บทที่ 11
ไป่เริ่นแทบผงะอึ้งไป เมื่อครู่ฉีเซียวพูดคุยด้วยง่ายเกินไป ไป่เริ่นจวนเจียนจะเข้าใจว่าเขาเป็นคนดีมีเหตุผลเข้าอกเข้าใจคนอื่นแล้ว นึกไม่ถึงว่าทันทีที่เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็ชวนให้คนงุนงงทันใด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชั่วพริบตา พักหนึ่งไป่เริ่นถึงฉุกคิดได้ว่าต้องผลักออกและปฏิเสธจึงเอ่ยเสียงเฉียบ “รัชทายาทรักษาเกียรติด้วย!”
หลังฉีเซียวได้โอบคนมาไว้ในอ้อมแขนถึงรู้ว่าแผนการและความอดทนหลายวันมานี้คุ้มค่าแค่ไหน ไป่เริ่นเตี้ยกว่าเขาครึ่งศีรษะ ซ้ำยังอยู่ในช่วงตัวสูงขึ้นแต่ไม่อ้วน ยามกอดไว้ในอกเช่นนี้ชวนให้รักเอ็นดู ฉีเซียวลอบถอนใจ ผอมบางเกินไปแล้ว…
เห็นไป่เริ่นเนิ่นนานถึงได้สติ ฉีเซียวก็แอบนึกขัน พลันพลิกแขนไป่เริ่นไว้ด้านหลัง อมยิ้มเอ่ยเสียงต่ำ “รักษาเกียรติ? ข้าไม่รักษาเกียรติอย่างไรกัน เจ้ามาหาข้าหนแล้วหนเล่า…ก็เพื่อให้ข้าปล่อยพี่สาวเจ้าไปมิใช่หรือ” ไป่เริ่นต่อต้านสุดแรง ฉีเซียวที่กักตัวเขาไว้ในอ้อมกอดจึงเปลืองแรงไปบ้าง ลมหายใจหอบน้อยๆ “ไป่เริ่นเป็นคนชาญฉลาด ควร…อย่าขยับ! ควรรู้ว่าไม่มีเรื่องดีประหนึ่งขนมเปี๊ยะยัดไส้ตกจากฟ้า…”
ฉีเซียวก้มหน้าจุมพิตที่ใบหูไป่เริ่นอย่างสนิทสนม หอบหายใจแผ่วเบาพลางยิ้มเอ่ย “บอกเจ้าตามจริง…จวิ้นจู่ที่มาจะเป็นคนใด เกิดจากชายาเอกหรือชายารอง งดงามหรืออัปลักษณ์…ข้าไม่สนใจเลยสักนิด ทว่าไป่เริ่น…กระทั่งการแต่งงานของตนเจ้ายังตัดสินใจเองไม่ได้ กลับเพ้อฝันคิดบงการการแต่งงานของโหรวจยา คนเรา…จะโลภมากเช่นนี้ไม่ได้”
ไป่เริ่นโดนคนล่วงเกินเพียงนี้มีหรือจะฟังเข้าหูว่าเขาพูดอันใด แม้เขาจะแอบมีใจให้เฉินเฉาเกอตั้งแต่เด็ก ทว่าการใกล้ชิดไม่กี่ครั้งล้วนเป็นการลอง เล็กน้อยก็หยุดยั้ง ไหนเลยจะเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ไป่เริ่นร้อนรนจนสองตาแดงก่ำ แต่เรี่ยวแรงกลับสู้ฉีเซียวไม่ได้ ไม่ว่าจะดิ้นรนวิธีใดก็ไม่เป็นผลจนแทบหมดกำลัง ฉีเซียวเห็นไป่เริ่นเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ถูกขังเช่นนั้นก็ขบขันในใจ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจทนทำร้ายเขาจริงๆ พลันผ่อนแรงมือที่คอยควบคุมเล็กน้อย และถอนใจเบาๆ เอ่ย “เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย…ทำเช่นนี้ไปไย ข้าแค่ชอบเจ้า อยากใกล้ชิดเจ้าสักหน่อย เจ้าแสดงท่าทีเช่นนี้ให้ผู้ใดดูหรือ”
“ผู้ใดอยากใกล้ชิดกับเจ้า!” ไป่เริ่นผลักหนีสุดแรง ตะคอกเสียงแข็ง “รัชทายาทไม่รักตนเองเช่นนี้ ไม่กลัวข้ายื่นฎีกาต่อฝ่าบาทหรือไร! ถึงตอนนั้นรัชทายาทชื่อเสียงป่นปี้อย่าหาว่าไป่เริ่นใจเหี้ยม!”
ฉีเซียวเห็นไป่เริ่นยังกล้าโกรธเกรี้ยวใส่ตนเอง มือจึงยิ่งอยู่ไม่สุข ด้านหนึ่งลูบไล้แผ่วเบาตรงเอวไป่เริ่น ด้านหนึ่งหัวเราะหยอกเย้าเสียงเบาก่อนเอ่ย “นี่กลับเป็นวิธีการที่ดี ซื่อจื่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเพื่อทำให้ข้าชื่อเสียงป่นปี้ ถึงตอนนั้นการแต่งงานกับหลิ่งหนานก็คงล้มเลิกเช่นกันกระมัง”
ไป่เริ่นหยุดนิ่งสักพัก ฉีเซียวเห็นเขาคิดอย่างจริงจังก็กลั้นไม่ไหวหัวร่อออกมา “แต่เจ้าก็ต้องคิดให้ดี ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะอาศัยเรื่องไร้สาระแค่นี้โค่นล้มข้าได้หรือไม่ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเมืองหลวงกับหลิ่งหนานจำเป็นต้องเกิดขึ้น ต่อให้ไม่ใช่ข้าก็ยังมีองค์ชายมากมายที่แต่งกับพี่สาวเจ้าได้ เจ้าขวางไหวหรือ”
ไป่เริ่นขึงตาใส่ฉีเซียวอย่างดุดัน ฉีเซียวหัวเราะเย็นชา “ข้ารู้ว่าในใจเจ้าคิดอย่างไร…แต่งให้ผู้ใดก็ดีกว่าข้าใช่หรือไม่ หึๆ…แสดงว่าเจ้าก็ยังไม่ประจักษ์ในอุปนิสัยของฉีหวาและองค์ชายเหล่านั้น ข้ายอมรับว่าข้าไม่ใช่คนดี แต่พวกเขาก็ไม่ดีกว่าข้าสักแค่ไหน! อย่างน้อย…”
ฉีเซียวสังเกตว่าไป่เริ่นฟังจนตะลึงไปก็ยิ้มแย้ม เอ่ยเสียงต่ำว่า “อย่างน้อยบนเตียงข้าก็ไม่ทารุณผู้ใด ไป่เริ่น…เจ้าต้องการทดลองดูหรือไม่ ขอข้าถนอมเจ้าครั้งหนึ่ง…คาดว่าเจ้าจะหักใจเกลียดชังข้าไม่ได้อีก…”
“ทดลองบรรพบุรุษท่านสิ!” ไป่เริ่นเหลืออด ทุ่มเทกำลังทั้งหมดผลักฉีเซียวออก จากนั้นถอยหลังก้าวหนึ่งพลิกมือฉวยกระบี่ล้ำค่าที่แขวนบนผนัง ตวาดลั่นด้วยโทสะ “ฉีเซียว! ไป่เริ่นแม้มีฐานะเป็นตัวประกัน แต่ยังไม่ด้อยค่าถึงเพียงนั้น! วันนี้หากท่านใช้กำลังข่มเหงจริงถึงต้องสู้จนตัวตายข้าก็ไม่มีทางให้ท่านสำเร็จผล!”
ไป่เริ่นทั้งเกลียดชังและหวาดกลัว มือสองข้างสั่นระริก ฉีเซียวกลับผ่อนคลายอย่างยิ่ง จัดแจงอาภรณ์และแย้มยิ้ม “บรรพบุรุษข้า? สองสามวันก่อนเจ้ายังคารวะอย่างเคารพนบนอบอยู่เลย นี่กลับด่าเสียแล้ว เอาล่ะ นั่งลง ดูเจ้าสิเดือดดาลจนเหงื่อท่วมหัว…”
ไป่เริ่นมีหรือจะฟังฉีเซียวพูดจาดีๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความระวังระไว แทบอยากจะชักกระบี่ออกมาฟันฉีเซียวเสียเดี๋ยวนั้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าฉีเซียวที่เมื่อครู่ยังทำท่าทางไร้ยางอาย บัดนี้กลับยิ้มอย่างอ่อนโยนงามสง่า “ไป่เริ่น ข้าก็แค่ชมชอบเจ้า มิได้คิดทำร้าย เจ้าระแวงเช่นนี้เพื่ออันใด นั่งนี่มา…”
“รัชทายาทต้องการพูดอันใด พูดตรงๆ เป็นพอ…” ไป่เริ่นเสียงสั่น เอ่ยขู่ขวัญเสียงค่อย “แต่หากคิดทำเหมือนเมื่อครู่อีก…”
ฉีเซียวยิ้มละไม “เมื่อครู่เป็นข้าที่มุทะลุ…เจ้าถือว่าข้าไม่อาจคุมความรู้สึกตนเองเถิด เจ้าไม่ชอบข้าก็จะไม่ทำเช่นนั้นอีก เอาล่ะ…เจ้าบอกมาว่าต้องการอย่างไรกันแน่ อย่ากังวลเลย บัดนี้มองเห็นเส้นเลือดสีเขียวทั่วศีรษะเจ้าแล้วข้าปวดใจนัก”
“ข้า…” ไป่เริ่นเข้าใจว่าตนนับได้ว่าเคยประสบพายุคลื่นลมมาก่อน เวลานี้กลับถูกฉีเซียวปั่นจนสมองมึนงงจับทิศทางไม่ถูก ก่อนหน้ายังหยามเกียรติตนเอง บัดนี้กลับทำทีเป็นคนดีขึ้นมา ไป่เริ่นตระหนักว่าคนผู้นี้มิใช่คู่ต่อสู้ จึงทำเสียงให้สงบสุดกำลัง “ข้าต้องการอันใด รัชทายาทรู้ดี ข้าไม่ต้องการให้โหรวจยามาเมืองหลวง ขอเพียงรัชทายาทยินยอมส่งเสริม ข้า…”
เดิมไป่เริ่นต้องการพูดว่าไม่ว่าสิ่งใดก็รับปากทั้งนั้น แต่พอคิดถึงฉากเมื่อครู่ก็ไม่กล้าให้คำมั่นโดยง่าย หลังเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเบาๆ ว่า “รัชทายาทต้องการเงินหรือคู่รัก…หรือต้องการให้ข้าช่วยทำอันใด ขอเพียงมิใช่เรื่องอย่างเมื่อครู่ ไป่เริ่นล้วนไม่บ่ายเบี่ยง”
ฉีเซียวพลันแย้มยิ้มบาง “เจ้าดู ที่เจ้าพูดเองก็ยังไม่มั่นใจ เงินหรือคู่รัก…หึๆ แม้ช่วงเวลาที่เจ้ามาเมืองหลวงจะสั้น ก็ควรรู้ว่าสิ่งของเหล่านี้แต่ไรมาฝ่าบาทก็มิเคยทำให้ข้ารู้สึกไม่เป็นธรรม ส่วนจะให้เจ้าช่วยเรื่องอันใดนั้น…” ฉีเซียวอดไม่ได้หัวเราะออกมา “ซื่อจื่อคนดีของข้า เจ้าช่วยข้าทำสิ่งใดได้หรือ”
ในใจไป่เริ่นเคียดแค้นสุดขีด กระนั้นก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่ฉีเซียวพูดเป็นความจริง ตนมีอันใดจะไปช่วยฉีเซียวได้
ฉีเซียวคลี่ยิ้มเรียบๆ “ไป่เริ่น ข้าไม่รังแกเจ้า แต่เส้นทางนั้นเจ้าเป็นคนเลือกเอง หากเจ้าปกป้องตัวเองเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็อย่าพูดถึงอีก ข้ารับโหรวจยามาเป็นชายาแน่ ชื่อเสียงและฐานะของข้าไม่มีทางปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม บรรดาศักดิ์ชายารองนั้นไม่มีทางขาดตก แม้ข้าหาใช่สุภาพบุรุษแต่ก็ไม่มีวันสร้างความลำบากให้สตรีคนหนึ่ง ทว่า…วันข้างหน้าข้าอภิเษกสมรสชายาเอกแต่งชายารองรับอนุ ในเรือนหลังของพี่สาวเจ้าจะมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือนางแล้ว ข้าคร้านจะดูแล เจ้าก็ควบคุมไม่ได้”
ไป่เริ่นเดือดจัด “พระองค์กล้าหรือ!”
“เจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่เล่า” ฉีเซียวหัวเราะหยัน “ยังมีอีกทางหนึ่ง เจ้าปกป้องโหรวจยา มอบตนเองให้ข้าเป็นการทดแทน…การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ข้าจะจัดการให้ ไม่ว่าผลเป็นอย่างไรข้ายืนยันว่าจะคุ้มครองไม่ให้นางแต่งกับเชื้อพระวงศ์คนอื่น”
ไป่เริ่นกัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น ทว่าฟังวาจานี้ก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ฉีเซียวมองออกในแวบเดียว เขาก้าวเข้าไปผลักกระบี่ยาวที่ไป่เริ่นชูไว้เบื้องหน้าตน เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากเจ้าเชื่อฟังมากพอ ทำให้ข้ามีความสุข…ต่อไปเจ้าอยากให้พี่สาวแต่งกับผู้ใด ข้าก็ทำให้นางแต่งกับผู้นั้น หากสกุลฝ่ายสามีกล้าปฏิบัติกับนางไม่ดีข้าจะออกหน้าแทนเจ้า เป็นอย่างไร”
ฉีเซียวเดินมาตรงหน้าไป่เริ่นอย่างเชื่องช้า ไป่เริ่นสะกดความคิดที่จะหนีสุดความสามารถ มิใช่เพื่ออื่นใดแต่เพราะประโยคที่ฉีเซียวเอ่ยเมื่อครู่นั้นมีแรงดึงดูดใจมากเกินไปอย่างแท้จริง โหรวจยาโตขึ้นทุกวัน เรื่องการแต่งงานของนางเป็นปมในใจของไป่เริ่นกับชายาหลิ่งหนานอ๋องมาตลอด โหรวจยาไม่เป็นที่โปรดปรานของหลิ่งหนานอ๋อง ยิ่งมีซย่าซื่อคอยเป่าลมข้างหมอน หลิ่งหนานอ๋องทุกวัน วันข้างหน้าคิดแต่งกับผู้ที่ถูกตาต้องใจแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่หากมีปราการอย่างฉีเซียวนี้ชั้นหนึ่งล่ะก็…
ฉีเซียวอ่านออกว่าไป่เริ่นกำลังลังเลก็ยิ้มหยันในใจ เขาคิดไว้แล้ว เพื่อโหรวจยาจวิ้นจู่ไม่ว่าอย่างไรไป่เริ่นก็ล้วนยินยอม ฉีเซียวแย้มยิ้มอ่อนโยน “หากเจ้าไม่สมัครใจ เพียงเดินออกจากประตูนี้ไปแล้วข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เมื่อครู่ต้องขออภัย เป็นข้าที่บุ่มบ่าม ขอเพียงเจ้าพูดว่าไม่ ต่อไปข้าจะไม่มีวันล่วงเกินเจ้าอีกเด็ดขาด ไป่เริ่น…เส้นทางทั้งสอง เจ้าเลือกเองเถิด”
ไป่เริ่นหลับตา เขามีทางเลือกหรือ
ไป่เริ่นพลันตัดสินใจ กลัวอันใด! เพื่อท่านแม่กับพี่สาวกระทั่งตัวประกันก็เป็นแล้ว จะมีชีวิตต่อไปได้อีกกี่ปีก็สุดจะรู้ มีอันใดต้องกังวล ตนติดอยู่ในโคลนตั้งนานแล้วยังกลัวแย่ลงกว่านี้หรือ ยังแย่ไปกว่านี้ได้อีกหรือ!
โหรวจยาไม่เหมือนกับตน ขอแค่ตนอดทนได้บางทีอาจช่วงชิงสกุลสามีที่ดีกับโหรวจยาได้ เพื่อครึ่งชีวิตที่เหลือของโหรวจยาเพื่อให้ท่านแม่ได้วางใจ ไป่เริ่นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เวลานี้เขากลับรู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่เมื่อวานได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเฉาเกอ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงมีภาระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง…
เฉาเกอ…ในสมองไป่เริ่นคล้ายมีบางอย่างวาบผ่าน พลันเงยหน้าขวับมองไปทางฉีเซียว ฉีเซียวอ่านความคิดไป่เริ่นทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก จึงเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้เจ้ามิได้ชมชอบทางนี้ ลำบากเจ้าแล้ว…”
ในใจไป่เริ่นพลันยิ้มอย่างห่อเหี่ยว คิดเพ้อเจ้ออันใดน่ะ ฉีเซียวจะไปรู้เรื่องตนกับเฉาเกอได้อย่างไรกัน อีกอย่างตนเป็นคนดีมีฝีมือมาจากไหนถึงพาให้ฉีเซียวเหนื่อยยากลำบากลำบนเพียงนั้น เป็นเฉาเกอเองที่ตั้งใจจะไป…ไป่เริ่นโคลงศีรษะ เวลาเพียงหนึ่งราตรีกลับพลิกฟ้าคว่ำดิน คนที่เติบโตเป็นสหายมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์ก็มาจากไป ขณะที่ตนต้อง…
ไป่เริ่นชายตามองฉีเซียว สูดหายใจลึกๆ เอ่ยเสียงเครือ “รัชทายาท…ได้โปรดเอ่ยคำไหนคำนั้น คุ้มครองโหรวจยาให้อยู่รอดปลอดภัยด้วย”
ฉีเซียวประชิดเข้าไปก้าวหนึ่ง ไป่เริ่นกำหมัดแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ ฉีเซียวกลับมิได้ล่วงเกินอีกฝ่ายแบบเมื่อครู่อีก เพียงโอบอีกฝ่ายมากอดอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเจือแววรักใคร่โดยไม่รู้ตัว “เจ้าวางใจ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.