บทที่ 5
ในตำหนักอวี้ซิ่ว องค์หญิงใหญ่ตุนซู่มองฉีเซียวพลางยิ้มละไม เอ่ยเสียงนุ่มนวล “เหตุใดจู่ๆ ก็ตัดสินใจได้แล้ว โหรวจยาจวิ้นจู่หรือ…ช่างเถิด จะอย่างไรก็เกิดจากชายาเอก ไม่ทำเจ้าเสียหน้าเสียตา คังไท่จวิ้นจู่แม้ดีเช่นเดียวกัน แต่ฐานะของมารดาต่ำต้อยไม่คู่ควรอภิเษกสมรสด้วย”
ฉีเซียวระบายยิ้มบาง “เสด็จป้ากล่าวถูกต้อง”
“เฮ้อ…” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่มองซ้ายทีขวาที “ไยไม่เห็นเจียงเต๋อชิง”
ฉีเซียวก้มหน้าเอ่ย “หลานมีธุระมอบหมายให้เขาไปจัดการ”
“อ้อ…เรื่องอันใดก็แล้วแต่สั่งใครสักคนไปก็พอ ไยต้องเจาะจงให้เขาออกไป ข้ารับใช้ข้างกายเจ้าไม่น้อย ข้าเห็นก็มีแต่เจียงเต๋อชิงที่ใช้การได้ เขาไม่ติดตามเจ้า เจ้ามิใช่ต้องเหนื่อยยากหรอกหรือ เอาเถิด ข้าแค่ถามประโยคเดียว เจ้ายืนตัวตรงอยู่นั่นเหมือนโดนข้าลงโทษอย่างนั้นล่ะ ยังไม่รีบมานั่งอีก” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ในใจรักเอ็นดูเขา มักอดไม่ได้บ่นว่าเขาประโยคสองประโยค นางลากเขามานั่งด้วยกันอย่างสนิทสนม ก่อนยกมือขึ้นลูบปิ่นหงส์มรกตที่หลุดพลางยิ้มเอ่ย “มาเข้าเรื่องเถิด เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อันดับแรกยังต้องส่งคนไปหลิ่งหนานแย้มพรายให้รู้ แล้วดูท่าทีของพวกเขา หากฝ่ายนั้นอ่อนข้อ พวกเราก็ง่ายต่อการทาบทามสู่ขออย่างเป็นทางการแล้ว”
ฉีเซียวพยักหน้า ถามคล้ายไม่ใส่ใจขึ้นประโยคหนึ่ง “ความคิดเห็นของหลิ่งหนานอ๋องเมื่อใดถึงจะสืบมาได้หรือ”
“ข้าได้ยินว่าสองสามวันก่อนเสด็จพ่อเจ้าต้องการส่งถังจิ้งอันคุ้มกันเสบียงไปส่งหลิ่งหนาน ฉวยโอกาสนี้ส่งข่าวให้เขา การไปกลับหนนี้…อย่างน้อยก็เดือนครึ่ง” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ยิ้มอย่างนึกสนุก “เป็นอันใด ร้อนใจกระนั้นหรือ ไม่รู้ว่าโหรวจยาจวิ้นจู่รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร…หลายปีก่อนข้าเคยพบหน้าชายาหลิ่งหนานอ๋องครั้งหนึ่ง รูปโฉมงดงามนัก เห็นทีธิดาก็คงไม่เลว”
ฉีเซียวยิ้มน้อยๆ “ลำพังดูแค่หน้าตาของหลิ่งหนานซื่อจื่อ…พี่สาวเขาก็คงไม่ผิดจากกันแน่”
ฉีเซียวใจลอยอยู่บ้าง นึกถึงดวงหน้าอดกลั้นของไป่เริ่นในป่าไผ่ยามราตรีนั้นขึ้นมา ทั้งที่อายุเพียงสิบห้า ทั้งที่ยังเป็นเด็กโตไม่เต็มที่ ทั้งที่ยืนหยัดไม่ไหว…ฉับพลันนั้นก็ฉุกคิดถึงภาพฉากที่เฉาเกอโอบกอดเขาทั้งปลอบโยนและพูดจูงใจ ฉีเซียวแสยะยิ้มเหี้ยมในใจ เห็นเฉาเกอเป็นที่พึ่งจริงๆ หรือ เขาพึ่งพาได้หรือ
คำพูดเป็นนัยของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะถูกส่งไปถึงหลิ่งหนานพร้อมเสบียงยี่สิบหมื่นตั้น เดินทางไปกลับหนึ่งครั้งใช้เวลาเดือนครึ่ง ข่าวส่งไปถึงอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน หนึ่งเดือน เวลาเหลือเฟือมากแล้ว
ฉีเซียวจัดระเบียบแผนการของตนเองตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง ไม่แบ่งแยกเรื่องใหญ่เล็ก เมื่อแน่ใจว่าจัดการเรียบร้อยจึงค่อยคลายใจลง องค์หญิงใหญ่ตุนซู่เห็นเขาไม่เอ่ยวาจาไปพักใหญ่ก็เอ่ยหยอกขึ้นว่า “เป็นอันใดไป คิดถึงชายารองของเจ้าจนเหม่อลอยเสียแล้วหรือ”
ฉีเซียวชะงักเล็กๆ ก่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยนไม่เอ่ยคำ รับชาที่ข้ารับใช้ส่งให้ขึ้นมาจิบ สีหน้ายังคงสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
หลังจากอยู่พูดคุยกับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ครึ่งวันฉีเซียวก็ออกจากวังกลับจวน บัดนี้เขาอายุไม่น้อยมีเพียงบางคราที่ดึกดื่นมืดค่ำถึงพักในวังหลวง วันอื่นๆ ล้วนพักในจวนนอกวัง ฉีเซียวแตกต่างจากองค์ชายองค์อื่นที่สร้างจวนตั้งแต่อายุสิบหก คราวนั้นฮ่องเต้สั่งให้ก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ใช้เงินทองมหาศาล เวนคืนที่ดินหลายหลี่สร้างจวนรัชทายาทให้ฉีเซียว ทางเดินแกะสลักเสาคานวาดลวดลาย ศาลาหอเก๋ง ฟุ่มเฟือยสุดขีดเท่าที่จะทำได้ ตอนนั้นยังส่งผลให้ขุนนางตรวจการนับไม่ถ้วนคุกเข่าในราชสำนัก ฮ่องเต้กลับเอ่ยเพียงว่าฉีเซียวถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมตั้งแต่เล็กไม่อาจทนรับการปฏิบัติอย่างอยุติธรรมแม้แต่นิดเดียว ใช้เงินทองมากน้อยเท่าไรล้วนเป็นการสมควร ตนเองได้รับชื่อเสียงเมตตาการุณย์อันดีงาม แต่กลับพาให้คนทั้งแผ่นดินคิดว่าฉีเซียวถือดีจองหองเหลือคณา
ฉีเซียวลงจากเกี้ยว มองป้ายอักษร ‘ปราณแห่งฟ้าบ่มเพาะผู้ปรีชา’ ที่ฮ่องเต้เขียนด้วยพระองค์เองเหนือประตูใหญ่พลางยิ้มหยัน ก่อนพาคนทั้งหมดเข้าไปยังเรือนใน
เจียงเต๋อชิงรอคอยอยู่ในจวนนานแล้ว ครั้นเห็นฉีเซียวกลับมาก็รีบร้อนออกมาต้อนรับ ฉีเซียวปลดป้ายหยกที่ข้างเอวส่งให้เขา เดินมุ่งตรงไปทางห้องด้านในพลางถาม “จัดการเรียบร้อยแล้วทั้งหมด?”
เจียงเต๋อชิงตามหลังฉีเซียว รีบรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทโปรดวางใจ”
เจียงเต๋อชิงวางป้ายหยกใส่กล่องเล็กๆ เก็บอย่างดี แล้วหมุนตัวมาช่วยปลดชุดคลุมยาวให้ฉีเซียวพลางเอ่ยเสียงเบา “กระหม่อมยังได้ถามเรื่องของเฉินเฉาเกอผู้นั้นมาด้วย เขาเป็นบุตรคนโตของเฉินไห่ลวี่ ภรรยาคนแรกของเฉินไห่ลวี่คือน้องสาวต่างมารดาของชายาหลิ่งหนานอ๋อง ด้วยความสัมพันธ์ขั้นนี้ทั้งสองจึงสนิทสนมกันตั้งแต่เล็ก ครั้งนี้ซื่อจื่อมายังเมืองหลวง เฉินไห่ลวี่สั่งให้เฉินเฉาเกอคุ้มกันมาส่ง หลังจากมาถึงเขากลับบอกว่าตนเป็นสหายร่วมเรียนของซื่อจื่อและไม่ได้กลับไปพร้อมคนของหลิ่งหนาน”
ดวงตารูปหงส์ของฉีเซียวหรี่เล็กน้อย เอ่ยที่ได้ยินซ้ำ “เฉินไห่ลวี่สั่งให้เฉินเฉาเกอคุ้มกันมาส่ง…”
เจียงเต๋อชิงชะงัก ยื่นชุดคลุมยาวตัวนอกของฉีเซียวให้ข้ารับใช้ด้านข้าง เอ่ยอย่างลังเล “องค์รัชทายาท…มีอันใดไม่เหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวคลี่ยิ้มราบเรียบ ส่ายหน้าเอ่ย “ไม่มี หากเป็นจริงตามที่ข้าคิด…เรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายดายยิ่งแล้ว”
เจียงเต๋อชิงยิ้มขื่น “อุบายในใจพระองค์ กระหม่อมอ่านไม่แตก…แต่องค์รัชทายาท…”
เจียงเต๋อชิงโบกมือไล่เหล่าข้ารับใช้ออกไป ก่อนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเอ่ยปรามเสียงค่อยว่า “กระหม่อมขอทัดทานพระองค์ประโยคหนึ่ง แม้พูดได้ว่าซื่อจื่อเป็นเพียงตัวประกัน ทว่าเขากลับมีฐานะพิเศษ แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงปฏิบัติอย่างเอื้อเฟื้อให้เกียรติ เกรงกลัวเขาจะมีอันตราย สองปีนี้ชายแดนใต้นับว่าค่อนข้างสงบสุข ไม่เหมาะที่จะก่อปัญหายุ่งยากอย่างแท้จริง ซื่อจื่อ…นั้นหน้าตาไม่เลว ทว่าหากองค์รัชทายาทต้องการเด็กรูปโฉมงดงาม มีแบบใดที่กระหม่อมหามาให้ไม่ได้บ้าง ไยต้องทุ่มเทกำลังไปข้องเกี่ยวกับเขาถึงเพียงนี้ กระหม่อมทำงานรับใช้ในวังมาชั่วชีวิต เคยเห็นหลิ่งหนานอ๋องหลายรุ่น รู้อย่างลึกซึ้งว่าคนสกุลตงหลิงล้วนมีนิสัยรุนแรง ซื่อจื่อแม้อายุยังน้อยแต่จากที่กระหม่อมคาดการณ์ก็เป็นคนนิสัยแข็งกร้าวคนหนึ่ง หากเขาเกิดไม่โอนอ่อนผ่อนตาม แล้วทำเรื่องเผาหยกพร้อมศิลา ออกมาอีก…”
ฉีเซียวเลิกคิ้วเผยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้เขาเผยให้ข้าดูสักครั้งแล้วกัน”
เจียงเต๋อชิงคิดไม่ถึงว่าตนเองโน้มน้าวเต็มกำลังแต่ฉีเซียวยังเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งรู้สึกร้อนรน เขาปรนนิบัติฉีเซียวมาตั้งแต่เล็กจนโต รู้ซึ้งถึงอุปนิสัยของอีกฝ่ายดี ทว่าครั้งนี้กลับอ่านไม่กระจ่างดังเก่า เห็นชัดว่าฉีเซียวมิใช่คนมีเมตตากรุณา กระทำการผ่อนปรนน้อยนิดทว่าเหี้ยมโหดเหลือเฟือ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับ ‘ความรักใคร่ปรารถนา’ นี้ล้วนเบาบางมาแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้ปีศาจตนใดสิงก็หารู้ไม่ เพียงพบตงหลิงไป่เริ่นนั่นไม่กี่ครั้ง สนทนาไปมานับได้สองสามประโยคก็คิดต้องการเก็บคนผู้นี้ไว้ใช้
เจียงเต๋อชิงเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก หากเป็นผู้อื่นเพียงข่มขู่ไม่กี่ประโยคแล้วตกรางวัลมากหน่อยเพื่อปลอบประโลมเท่านี้ก็ได้มาแล้ว ทว่าบุตรคนโตที่เกิดจากชายาเอกของหลิ่งหนานอ๋องผู้นี้ไหนเลยจะกำราบได้ง่ายดายเพียงนั้น ครั้งนี้ฉีเซียวลงทุนลงแรงอย่างมาก มุ่งมั่นต้องการครอบครองให้จงได้ เจียงเต๋อชิงยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม อดถามขึ้นไม่ได้ “องค์รัชทายาทชมชอบเขาที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ เย็นชาเช่นนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ ต่อให้ได้มาครองแล้วจะสนุกตรงที่ใด อีกทั้งมีหรือจะรู้จักปรนนิบัติคนเหมือนพวกชายบำเรอ”
ฉีเซียวจัดแขนเสื้อ ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เจ้ามองไป่เริ่น…รู้สึกว่าเขาเหมือนใคร”
เจียงเต๋อชิงพลันนิ่งอึ้ง เค้นสมองขบคิดอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออกว่าไป่เริ่นคล้ายผู้ใด ลังเลสงสัยตัดสินใจไม่ได้อยู่นานจึงเอ่ยเลียบเคียง “คล้ายกับคนใดที่พระองค์เคยต้องใจในอดีตหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หากเป็นเช่นนี้ก็ดีไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็คงจัดการไม่ยากไปกว่าไป่เริ่น ชิงตัวคนผู้นั้นมาเลยตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องให้ฉีเซียวเฝ้าคะนึงหาทั้งทิวาราตรีเช่นนี้
ฉีเซียวส่ายหน้าแล้วยิ้มเยาะ “เหมือนข้า”
เจียงเต๋อชิงพลันหลุดหัวเราะ “ที่ใดกัน…เหมือนกับพระองค์ที่ใด…”
“เขาเหมือนข้า…แต่ชะตาดีกว่าข้ามากนัก ยังมีแม่เป็นชายาเอก มีพี่สาวแท้ๆ ข้างกายยังมีคู่หวานชื่นเยาว์วัยเช่นนั้นอีก เหอะ…” ฉีเซียวนึกถึงฉากที่ป่าไผ่คืนนั้นอีกอย่างไม่อาจห้าม มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ อันโหดเหี้ยม “อาศัยแค่สิ่งนี้…ยังไม่อนุญาตให้ข้าย่ำยีเขาสักหน่อยหรือ”
เจียงเต๋อชิงไม่รู้ควรพูดอันใดดี นิสัยเดิมของฉีเซียวเป็นเช่นนี้เขาจึงไม่กล้าพูดมาก แค่ที่พูดว่าทั้งคู่คล้ายกัน เขาเองก็คิดไม่ตกจริงๆ ว่าคล้ายกันตรงไหน แม้พูดว่าหล่อเหลาดุจเดียวกัน ทว่าลักษณะภายนอกล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตน ไม่คล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย
ฉีเซียวดูจะมองความสงสัยของเจียงเต๋อชิงออก จึงคลี่ยิ้มอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัย เหตุใดหลังจากพบหน้าไม่กี่ครั้งมักจะคิดคะนึงถึงเขา ทีแรกข้านึกว่าตนเองหลงใหลในรูปโฉมโนมพรรณ รู้สึกเสมอว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยากสนิทสนมด้วย ภายหลังข้าขบคิดกระจ่าง จึงพบว่ายามข้ามองเขาก็เหมือนมองเห็นตัวข้าในอดีต”
“ช่วงที่ข้าเพิ่งรู้ความ รู้เรื่องของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ เคยมีหลายปีที่แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่อยากพูด ทุกวันล้วนมึนงงวุ่นวาย ประเดี๋ยวอยากเอากริชไปปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ประเดี๋ยวก็อยากใช้กริชเล่มนั้นปลิดชีพตัวเอง…ทั้งยังคิดวางเพลิงใหญ่ เผาวังหลวงทั้งหมดเสีย…” ฉีเซียวพลันคลี่ยิ้ม “แต่ภายหลังรู้สึกยังไม่พอ…ต้องเผาผลาญเมืองหลวงทั้งหมดเลยถึงจะดี…”
เจียงเต๋อชิงนึกถึงอู่ตี้กับหลี่เสียนฮองเฮาขึ้นมา ในใจมิอาจทานทน ขณะคิดจะเอ่ยประนีประนอมสักสองสามประโยคฉีเซียวก็เอ่ยอีก “ภายหลังข้าคิดตก ข้าเพิ่งสิบขวบ ไม่ต้องพูดถึงทั้งเมืองหลวง แม้แต่ตำหนักไห่เยี่ยนของตัวเองก็ยังเผาไม่ได้ นางข้าหลวงผู้ดูแลระเบียบจับตาดูข้าทุกเวลา มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อยพวกนางก็จะไปรายงานต่อฮ่องเต้ ข้ายอมจำนนในชะตาแล้วบอกตนเองว่าต้องอดทนรอเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่คิดจะเผาใครก็เผา…”
ใบหน้าคมคายของฉีเซียวบิดเบี้ยวเล็กๆ ก่อนคืนรูปเดิมในชั่วพริบตา ยังคงมีท่าทางอ่อนโยนเหมือนปกติ เขาระบายยิ้มบาง “ต่อจากนั้นข้าก็ตระหนักได้ในที่สุด ไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีก รู้ว่าตนเองต้องการอันใดกันแน่…แต่ความทรงจำหลายปีก่อนหน้ากลับสลักลึกเกินไป บางครั้งยังคงนึกขึ้นได้ แน่นอนว่าไป่เริ่นกับข้าตอนนั้นไม่เหมือนกัน ยามนั้นข้าเป็นคนเสียสติคนหนึ่ง ที่บอกว่าเหมือนคือเหมือนข้าตอนอายุสิบสองสิบสาม หลังจากข้าตระหนักได้ถึงความจริงอย่างชัดแจ้ง รู้ว่าตนเองต้องไปแก่งแย่งช่วงชิง แต่ลำพังแค่ในใจประจักษ์ชัดไม่มีประโยชน์ เสียทีเป็นรัชทายาท อำนาจในมือสักส่วนหนึ่งก็ไม่มี” ฉีเซียวคิดถึงนัยน์ตาแฝงความไม่ยินยอมคู่นั้นของไป่เริ่นพลันแย้มยิ้ม “ก็เหมือนไป่เริ่นในเวลานี้ เขามีใจคิดแย่งชิง เพียงแต่ยากเข็ญไร้แรงช่วยเหลือ”
เจียงเต๋อชิงเข้าใจได้ในบัดดล เขานิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ย “ดังนั้นองค์รัชทายาทมั่นใจว่าซื่อจื่อจะติดกับ?”
“เขาจะติด” ฉีเซียวพยักหน้าพร้อมยิ้มอ่อนโยน “หากตอนนั้นมีคนบอกข้าว่ามีวิธีคืนชีวิตเสด็จแม่กลับมา ไม่ต้องพูดถึงร่างกายนี้ กระทั่งมอบชีวิตให้เขาก็ใช่จะมีอันใดเสียหาย…ไป่เริ่นจะต้องตอบรับแน่”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.