X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 122

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 122

“กินข้าว” โจ้วชวนเกร็งตัวค้ำร่างอยู่เหนือชูหลี่ มองเธอที่กำลังขดตัวเข้ามาในอ้อมกอดของตน ตาของเขาลุ่มลึก เสียงแหบพร่า “ผมหิวแล้วจริงๆ คุณทายซิว่าตอนนี้ผมอยากกินอะไร”

สองมือที่โอบเอวเขาค่อยๆ แน่นขึ้น เธอตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมาจากคอแล้ว

มือใหญ่ของเขาก็สอดเข้าไปที่ใต้แผ่นหลังเธอ ถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่ ร่างแนบชิดจนเธอรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ามือเขา

ชูหลี่ขยับตัวเล็กน้อย เสื้อผ้าเสียดสีกับโซฟาเสียงดังสวบสาบ ทั้งที่ปกติตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลยแท้ๆ แต่เวลานี้กลับดังจนน่ากลัวภายในห้องรับแขกอันเงียบเชียบ แต่ละนาทีแต่ละวินาทีล้วนกำลังปลุกเร้าเส้นประสาทในสมองของชูหลี่…

เธอขยับเพื่อรักษาระยะห่างกับโจ้วชวนให้ปลอดภัย ฝืนยกมุมปาก “ทำไม อยากกินเนื้อฉันเหรอคะ”

“อืม” เขาตอบรับ “เนื้อพระถังซัมจั๋ง”*

ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะหน้าเธอ ปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสผิวนุ่มๆ ที่แก้มของเธอทีละนิด ทำให้เธอขนลุกซู่…ชูหลี่รู้สึกว่าปลายนิ้วของเขาที่แนบชิดแก้มตนทั้งอบอุ่นและแห้ง

ทว่าจู่ๆ ในหัวสมองกลับนึกถึงภาพในอดีตนับไม่ถ้วนขึ้นมาอย่างแจ่มชัด เธอยืนอยู่ด้านหลังของเขา ฟุบบนเก้าอี้ของเขาและมองปลายนิ้วของเขาโลดแล่นอยู่บนแป้นพิมพ์ เคาะตัวอักษรทีละบรรทัดๆ…

อย่างเร็วที่สุดภายในหนึ่งชั่วโมงโจ้วชวนสามารถเขียนได้ถึงหกพันคำ

ชูหลี่เคยทอดถอนใจด้วยความทึ่ง ดูเหมือนเขาจะใช้นิ้วได้คล่อง…และตอนนี้ดูเหมือนว่าจะคล่องเกินไปแล้วจริงๆ เอะอะก็แตะต้องบริเวณที่ทำให้ทั้งตัวเธอสะดุ้งขึ้นมาอย่างได้คืบจะเอาศอก กล้ามเนื้อของเธอเกร็งเมื่อปลายนิ้วของชายหนุ่มเย้าหยอกส่วนเนื้อที่จั๊กจี้ จึงยื่นมือออกไปจับข้อมือของเขาไว้และเงยหน้ามอง

มือของโจ้วชวนหยุดลงอย่างให้ความร่วมมือ “เป็นอะไรไป”

“…”

“คุณไม่เคยหรือไง”

ชูหลี่จับมือเขาไว้ พยักหน้าอย่างรัวเร็ว…พอจัดท่าเรียบร้อยแล้วก็รอให้ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า ‘งั้นช่างเถอะ ผมจะรอคุณพร้อมก็แล้วกัน’

คิดไม่ถึงว่าเขากลับหัวเราะและพูดแค่ “บังเอิญจัง ผมก็เหมือนกัน งั้นต่อไปขอให้คุณช่วยชี้แนะด้วยนะครับ”

“…”

คำตอบที่ไม่คาดคิดของคนคนนี้ทำเอาเธอตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของชูหลี่ก็เปลี่ยนจากมะเขือเทศที่ต้มสุกจนเปื่อยกลายเป็นกาต้มน้ำร้อน…ใบหน้าเห่อร้อนจนแดงตั้งแต่ใบหูถึงลำคอ ใบหูแทบจะพ่นไอน้ำออกมา ในหัวมีเสียงวิ้งๆ ดังไม่หยุด เธอลืมการหายใจในจังหวะปกติไปเสียแล้ว…

ชูหลี่อดกลั้นอยู่นานสองนานกว่าจะเปล่งถ้อยคำออกมาจากไรฟันได้ประโยคหนึ่ง “…เกรงว่าฉันคงชี้แนะคุณไม่ได้”

รอยยิ้มตรงมุมปากของโจ้วชวนกว้างขึ้น “งั้นผมสอนคุณเอง”

เสียงของชายหนุ่มฟังแล้วผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมองขาของชูหลี่ เขาสวมถุงเท้ายาวเลยเข่าคืนกลับไป ส่วนถุงเท้าที่อยู่บนขาอีกข้างถูกดึงลงมา…ชายกระโปรงไม่เรียบร้อยนิดหน่อย ทว่ายังปกปิดที่ที่ควรปิดเอาไว้ เพียงแต่ที่ที่ใครก็มองไม่เห็นยังคงหลงเหลือรอยฟันรอยหนึ่งที่เมื่อครู่นี้เขากัดไปโดยไม่รู้หนักเบา…

และก่อนที่รอยฟันจะหายไป ตรงตำแหน่งที่ใครๆ ก็มองไม่เห็นนั้นจะกลายเป็นความลับเล็กๆ ที่มีแต่เขากับเธอเท่านั้นที่รู้

โจ้วชวนหรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเต้นเร็วขึ้น…

ชายหนุ่มมองดูเธอกอดเขาไว้แน่น ท่าทางที่วางใจอย่างเต็มที่ หญิงสาวดูสับสนมึนงง ไม่รู้เลยว่าในหัวเขานึกถึงภาพที่ไม่บริสุทธิ์ใจซึ่งมักปรากฏอยู่ในหนังผู้ใหญ่ที่แต่ละตอนยาวหนึ่งร้อยยี่สิบนาที…เพียงแค่คิดโจ้วชวนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

จู่ๆ การกระทำของเขาก็เปลี่ยนเป็นเนิบช้าอย่างยิ่ง ราวกับว่าต้องการจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวินาที จึงจงใจเปลี่ยนจังหวะการเคลื่อนไหว…

เขาค่อยๆ ประคองใบหน้าเธอขึ้นมาจากอ้อมอก ให้เธอเงยหน้ารับจูบของตน ทันใดนั้นความอ่อนนุ่มของปลายลิ้นที่ล่วงล้ำเข้าไปในกลีบปากและความเคลื่อนไหวของมือเขาก็ทำให้เธอเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เขาจูบดูดดื่มยิ่งขึ้น กลืนกินเสียงครวญครางและความตื่นตระหนกทั้งหมดของเธอลงท้องไป…

เขารู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกสั่นระริกเพราะการกระทำเล็กๆ น้อยๆ จากปลายนิ้วของเขา เมื่อปล่อยริมฝีปากให้เธอได้หายใจ ดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็พร่ามัว พิงบนตัวเขาและพ่นลมหายใจอันร้อนรุ่มออกมา ทำให้ซอกคอของเขาชื้นเล็กน้อย

อากาศราวกับร้อนระอุขึ้นมา…

เขาก้มตัวลงจูบกลีบปากของเธอ ถ่ายทอดความร้อนที่ทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย

เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าล้วนกลายเป็นเพลงกล่อมนอนที่ดีที่สุดในโลก

และชูหลี่เองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึก มือที่อ่อนปวกเปียกของเธอยึดแผ่นหลังของเขาไว้ ทั่วทั้งร่างราวกับสูญสิ้นพลังไปหมดแล้ว

ชั่วพริบตานั้นเธอคิดจะหวีดร้อง กระชากผมของเขาแล้วด่าด้วยความเดือดดาลว่า ‘ไม่ต้องถูกันแล้ว มาทำกันเถอะ’ แต่คำพูดนี้หลังจากวนเวียนอยู่ในลำคอสามร้อยตลบ ท้ายที่สุดเธอก็กลืนกลับลงไปในท้อง…

“โจ้วชวน โจ้วชวน…อาจารย์”

“หืม?”

“ฉันคิดว่า…ตอนนี้ยังเร็วเกินไป” คำว่าเร็วของชูหลี่เกือบจะแปร่งเพราะการกระทำของเขาที่งอปลายนิ้วขึ้น ลมหายใจของเธอกระชั้นราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนแปดร้อยเมตรเสร็จ จิกนิ้วเท้าแน่น “…ฉันกลัว”

ท่าทีของชูหลี่จริงใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้เมื่อพูดออกมาน้ำเสียงจึงสั่นเครือ…โจ้วชวนรับรู้ได้ถึงความเขินอายและความกลัวต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นต่อไปนี้ เพราะเธอกำลังสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสิ้นท่าจริงๆ กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างเกร็งไปหมด

“…”

เวลานี้ริมฝีปากของชายหนุ่มอยู่ที่ริมหูเธอ พอได้ยินดังนั้น ริมฝีปากอ่อนนุ่มก็ถูไถใบหูเธอ เอามือที่ทำมิดีมิร้ายของตนเองออกไป…ปฏิกิริยาตอบสนองด้วยคำว่า ‘ฉันกลัว’ โจ้วชวนจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดโอ้โลมอะไรอีก เพียงแต่ส่งเสียง “อืม” เบาๆ และทุ้มต่ำจนทำให้ใจแทบละลาย ชั่วพริบตาคำที่ชูหลี่นึกถึงในตอนนี้มีเพียง ‘จอนผมเสียดสี’ รวมถึง ‘เปียกชุ่มด้วยน้ำลาย’

‘อืม’ หมายถึงผมรู้แล้ว

ชูหลี่ค่อยๆ ปล่อยโจ้วชวน ขยับถอยหลังไปนิดหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำมองชายหนุ่มที่ดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดมือเรียวยาวข้างนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์…

หลังจากเช็ดแล้ว กระดาษสีขาวบริสุทธิ์ก็เปื่อยยุ่ยเพราะเปียก…ทว่าใบหน้าของเขากลับเป็นธรรมชาติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ชูหลี่มองโจ้วชวนโยนกระดาษทิชชูก้อนนั้นทิ้งตาปริบๆ รู้สึกว่าตนเองอยากหายไปจากโลกให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย…ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกอับอายขายหน้าเกินไปแล้ว

หญิงสาวกุมหน้า ตอนนี้เองชายหนุ่มที่เดิมทีนั่งอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นยืน โน้มตัวไปดึงมือของเธอที่กุมหน้าไว้ออก งอนิ้วเขกหน้าผากเธอ “ผมจะไปจัดการตัวเองที่ห้องน้ำสักหน่อย คุณสั่งดีลิเวอรี่ก็แล้วกัน” ชูหลี่นิ่งงัน เงยหน้ามองเขา ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “คุณหิวแล้วไม่ใช่เหรอ”

เธอร้อง “อ้อ” พลางพยักหน้า โจ้วชวนมองท่าทางทำตัวไม่ถูกของเธอก็ถอนหายใจแล้วปล่อยมือ ขณะกำลังหมุนตัวเตรียมจะออกไป ตอนนี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามุมหนึ่งของชายเสื้อถูกดึงไว้ เขาหยุดชะงัก พอหันกลับไปก็เห็นศีรษะดำขลับของเธอ

“…ยังมีอะไรอีก”

ชูหลี่ก้มหน้า ใบหน้าแดงก่ำ ดึงชายเสื้อของเขาไว้แน่น

“…”

เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรั้งเขาไว้อีกทำไม เพียงแต่จิตใต้สำนึกไม่อยากให้เขาไปทั้งๆ อย่างนี้เท่านั้น

ความเงียบงันที่ทำให้ลมหายใจขาดห้วงดำเนินต่อไปราวๆ หนึ่งนาที ขณะที่ชายหนุ่มอยากจะถามเธออย่างอดรนทนไม่ไหวว่าคิดจะทรมานเขาให้ตายใช่ไหม ก็ได้ยินเธอส่งเสียงฮึบแล้วพูดขึ้นมา

“หรือ…หรือไม่…ยังมีวิธีอื่นอีกไหมคะ”

“…”

อากาศหยุดนิ่งอีกครั้ง

“มี”

เธอเงยหน้ามองเขาทันควัน

“คุณหันไปก่อน”

ชูหลี่หันไปอย่างว่าง่าย

“หมอบลง”

เธอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะหมอบลงไปช้าๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีดังมาจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงลมหายใจของชายหนุ่มที่กำลังเข้ามาใกล้…ชูหลี่ชะงักไป หมายจะลุกขึ้นมาดูว่าเขากำลังจะทำอะไร ทว่าในตอนนี้เองมือใหญ่ที่ยื่นมาจากด้านหลังก็กดเธอให้หมอบลงไป…มือใหญ่ปิดตาเธอไว้ เมื่อรอบด้านตกอยู่ในความมืด เธอได้ยินชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า

“แบบนี้แหละ ไม่ต้องมองผม”

ความมืดทำให้ชูหลี่กระสับกระส่ายเล็กน้อย เธอได้แต่คาดเดา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเขาโน้มตัวลงมา แผงอกแกร่งแนบชิดกับแผ่นหลังเธอ เอ่ยอย่างรวบรัด

“หุบขา”

เขาออกคำสั่งทีละขั้นตอน จิตใต้สำนึกของชูหลี่สั่งให้เธอทำตามที่ชายหนุ่มสั่ง วินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันร้อนผ่าวสัมผัสที่ผิวหนังของเธอ เธอถูกแผดเผาจนร้องครวญครางออกมา แผ่นหลังเกร็ง มือกำขอบหมอนอิงที่วางอยู่บนโซฟาไว้แน่น…ราวกับว่าสำหรับเขาแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ลมหายใจของเขาที่ริมหูเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือที่ปิดตาเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย

หากเธอมองเห็นล่ะก็ คงจะเห็นเส้นเอ็นที่ปูดนูนขึ้นมาบนหลังมือและเหงื่อที่หน้าผากของเขา

ต่อมาทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณ ท่ามกลางความมืด ชูหลี่รู้สึกว่าบริเวณที่ทั้งสองฝ่ายสัมผัสกัน อุณหภูมิสูงจนแผดเผาคนได้แผ่ลามไปทั่วทั้งร่าง…เส้นประสาทที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะผ่อนคลายลงได้ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อจุมพิตอันละเมียดละไมของเขาประทับบนลำคอและแผ่นหลังของเธอ เธอรู้สึกได้ว่าน้ำตาไหลรินออกมาจากหางตาตนเอง ซึมผ่านซอกนิ้วเขาที่ปิดตาเธออยู่…

ในห้องรับแขกเงียบจนน่ากลัวเช่นนี้ เสียงเสื้อผ้าเสียดสี เสียงผิวหนังแนบชิดกัน เสียงลมหายใจของเขา ล้วนดังก้องในหูของเธอทุกชั่วขณะผ่านความมืดมิด…

บางครั้งการแตะต้องโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เธอส่งเสียงสูดลมหายใจเบาๆ

จากนั้นการกระทำของเขาก็เปลี่ยนเป็นหยาบคายยิ่งขึ้น หรือไม่ก็ทำตามอำเภอใจเล็กน้อย

กระทั่งผิวหนังในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดนั้นถูกเสียดสีจนแดงเป็นปื้น แม้ว่าจะมีเหงื่อที่ชื้นแฉะและเหนอะหนะรวมถึงส่วนประกอบอย่างอื่นช่วยลดแรงกระแทก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ความเจ็บปวดที่แสบร้อนคละเคล้ากับอะไรบางอย่าง…ชูหลี่รู้สึกว่าเหงื่อทำให้เสื้อเชิ้ตท่อนบนของเธอเปียกชุ่มแล้ว นี่คืออากาศในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่นานๆ ทีถึงจะใส่เสื้อโค้ตเพิ่มอีกชั้นตอนเดินถนน

เวลาผ่านไปหนึ่งนาที หนึ่งวินาที ทว่าสำหรับคนทั้งสองที่เบียดเสียดกันอยู่บนโซฟาราวกับผ่านไปเนิ่นนานนับศตวรรษ

เมื่อชายหนุ่มปล่อยมือจากตาเธอ สองนิ้วบีบปลายคางเธอให้หันมาแล้วจูบบนริมฝีปากแดงก่ำของเธอ ขณะที่บนขาเปียกชื้นตามอุณหภูมิ จู่ๆ กลิ่นอายของความเป็นชายก็แผ่กระจายออกมา…

ลมหายใจชูหลี่ขาดห้วงไปครู่หนึ่ง เธอเปิดริมฝีปากในวินาทีต่อมา ยอมให้ปลายลิ้นของชายหนุ่มล่วงล้ำเข้ามา…เธอได้รสสนิมจางๆ ที่ไม่รู้ว่าใครกัดริมฝีปากของใครแตกหรือว่าเป็นอะไรอย่างอื่น

เขาใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากของเธออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็จูบพลางใช้ริมฝีปากค่อยๆ ซับน้ำตาบนแก้มเธอออกไป

เธอหลับตา ให้ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของเขาประทับลงบนขนตาของตนเอง ขณะเดียวกันก็หดตัวไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึกเพราะความจั๊กจี้…ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“ชอบร้องไห้ขนาดนี้เชียว”

“…”

เขายื่นมือไปคว้าเธอมากอดไว้แน่น ตบแผ่นหลังเธออย่างพอใจ “ขอบคุณ”

“ฮะ?”

“ที่ไม่ไล่ผมให้ไปเข้าห้องน้ำ…” ชายหนุ่มกอดเธอแล้วก้มไปดึงกระดาษทิชชูที่อยู่บนโต๊ะน้ำชา “ผมเช็ดให้คุณนะ ทำขาคุณเปื้อนไปหมด ทำไมคุณไม่มีปฏิกิริยาเลยล่ะ ไม่ทรมานหรือไง”

ชูหลี่เกือบจะกัดลิ้นตัวเอง แย่งกระดาษทิชชูในมือเขามา เช็ดลวกๆ สองที ผลคือบริเวณที่ถูกเสียดสีจนแดงพลันเจ็บขึ้นมา เธอขมวดคิ้วร้อง “อุ๊ย” แล้วผลักหน้าเขาออกไปอย่างโมโห

เขาเอาแต่แค่นหัวเราะอยู่ข้างๆ มองเธอเช็ดขา ท่าทางเหมือนกับผู้ชายหื่นกามในหนังโป๊

 

* เนื้อพระถังซัมจั๋ง คือของกินเล่นชนิดหนึ่งที่ทำมาจากถั่ว ปรุงรสแล้วบดเป็นแผ่น มีที่มาจากเรื่องไซอิ๋ว ที่ปีศาจต้องการกินเนื้อของพระถังซัมจั๋งเพราะเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: