X
    Categories: ข้าผู้นี้··· วาสนาดีเกินใครทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน ข้าผู้นี้… วาสนาดีเกินใคร บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 2

จางต้ากับบ่าวรับใช้ที่ออกมาพร้อมกันคอยยืนห่างออกไปทางข้างหลัง มองดูเงาแผ่นหลังของคุณหนูที่ยืนอยู่ตรงทำนบของท่าเรือแห่งนั้นพร้อมคาดเดาบางอย่างได้รางๆ

พ่อลูกรักใคร่กันลึกซึ้ง พรุ่งนี้คุณหนูออกเดินทางขึ้นเหนือเตรียมตัวแต่งงาน คืนนี้ย่อมมีเรื่องให้ครุ่นคิดจึงได้มารำลึกถึงนายท่านที่จากไปแล้วยังที่แห่งนี้ ในใจเองก็รู้สึกสะท้อนใจ ไม่กล้ารบกวนนาง หลังรอเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ก็หันไปส่งสายตาให้ถานเซียง

ถานเซียงเข้าใจ เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเจินจยาฝูพลางเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ ดึกแล้วอากาศหนาว มิสู้กลับกันดีหรือไม่เจ้าคะ”

เจินจยาฝูหันกลับมาเงียบๆ นำของไหว้และธูปที่ผ่านพิธีรำลึกถึงแล้วโยนทิ้งทะเลไปตามธรรมเนียม แล้วจึงเดินกลับมา

จางต้ารีบเลิกม่านเกี้ยวขึ้น เจินจยาฝูก้าวขึ้นเกี้ยว ทว่ายามที่จางต้ายกโคมไฟขึ้นเตรียมจะออกเดินทางกลับ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาคนสองคนอยู่อีกฝั่งกำลังยกสิ่งของบางอย่างเดินตรงมาทางนี้ ทันใดนั้นสองคนนั้นก็สังเกตเห็นว่าที่ท่าเรือมีคนอยู่ ท่าทางคล้ายดูลนลานขึ้นมา รีบร้อนกลับตัวเตรียมหนีไปทันที

อาศัยแสงจากดวงจันทร์ จางต้าจดจำได้แต่แรกแล้วว่าสองคนนั้นเป็นลูกจ้างของสกุลจินที่มีการแข่งขันทางการค้ากับสกุลเจิน

ทุกวันในเมืองเฉวียนโจวมีเรือเล็กใหญ่นับพันมาจอดที่ท่า แต่จำนวนท่าเรือมีจำนวนจำกัด จึงมักจะเกิดความขัดแย้งกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่ดีที่สุด พ่อค้าที่มีกำลังเงินหนาบางส่วน เพื่อจะทำให้เรือของตนเองเดินทางเข้าออกได้สะดวกก็จะจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยให้กับด่านเก็บจังกอบเรือ เพื่อเช่าท่าเรือ อนุญาตให้แค่เรือของสกุลตนเองใช้งานเท่านั้น กำลังเงินของสกุลเจินที่เฉวียนโจวไม่เป็นสองรองใคร ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางท้องถิ่นเองก็ดี ย่อมมีท่าเรือส่วนตัวในตำแหน่งที่ดียิ่ง

ดึกดื่นเช่นนี้ลูกจ้างสกุลจินกลับทำตัวลับๆ ล่อๆ แบกอะไรไม่รู้มาทางท่าเรือของสกุลเจิน ในใจจางต้านึกสงสัยครามครัน หลังเอ่ยบอกเจินจยาฝูที่อยู่ในเกี้ยวแล้วก็รีบไล่ตามไปทันที เห็นเพียงเสื่อฟางผืนเก่าที่ม้วนเอาไว้ผืนหนึ่ง ภายในนั้นไม่รู้ว่าห่อสิ่งใดเอาไว้ เขาจึงตวาด “หยุดนะ! ที่แบกมาคือสิ่งใดกัน!”

ลูกจ้างสองคนนั้นย่อมคาดไม่ถึงว่าดึกดื่นเพียงนี้ที่ท่าเรือของสกุลเจินจะยังมีคนอยู่อีก จึงหันหน้ากลับ สับขาแบกของหนีทันควัน แต่ด้วยความร้อนตัวเลยไม่ทันจับเสื่อที่ม้วนเอาไว้ให้ดี เงาสีดำกองหนึ่งจึงไถลจากปลายด้านหนึ่งของเสื่อม้วนตกมาบนพื้น ลักษณะคล้ายคน

เมื่อจางต้ายกโคมขึ้นส่องก็พบว่าเป็นเด็กอายุราวสิบสามสิบสี่ปีผู้หนึ่ง เสื้อผ้าเก่าขาด รูปร่างผ่ายผอมยิ่ง ดวงตาปิดสนิท ดูเหมือนจะตายไปแล้ว

จางต้าทำงานอยู่ที่ท่าเรือมานาน มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น ยามนั้นก็เข้าใจเรื่องราวในทันที จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันใด พุ่งเข้าไปจับตัวสองคนนั้นที่ตั้งใจจะหลบหนีเอาไว้ ตวาดอย่างโมโห “ดียิ่ง! ดึกดื่นเอาศพมาโยนทิ้งก็ยังเข้าใจได้ แต่ถึงกับกล้ามาทิ้งอยู่ที่ท่าเรือของเจ้านายข้า ตามข้าไปหาเจ้าหน้าที่เดี๋ยวนี้เลย!”

เดิมทีการค้าทางทะเลของเฉวียนโจวคึกคัก คนกว่าครึ่งเมืองต่างอาศัยทะเลหาเลี้ยงชีพ การใช้ชีวิตอยู่บนทะเลกับบนบกย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงมีมากยิ่งกว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ เกิดเป็นความเชื่อและข้อห้ามจำนวนมากที่ไม่ว่าผู้ใดล้วนแต่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการทิ้งศพไว้ที่ท่าเรือก็คือหนึ่งในนั้น ในสายตาของคนท้องถิ่นแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องอัปมงคล วิญญาณน้ำพยาบาทไม่ยอมจากไปที่ใด จะคอยสิงสู่หลอกหลอนอยู่ในเรือลำที่จอดอยู่ใกล้ๆ ไม่เป็นมงคลต่อเจ้าของเรือแม้แต่น้อย

ลูกจ้างเห็นว่าไม่มีทางปิดบังได้แล้ว จางต้ายังโมโหบอกว่าจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ในใจหวาดกลัว พลันคุกเข่าลงพื้นเสียงดังตึง ร้องขอความเมตตาไม่หยุด บอกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ทำงานอยู่ที่อู่ต่อเรือสกุลตน ทั้งไม่มีครอบครัว เมื่อไม่กี่เดือนก่อนติดโรค บัดนี้เห็นว่าใกล้ตายแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านนำเรื่องไปรายงานต่อนายท่านจิน นายท่านจินไม่อยากแจ้งทางการให้เป็นเรื่องเป็นราว ที่ผ่านมายังอิจฉาสกุลเจินที่ได้ครอบครองท่าเรือตำแหน่งที่ดีที่สุดมาโดยตลอด จึงนึกวิธีการหนึ่งขึ้นมาได้ สั่งให้คนอาศัยช่วงกลางดึกที่ฟ้ามืดนำตัวคนไปโยนทิ้งในทะเลบริเวณท่าเรือสกุลเจิน เมื่อศพถูกพัดไปตามคลื่น ไม่เพียงแต่จัดการคนได้สะอาดหมดจด ต่อให้ดวงวิญญาณจะไม่จากไปที่ใดก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลตนเองแล้ว

ท่าเรือเมืองเฉวียนโจวรวบรวมผู้คนนับไม่ถ้วนที่มาหากินอยู่ที่นี่ ถึงแม้ทางการจะออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามไม่ให้ใช้งานบุคคลที่ไร้ทะเบียน แต่นั่นก็เป็นแค่คำสั่งเปล่าๆ เท่านั้น ด้วยเพราะค่าแรงต่ำ พวกอู่ต่อเรือจึงชอบจ้างคนจรจัดที่มาจากข้างนอกมากกว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ดูท่าแล้วก็คงเป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่โชคร้าย บัดนี้ป่วยตายไปเสียแล้ว

จางต้ายิ้มเย็น “ช่างไม่รู้จักกลัวเวรกรรมบ้างเลย! ไป! ไปหาคนของทางการ ดูว่านายท่านของพวกเจ้าจะพูดอะไรได้อีก!”

ลูกจ้างหวาดกลัวถึงที่สุด คุกเข่าอยู่บนพื้นร้องขอความเมตตาไม่หยุด บอกว่าพวกตนถูกบังคับให้ทำ ไม่เกี่ยวข้องด้วยแม้แต่น้อย

เจินจยาฝูได้ยินเสียงดังโวยวายจึงลงจากเกี้ยวไปดูเหตุการณ์ จางต้าเห็นแล้วก็รีบร้อนวิ่งมาหา “คุณหนูอย่าเดินเข้ามาขอรับ ที่นี่ไม่สะอาด!”

ลูกจ้างเห็นว่าคุณหนูสกุลเจินก็อยู่ด้วย รู้ว่าหากพวกเขาถูกส่งไปพบคนของทางการ นายท่านจินจะเป็นเช่นไรบ้างนั้นไม่อาจรู้ แต่ที่รู้คือพวกเขาสองคนจะต้องเดือดร้อนแน่แล้ว จึงเปลี่ยนไปขอร้องนางแทน น้ำหูน้ำตานองหน้า

เจินจยาฝูขมวดคิ้ว เหลือบสายตามองไปยังคนบนพื้น

“เขายังไม่ตายเจ้าค่ะ! เมื่อครู่บ่าวเหมือนเห็นเขาขยับตัวเล็กน้อย!”

ถานเซียงพลันร้องออกมา

จางต้ารีบยกโคมไฟขึ้นส่อง เห็นเปลือกตาของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นกระตุกน้อยๆ ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ

เจินจยาฝูมองไป

ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟ สะท้อนใบหน้าดูดีของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แต่อาจเพราะป่วยหนักเกินไป ดวงตาของเขาจึงคล้ายมีฝ้ามัวชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ มืดหม่นไร้ประกาย

ดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้นั้นจะได้สติกลับมาเล็กน้อย สายตาค่อยๆ กลับมารวมกัน จับจ้องไปยังเจินจยาฝูที่คลุมเสื้อกันลมยืนอยู่ข้างกายนิ่งๆ โดยที่ร่างกายไม่ไหวติง

เมื่อลูกจ้างสกุลจินเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่างพากันผ่อนลมหายใจออกมา รีบร้อนลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น ทางหนึ่งห่อตัวเด็กหนุ่มกลับเข้าไปในเสื่อฟางเก่าส่งๆ อีกทางเอ่ย “พวกเราจะส่งเขากลับไปทันที เดี๋ยวนี้ ทันทีทันใดเลยขอรับ!”

ใบหน้าเด็กหนุ่มถูกเสื่อฟางบดบังไปแล้ว ลูกจ้างยกเสื่อม้วนขึ้น รีบร้อนเดินจากไป

จางต้ารู้ว่าทั้งสองคนยกเด็กหนุ่มกลับไปเช่นนี้ก็แค่รอให้เขาตาย จากนั้นค่อยหาสถานที่จัดการอีกทีเท่านั้น แต่เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา ได้แต่โทษที่ชีวิตเด็กหนุ่มไม่ดีเอง เมื่อนึกถึงเรื่องที่พรุ่งนี้เจ้านายต้องออกเดินทางแต่เช้า ในเมื่อเรื่องราวถูกพบเห็นเข้าแล้ว คาดว่าสองคนนั้นย่อมไม่กล้ากลับมาทิ้งศพยังท่าเรือสกุลตนอีกแน่ ดังนั้นจึงปล่อยไป หันกลับมาเชิญเจินจยาฝูกลับขึ้นเกี้ยวแทน

เจินจยาฝูหันหลังกลับ ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพแววตาที่เด็กหนุ่มผู้นั้นมองมาที่ตนเองเมื่อครู่นี้อีกครั้ง ฝีเท้าอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักลงเล็กน้อย

นั่นเป็นสายตาของคนใกล้ตายที่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ความสิ้นหวังและความหวังที่มีอยู่ในนั้น นางรู้ซึ้งและกระจ่างชัดยิ่งกว่าผู้ใด

นางหันหน้ากลับไป มองไปยังแผ่นหลังของคนเหล่านั้นอีกครั้ง ลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายยังคงเอ่ย “ลุงจาง เก็บเด็กคนนี้เอาไว้ที่ท่าเรือสกุลเราเถอะ เชิญท่านหมอมาดูอาการให้เขาด้วย หากสามารถรักษาได้จะดีที่สุด แต่หากไม่รอดก็นำเขาไปฝังเสีย”

จางต้านิ่งอึ้ง ก่อนจะเข้าใจในทันที คุณหนูเกิดความเห็นใจขึ้นมา ไม่อาจทนมองเด็กหนุ่มผู้นั้นต้องกลับไปรอความตายได้

คนที่ถูกจ้างมาทำงานในอู่เรือสกุลเจินมีอย่างน้อยนับร้อย แล้วก็ไม่เดือดร้อนหากจะมีเพิ่มมาอีกสักคน ในเมื่อคุณหนูเปิดปากแล้ว เขาย่อมต้องทำตาม ผงกศีรษะเอ่ย “คุณหนูจิตใจดีมีเมตตา บ่าวจะไปจัดการทันทีขอรับ” เอ่ยจบก็เดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว ตะโกนไปทางลูกจ้างทั้งสอง สั่งให้พวกเขารีบยกคนไปยังท่าเรือสกุลเจิน

ลูกจ้างทั้งสองแค่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าพ่อบ้านให้ออกมาทิ้งศพ นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น กำลังลอบก่นด่าความอับโชคของพวกตนก็ได้เห็นจางต้าเต็มใจรับช่วงต่อกะทันหัน ต่างพากันผ่อนลมหายใจแล้วรีบยกตัวคนกลับมาทันที เอ่ยประจบเอาใจไม่หยุดไปพลางสับขาวิ่งกลับไปยังอู่เรือสกุลเจินไปพลาง จางต้าสั่งให้ผู้ติดตามมาดูแลต่อ ส่วนตนเองคุ้มกันคุณหนูกลับคฤหาสน์สกุลเจิน

ตอนนี้เป็นช่วงยามจื่อแล้ว เจินจยาฝูเอ่ยถามบ่าวเฝ้าประตู จึงได้รู้ว่าพี่ชายเจินเย่าถิงยังคงไม่กลับมา

แต่ก่อนก็ไม่ใช่ว่าพี่ชายไม่เคยไม่กลับบ้านทั้งคืนมาก่อน แต่พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า ทว่าในคืนนี้เมื่อชาติก่อนเจินจยาฝูจำได้ว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใดกันแน่ ในใจนึกกังวล รวมเข้ากับที่มีเรื่องราวมากมายในใจ ยามดึกที่เหลือไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ…

รุ่งเช้าวันต่อมาเจินจยาฝูลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้า เพิ่งจะเกล้าผมเปลี่ยนเป็นชุดออกเดินทางเสร็จก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากในลาน ประตูถูกคนผลักเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด เมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นพี่ชายก้าวเท้าเข้ามา บนร่างเขายังคงเป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน รู้ได้ว่าเขาไม่ได้กลับมาเลยตลอดทั้งคืน ตอนที่นางเดินเข้าไปต้อนรับและคิดถามว่าเขาไปที่ใดมา กลับเห็นเขาหยิบกล่องใบหนึ่งมาจากด้านหลัง สองมือประคองมาตรงหน้านางดุจถวายของล้ำค่าพร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “น้องสาว รีบเดาเร็ว ภายในกล่องนี้คืออะไร”

ตัวกล่องทำมาจากไม้กฤษณา ด้านบนประดับพวกเปลือกหอยและอัญมณีต่างๆ เอาไว้ หรูหราอย่างยิ่ง เพียงแค่กล่องใบนี้ก็ราคาไม่ธรรมดาแล้ว

เจินจยาฝูมองดูคราหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “พี่ชาย เมื่อวานพี่ไปที่ใดมา เหตุใดถึงไม่บอกกันก่อน ท่านแม่เป็นกังวลมากนัก”

เจินเย่าถิงโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่ได้กลับมาแล้วหรอกหรือ ประเดี๋ยวค่อยเล่าให้เจ้าฟัง เจ้ารีบเดาก่อนเร็วเข้า!”

เจินจยาฝูไม่ยอมเดา หันหลังกลับไม่สนใจเจินเย่าถิงอีก

เขาร้อนใจในทันที เปิดกล่องออกเองพร้อมตะโกน “มุกเงือกม่วง! นี่เป็นถึงสร้อยมุกเงือกม่วงเชียวนะ ของล้ำค่านี่ข้าต้องไล่ตามมาตลอดทั้งคืนจึงซื้อกลับมาได้ ตั้งใจเอามามอบให้เจ้า”

เจินจยาฝูหันหน้ากลับมา มองไปยังสร้อยคอในกล่องเส้นนั้นอย่างประหลาดใจ “พี่ซื้อมาจากที่ใดกัน”

เจินเย่าถิงได้ใจยิ่ง เอ่ยเล่าความเป็นมารอบหนึ่ง

ที่แท้เมื่อวานตอนที่เขาติดตามทำธุระอยู่กับจางต้า พลันได้ยินคนสนทนากันว่ามีพ่อค้าต่างแคว้นผู้หนึ่งมาจากปอซือในมือมีสร้อยคอที่เล่าลือกันว่าร้อยด้วยมุกเงือกม่วง ได้ยินมาว่าเฉวียนโจวเป็นสถานที่ที่ผู้คนร่ำรวย เดิมทีตั้งใจมาขายด้วยราคาสูงลิ่ว ทว่าหาลูกค้าที่ซื้อไหวไม่พบเสียที วันนี้ก็ต้องออกเดินทางกลับแล้ว

พรุ่งนี้น้องสาวต้องเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปแต่งงานแล้ว ช่วงไม่กี่วันที่กลับมาจากวัดซีซานกลับถูกของไม่ดีเข้าให้ ดูไม่เป็นมงคลอยู่บ้าง แม้เจินเย่าถิงจะชอบทำตัวเหลวไหล แต่ก็รักถนอมน้องสาวผู้นี้มาก ทั้งนึกถึงคำพูดที่เมื่อวานตนเองถูกมารดาสั่งสอน บอกว่าน้องสาวแต่งเข้าสกุลเผยแม้จะดูมีหน้ามีตา แต่วันหน้าจะต้องได้รับความลำบากต่างๆ นานาไม่น้อยแน่ อยากให้เขาตั้งใจเล่าเรียน จะได้เป็นที่พึ่งให้น้องสาวได้ ยามนั้นเขาผงกศีรษะรับปากอย่างเชื่อฟัง แต่ความจริงแค่หันตัวกลับก็ลืมแล้ว ยามได้ยินคำว่ามุกเงือกม่วง คนเหล่านั้นยังคอยวิพากษ์วิจารณ์ถึงความหายากของสมบัติชิ้นนี้ไม่หยุด ในใจก็เกิดความคิดที่จะซื้อมามอบให้นางทันที หลังถามถึงที่อยู่ของชาวปอซือผู้นั้นแล้วรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ย่านชาวต่างแคว้น สถานที่ที่คนจากต่างแคว้นจะไปรวมตัวกัน ยามนั้นก็รีบไล่ตามไปทันที เมื่อมาถึงกลับไม่พบตัว หลังสืบข่าวถึงได้รู้ว่าชาวปอซือผู้นั้นเห็นว่าไม่มีคนซื้อ ด้วยความผิดหวังจึงออกเดินทางจากไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

เจินเย่าถิงมีใจอยากซื้อสร้อยคอให้ได้ จึงถามถึงทิศทางที่ชาวปอซือเดินทางแล้วไล่ตามไป เมื่อวานเย็นเขาถึงได้ไล่ตามจนพบที่จุดพักเปลี่ยนม้า ตอนแรกชาวปอซือผู้นั้นไม่ยอมขาย แต่ยิ่งเขาไม่ยอมขาย เจินเย่าถิงก็ยิ่งอยากจะซื้อ เสนอราคาสูง ถกเถียงกันอยู่นาน จวบจนตอนท้ายในที่สุดก็บีบคั้นให้ชาวปอซือผู้นั้นยอมปล่อยมือจากของได้ เขานำของล้ำค่านี้เร่งรีบเดินทางกลับมาทั้งคืน วันนี้ตอนเช้าเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เขาก็ไม่มีเวลาไปสนใจความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง รีบวิ่งมามอบของล้ำค่านี้ให้น้องสาวก่อน

เจินจยาฝูตกใจไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนพี่ชายจะไม่กลับมาทั้งคืนด้วยเหตุนี้ หลังมองดูสร้อยคอคราหนึ่ง เห็นเป็นสร้อยที่ร้อยมาจากไข่มุกสีม่วง ไข่มุกแต่ละเม็ดมีขนาดเท่าปลายเล็บนิ้วก้อย ทั้งยังกลมกลึงอย่างหาได้ยาก เกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิ ย่อมเป็นของดี แต่กลับไม่ใช่มุกเงือกม่วง

ในอดีตตอนอยู่วังหลวง นางเคยเห็นมุกเงือกม่วงที่ราชทูตต่างแคว้นนำมาถวายให้จางฮองเฮา

แม้ชื่อมุกเงือกม่วงจะมีคำว่าสีม่วง ทว่าความจริงแล้วกลับไม่ได้มีสีม่วง แต่เป็นสีชมพูอมแดง เพียงแค่เวลานำไปส่องกับแสงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับชื่อนี้มา ด้วยความหายากต่อให้มีเงินก็ยากจะได้มา หลังฮองเฮาได้มาแล้ว ตอนนั้นยังตั้งใจเรียกเจินจยาฝูไปชื่นชมยังตำหนักของพระนาง บอกว่าหากนางชอบก็จะประทานต่อให้

เจินจยาฝูจะกล้ารับมาได้อย่างไร ยามนั้นจึงโขกศีรษะปฏิเสธอย่างสุภาพ หลังกลับมายังคิดถึงบิดาตนเองจนเศร้าใจไปหลายวัน ด้วยเหตุนี้จึงจดจำได้อย่างแม่นยำ

“ข้าจะสวมให้เจ้านะ น้องสาว เมื่อเจ้ามีมุกเงือกม่วงแล้ว วันหน้าจะต้องชีวิตราบรื่น มั่งคั่งสงบสุขอย่างแน่นอน!”

เจินเย่าถิงหยิบมุกเงือกม่วงออกมาพลางเอ่ยด้วยความดีใจ

เจินจยาฝูรู้แก่ใจว่าพี่ชายตกหลุมพรางของชาวปอซือผู้นั้นเข้าแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของเขา ทว่าดวงตากลับสว่างสดใส นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เดิมทีตัดใจทำลายความสุขของเขาไม่ลง แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาเป็นผู้สืบทอดกิจการสกุลเจิน ถ้าเกิดเอาแต่หลงเชื่อผู้อื่นง่ายๆ ทำตัวเลอะเลือนเช่นนี้ วันหน้าเกรงว่าจะต้องเสียเปรียบอีก หลังลังเลอยู่เล็กน้อยจึงเอ่ยว่า “พี่ชาย พี่ถูกหลอกแล้ว นี่ไม่ใช่มุกเงือกม่วง ข้าเคยได้ยินคนบอกว่าที่ได้ชื่อมุกเงือกม่วงนี้มาเป็นเพราะมันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ตัวมันไม่ได้มีสีม่วงจริงๆ”

เจินเย่าถิงนิ่งอึ้ง จ้องไปยังสร้อยคอจนดวงตาแทบถลน สีหน้าเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ พร้อมตวาดอย่างโมโห “ดียิ่ง เจ้าลูกเต่านั่นกล้าหลอกลวงข้า! ข้าจะสั่งให้คนไล่ตามไปทันที หากจับตัวได้ล่ะก็ จะต้องหักกระดูกมันให้ได้!” เขารีบร้อนออกไปสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา หลังกลับมาก็จ้องเขม็งไปที่สร้อยคอ ยิ่งมองยิ่งโมโห พลันคว้ามันเขวี้ยงลงพื้นแล้วยกเท้าขึ้นเตรียมขยี้ซ้ำ

เจินจยาฝูรีบห้ามเอาไว้ นางเก็บสร้อยคอขึ้นมาแล้วเอ่ย “พี่ชาย ดูท่าคนผู้นั้นคงจะรู้จักชื่อเสียงของท่าน ไข่มุกนี้มีราคาแพง เขาขายไม่ออก ดังนั้นถึงได้จงใจล่อลวงพี่ไปซื้อ คนผู้นี้คงตามหาตัวไม่เจอแล้วเป็นแน่ แต่ในสายตาข้า นี่นับเป็นน้ำใจจากพี่ แม้มิใช่มุกเงือกม่วง แต่ก็ถือว่ามีค่าเช่นกัน ข้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี เพียงแต่พี่ชาย วันหน้าก่อนที่พี่จะทำอะไร จำไว้ว่าต้องใคร่ครวญให้มาก หรือไม่ก็ปรึกษาบรรดาพ่อบ้านเสียก่อน อย่าได้เชื่อถือผู้อื่นโดยง่ายเช่นนี้อีก ป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงอีกครั้ง”

เดิมทีเจินเย่าถิงรู้สึกโมโหอยู่เต็มท้อง แทบอยากเหยียบของสิ่งนี้ให้แตกละเอียดจึงจะคลายโทสะได้ เมื่อได้ยินเจินจยาฝูว่าเช่นนี้ เพลิงโทสะก็ค่อยๆ สลายหายไป เขาเกาหัวพลางหัวเราะแหะๆ ตอบรับ “ข้ารู้แล้ว คำสั่งสอนของท่านย่ากับท่านแม่ข้าล้วนจดจำขึ้นใจ หนนี้แค่รีบร้อนไปหน่อย เกรงว่าจะไม่ทันเจ้าออกเดินทางไปแต่งงานถึงได้ประมาทถูกคนหลอกเข้าให้ วันหน้าข้าจะคอยระวังตัวให้มากแน่นอน”

เจินจยาฝูสวมสร้อยคอ เดินมาส่องดูหน้าคันฉ่อง ก่อนหันหน้ากลับไปยิ้มเอ่ย “ขอบคุณพี่ชายแล้ว ข้าชอบมากเจ้าค่ะ”

เมื่อเมิ่งซื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่เมื่อคืนบุตรชายไม่กลับมาทั้งคืนก็เพื่อซื้อสร้อยคอให้น้องสาว หลังต่อว่าไม่กี่ประโยคนางก็ปล่อยคนไป เนื่องจากสัมภาระทั้งหมดถูกขนขึ้นเรือไปตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ตอนเช้าหลังนำบุตรชายบุตรสาวทั้งสองคนไปบอกลาท่านย่า คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางไปยังท่าเรือเพื่อขึ้นเรือทันที

ก่อนหน้าที่ถานเซียงจะออกเดินทาง ได้มอบกล่องบรรจุต้งหลงเหน่ากล่องหนึ่งให้ป้าหวังคนเมื่อวานผู้นั้น ภายในนั้นมีอยู่ยี่สิบตลับเล็กๆ ซึ่งสื่อถึงความสมบูรณ์เพียบพร้อม บอกว่าคุณหนูสั่งการเอาไว้ ให้นางนำไปเป็นสินเจ้าสาวของบุตรสาว ป้าหวังยินดีระคนประหลาดใจอย่างมาก ทั้งยังซาบซึ้งใจถึงที่สุด “คุณหนูออกเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้จะต้องราบรื่น ประสบความสำเร็จสมดั่งใจหวัง ได้แต่งกับสามีที่ดีพร้อม สวรรค์ประทานพรให้อย่างแน่นอน!”

 

การออกเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ แม้ก่อนออกเดินทางจะคำนวณวันเดินทางมาอย่างดีแล้ว แต่เพื่อเป็นการรับรองว่าจะสามารถไปถึงทันงานวันเกิดอายุครบหกสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยในเดือนหน้า แผนการเดินทางจึงยังเตรียมการอย่างค่อนข้างรัดกุม ออกเดินทางจากท่าเรือเฉวียนโจวมุ่งสู่เส้นทางเดินทะเล ผ่านเมืองฝูโจว รอเข้าไปยังเจียงหนาน ก็จะเปลี่ยนไปใช้คลองภายในแคว้นแล้วเดินทางต่อไปถึงเมืองหลวง

ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนหน้า ฮูหยินของสกุลซ่งก็ส่งบ่าวหญิงอาวุโสคนสนิทสองคนมายังคฤหาสน์สกุลเจินที่เฉวียนโจวแล้ว ยามนี้ได้ออกเดินทางกลับมาด้วยกัน

แม้สกุลซ่งจะเป็นญาติกับสกุลเผยผ่านการเกี่ยวดองก็จริง แต่นี่สกุลเจินจะแต่งบุตรสาว ให้สกุลอื่นส่งคนมาร่วมเดินทางด้วยได้อย่างไร เรื่องนี้หากให้เล่าจริงๆ ก็เรียกได้ว่ามีความเป็นมาอยู่

แต่ก่อนบุตรสาวสกุลซ่งแต่งให้กับเผยซิวจื่อบุตรคนรองของบ้านใหญ่สกุลเผย เมื่อไม่กี่ปีก่อนป่วยตายไป เหลือทิ้งบุตรชายเอาไว้ผู้หนึ่ง มีชื่อเล่นว่าเฉวียนเกอเอ๋อร์ ซ่งฮูหยินมีแค่บุตรสาวคนโตคนนี้คนเดียว หลังบุตรสาวจากไปก็โศกเศร้าอย่างมาก ยิ่งรักถนอมเฉวียนเกอเอ๋อร์ดุจชีวิต

สายน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน หลังฮ่องเต้น้อยสวรรคต ซุ่นอันอ๋องขึ้นครองราชย์ ด้วยสกุลซ่งมีความดีความชอบเนื่องจากให้การสนับสนุนจึงได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ สองปีมานี้หน้าที่การงานก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีอำนาจกดดันผู้คน และที่กลายเป็นสิ่งเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือการตกอับของจวนเว่ยกั๋วกงนั่นเอง

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยของจวนเว่ยกั๋วกง หลายปีมานี้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ถามถึงเรื่องราวภายนอกแล้ว ยามนี้บุตรชายคนโตของเว่ยกั๋วกงเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน บุตรชายคนรองก็มีตำแหน่งขุนนางไม่สำคัญ สกุลซ่งยากจะไม่แสดงท่าทีวางอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มที่จะละเลยต่อธรรมเนียมประเพณี ซ่งฮูหยินมักมาเยี่ยมเฉวียนเกอเอ๋อร์ที่จวนเว่ยกั๋วกงอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่มาล้วนแต่วางท่าสูงส่ง ขาดแค่ไม่สั่งการบ่าวรับใช้เท่านั้น ในใจซินฮูหยินไม่พอใจ แต่บุตรชายยังต้องหวังพึ่งสกุลของสะใภ้คนแรกสนับสนุน จึงได้แต่ข่มกลั้นโทสะ รับมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

หลังบุตรชายเป็นม่าย ซินฮูหยินก็ตัดสินใจเรื่องแต่งภรรยาเอกใหม่ด้วยตนเอง แต่สกุลเผยในยามนี้ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อน เรื่องที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไม่โปรดปรานสกุลเผย คนมีตาคนใดที่มองไม่ออกบ้าง สกุลที่มีอำนาจในเมืองหลวงสกุลใดจะยอมแต่งบุตรสาวเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นยังแต่งมาเป็นภรรยาเอกคนที่สองด้วย

ซินฮูหยินเลือกไปเลือกมา สุดท้ายสายตาจึงไปตกอยู่ที่สกุลเจิน

เป็นเพราะสกุลเจินมีความสัมพันธ์ทางญาติกับเมิ่งฮูหยินของบ้านรอง จึงได้ไปมาหาสู่กับสกุลเผยตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน นอกจากศักดิ์ฐานะของตระกูล เงื่อนไขอื่นๆ ในยามนี้ดูไปแล้วก็ยิ่งกว่าเหมาะสม บุตรชายเองก็ชื่นชอบหญิงสาวสกุลเจินผู้นั้น หากแต่งเข้ามาได้ ถึงแม้จะไม่มีส่วนช่วยกับอนาคตในภายหน้ามากนัก แต่สกุลเจินมีเงิน ซึ่งบังเอิญเป็นสิ่งที่ตอนนี้จวนเว่ยกั๋วกงต้องการมากที่สุดพอดี เวลานี้สกุลเผยเหลือแค่เปลือกนอกว่างเปล่าแล้วจริงๆ ด้วยต้องรักษาชื่อเสียงภายนอกให้ดูดี ถึงได้ขาดทุนอยู่ทุกปี เป็นปกติที่แต่งสะใภ้เข้าให้แต่งสกุลต่ำกว่า แต่งบุตรสาวออกให้แต่งสกุลสูงๆ จากสถานการณ์ในปัจจุบันของสกุลตนเอง แทนที่จะแต่งสะใภ้ที่ตนต้องมองสีหน้านาง มิสู้แต่งบุตรสาวสกุลเจินเข้ามา ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรต่อให้สกุลเผยจะแย่ยิ่งกว่านี้ ฐานะกั๋วกงก็ยังคงอยู่ ต่อให้สกุลเจินจะร่ำรวยกว่านี้ก็ต้องพึ่งพาสกุลตนอยู่ดี

ยามซินฮูหยินดีดลูกคิดคำนวณเรื่องงานแต่งงานนี้ ย่อมปกปิดสกุลซ่งไม่ได้ แม้ซ่งฮูหยินจะรู้สึกไม่พอใจเรื่องที่อดีตบุตรเขยจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ต่อให้นางมือยาวกว่านี้ก็ไม่อาจควบคุมเรื่องนี้ได้ หลังสืบข่าวเรื่องสกุลเจินจนมั่นใจแล้วว่าหญิงสาวสกุลเจินผู้นี้ยากจะส่งผลเสียต่อหลานชายตนเองในอนาคต นางจึงยอมรับการแต่งงานครั้งนี้เงียบๆ นอกจากนี้ยังได้ยินคนออกความเห็นให้รับเจินจยาฝูเป็นบุตรสาวบุญธรรม มอบฐานะให้นาง เพื่อที่นอกจากจะเป็นการมัดใจสกุลเจินแล้ว ยังเป็นการซื้อใจสกุลเผยอีกด้วย

ซ่งฮูหยินต้องการลดเกียรติลงมารับเจินจยาฝูเป็นบุตรสาวบุญธรรม คนสกุลเจินย่อมรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง นี่ถึงได้มีการออกเดินทางลงใต้ของบ่าวหญิงอาวุโสทั้งสองคนนี้ หนึ่งในนั้นคือเยี่ยหมัวมัว เป็นคนสนิทของซ่งฮูหยิน หลังทั้งสองคนมาถึงเฉวียนโจวเมื่อหลายเดือนก่อนก็วางมาดแอบอ้างบารมีมาข่มเหงผู้อื่น ทำการ ‘สั่งสอน’ เรื่องมารยาทและหลักของสตรีให้กับเจินจยาฝู

ตัวเมิ่งซื่อเองก็เกิดมาในตระกูลขุนนาง บิดาเคยเป็นขุนนางใหญ่ประจำท้องที่ ในสายตาเมิ่งซื่อแล้ว รูปโฉมและนิสัยของบุตรสาวมีจุดใดบ้างที่เทียบกับบรรดาคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านั้นไม่ได้ นางตระหนักดีว่าซ่งฮูหยินก็แค่อาศัยโอกาสแสดงอำนาจ จะได้ให้บุตรสาวของตนเองเข้าใจว่าวันหน้าต่อให้แต่งไปแล้วก็อย่าได้คิดกดข่มศักดิ์ศรีของภรรยาเอกเดิมได้ แม้ในใจจะรู้สึกไม่ดีเพียงใด ทว่าเปลือกนอกกลับไม่อาจแสดงออก ได้แต่ดูแลบ่าวหญิงอาวุโสทั้งสองคนดุจบูชาเจ้าแม่กวนอิน ปรนนิบัติให้กินดีอยู่ดีทุกวัน

การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ บนเรือนอกจากของขวัญวันเกิดที่เตรียมไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยแล้ว ก็ได้แยกของขวัญจำนวนมากไว้สำหรับซ่งฮูหยินด้วยเช่นกัน ของขวัญมีพวกนอแรด งาช้าง มรกต ไข่มุก นอกจากนี้ยังมีผ้าไหม เครื่องหอม ไม่มีสิ่งใดไม่ใช่สมบัติล้ำค่า ส่วนบ่าวหญิงอาวุโสสองคนนั้น หลังขึ้นเรือมาก็จัดเตรียมให้อยู่ในห้องพักชั้นดี ส่งสาวใช้ไปคอยปรนนิบัติ ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย

หลังออกเดินทางมาหลายวัน ในวันนี้เรือก็แล่นมาถึงฝูเจี้ยน คลื่นลมแรงเล็กน้อย เดิมทีเยี่ยหมัวมัวผู้นั้นนั่งเรือไม่เป็น ตอนขามาก็ได้รับความทรมานมาบ้างแล้ว หนนี้เดินทางกลับจึงเมาเรือไม่สบายอีกครั้ง เมื่อเจินจยาฝูได้ยินข่าวก็มาเยี่ยมด้วยตนเอง หลังเข้าไปในห้องก็เห็นนางนอนอยู่บนเตียง บนหน้าผากนางแปะยาที่ช่วยบรรเทาอาการอะไรไม่ได้เลย ริมฝีปากนางยังคงซีดขาว ดวงตาเหม่อลอย เจินจยาฝูจึงแสดงสีหน้าเป็นห่วง เดินเข้าไปถามไถ่ใกล้ๆ “เพราะข้าแท้ๆ หมัวมัวถึงต้องมาลำบาก ในใจข้ารู้สึกปล่อยผ่านไปไม่ได้จริงๆ ให้ความทรมานเช่นนี้มาอยู่บนกายข้าเสียยังดีกว่า”

อาหารที่เยี่ยหมัวมัวกินเข้าไปเพิ่งจะอาเจียนออกมาจนหมดเมื่อครู่นี้ อาเจียนจนน้ำดีสีเหลืองยังออกมาด้วยแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่มีแรง “คุณหนูเข้าใจความลำบากของบ่าวก็พอแล้ว เป็นเพราะปรารถนาดีต่อท่านจริงๆ บ่าวถึงได้เดินทางมาไกลเพียงนี้ ความทรมานที่ได้รับนั้น เอาทั้งตลอดชีวิตของบ่าวมารวมกันก็ยังสู้ไม่ไหว”

เจินจยาฝูเอ่ยตำหนิตนเองไม่หยุด เอ่ยคำพูดดีๆ ออกมามากมาย ก่อนจากไปยังลุกขึ้นเอ่ย “หมัวมัวพักผ่อนให้ดีเถิด ข้าไม่รบกวนแล้ว จะกินอะไรดื่มอะไรสั่งการสาวใช้ได้เลยเต็มที่ บนเรือมีทุกสิ่งอย่าง ข้ายังเด็กไม่รู้ประสา ทั้งยังไม่เคยพบเห็นโลกกว้าง รอหมัวมัวร่างกายหายดีแล้ว ข้ายังหวังให้หมัวมัวคอยสอนข้ามากกว่านี้อีก”

เยี่ยหมัวมัวเห็นนางมีท่าทีสุภาพนอบน้อม ทุกเรื่องล้วนเห็นตนเองเป็นหลัก ในใจรู้สึกพึงพอใจ จมูกแค่นเสียงอืมออกมาหนหนึ่ง นับว่ารับปากแล้ว

เจินจยาฝูเองก็ไม่ถือสา กำชับให้สาวใช้ของสกุลตนเองดูแลเยี่ยหมัวมัวให้ดีๆ หลังสั่งเสร็จก็ลุกขึ้นยืน ทว่าไม่ทันระวัง เหอเปา ใบหนึ่งบนร่างพลันตกลงมาที่พื้นโดยไม่คาดฝัน เดิมทีปากก็ไม่ได้มัดแน่นอยู่แล้ว ทันทีที่ตกลงมาปากก็คลายออก ยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งหลุดออกมา

การจะพกยันต์มงคลที่ขอมาจากวัด เดิมทีเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาถึงที่สุด แต่เจินจยาฝูกลับดูลนลานอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นของหลุดออกมาก็รีบก้มลงเก็บยันต์สีเหลืองและเหอเปา ทั้งยังหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว ยัดสิ่งของกลับไปในเหอเปา สุดท้ายกำเหอเปาทั้งใบไว้ในกำมือแน่นแล้วถึงได้หันหน้ากลับมา เอ่ยขออภัยคล้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนออกจากห้องไป

สายตาเยี่ยหมัวมัวแหลมคมมากนัก แม้จะบอกว่าเป็นคนที่เมาเรือจนลุกไม่ขึ้นแล้ว แต่ยันต์สีเหลืองที่หล่นออกมาจากเหอเปากับท่าทางลุกลนของเจินจยาฝู ไฉนเลยจะรอดพ้นสายตานางไปได้

การเดินทางลงใต้อย่างไม่เกรงกลัวต่อความลำบากหนนี้ของนาง นอกจากเพื่อแสดงอำนาจข่มขู่คนแล้ว ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคอยเฝ้าสังเกตบุตรสาวสกุลเจินให้ซ่งฮูหยิน ดูว่านางแอบซ่อนอุบายใดไว้หรือไม่ ก่อนหน้านี้เจินจยาฝูทำตัวเชื่อฟังมาโดยตลอด มองดูแล้วเป็นคนไม่มีความคิดเป็นของตนเอง เมื่อรวมเข้ากับจุดอ่อนเรื่องฐานะของบ้านสกุลเดิม ต่อให้แต่งสตรีเช่นนี้เข้าสกุลเผย กลายไปเป็นมารดาเลี้ยงของเฉวียนเกอเอ๋อร์แล้ว คาดว่าวันหน้าคงไม่อาจเล่นลูกไม้อะไรได้ เดิมทีเยี่ยหมัวมัววางใจลงแล้ว แต่ตอนนี้กลับเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นแผ่นหลังของนางออกไปจากห้องก็สั่งให้สาวใช้สกุลเจินออกไป ก่อนเรียกสาวใช้ที่ติดตามตนเองเข้ามาแทน เอ่ยกระซิบเสียงเบาอยู่ไม่กี่ประโยค สาวใช้ผู้นั้นก็ผงกศีรษะ ลอบติดตามไปเงียบๆ ทันที

บังเอิญที่เมิ่งซื่อเองก็กำลังจะมาเยี่ยมเยี่ยหมัวมัว เมื่อพบเจินจยาฝูบนทางเดินจึงเอ่ยถามถึงอาการของเยี่ยหมัวมัว

เจินจยาฝูตอบกลับ “หมัวมัวสบายดีเจ้าค่ะ เพิ่งจะหลับไป ท่านแม่ไม่ต้องไปรบกวนนางแล้ว”

เมื่อเมิ่งซื่อรู้ว่าบุตรสาวเพิ่งไปเยี่ยมอีกฝ่ายมาจึงผงกศีรษะ “ก็ดี เช่นนั้นรอสายกว่านี้แม่ค่อยมาเยี่ยมนางใหม่”

เจินจยาฝูหันหน้ากลับไปเล็กน้อย ปลายหางตาเหลือบไปเห็นสาวใช้สกุลซ่งทำตัวชะเง้อชะแง้คอดูลับๆ ล่อๆ อยู่ทางข้างหลัง ทว่ากลับทำเป็นมองไม่เห็น นางเกี่ยวแขนเมิ่งซื่อแล้วพาอีกฝ่ายเดินไปที่หน้าต่างเรือ

สองแม่ลูกหยุดพูดคุยกันข้างบานหน้าต่าง

เมิ่งซื่อรู้สึกได้ว่าบุตรสาวผิดปกติไป จึงยิ้มเอ่ย “เป็นอะไรไป มีอะไรอยากจะพูดหรือ”

เจินจยาฝูหุบรอยยิ้มลง เสียงสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ท่านแม่ ด้านหน้าคือเกาะฝูหมิง วันพรุ่งนี้ก็จะเดินทางถึงแล้ว ลูกได้ยินมาว่าบนเกาะมีวัดกวนอินอยู่แห่งหนึ่ง ลูกอยากไปไหว้พระเจ้าค่ะ”

พระโพธิสัตว์ในวัดกวนอินมีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ต้องเดินเรือนานครึ่งวันจึงจะถึง แต่ในทุกวันล้วนมีผู้ศรัทธาเดินทางขึ้นเกาะ บ้างมาขอพร บ้างมาแก้บน ทุกปีเมื่อมาถึงช่วงทำบุญจะมีสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางข้ามทะเลมาวัดกวนอินเพื่อจุดธูปกราบไหว้ ส่วนมากเพื่อขอเรื่องบุตร เล่าลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก เมิ่งซื่อเองก็เคยได้ยินมา เมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยขึ้นมากะทันหัน หลังอึ้งไปก็นึกเข้าใจขึ้นมาทันที

กับว่าที่ลูกเขยเผยซิวจื่อ นางรู้สึกพอใจในตัวเขา แต่ทุกครั้งที่นึกได้ว่าบุตรสาวแต่งเข้าไปแล้วก็จะมีลูกเลี้ยงรออยู่ ทั้งสืบข่าวได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นเกเรอยู่บ้าง ฮูหยินของสกุลซ่งก็ร้ายกาจมาก ในใจนางพลันกลัดกลุ้ม แอบคาดหวังว่าหลังบุตรสาวแต่งเข้าไปแล้วจะสามารถคลอดบุตรชายของตนเองได้อย่างราบรื่นเร็วๆ จะได้ช่วยให้มีที่ยืนมั่นคงในเร็ววัน

อย่างไรก็บังเอิญเป็นทางผ่าน ทั้งบุตรสาวยังเปิดปากเช่นนี้แล้ว จะมีเหตุผลให้ไม่รับปากได้หรือ นางจึงเอ่ย “ดีเหมือนกัน แม่จะไปแจ้งเอาไว้ พรุ่งนี้พวกเราหยุดพักที่เกาะฝูหมิง แม่จะขึ้นเกาะไปเป็นเพื่อนลูก เพียงแต่…”

นางหันกลับไปมองข้างหลังหนหนึ่ง ไล่บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ทั้งหมดให้ถอยไป ก่อนเอ่ยเสียงเบาลงกว่าเมื่อครู่ “อย่าให้หมัวมัวจากสกุลซ่งรู้เป็นดีที่สุด ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น”

เจินจยาฝูผงกศีรษะ “ลูกจะเชื่อฟังท่านแม่เจ้าค่ะ”

เมิ่งซื่อส่งบุตรสาวกลับไปยังห้องพัก ส่วนตนเองไปหาหัวหน้าพ่อบ้านเพื่อพูดเรื่องที่พรุ่งนี้จะหยุดจอดพักยังเกาะฝูหมิง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: