X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 7

 

เมื่อเดินออกมาจากประตูคฤหาสน์ เวินเสี่ยวฮุยก็ถาม “จากนี่ถึงถนน XX มีรถไฟใต้ดินหรือว่าป้ายรถเมล์ใกล้ๆ หรือเปล่า”

ลั่วอี้พูด “ผมจะกลับไปหาให้พี่ วันนี้ผมไปส่งพี่ก่อนแล้วกัน”

“หา? นายจะขี่จักรยานไปส่งฉันเหรอ ไกลมากนะ นายน่าจะไปเข้าเรียนสาย”

“ได้อยู่ ยี่สิบนาที ไม่สายหรอก”

“ได้ งั้นไปกันเถอะ” เวินเสี่ยวฮุยนั่งที่เบาะหลัง แต่ครั้งนี้เขามีวินัยอย่างมากที่จะไม่โอบเอวของลั่วอี้

ลั่วอี้ใส่หูฟังแล้วพาเขาออกไปจากเขตพักอาศัย

เวินเสี่ยวฮุยถอดหูฟังข้างหนึ่งของเขา “นายฟังอะไรน่ะ”

“พี่ลองฟังสิ”

เวินเสี่ยวฮุยยัดหูฟังเข้าไปในหู มันเป็นเพลงทำนองไพเราะสบายๆ เสียงของผู้หญิงที่แหบแห้งเล็กน้อยกำลังร้องเพลงในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ เขาวางหน้าผากพิงบนหลังของลั่วอี้ หลับตาลงแล้วฮัมตามเพลงแผ่วเบา รู้สึกว่าตัวเองย้อนกลับไปตอนก่อนปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาก็ฟังเพลงในขณะที่ขี่จักรยานเหมือนกัน ปัญหาในแต่ละวันมีเพียงการบ้านที่ยังทำไม่เสร็จกับเงินค่าขนมที่ไม่มีทางพอใช้ แม้เขาจะเกลียดการเรียนหนังสือ แต่เขาก็เหมือนกับคนทำงานทั่วไปที่โหยหาวัยเรียน

ลั่วอี้พาเขาไปส่งถึงใต้อาคารของสตูดิโอ เวินเสี่ยวฮุยกระโดดลงจากจักรยาน บิดเอวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง

“ขอบใจนะ นายรีบไปเรียนเถอะ”

“ตอนเย็นผมมาหาพี่ได้ไหม พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”

“ไม่ได้ เมื่อวานฉันไม่ได้กลับห้อง วันนี้ต้องกลับ ไม่งั้นแม่ฉันกินคนแน่ เอาไว้วันหน้าเถอะ”

ลั่วอี้ผิดหวังเล็กน้อย “ก็ได้ งั้นพวกเรา…”

ทันใดนั้นมินิคูเปอร์สีแดงคันหนึ่งก็ขับพุ่งเข้ามาจอดข้างๆ พวกเขาอย่างไร้มารยาท โดยจอดอยู่ห่างจากพวกเขาออกไปไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร ทำเอาทั้งคู่สะดุ้งโหยง

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบตาขึ้นมองแล้วตะโกนด่า “ใครวะไม่ดูตาม้าตาเรือ อยากตายหรือไง!”

หน้าต่างรถถูกลดลง Luca โผล่หน้าที่แต่งจนหนาเตอะออกมา ชำเลืองมองพวกเขาทั้งสองคน

“ว้าว Adrian วันนี้นายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่าการนั่งรถไฟใต้ดินแฮะ ต้นแบบการเดินทางคาร์บอนต่ำเลยนะเนี่ย” หลังจากพูดจบก็ยังทำเป็นปรบมืออย่างเชื่องช้า

เวินเสี่ยวฮุยกลอกตา “คาร์บอนต่ำปกป้องสิ่งแวดล้อม ฉันรู้สึกสบายใจน่ะ คนบางคนขาย…” เขาอยากจะพูดว่า ‘ขายตูด’ แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าลั่วอี้เขาก็กลืนคำพูดไม่น่าฟังนั้นกลับเข้าไป “ไม่รู้ว่าเอาอะไรไปแลกกับรถ นั่งแล้วไม่กลัวร้อนหรือไง”

Luca หัวเราะเสียงเย็นชา “อิจฉาเหรอ มีปัญญานายก็ไปขายสิ”

เวินเสี่ยวฮุยหรี่ตาลง ยื่นมือไปปิดหูของลั่วอี้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปหา Luca เขาเผยฟันสีขาวซี่เล็กๆ ที่เรียงตัวกันแล้วกระซิบ

“ฉันไม่ขายราคาถูกแบบนายหรอก”

สีหน้าของ Luca แปรเปลี่ยนไป “ฉันว่านายคงขายในราคาสูงไม่ได้หรอก กินไม่เลือกหน้า แม้แต่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ไม่เว้นแล้วสินะ”

เวินเสี่ยวฮุยด่า “บ้าหรือไง นี่มันหลานฉันเว้ย ขืนยังไม่ไสหัวไปอีกวันนี้นายก็อย่าได้คิดที่จะขับรถกลับไปเลย”

Luca ยกนิ้วกลางให้เขา ปิดหน้าต่างรถ แล้วขับรถจากไป

เวินเสี่ยวฮุยลดมือลง หน้าอกกระเพื่อมไม่หยุด

ลั่วอี้พูด “นั่นเพื่อนร่วมงานของพี่เหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างหัวเสีย “อืม ปากหมาเป็นบ้า”

“พี่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับเขาหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงหึ “มีนิดหน่อย เพราะอิจฉาฉันน่ะสิ อิจฉาที่ฉันหน้าตาดีกว่าเขา ลูกค้าเยอะกว่าเขา ฉันมีค่ามากกว่าเขา ชอบจับผิดฉันทุกอย่าง น่ารำคาญชะมัด”

ลั่วอี้มองดูรถของ Luca พูดเหมือนครุ่นคิดเล็กน้อย “เขาไม่ใช่คนในพื้นที่สินะ”

“หา?” เวินเสี่ยวฮุยยังไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าทำไมลั่วอี้ถึงถามคำถามนี้ขึ้นมากะทันหัน “ไม่ใช่นะ ทำไมเหรอ”

“ไม่มีอะไร อย่าไปลดตัวกับคนพรรค์นั้นเลย”

“ฮึ คนชั่วย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ ฉันจะไม่ลดตัวไปหาคนพรรค์นั้นหรอก” เวินเสี่ยวฮุยดูนาฬิกา “นายรีบไปเข้าเรียนเถอะ”

“ได้ ไว้เจอกัน”

“ไว้เจอกัน”

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปในสตูดิโอ อันที่จริงการมาทำงานในทุกวันก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ เขาจะต้องรับมือกับเพื่อนร่วมงานปากร้าย เจ้านายจู้จี้จุกจิก ลูกค้าที่เอาใจยาก ตอนที่เขาเริ่มงานใหม่ๆ ประสบการณ์ยังไม่มากก็เหมือนกับคนดื้อรั้นที่ไม่รู้จักงอ เสียเปรียบไปไม่น้อย ตอนนี้นับได้ว่าสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงแล้ว

คนทำงานกะเช้ามีไม่มาก หลังจากเวินเสี่ยวฮุยเข้าห้องไปแล้ว มีเพียง Luca กับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงอีกสองคน คนหนึ่งคือเสี่ยวอ้ายและอีกคนคือพี่ลู่

เสี่ยวอ้ายรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เป็นญาติห่างๆ ของหุ้นส่วนคนหนึ่งของจวี้ซิง เธอค่อนข้างงุ่มง่าม โชคดีที่หน้าตาและนิสัยน่ารัก จึงเป็นเหมือนมาสคอตของสตูดิโอ พี่ลู่เป็นผู้ช่วยของหุ้นส่วนคนหนึ่งมานานหลายปีและเป็นรุ่นพี่มากประสบการณ์คนหนึ่งของที่นี่

เสี่ยวอ้ายกระโดดเหยงๆ เข้ามา “Adrian นี่นายยังไม่เปลี่ยนชุดเหรอ! พูดมา เมื่อคืนไปเกลือกกลั้วอยู่ที่ไหน”

เวินเสี่ยวฮุยโอบไหล่ของเธอแล้วพูดอย่างลึกลับ “ทำไมน้ำเสียงเธอเหมือนแม่ของฉันเลยล่ะ…มาๆๆ ฉันจะแอบบอกเธอให้”

เสี่ยวอ้ายกะพริบตาที่สดใสของเธอ โน้มตัวเข้ามาด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

จู่ๆ เวินเสี่ยวฮุยก็ตะโกนใส่หูของเธอ “บ้านญาติ!”

เสี่ยวอ้ายสะดุ้งโหยง กระโดดหนีเหมือนลูกกระต่ายขี้ตกใจ

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะวิ่งหนีไปแล้ว เสี่ยวอ้ายไล่ตามเขาพร้อมกับยกกำปั้นขึ้น

พี่ลู่เร่ง “เลิกเล่นได้แล้ว เสี่ยวอ้าย เสี่ยวฮุย พวกเธอไปเก็บผ้าขนหนูที่ตากไว้เมื่อคืนกลับมาหน่อย”

“โอเค”

ทั้งสองคนวิ่งขึ้นไปที่ดาดฟ้า ด้านบนมีราวตากผ้าสี่เส้นที่แขวนผ้าขนหนูนับร้อยผืน พวกเขาเก็บไปพลางพูดคุยกันไปพลาง

“Adi อันที่จริงฉันเห็นนายจากชั้นบนแล้ว แล้วก็ Luca ด้วย เด็กผู้ชายที่ขี่จักรยานเป็นใครเหรอ ทั้งหล่อทั้งน่ารักเชียว”

“หลานฉัน”

“ว้าว ครอบครัวนายหน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยสินะ หลานของนายมีรูปลักษณ์ของรุ่นพี่ที่เป็นรักแรกอย่างสมบูรณ์แบบเลย อายุเท่าไรแล้วล่ะ อายุเท่าไรแล้ว!”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะแล้วทำเสียงดุ “แค่สิบห้าเอง เธอคิดจะทำอะไร”

“ก็อายุน้อยกว่าฉันแค่สามปีเองนี่นา” เสี่ยวอ้ายยิ้มร่า “ช่างเถอะ ฉันรอเขาโตดีกว่า”

“ทำไม เธอทะเลาะกับแฟนอีกแล้วเหรอ”

มือของเสี่ยวอ้ายหยุดชะงัด พูดเสียงเบา “ฉันสงสัยว่าเขาจะนอกใจ”

“มีหลักฐานไหม”

“ไม่มี แค่สัญชาตญาณน่ะ” เสี่ยวอ้ายส่ายหน้า “ไม่คุยเรื่องเขาแล้ว หงุดหงิด จริงสิ ทำไมนายไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามีหลานด้วย นายเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ”

“อ่อ ลูกพี่สาวที่เป็นญาติห่างๆ น่ะ ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว เพิ่งรู้ก่อนหน้านี้ไม่นานว่าลูกชายของเธอก็อยู่ในปักกิ่งด้วย”

เสี่ยวอ้ายกะพริบตาอย่างคลุมเครือ “งั้นก็หมายความว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างนายกับเขาห่างกันมากสิถึงไม่เคยเจอกัน เมื่อคืนนายค้างบ้านเขาเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยขยี้ผมของเธออย่างแรง “เธอคิดอะไรเหลวไหลน่ะ!”

“วันๆ นายเอาแต่บ่นว่าจะตามหาหนุ่มล่ำสิบแปดเซ็นต์ไม่ใช่หรือไง ฉันนึกว่านายจะทนไม่ไหวก็เลย…”

“ชิ ฉันเป็นคนมีคุณธรรมนะ บอกอยากได้หนุ่มล่ำสิบแปดเซ็นต์ก็คือหนุ่มล่ำสิบแปดเซ็นต์ จะลงมือกับเด็กน้อยได้ยังไง”

เสี่ยวอ้ายประสานมือคารวะเขา “ข้าน้อยนับถือ”

ในช่วงเช้าปกติไม่มีลูกค้า หลังจากเวินเสี่ยวฮุยเก็บผ้าขนหนูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปฝึกแต่งหน้านางแบบกับพี่ลู่

ก่อนพักเที่ยง Raven เข้ามาและเรียกเขาเข้าไปในห้องทำงานทันที

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อยเพราะเมื่อวานเขาเพิ่งโดน Raven ดุไป

Raven มองดูท่าทางที่เหมือนเด็กผู้หญิงของเขาก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย “เมื่อคืนกลับไปคิดแล้วหรือยัง”

“คิดแล้วครับ” เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งๆ ที่เป็น Luca ที่หาเรื่องเขาก่อน แต่เขาก็ไม่กล้าพูด

“ไม่สบายใจใช่ไหมล่ะ” Raven ตรวจดูเล็บโค้งมนแวววาวที่เพิ่งลงสีเคลือบของตัวเองอย่างละเอียด

“เปล่าครับ”

“ชิ ในใจของนายคิดยังไงมันเขียนไว้เต็มหน้าหมดแล้ว ยังจะเสแสร้งอีก”

เวินเสี่ยวฮุยไม่เข้าใจว่า Raven คิดจะทำอะไรกันแน่

“ในวงการนี้น่ะนะ คนอย่าง Luca มีเยอะ เขาเป็นคนที่นายเจอคนแรกแต่ไม่ใช่คนสุดท้าย แล้วก็ไม่ใช่คนที่รับมือยากอะไรด้วย ในเมื่อนายคิดที่จะเดินเส้นทางนี้ก็ต้องเตรียมใจเรื่องนี้ไว้”

เวินเสี่ยวฮุยพูด “อ่อ” โดยที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

“นายรู้ไหมว่าใครเป็นคนแนะนำ Luca เข้ามา”

“พี่เสี่ยวเหยียน”

“ใช่แล้ว ส่วนนายมีฉันเป็นคนแนะนำเข้ามา” Raven ยังคงมองเล็บของตัวเองด้วยท่าทางสบายๆ

เวินเสี่ยวฮุยเข้าใจในทันที ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินข่าวซุบซิบว่าหุ้นส่วนทั้งสามคนต่างคิดที่จะบีบอีกสองคนออกไป น่าจะเป็นเพราะตอนที่หุ้นส่วนอย่างพวกเขาก่อตั้งสตูดิโอขึ้นมานั้น ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นสตูดิโอสไตลิสต์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ตอนนี้เมื่อเค้กก้อนใหญ่ขึ้น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากแบ่งให้คนอื่นแล้ว

Raven ยิ้มพลางเอ่ย “ทำไมนายมัวแต่ยืนล่ะ นั่งสิ”

แม้เวินเสี่ยวฮุยจะสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังตระหนักได้ว่า Raven ต้องการที่จะเอาชนะใจเขา เขารีบนั่งลง บางทีโอกาสของตัวเขาเองอาจจะกำลังมาถึงแล้วจริงๆ ก็ได้

Raven พูด “อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงการกุศลที่จัดโดย XX กรุ๊ปที่โรงแรมแชงกรีล่า เชิญแขกมาเยอะเลย ฉันก็ได้รับเชิญเหมือนกัน วันนั้นต้องแต่งหน้าให้หลี่ฮว่าด้วย นายอยากไปเป็นลูกมือฉันหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกตื่นเต้นทันที หลี่ฮว่าเป็นถึงนักแสดงหญิงแถวหน้าของประเทศและสนิทสนมกับ Raven เป็นอย่างมาก ตามปกติแล้ว Raven จะเอาผู้ช่วยของตัวเองไป ไม่ว่าอย่างไรโอกาสนี้ก็ไม่มีทางตกมาถึงมือผู้ช่วยฝึกหัดอย่างเขา คำพูดของ Raven ทำให้เขางุนงง

Rven เคาะโต๊ะ “นี่ นายพูดอะไรหน่อยสิ อย่าปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวอยู่ตรงนี้”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณครับ ขอบคุณ Raven เพราะผมตื่นเต้นเกินไป!”

Raven ชำเลืองมองเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะอาข่ายติดธุระชั่วคราว ฉันไม่พานายไปหรอกนะ นายไปแล้วก็ทำให้เต็มที่ อย่าทำให้ฉันขายหน้าเด็ดขาด”

“จะไม่ทำให้ขายหน้าเด็ดขาดครับ!”

“ไปหาซื้อเสื้อที่มันดูดีหน่อยนะ”

“ครับ!”

Raven พูดเสียงต่ำ “นายอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้ Luca รู้นะ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เขามายั่วยุนายอีก”

“วางใจเถอะครับ ผมจะไม่บอกเขา”

Raven หัวเราะ

 

เมื่อกลับถึงที่พักในตอนค่ำเวินเสี่ยวฮุยเดินหดคอเข้าไปในห้อง เฝิงเยวี่ยหวานั่งอยู่บนโซฟาพร้อมสองมือที่กอดอก มองมาด้วยสายตาแหลมคม

เวินเสี่ยวฮุยออดอ้อน “แม่ วันนี้แม่สวยแล้วก็ดูหน้าเด็กจังเลย เหมือนว่ารกแกะจะได้ผลดีอยู่นะ ผมให้เพื่อนเอามาจากฮ่องกงอีกสักสองกระปุกดีไหม”

เฝิงเยวี่ยหวาชี้ที่พื้น “คลานเข้ามา”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มแล้ววิ่งเข้าไปกอดเฝิงเยวี่ยหวา “อย่าโกรธไปเลยน่า ก็เสี่ยวอ้ายทะเลาะกับแฟน น่าสงสารออก เมื่อคืนผมก็เลยอยู่ปลอบใจเธอ”

เฝิงเยวี่ยหวาหยิกต้นขาของเขาอย่างแรง “ยิ่งโตยิ่งไม่เชื่อฟัง รู้อย่างนี้ฉันโยนแกลงถังขยะตั้งแต่ตอนนั้นก็ดีสิ”

“ตอนเด็กๆ ผมน่ารักขนาดนั้น แม่ทิ้งผมไม่ลงหรอก”

“บ้าหรือไง ตอนคลอดแกออกมาใหม่ๆ น่าเกลียดจะตาย ที่แกหน้าตาแบบนี้ หนึ่งเพราะฉันมียีนที่ดี สองเพราะฉันเลี้ยงมาดี”

“คุณแม่คนสวยพูดอะไรก็ถูกทุกอย่าง”

เฝิงเยวี่ยหวาค้อนเขา “กินข้าวแล้วยัง”

“ยังเลย กินข้าวๆ”

บนโต๊ะกินข้าวเวินเสี่ยวฮุยพูดนอกเรื่องอยู่สักพักใหญ่ๆ จากนั้นก็แกล้งพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แม่ ผมมีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งพักอยู่ที่ถนน XX ใกล้สตูดิโอมาก ญาติของเธอกลับบ้านไปแล้วก็เลยเหลือห้องว่างห้องหนึ่ง…”

เฝิงเยวี่ยหวาขมวดคิ้ว “แกคิดจะย้ายออกไปเหรอ”

“เปล่า ผมมีเงินย้ายออกไปอยู่เองซะที่ไหนล่ะ เพื่อนของผมคนนั้นขี้กลัว ก็เด็กผู้หญิงนี่นา ไม่กล้าอยู่คนเดียว อยากให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนบางวัน ช่วงนี้ผมก็เหนื่อยมากด้วย สตูดิโออยู่ตั้งไกลขนาดนั้น ทุกวันใช้เวลาอยู่บนถนนตั้งสามชั่วโมงโดยเฉพาะกะดึก กว่าจะกลับถึงห้องก็ดึกแล้ว อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยจะไหว ผมคิดว่า…ต่อไปถ้าผมต้องเข้ากะดึกก็จะไปนอนที่ห้องของเธอ”

เฝิงเยวี่ยหวาครุ่นคิด “ปลอดภัยหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่มีอะไรไม่ปลอดภัยเลย เขตพักอาศัยตรงนั้นไม่เลวเลย”

“แล้วเวลากินข้าวพวกแกจะทำยังไง”

“แหม ผู้ใหญ่สองคนยังจะอดตายได้อีกเหรอ”

“งั้นก็ได้ ฉันก็รู้สึกว่าตอนแกทำกะดึกก็กลับห้องดึกเกินไป ทุกครั้งที่แกเข้ากะดึกฉันก็ต้องรอให้แกกลับถึงห้องก่อนถึงจะนอนหลับ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกผิดเล็กน้อย แม้เขาจะไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็โกหกผู้เป็นแม่อยู่ดี แต่อย่างไรก็ตามเขาก็อยากไปที่คฤหาสน์ของลั่วอี้มากจริงๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่หย่าหย่าไหว้วานเขา ข้อดีที่สุดคือเขาสามารถผ่อนคลายจากการเดินทางไกลได้เป็นครั้งคราวซึ่งนั่นนับว่าสำคัญสำหรับเขามาก

บทที่ 8

 

ตอนกลางคืนก่อนนอน ลั่วอี้ก็ส่งข้อความมาหาเวินเสี่ยวฮุย

 

ลั่วอี้ พี่เสี่ยวฮุย พี่กำลังทำอะไรน่ะ

เวินเสี่ยวฮุย กำลังจะนอน จะทำอะไรได้อีกเล่า

ลั่วอี้ ได้ถีบขาแล้วยัง? ผมหาท่าออกกำลังกายในอินเตอร์เน็ตให้พี่ได้แล้ว ถ้าพี่ไม่มีเวลาไปฟิตเนสก็ฝึกจากคลิปนี้ได้

 

เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กคนนี้ทั้งฉลาด ทั้งมีมารยาท ทั้งเอาใจใส่ นอกจากทำทุกอย่างเป็นแล้วยังไม่เย่อหยิ่งแม้แต่น้อย ไม่สามารถหาข้อตำหนิในตัวของเด็กหนุ่มได้เลย ความกังวลต่างๆ นานาของเขาในตอนแรกหายวับไปแล้วหลังจากอยู่กับลั่วอี้มาหนึ่งคืน เขารู้สึกแม้กระทั่งว่ายินดีมากด้วยซ้ำที่ได้รู้จักกับลั่วอี้ เขากดหมายเลขแล้วโทรออก

เสียงอันไพเราะสดใสของลั่วอี้ดังมาจากปลายสาย “มีอะไรเหรอ”

“นี่ ฉันจะบอกข่าวดีให้นายฟัง”

“ข่าวดีอะไร”

“แม่ฉันเห็นด้วยแล้ว”

“ว้าว” น้ำเสียงของลั่วอี้ฟังดูมีความสุขมาก “เยี่ยมไปเลย! แล้วเมื่อไรพี่จะย้ายเข้ามา”

“ไม่ได้ย้ายออก ฉันก็บอกแล้วว่าย้ายไม่ได้นี่นา คืออย่างนี้ สัปดาห์หนึ่งฉันจะเข้ากะดึกสามครั้ง เลิกงานกะดึกก็สามทุ่มครึ่งสี่ทุ่มแล้ว กว่าจะกลับห้องก็เหนื่อยแทบตาย ฉันบอกแม่ฉันว่ามีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งอยากให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อน ฉะนั้นเวลาที่ฉันเข้ากะดึกจะไม่กลับห้อง แม่ฉันก็โอเคแล้ว”

“แบบนั้นก็ดีครับ คุณนายเฝิงจะได้ไม่เป็นห่วงพี่มากเกินไป”

“นั่นสิ ไม่งั้นฉันก็ไม่วางใจแม่ฉันเหมือนกัน” เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “งั้นนายเซฟคลิปไว้ให้ฉันก็แล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะไปลองทำ”

“ไม่มีปัญหา”

“จริงสิ ยังมีข่าวดีอีกข่าวที่จะบอกนาย”

“อืม ผมฟังอยู่”

“เจ้านายพวกเราจะพาฉันไปงานเลี้ยงการกุศลแห่งหนึ่ง มีดาราเยอะเลยล่ะ เขาเพิ่งจะพาฉันไปเป็นครั้งแรกเพราะผู้ช่วยของเขาไปต่างประเทศ ไม่อย่างนั้นโอกาสนี้ก็ไม่ตกมาถึงฉันหรอก ฉันตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับอยู่แล้ว!”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “พี่เสี่ยวฮุย พี่เจ๋งมาก”

“ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก แค่โชคดีเอง” แม้คำพูดจะดูถ่อมตน แต่น้ำเสียงของเวินเสี่ยวฮุยเจือไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่มาก

“ ‘โอกาสมีไว้สำหรับคนที่พร้อมเท่านั้น’ เพราะพี่เตรียมตัวไว้มากพอก็เลยไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดไป”

“เจ้าเด็กนี่เข้าใจพูดจริงๆ” เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะมีความสุขไม่ได้

“พรุ่งนี้พี่มานี่นะ ผมจะทำของอร่อยๆ ให้กิน พวกเราต้องฉลองกันหน่อย”

“ได้เลย” นัยน์ตาของเวินเสี่ยวฮุยเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “แปลกจังเลย ถึงจะเจอหน้านายแค่ครั้งเดียว แต่ก็เหมือนรู้จักกันมานาน ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนเลย”

“อาจจะเป็นเพราะในร่างกายของผมมีเลือดที่พี่คุ้นเคยดีไหลเวียนอยู่ล่ะมั้ง”

ใบหน้าของลั่วอี้กับลั่วหย่าหย่าผุดขึ้นมาในสมองของเวินเสี่ยวฮุย หัวใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น

“ต้องใช่แน่ๆ”

 

คืนวันต่อมาหลังจากเวินเสี่ยวฮุยเลิกกะดึกก็บึ่งไปที่คฤหาสน์ของลั่วอี้ทันที

แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แต่ไฟในคฤหาสน์ยังคงสว่างอยู่ ทันทีที่เขาเข้าไปก็เห็นจานอาหารและของว่างอันประณีตวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

เวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงร้องว้าว “นายทำอาหารเยอะมากจริงๆ ด้วย!”

ลั่วอี้พูด “ก็พี่บอกว่าตอนกลางคืนไม่ค่อยได้กินนี่ มีลูกค้าตลอด แม้แต่ข้าวกล่องก็ยังไม่ได้กิน”

เวินเสี่ยวฮุยซาบซึ้งเป็นที่สุด เพราะแม่ของเขาไม่เคยใส่ใจเขาขนาดนี้ เขาอดที่จะหยิกแก้มของลั่วอี้ไม่ได้

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ใครแต่งงานกับนายจะต้องสบายไปแปดชาติแน่ๆ”

ลั่วอี้หัวเราะ “รีบกินข้าวเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยกระโดดไปที่หน้าโต๊ะแล้วกินคำใหญ่อย่างไม่เกรงใจ เขากินไปพลางพูดไปพลาง

“คราวหน้าไม่ต้องทำเยอะแบบนี้หรอก กินตอนกลางคืนอ้วนง่ายจะตาย ฉันต้องรักษารอบเอวให้ไม่เกินเจ็ดสิบเซนติเมตร”

“ถ้างั้นตอนเช้าพี่ตื่นมาวิ่งกับผมเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ไหวหรอก ฉันตื่นไม่ไหว”

ลั่วอี้หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม “ถ้าผมอุ้มพี่ออกไป? พี่ก็จะตื่นทันที”

เวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต เขารวบรวมสติก่อนพูดคำว่า “ชิ” ออกมา “ยังไงก็ไม่ไป แผนในแต่ละวันก็คือนอนต่ออีกสิบนาที”

ลั่วอี้ยิ้มพลางส่ายหน้า

หลังกินข้าวเสร็จเวินเสี่ยวฮุยก็เอนหลังลูบท้องอยู่บนโซฟาพลางดูรายการวาไรตี้ เขาหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขัน ลั่วอี้ยังไม่ลืมคั้นน้ำผลไม้ให้เขาในระหว่างที่เก็บชามและตะเกียบ เวินเสี่ยวฮุยมีความสุขมากที่ถูกปรนนิบัติ ถ้าเขากินอิ่มแล้วนอนเหมือนคนพิการที่ห้อง มีหวังแม่ต้องตบเขาด้วยรองเท้าอย่างแน่นอน

ขณะที่กำลังดูโทรทัศน์อย่างมีความสุขอยู่นั้นจู่ๆ ลั่วอี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะกลาง และด้วยร่างกายที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรจึงบดบังหน้าจอโทรทัศน์อย่างสมบูรณ์

“โอ๊ย นายอย่าบังฉันสิ”

ลั่วอี้หยิบกล่องของขวัญกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ “พี่เสี่ยวฮุย ของขวัญสำหรับพี่”

เวินเสี่ยวฮุยดวงตาเป็นประกาย เด้งตัวขึ้นนั่งบนโซฟา “ว้าว ทำไมนายต้องให้ของขวัญฉันด้วย”

“ฉลองที่การงานของพี่ก้าวหน้า แล้วก็เป็นที่ระลึกที่พวกเรารู้จักกัน”

เวินเสี่ยวฮุยลูบมือด้วยความเขินอาย “ฉันไม่ได้เตรียมอะไรให้นายเลย…”

ลั่วอี้ยื่นกล่องของขวัญมาให้ถึงมือของเขา ดวงตาที่งดงามล้ำลึกจ้องมาที่เขาไม่กะพริบ การแสดงออกนั้นดูจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

“พี่มาอยู่ข้างกายผมก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ผมได้รับในชีวิตแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าคลื่นความร้อนพุ่งตรงไปที่กลางกะโหลกของเขา แก้มพลันร้อนผ่าวอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าตัวเองจะต้องมาหน้าแดงเพราะเด็กหนุ่มวัยสิบห้าคนหนึ่ง เขารีบรับกล่องของขวัญไว้

“อา นายใส่ใจเกินไปแล้ว ขอบคุณนะ! มะ…มันคืออะไรเหรอ”

“พี่ลองเปิดดูสิ”

เวินเสี่ยวฮุยดึงแถบริบบิ้นออก เปิดกล่องของขวัญ เสื้อเชิ้ตหนังสีดำสนิทยี่ห้อ Armani นอนแน่นิ่งอยู่ข้างในนั้น วัสดุค่อนข้างราบเรียบ สิ่งที่เคลือบหนังบางเฉียบนั้นยอดเยี่ยมจนสามารถมองเห็นลายหนังวัวได้เลือนราง กระดุมมุกสีดำเปล่งประกายแวววาวจางๆ อย่างงดงาม เส้นตะเข็บไร้ที่ติในทุกๆ ฝีเย็บได้เย็บเอาความหรูหราเรียบง่ายเข้าไปในเนื้อผ้า เวินเสี่ยวฮุยอ้าปากเล็กน้อย หลังจากตกตะลึงครู่หนึ่งก็ตะโกนเสียงดัง

“ให้ตายเถอะ สวยสุดๆ!” เขายกเสื้อขึ้นถูๆ กับใบหน้า พยายามรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสของวัสดุหนังนุ่มอย่างระมัดระวัง “โห สบายมาก สวยมาก”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พี่ชอบก็ดีแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยมองดูลั่วอี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ทำไมนายถึงได้เลือกของเก่งขนาดนี้ เสื้อตัวนี้สวยเป็นบ้า ต้องแพงมากเลยสินะ”

“ไม่เท่าไร พี่ไปร่วมงานเลี้ยงกลางคืนครั้งแรก สวมตัวนี้น่าจะเหมาะกับพี่มาก”

เวินเสี่ยวฮุยเป่าจูบส่งให้เขา “ลั่วอี้ฉันรักนายจังเลย! ฉันจะไปลองเดี๋ยวนี้!” เวินเสี่ยวฮุยถอดเสื้อยืดออกด้วยความตื่นเต้นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงนั้น

เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างผอม ผิวขาวละเอียดราวกับผ้าไร้ที่ติ มีเสน่ห์ยิ่งกว่าวัสดุผ้าราคาแพงใดๆ

ลั่วอี้มองดูเขาเปลี่ยนเสื้อทั้งอย่างนี้ เสื้อเชิ้ตหนังสีดำขับให้ผิวของเขายิ่งขาวกว่าเดิม

เวินเสี่ยวฮุยกระโดดลงจากโซฟามาถึงหน้ากระจกบานใหญ่ตรงระเบียง มันดูดีจนต้องมองซ้ายแลขวา

“ให้ตายเถอะ หล่อชะมัด ทำไมฉันถึงได้หน้าตาดีแบบนี้! มีแค่ยีนตัวนี้ที่ไม่เหมาะ”

“ขนาดของยีนกะยาก ผมก็เลยไม่ได้ซื้อ”

เวินเสี่ยวฮุยรีบพูด “อา ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะไปซื้อเสื้อพรุ่งนี้ เจ้านายอยากให้ฉันใส่เสื้อดีๆ หน่อยแต่ดันไม่ให้เบิกเงิน ฮึ”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “ผมจะทำเรื่องเบิกให้พี่เอง”

“แบบนั้นไม่ได้หรอก จะใช้เงินสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง” แม้จะบอกว่าตัวเขาสามารถจัดการเงินค่าใช้จ่ายของลั่วอี้ได้ แต่เขาก็ไม่อาจนำเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายกับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อของฟุ่มเฟือยอะไรเทือกนั้น ไม่ว่าเขาจะหน้าหนาสักแค่ไหนก็ทำไม่ลง

“ที่บ้านผมมีสูทที่ผมใส่เมื่อปีที่แล้ว พี่อยากลองหรือเปล่า ความสูงปีที่แล้วของผมไม่ต่างจากพี่มาก”

“เอาสิ ถ้าใส่ได้พอดีจะได้ประหยัดเงินด้วย”

ตู้เสื้อผ้าของลั่วอี้เรียบง่ายมากซึ่งต่างจากของสะสมที่มีอยู่เต็มห้องของเขา เสื้อผ้าถูกแยกประเภทตามฤดูกาล โอกาส และสีอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จำนวนไม่นับว่าเยอะมากทว่ามีแต่ของดี

ลั่วอี้หยิบกางเกงสองตัวออกมายื่นให้เวินเสี่ยวฮุย “พี่ลองใส่ดู”

เวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนมันอย่างสบายๆ ทันที ลั่วอี้หันหลังกลับเพื่อจัดตู้เสื้อผ้าโดยไม่มองอีกฝ่าย

“แหะๆ พอดีเลย” เวินเสี่ยวฮุยจัดๆ เสื้อผ้าหน้ากระจก ยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ “ถึงตอนนั้นฉันจะต้องถ่ายรูปโพสต์ลงเวยป๋อ ให้ Luca อกแตกตาย”

ลั่วอี้พูด “เพื่อนร่วมงานของพี่คนนั้นยังทำให้พี่ลำบากใจอยู่อีกเหรอ”

“หน้าเหม็นยังกับตูดทุกวัน ฉันไปงานเลี้ยงการกุศลครั้งนี้ยังบอกเขาไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นหลายวันนี้เขาไม่ยอมหยุดแน่”

ลั่วอี้หัวเราะ “วางใจเถอะ เขาจะไม่กวนใจพี่อีกนานเลย”

“นายรู้ได้ยังไง”

“ไว้พี่ยืนสูงกว่าเขาแล้ว เขาก็ทำได้แค่แหงนหน้ามองพี่”

เวินเสี่ยวฮุยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “นายอายุแค่นี้แต่พูดจายังกับไลฟ์โค้ช อัจฉริยะเป็นเหมือนนายทุกคนหรือเปล่านะ”

ลั่วอี้ยิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

สองมือของเวินเสี่ยวฮุยล้วงกระเป๋า ยังคงชื่นชมรูปร่างที่สูงสง่าและหล่อเหลาของตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่านิ้วสัมผัสโดนบางอย่างเข้า จึงหยิบมันออกมาตามจิตใต้สำนึก “เอ๊ะ ในกระเป๋าของนายมีอะไรบางอย่าง” เมื่อเขาหยิบออกมาดู มันคือกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกพับเอาไว้

สีหน้าของลั่วอี้มืดมนเล็กน้อย เขายื่นมือออกมาแล้วพูดเสียงเบา “ส่งมาให้ผม”

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง เดิมทีเขาไม่คิดที่จะเปิดอ่าน ทว่าการแสดงออกของลั่วอี้และน้ำเสียงที่แม้จะนุ่มนวลแต่ก็จริงจังนั้นทำให้เขาค่อนข้างตื่นตระหนก เขารีบยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้

ลั่วอี้คลี่กระดาษและกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทิ้งลงถังขยะ พูดอย่างสบายๆ ว่า “ไม่รู้ว่าใครฝากเบอร์โทรไว้ให้ผม แล้วก็ไม่รู้ว่ายัดเข้าไปตั้งแต่เมื่อไร”

เวินเสี่ยวฮุยแซว “ต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่แอบชอบนายแล้วทิ้งไว้ให้แน่ๆ นายไม่ลองโทรกลับไปดูล่ะ”

“ไม่ล่ะ ไม่จำเป็น พี่เสี่ยวฮุย พี่ยังอยากลองกางเกงตัวอื่นอีกหรือเปล่า”

“ไม่ต้องแล้ว ตัวนี้ใช้ได้เลย”

“ตอนนี้ก็ดึกแล้วพี่รีบไปอาบน้ำเถอะ นอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้กะเช้าสินะ”

“ใช่แล้ว งั้นฉันไปอาบน้ำนะ” เวินเสี่ยวฮุยจัดเรียงเสื้อผ้าสองสามตัวกับข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่เขานำมาเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ

หลังจากที่เขาออกมาลั่วอี้ก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ที่เตียง ขณะที่เวินเสี่ยวฮุยเดินผ่านถังขยะเขาก็เหลือบมองมันโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ แผ่นกระดาษที่เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งไว้ด้านบนสุดได้หายไปแล้ว เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ มันยังคงติดอยู่ในใจของลั่วอี้สินะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโทรกลับไปจริงๆ แล้วก็ได้ แต่ว่าส่วนลึกในใจของเขายังคงรู้สึกแปลกประหลาดโดยที่เขาก็อธิบายไม่ถูก

ลั่วอี้วางหนังสือลง เผยรอยยิ้มงดงามให้เขา “มาออกกำลังกายเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องออกอย่างรวดเร็ว เขากระโดดขึ้นเตียง “รีบเปิดคลิปเตะขาให้ฉันดูหน่อย”

ลั่วอี้เปิด iPad เพื่อเอาคลิปให้เวินเสี่ยวฮุยดู การสอนในคลิปนั้นบอกว่าทั้งต้องกระดกปลายเท้าทั้งต้องยืดนิ้วเท้า อีกทั้งยังต้องหายใจอย่างสอดคล้องกัน ทำให้เขารู้สึกเวียนศีรษะ

ลั่วอี้วาง iPad ลง “ผมดูหลายรอบมาก ให้ผมสอนพี่เถอะ”

“อ่อ”

ลั่วอี้ยื่นแขนออกมาจับปลายเท้าบอบบางของเวินเสี่ยวฮุย “ตอนหายใจเข้าให้ยกเท้าขึ้น…”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล

“พี่อย่ากลั้นหายใจสิ หายใจเข้า”

“อ่อๆ”

“ตอนยกเท้า…” นิ้วเรียวยาวของลั่วอี้เลื่อนจากข้อเท้าไปที่ฝ่าเท้าของเวินเสี่ยวฮุยแล้วดึงปลายเท้าของเขากลับเบาๆ “ต้องออกแรงกระดกนิ้วเท้าขึ้นแบบนี้ พอขาเหยียดตรงสุดๆ แล้วค่อยเหยียดปลายเท้าให้ตรงอีกที” พูดพลางก็ยืดนิ้วเท้าของเวินเสี่ยวฮุยอีกครั้งและดึงนิ้วหัวแม่เท้าของเขาขึ้น “ตอนนี้หายใจออก…”

เวินเสี่ยวฮุยทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาหดขากลับทันที มือทั้งสองกำเท้าแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นรัวเหมือนตีกลอง

ลั่วอี้กะพริบตา พูดด้วยความสงสัย “พี่เป็นอะไรไป”

“เอ่อ…ตอนยืด…เจ็บนิดหน่อย”

“ท่านี้ไม่ยาก ทำหลายครั้งหน่อยก็โอเคแล้ว”

“ฉันจำได้แล้ว ฉันทำเองก็ได้”

ลั่วอี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร “พี่จำได้จริงเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยรีบพูด “จำได้แล้ว ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก นอนก่อนเลย ฉันทำเสร็จก็จะไปนอนเหมือนกัน”

ลั่วอี้พูดคำว่า “อ่อ” คำหนึ่ง “ไม่เป็นไร ก็แค่แป๊บเดียว พี่ออกกำลังกายไปเถอะ ผมจะช่วยแก้ท่าให้พี่เอง”

เวินเสี่ยวฮุยหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง นึกถึงท่าออกกำลังกายในคลิปซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเริ่มเตะขาด้วยเกรงว่าจะทำผิดขั้นตอน

“พี่เสี่ยวฮุย พี่อย่ากลั้นหายใจสิ ตอนลดขาลงต้องหายใจออก” ลั่วอี้พูดพลางคิดที่จะเอื้อมมือไปจับน่องของเวินเสี่ยวฮุย

เวินเสี่ยวฮุยตะโกนเสียงดัง “ฉันรู้แล้ว!”

ลั่วอี้ตกตะลึง หลุดหัวเราะออกมา “พี่รู้อะไร”

“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”

“อ่อ งั้นก็ดี พี่ทำต่อสิ”

เวินเสี่ยวฮุยพยายามทำท่าให้ได้มาตรฐานมากที่สุดในชีวิตเท่าที่จะสามารถทำได้ และทำครบสามเซ็ตอย่างเคร่งครัด

ลั่วอี้ชม “ไม่เลว ทำได้เป๊ะมาก พรุ่งนี้ผมจะซื้อเสื่อโยคะให้พี่ ทำบนเตียงไม่ดีกับเอว”

“อ๋า ขอบคุณนะ” เวินเสี่ยวฮุยหดตัวเข้าไปในผ้าห่ม อ้าปากหาวกว้าง “นอนเถอะๆ ง่วงจริงๆ”

ลั่วอี้ปิดไฟแล้วสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มเช่นเดียวกัน เขาพูดเสียงเบา “ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์”

เตียงขนาดหกฟุตนั้นกว้างมาก ทั้งสองคนมีผ้าห่มเป็นของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแตะต้องกันและกันได้ แม้เวินเสี่ยวฮุยจะนอนหันหลังให้ลั่วอี้ แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกว่าลั่วอี้อยู่ในระยะประชิดที่ด้านหลังของเขา เมื่อมีอีกคนอยู่ข้างกาย ต่อให้ไม่ได้สัมผัสก็ยังสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่และไออุ่นของอีกฝ่ายได้รางๆ ความรู้สึกนี้แตกต่างจากเวลานอนคนเดียวโดยสิ้นเชิง

เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือออกมาลูบคลำใบหน้าของตัวเองเงียบๆ มันยังคงร้อนผ่าว

เขาแอบด่าตัวเองในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ Luca มักจะพูดติดตลกว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยพรหมจารีที่หิวโหยตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเขาจะหายใจไม่ออกจริงๆ การที่เขาหน้าแดงและหัวใจเต้นแรงเพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่านับเป็นเรื่องที่น่าอายเกินไปแล้ว เขาจะต้องหาแฟนและมีความรักอย่างจริงจัง ถ้าไฟแห่งความชั่วร้ายนี้ยังไม่ถูกระบายออกไป เขาก็คงจะหายใจไม่ออกจนล้มป่วยไม่ช้าก็เร็ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 13 มี.. 66

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: