X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 110

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 110

ระหว่างทางกลับวัง หลิงปู้อี๋อยู่บนหลังม้าอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ท้ายที่สุดเขาก็อดกลั้นไม่ไหว มุดเข้ารถม้าของเฉิงเซ่าซางไปตรวจดูบาดแผลนางจนได้

เขาไม่หวั่นต่อการดิ้นรนและเสียงร้องนี่ๆ ของเด็กสาว เพียงประคองดวงหน้าเล็กๆ นั้นไว้แล้วจับหันไปมาเพื่อสำรวจดูถึงสองรอบ…หน้าผากปูดโน ผิวชั้นนอกตรงปลายคางถลอก เพียงแต่ล้วนไม่หนักหนาเท่ารอยช้ำที่ถูกเค้นบนลำคอ ครั้นม้วนแขนเสื้อขึ้น เขาก็พบว่าข้อศอกสองข้างของนางถูกกระแทกจนช้ำเขียว สันฝ่ามือทั้งสองมีแผลถลอกจำนวนมาก ไม่รู้บนขาจะเป็นเช่นไรบ้าง…

“นี่ๆ ท่านพอได้แล้วนะ! หยุดมือเดี๋ยวนี้!” เฉิงเซ่าซางใช้มือหนึ่งป้องสาบเสื้อ อีกมือหนึ่งเพียรกดชายกระโปรงกับขากางเกงไว้ “กลับไปแล้วข้าจะให้ไจ๋เอ่าดูเอง นี่ยังอยู่บนถนนนะ!” ขืนไม่ขัดขวาง เขาคงมาเปลื้องผ้านางแล้ว

หลิงปู้อี๋มองนางอยู่เนิ่นนาน “เจ้าจะไม่กลับบ้านก่อนจริงๆ น่ะหรือ”

ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเฉิงเซ่าซางปั้นสีหน้าเจนโลก “ใต้หล้านี้…คาดว่ามีแต่ฮองเฮาที่จะไม่ดุว่าข้า ขืนข้ากลับบ้านไปสภาพนี้ ท่านพ่อท่านแม่รวมถึงพี่ชายทั้งสามได้บ่นข้าไปอีกครึ่งเดือน! เฮ้อ ไปหลบที่ตำหนักฉางชิวก่อนดีกว่า”

หลิงปู้อี๋แค่นเสียงฮึ “เจ้าก็รู้จักกลัวด้วย? เป็นเพราะปกติข้าดุว่าเจ้าน้อยเกินไป ถึงทำให้เจ้าใจกล้าเกินหญิงเยี่ยงนี้!” ตำหนิส่วนตำหนิ ถึงที่สุดเขายังคงลงจากรถม้า ขี่ม้าไปอยู่ข้างกายเหลียงอู๋จี้

ภายหลังลงจากม้าเข้าวังไป บุรุษทั้งสองก็เร่งตรงสู่สำนักราชเลขาธิการ ฮ่องเต้ได้ยินว่าบุตรบุญธรรมกับเหลียงอู๋จี้ขอเข้าพบ จึงสั่งให้คนรอบข้างถอยออกไปทันที รอจนฟังบุตรบุญธรรมเล่าเหตุพลิกผันในจวนสกุลเหลียงเมื่อครู่โดยสังเขปรอบหนึ่ง ฮ่องเต้ค่อยเอ่ยเสียงเยียบเย็นพลางมองเหลียงอู๋จี้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง “บังอาจนัก! จื่อเซิ่งบอกว่าจะจับเป็นเหลียงสยา ท่านเหลียงถึงกับกล้ายิงอีกฝ่ายตายในเกาทัณฑ์เดียว!”

เหลียงอู๋จี้โขกศีรษะ ไม่กล้าโต้แย้ง

ฮ่องเต้ยิ่งกริ้ว ตวาดเสียงดัง “กลัวว่าจื่อเซิ่งจับตัวเหลียงสยาแล้วจะถามได้ความอันใดหรือไร! เฉียบขาดเสียจริงนะ เมื่อก่อนเราไม่ยักมองออกว่าท่านเหลียงใจเหี้ยมได้เยี่ยงนี้…”

“ฝ่าบาท!” เหลียงอู๋จี้ร้องเรียกเสียงโศกสลด

เขาผ่อนคลายน้ำเสียง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เดิมสกุลเหลียงแห่งเหอตงของกระหม่อมมีบุตรหลานคับคั่ง ไม่เอ่ยถึงญาติสายลูกพี่ลูกน้อง ลำพังสายของท่านปู่ก็มีบุตรชายแปดหญิงหก แม้บิดากระหม่อมด่วนล่วงลับ ท่านลุงก็ยังคงมีพี่น้องอีกจำนวนมาก ทว่าสวรรค์หมายจะให้ผู้ใดล่มสลาย มักใช้โชควาสนาเล็กๆ น้อยๆ ทำให้คนผู้นั้นลำพองใจก่อน นับแต่มีโชคได้เข้ากุมอำนาจใหญ่ในราชสำนักสมัยของลี่ตี้ สกุลเหลียงก็เริ่มมีสมาชิกร่อยหรอลง

ก่อนอื่นต่อสู้กับสกุลชวีสิบกว่าปีจนเจ็บตายนับไม่ถ้วน ต่อมาพลอยฟ้าพลอยฝนในคดีรัชทายาทอิ่นบุตรชายคนโตของลี่ตี้ นับแต่นั้นก็ถูกคนในราชสำนักเจ็บแค้นกลั่นแกล้งไม่หยุดหย่อน ถัดมาใต้หล้าโกลาหลหนัก กลุ่มผู้กล้าพากันลุกฮือ สกุลเหลียงจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวได้อย่างไร รอจนถึงตอนที่กระหม่อมรับตำแหน่งผู้นำตระกูล ข้างกายถึงกับไม่เหลือคนร่วมสายเลือดที่ใช้การได้…ท่านอาสามคนไม่ทันแต่งงานให้กำเนิดบุตรก็ตายแล้ว ท่านอาอีกสองคนนำบุตรชายออกศึกต่างก็พลีชีพทั้งพ่อลูก ส่วนลูกพี่ลูกน้องที่เหลือที่เป็นบุรุษ หากมิใช่ถูกทัณฑ์ทรมานในคุกจนพิการ ก็คือร่างกายอ่อนแอด่วนตายจากไป”

สกุลเหลียงแห่งเหอตงรุ่งโรจน์เกือบร้อยปี ยิ่งใหญ่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ได้ยินว่าปัจจุบันตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงไม่แคล้วบังเกิดความสงสารเห็นใจ

“ปีนั้นกระหม่อมสวามิภักดิ์มาอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทแล้ว พอจะมีผลงานอันน้อยนิด ฝ่าบาทยังทรงถามเย้าว่าเหตุใดกระหม่อมจึงไม่ร้องขอให้อวยยศแก่พี่น้องบุตรหลาน กระหม่อมมีความขื่นขมไร้ที่ให้พูดระบาย หาใช่กระหม่อมชืดชาต่อลาภยศ ไร้ข้อเรียกร้องเสียเมื่อไร ความจริงเป็นเพราะ…เป็นเพราะ…”

เหลียงอู๋จี้หลั่งน้ำตา ร่างสั่นเทาฟุบลงที่เชิงบันได “เป็นเพราะในตระกูลไม่มีบุตรหลานที่หนุ่มแน่นใช้งานได้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ถอนใจยาว จับเข่าโน้มกายลง “ท่านลุกขึ้นมาก่อน นั่งพูดคุยกันดีๆ”

เหลียงอู๋จี้รับพระบัญชา ยืดกายขึ้นนั่งคุกเข่า ปาดน้ำตาแล้วเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่รู้เชียวหรือว่าเหลียงซั่งเหลียงสยาล้วนเป็นพวกตื้นเขินไร้ความสามารถ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน คนเยี่ยงนี้กระทั่งดูแลที่นาเรือนสวนก็ยังไม่คู่ควร! ทว่ากระหม่อมมีวิธีอันใดเล่า กระหม่อมใกล้ถึงวัยครึ่งร้อยแล้ว จึงได้แต่สู้ทนไปเช่นนี้ วาดหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะมีบุตรที่เก่งกาจออกมาบ้าง…”

ฮ่องเต้ถอนใจเบาๆ อีกครา เหตุใดผู้คนมักชอบมีบุตรหลานกันมากๆ ก็เพราะบุตรหลานยิ่งมาก ความเป็นไปได้ที่จะมีคนเก่งก็ยิ่งสูง อย่างสกุลเหลียง…ในที่นาพันหลี่มีต้นกล้าแค่ไม่กี่ต้น จะคัดเลือกก็ไม่มีให้คัดเลือก คิดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็เหลือบมองบุตรบุญธรรมด้วยแววตาอันลุ่มลึกยิ่ง

เมื่อแรกที่รู้ว่าบุตรบุญธรรมชอบพอบุตรสาวคนเล็กของเฉิงสื่อ พระองค์ก็ส่งคนไปสืบข่าว ปรากฏว่าชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของสกุลเฉิงล้วนไม่อาจทำให้พระองค์พึงพอใจ ต่อเมื่อได้ยินว่าเซียวซื่อมารดาของเด็กสาวมีบุตรมาก พระองค์จึงได้ลังเล

เซียวซื่อติดตามกองทัพมานานปียังให้กำเนิดบุตรชายได้ถึงสี่คน ทั้งแต่ละคนล้วนเลี้ยงออกมาแข็งแรงล่ำสัน มารดาของเซียวซื่อยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ได้ยินว่ามีบุตรชายตั้งเจ็ดแปดคน กล่าวกันว่าบุตรสาวสืบทอดมารดา…อืม ข้อนี้ดียิ่ง

หลิงปู้อี๋ถูกมองปราดหนึ่งโดยไม่รู้สาเหตุก็ให้ประหลาดใจ รู้สึกว่าแววตานี้ของบิดาบุญธรรมชอบกลอยู่บ้าง

“เรารู้ถึงความทุกข์ยากของสกุลเหลียง” ฮ่องเต้เอ่ยโดยไม่แสดงสีหน้า “ทว่าเกี่ยวอันใดกับคดีตรงหน้านี้กันเล่า รัชทายาทอยู่ดีๆ ก็ถูกดึงไปพัวพันจนชื่อเสียงเสื่อมเสีย ไม่ควรจับกุมเหลียงสยามาไต่สวนโดยละเอียดหรือไร! ท่านเหลียงกลับทำดีนัก ยิงเขาตายในเกาทัณฑ์เดียว ตัดสิ้นทุกเบาะแส หรือว่าเรื่องนี้ท่านลอบสมคบกับเขาด้วย?!”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาปราดเปรื่อง หากกระหม่อมลอบวางแผนเรื่องนี้ จะมีผลดีอันใดต่อกระหม่อมเล่า” เหลียงอู๋จี้เอ่ยปนยิ้มขื่น “สกุลเหลียงไร้ผู้สืบทอด เก็บตัวหลีกลี้เรื่องวุ่นวายแทบไม่ทันด้วยซ้ำ มีหรือจะย่างเข้าสู่วังน้ำวนเสียเอง ฝ่าบาท…” เขาพลันกดเสียงพูดให้เบาลง “เรื่องนี้หากสืบสาวต่อไป จริงอยู่สกุลเหลียงตกเป็นหนังหน้าไฟ ทว่ากับส่วนรวม…ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีนะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ผินหน้าหลับตา ก่อนโบกมือกล่าว “เรารู้แล้ว ท่านออกไปก่อนเถิด”

เหลียงอู๋จี้รู้ว่าฮ่องเต้เป็นผู้รู้เหตุรู้ผล บางคำพูดแค่บอกเป็นนัยก็เพียงพอ ดังนั้นจึงกล่าวขอบพระทัยแล้วถอยออกไปทันที

รอจนในโถงไร้ผู้อื่น ฮ่องเต้ค่อยเหลือกตาใส่บุตรบุญธรรมอย่างหัวเสีย “เจ้าทำงานเยี่ยงนี้น่ะหรือ ถึงกับเบิกตาดูเหลียงอู๋จี้ฆ่าเหลียงสยาปิดปาก ตอนนั้นเจ้ามัวแต่ห่วงเซ่าซางกระมัง หาไม่พอเหลียงอู๋จี้พาดเกาทัณฑ์น้าวคันธนู เจ้าก็ต้องจับสังเกตได้สิ!”

แม้สิ่งที่บิดาบุญธรรมกล่าวมานั้นเป็นความจริง ทว่าหลิงปู้อี๋ไม่มีทางยอมรับแต่โดยดี ทั้งยังเอ่ยพลิกประเด็นว่า “ทูลฝ่าบาท อันที่จริงสถานการณ์ในตอนนี้เหมาะเจาะกว่าไต่สวนเหลียงสยาอีกมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถลึงตาใส่บุตรบุญธรรม

หลิงปู้อี๋กล่าวต่อ “พระประสงค์ดั้งเดิมเพียงหมายจะล้างมลทินให้รัชทายาท วันนี้นับว่าจับพลัดจับผลู ทำให้ผู้คนรู้กันทั่วแล้ว เช่นนี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเค้นสอบได้คำตอบบางอย่างจากปากเหลียงสยาจริงๆ เสียอีก”

“มีคำพูดจงว่ามาตรงๆ ไม่ต้องมาพูดครึ่งซ่อนครึ่ง” ฮ่องเต้กล่าว

“ชวีหลิงจวินแม้เป็นสะใภ้สกุลเหลียง ทว่านับแต่ออกเรือนสิบปี นางไม่เคยย่างเท้าเข้าเมืองหลวงเลย หนนี้มาเมืองหลวง นับถึงวันนี้เพิ่งจะแค่สิบวัน นางไม่รู้รายละเอียดในจวนสกุลเหลียงชัดแจ้ง ไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวผู้คนในเมืองหลวง ในเวลาอันฉุกละหุกจะวางแผนการอันรัดกุมรอบด้านเช่นนี้ได้อย่างไร จริงอยู่วัยเด็กเหลียงสยาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงหลายปี ทว่ากระหม่อมพิจารณาดูอุปนิสัยของเขาแล้วไม่คล้ายเป็นผู้มีแผนการระดับนี้ได้ ถ้าเช่นนั้น…เป็นผู้ใดอยู่เบื้องหลังวางแผนทุกสิ่งนี้กันแน่ เป็นผู้ใดแย้มพรายข่าวต่อรัชทายาทว่าชวีหลิงจวินถูกเหลียงซั่งตบตี เป็นผู้ใดรู้ล่วงหน้าว่ารัชทายาทกับชวีหลิงจวินจะพบปะกันที่คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง และเป็นผู้ใดกันที่ซื้อตัวซุนเซิ่ง

ฝ่าบาท นับแต่เกิดเหตุเมื่อสามวันก่อน จวนสกุลเหลียงมีบ่าวชายสามคนตายโดยไม่รู้สาเหตุ คนหนึ่งจมน้ำ คนหนึ่งเมาสุราล้มฟาด อีกคนหนึ่งพลั้งกินเห็ดพิษ คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงก็มีบ่าวหายไปสี่ห้าคน บัดนี้ซุนเซิ่งอยู่ในมือกระหม่อม แต่หากปล่อยเขาออกไป กระหม่อมกล้าพนันได้เลยว่าเขาเองก็จะอยู่รอดอีกไม่กี่วัน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หากฝ่าบาททรงอยากสืบสาวจนถึงที่สุดจริงๆ ก็มิใช่ไม่อาจสืบพบตัวคนในมุมมืด เพียงแต่…ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงสืบต่อไปแน่หรือ”

ฮ่องเต้นั่งนิ่งไม่ไหวติง ผ่านไปเนิ่นนาน นานจนราวกับใบไม้ที่ปลิวโปรยนอกโถงผนึกค้างอยู่กลางอากาศ พระองค์ค่อยเอ่ยวาจา “เจ้าไปดูฮองเฮากับรัชทายาทเถิด”

หลิงปู้อี๋มองฮ่องเต้ ก่อนค้อมกายกล่าวอำลา

 

เพียะ! หนึ่งฝ่ามือตบฉาดบนใบหน้าของเยวี่ยโหวเล็กอย่างหนักหน่วง บนผิวแก้มที่เขาบำรุงดูแลอย่างเข้าทีผุดรอยฝ่ามือสีแดงสดทันตา

เยวี่ยโหวใหญ่ชี้นิ้วด่าทอน้องชายคนเล็กเสียงเบา “เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือเข้าไปหรือ ถึงได้กล้าบังอาจลอบทำเรื่องเยี่ยงนี้ออกมา!”

“พี่ใหญ่ ท่านต้องเบาเสียงกว่านี้” เยวี่ยโหวรองเดินไปถึงริมหน้าต่าง มองแล้วมองอีกอย่างกระสับกระส่าย

เยวี่ยโหวเล็กไม่แม้แต่จะป้องแก้ม ตรงข้ามยังเอ่ยปนยิ้ม “พี่ใหญ่ไม่ต้องวิตก ข้าไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย”

“ไม่ได้ทิ้งร่องรอย? เจ้าฆ่าคนไปตั้งเยอะถึงเพียงนั้น!” เยวี่ยโหวใหญ่แย้ง

“นั่นเป็นกลพรางตา” เยวี่ยโหวเล็กชี้แจง “หากจะฆ่าคนที่เกี่ยวข้องทิ้งทั้งหมดจริงๆ ไม่ใช่แค่ไม่กี่คนนั้นหรอก ข้าจงใจฆ่าบางส่วน เก็บไว้บางส่วน ก็เพื่อปกป้องตนเอง”

เยวี่ยโหวใหญ่มองน้องชายคนเล็กอย่างเย็นชา

เยวี่ยโหวเล็กยิ้มกล่าว “หรือพี่ใหญ่นึกจริงๆ ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือข้าคนเดียว? จริงอยู่ข้าเป็นคนออกความคิด แต่ครอบครัวที่พัวพันกับเรื่องนี้มีเยอะเชียวล่ะ อย่างอื่นยังไม่เอ่ยถึง เฉพาะซุนเซิ่งผู้นั้นมีหรือชั่วครู่ชั่วยามจะซื้อตัวกันได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนสกุลซุนนะ เพื่อยึดกุมหลักฐานที่เขาฆ่าผู้อื่นเพื่อฮุบทรัพย์สิน มีคนแอบเฝ้ารอถึงห้าหกปีก็เพื่อจะมีสักวันที่ได้ใช้ประโยชน์”

“เจ้าทำเยี่ยงนี้เพื่ออะไรกันแน่! รัชทายาทเป็นวิญญูชนที่โอบอ้อมจริงใจผู้หนึ่ง…”

“เพื่ออะไร! แน่นอนว่าเพื่อระบายแค้นน่ะสิ!”

เยวี่ยโหวเล็กตะโกนตอบพร้อมคลื่นโทสะที่ซัดโหม

“เจ้าเบาเสียงหน่อย!” เยวี่ยโหวรองเอ่ยเสียงค่อย “คิดจะเรียกคนทั้งจวนออกมาให้ได้หรือไร!”

เยวี่ยโหวเล็กไม่แยแสพี่ชายคนรอง เพ่งมองตรงไปยังเยวี่ยโหวใหญ่ “สามสิบปีแล้ว เหตุที่พวกเราสกุลเยวี่ยทำเพื่อฮ่องเต้สกุลเหวินโดยไม่คำนึงถึงความเป็นตาย ออกทั้งคนทั้งเงิน มอบชีวิตของผู้เฒ่าผู้เยาว์ทั้งตระกูลไว้ในมือเขา เป็นเพราะเมื่อแรกพวกเราสิ้นไร้หนทางอย่างนั้นหรือ!

พี่น้องบุรุษเจ็ดคนตายไปจนตอนนี้เหลือแค่พวกเราสามคนแล้ว! ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลก็เจ็บตายไปนับไม่ถ้วน! พี่ใหญ่ลองกลับไปดูเครือญาติที่อำเภอเหราสิ มีหญิงม่ายเด็กกำพร้าตั้งเท่าไร นี่ล้วนทำไปเพื่อใครกัน! สกุลเยวี่ยแห่งอำเภอเหราอยู่ดีๆ เดิมทีมั่งมีสุขสงบ กลับกินอิ่มแล้วอยู่ว่างไปติดตามพวกเขาสกุลเหวินก่อกบฏ!

เพราะฮ่องเต้พี่น้องที่แสนดีท่านนั้นอวดตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้า เป็นทายาทรุ่นหลังของเกาจู่ฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน ดึงดันจะไปชิงแผ่นดินให้ได้ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ กลับทำให้คนในบ้านกับพี่น้องเดือดร้อน ถูกทางการประกาศจับกุม ก็เป็นพวกเราสกุลเยวี่ยช่วยปกป้องบรรดาเด็กกับสตรีของพวกเขาสกุลเหวินที่หนีไปไม่รอด”

“ยังมีสกุลฮั่ว” เยวี่ยโหวรองเอ่ยแทรก “หากมิใช่ฮั่วชงเสี่ยงตายคุ้มกัน ตั้งแต่แรกฝ่าบาทก็คง…”

เยวี่ยโหวเล็กแค่นหัวเราะเย็นชา “พี่ฮั่วชงข้านับถือเลื่อมใส เป็นวีรบุรุษที่แสนจริงใจ ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ แต่ก็เพราะการตายของพี่ฮั่วชง ข้าถึงได้มองฮ่องเต้สกุลเหวินถนัดชัดเจน มองเรื่องราวในโลกนี้ได้ชัดแจ้ง

สกุลฮั่วเป็นวีรชนทั้งตระกูลแล้วอย่างไร น่าสะท้อนใจทายาทสูญสิ้น บัดนี้เหลือหลานชายแซ่หลิงอยู่แค่คนเดียว! หากฮ่องเต้เป็นคนเด็ดขาดจริง คงเนรเทศหลิงอี้ทั้งตระกูลออกจากเมืองหลวงระบายโทสะให้ฮั่วจวินหวาไปแต่แรกแล้ว ทว่าเขาเห็นสกุลหลิงดองญาติหลายสกุล ทั้งสงบเสงี่ยมระวังตัว หดหัวใช้ชีวิต ไม่เคยกระทำผิดใดๆ เขาจึงใจอ่อน ปล่อยให้สามพี่น้องสกุลหลิงให้กำเนิดบุตรธิดา แตกกิ่งก้านสาขา ดองญาติขยายการคบหากับผู้เรืองอำนาจ…รอจนวันที่เขาลาโลกไปจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าหลิงปู้อี๋จะกลับคืนสกุลหลิงหรือไม่!

ฮ่องเต้สกุลเหวินเป็นคนเยี่ยงนี้เอง! อดกลั้นเก่งมาแต่เล็ก ในชีวิตหวังให้ทุกคนสุขสันต์ปรองดอง ใกล้ชิดกันดุจคนในครอบครัวเดียวกัน ยอมถอยผ่อนปรนให้กัน ทว่าเรื่องราวบนโลกไม่ได้เป็นดังความต้องการของเขาทั้งหมดหรอก! เลือดไหลออกไปแล้วไม่อาจย้อนคืนสู่ร่าง ปมแค้นผูกเงื่อนแล้วมีหรือจะคืนดีโดยง่าย!”

เยวี่ยโหวเล็กสีหน้าดุร้าย เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กลุ่มขุนนางเมืองจิ่งเซิงที่มีหนี้เลือดกับสายตระกูลของเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าไม่ได้มีแค่ตระกูลสองตระกูล! เมื่อแรกที่จับมือเป็นพันธมิตรกัน โจรเฒ่าเฉียนอันอ๋องหน่วงเหนี่ยวไม่ส่งไพร่พล ดีแต่ให้พวกเราเป็นกองหน้าตะลุยฆ่า ฮึ ลุยก็ลุยสิ ใครกลัวกันเล่า! แต่ทั้งที่ตกลงกันไว้ดิบดี เขากลับจงใจเตะถ่วงจนเสียโอกาสในการศึก ซ้ำเป็นเหตุให้พี่ชายสกุลหลี่สองคนถึงแก่ชีวิต ท่านลุงสกุลหลี่กระอักเลือดออกมาทันที โกรธจนสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา ต่อมาโจรเฒ่าเฉียนอันอ๋องเห็นพวกเรามีขุมกำลังกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในใจนึกกริ่งเกรง จึงจงใจให้พวกเราไปบุกค่ายใหญ่ของกลุ่มโจรที่มีกำลังคนจำนวนมาก ฮึ ตอนนั้นเขาแอบเล่นไม่ซื่อ พี่ใหญ่พี่รองอย่าบอกนะว่าไม่รู้…สกุลหวัง สกุลเหยียน สกุลไท่สื่อ มีบุตรหลานตายไปตั้งเท่าไร! ทว่าสถานการณ์สำคัญกว่าตัวบุคคล เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้สกุลเหวินเอาแต่ให้พวกเราอดกลั้นไว้ พวกเราก็ได้แต่อดกลั้น!”

“ไม่ต้องพูดให้ชวนฟังเช่นนี้หรอก ที่เจ้าอาฆาตแค้นเป็นเพราะเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าทำให้พี่น้องร่วมสาบานของเจ้าตายเสียมากกว่า” เยวี่ยโหวใหญ่กล่าว

เยวี่ยโหวเล็กไม่แสดงความเห็นในประเด็นนี้ เพียงเอ่ยต่อไปว่า “สรุปคือหนี้เลือดยากสะสาง…รอจนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ในที่สุดโจรเฒ่าเฉียนอันอ๋องก็อดรนทนไม่ไหว เริ่มวางแผนกบฏอย่างโจ่งแจ้ง ยังดีฮ่องเต้จะอย่างไรก็ไม่ใช่คนเลอะเลือน มีการป้องกันอยู่ก่อนแล้ว จึงจับกุมได้ในคราวเดียว โจรเฒ่าเฉียนอันอ๋องฆ่าตัวตาย บริวารที่เหลือล้วนแตกฉานซ่านเซ็น ทว่า…”

เยวี่ยโหวเล็กแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ฮ่องเต้กลับเก็บฮองเฮากับรัชทายาทไว้! จุดประสงค์เพื่ออะไรกันเล่า นึกว่าผู้อื่นเป็นคนโง่เดาไม่ออกหรือ เพราะกลัวว่าพวกเราจะขยายอำนาจ เขาจึงเล่นลูกไม้ถ่วงดุลอันใดนั่นน่ะสิ”

เยวี่ยโหวใหญ่หลับตาถอนหายใจ “พวกเราสกุลเยวี่ย…ตอนนี้ก็เรืองอำนาจถึงขีดสุดแล้ว”

“น้องสาวของพวกเราออกเรือนไปเป็นภรรยาเขาดีๆ ทั้งที่ถูกต้องตามประเพณีทุกอย่าง ชั่วพริบตากลับต้องกลายเป็นอนุเสียอย่างนั้น! ตอนนั้นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก ไม่อาจโทษว่าเขาได้ ทว่าต่อมาเล่า เขาทำให้น้องสาวของพวกเรากล้ำกลืนมายี่สิบปี หรือยังตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบภรรยาอนุปรองดองเยี่ยงนี้ต่อไปทั้งชาติ? ถุย! ข้าขอยอมให้เขารับสนมชายาอื่น มีบุตรธิดาเพิ่ม ก็ยังดีกว่าให้หลานชายของโจรเฒ่าเฉียนอันอ๋องนั่งตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดิน! ไม่เอ่ยถึงพวกเราสกุลเยวี่ย บรรดาตระกูลอื่นที่มีหนี้ชีวิตกับสกุลเซวียน จะสบายใจมองดูรัชทายาทคนนี้สืบบัลลังก์ได้หรือ”

เยวี่ยโหวเล็กคลี่ยิ้มลุ่มลึก “จริงอยู่ตอนนี้รัชทายาทดูโอบอ้อมจริงใจ ทว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ใครจะรู้เล่าว่าเขาได้อำนาจแล้วจะสับเปลี่ยนโฉมหน้าหรือไม่ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายเป็นมีด พวกเราเป็นปลาบนเขียง จะถูกจัดการเยี่ยงไรมิใช่แล้วแต่ใจอีกฝ่ายหรือ”

เยวี่ยโหวใหญ่เอียงกายทอดถอนใจ เยวี่ยโหวรองมานั่งอยู่ระหว่างพี่ชายกับน้องชายแล้วเอ่ยเสียงเบา “วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ดูจากคดีฆ่าคนตายหนนี้สิ รัชทายาทไม่ห่วงชื่อเสียงตนเองก็จะขอปกป้องชวีซื่อ ข้าเห็นว่าเขาไม่ใช่คนใจจืดแล้งน้ำใจ วันหน้าเขานั่งบัลลังก์แล้ว พวกเราสกุลเยวี่ยไม่แน่ว่าจะมิอาจอยู่รอดปลอดภัย กลับกัน องค์ชายสามอุปนิสัยไม่เหมือนฝ่าบาทสักนิด แกร่งกร้าวไร้ความกลัวเกรง เย็นชาทั้งหน้าทั้งใจ พวกเราแม้เป็นลุงแท้ๆ ของเขา…แค่กๆ พี่ใหญ่ยังมอบหลานสาวให้เขาด้วย ทว่าเขาเคยยิ้มแย้มพูดน่าฟังกับพวกเราเมื่อไรกัน”

เรียวคิ้วที่แลดูนิ่มนวลของเยวี่ยโหวเล็กมุ่นนิดๆ “อันที่จริง…ตามความเห็นของข้า องค์ชายสามก็ไม่ใช่ตัวเลือกว่าที่ประมุขแผ่นดินที่ดีที่สุด ตัวเลือกที่ดีที่สุดนั้น…คือเหล่าองค์ชายน้อยที่น้องสาวให้กำเนิด พวกเขาเยาว์วัยอัธยาศัยดี ทั้งยังสนิทชิดเชื้อกับพวกเรา”

“บังอาจ! แต่งตั้งรัชทายาทเป็นเรื่องใหญ่ ไหนเลยให้เจ้ามาเลือกส่งเดช! เจ้าบ้าบิ่นเยี่ยงนี้ ช้าเร็วพวกเราสกุลเยวี่ยจะต้องพินาศในกำมือเจ้า!” เยวี่ยโหวใหญ่ฉุนขาด ออกแรงขว้างจอกสำริดใบหนึ่งไปทางน้องชายคนเล็ก กระแทกเข้าหน้าผากอีกฝ่ายอย่างจัง เลือดไหลพรากในทันที

เยวี่ยโหวรองร้องอุทาน รีบควักผ้าเช็ดหน้าไปกดปากแผลของน้องชายไว้

“พี่ใหญ่วางใจได้ ไม่พินาศหรอก ฮ่องเต้แน่ใจได้หรือว่าเป็นฝีมือของสกุลเยวี่ย ไม่ได้กระมัง เหตุใดข้าจึงไม่ลงมือเอง แต่กลับดึงสมัครพรรคพวก สมคบหลายกลุ่ม นั่นก็เพราะหมายจะป้องกันวันนี้” เยวี่ยโหวเล็กใจเด็ดยิ่งยวด กดผ้าเช็ดหน้าด้วยตนเอง ทั้งที่เลือดไหลอาบหน้าทว่ากลับไม่ร้องเจ็บแม้สักคำ ยังคงสนทนายิ้มแย้มดุจเดิม

“หากรัชทายาทมีอันใดเกิดขึ้นจริง ผู้ที่ได้รับประโยชน์ทันทีไม่ใช่พวกเราเสียหน่อย เป็นองค์ชายรองต่างหาก เห็นฮองเฮานิ่งๆ ไม่ส่งเสียง ความจริงในใจนางรู้กระจ่างยิ่ง จึงสั่งห้ามองค์ชายรองไม่ให้ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียวตั้งแต่แรก แต่นั่นแล้วอย่างไร ฮ่องเต้มีปัญญาวางใจได้หรือ มีปัญญารับรองได้หรือว่าพรรคพวกขององค์ชายรองไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้เลย เขาไม่มีปัญญาหรอก

หากเยวี่ยกับเซวียนสองสกุลล้วนถูกโยงเข้ามาพัวพัน นั่นไม่สมใจสวีเหม่ยเหรินกับองค์ชายห้าหรอกหรือ ฮ่องเต้มีปัญญาหรือที่จะไม่คลางแคลงว่าพวกเขาต่างหากคือผู้บงการหลังม่าน หมายจะเป็นผู้เฒ่าหาปลาฉกฉวยผลประโยชน์* ทางสวีเหม่ยเหรินก็ไม่มีปัญญาอีก

องค์ชายรองคบหาบุตรหลานชนชั้นสูงอย่างกว้างขวาง ซื่อจื่อของหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าก็ชอบแอบสะสมอาวุธหมวกเกราะ ส่วนสวีเหม่ยเหรินลอบซื้อตัวอนุกับบ่าวรับใช้ในตำหนักบูรพา…สืบสาวลึกลงไปจริงๆ ไม่มีใครหรอกที่สะอาดหมดจด

ครอบครัวที่ผูกแค้นกับสกุลเซวียนมีมากเพียงนั้น ซ้ำยังพัวพันไปถึงองค์ชายกับเชื้อพระวงศ์ ช่วงนี้ฮ่องเต้อาจติเตียนบ้าง แต่จะไม่สืบสาวต่อไปแน่”

ในห้องเงียบเชียบอยู่เนิ่นนาน เยวี่ยโหวใหญ่ค่อยถอนหายใจเบาๆ “ฝ่าบาทใจกว้างผ่อนปรน เก่งกาจหลักแหลมไม่มีใครเทียบ ฝ่าบาทไม่อาจทำใจเหี้ยมสืบสาวราวเรื่อง ถือเป็นโชควาสนาของพวกเรา แต่ตอนนี้…เจ้ากลับเอาจุดนี้มาใช้ประโยชน์ ข้าละอายต่อฝ่าบาทยิ่งนัก

ต่อให้ไม่เอ่ยถึงคุณธรรมระหว่างเจ้าเหนือหัวกับขุนนาง ข้ากับฝ่าบาทก็มีมิตรภาพระหว่างพี่น้อง หนนี้เป็นข้าที่ผิดต่อฝ่าบาท เพื่อสกุลเยวี่ยทั้งตระกูล และเพื่อน้องสาวของพวกเรากับเหล่าองค์ชาย ข้าไม่อาจส่งมอบตัวเจ้าออกไป ทว่าข้าก็ไม่อาจปล่อยปละให้เจ้าเลอะเลือนเยี่ยงนี้ต่อไปอีก วันพรุ่งนี้…เจ้าจงกลับอำเภอเหราไปบูรณะสุสานบรรพชน อีกไม่กี่ปีก็แต่งองค์หญิงห้าเข้ามาเถิด”

“น้อมรับคำสั่งพี่ใหญ่” เยวี่ยโหวเล็กหน้าไม่เปลี่ยนสี “เพียงแต่…พวกเราล้วนแก่ตัวแล้ว เหล่าองค์ชายเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้หวังอยู่นิ่งทว่าลมไม่หยุดพัด** เรื่องนี้ยังจะไม่ยุติหรอก”

 

* มาจากสำนวน ‘นกปากซ่อมกับหอยกาบยื้อแย่งกัน ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์’ เปรียบเปรยว่าสองฝ่ายมัวแต่ต่อสู้ไม่ยอมลงให้กันจนฝ่ายที่สามฉกฉวยผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรง มีเรื่องเล่าว่าหอยกาบอ้าเปลือกออกผึ่งแดด นกปากซ่อมเข้ามาหวังจิกกินเป็นอาหาร หอยจึงงับเปลือกเข้ามาหนีบปากนกเอาไว้ ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ชาวประมงผ่านมาเห็นจึงจับไปเป็นอาหารทั้งคู่

** ต้นไม้หวังอยู่นิ่งทว่าลมไม่หยุดพัด เปรียบเปรยว่าเรื่องราวไม่เป็นไปดังใจหวัง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: