X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชทายาทบัญชา

ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 12

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากฉีเซียวเชิญไป่เริ่นเข้าห้องหนังสือ เจียงเต๋อชิงไล่ข้ารับใช้ออกไปหมด ขณะที่ตนกลับไม่กล้าไปไหนไกล ต่อให้บอกว่ารูปร่างอย่างไป่เริ่นนั้นถึงมีมาอีกหลายคนก็หาใช่คู่ต่อสู้ของฉีเซียว แต่เจียงเต๋อชิงก็ไม่วางใจอยู่บ้างจึงเฝ้าที่ทางเดินอยู่ตลอด คอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านในอย่างระมัดระวัง

ตอนได้ยินเสียงไป่เริ่นหยิบกระบี่ เจียงเต๋อชิงจวนเจียนจะร้องหาคนช่วยแล้ว คิดไม่ถึงว่าเพียงประเดี๋ยวเดียวฉีเซียวก็กล่อมไป่เริ่นได้ เจียงเต๋อชิงลอบถอนใจ ฉีเซียวนี่ถึงขั้นเล่นกับไฟเลยทีเดียว

คำพูดต่อจากนั้นเจียงเต๋อชิงฟังคร่าวๆ อีกสองสามประโยคก็รู้ว่าไป่เริ่นยอมจำนนจึงวางใจในที่สุด ฉีเซียวตั้งแต่เล็กก็ไม่ชอบแตะต้องนางบำเรอ ประกอบกับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ไม่ต้องการให้ฉีเซียวช่ำชองเรื่องชู้สาวเร็วเกินไป กลัวเขาเปลี่ยนไปมีนิสัยลุ่มหลงนารี จึงไม่เคยอนุญาตให้เจียงเต๋อชิงเอ่ยเรื่องเหล่านี้กับฉีเซียว เจียงเต๋อชิงกังวลเล็กๆ กลัวเจ้านายของตนจะนึกครึ้มใจขึ้นชั่ววูบ ลงมือไม่ยั้งหนักเบาเกิดเคี่ยวกรำจนคนบาดเจ็บขึ้นมา…

เจียงเต๋อชิงลอบถอนใจ หลิ่งหนานซื่อจื่อผู้นี้ช่างน่าสงสาร ชาติก่อนคาดว่าคงติดหนี้ฉีเซียว วันนี้จึงต้องรับโทษทัณฑ์ เจียงเต๋อชิงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่กับตนเอง เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ด้านนอกมีขันทีน้อยคนหนึ่งค้อมกายเดินเข้าเรือนในมา เมื่อเข้ามาใกล้ก็ลดเสียงค่อยเอ่ย “หัวหน้าเจียง คืนนี้ฝ่าบาททรงเชิญองค์หญิงใหญ่ตุนซู่กับเฮ่อฟู่หม่าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ในวังถ่ายทอดคำสั่งลงมาให้องค์รัชทายาทเสด็จไปด้วยขอรับ”

เจียงเต๋อชิงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำ…เช่นนั้นก็ยังล่าช้าได้อีกพักหนึ่ง อีกสักครู่ค่อยทูลองค์รัชทายาท”

“มิใช่…” ขันทีน้อยคนนี้เป็นคนสนิทของเจียงเต๋อชิง ซ้ำยังเป็นคนมีไหวพริบ เขาปรายตามองห้องหนังสือที่ปิดประตูหน้าต่างสนิท ก่อนหลุบตาลงต่ำกระซิบว่า “ผู้น้อยยังได้ยินว่า…ฝ่าบาททรงให้ซื่อจื่อไปด้วย นี่…”

เจียงเต๋อชิงตระหนกทันใด เขาตบหน้าผากขันทีน้อยผู้นั้นทีหนึ่ง “เจ้าลูกกระต่ายบัดซบ! ไม่พูดแต่แรก! นี่หาก…อีกประเดี๋ยวซื่อจื่อจะเข้าเฝ้าได้อย่างไร!”

ขันทีน้อยคนนั้นลูบหน้าผากป้อยๆ พลางหัวเราะฮ่าๆ “ด้านในสถานการณ์เป็นเช่นไรท่านก็รู้…ผู้ใดกล้าเข้าไปเรียก พูดเร็วพูดช้ามีค่าเท่ากันมิใช่หรือขอรับ…”

“เจ้าจะเข้าใจอันใด!” เจียงเต๋อชิงในใจร้อนรน เขาไม่ได้สงสารไป่เริ่น ทว่ากลัวเพียงจะถูกมองเงื่อนงำออกแล้วพลอยทำให้ฉีเซียวเดือดร้อนไปด้วย มือโบกปัดไปมาอย่างเร่งร้อน “หลีกไปๆ เดินไปไกลหน่อย…ข้าจะเข้าไปดู…”

ไม่จำเป็นต้องให้เจียงเต๋อชิงพูดขันทีน้อยก็ไม่กล้าที่จะเฝ้าดูอยู่ เขาโค้งกายสองทีแล้วหมุนตัวออกจากเรือนไป เจียงเต๋อชิงสูดหายใจเดินไปถึงหน้าประตู ลงมือเคาะแล้วเรียกช้าๆ “รัชทายาท รัชทายาท…”

เดิมเจียงเต๋อชิงนึกว่าฉีเซียวจะรับคำไม่เปิดประตู คิดไม่ถึงว่าเพียงครู่เดียวประตูก็เปิดออก อีกฝ่ายหยุดนิ่งเล็กน้อยและเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ”

อาภรณ์ของฉีเซียวเป็นระเบียบเรียบร้อย ในดวงตาไม่มีแววรำคาญใจ กลับเป็นเจียงเต๋อชิงที่ตื่นตะลึง เขาชะงักครู่หนึ่งแล้วทวนคำพูดของขันทีน้อยเมื่อครู่ซ้ำ จบแล้วยังอดเหลือบมองไปทางด้านในห้องไม่ได้ เพียงแต่ด้านในถูกกั้นด้วยฉากกั้นลมอันหนึ่งกับม่านเตียงชั้นแล้วชั้นเล่า จึงมองอันใดไม่เห็น เจียงเต๋อชิงกระซิบ “ฝ่าบาทก็ให้คนมาเชิญซื่อจื่อ ทางด้านจวนหลิ่งหนานอ๋องนั้นรับจดหมายแล้วเพียงแต่ยังไม่ส่งมา”

“รู้แล้ว…” ฉีเซียวเม้มปาก คล้ายพึมพำกับตนเอง “หากต้องเข้าวัง…เขาต้องเปลี่ยนอาภรณ์ ผู้ติดตามก็พามาไม่พอ…ช่างเถิด สั่งคนไปเตรียมรถม้าส่งเขากลับ”

เจียงเต๋อชิงพยักหน้า เขาลังเลชั่วขณะทว่ายังคงอดถามเสียงเบาไม่ได้ “รัชทายาท…ซื่อจื่อร่างกายยังสบายอยู่หรือไม่”

ฉีเซียวนิ่งไปก่อนคลี่ยิ้มแล้วหมุนตัวเข้าไปในห้อง ไม่สนใจเจียงเต๋อชิง

ไป่เริ่นยืนอยู่หน้าเตียง เห็นฉีเซียวกลับเข้ามาอีกทั่วร่างก็เกร็งเครียด ฉีเซียวเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ มองท่าทางไป่เริ่นที่เห็นชัดว่าหวาดกลัวแต่จำต้องยืนอยู่ที่เดิมอย่างอดทนก็บังเกิดความพึงพอใจอย่างไร้เหตุผล ฉีเซียวยื่นมือไปโอบเอวไป่เริ่น แม้จะถูกกั้นด้วยเนื้อผ้าเบาบางชั้นหนึ่งเขากลับสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านจากคนตรงหน้า ความพรั่นกลัวของไป่เริ่นสร้างความพอใจให้ฉีเซียว เสียงของเขาผ่อนช้าลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เดิมอยากรั้งตัวเจ้าไว้หนึ่งวัน เสียดายที่ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยง…ไม่มีทางเลือก ข้าสั่งให้คนเตรียมรถม้ากับเกี้ยวให้เจ้าแล้ว ประเดี๋ยวจะส่งเจ้ากลับ”

ไป่เริ่นโล่งใจไปเฮือกใหญ่ทว่าภายนอกยังคงไม่กล้าแสดงออก เพียงพยักหน้าเบาๆ ฉีเซียวมีหรือจะมองไม่ออกพลันกระชับวงแขนแทบดึงตัวเขามาแนบสนิทกับร่างของตน ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “เกรงว่าคืนนี้พวกเขาจะกดดันให้เจ้าดื่มสุรา ห้ามดื่มมาก…มากสุดสามจอก เข้าใจหรือไม่”

“อื้อ” ไป่เริ่นรับคำอย่างขอไปที ฉีเซียวกลับยังเห็นว่าไม่พอ จึงสะกิดใบหน้าไป่เริ่นอย่างไม่สำรวม ก่อนหัวเราะเบาๆ “ดื่มมากหน้าขึ้นผื่นแดงง่าย ผิวพรรณเนียนนุ่มเช่นนี้ จะไม่ดูแลอย่างดีได้อย่างไร…”

ไป่เริ่นได้ฟังก็พลันเดือดดาล ทว่าไม่รอให้เขาบันดาลโทสะฉีเซียวก็ปลอบประโลมเสียงเบา “อย่าได้โมโห ข้าล้อเจ้าเล่น ไม่เคยได้ยินที่ว่าดื่มสุราเป็นประจำทำให้เกิดโรคโมโหง่ายจนล้มป่วยมาบ้างหรือ อายุน้อยยังขี้โมโหขนาดนี้หากดื่มสุราเป็นนิตย์อีก เสียสุขภาพ…หากแม่เจ้ารู้เข้าคงปวดใจมิใช่หรือ”

ไป่เริ่นที่เดิมโดนการหยอกเย้าของฉีเซียวกระตุ้นให้เกิดไฟโทสะกลับโดนประโยคนี้จี้ใจ ไฟโทสะมลายสิ้น ด้วยคิดถึงท่านแม่ในใจบังเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมกระแสหนึ่งขึ้นทีละน้อย พลันเบือนหน้าหนีไม่เอ่ยคำ ฉีเซียวยกยิ้มอย่างพอใจอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เขาพูดกับเจียงเต๋อชิงว่าไป่เริ่นกับตนเองคล้ายกันหาใช่ไร้ซึ่งเหตุผล แค่มองดูไป่เริ่นเช่นนี้ฉีเซียวแทบเห็นความยินดี โกรธแค้น เศร้าโศก และความสุขของเขาไว้ในสายตา ทุกแววตา ทุกท่วงท่า ทุกความคิด ฉีเซียวอ่านออกทั้งหมด

ฉวยจังหวะยามคนเป็นทุกข์ปลอบโยนครั้งนี้ผลที่ได้ดีกว่าเวลาปกติมากนัก ความเชี่ยวชาญในการเห็นร่องปักเข็ม อันยอดเยี่ยมของฉีเซียวย่อมไม่ปล่อยโอกาสดีเลิศนี้ไป เขาพลันโอบเจ้าตัวมากอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งขึ้น “เพื่อท่านแม่ที่หลิ่งหนานของเจ้าก็ควรรักษาตัวเสียหน่อย หึ…เจ้ายังเล็กเกินไป วางใจ ต่อไปมีข้าปกป้องเจ้า หากคืนนี้พวกเขากดดันเจ้าให้ดื่มสุรา ข้าขวางให้เจ้าดีหรือไม่”

ไป่เริ่นกลัวว่าเสียงจะแหบพร่าจึงไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงพยักหน้าน้อยๆ ฉีเซียวมองอยู่ในสายตารู้สึกแค่เขาช่างน่ารักว่าง่าย จึงก้มหน้าจูบใบหูเขาทีหนึ่ง กระซิบงึมงำ “อยากรั้งตัวเจ้าไว้ที่นี่จริงๆ ไม่ให้เจ้าไปตลอดชีวิต…”

ฉีเซียวพูดอย่างเบาสบาย ไป่เริ่นได้ฟังคำพูดนี้กลับตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ เขารู้แต่แรกว่าฉีเซียวยากตอแย วันนี้ประสบเหตุการณ์นี้ไปยิ่งประจักษ์ในฝีมืออีกฝ่ายว่าไม่ใช่คนที่ตนเองรับมือได้อย่างแน่นอน หากฉีเซียวเกิดนึกสนุกชั่วขณะขึ้นมาไม่ไยดีรักษาหน้าตาของกันและกันขังเขาไว้ที่นี่ทั้งวัน…

ไป่เริ่นกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เอ่ยช้าๆ “รัชทายาท…ด้านนอกมีดวงตามากมายจ้องมองอยู่ รัชทายาทไม่ใส่พระทัยชื่อเสียงของไป่เริ่นก็ควรเคารพตนเอง…”

“ฮ่าๆ” ฉีเซียวหัวเราะ “คิดอันใดนั่น เจ้าเห็นว่าข้าว่างงานเพียงนั้นเชียว วันนี้ข้าเจียดเวลามาอยู่กับเจ้าเป็นพิเศษ ปกติไหนเลยจะมีวันสบายๆ เช่นนี้…”

ไป่เริ่นคิดในใจว่าดีที่สุดคือไม่ว่างสักวันเลยจะดีกว่า ฉีเซียวจุมพิตบนหน้าผากไป่เริ่นทีหนึ่งเก็บงำรอยยิ้มแล้วเอ่ยเชื่องช้า “ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าตกที่นั่งลำบาก สถานการณ์อย่างเช่นวันนี้ข้าไม่จงใจรั้งตัวเจ้าไว้แน่ แต่วันอื่น…ไม่ว่าเมื่อไรที่ข้าสั่งเจียงเต๋อชิงไปรับ เจ้าล้วนต้องตามมาอย่างว่าง่ายรู้หรือไม่”

ไป่เริ่นหลับตา พยายามอดทนต่อการหยามเกียรติสุดกำลัง ปากตอบเพียง “อื้อ” เสียงหนึ่ง

ฉีเซียวยิ้มอย่างพอใจ “ว่าง่ายๆ ข้าย่อมเอาอกเอาใจเจ้า ไปเถิด”

เจียงเต๋อชิงรออยู่ด้านนอกตลอด เห็นทั้งสองออกมาก็รีบร้อนเข้าไปรับหน้า “ซื่อจื่อ รถม้าจัดเตรียมพร้อมแล้วตามกระหม่อมมาทางนี้เถิด”

ไป่เริ่นแทบอยากจะจากไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้จึงเร่งร้อนออกจากประตูไป ฉีเซียวหยักมุมปากยิ้ม ต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้ไป่เริ่นไม่อาจหักใจจากไป

ไม่นานนักเจียงเต๋อชิงก็กลับมาและเอ่ยช้าๆ “รัชทายาท ให้หลี่เอ้อร์สะกดรอยตามรถม้าแล้ว เขาค่อนข้างมีอายุซ้ำยังปิดปากสนิทไม่เกิดเหตุผิดพลาดแน่พ่ะย่ะค่ะ ”

ฉีเซียวพยักหน้าแล้วหมุนตัวไปอ่านรายงานต่อ เจียงเต๋อชิงขยับขึ้นไปฝนหมึกพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำ “พระองค์ทรงรักหยกถนอมบุปผาโดยแท้ เมื่อครู่กระหม่อมยังกลัวว่าซื่อจื่อจะลุกไม่ไหวอยู่เลยเชียว”

ฉีเซียวโคลงศีรษะก่อนหัวเราะ “สงครามตีเมืองชนะได้ด้วยการโจมตีหัวใจ ได้ตัวคนมาใช้อย่างเดียวจะไปสนุกอันใด อีกอย่าง…เขาผอมบางเกินไป จะทนรับไหวหรือไม่ก็สุดจะรู้”

เจียงเต๋อชิงยิ้มน้อยๆ “รัชทายาททรงใคร่ครวญลึกซึ้งยาวไกล เพียงแต่…ในเมื่อไม่รีบร้อนใช้งานคน เหตุใดต้องแตกหักไม่ไว้หน้ากันด้วยเล่า ซื่อจื่อกำลังเศร้าเสียใจเพราะคนแซ่เฉินผู้นั้น เวลานี้พระองค์ปฏิบัติต่อซื่อจื่อดีๆ ดึงใจเขามาช้าๆ ให้ซื่อจื่อผูกใจรักพระองค์ผู้เดียว เช่นนี้มิใช่ยอดเยี่ยมกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ ”

ฉีเซียวแค่นยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าเป็นวิญญูชนหลายใจอย่างบนเวทีละครงิ้วอย่างนั้นหรือ ยังจะมารักเดียวใจเดียว…ข้าอยากแสดงเป็นคนดีต่อ แต่เวลากลับรีบด่วนเหลือเกิน ซ้ำเขาก็ไม่ใช่คนที่เห็นใครก็จะรักคนนั้นได้ทันที อีกไม่กี่วันเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็จะมีบทสรุปแล้ว ข้ามีหรือจะดึงใจเขามาทัน นอกจากนี้…ขืนทำท่วงทีอ่อนโยนนุ่มนวลไปตลอด เขาอาจเห็นข้าเป็นคนดีขึ้นมาจริงๆ อย่างไรต้องขู่ขวัญเขาครั้งหนึ่ง วันข้างหน้าเขาจะได้รู้จักเกรงกลัว”

เจียงเต๋อชิงนิ่งไปก่อนเอ่ย “รัชทายาททรงไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วอย่างแท้จริง หวังเพียงซื่อจื่อตระหนักได้โดยเร็ววันว่าพระองค์ทรงพึ่งพาได้มากกว่าคนแซ่เฉินนั่น”

ฉีเซียวคลี่ยิ้มไม่ตอบโต้ พักหนึ่งจึงกล่าว “เตรียมอาภรณ์ให้ข้า ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้ เรื่องโหรวจยา…ยังต้องขอให้เสด็จป้าออกหน้า”


โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: