X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3

 

หลังเลิกงานทั้งสองคนถูกเรียกไปด่าในออฟฟิศยกใหญ่ ทั้งยังถูกหักเงินห้าร้อยหยวน ต้องทำงานฟรีไปหนึ่งสัปดาห์

เวินเสี่ยวฮุยเดินออกมาจากสตูดิโอ รู้สึกว่าทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง การเดินแต่ละก้าวเหมือนเท้าถูกถ่วงด้วยตะกั่ว วันนี้เป็นเหมือนวันซวยของตัวเอง เขารู้สึกทรมานนับตั้งแต่ลืมตาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าเขาต้องการที่จะประหยัดเงิน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเรียกรถ

เขาเดินโซซัดโซเซกลับที่พัก เมื่อเงยหน้าขึ้นจมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากในห้อง กลิ่นแสนธรรมดาที่ไม่เคยได้รับความสนใจใดๆ จากเขาในวันปกติ แต่ในเวลานี้กลับทำให้เขารู้สึกตื้นตันเป็นพิเศษ เพราะว่าตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยลั่วหย่าหย่าที่เสียพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ถูกแม่ทอดทิ้ง ออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่อายุสิบกว่าปี และสุดท้ายก็จบชีวิตลงตั้งแต่ยังสาว เกรงว่าสำหรับเธอนั้นคงยากที่จะพบเจอความสุขที่เรียบง่ายแบบนี้

เขาผลักประตูห้องเปิดออก เสียงของเฝิงเยวี่ยหวาลอยมาจากในครัว “ไอ้เด็กเฮงซวย เข้าห้องถอดรองเท้าด้วย!”

“รู้แล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนรองเท้าแตะ เดินเข้าไปในห้องครัว

เฝิงเยวี่ยหวาหันมองเขา สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดีก็ขมวดคิ้ว

“แกเป็นอะไรกันแน่ ป่วยหรือเปล่า”

“เปล่า แค่ดื่มแล้วทรมาน”

“แกยังจะมีหน้ามาพูดอีก?”

เวินเสี่ยวฮุยจับๆ ผม “ก็เพื่อนฉลองวันเกิดนี่นา”

เฝิงเยวี่ยหวาถลึงตามองเขา “ตั้งแต่เช้ากลับมาก็สะอึกสะอื้น ถ้าไม่รู้คงนึกว่าแกถูกข่มขืนซะอีก”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แม่อย่าห้าวแบบนี้ได้ไหม”

เฝิงเยวี่ยหวาส่งเสียงหึ “อกหักเหรอ”

“เปล่าสักหน่อย” เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปโอบเอวของเฝิงเยวี่ยหวาพร้อมออดอ้อน “ผมยังหาหนุ่มล่ำที่มีไอ้นั่นยาวสิบแปดเซ็นต์กับกล้ามหน้าท้องแปดแพ็กส์ไม่ได้เลย จะไปอกหักได้ยังไง”

เฝิงเยวี่ยหวามองค้อนเขาด้วยสายตา ‘หน้าไม่อาย’ ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลาย

เขากับแม่คุยกันแทบทุกเรื่องตั้งแต่ยังเด็ก แม่ของเขาค่อนข้างทันสมัย ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นกระโปรงสั้นเอย กางเกงขาม้าเอย ดัดผมเอย สักคิ้วเอย เธอมักเป็นคนแรกๆ ที่กล้าลองของใหม่ๆ อยู่เสมอ อายุสี่สิบกว่าแล้วแต่ก็ยังกล้าสวมเสื้อผ้าตามแฟชั่น ทั้งยังรักษาหุ่นไว้อย่างดี ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยปกปิดแม่เรื่องที่เขาชอบผู้ชาย และแม่ก็ยอมรับมันอย่างใจเย็น

เขาเอาหน้าซบไหล่แม่ รู้สึกใจเย็นลงมาหน่อย พรุ่งนี้…เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับ ‘หลาน’ ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตาอย่างใจเย็นได้หรือเปล่า

 

วันรุ่งขึ้นหลังเลิกงานเวินเสี่ยวฮุยรีบรุดไปยังสถานที่ที่ทนายเฉาส่งตำแหน่งมาให้ เขาหลงทางทันทีที่ออกจากรถไฟใต้ดิน เขาเติบโตในเมืองหลวงแต่ว่าไม่เคยมาที่นี่ แต่หลังจากถามทางคนแล้วเขาก็เดินไปยังทิศใต้

เวินเสี่ยวฮุยเดินไปเกือบสิบนาทีก็ยังไม่เห็นอาคารหลังใหญ่ที่คนสัญจรไปมาพูดถึง เขารู้สึกหงุดหงิดและร้อนใจเล็กน้อยกับการหลงทางของตัวเอง รวมถึงคนที่กำลังจะไปเจอด้วย

เสียงของจักรยานดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันไปต้องการจะเรียกให้หยุดเพื่อถามทาง ทว่าทันทีที่หันตัวไปก็เห็นว่าจักรยานเกือบจะมาถึงด้านหลังตัวเองแล้ว ทั้งสองคนสบตากัน เวินเสี่ยวฮุยไม่ทันมองให้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาอย่างไร จำได้แค่เพียงความประหลาดใจที่วูบผ่านนัยน์ตาสีดำสดใสคู่นั้น ทั้งสองคนตกใจพร้อมกัน เมื่อจักรยานเสียหลักเขาก็เสียสมดุลและถูกเฉี่ยวล้มลงไปกับพื้นทันที

จักรยานส่งเสียงเบรกอย่างกะทันหันจนแสบแก้วหู

เวินเสี่ยวฮุยล้มอยู่บนพื้น ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเข้าถาโถมแบบฉับพลัน ไอ้ที่เจ็บก็เจ็บอยู่ เพียงแต่รู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ทุกอย่างล้วนไม่ราบรื่น และมันทำให้เขารู้สึกเหนื่อยเอามากๆ

“ขอโทษครับ คุณไม่เป็นไรนะ” เสียงสดใสดังขึ้นเหนือศีรษะ หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ มันเป็นเสียงของวัยรุ่นที่อยู่ระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ เสียงนั้นให้ความรู้สึกงดงามราวกับแสงอาทิตย์ที่ทะลุผ่านอากาศและส่องมายังพื้นโลก ไพเราะจนรู้สึกด้านชาไปทั้งตัว

เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะเงยหน้าขึ้นไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรกคือรองเท้ากีฬาสีขาวสะอาด จากนั้นก็เป็นสองขายาวที่ดูเหมือนจะล่องหนเพราะกางเกงพละของโรงเรียนที่สวมอยู่ ตามมาด้วยชายเสื้อสีขาวราวหิมะ กระดุมธรรมดาแต่ละเม็ดที่แวววาว แขนเสื้อเชิ้ตพับครึ่ง สุดท้ายเป็นไหปลาร้าแผ่กว้างกับลูกกระเดือกที่นูนออกมา สายหูฟังสีขาวที่ห้อยลงมาจากคอของเด็กหนุ่มส่ายไปมาตรงหน้าเขาราวกับนาฬิกาสะกดจิต ทำให้สติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนผ่าวเล็กน้อย ประหม่าจนไม่กล้ามองขึ้นไปด้านบน แม้ตอนนี้เขาจะทำงานแล้ว แต่ก็เพิ่งเลิกใส่ชุดนักเรียนไปยังไม่ถึงปี ลำพังเสียงและรูปร่างของนักเรียนชายคนนี้ก็ทำให้เขาเสียสมาธิเล็กน้อย

“คุณเป็นอะไรไป บาดเจ็บเหรอ” เด็กหนุ่มคุกเข่าลง

เมื่อเวินเสี่ยวฮุยเงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาที่ล้ำลึกและงดงามคู่หนึ่ง เขาทั้งผิดหวังและตื่นเต้นเล็กน้อย ผิดหวังที่เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนอายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ยังเด็กเกินไป แล้วก็ตื่นเต้นที่เขามีหน้าตาหล่อเหลาขั้นสุดซึ่งเข้ากับเสียงและร่างกายของเขาได้อย่างเหมาะเจาะ ผิวพรรณละเอียดเรียบเนียน ผมสีดำหนา เมื่อมองขึ้นไปจากด้านล่างก็เห็นขนตาราวกับพัดสองเล่ม ริมฝีปากสีแดงสดใสเป็นพิเศษ ทั้งร่างกายยังส่งกลิ่นอายแห่งความเยาว์วัยและเปล่งแสงอาทิตย์ออกมา น่ามองจนแสบตา

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยเต้นรัวเร็ว แม้เขาจะชอบหนุ่มล่ำที่เป็นผู้ใหญ่ตลอดมา ไม่เคยสนใจหนุ่มน้อยน่ารักประเภทนี้ แต่ว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีเหลือเกิน น่าหลงใหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์เขาก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย ทว่าก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

ดวงตาของเด็กหนุ่มก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยตลอดเวลาเช่นกัน ด้วยดวงตาเป็นประกาย

เวินเสี่ยวฮุยถูกอีกฝ่ายมองจนใบหน้าร้อนผ่าว

เด็กหนุ่มพยุงเขาลุกขึ้น

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยยืนตัวตรงแล้วก็พบว่าเด็กคนนี้สูงกว่าเขา แม้เขาไม่นับว่าสูงมาก แต่ดีเลวอย่างไรก็สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดเซนติเมตรตามมาตรฐาน โภชนาการสำหรับเด็กสมัยนี้ดีเกินไปจริงๆ

เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษ “ขอโทษทีนะครับ พอดีผมกำลังฟังเพลงก็เลยใจลอยนิดหน่อย คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“แค่ถลอกนิดหน่อย ไม่เป็นไร” เวินเสี่ยวฮุยตบๆ กางเกง

“คุณไม่เป็นไรจริงเหรอ อยากไปตรวจที่โรงพยาบาลไหม”

“ไม่ต้องๆ” เวินเสี่ยวฮุยโบกมือไปมา

เด็กหนุ่มจ้องมองเขา ไม่มีท่าทีจะจากไป

เวินเสี่ยวฮุยนึกอะไรบางอย่างได้จึงหยิบมือถือแล้วแสดงข้อความให้อีกฝ่ายดู

“เอ๊ะ นายรู้จักที่นี่หรือเปล่า ฉันหาไม่เจอ”

เด็กหนุ่มอ่านข้อความ ลูกกระเดือกขยับไหว เขามองเวินเสี่ยวฮุยอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง

“ทางผ่านพอดี งั้นเดี๋ยวผมพาคุณไปก็แล้วกัน”

“เหรอ งั้นขอบคุณนะ”

เด็กหนุ่มตบๆ เบาะหลัง “มาเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง มองดูรอบเอวที่วับๆ แวมๆ อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเด็กหนุ่ม ในใจคิดว่า มีโอกาสแล้วไม่จัดสักหน่อยหรือไงไอ้บ้า ฉะนั้นเขาจึงโอบอย่างไม่เกรงใจ

ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่ช้าก็ขี่จักรยานออกไป

เวินเสี่ยวฮุยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าการเกี้ยวพาราสีเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร สุดท้ายแล้วเขาก็ยังชอบชายหนุ่มที่เป็นผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ไม่มีกะใจจริงๆ จึงล้มเลิกความคิดไป

เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร เขาขี่จักรยานอย่างสงบ

สายลมในฤดูใบไม้ผลิเย็นสดชื่นปะทะใบหน้า เวินเสี่ยวฮุยหรี่ตาลงอย่างสบายๆ กลิ่นอาฟเตอร์เชฟ* จางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นเย็นสบายจนชวนให้จิตใจชื่นมื่น เสื้อเชิ้ตของเด็กหนุ่มก็ถูกลมพัดปลิวขึ้นลูบไล้แก้มของเวินเสี่ยวฮุยอย่างละมุนละไมคล้ายกับไม่มีอยู่จริง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยลมหายใจแห้งสบายของแสงอาทิตย์

หลังผ่านไปหลายปีฉากนี้ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเวินเสี่ยวฮุยอย่างลึกซึ้ง แม้แต่เวลาที่นึกถึงมัน กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ปะปนกับกลิ่นอายของแสงแดดนั้นเหมือนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างลมหายใจ งดงามราวกับแสงแดดอันอบอุ่นในเดือนเมษายน อบอุ่นและบริสุทธิ์ชวนให้หลงใหลมัวเมา

ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็หยุดรถที่หน้าโรงบ่มไวน์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง หน้าประตูของโรงบ่มไวน์มีขนาดไม่ใหญ่ ทว่าการตกแต่งสไตล์ยุโรปนั้นแสดงถึงรสนิยมอันสูงลิ่ว ทั้งยังสร้างสรรค์รายละเอียดได้อย่างประณีต กลิ่นหอมละมุนของไวน์แดงพุ่งปะทะใบหน้า

เวินเสี่ยวฮุยพูดว่า “ใช่เลย ที่นี่แหละ ขอบคุณมาก”

“เข้าไปเถอะ” เด็กหนุ่มพูด

“อืม ไปก่อนนะ พ่อสุดหล่อ” เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

ชายวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งเดินออกมาจากในโรงบ่มไวน์ สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง รูปร่างสูงใหญ่ สวมแว่นตาสีทองดูเข้มงวด ภาพลักษณ์สง่าผ่าเผย ดูเป็นชายหนุ่มที่ครบเครื่อง

“คุณเวิน? สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ ทนายเฉาสินะครับ”

“ใช่ครับ พวกคุณมาครบกันพอดี” สายตาของเฉาไห่มองไปยังด้านหลังของเวินเสี่ยวฮุย

“พวกเรา?” เวินเสี่ยวฮุยอึ้งไป ทันทีที่หันไปก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นตามเขาเข้ามาเงียบๆ

เกิดประกายจ้าสายหนึ่งวูบผ่านในใจของเขา ตัดให้สมองของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตา ก็เพราะว่าอีกฝ่ายหน้าเหมือน…ลั่วหย่าหย่า

เด็กหนุ่มยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังเขา สองมือล้วงกระเป๋า รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าละเอียดอ่อนเยาว์ เขาพูดด้วยเสียงที่ใสเหมือนน้ำพุ

“สวัสดีครับ คุณน้า”

บทที่ 4

 

ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าว พลันนึกไปว่าเมื่อกี้เขายังแต๊ะอั๋งเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เลย…

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นลั่วอี้!

เฉาไห่พูด “เข้ามานั่งเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยเดินตามเฉาไห่เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวอย่างแข็งทื่อ

เฉาไห่ให้พวกเขาทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา “โรงบ่มไวน์แห่งนี้มีผมกับเพื่อนลงทุนร่วมกัน ปกติก็เอาไว้รวมตัวกันหรืออะไรทำนองนั้น ก็นับว่าเป็นความชอบส่วนตัวด้วย หวังว่าที่นี่จะทำให้พวกคุณได้ผ่อนคลายสักหน่อย อีกอย่างคือที่นี่ไม่มีคนนอก”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

ลั่วอี้ชำเลืองมองเวินเสี่ยวฮุย แววตาของเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีนั้นค่อนข้างล้ำลึกและคาดเดาไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนก็ทำความรู้จักกันสักหน่อยก็แล้วกัน ได้ยินผู้จัดการลั่วบอกว่าพวกคุณไม่เคยเจอกันมาก่อน”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด

ลั่วอี้ยื่นมือออกมาอย่างใจกว้าง “คุณน้า ผมคือลั่วอี้ครับ”

เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือออกมาจับมือของเขากลับอย่างเคอะเขิน “เวินเสี่ยวฮุย…นายอย่าเรียกฉันว่าคุณน้าเลย”

มือของเด็กหนุ่มแห้งและอบอุ่น ทำให้เวินเสี่ยวฮุยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

“ทำไมล่ะครับ”

“นายก็รู้ว่าฉันกับแม่นายไม่มีความผูกพันทางสายเลือดใช่ไหมล่ะ”

“แน่นอนว่าผมรู้ แต่ว่าแม่เห็นคุณน้าเป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด”

เวินเสี่ยวฮุยปวดใจ พูดด้วยความเศร้าสร้อย “เอาแต่เรียกฉันว่าคุณน้า ฉันได้ยินแล้วรู้สึกอึดอัดน่ะ”

ลั่วอี้กะพริบตา “งั้นคุณน้าอยากให้ผมเรียกว่าอะไร”

“เรียกว่าพี่เสี่ยวฮุยก็แล้วกัน”

“…ก็ได้”

เวินเสี่ยวฮุยกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง แม้จะไม่เต็มใจที่ถูกเรียกว่าคุณน้า แต่ก็ยังอยากทำตัวอาวุโสต่อหน้าลั่วอี้ เขาถาม “นายอายุเท่าไรแล้ว”

“สิบห้า”

เวินเสี่ยวฮุยถูๆ มือพลางพูดอย่างขมขื่น “พี่สาวฉัน…ตายยังไง…” เขารู้สึกเหมือนลิ้นผูกเป็นปม ยากที่จะเปล่งเสียง

ลั่วอี้หลุบตาลง “ผมว่าพี่อย่ารู้จะดีกว่า”

เวินเสี่ยวฮุยก็ไม่อยากจะขุดคุ้ย การให้เด็กคนหนึ่งระลึกว่าแม่ของตัวเองตายอย่างไรอีกครั้งนั้นโหดร้ายเกินไป เขาจึงพูด “แล้วงานศพล่ะ”

เฉาไห่พูด “งานศพผ่านไปแล้ว จัดอย่างเรียบง่ายมาก นี่เป็นความปรารถนาของผู้จัดการลั่ว”

“จดหมายที่พี่สาวทิ้งไว้ให้ผมมีบางจุดที่ผมไม่เข้าใจ” เวินเสี่ยวฮุยหยิบจดหมายออกมา “อะไรคือห้ามถามหาเหตุผลว่า…ทำไมเธอถึงทำแบบนี้”

เฉาไห่พูดอย่างเคร่งขรึม “คุณเวินครับ นี่คือเรื่องสำคัญที่ผมต้องเตือนคุณ ได้โปรดช่วยเคารพความปรารถนาของผู้จัดการลั่วด้วย อย่าได้เข้าไปยุ่ง นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณกับคุณนายเฝิงเอง”

“นี่มันเกี่ยวอะไรกับความปลอดภัยของผมกับแม่ผมล่ะ”

เฉาไห่ชำเลืองมองลั่วอี้พลางพิจารณาถ้อยคำก่อนตอบ “พ่อของลั่วอี้และสมาชิกครอบครัวทุกคนของพ่อเขาไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา ผมพูดได้แค่นี้”

เวินเสี่ยวฮุยสำรวจความทรงจำของตัวเอง เขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่หย่าหย่าตามไปมากนัก อย่างไรก็ดีตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป หลังจากโตแล้วก็ไม่มีโอกาสสืบเรื่องของหย่าหย่า ได้ยินเพียงว่าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจหรืออาจมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรในเมื่อหย่าหย่ากับทนายเฉาเตือนเขาอย่างนี้แล้ว เขาก็จะไม่เอาความปลอดภัยของเขากับแม่ไปเสี่ยง เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

“ทราบแล้วครับ”

เฉาไห่ก็พยักหน้าเช่นกัน “คุณเวินครับ ผมคิดว่าผู้จัดการลั่วคงได้เขียนเป้าหมายที่นัดพวกคุณออกมาวันนี้ในจดหมายอย่างชัดเจนแล้ว มันเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูลั่วอี้”

“ครับ”

“ลั่วอี้ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการจัดการของผู้จัดการลั่ว ไม่ทราบว่าคุณเวินมีความเห็นยังไงบ้าง”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ “นายคิดว่าฉันสามารถเลี้ยงดูนายได้เหรอ ฉันยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลย แถมมีเงินเดือนแค่หนึ่งพันห้าร้อยหยวน” เขาพึมพำแผ่วเบา “เมื่อวานก็เพิ่งจะโดนหักไปห้าร้อย”

เฉาไห่พูด “คุณเวินไม่ต้องกังวลข้อนี้ ผู้จัดการลั่วได้เตรียมเงินค่าครองชีพที่เพียงพอสำหรับลั่วอี้ไว้แล้ว นอกเหนือจากมรดกที่ผู้จัดการลั่วทิ้งไว้ให้คุณกับคุณนายเฝิง ค่าใช้จ่ายของลั่วอี้ก็มีพร้อมให้คุณใช้ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน”

“ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ข้อแรกฉันเลี้ยงเด็กไม่เป็น ฉันชี้นำการเรียนของนายไม่เป็น และจะไม่ทำอาหารหรือซักผ้าให้นายด้วย เอ่อ…สรุปคือฉันไม่รู้ว่าจะเลี้ยงนายยังไง ข้อสองฉันจะให้แม่ฉันรู้ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าแม่จะมีปฏิกิริยายังไง”

ข้อศอกของลั่วอี้วางอยู่บนที่วางแขนของโซฟา เขาเท้าคางและยิ้มอ่อนๆ พลางมองดูเวินเสี่ยวฮุย

“ข้อแรก ผมไม่ต้องให้พี่ชี้แนะเรื่องการเรียนของผมหรือทำอาหารซักผ้า ผมจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ ข้อสอง แม่ผมทิ้งคฤหาสน์ไว้ให้ผม คุณนายเฝิงไม่มีทางรู้”

“งั้นนายจะให้ฉันทำอะไร” แม้จะคุยกันแค่สิบนาทีแต่เวินเสี่ยวฮุยก็มองออกว่าลั่วอี้มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เวลาพูดและโต้ตอบสื่อสารดูเหมือนจะรอบคอบมากกว่าเขาเสียอีก เขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าลั่วอี้สามารถดูแลตัวเองได้

“เพราะแม่ไม่วางใจให้ผมอยู่คนเดียว และเธอไว้ใจพี่แค่คนเดียวเท่านั้น เธออยากให้ผมมีครอบครัวสักคน นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเธอ”

เวินเสี่ยวฮุยใจสั่น ก้มหน้าลงช้าๆ

เฉาไห่พูดอยู่ข้างๆ “คุณเวิน ลั่วอี้รู้ประสากว่าเด็กคนอื่นมาก แต่ว่ายังไงก็อายุแค่สิบห้า ผู้จัดการลั่วก็เลยทำได้แค่ไหว้วานคุณให้ดูแลเขาถึงจะตายตาหลับ”

เวินเสี่ยวฮุยหายใจหอบ คำพวกนั้นพุ่งมาหาเขาแล้วเข้าสู่แก้วหูโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และได้กระทบกับเส้นประสาทบางเส้นในสมองของเขาเข้าอย่างจัง เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามกลับว่า

“ตาย-ตา-หลับ?”

เฉาไห่อึ้งไป

เวินเสี่ยวฮุยคำราม “ตาย-ตา-หลับ?!” เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความหดหู่ในอกที่จู่โจมเข้ามาราวกับลูกกระสุน มันกระแทกอย่างรุนแรงจนอวัยวะภายในของเขาเจ็บปวด “คนที่ฆ่าตัวตายจะตายตาหลับได้ยังไง! ในเมื่อไม่วางใจลูกของตัวเองแล้วทำไมต้องตายด้วย! ทำไม! ทำไมลั่วหย่าหย่าแม่งต้องตายด้วยวะ!” เสียงร้องไห้คำรามของเวินเสี่ยวฮุยดังก้องไปทั่วโรงบ่มไวน์

วินาทีต่อมาเวินเสี่ยวฮุยพลันรู้สึกถึงมืออันอบอุ่นที่ขยี้ผมของเขา จากนั้นปลายนิ้วก็วาดผ่านใบหู ท้ายที่สุดก็คว้าท้ายทอยของเขาและค่อยๆ บีบมันอย่างปลอบประโลม

เวินเสี่ยวฮุยนิ่งงัน เขาไม่ได้หันไป มือที่อยู่บนคอของเขานั้นทั้งใหญ่ทั้งอบอุ่น ไม่เหมือนมือของเด็กคนหนึ่งเลย

ลั่วอี้กระซิบข้างหูของเขา “อย่าเสียใจไปเลย แม่ไปที่ที่ดีมากแล้ว ไปยังที่ที่ไม่มีความทรมาน ไม่มีการหลอกลวง และความสิ้นหวัง นี่เป็นสิ่งที่เธอเลือก เธอหลุดพ้นแล้ว ผมดีใจกับแม่มาก”

ร่างกายของเวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้าน เขาจิกเข่าเอาไว้ “ทะ…ทำไมนายถึงได้คิดแบบนี้…เธอตายแล้วนะ นายจะไม่มีวันได้เจอเธออีกแล้วนะ…”

สายตาของลั่วอี้มองทะลุเวินเสี่ยวฮุยตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดโฟกัส รูม่านตาของเขาเหมือนหลุมดำลึกสองหลุมที่เจือปนความหนาวเย็นเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของเขากลับอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

“ผมไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่ในสถานที่ที่ทำให้เธอเจ็บปวดเพราะความเห็นแก่ตัวที่อยากจะเจอเธอได้หรอก คุณน้า อย่าเสียใจไปเลย คุณน้าเองก็ควรดีใจกับเธอด้วย”

เฉาไห่มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของลั่วอี้ ร่างกายเขาสั่นเทาเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตเห็น เขากลืนน้ำลาย สิบนิ้วประสานเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

ลั่วอี้รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของเฉาไห่จึงยิ้มน้อยๆ ให้เขา ริมฝีปากสีแดงเข้าคู่กับมุมโค้งที่สมบูรณ์แบบนั้นน่ามองเป็นอย่างยิ่ง เฉาไห่เองก็ยิ้มให้เด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างแข็งทื่อ

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง แม้เขาจะไม่สามารถเข้าใจความคิดของลั่วอี้ได้ แต่น้ำเสียงอบอุ่นนั้นก็ทำให้อารมณ์ว้าวุ่นของเขาค่อยๆ สงบลง เขาพูดเสียงเบา

“ทำไมนายถึงเรียกฉันว่าคุณน้าอีกแล้วล่ะ”

ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ลืมไปแป๊บหนึ่งน่ะ” พูดจบก็ปล่อยเขาไป

เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงบนโซฟาก่อนสางๆ ผมอย่างแรง “ทนายเฉา ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง คุณพูดมาเถอะว่าผมต้องทำอะไร”

“ผมจัดการเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว คุณแค่อ่านแล้วเซ็นชื่อก็พอ อันที่จริงคุณไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ ขอเพียงคุณเห็นลั่วอี้เป็นคนในครอบครัว ผมเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องมีคนสอนคุณว่าจะต้องปฏิบัติต่อคนในครอบครัวยังไง”

เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้ เขามองเห็นความเชื่อมั่นในดวงตาของเด็กหนุ่ม เขาหลับตาลงและพยักหน้าราวกับได้ตัดสินใจแล้ว

“เอาเอกสารให้ผมเถอะ”

เขาอ่านเอกสารรอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ ในเอกสารชี้แจงสิทธิ์ในการรับมรดกของเขากับแม่ แต่ว่าลั่วอี้จะสามารถใช้สิทธิ์ได้หลังจากอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์เท่านั้น ระหว่างนี้ลั่วอี้จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนทุกเดือนซึ่งเขาสามารถจัดสรรได้ หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เงินฉุกเฉินจะถูกใช้งาน ซึ่งเงินฉุกเฉินและมรดกทั้งหมดของลั่วอี้ล้วนอยู่ในสัญญาฉบับอื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ฉะนั้นเขาจึงไม่เห็นสัญญาที่ว่านี้

อย่างไรก็ตามเขาอยากรู้จริงๆ ว่าหลังจากลั่วอี้อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วจะได้รับมรดกทั้งหมดเท่าไร สุดท้ายแล้วเขาไม่รู้เลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้หย่าหย่าหาเงินมาได้อย่างไรและหามาได้เท่าไร

เขาเซ็นชื่อหลังจากอ่านจบแล้ว มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยขณะเซ็นชื่อ ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความหมายในการเซ็นชื่อนี้ เขาเพียงรู้สึกว่าเขาไม่ต้องการทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของหย่าหย่าไม่เป็นจริง อีกทั้งการได้รับเงินก้อนใหญ่กับห้องชุดหนึ่งห้องก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาและแม่ของเขาแล้วล่ะมั้ง

เฉาไห่มองดูเขาเซ็นชื่อครู่หนึ่งก่อนยิ้มแล้วจึงเอ่ย “ยินดีด้วยครับคุณเวิน”

“อ่อ…ครับ” เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองลั่วอี้ เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดและสับสน

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พี่อยากกลับไปดูบ้านกับผมหรือเปล่า มันไม่ไกลจากที่นี่มาก”

“ได้นะ”

“แต่ก็ไม่ใกล้ เป็นทางผ่านผมกลับบ้านพอดี ผมจะพาพวกคุณกลับไปก็แล้วกัน” เฉาไห่พูด

“ครับ ขอบคุณคุณอาเฉา”

เฉาไห่ยกจักรยานของลั่วอี้ไว้ที่เบาะหลังของรถเอสยูวีแล้วพาทั้งสองมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของลั่วอี้

เวินเสี่ยวฮุยถาม “ลั่วอี้ นายเรียนที่ไหน”

“โรงเรียนมัธยม XX”

“อ่อ ไม่ไกลจากที่ทำงานฉันมาก”

“พี่ทำงานที่ไหน”

“ถนน XX”

ลั่วอี้ยิ้มก่อนเอ่ย “งั้นผมเลิกเรียนแล้วไปหาพี่ได้ไหม”

“ได้สิ”

ทนายเฉาพูดแทรก “คุณเวินทำงานอะไรเหรอครับ”

“สไตลิสต์ครับ ผมฝึกงานอยู่ที่จวี้ซิง”

“จวี้ซิงเหรอ ค่อนข้างดังเลยนะ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “ครับ เป็นหนึ่งในสตูดิโอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเลย”

เฉาไห่ชื่นชม “ร้ายกาจจริงๆ คนที่เงอะงะอย่างผมก็คงทำได้แค่งานน่าเบื่อประเภทนี้”

เวินเสี่ยวฮุยไม่ค่อยได้คลุกคลีกับคนหัวกะทิอย่างเฉาไห่สักเท่าไร ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสมกับที่เป็นทนาย ทั้งมีสไตล์ ทั้งรู้จักพูดจา แม้ดูเหมือนจะไม่มีกล้ามเนื้อแปดแพ็กส์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เขาถ่อมตัวโดยไม่รู้ตัว

“ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ผมเรียนไม่ดี สอบไม่ติดมหาวิทยาลัย นี่เป็นสิ่งที่ผมชอบแล้วก็ค่อนข้างเหมาะกับผมด้วย”

เฉาไห่พูด “ฮ่าๆ มิน่าล่ะคุณถึงกังวลว่าตัวเองจะชี้แนะลั่วอี้ไม่ได้ อันที่จริงคุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยจริงๆ ไอคิวของลั่วอี้สูงมาก เกรดมัธยมปลายของเขาเป็นที่หนึ่งของเขต”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความประหลาดใจ “ที่หนึ่ง?”

เฉาไห่หัวเราะพลางเอ่ย “อ้อ ผมลืมบอกคุณไป ตอนนี้ลั่วอี้เรียนข้ามชั้นมา ม.หก แล้ว กำลังจะสอบเกาเข่า* อันที่จริงเขาจะสอบหรือไม่สอบก็ไม่มีผล เพราะว่าตอนนี้เขาได้รับทุนเต็มจำนวนและคำเชิญเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบจากมหาวิทยาลัยนานาชาติชั้นนำทั้งเจ็ดแห่งแล้ว นี่ยังรวมมหาวิทยาลัยดีๆ ในประเทศอีกนะครับ”

เวินเสี่ยวฮุยจ้องลั่วอี้ คำรามอยู่ในใจ พับผ่าสิ เด็กเรียนเหรอเนี่ย

ลั่วอี้กะพริบตาใส่เขา ก่อนเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา

หลังจากประหลาดใจแล้วในใจของเวินเสี่ยวฮุยก็เต็มไปด้วยความขมขื่น มันอัดแน่นจนเขารู้สึกปวดใจ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหย่าหย่ากันแน่ เธอถึงได้ฆ่าตัวตายก่อนที่ลูกชายคนเดียวของตัวเองจะสอบเกาเข่า? เธอมีลูกชายที่ทั้งงดงามและโดดเด่นขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอถึงเต็มใจที่จะจากลั่วอี้และจากโลกใบนี้ไป?

 

* อาฟเตอร์เชฟ (Aftershave) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังจากการโกนหนวด โดยจะทาชโลมเฉพาะบริเวณที่โกนหนวดเท่านั้นเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดจากการโกนหนวด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง

* เกาเข่า เป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศจีน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 11 มี.. 66

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: