X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 84-86 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การสะกดรอยตาม การลักพาตัว

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 84

 

ทั้งสี่คนนั่งคุยกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เวินเสี่ยวฮุยมองดูแม่ของเขาที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากอารมณ์เดือดปุดๆ ก่อนที่ลั่วอี้จะเข้าห้องมาจนกระทั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แม้การแสดงออกจะยังคงแข็งกระด้างและอึดอัดอยู่บ้าง ทว่าแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเกินเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

เขารู้ว่าแม่ได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะกระชากหน้ากากของลั่วอี้ หรือแม้แต่อาจจะหยิบมีดทำครัวขึ้นมาแทนเขาและทำเหมือนที่เธอเคยวิ่งไล่คุณครูที่รังแกเขารอบสนามเด็กเล่น เธอปกป้องลูกน้อยอย่างไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่ลั่วอี้นั้นอ่อนนุ่มราวกับดอกฝ้าย ใบหน้ายิ้มแย้มรับแขกตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่าว่าแต่แม่ของเขาเลย แม้แต่เขากับหลัวรุ่ยเองก็ถูกลั่วอี้สะกดให้ตกอยู่ในภวังค์

ในท้ายที่สุดแม่ก็ยังบอกให้ลั่วอี้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน

ลั่วอี้ยืนกรานว่าจะต้องเข้าครัวให้ได้ ทั้งยังกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “พี่เสี่ยวฮุยทำอาหารไม่เป็น ผมเป็นคนทำอาหารเวลาอยู่บ้าน ผมทำเร็ว พวกคุณป้าไปดูหนังแล้วรอสักพักก็แล้วกันครับ”

ลั่วอี้เข้าครัวไปทำอาหารแล้ว ทิ้งให้ทั้งสามคนมองหน้ากัน

เฝิงเยวี่ยหวากระแอมกระไอเสียงเบา “เอ่อ…เจ้าเด็กคนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่ฉันคิดไว้เท่าไร”

เวินเสี่ยวฮุยหดหู่เล็กน้อย “แม่คิดไว้ว่ายังไงเหรอ”

เฝิงเยวี่ยหวาขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรไปชั่วขณะ

อันที่จริงเวินเสี่ยวฮุยก็สามารถเดาได้แม้เธอจะไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าใครก็คงต้องจินตนาการ ‘สัตว์ประหลาด’ วัยแปดขวบที่เผาพ่อของตัวเองว่ามืดมน ประหลาด เลือดเย็น โหดเหี้ยม และแปลกแยก ซึ่งในความเป็นจริงลั่วอี้เหมาะสมกับคำบรรยายเหล่านี้มาก เพียงแต่ว่าเวลาที่ลั่วอี้เสแสร้งนั้นไม่ว่าใครก็ดูไม่ออก อีกอย่างเขาก็ไม่สามารถบอกแม่ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของลั่วอี้ได้

เฝิงเยวี่ยหวาครุ่นคิดแล้วถาม “เขาก็ดูดีกับแกมาก ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดแห้งๆ “เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย เกี่ยวกับความรู้สึกน่ะ พูดยาก”

เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ลูกชายของหย่าหย่าเชียวนะ นี่คือโชคชะตาเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ…”

นั่นสิ นี่ไม่ใช่โชคชะตาหรอกเหรอ จะมีสักกี่คนในโลกนี้กันเชียวที่มีความรักเหมือนพวกเขา

“แกชอบเขามากจริงๆ เหรอ” เฝิงเยวี่ยหวาถามเวินเสี่ยวฮุยอย่างจริงจัง

เวินเสี่ยวฮุยกัดริมฝีปากเบาๆ เขาไม่เต็มใจที่จะตอบคำถามนี้อย่างเด็ดขาด แต่กลับพยักหน้าโดยอัตโนมัติแล้ว

“มันไม่เหมาะจริงๆ ถ้าแกจะคบกับเขา เขาเป็นลูกชายของพี่สาวแก ถึงจะไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ถึงยังไงก็ไม่น่าฟังอยู่ดี อีกอย่างเขาก็เด็กกว่าแกห้าปี แถมยังมีพ่อคนนั้นของเขาอีก…” เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจอีกครั้ง “ทำไมแกต้องชอบเขาด้วยนะ แกจะให้ฉันด่าแกว่ายังไงดี”

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าจนเกือบชิดหน้าอก ตอนนี้เข้ารู้สึกเปี่ยมไปด้วยความประชดประชันอย่างเต็มที่ เขาต้องการที่จะหนีไปจากลั่วอี้ตลอดเวลา แต่กลับต้องแสร้งทำเป็นมีความสุขต่อหน้าทุกคน ลั่วอี้เกลี้ยกล่อมแม้แต่แม่ของเขาได้สำเร็จแล้วด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าลั่วอี้ได้แยกโลกทั้งใบของเขาออกไปแล้ว และในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะพึ่งพาลั่วอี้เท่านั้น ไม่มีทางกลับหลังหันได้อีก เขาหยิกฝ่ามือของตัวเอง ก่อนฝืนยิ้มแล้วพูด “แม่ ตอนนี้ผมสบายดี แม่ก็…ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก รีบมีน้องชายน้องสาวร่วมสายเลือดให้ผมเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน”

“เหลวไหล ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว เอียนเองก็มีลูก ฉันก็มีแก ยังจะมีอะไรอีก” เฝิงเยวี่ยหวาพูดจบก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเด็กลั่วอี้คนนี้สุภาพมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเห็นด้วยที่พวกแกคบกัน พอทะเลาะกันแกก็หนีไปอยู่ที่อื่น ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใจผิดกัน แกก็จะไม่กลับบ้านอีกแล้วใช่ไหม แกจะต้องจับตามองเขา ถ้ามีอะไรผิดปกติล่ะก็ แกจะต้องรีบตัดขาดกับเขาทันที”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า ในใจได้แต่ฝืนยิ้ม

ผ่านไปครู่หนึ่งลั่วอี้ก็ทำอาหารมาเต็มโต๊ะ เขายังหยิบถ้วยชามบนโต๊ะอาหารที่เก็บไว้นานจนฝุ่นจับมาจัดเรียงอย่างงดงามและพิถีพิถันเป็นพิเศษ จากนั้นก็เรียกให้พวกเขามากินข้าว

ครอบครัวของเวินเสี่ยวฮุยไม่มีใครที่ทำอาหารเป็น พ่อของเขาไม่เข้าครัวเลย ฝีมือการทำอาหารของแม่แค่ปรุงสุกก็พอแล้ว ส่วนเขานั้นขี้เกียจยิ่งกว่า ในครอบครัวนี้ไม่เคยมีอาหารมื้อค่ำที่โอ่อ่าหรูหราและวิจิตรตระการตาเช่นนี้มาก่อน เมื่อมองดูอาหารอร่อยๆ เต็มโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ดีขึ้นมาอีกครั้ง

เฝิงเยวี่ยหวาอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ “หอมจังเลย”

ลั่วอี้เผยรอยยิ้มน่ามองออกมาให้เห็น “คุณป้ารีบมาชิมเร็วครับ” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เฝิงเยวี่ยหวาก่อน ซึ่งมันเป็นความเอาใจใส่ของลูกเขยที่มีต่อแม่ภรรยาโดยสมบูรณ์

ระหว่างมื้ออาหารบรรยากาศก็กลมเกลียวยิ่งกว่าเดิม เฝิงเยวี่ยหวาถามลั่วอี้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากมาย ซึ่งลั่วอี้ก็ตอบโดยไม่หลุดอะไรสักอย่าง ตลอดทั้งช่วงบ่ายเขาแสดงออกถึงความเป็นเด็กหนุ่มผู้ร่าเริง อ่อนโยน ฉลาด และสดใสที่กำลังเป็นเจ้าของกิจการ บวกกับหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงเยวี่ยหวามีอคติต่อเขามาก่อนก็คงไม่มีทางที่จะไม่ชอบเด็กหนุ่มคนนี้อย่างแน่นอน

ใครบ้างล่ะที่จะไม่ชอบคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ ถ้าเขาเป็นของจริงน่ะนะ

หลังจากกินข้าวเสร็จลั่วอี้ก็ยังอยากจะล้างจาน ทว่าถูกเฝิงเยวี่ยหวาห้ามไว้ เธอรู้สึกไม่ดีด้วยซ้ำตอนที่ลั่วอี้นำผลไม้หลังอาหารมาวางไว้ตรงหน้า โดยเธอยืนกรานที่จะให้ลั่วอี้ไปดูโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่นและจะเก็บกวาดด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ถูกเวินเสี่ยวฮุยแย่งหน้าที่ไป

ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของลั่วอี้ดังออกมาจากในห้องนั่งเล่นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่งหลัวรุ่ยคงนั่งไม่ติดที่จึงเข้ามาช่วยในห้องครัว เขาพึมพำเสียงเบาโดยอาศัยเสียงน้ำเป็นตัวช่วยกลบเกลื่อน

“เขาเสแสร้งเก่งจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะอย่างขมขื่น “นั่นสิ”

“…คนแบบนี้น่ากลัวสุดๆ”

คนที่มีร้อยหน้านั้นน่ากลัวจริงๆ ลั่วอี้เสแสร้งมาเป็นเวลาสามปีเพื่อหลอกเขา ช่วงเวลาอาหารเที่ยงสั้นๆ คงเป็นเรื่องหมูๆ สำหรับอีกฝ่าย บางครั้งเขายังนึกสงสัยว่าลั่วอี้ป่วยเป็นโรคจิตเภทหรือเปล่า

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยเก็บกวาดห้องครัวเรียบร้อยแล้ว ลั่วอี้ก็กล่าวลาได้จังหวะอย่างยิ่ง

เฝิงเยวี่ยหวาพูด “เสี่ยวฮุย แกไปส่งลั่วอี้สิ หลัวรุ่ย เธออยู่นี่แหละ น้ามีเรื่องจะคุยกับเธอนิดหน่อย”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองหลัวรุ่ย เขาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าแม่ของเขาอยากถามความเห็นเรื่องระหว่างเขากับลั่วอี้จากหลัวรุ่ย

หลัวรุ่ยอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อยและอยู่ต่ออย่างช่วยไม่ได้

เวินเสี่ยวฮุยลงมาส่งลั่วอี้ที่ชั้นล่าง เขารู้สึกหนาวสั่นทันทีที่ลมในยามกลางคืนพัดมา

ลั่วอี้บิดขี้เกียจแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าขี้เกรงใจกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ก่อนหน้านี้พี่วิตกเกินกว่าเหตุแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น “ออกมาจากห้องแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว”

ลั่วอี้อึ้งไปเล็กน้อยคล้ายถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันอันงดงาม ความผิดหวังอย่างรุนแรงวาบผ่านดวงตา สีหน้าก็พลอยมืดมนตามไปด้วย

“เธอเป็นแม่ของพี่ ผมเคารพเธอ ที่เอาใจเธอก็มาจากใจจริง”

“ใช่แล้ว นายทำได้ดีมาก ไร้ที่ติเลย” เวินเสี่ยวฮุยมีความขุ่นเคืองที่อธิบายไม่ได้อยู่เต็มอก

“พี่เสี่ยวฮุย ใช่ว่าผมจะทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายสักหน่อย ผมก็แค่…อยากให้พี่มีความสุข”

“ฉันไม่ได้ไม่มีความสุข” เวินเสี่ยวฮุยชะงักฝีเท้า “ส่งแค่นี้ก็แล้วกัน นายกลับไปเถอะ”

ลั่วอี้ก็หยุดชะงักเช่นกัน เขายื่นมือไปลูบใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยพลางพูดเสียงเบา “เมื่อก่อนพี่เคยคิดหรือเปล่าว่าพอตัวเองมีแฟนแล้วจะเป็นยังไง”

เวินเสี่ยวฮุยอดคิดตามคำถามของลั่วอี้อยู่สองวินาทีไม่ได้ จากนั้นก็หยุดคิดทันที เขาตระหนักได้ว่าลั่วอี้ต้องการจะพูดอะไร

“พาแฟนกลับบ้านมาหาพ่อแม่ คุยเล่น ดูหนัง กินข้าวด้วยกัน เมื่อก่อนพี่เคยคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนี้บ้างไหม มันต่างจากที่พี่วาดฝันไว้มากหรือเปล่า”

“ฉันจะกลับแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยปฏิเสธที่จะคิดตามเขาอีกต่อไป

ลั่วอี้จับไหล่ของเขาและจ้องเข้าไปในดวงตาอย่างจริงจัง “พี่เสี่ยวฮุย ทุกอย่างที่พี่ต้องการ ชีวิตที่พี่จินตนาการไว้ ผมสามารถให้พี่ได้ทั้งนั้น ผมจะพยายามทำให้ครอบครัวและเพื่อนของพี่ชอบผม ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่พี่จะยิ้มให้ผมอีกครั้ง” นิ้วของลั่วอี้วาดผ่านใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยเบาๆ “สักวันหนึ่งพี่จะพบว่าพี่ไม่อาจไปจากผมได้”

เวินเสี่ยวฮุยก้าวถอยหลัง หัวใจของเขาสั่นสะท้าน มีบางชั่วขณะที่เขารู้สึกว่าสิ่งที่ลั่วอี้พูดนั้นเป็นความจริง ลั่วอี้ได้สลักเครื่องหมายที่ลบไม่ออกลงบนร่างกายและหัวใจของเขามากเกินไป เขารู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่มีพลังที่จะชอบใครได้อีกแล้ว หากเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในอดีต ลั่วอี้ก็จะเป็นคู่รักที่ไร้ที่ติอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เขาตกใจกับความคิดของตัวเอง เขาถูกลั่วอี้บดขยี้จนตกต่ำถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ระหว่างทางที่ประนีประนอมและอะลุ้มอล่วยให้ในแต่ละก้าวนั้นเขาก็แทบจะสูญเสียความนับถือในตัวเอง ยอมแพ้ที่จะต่อสู้ เขารู้สึกแม้กระทั่งว่าตัวเองไม่สามารถคิดอย่างอิสระได้อีกต่อไปเพราะถูกลั่วอี้ชักนำโดยสมบูรณ์

ระฆังในใจของเขาดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ถ้าลั่วอี้ยังเล่นกับเขาต่ออีกสักหน่อย เกรงว่าเขาก็อาจจะปีนขึ้นมาไม่ได้แล้วจริงๆ

ลั่วอี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับไปพักผ่อนเถอะ อีกไม่กี่วันผมจะส่งรถมาให้พี่ ไว้พี่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังอยากกลับไปทำงานที่จวี้ซิงล่ะก็ ผมก็จะจัดการให้พี่กลับไป”

“ฉางสิง…ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” เวินเสี่ยวฮุยยังคงเป็นกังวลอยู่เสมอ

สีหน้าของลั่วอี้มืดมนลงทันใด “การอุทธรณ์ของเขายังอยู่ระหว่างการพิจารณา ผมจะไม่ปล่อยให้เขากลับมา”

“ฉันไม่สนว่านายจะทำอะไร แต่ถ้าดึงครอบครัวกับเพื่อนของฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยพวกนายไปแน่”

“ผมจะไม่ปล่อยให้พี่กับคนที่พี่ให้ความสำคัญต้องมาเสี่ยงไปด้วย ไว้คำตัดสินของเขาถูกประกาศเมื่อไร ผมก็จะถอนรากถอนโคนอำนาจของเขาซะ ตอนนี้เขากินพลังชีวิตของผมไปจนเกือบหมดแล้ว ผมแค่อยากใช้ทุกช่วงเวลาต่อจากนี้กับพี่อย่างสงบ”

เวินเสี่ยวฮุยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เงาแห่งความอึดอัดใจยังคงคลุมเครืออยู่ภายใน และความรู้สึกนั้นก็เอ่อล้นจนเขาไม่อยากไปทำงานในช่วงนี้เลยด้วยซ้ำ เขาอยากอยู่กับแม่ของเขามากกว่า และหลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไปเขาก็จะโน้มน้าวให้แม่กลับอเมริกาและอยู่ให้ห่างจากสถานที่อันวุ่นวายแห่งนี้

ลั่วอี้พูดเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

ทั้งสองคนหมุนตัวพร้อมกันในทิศทางตรงกันข้าม ทันใดนั้นลั่วอี้ก็หันขวับกลับมา เวินเสี่ยวฮุยคล้ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงชะงักฝีเท้าเช่นกัน ลั่วอี้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าไหล่ของเขาแล้วก้มหน้าลงจูบอย่างแรง

ชั่วขณะนั้นเกิดความหวั่นไหวอันแปลกประหลาดขึ้นกลางอากาศ เวินเสี่ยวฮุยจ้องเขาอย่างตะลึงงัน

ลั่วอี้เลียมุมปาก เขายิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูด “พอคิดว่าจะไม่ได้เจอพี่อีกหลายวันก็ชักจะทนไม่ไหวซะแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยเบือนหน้าหนี “กลับไปเถอะ”

“พี่บอกผมสิว่าอีกกี่วันจะกลับมา ให้ผมได้มีความหวังหน่อย”

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนแม่”

“ผมรู้ แต่พี่บอกผมด้วยสิว่าพี่จะกลับบ้านเมื่อไร” ลั่วอี้มองเขาอย่างลึกซึ้ง “ผมทนการรอคอยที่ไร้จุดหมายไม่ได้ ผมลิ้มรสกับมันมามากพอแล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผมไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้วแม้แต่วันเดียว” ไม่รู้ว่าเวินเสี่ยวฮุยอยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า ปลอดภัยดีไหม กินอิ่มไหม สวมเสื้อผ้าอุ่นหรือเปล่า ยังเกลียดเขาอยู่ไหม แอบคิดถึงเขาสักนิดหรือเปล่า จะชอบคนอื่นแล้วหรือยัง กว่าห้าร้อยวันและคืนแห่งความทรมานด้วยคำถามเหล่านี้ ความคิดถึงและความเกลียดชังอยู่เคียงคู่เขา เขาเคยเสียใจ เคยผิดหวัง เคยโมโห และในท้ายที่สุดขณะที่ความคิดฟุ้งซ่านของเขากำลังจะคลี่คลายลง ความปรารถนาเดียวของเขาก็คือการได้เห็นคนที่เขาเฝ้าคิดถึงทุกวันคืนเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงการมองดูโดยทำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม เขาไม่สามารถมีชีวิตแบบนี้อีกครั้งได้จริงๆ

เวินเสี่ยวฮุยริมฝีปากแห้ง เขาอ้าปากก่อนพูดออกมาอย่างยากเย็น “หนึ่งเดือน”

“นานเกินไป”

“ครึ่งเดือน”

“ก็ยังนานเกินไป”

“นายอย่า…”

“หนึ่งอาทิตย์ อย่างน้อยกลับมาอาทิตย์ละครั้ง” ลั่วอี้พูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะหดหู่ “ถ้าไม่ได้เจอพี่นานเกินไป ผม…จะกลัว”

เวินเสี่ยวฮุยเม้มปาก ผ่านไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าเบาๆ

ลั่วอี้กอดเขาอย่างแรงแล้วร่ายคำรักข้างหูของเขาราวกับคาถา “ผมชอบพี่ ชอบพี่ ชอบพี่ ต่อให้เอาทุกคนและทุกอย่างในโลกมารวมกันก็สู้พี่ที่อยู่ในใจของผมไม่ได้”

เวินเสี่ยวฮุยหลับตาลงแล้วกัดริมฝีปากอย่างแรง ครั้งหนึ่งเขาเคยสาบานด้วยหัวใจที่เปื้อนเลือดว่าชาตินี้เขาจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของลั่วอี้อีก

 

บทที่ 85

 

เวินเสี่ยวฮุยได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจหลายวัน การได้อยู่กับแม่ในห้องที่ตัวเองเติบโตมาทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในตอนนั้นถ้าเขาไม่คิดเรื่องชื่อเสียงก็คิดถึงเรื่องผู้ชาย ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการอ่านหนังสือและเสริมสวย เด็กชายในตอนนั้นช่างไร้สาระและตื้นเขินอย่างแท้จริง ทว่าความสุขที่เรียบง่ายในตอนนั้นคงไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

เพื่อไม่ให้แม่ของเขาเห็นถึงความผิดปกติ เขายังคงกินดื่มอย่างร่าเริงทุกวัน หลังจากที่รถของเขาถูกส่งมาจากเผิงเฉิงแล้วเขาก็ยังพาแม่ไปเที่ยว แต่น่าเสียดายที่อากาศในเมืองแย่มาก การขับรถเปิดประทุนในเมืองจึงเป็นเรื่องที่ดูโง่เง่า แต่เขาก็ยังแต่งหน้าทำผมให้แม่ จับคู่เสื้อผ้า และพาเธอไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ

เฝิงเยวี่ยหวามองไปที่ลูกชายคนสวยที่กำลังถือถุงใบน้อยใหญ่ข้างกายแล้วก็แอบดีใจ

“เอ๊ะ แกว่าถ้าแกเดินข้างฉันจะดูเหมือนเจ้สายเปย์พาเด็กน้อยมาเที่ยวหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยกะพริบตา “คุณนายเฝิง ข้าน้อยไม่เข้าใจที่คุณนายพูดเลย”

เฝิงเยวี่ยหวาหัวเราะพลางด่า “เจ้าเด็กบ้า”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเสียงดัง “แม่ วันนี้แม่รู้สึกมีหน้ามีตามากเลยใช่ไหม”

เฝิงเยวี่ยหวาพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ ทว่าเธอก็ลดเสียงหัวเราะลงทันที “เสี่ยวฮุย ตอนนี้แกหาเงินได้เท่าไรกันแน่ ฉันจะเตือนแกนะ แกจะไปอวดรวยกับใครก็ได้ แต่อย่ามาแสร้งรวยกับฉันเชียว”

“แม่ก็ซื้อของตามสบายเถอะ”

เฝิงเยวี่ยหวาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะถาม “แกบอกความจริงมา นี่แกกำลังใช้เงินของลั่วอี้อยู่ใช่ไหม”

สัญชาตญาณของเวินเสี่ยวฮุยต้องการที่จะปฏิเสธ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วหลายปีมานี้งานของเขาก็ทำเงินได้เพียงล้านสองล้านเท่านั้นซึ่งเทียบกับ ‘ค่าเลิก’ ของลั่วอี้ไม่ติดเลย เห็นได้ชัดว่าที่ตอนนี้เขาใช้จ่ายอย่างมือเติบก็เป็นเพราะความมั่นคงจากเงินก้อนนั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้สึกละอายใจสักเท่าไร เนื่องจาก ‘ต้นกำเนิด’ ของเงินระหว่างเขากับลั่วอี้นั้นล้ำลึกเกินไป และเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเงินทั้งหมดของลั่วอี้ก็เป็นของเขาตั้งแต่แรก แม้เขาจะไม่เคยต้องการมัน แต่เขาก็ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ

เมื่อเห็นว่าเขาลังเล เฝิงเยวี่ยหวาก็พอจะเดาออกแล้ว

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “แม่อย่าคิดมากเลย เงินที่ผมหามาได้…”

เฝิงเยวี่ยหวาตัดบทเขา “ฉันไม่ได้คิดมาก ฉันรู้ว่าลั่วอี้รวยล้นฟ้า เครื่องหยกที่เขาเอามาให้ฉันก็น่าจะมีราคาหลายล้านล่ะมั้ง แกก็หาโอกาสส่งมันคืนไปเถอะ ฉันรับมันไว้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้ามีวันหนึ่งที่พวกแกเลิกกัน ของชิ้นนั้นจะไม่กลายเป็นเผือกร้อนหรือไง”

เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างอึดอัด “ผมรู้”

“แกน่ะดูภายนอกเหมือนจะฉลาดแต่ว่าข้างในไร้เดียงสาเกินไป ฉันจะบอกแกให้นะ ถึงพวกแกสองคนจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่พอเป็นเรื่องความรักแล้วไม่ว่าใครก็เหมือนกันหมด เขาเป็นผู้ชายของแก เขาก็ควรจะเลี้ยงแก แต่แกจะไม่ทำอะไรเลยเพราะมีเขาเลี้ยงไม่ได้ คนเราต้องมีทางเลือกสำรองให้ตัวเองเสมอเข้าใจไหม”

เวินเสี่ยวฮุยมองแม่ของเขาอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินคำเหล่านี้จากปากของเธอ สมกับที่แม่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แม่พิจารณาทุกอย่างโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง เฉียบคมเกินไปแล้ว

เฝิงเยวี่ยหวาจ้องเขา “แกเข้าใจหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

“เดิมทีตัวตนของลั่วอี้ก็ไม่ปกติอยู่แล้ว คราวก่อนพวกแกทะเลาะกันจนกลายเป็นแบบนี้ ใครจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครจะรู้ว่าความสัมพันธ์จะอยู่นานแค่ไหน ถึงเจ้าเด็กลั่วอี้นั่นจะดูไม่เลว แต่ก็อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยได้ ตอนนี้ฉันให้พวกแกแยกกัน พวกแกก็ทนไม่ได้ แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งหมดรักกันแล้วแกก็คงจะเที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่ได้หรอกมั้ง แกจะต้องสร้างอาชีพของตัวเองให้ได้ตอนที่ยังมีแรง ต่อไปฉันไม่ได้อยู่ที่จีนบ่อยๆ แกก็ต้องทำให้ฉันวางใจด้วย”

“แม่ ผมรู้แล้ว” เวินเสี่ยวฮุยได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ เมื่อก่อนเขาก็เคยคิดแบบนี้ หาแฟนที่มีเงินมีอำนาจสักคนจะได้ดิ้นรนน้อยลงสักยี่สิบปี สบายจะตาย แต่พอมีความสัมพันธ์เข้าจริงๆ แล้วถึงได้รู้ว่าศักดิ์ศรีที่เขาเคยคิดว่าจะก้มหน้าหรือโค้งคำนับเพื่อเงินนั้นกลับตรงดิ่งราวกับท่ายืนของทหาร เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาไม่ยินดีที่จะรับเงินแม้แต่แดงเดียว และก็คิดไม่ถึงว่าจะได้รู้จักกับลั่วอี้

พวกรถหรู คฤหาสน์ หรือเงินที่ใช้อย่างไม่มีวันหมดเหล่านั้นไม่มีค่าเท่ากับการได้นั่งซ้อนท้ายจักรยานของลั่วอี้ หรือตากลมยามค่ำคืนพร้อมกับพูดคุยกันเลย หากเอ่ยความคิดนี้ออกมาเขาจะต้องหัวเราะจนฟันหลุดแน่ๆ อย่างน้อยถ้าเป็นเขาเมื่อสองสามปีก่อนก็คงจะหัวเราะเยาะให้กับความรักจอมปลอมและความไร้เดียงสาเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าหลังจากประสบกับมันแล้ว สิ่งเหล่านี้กลับมีค่าอย่างแท้จริง

ทั้งสองคนช็อปปิ้งพลางพูดคุยกัน เมื่อเดินจนเหนื่อยแล้วจึงหาร้านกาแฟในห้างเพื่อนั่งพัก

เวินเสี่ยวฮุยหยิบแป้งออกมาเติมระหว่างที่เฝิงเยวี่ยหวาเข้าห้องน้ำ เพิ่งจะเติมแป้งไปได้แค่สองทีจู่ๆ เขาก็เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นตาแวบผ่านในกระจก หัวใจของเขาสั่นไหว ไอเย็นยะเยือกจู่โจมร่างกายของเขาทันที ทั้งร่างกายพลันแข็งทื่อ

ขะ…เขาคือบอดี้การ์ดของฉางสิง!

เขามองไม่ผิดแน่ ผู้ชายที่ลักพาตัวเขา ทำดั้งจมูกของเขาหัก และท้ายที่สุดก็ถือกริชพุ่งเข้ามาหาเขา เขามองไม่ผิดแน่! เวินเสี่ยวฮุยปิดตลับแป้งเสียงดังเพียะ ไหล่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เขาคนนั้นอยู่ข้างหลังเขาไม่ไกล แต่เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะหันกลับไปมอง

บอดี้การ์ดคนนั้นสะกดรอยตามเขาเหรอ อีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่! ทันใดนั้นเขาก็นึกอยากโทรหาลั่วอี้ ในเวลานี้คนเดียวที่เขานึกถึงก็คือลั่วอี้ แต่เขาก็ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ บางทีบอดี้การ์ดคนนั้นอาจไม่สังเกตเห็นเขาด้วยซ้ำ ทรงผมของเขาในตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อนมาก ไม่แน่ว่าต่อให้อยู่ตรงหน้าก็ยังจำไม่ได้…เขาให้เหตุผลกับตัวเองต่างๆ นานา แต่เขาไม่เต็มใจจะยอมรับความจริงที่ว่าเขาตกเป็นเป้าหมายเพราะเขากำลังอยู่กับแม่ของตัวเอง! เขาจะไม่ยินยอมให้ใครมาทำร้ายเธอ

เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น นั่งตัวแข็งทื่อทั้งอย่างนั้น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

อย่างไรก็ดีเขากลับไม่มีโอกาสได้คิดมาก เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้จากทางด้านหลังอย่างชัดเจน เสียงฝีเท้าแต่ละก้าวๆ นั้นเหมือนกำลังเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของเขาโดยตรง!

เงาของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หางตา จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่แม่ของเขาเพิ่งนั่งไปก่อนหน้านี้

เวินเสี่ยวฮุยเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เขามองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว มีคนมากมายในร้านกาแฟ เขาน่าจะปลอดภัยใช่ไหม

บอดี้การ์ดเผยรอยยิ้มเยือกเย็น “ไม่ต้องตื่นเต้น ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก แค่อยากมาคุยด้วย”

เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงสั่น “นายคิดจะทำอะไร”

บอดี้การ์ดยื่นมือข้างหนึ่งออกมา บนข้อมือมีรอยแผลกรีดลึกเป็นทางที่ดูน่าตกใจ เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่มองตรงไปยังเวินเสี่ยวฮุย

“ตอนนี้มือข้างนี้ยกแก้วได้แล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลาย มือที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่น

“แต่ผมไม่โทษคุณหรอก พวกเราสองคนไม่มีความแค้นต่อกัน ผมแค่ทำงานเพื่อเงิน นี่ก็ถือว่าเป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน”

“…นายคิดจะทำอะไรกันแน่!”

“อันที่จริงเจ้านายของเราจับตาดูพฤติกรรมของคุณตลอดเวลา ลั่วอี้ซ่อนคุณมาสองปี นับว่าซ่อนได้เก่งมาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาลดความระวังตัวลง”

“ลั่วอี้ไม่ได้ซ่อนฉัน ฉันเป็นแค่เครื่องมือในการทำงาน”

บอดี้การ์ดหลุดหัวเราะ “เลิกพูดเล่นได้แล้ว ผมก็ไม่อยากพูดจาไร้สาระกับคุณเหมือนกัน ผมรู้ว่าคุณอยากจะไปจากลั่วอี้แต่ก็สลัดเขาไม่หลุด เรื่องความรักจะฝืนใจกันได้ยังไงล่ะเนอะ” เขาถอนหายใจ

“เรื่องของฉันกับเขาไม่เกี่ยวกับคนอื่น” เวินเสี่ยวฮุยมองไปที่ประตูตลอดเวลา เขากังวลเพราะแม่ของเขาอาจจะกลับมาเมื่อไรก็ได้

“แน่นอนว่าเกี่ยว อย่างน้อยทุกการกระทำของลั่วอี้ในตอนนี้ก็เกี่ยวกับเจ้านายของผม คุณเวิน คุณคิดว่าลั่วอี้จะปกป้องคุณได้จริงๆ เหรอ”

“นายหมายความว่ายังไง”

“ผมสืบเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และทุกคนที่อยู่ข้างกายคุณมาหมดแล้ว ผมเชื่อว่าคุณก็คงไม่อยากให้พวกเขาเกิดเรื่องเพราะคุณหรอกใช่ไหม”

เวินเสี่ยวฮุยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้านายกล้า ฉันจะฆ่านายซะ!”

บอดี้การ์ดยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่เลวนี่ ผมคุ้นเคยกับสีหน้าแบบนี้ดี ตอนนั้นที่คุณคิดหนีก็ดูเหมือนกระต่ายที่ถูกต้อนให้จนมุมแบบนี้ น่าเสียดายที่กระต่ายยังไงก็เป็นกระต่ายวันยังค่ำ ต่อให้กล้าแค่ไหนก็สู้สัตว์ล่าเนื้อไม่ไหว คุณเวิน ตอนนี้ผมให้โอกาสคุณที่จะปกป้องครอบครัวแล้วก็เพื่อนของตัวเอง แถมยังได้เงินก้อนใหญ่ด้วย อีกทั้งยังหลุดพ้นจากพันธนาการของลั่วอี้ได้อย่างสมบูรณ์ พูดได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว และคุณก็แค่ต้องทำสิ่งง่ายๆ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

“ไม่ว่าจะเป็นอะไรฉันขอปฏิเสธ” เวินเสี่ยวฮุยตอบอย่างเฉียบขาด

“อ่อ ดูเหมือนว่าคุณจะมีใจให้ลั่วอี้เหมือนกันนะ”

“นี่ไม่เกี่ยวว่าฉันมีใจให้ลั่วอี้หรือเปล่า สิ่งที่ฉางสิงให้ฉันทำไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่ ถ้าครอบครัวกับเพื่อนของฉันเป็นอะไรไปฉันจะแจ้งความทันที”

“ถ้าแจ้งความแล้วมีประโยชน์ผมจะมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้ยังไงล่ะ” บอดี้การ์ดหัวเราะ “ตอนนี้ผมถูกหมายจับ แต่พวกเขาตามหาผมไม่เจอ”

เวินเสี่ยวฮุยใจสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นไหลลงมาที่หน้าผาก

บอดี้การ์ดเอนตัวไปข้างหน้าเข้ามาใกล้เขาแล้วพูด “เวินเสี่ยวฮุย บอกตามตรงถ้าเจ้านายของผมเป็นอะไรไป ผมก็จะขาดรายได้อย่างสมบูรณ์ และผมก็ไม่ได้มีสายป่านที่ยาวขนาดนั้น ถึงตอนนั้นผมก็ทำได้แค่เสี่ยงทำเรื่องอันตราย จะช้าหรือเร็วก็ต้องทำอยู่ดี สำหรับผมแล้วมันไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น ฉะนั้นคุณเชื่อฟังผมจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจแน่”

เวินเสี่ยวฮุยเบิกตากว้าง ดวงตาแดงก่ำ ความโกรธและความกลัวกำลังจะเผาผลาญสติของเขา ในตอนนี้เขาอยากถือมีดอยู่ในมือเหลือเกิน และเขาจะแทงชายที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ลังเลเลย

ในเวลานี้เองแม่ของเขาก็กลับมาพอดี สีหน้าของเวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนกะทันหัน บอดี้การ์ดก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเช่นกันจึงพูดอย่างรวดเร็ว “ผมจะติดต่อคุณไปอีก แล้วถ้าคุณบอกลั่วอี้ล่ะก็ คุณคงรู้ผลที่จะตามมา” พูดจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นแล้วจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

เมื่อเฝิงเยวี่ยหวากลับมาก็เอ่ยอย่างสงสัย “คนที่นั่งตรงนี้เมื่อกี้คือใครเหรอ”

“…พวกขายของน่ะ” เวินเสี่ยวฮุยหยิกฝ่ามือของตัวเอง บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง

“ชิ พวกนี้ไม่เคารพกฎหมายเอาซะเลย” เฝิงเยวี่ยหวาก็ไม่ได้สนใจอีกและดื่มชายามบ่ายต่อ

สมองของเวินเสี่ยวฮุยสับสน เขามองแม่ด้วยสายตาล่องลอย

ทำยังไงดี ควรจะทำยังไงดี

ความคิดแรกของเขาก็คือบอกลั่วอี้ เขาคิดว่าลั่วอี้สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ก็เหมือนกับที่ลั่วอี้พูดเอง อย่างไรก็ตามเขาไม่เชื่อใจลั่วอี้และไม่กล้ารับผลที่จะตามมาหากเขาก้าวผิด

บทที่ 86

 

หลังจากส่งเฝิงเยวี่ยหวากลับห้องแล้วเวินเสี่ยวฮุยก็ได้รับข้อความจากลั่วอี้รบเร้าให้เขากลับบ้าน เขาจึงตระหนักได้ว่าครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ตอนนี้จิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นอย่างยิ่ง ถ้ากลับไปตอนนี้ลั่วอี้จะต้องมองออกอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่กลับไปแล้วลั่วอี้เกิดความสงสัย อีกฝ่ายจะต้องรีบมารับเขากลับไปแน่ เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบข้อความกลับไปว่าตัวเองจะไปกินของว่างที่ร้านของหลัวรุ่ยและจะกลับไปช้าหน่อย

เขาต้องการเวลาเพื่อสงบจิตสงบใจของตัวเอง อีกอย่างเขาไม่ได้กินขนมฝีมือหลัวรุ่ยมาสองปีแล้ว

เมื่อเขามาถึงร้านของหลัวรุ่ย ร้านก็กำลังจะปิดพอดี หลัวรุ่ยประหลาดใจเล็กน้อยทันทีที่เห็นเขา

“วันนี้นายไม่ได้ไปซื้อของเป็นเพื่อนคุณน้าเหรอ”

“ซื้อจนเหนื่อยแล้ว ฉันส่งเธอกลับห้องไปแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยมองไปรอบๆ ร้าน มันไม่ได้แตกต่างจากเมื่อสองปีที่แล้วมากนัก ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟและขนมอยู่เสมอ มันเป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนได้ผ่อนคลายและทำให้จิตใจสงบลงทันทีที่เดินเข้ามา เช่นเดียวกับความประทับใจที่หลัวรุ่ยมีให้คนอื่น

“นายไม่ได้กินของที่ฉันทำนานแล้ว อยากกินอะไร ลองรสชาติใหม่ไหม”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า ก่อนยิ้มพลางเอ่ย “ฉันอยากกินสตรอเบอรี่ชีสเค้กของโปรดของฉัน”

หลัวรุ่ยเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “นั่งรอฉันก่อนนะ”

เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงตรงที่นั่งข้างหน้าต่าง มันเป็นที่นั่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบมากที่สุด บางครั้งหลังจากลั่วอี้เลิกเรียนพวกเขาก็จะมาดื่มชาและคุยเล่นกันที่นี่ จากนั้นลั่วอี้ก็จะขี่จักรยานพาเขากลับบ้าน มันทั้งอ่อนหวานและงดงามก่อนที่พวกเขาจะคบกันอย่างจริงจัง ทว่ายิ่งสิ่งของงดงามมากเท่าไร เวลาที่มันแตกหักก็จะยิ่งทำให้ผู้คนปวดใจมากเท่านั้น

ผ่านไปครู่หนึ่งหลัวรุ่ยก็ยกถาดเดินเข้ามาโดยมีเค้กชิ้นน้อยๆ และน้ำผลไม้วางอยู่บนนั้น

เวินเสี่ยวฮุยถูๆ มือ “มาๆๆ หิวจะตายอยู่แล้ว”

หลัวรุ่ยรินน้ำชาให้เขาแล้วใช้ส้อมตัดเค้กเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นก็ส่งไปตรงหน้าเขา

“กินเถอะ กินให้เต็มที่”

เวินเสี่ยวฮุยหยิกแก้มของอีกฝ่าย “แม่เล็กของพวกเราใจดีที่สุดเลย”

หลัวรุ่ยยิ้มน้อยๆ

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้ากิน เมื่อเค้กหอมนุ่มละลายอยู่ในปาก รสชาติหอมหวานก็แพร่กระจายไปทั่ว ขนมของหลัวรุ่ยทำจากวัตถุดิบอย่างดี สดใหม่ รสชาติอร่อย จึงไม่น่าแปลกใจที่มีลูกค้าต่อแถวซื้อเค้กทุกวัน ส่วนในร้านก็แย่งกันซื้อดุเดือดยิ่งกว่า

หลัวรุ่ยเท้าคางมองเขาเงียบๆ

เวินเสี่ยวฮุยกินเค้กไปได้ครึ่งชิ้น เมื่อเหลือบตาขึ้นมองก็หลุดขำ “เป็นอะไรไป ตาหวานเยิ้มเชียว หลงรักฉันหรือไง”

หลัวรุ่ยถอนหายใจ “เกย์สองคนไม่มีอนาคตหรอกนะ”

เวินเสี่ยวฮุยขำพรืด “อย่ามาเลียนแบบคำพูดของฉันนะ”

“ฉันเลียนแบบนายอยู่ตลอดแหละ สมัยเรียนฉันก็หวังอยู่เสมอว่าจะเป็นเหมือนนาย”

“ตอนนี้ล่ะ รู้สึกเหมือนฉันก้าวลงมาจากแท่นบูชาแล้วสินะ” เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางส่ายหน้า “อันที่จริงฉันก็เป็นไอ้ขี้ขลาดแล้วก็ไอ้โง่คนหนึ่งใช่ไหมล่ะ”

“ตอนนี้ฉันสงสารนาย”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาตักเค้กอีกชิ้นหนึ่งแล้วส่งเข้าปากตัวเอง “เบบี๋ ฉันไม่อยากให้นายกังวลใจที่สุด แต่น่าเสียดายที่ฉันทำไม่ได้” เวินเสี่ยวฮุยตัดสินใจแอบจ้างคนสองสามคนเพื่อติดตามแม่ของเขากับหลัวรุ่ยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนนี้เขาสูญเสียผู้ชายที่เขาชอบที่สุดไปแล้ว เขาจึงไม่สามารถสูญเสียไปมากกว่านี้ได้

หลัวรุ่ยจับมือของเขาแล้วถูเบาๆ “ฉันขอแค่นายมีความสุขก็พอ”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มแล้วเอ่ย “นายรีบขายออกเร็วๆ ดีกว่า ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก”

“ฉันจะพยายาม” หลัวรุ่ยเงยหน้า อึ้งไปครู่หนึ่ง ความอบอุ่นบนใบหน้าหายไปในทันที

เวินเสี่ยวฮุยหันไปมอง ลั่วอี้กำลังยืนอยู่นอกผนังกระจก เขาสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นตัวใหญ่ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว จูงจักรยานพร้อมกับโบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม ดูอ่อนเยาว์เป็นอย่างยิ่ง

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยถูกจู่โจมอย่างแรง ทันใดนั้นวันเวลาก็ราวกับย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน เขากับลั่วอี้มองกันและกันผ่านกระจกเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขายังคงเป็นเวินเสี่ยวฮุยคนนั้น ลั่วอี้ก็ยังคงเป็นลั่วอี้คนนั้น ภาพของอดีตและปัจจุบันซ้อนทับกันเบื้องหน้า ชวนให้เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน

หลัวรุ่ยก็ตกตะลึงเช่นกัน จะไม่ให้เขาเศร้ากับฉากที่คล้ายกับอดีตได้อย่างไร

ลั่วอี้ผลักประตูเดินเข้ามา ก่อนยิ้มยิงฟันพลางพูด “พี่เสี่ยวฮุย กลับบ้านกัน”

พี่เสี่ยวฮุย กลับบ้านกัน

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าหัวใจเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาสูดหายใจเข้าลึก ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ ในการแสดงออก ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น

“นายมาได้ยังไง”

“ผมอยากมารับพี่” ลั่วอี้พูดอย่างไม่ลังเล

“ฉันขับรถมา”

“จอดไว้ที่นี่เถอะ” ลั่วอี้ชี้ไปที่จักรยานของตัวเอง “ตอนกลางคืนอากาศเย็นสบายมาก ผมจะพาพี่กลับเอง พี่ไม่ได้ซ้อนท้ายจักรยานนานแล้วสินะ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฉันมีรถสปอร์ตไม่ขับแต่กลับไปซ้อนท้ายจักรยานเนี่ยนะ อีกอย่างนายเป็นถึงบอสใหญ่ ไม่ค่อยเหมาะหรอกมั้ง”

ลั่วอี้ดึงเขาให้ลุกขึ้น พร้อมกับยิ้มอย่างสดใส “คาร์บอนต่ำ ปกป้องสิ่งแวดล้อม” เขาโบกมือให้หลัวรุ่ย “พวกเรากลับก่อนนะ ไว้เจอกันวันหลัง”

ทั้งสองคนเดินออกไป ลั่วอี้ตบๆ เบาะหลังของตัวเอง “เบาะนี้มีแค่พี่ที่ได้นั่งเท่านั้น”

เวินเสี่ยวฮุยมองสำรวจลั่วอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชา “ลั่วอี้ นายแต่งตัวแบบนี้แล้วขี่จักรยานมา อยากเล่นย้อนอดีตกับฉันหรือไง”

ลั่วอี้มองเขาอย่างลึกซึ้ง “คงใช่มั้ง”

“ฉันก็คิดถึงอดีตมากเหมือน แต่อดีตก็คืออดีต ต่อให้เหมือนแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องจริง นายทำอะไรแบบนี้ไม่รู้สึกว่ามันไร้สาระหรือไง”

ลั่วอี้แอบจับจักรยานแน่นขึ้น เขาหัวเราะเสียงต่ำสองที เสียงหัวเราะนั้นเผยให้เห็นความอ้างว้างที่อธิบายไม่ได้

“พี่เสี่ยวฮุย ไอคิวของผมอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ด แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะเอาใจพี่ยังไงดี เมื่อก่อนผมมองไม่ออกจริงๆ ว่าพี่จะเป็นคนใจเด็ดขนาดนี้”

เวินเสี่ยวฮุยเองก็หัวเราะเช่นกัน “นี่ต้องขอบคุณนายไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนฉันเป็นคนเอาใจง่ายมาก พาฉันไปกินของอร่อยๆ ฉันก็มีความสุขไปได้หลายวันแล้ว และฉันก็เชื่อในทุกคำพูดของนายโดยไม่มีข้อสงสัย ลั่วอี้ นายทำให้ฉันโตขึ้น ฉันก็ทำให้นายโตขึ้นเหมือนกัน ดีจะตายไป”

“พี่ไม่ได้แค่ทำให้ผมโตขึ้นซะหน่อย” ลั่วอี้ขึ้นจักรยาน “เด็กดี ขึ้นมาเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยนั่งซ้อนที่เบาะหลัง ช่างเถอะ คิดเสียว่าตากลมเล่นก็แล้วกัน คงจะดีถ้าอารมณ์ขุ่นมัวที่อยู่ในอกของเขาถูกลมยามเย็นพัดปลิวไป

สายลมอ่อนพัดผ่านใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น เวินเสี่ยวฮุยหลับตาลง ตอนนี้เขาไม่ต้องการคิดอะไรทั้งนั้น เขาหวังเพียงว่าตัวเองจะเข้าสู่ความฝันไปตามแรงรถจักรยานที่ส่ายไปมา และในความฝันนั้นมีความสุขอันล้ำลึกที่เขาฝังไว้ในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำ

เสียงของลั่วอี้ดังขึ้นท่ามกลางสายลม “พี่ยังให้ความหวังในการมีชีวิตอยู่กับผมด้วย”

เวินเสี่ยวฮุยลืมตา ดวงตาเปียกชื้นเล็กน้อย

เมื่อมาถึงคฤหาสน์เวินเสี่ยวฮุยนึกว่าเขาจะต้องร่วมรักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ลั่วอี้กลับไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น อีกฝ่ายเตรียมของว่างยามดึกและเกมที่เพิ่งออกใหม่ไว้เต็มโต๊ะกลาง เห็นได้ชัดว่าลั่วอี้เพิ่งเปลี่ยนหมอนบนโซฟาใหม่ซึ่งดูนุ่มสบายมาก ลั่วอี้มองเขาอย่างคาดหวัง

“พวกเขามาเล่นเกมกันเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยใจสั่นเล็กน้อย แม้เขาจะบอกว่าทุกอย่างที่ลั่วอี้ทำนั้น ‘ไร้สาระ’ ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ดีว่าฉากเหล่านี้ล้วนทำให้เขานึกถึงอดีต

เขารู้สึกโกรธเพราะการกระทำของลั่วอี้ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้

ลั่วอี้กดเขาลงไปบนโซฟา “มา ผมจะสอนพี่เล่นเกมซอมบี้ที่ฮิตที่สุดในช่วงนี้ ฉากแจ่มมาก”

ทั้งสองคนนั่งเคียงไหล่กันอยู่บนโซฟา เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองอีกฝ่าย รอยยิ้มที่หล่อเหลาบนใบหน้าของลั่วอี้ช่างเจิดจ้าเสียจริง

เมื่อนึกถึงคนที่เขาเจอเมื่อตอนกลางวัน เวินเสี่ยวฮุยก็ไม่มีกะใจจะเล่นเกมแม้แต่นิดเดียว จนป่านนี้เขายังคิดไม่ออกเลยว่าควรจะทำอย่างไรดี

ถ้าบอกลั่วอี้แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่บอกลั่วอี้แล้วจะเป็นอย่างไร

ถ้าบอกลั่วอี้เขาก็อาจจะแก้ปัญหาได้ แต่แม่ของเขากับหลัวรุ่ยก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย เขาไม่ยินดีที่จะรับความเสี่ยงนี้ แต่ถ้าไม่บอก…สิ่งที่ฉางสิงต้องการให้เขาทำจะต้องไม่เป็นผลดีต่อลั่วอี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็นับว่าเป็นปัญหา

ตัวเลือกที่เขาเกลียดที่สุดในโลก

“พี่เสี่ยวฮุย เป็นอะไรไป ใจลอยไปไหนน่ะ” ลั่วอี้โอบเขาจากด้านหลังแล้วจับคอนโทรลเลอร์ที่เขาถืออยู่ในมือ “เซ็ตติ้งของเกมนี้ไม่เหมือนเกมอื่น ถ้าพี่ไม่ชิน ผมจะช่วยพี่ปรับ”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ไม่ต้อง”

ลั่วอี้คว้าแขนของเขาแน่น ปลายจมูกอ้อยอิ่งอยู่ที่แก้มของเขา ดมกลิ่นหอมจากผมของเขา

“ก่อนที่ผมจะรู้จักพี่ ผมไม่เคยรู้เลยว่าต้องการชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ขอบคุณพี่มาก”

เวินเสี่ยวฮุยชักจะทนคำบอกรักที่ไม่มีวันสิ้นสุดของอีกฝ่ายในทุกวันไม่ไหวแล้ว ลั่วอี้ไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน แม้อีกฝ่ายมักจะหยอดคำหวานอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้พอได้ยินแล้วทำไมมันช่างน่าอึดอัด

ลั่วอี้วางคอนโทรลเลอร์ลงแล้วลุกขึ้น ต้องการที่จะอุ้มเขา “พี่ไม่อยากเล่นก็ไม่ต้องเล่น ง่วงแล้วสินะ ผมจะพาพี่ขึ้นไปนอนข้างบน”

เวินเสี่ยวฮุยโอบคอของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “เมื่อก่อนพี่ขี้เกียจเดินขึ้นบันได ถ้าไม่ให้ผมแบกพี่ขึ้นไปก็จะให้ผมอุ้มพี่ ชาตินี้ตราบใดที่ผมยังอุ้มพี่ได้ ผมก็จะไม่ปฏิเสธ”

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้า แอบกัดริมฝีปาก

แม้เขาจะเกลียดลั่วอี้ แม้เขาต้องการที่จะกำจัดพันธนาการนี้ แต่ถ้าจะให้เขาทำร้ายลั่วอี้ เขาเกรงว่า…เขาทำไม่ได้ เขาไม่ใช่คนอย่างลั่วอี้ และเขาจะไม่มีวันลืมว่าลั่วหย่าหย่าเคยดีกับเขา

ลั่วอี้ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาฮัมเพลงพร้อมกับอุ้มเวินเสี่ยวฮุยขึ้นชั้นบนไปแล้ว

หลังจากที่ทั้งสองคนอาบน้ำแล้วก็กอดกันอยู่บนเตียงเงียบๆ ลั่วอี้เล่าเรื่องสนุกๆ ในอดีตเบาๆ อีกฝ่ายมีความจำดีเยี่ยม สามารถบรรยายรายละเอียดได้ทั้งหมด ทำให้เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะนึกภาพตามอยู่ในหัว แม้จะไม่มีเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์อันร้อนแรง ทว่าน้ำเสียงที่อ่อนโยนของลั่วอี้ สายตาที่อ่อนโยนของอีกฝ่ายในความมืด ริมฝีปากที่จูบเขาแผ่วเบาเป็นครั้งคราว และมือที่สัมผัสเอวของเขาล้วนทำให้เขารู้สึกตัวสั่นเล็กน้อย…

 

วันต่อมาลั่วอี้เตรียมอาหารเช้าให้เขาจากนั้นก็ไปที่บริษัท ส่วนเวินเสี่ยวฮุยก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง

หลังจากวิตกกังวลอยู่ไม่กี่วันเวินเสี่ยวฮุยก็ได้รับสายที่ไม่มีเบอร์โทรเข้ามา วินาทีที่เขาเห็นสายเรียกเข้าก็สังหรณ์ใจได้ถึงอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาก็รับสาย จากนั้นเสียงอันมืดมนของบอดี้การ์ดก็ดังมาจากปลายสาย

“บ่ายสามเจอกันที่ร้านกาแฟเลขที่สี่สิบหกที่ถนน XX มาคนเดียว” ไม่ทันได้รอให้เวินเสี่ยวฮุยตอบสักคำก็วางสายไปแล้ว

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดอยู่นานเป็นชั่วโมงว่าควรจะแจ้งความดีหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้แจ้งความ แต่พกมีดเล่มหนึ่งไปด้วย

  

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: