X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชทายาทบัญชา

ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 10

 

ไป่เริ่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกลับจวนได้อย่างไร เขาสับสนมึนงงตลอดทาง จวบจนผู้ติดตามเชิญเขาลงจากเกี้ยวถึงได้สติ ไป่เริ่นเดินออกมาจากเกี้ยวในมือยังกำหนังสือส่งเสบียงที่ฉีเซียวมอบให้เมื่อครู่

ผู้ติดตามก็สัมผัสได้ว่าท่าทางไป่เริ่นผิดปกติไป จึงไต่ถามเสียงเบา “ซื่อจื่อ…ซื่อจื่อ ไม่สบายที่ใดหรือไม่”

“ไม่มี…” ไป่เริ่นส่ายศีรษะ หันหน้ามองไปทางข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูใหญ่อยู่ “เฉาเกอกลับมาหรือยัง”

ข้ารับใช้คนนั้นรีบร้อนตอบคำ “เพิ่งกลับมา เวลานี้คาดว่าอยู่ในห้องหนังสือ”

“ดี…” ไป่เริ่นพยักหน้า สองมือกำหมัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สาวเท้าเข้าประตูใหญ่ ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนอาภรณ์ มุ่งตรงไปยังห้องหนังสือ

สาวใช้สองสามคนกำลังทำงานฝีมืออยู่ตรงทางเดินนอกห้อง เห็นไป่เริ่นมาก็รีบร้อนคารวะ น้ำเสียงของไป่เริ่นแหบพร่า “ออกไปให้หมด…เฝ้าประตูเรือนให้ดี ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้า…”

เหล่าสาวใช้เห็นสีหน้าไป่เริ่นไม่สบอารมณ์ก็มิกล้าถามมาก รับคำติดๆ กันและย่อกายเล็กน้อยถอยออกไป ไป่เริ่นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนผลักประตูเข้าห้องหนังสือ

ในห้องหนังสือเฉินเฉาเกอกำลังจัดระเบียบโต๊ะเขียนหนังสือให้ไป่เริ่น ไป่เริ่นไม่ชอบให้ผู้อื่นแตะต้องของของตนตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ของพวกนี้เขายอมให้เฉินเฉาเกอแตะต้องได้ผู้เดียว ตั้งแต่เล็กจนโต…ล้วนเป็นเช่นนี้

เฉินเฉาเกอเห็นไป่เริ่นกลับมาก็พลันแย้มยิ้ม “เร็วเพียงนี้เชียว องค์รัชทายาทว่าอย่างไร”

ไป่เริ่นเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ยื่นหนังสือส่งเสบียงในมือให้เฉินเฉาเกอ เอ่ยเนิบนาบ “รัชทายาท…ให้ข้ามอบสิ่งนี้กับเจ้า…”

เฉินเฉาเกอชะงักเล็กน้อยก่อนรับมา ทีแรกเป็นความปรีดา ตามด้วยรีบร้อนเก็บสีหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยร้อนรน “นี่เกิดอันใดขึ้น ในนี้มีชื่อข้าได้อย่างไร! นี่เป็นความคิดใคร…ไม่ได้ ข้าต้องไปหาพวกเขา ข้าจะกลับหลิ่งหนานได้อย่างไร…”

เฉินเฉาเกอยกเท้าจะเดินไปด้านนอก ไป่เริ่นเห็นเขาแสดงละครตัวแข็งทื่อก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือคณา เมื่อครู่ไป่เริ่นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟคิดเพียงกลับมาประจันหน้าเฉินเฉาเกอ ถามเขาให้เข้าใจ เวลานี้กลับไม่อยากฟังอันใดทั้งนั้น เพียงเอ่ยอย่างอ่อนเพลีย “แล้วนี่…ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงที่สี่เสียงรับไว้…”

เฉินเฉาเกอใจเต้นระส่ำ รับตั๋วเงินมาอย่างลังเล ไป่เริ่นหัวเราะฝาดเฝื่อนเสียงหนึ่ง “เฉาเกอ…หากเจ้าต้องการไปบอกมาตรงๆ ก็ได้ ข้าจะถึงขั้นขวางเจ้าไว้เลยหรือ”

“ไป่เริ่น ไม่ใช่…” เมื่อเฉินเฉาเกอเห็นตั๋วเงินก็รู้ว่าเสียเรื่องแล้ว เขาไม่รู้ว่าไป่เริ่นได้ฟังมามากแค่ไหนกันแน่ ใบหน้าเขาพลันอาบด้วยสีม่วง ไม่กล้าพูดมากด้วยกลัวจะยิ่งผิดมาก เพียงเดินขึ้นหน้าไปจับมือไป่เริ่น “ไป่เริ่นเจ้าฟังข้าพูด ข้าแค่…”

ไป่เริ่นดึงมือออกอย่างรังเกียจ มองเฉินเฉาเกออย่างเย็นชา “แค่อันใด เจ้าพูดมา”

“ข้า…” เฉินเฉาเกอชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างห่อเหี่ยว “ไป่เริ่น…เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นบุตรคนเดียวของพ่อ วันนี้มาที่นี่หนึ่งเดือนแล้ว สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไรเจ้าก็รู้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาสกุลเฉินของข้าก็ไร้ผู้สืบทอดแล้ว…ไป่เริ่นหากมีแค่ข้าคนเดียวต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อเจ้าข้าล้วนไม่เกี่ยง แต่ข้าตัวคนเดียวเสียที่ไหน ด้านหลังข้ายังมีสกุลเฉินทั้งหมด…”

ไป่เริ่นได้ยินประโยคแรกก็เหนื่อยใจแล้ว ยิ้มราบเรียบ “เจ้าพูดเพื่ออันใด เจ้าอยากไป ข้าจะไม่ยอมหรือ ก่อนหน้านี้ที่หลิ่งหนานข้าพูดอย่างไรแล้วเจ้าตอบข้าอย่างไร เจ้าลืมแล้วหรือ”

เฉาเกออึ้ง สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไป่เริ่นค่อยๆ หวนรำลึกความหลัง “ข้าพูดว่า…เฉาเกอ ข้าไปครั้งนี้คงกลับมาไม่ได้แล้ว ความผูกพันของพวกเราในอดีต…เจ้าถือเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของเด็กไม่รู้ประสาเถิด วันข้างหน้าหนึ่งอยู่เหนืออีกหนึ่งอยู่ใต้จะได้พบกันอีกเมื่อใดก็สุดจะรู้ ต่างคนต่างรักษาตัว เจ้าบอกว่า…”

เสียงของไป่เริ่นยิ่งแหบพร่า “เจ้าบอกว่า เจ้าลืมไม่ลงชั่วชีวิต ไม่ว่าข้าไปที่ใด…ขึ้นสวรรค์ลงนรกเจ้าล้วนติดตาม ต่อให้วันข้างหน้าชะตาถึงฆาตต้องตายร่วมกัน ถือเป็นการธำรงมิตรภาพหลายปีนี้ของพวกเรา หากสวรรค์มีตาวันข้างหน้าได้กลับมา ข้าเป็นอ๋อง เจ้าเป็นเสนาบดี เจ้าคุ้มครองข้า…เฉาเกอคำพูดเมื่อสองเดือนก่อน เจ้าคงไม่ได้ลืมเสียแล้วกระมัง”

เฉินเฉาเกอละอายใจจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เขาเบือนหน้าไปไม่กล้ามองไป่เริ่น ไป่เริ่นไม่รู้เป็นอย่างไรเมื่อกล่าววาจานี้จบไฟโทสะในอกเมื่อครู่พลันมลายหายหมดสิ้น ไม่อยากได้คำชี้แจงข้อเท็จจริงจากเฉินเฉาเกออีก เพียงหัวเราะขื่นพลางโบกมือ “ข้าไม่โทษเจ้า เดิมก็ไม่อยากให้เจ้ามา หนึ่งเดือนนี้…เจ้าก็ทนรับความอยุติธรรมกับข้าไม่น้อย พวกเราล้วนไม่ติดหนี้กันแล้ว”

ในกายไป่เริ่นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้กระผีกเดียวและหมุนตัวเดินออกไป เฉินเฉาเกอชั่งใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตามไปอีก

 

ในจวนรัชทายาท ฉีเซียวอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะไปพลาง ฟังเจียงเต๋อชิงเล่าคำพูดที่ได้ยินมาจากสายลับไปพลาง ตอนที่ได้ยินคำสัญญารักชั่วนิรันดร์ของเฉินเฉาเกอนั้นฉีเซียวก็กลั้นไม่ไหวหัวร่อออกมา “เขาพูดเช่นนี้จริงหรือ”

เจียงเต๋อชิงพยักหน้า “นี่เป็นคำพูดเดิมของซื่อจื่อไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”

ฉีเซียวอุทานอย่างชื่นชมยิ่ง “เมื่อก่อนเป็นข้าที่ดูแคลนเฉินเฉาเกอ ฝีปากของเขายอดเยี่ยมยิ่งกว่านักเล่านิทานเสียอีก”

เจียงเต๋อชิงยิ้ม “น่าเสียดายที่เป็นเพียงลมปาก ดังคำว่าอันสามีภรรยาเดิมเป็นนกร่วมป่า ยามเผชิญทุกข์ยากต่างฝ่ายหลีกลี้หนีหาย ซ้ำร้ายเขากับซื่อจื่อไม่ได้เป็นอันใดกัน เป็นเพียงปณิธานอันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเพียงชั่วคราวเท่านั้น”

ฉีเซียวหัวเราะหยันไม่กล่าวอันใดอีก เจียงเต๋อชิงเดินเข้าไปฝนหมึก ถามเสียงอ่อน “องค์รัชทายาท…เมื่อใดจะพูดเรื่องนั้นกับซื่อจื่อ”

ฉีเซียวชะงักเล็กน้อย เม้มเรียวปากบาง เจียงเต๋อชิงเห็นฉีเซียวลังเลจึงเอ่ยตามน้ำไปว่า “ไม่อย่างนั้นรออีกสองสามวันให้ซื่อจื่อได้พักสักหน่อย เจอเรื่องราวติดๆ กันเท่านี้เขาก็รับมือลำบากแล้ว เฮ้อ…อย่างไรก็ยังเป็นเด็กอายุสิบห้า น่าสงสารยิ่ง”

ฉีเซียวเดิมยังคิดทะนุถนอมไป่เริ่นอยู่บ้าง ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดพอได้ยินคำพูดเจียงเต๋อชิงกลับยิ่งตัดสินใจได้ เขาหัวเราะเสียงเย็น “อายุสิบห้า? ทุกข์ที่ข้าประสบตอนสิบห้ามากกว่านี้มากนัก ข้าหาใช่คนรักหยกถนอมบุปผาเพียงนั้น ไม่ต้องพักแล้ว”

เจียงเต๋อชิงนึกเสียใจว่าพูดผิดไป จึงยิ้มน้อยๆ และเอ่ย “ดูพระองค์ตรัสเข้า…หากทุกคนมีนิสัยอดทนกล้าแข็งเช่นพระองค์แล้วจะแบ่งแยกระดับชั้นที่แตกต่างกันได้อย่างไร เอาเถิด องค์รัชทายาทสบายใจเป็นพอ เช่นนั้น…พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปพูดกับซื่อจื่อที่จวนหลิ่งหนานอ๋อง”

ฉีเซียวยิ้มเรียบๆ “ไม่จำเป็น ข้าพูดกับเขาเอง”

“เช่น…” เจียงเต๋อชิงนิ่งไป “เช่นนั้นจะมีข้ารับใช้ไปทำอันใด ซื่อจื่ออุปนิสัยหยิ่งทะนง เมื่อได้ยินสิ่งนี้เกรงว่าคงไม่มีคำพูดดีๆ แน่ ให้กระหม่อมไปเถิด ค่อยๆ อธิบายเหตุผลกับซื่อจื่อให้กระจ่างชัด ครั้นซื่อจื่อตระหนักได้ก็จะมาเองเป็นแน่ ไยพระองค์ต้องออกหน้าทำตัวเป็นคนเลวร้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ ”

ฉีเซียวพับหนังสือ ยิ้มเยาะหยัน “ให้เจ้าพูดข้าก็ไม่เป็นคนเลวร้ายแล้วกระนั้นรึ ไฉนต้องเสแสร้งแกล้งทำเหมือนเฉินเฉาเกอนั่น น่าสนุกอันใด”

เจียงเต๋อชิงหมดหนทางจำต้องรับคำแล้ว

 

วันต่อมาหลังประชุมราชกิจ ฉีเซียวก็สั่งคนไปเชิญไป่เริ่นที่จวนหลิ่งหนานอ๋อง คนส่งข่าวเอ่ยถ้อยคำกำกวมพูดเพียงว่า ‘ข่าวดี’ ที่ซื่อจื่อเอ่ยถึงมีวี่แววแล้ว ทันทีที่ไป่เริ่นได้ยินไหนเลยจะนั่งติดที่ แม้ในใจยังรวดร้าวกับเรื่องเฉินเฉาเกอ ทว่าก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร่งรุดมาทันใด

ครั้งนี้ฉีเซียวยังคงเชิญอีกฝ่ายมาที่ห้องหนังสือ ไป่เริ่นเข้าห้องมายังคงแสดงความเคารพตามธรรมเนียม ฉีเซียวก้าวขึ้นไปประคองเขา ถือวิสาสะจับข้อมือไป่เริ่นพลางยิ้มอ่อนโยน “ซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”

ไป่เริ่นไม่สงสัยอันใดเพียงจัดอาภรณ์ให้ดีแล้วนั่งลงอย่างสำรวม ฉีเซียวพิศมองสีหน้าไป่เริ่นอย่างละเอียด ก่อนยิ้มเอ่ย “เมื่อวานซื่อจื่อนอนไม่หลับหรือ ใต้ตาออกจะดำคล้ำทีเดียว”

“มิใช่…เมื่อคืนอ่านหนังสือดึกไปหน่อย” ไป่เริ่นฝืนยิ้มเล็กน้อย “ได้ยินว่าเรื่องนั้นรัชทายาทรู้เหตุภายในแล้วหรือ”

ฉีเซียวพยักหน้า “ใช่ เมื่อวานได้ฟังคำพูดเจ้า ข้าก็ส่งคนไปถามองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ ที่แท้มีเรื่องนี้จริงๆ จะว่าไป…หึๆ ไป่เริ่น อีกไม่นานพวกเราก็จะเป็นญาติกันแล้วนะ”

ไป่เริ่นคิดไม่ถึงว่าฉีเซียวจะพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ ถ้อยคำที่คิดไว้อย่างดีในใจไม่มีที่ทางให้ใช้ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนถามว่า “ไม่รู้ว่า…จวิ้นจู่คนใดของหลิ่งหนานเราที่มีวาสนาดีเพียงนี้หรือ”

ฉีเซียวแย้มยิ้มไม่ตอบคำ เพียงหันไปมองเจียงเต๋อชิงแวบหนึ่ง เจียงเต๋อชิงเข้าใจความหมายจึงนำข้ารับใช้ทั้งหมดถอยออกไป ฉีเซียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง เอ่ยเนิบนาบ “ก่อนหน้าข้ายังมีความกังวลระคนสงสัยว่าเหตุใดซื่อจื่อจึงใส่ใจเรื่องนี้นัก เมื่อวานสืบข่าวชัดเจนก็เข้าใจขึ้นบ้าง ซื่อจื่อ…คงไม่อยากให้พี่สาวร่วมอุทรแต่งกับข้ากระมัง”

ใจไป่เริ่นกระตุกวูบ ทว่ายังคงยิ้มสอพลอ “รัชทายาทพูดเล่นแล้ว ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์เป็นบุญวาสนายิ่งใหญ่ เพียงแต่…” ก่อนหน้านี้ไป่เริ่นรู้สึกว่าฉีเซียวเป็นคนพูดคุยด้วยยากสุดแสน ทุกเรื่องล้วนต้องพูดอ้อมค้อม อยากถามความจริงยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าวันนี้ฉีเซียวกลับเปิดประตูเห็นภูเขา ตรงไปตรงมาสุดขีดจนเขาไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไร

ฉีเซียวเห็นไป่เริ่นประดักประเดิดก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจและเอ่ยนุ่มนวล “ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องพูดวาจาน่าฟังกลบเกลื่อนข้า พูดตามจริงหากข้ามีพี่สาวร่วมอุทรก็คงไม่ยินดีให้นางแต่งออกไปไกลเช่นกัน”

ไป่เริ่นอึ้งเล็กน้อย ฉีเซียวกล่าวต่อยิ้มๆ “ไม่มีอันใดที่พูดกับข้าไม่ได้ เหล่านี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ หลังจากสตรีแต่งงานย่อมมีความยากลำบากมากมาย หากคนที่แต่งด้วยฐานะคู่ควรเหมาะสม ซ้ำยังใกล้กับบ้านเดิม เช่นนั้นวันข้างหน้ายังมีที่พึ่งพิง หากเหมือนกับโหรวจยาจวิ้นจู่…เดินทางยาวไกลนับพันหลี่มาเป็นชายารองของข้า คงเป็นการแต่งออกที่ไม่สมดั่งใจปรารถนาที่สุด”

ไป่เริ่นไม่เคยคิดเลยว่าฉีเซียวจะเข้าใจและมีเหตุผลเพียงนี้ เขาพลันเก็บสีหน้าเอ่ย “รัชทายาททรงเมตตากรุณา พูดสิ่งที่ไป่เริ่นอยากพูดแล้วทั้งหมด ไม่ขอปิดบังรัชทายาท ไป่เริ่นมีพี่สาวที่เกิดจากแม่เดียวกันแค่คนเดียว ความรักใคร่ผูกพันผู้อื่นมิอาจเทียบ โหรวจยานิสัยอ่อนโยนเกินไป ทั้งร่างกายยังไม่แข็งแรงนัก ไม่อาจเสวยสุขสำราญของเชื้อพระวงศ์ได้อย่างแท้จริง ไป่เริ่นหวังเพียงวันข้างหน้าโหรวจยาได้พบสามีที่เป็นปุถุชนธรรมดาสักคน มีชีวิตเรียบง่ายตลอดชีวิตก็พอ สิ่งอื่น…ไป่เริ่นมิกล้าคิดฝันจริงๆ”

ฉีเซียวถอนใจแผ่วเบา คนผู้นี้ยังคงเด็กเกินไป ตนแค่เอ่ยวาจาใส่ใจประโยคเดียวเขาก็ปฏิบัติตอบอย่างจริงใจ แสดงจุดอ่อนออกมาทั้งหมด หากปล่อยเขาไปอีก เช่นนั้นตนเองคงไร้ประโยชน์จริงๆ

ฉีเซียวคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นซื่อจื่อต้องการสิ่งใดหรือ”

ไป่เริ่นลุกขึ้นคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม หลุบตาเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ใช่จำต้องเป็นโหรวจยาจึงจะสำเร็จ ไป่เริ่นยังมีน้องสาวคนหนึ่ง คังไท่จวิ้นจู่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีก่อน ไม่กล้าปิดบังรัชทายาท คังไท่แม้มิได้เกิดจากชายาเอก ทว่านอกจากชาติกำเนิดสายตรงสายรองที่แตกต่างกันนั้นก็ไม่มีข้อด้อยให้เอ่ยถึงอีก รัชทายาท…หากรัชทายาทส่งเสริมไป่เริ่น ภายหน้าบุกน้ำลุยไฟไป่เริ่นล้วนไม่บ่ายเบี่ยง”

ฉีเซียวมองไป่เริ่นอย่างนึกสนุก ไม่รับปากและไม่สั่งให้ลุกขึ้น พักหนึ่งถึงแย้มยิ้มและเอ่ยช้าๆ “ไป่เริ่น…เจ้าเองก็เข้าใจ เรื่องนี้เสด็จพ่อเสด็จแม่อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ต่างก็ทรงทราบ ต้องการเปลี่ยนจวิ้นจู่กะทันหันไม่ง่ายดาย…”

หน้าผากไป่เริ่นมีเหงื่อผุดขึ้นชั้นหนึ่ง น้ำเสียงทวีความนบนอบ “เป็นไป่เริ่นบังอาจแล้ว ทว่า…ขอรัชทายาทโปรดช่วยให้สมปรารถนา”

“ไป่เริ่น มิใช่เป็นข้าที่ช่วยเจ้าให้สมปรารถนา…” ฉีเซียวโน้มตัวลงประคองไป่เริ่นลุกขึ้น ก่อนออกแรงที่มือดึงเขาเข้ามาในอ้อมแขนตรงๆ ก้มหน้าหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต้องดูว่าเจ้าช่วยให้ข้าสมความปรารถนาหรือไม่…”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป


หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: