมเรือของฝ่ายตนทิ้งไปเพื่อปลุกขวัญทหารให้สู้ตายไม่ถอยหนี จนทำให้มีชัยเหนือฝ่ายฉินในที่สุด

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 .. 66 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: