X
    Categories: everYทดลองอ่านยุทธจักรเริงรมย์

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 2

 

หลังเสร็จกิจ อวิ๋นชิงรู้สึกเหนียวตัวจนทนไม่ไหวจึงให้คนไปตามเสี่ยวเอ้อร์มา

เวลานี้เสี่ยวชุนนอนแผ่กะปลกกะเปลี้ยอยู่บนเตียง แทบไม่มีแรงแม้แต่จะพลิกตัวหรือลุกขึ้น อวิ๋นชิงจึงต้องเป็นคนไปเปิดประตู

อวิ๋นชิงผู้มีสีหน้าเยือกเย็นยังคงทำทีเรียบเฉยเหมือนที่เคยเป็นมา เหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เขารินน้ำชาให้ตัวเองแล้วนั่งดื่มชาอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทางสงบผ่อนคลาย

เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นยกน้ำมาให้ เดินกลับไปกลับมาสองสามรอบ สุดท้ายก่อนจะจากไปบังเอิญสบตากับเสี่ยวชุนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งสองก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ใบหน้านั้นเรียกได้ว่างดงามยิ่งกว่าแสงสายัณห์ที่สาดส่องสะท้อนหมู่เมฆเสียอีก

เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มให้อย่างประดักประเดิด

“ลำบากพี่เสี่ยวเอ้อร์แล้ว” เสี่ยวชุนยิ้มให้ ท่าทางประดักประเดิดยิ่งกว่าเสี่ยวเอ้อร์เสียอีก

เสี่ยวชุนหยักยิ้มมุมปาก ขยิบดวงตาเรียวงาม สีหน้าแย้มยิ้มอย่างอ่อนแรงหลังจากร่วมรักนั้นดูมีเสน่ห์เย้ายวนยากจะหาใครเหมือน ดวงตางดงามของเขายังดูแดงระเรื่อ แม้ใบหน้านั้นจะหล่อเหลาอยู่แล้ว แต่เวลานี้กลับยิ่งมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลมากขึ้นไปอีก

เสี่ยวเอ้อร์มองดูจนตกตะลึง นิ่งอึ้งเหม่อลอยไปเป็นครู่ใหญ่

“…” อวิ๋นชิงที่เดิมทีกำลังดื่มชาพลางเคาะนิ้วกับโต๊ะอยู่เงียบๆ พลันผุดลุกขึ้น

แม้เสี่ยวเอ้อร์คนนี้จะเป็นแค่เสี่ยวเอ้อร์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ทำงานรับใช้ในโรงเตี๊ยมซึ่งมีจอมยุทธ์แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสายหลายปีจนช่ำชอง อวิ๋นชิงเพิ่งจะเริ่มเคาะโต๊ะอย่างหงุดหงิด เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าอากาศในห้องเย็นลงฮวบฮาบ มีไอสังหารปรากฏขึ้นฉับพลัน ไม่ต้องรอให้อวิ๋นชิงทำอะไรเขาก็โค้งคำนับแล้วพูดว่า “เชิญคุณชายขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน” แล้วรีบแจ้นออกไปอย่างรวดเร็วทันที ก่อนจะไปยังไม่ลืมหับประตูห้องจนปิดสนิทชนิดที่ไม่ให้ไอสังหารเล็ดลอดออกมาได้

อวิ๋นชิงมองตามเสี่ยวเอ้อร์ที่ออกจากห้องไปแล้วหัวเราะหึอย่างเยือกเย็น

“คราวนี้เขาไปทำอะไรให้เจ้าโกรธอีกเล่า” เสี่ยวชุนยิ้มเจื่อนๆ

“ยังจะมายิ้มอีก!” อวิ๋นชิงต่อว่าอย่างโกรธๆ “เจ้านี่มันเป็นพวกชอบโปรยเสน่ห์ยั่วยวนไปเรื่อย!”

“ข้านี่น่ะหรือ” เสี่ยวชุนงุนงง “โปรยเสน่ห์ยั่วยวนอะไร”

 

หลังจากอาบน้ำแล้วเสี่ยวชุนก็กินข้าวอย่างลวกๆ ตักกินไปได้ไม่กี่คำก็บอกว่าอิ่ม

ไอน้ำคลุ้งไปทั่วห้อง อบอวลหนาแน่นจนรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก

ตอนที่อวิ๋นชิงเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นพัดเข้ามา เสี่ยวชุนก็เดินโงนเงนแล้วปีนกลับขึ้นเตียงไปนอน ในใจคิดว่าตัวเขาเหนื่อยแล้ว อวิ๋นชิงคงจะยอมตามใจเขา

อวิ๋นชิงมองดูหนังสือซึ่งม้าเร็วจากเมืองหลวงส่งมาอยู่ใต้แสงเทียนเหลืองนวล เมื่อใกล้จะถึงเวลาเขาก็ลุกขึ้นแต่งตัว เพียงคาดกระบี่น้ำค้างเงินที่สายคาดเอวแล้วเขาก็จะจากไป เสี่ยวชุนซึ่งเดิมทีกำลังหลับได้ยินเสียงจึงลุกขึ้นมา

“ลุกขึ้นมาทำไม เจ้าง่วงไม่ใช่รึ” อวิ๋นชิงถาม

เสี่ยวชุนเบิกตากว้าง มองดูอวิ๋นชิงตาไม่กะพริบ ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นราวกับดวงดาว สะท้อนประกายแวววาวเป็นพิเศษในห้องที่มืดสลัว ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่น

“อวิ๋นชิง เจ้าจะออกไปจริงหรือ” เสี่ยวชุนถามด้วยสุ้มเสียงแหบแห้ง หลังได้รับบาดเจ็บ กำลังก็ถดถอย น้ำเสียงจึงฟังดูอ่อนระโหย ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะหาย

เพียงแค่ประโยคนี้อวิ๋นชิงก็รู้สึกได้ว่าเสี่ยวชุนดูแปลกๆ

เรื่องที่เขาจะไปทำ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่รอบตัวทั้งสองมากเกินไปเสี่ยวชุนจึงไม่อยากยุ่ง ไม่เคยพูดอะไรให้มากความ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาตลอด แต่คำพูดในวันนี้เหมือนแฝงนัยว่าอยากจะรั้งเขาไว้ อวิ๋นชิงไม่เคยเห็นเสี่ยวชุนเป็นเช่นนี้มาก่อนจึงนึกสงสัย

ชะงักไปครู่หนึ่งอวิ๋นชิงก็เดินไปหาเสี่ยวชุน ยืนอยู่ข้างเตียง นิ่งอยู่นานแล้วก็พูดขึ้น “จิ้งอ๋องนั่นออกจากเมืองหลวงมาพร้อมข้า ผ่านไปนานร่วมเดือนยังไม่กลับ คืนนี้ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้แล้วถือโอกาสไปกำจัดอีกสองสามคนด้วย…”

“อืม…” เสี่ยวชุนตอบรับเสียงเบา ยื่นมือออกมาโอบเอวอวิ๋นชิง จากนั้นก็ดึงเข้ามาหา ฝังใบหน้าเข้าไปในอกเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะของอวิ๋นชิง สูดกลิ่นหอมกรุ่นเย็นที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของเขา ส่ายศีรษะอยู่กับอกกระแซะไปมาเบาๆ

“เป็นอะไรไป” อวิ๋นชิงรู้สึกงุนงง

เสี่ยวชุนเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เหงื่อเปียกชื้นเหนอะหนะพวกนี้อวิ๋นชิงไม่ชอบเอาเสียเลย เขามีนิสัยรักความสะอาด ฝุ่นที่มาเปรอะเปื้อนแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาไม่พอใจได้ เสี่ยวชุนรู้ดีแต่ก็ยังจงใจปาดเหงื่อกับเสื้ออวิ๋นชิง

เพราะเขารู้ว่าอวิ๋นชิงจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็จะยอมทนปล่อยตามใจเขา อยากจะทำอะไรก็ทำ

นี่คือความอ่อนโยนที่อวิ๋นชิงเท่านั้นที่มี ซึ่งจะยอมให้เสี่ยวชุนทำอะไรก็ตามที่ล่วงเกินเขาได้เช่นนี้

เสี่ยวชุนรู้สึกได้ว่าอวิ๋นชิงนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะกำลังสะกดกลั้น ไม่ว่าเขาจะหาเรื่องทำตัวป่วนเพียงใดก็ไม่คิดจะผลักไสเขาออกไป

หลังจากทำตัวแข็งไม่พูดไม่จาอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วอวิ๋นชิงก็ยื่นมือออกไป เดิมทีคิดจะพาเสี่ยวชุนกลับไปนอนต่อที่เตียง ไม่คิดว่าพอได้สัมผัสผิวกายของเสี่ยวชุน ความร้อนผ่าวก็ทำเอาเขาถึงกับตกอกตกใจ

“ทำไมหน้าผากร้อนเช่นนี้” อวิ๋นชิงถามเสียงเครียด

“ไม่เป็นไร แค่มีไข้เล็กน้อย” น้ำเสียงเสี่ยวชุนแผ่วเบาแต่ยังไม่หยุด ยังคงซุกตัวกับอ้อมอกอวิ๋นชิง “เจ้าอยากออกไปก็ไปเถอะ ข้ากินยาแล้วนอนให้เหงื่อออกสักหน่อยก็หายแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายกับข้าหรอก”

ปากเสี่ยวชุนพูดอย่างนี้ แต่มือที่จับสาบเสื้อด้านหน้าของเขาไว้กลับไม่มีวี่แววว่าจะยอมปล่อย

อวิ๋นชิงตกตะลึง คุยกันอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวชุนคิดจะทำอะไร เสี่ยวชุนบอกว่าให้เขาไปแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ตกลงว่าจะปล่อยให้เขาไปหรือไม่กันแน่ อวิ๋นชิงงุนงงไปหมดแล้ว

ราตรียิ่งดึกดื่น ฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้น เสี่ยวชุนรึก็แปลกจริงๆ เหนี่ยวรั้งเขาไว้แล้วยังมาหลับใส่ นอนท่าประหลาดอยู่บนตัวเขา ไม่กลัวว่าจะคอเคล็ดเอวเคล็ดเลย

นอนแกร่วอยู่ข้างเตียงนานพักใหญ่อวิ๋นชิงก็ดีดนิ้วอย่างลังเล ข้างนอกมีเงาร่างปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังประตูรอฟังคำสั่ง

“บอกให้พวกเขารอก่อน ข้ามีธุระ ไม่ไปแล้ว วันหน้าค่อยหารือกันใหม่” อวิ๋นชิงกระซิบบอก เกรงว่าจะทำให้เสี่ยวชุนที่กำลังหลับตกใจตื่น

คนที่อยู่ด้านนอกห้องได้รับคำสั่งแล้วกำลังจะจากไป ทว่าอวิ๋นชิงกลับร้องเรียก “ช้าก่อน!”

เขาพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอก “กลับเมืองหลวง ไปตามหมอหลวงมา”

พอในห้องเงียบเสียงลงแล้วอวิ๋นชิงก็อุ้มเสี่ยวชุนกลับไปนอนที่เตียงอย่างเบามือ ปลดกระบี่ออก ถอดเสื้อผ้า เป่าเทียนจนดับแล้วกลับขึ้นไปนอนข้างๆ เสี่ยวชุน

อวิ๋นชิงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สายลมพัดพาสายฝนเข้ามาด้วย เขาหันไปมองเสี่ยวชุนที่ตัวร้อนจนเหงื่อออก ฝนตกค่ำคืนนี้เย็นสบายดี เขาจึงไม่ปิดหน้าต่าง

เสี่ยวชุนหน้านิ่วคิ้วขมวด นอนพลิกไปมาอย่างกระสับกระส่าย สุดท้ายพออวิ๋นชิงขึ้นมาบนเตียงแล้วมักจะปล่อยให้เขาควานหา เสี่ยวชุนยิ้มน้อยๆ ไขว่คว้าหาตัวอวิ๋นชิงราวกับมือปลาหมึกแล้วดึงเข้ามาหา โถมร่างเข้าไป ไม่ช้าก็ถอนหายใจ สีหน้าที่เป็นกังวลพลันคลายลง

เสี่ยวชุนรู้สึกสบายแล้ว กลายเป็นอวิ๋นชิงที่ทำหน้าตาบูดบึ้งแทน

อวิ๋นชิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเสี่ยวชุนที่ไม่ชอบคลอเคลีย เวลานี้กลับทำตัวแปลกๆ ไปได้ ทุกการกระทำเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ราวกับว่าไม่อยากให้เขาไปไหน คอยพัวพันให้เขาอยู่แต่ที่นี่

ปากเสี่ยวชุนพูดอะไรพึมพำออกมาอีกสองสามคำ อวิ๋นชิงลองตั้งใจฟังดีๆ หลายรอบจึงค่อยเข้าใจ “…ร้อน…ร้อนเหลือเกิน…”

ใบหน้าหล่อเหลามีแววเปราะบางที่ยากจะได้เห็นวาบขึ้นแล้วหายไป เสี่ยวชุนยังบ่นพึมพำอีกพักหนึ่ง คำพูดละเมอส่วนมากฟังดูสับสน มีเพียงไม่กี่คำที่คุ้นหูและได้ยินชัดเจน

เขาได้ยินคนผู้นี้เอ่ยว่า

“ชิง…ชิงชิง…อวิ๋นชิง…”

เมื่อได้ยินว่าชิงชิงหรืออวิ๋นชิงสองสามคำ อวิ๋นชิงเองก็ยังงุนงง รู้แค่เพียงว่าสองสามคำที่คนผู้นี้หลุดปากพูดออกมาทำให้ตัวเขารู้สึกเหมือนมีเสียงดังกระหึ่มกึกก้องอยู่ในหู แผนการอันโหดเหี้ยม การหลอกลวงอันเป็นเสมือนกำแพงสูงที่อยู่ในใจทรุดฮวบลง พังทลายจนหมดสิ้น

ในหัวใจเหมือนมีอะไรประดังขึ้นมา ขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกแสบจมูกไปหมด

แปลกจริงๆ

“ข้าอยู่นี่ อวิ๋นชิงอยู่นี่แล้ว” เขากระซิบบอกข้างหูเสี่ยวชุน จุมพิตเบาๆ ลงบนแก้มที่ชุ่มเหงื่อ จากนั้นก็ขับเคลื่อนกำลังภายในให้หมุนเวียนเพื่อให้ร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ เย็นลง อยากจะให้เสี่ยวชุนที่กำลังตัวร้อนรู้สึกสบายขึ้น

เสี่ยวชุนซุกไซ้ไปมาครู่หนึ่งจนพอใจแล้วจึงค่อยสงบนิ่งลง

อวิ๋นชิงครุ่นคิด การกระทำของเสี่ยวชุนที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเข้าใจ

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสี่ยวชุน…กำลังออดอ้อนเขาอยู่

ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้กับเขามาก่อน เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจ แต่ท่าทางที่เดี๋ยวก็มาดมกลิ่น เดี๋ยวก็เอาหัวมาซุกไซ้ ซ้ำยังจับตัวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หากไม่ใช่อาการออดอ้อนทำตัวเหมือนเด็กแล้วจะเรียกว่าอะไร

ช่างปะไร

อวิ๋นชิงลูบศีรษะเสี่ยวชุน ชั่วขณะนั้นเองเขาก็เผยยิ้มเรียบง่ายอันแสนงดงามซึ่งเสี่ยวชุนไม่ได้เห็นออกมา

เขาชอบ

ชอบเสี่ยวชุนที่เป็นแบบนี้

ชอบเสี่ยวชุนที่ทำท่าทางออดอ้อนแบบนี้

ต่อให้เสี่ยวชุนเกลือกกลิ้งทำให้เขาเปื้อนเหงื่อจนเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว เขาก็ยังชอบที่เป็นแบบนี้

 

“แค่ก…”

เนื่องจากคนผู้นี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวชุนร่างกายอ่อนแอ ทนหนาวไม่ได้ ไม่เพียงเปิดหน้าต่างเอาไว้ตลอดคืน ยังปล่อยให้กระแสอากาศหนาวยะเยือกจากลมฝนพัดเข้ามาในห้อง ประกอบกับเมื่อคืนเหงื่อออกจนชุ่มโชกแผ่นหลัง เขาไม่ชอบความเหนอะหนะจึงจับเสี่ยวชุนถอดเสื้อผ้าแล้วพาลงไปในอ่างล้างตัว ยังเช็ดเนื้อตัวผมเผ้าไม่ทันแห้งดีก็พาเสี่ยวชุนกลับขึ้นเตียงไปนอน

การกระทำที่ผิดพลาดติดๆ กันเช่นนี้ยิ่งไปผสมโรงให้อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยของเสี่ยวชุนที่แต่เดิมเพียงแค่ได้นอนหลับดีๆ สักสองสามชั่วยามก็หายเองได้กลายเป็นการเจ็บป่วยหนัก

เสี่ยวชุนไอค่อกแค่กสองสามที หัวหมุนวิงเวียนไปหมด ที่แปลกก็คือจะทำอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น รู้สึกแต่เพียงว่าข้างหน้ามีคนเดินไปมา สองตาพร่ามัวราวกับมีเมฆหมอกมาบังจึงเห็นไม่ชัด

“เป็นไข้มาสองวันแล้ว หมอหลวงอย่างเจ้ามัวทำอะไร”

“ชีพจรคุณชายน้อยทั้งสับสนและยุ่งเหยิง โรคภัยที่เป็นอยู่เดิมก็เรื้อรังยากจะวินิจฉัย วันนี้ซ้ำร้ายถูกลมเย็น การหมุนเวียนของปราณและเลือดสับสนไปหมด ปัจจัยภายนอกทำให้ป่วยไข้จนหยางพร่อง…” มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง กำลังจับข้อมือเขาไว้

ขณะเสี่ยวชุนสะลึมสะลือก็รู้สึกว่ามีคนมาตรวจชีพจร จึงยกมือที่อ่อนปวกเปียกขึ้นจะดึงกลับ แต่ดึงอยู่หลายครั้งทั้งๆ ที่คิดว่าดึงสุดแรงแล้ว ทว่ากลับไม่มีผลอะไร

“ข้าเป็นหมอเทวดา…” เสี่ยวชุนบอกเสียงแผ่ว

ในที่สุดมือเหี่ยวย่นซึ่งเต็มไปด้วยกระดูกปูดโปนก็ปล่อยข้อมือของเขาออก เอาผ้ามาห่มให้เขาอย่างมิดชิด จากนั้นบิดผ้าจนหมาดแล้วช่วยเช็ดเหงื่อที่เปียกชุ่มหน้าผากให้

เขารู้สึกว่าสติกำลังเลื่อนลอย ราวกับว่ากำลังจะตาบอดมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง แม้จะพยายามเบิกตาให้กว้างแต่ก็ยังมองเห็นไม่ชัด กลับเห็นแต่ภาพขาวโพลนและเงาสีขาวสองสามร่างเคลื่อนไหวไปมา

นานๆ ครั้งจะมีเงาสีขาวเคลื่อนเข้ามาจ้องมองใกล้ๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าน่าขันจนต้องยิ้ม

เงาสีขาวนั้นค่อยๆ เอามือข้างหนึ่งมาจับที่แก้ม “ยังจะยิ้มได้อีก”

ใครกันนะ เสี่ยวชุนนึกสงสัย คนที่มาเช็ดเหงื่อให้เป็นใครกัน ในหัวมึนงงไปหมด

“ในเมื่ออาการเป็นอย่างนี้ ทำไมยังไม่เขียนเทียบยาอีก” เสียงนั้นยังพูดต่อ แฝงด้วยความร้อนรน

“อาการ…เยี่ยงนี้อันตรายมาก หยางพร่องเพราะปัจจัยภายนอกบั่นทอนสุขภาพ เดิมทีตัวเย็นจัดแต่ไม่มีเหงื่อ แขนขาเย็นเฉียบ สถานการณ์ของคุณชายน้อยน่าจะมีหมอใหญ่สักท่านมาตรวจรักษาไปรอบหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นอาการคงจะไม่ทุเลาลงถึงเพียงนี้ ตวนอ๋องอย่าได้เคืองโกรธ ขออภัยด้วยที่ผู้น้อยขอเรียนตามตรง ผู้น้อยรู้แต่เพียงว่าวิชาแพทย์ของท่านหมอใหญ่ท่านนั้นสูงส่งกว่าผู้น้อยมาก คุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บภายในสาหัส ชีพจรสับสน ผู้น้อยเกรงว่าหากเขียนเทียบยาให้แล้วอาจทำให้สถานการณ์ที่ท่านหมอใหญ่วางไว้เกิดสับสนวุ่นวาย อาการเจ็บป่วยของคุณชายน้อยจะยิ่งหนักหนาสาหัส…ผู้น้อยไร้ความสามารถ…ตวนอ๋องโปรดอภัยด้วยขอรับ…”

“เทียบยาอะไรนั่นเขาก็เป็นคนเขียนเอง หมอเทวดาก็ยังรักษาตัวเองไม่ได้ อย่าบอกนะว่าข้าต้องทนดูเขาเป็นไข้หนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้โดยไม่อาจจะทำอะไรได้”

แล้วก็มีเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว สะท้านสะเทือนจนเสี่ยวชุนแสบแก้วหู

จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบลง

ผ่านไปครู่หนึ่งเสี่ยวชุนยังรู้สึกงุนงงสับสน แต่กลับได้ยินเสียงใครบางคนมากระซิบเรียกชื่อเขาข้างหู ในน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรนห่วงใย

“ทำไมยังลืมตาอยู่อีก รีบนอนซะ ยังจะมายิ้มอะไร ถ้ายังกล้ายิ้มอีกก็ระวังตัวไว้เถอะ ข้าจะทำให้เจ้าต้องร้องไห้…”

ในที่สุดเสี่ยวชุนก็เห็นใบหน้าที่งดงามราวกับเทพเซียนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ต่อหน้าอย่างชัดเจน

ในหัวเสี่ยวชุนรุ่มร้อนด้วยพิษไข้จนมึนงงสับสนแทบจะหมดสติอยู่แล้ว พอเห็นคนผู้นี้จึงค่อยกวาดตามองซ้ายขวา ในที่สุดก็เหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นในห้วงคิด รู้แล้วว่าคนผู้นี้คือใคร

“ท่านแม่!” เสี่ยวชุนอ่อนแรงแต่กลับฝืนพยายามจะร้องตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ท่านมาเยี่ยมข้ารึ” เสียงนั้นเล็กเบาเหมือนเสียงแมลงหวี่ ฟังดูอ่อนระโหยจนแทบจะมีแค่คนที่นั่งข้างเตียงเท่านั้นที่ได้ยิน

เหล่าองครักษ์ที่คอยยกน้ำเข้าๆ ออกๆ ในห้องต่างตกใจจนลื่นล้ม จากนั้นก็รีบเช็ดพื้นที่น้ำเจิ่งนองแล้วถอยออกไป

“ท่านแม่อย่างนั้นรึ” จำได้ว่าเมื่อก่อนทุกครั้งที่ป่วยก็มีเพียงแต่ท่านแม่ที่อยู่ข้างๆ เขา

“จ้าวเสี่ยวชุน เจ้าเรียกใครว่าท่านแม่ ตื่นสิ!” อวิ๋นชิงตะโกนอย่างอดไม่ได้พลางเขย่าไหล่เสี่ยวชุน คนผู้นี้เป็นไข้จนออกอาการเช่นนี้ดูไม่ปกติเสียแล้ว ถึงกับพูดจาละเมอเพ้อพก ท่านแม่ของเสี่ยวชุนถูกตัดเอวตายไปตั้งนานแล้ว ตัวเขาจะเป็นท่านแม่ของอีกฝ่ายได้อย่างไร!

“อา…” เสี่ยวชุนตกตะลึงไปนาน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยนึกออกว่าคนผู้นี้คือใคร แม้จะได้ยินเสียงเขาดูเหมือนไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ลึกๆ จึงตอบไปด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ข้าพูดผิดไป…พูดผิดไปเอง อวิ๋นชิง…ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า…”

เสี่ยวชุนหัวเราะเบาๆ “ใช่เจ้าหรือไม่…” เขายื่นมือออกไปหาเงาร่างนั้น

มือที่ชื้นเหงื่อถูกคว้าจับไว้แน่นทันที คนผู้นั้นนั่งอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว

“เป็นข้าเอง” อวิ๋นชิงขานตอบ

เงาร่างของคนตรงหน้าค่อยๆ เด่นชัดขึ้น เป็นใบหน้าที่เขาคิดถึงที่สุด แต่ทำไมดวงตาอีกฝ่ายถึงแดงก่ำ ริมฝีปากซีดขาวเม้มแน่น สีหน้าดูร้อนรนเป็นกังวล

เสี่ยวชุนคิด มีใครมาแกล้งอวิ๋นชิงของข้าหรือเปล่า ที่แท้ใครกันกล้าทำถึงเพียงนี้ ศิษย์พี่ใหญ่หรือ?

ศิษย์พี่ใหญ่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วไม่ใช่หรือว่าจะดูแลอวิ๋นชิงแทนเขา หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่จะกลับคำ?

หรือเพราะเขาฟื้นคืนจากความตายมาได้ ศิษย์พี่ใหญ่เลยตัดสินใจว่าจะไม่รักษาสัญญา จึงได้มาทำให้อวิ๋นชิงต้องเดือดร้อนรำคาญใจอีก

เสี่ยวชุนจับมืออวิ๋นชิงด้วยความสงสาร เห็นสีหน้าท่าทางของอวิ๋นชิงเช่นนี้ก็นึกอยากจะกอดเขาไว้ในอ้อมแขน แต่เสียดายที่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ทั่วร่างอ่อนปวกเปียกราวกับก้อนแป้งที่ทิ้งไว้จนขึ้นฟู จะขยับตัวก็ยังขยับไม่ได้

อวิ๋นชิงต่อว่า น้ำเสียงสั่นน้อยๆ ด้วยความขุ่นใจ “ยังไม่รีบนอนอีก จะลืมตาตื่นไปถึงเมื่อไร ถ้ายังไม่หลับตาข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย!”

น้ำเสียงนั้นฟังดูข่มขู่คุกคาม อวิ๋นชิงกุมมือเขาไว้แน่น แน่นเสียจนเสี่ยวชุนเจ็บเข้าไปถึงในกระดูก

“เจ้าจะทำได้ลงคอหรือ…” เสี่ยวชุนหัวเราะ

“ถ้าเจ้ายังไม่หลับอีกก็คอยดูว่าข้าจะทำลงหรือไม่!” คำพูดอวิ๋นชิงฟังดูน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าจนปัญญา

ที่แท้ดวงตาของอวิ๋นชิงคู่นั้นที่แดงก่ำไม่ใช่เพราะถูกศิษย์พี่ใหญ่รังแก แต่เพราะร้อนรนห่วงใยในตัวเขานั่นเอง

“ก็ได้ๆ ข้าจะนอน…เจ้าอย่าเป็นห่วงไปเลย…”

เสี่ยวชุนรีบหลับตา ในใจคิดว่าขอเพียงแต่อย่าให้อวิ๋นชิงต้องเป็นทุกข์ เขาก็จะยอมเชื่อฟังทุกอย่าง

เขาเอามือที่กุมกันอยู่วางลงแนบอก ถูไปมาเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างพึงพอใจ พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…ข้าเป็นถึงหมอเทวดานะ…ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก…”

“ยังจะกล้าพูดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดาอีก!” อวิ๋นชิงโกรธเจ้าคนผู้นี้เสียจริงๆ ให้ตายเถอะ

ในโลกนี้คงมีแต่เพียงจ้าวเสี่ยวชุนหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นที่ผ่านความเป็นความตายมามากขนาดนี้

อุตส่าห์รักษาคนอื่นจนหายป่วยหายเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิงได้ แต่พอถึงตาตัวเองกลับป่วยหนักจนไม่อาจรักษา

“เจ้าคนสารเลว…” อวิ๋นชิงตาแดงก่ำ

ตอนนี้เห็นชัดๆ ว่าคนที่ป่วยหนักคือเสี่ยวชุน ไม่ใช่ตัวเขา แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจถึงเพียงนี้

“ใช่ ข้ามันเลว…สารเลวที่สุด…” เสียงกระซิบของเสี่ยวชุนค่อยๆ เลือนหาย แล้วจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 

วันรุ่งขึ้นก็เป็นไปดังคำพูดของเสี่ยวชุน อาการตัวร้อนทุเลาลงอย่างรวดเร็ว เหงื่อหยุดไหล เสี่ยวชุนเหมือนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่อวิ๋นชิงผู้ซึ่งตื่นตกใจจนเกินเหตุ หลังผ่านเรื่องน่าตื่นตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความหมองคล้ำ

เสี่ยวชุนยิ้มอย่างเก้อๆ เทยาลูกกลอนจากขวดยาออกมากินแล้วดื่มน้ำตาม

เขาแอบเหลือบมองอวิ๋นชิง เห็นจากทางหางตาว่าอวิ๋นชิงกำลังอ่านหนังสือ สีหน้าไร้ความรู้สึก ริมฝีปากเม้มแน่น เหมือนภูเขาน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่หมื่นปีไม่เคยละลาย สถานการณ์ตอนนี้ประกอบกับการเจ็บป่วยหลายวันที่ผ่านมาทำให้อวิ๋นชิงอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง เสี่ยวชุนอดรู้สึกผิดไม่ได้

“อวิ๋นชิง” เสี่ยวชุนร้องเรียก

อวิ๋นชิงเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาเย็นชามาให้เสี่ยวชุนแต่ไม่พูดอะไร รอให้คนที่เรียกเขาพูดต่อ

เสี่ยวชุนจับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง พูดด้วยความรู้สึกผิด “ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นห่วงจึงไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมาก ไม่คิดว่าก็ยังทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงอยู่ดี แต่อันที่จริงไข้ลดแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก ดูข้าสิ ออกจะแข็งแรงร่าเริง ไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ”

อวิ๋นชิงรู้สึกไม่พอใจจริงๆ ไม่อยากจะพูดอะไรกับคนผู้นี้ทั้งนั้น ขณะที่คิดว่าจะก้มหน้าทำเมินมองไม่เห็นอีกฝ่าย เสี่ยวชุนก็รีบบอก

“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธข้า การเจ็บป่วยครั้งนี้ถึงจะดูน่ากลัว แต่ที่จริงไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอก” เสี่ยวชุนพูด

อวิ๋นชิงนิ่งคิดแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนั้นถ้าข้าไม่ดื่มเลือดวิเศษในหัวใจของเจ้าลงไป วันนี้ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”

“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย ถ้าไม่ดื่มเลือดวิเศษตัวข้าไม่เป็นอะไรก็จริง แต่จะกลายเป็นเจ้าที่เกิดเรื่องแทน” เสี่ยวชุนตอบกลับ “วันนั้นเจ้าถูกพิษร้ายแรง ถ้าไม่มีเลือดวิเศษช่วยถอนพิษจะมีชีวิตรอดจนถึงวันนี้ได้หรือ”

“แต่ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอย่างนี้!” อวิ๋นชิงทุบโต๊ะอย่างแรงจนหักกลางเป็นสองซีกทันที

“ก็ข้าไม่ได้เป็นอะไรนี่!” เสี่ยวชุนเองก็ดูเหมือนคนสบายดี ไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไรเลย

“อย่างไรเสียพิษนั้นของหลันชิ่งก็ถูกถอนไปแล้ว เจ้าว่าข้าควรจะเอาเลือดวิเศษคืนเจ้าอย่างไรดี จะแหวกอกเป็นโพรงแล้วตัดหัวใจออกมา หรือว่าจะให้ทำยังไง” อวิ๋นชิงพูดแล้วหยิบกระบี่ที่พกติดกายขึ้นมา ดึงออกจากปลอกแล้วกรีดลงไปที่หน้าอกทันที

เสี่ยวชุนตกใจจนหน้าถอดสี รีบโผเข้าไปหาอวิ๋นชิงอย่างรวดเร็ว รั้งกระบี่น้ำค้างเงินที่กรีดแทงอย่างไม่ปรานีปราศรัยอย่างร้อนใจ แต่ถูกกำลังภายในของอวิ๋นชิงกระแทกจนง่ามนิ้วหัวแม่มือชาไปหมด เจ็บปวดจนต้องขบฟันแน่น

“อวิ๋นชิงคนดีของข้า เจ้าอย่าทรมานข้าเลย” เสี่ยวชุนแย่งกระบี่มาได้ก็โยนทิ้งไปไกลๆ ยิ้มให้อย่างขมขื่นแล้วว่า “เจ้าคิดว่าเลือดวิเศษคืออะไร ดื่มเข้าไปแล้วจะยังล้วงเอาออกมาได้อีกรึ”

“ล้วงอะไรกัน” อวิ๋นชิงนิ่วหน้า

“มนุษย์ยาเป็นเหมือนภาชนะ ภาชนะซึ่งบรรจุโลหิตแห่งเทพเจ้า สิ่งนี้หมุนเวียนแทรกซึมอยู่ในภาชนะ หากวันใดคนธรรมดาได้ดื่มเข้าไป เลือดวิเศษก็จะไปกระตุ้น เคลื่อนไปตามเส้นชีพจรเข้าสู่อวัยวะภายใน กระจายออกไปตามแขนขาทั่วร่าง” เสี่ยวชุนอธิบายอย่างใจเย็น

“ไม่มีวิธีจริงๆ หรือ” อวิ๋นชิงย้ำถาม

“เจ้าเคยเห็นซาลาเปาร้อนๆ ที่กลืนลงท้องไปแล้ว ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งถูกปล่อยออกมาจากอวัยวะเบื้องล่างแล้วยังจะเป็นซาลาเปาร้อนๆ ไอกรุ่นก้อนขาวๆ เหมือนเดิมได้อีกหรือ” เสี่ยวชุนพูดยิ้มๆ “ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก! ก้อนเหลืองๆ ที่ถ่ายออกมามันก็ผสมปนเปกับทุกๆ อย่างหมดแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้าดื่มเลือดวิเศษเข้าไป อีกทั้งเจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ยา เลือดวิเศษในกายจึงไม่อาจไหลกลับเข้าไปในโพรงหัวใจ ยานั้นกระจายออกไปทั่วร่าง ส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกขับออกมาหมดแล้ว จะเอากลับคืนมาเหมือนเดิมได้อย่างไร” เสี่ยวชุนตบบ่าปลอบใจอวิ๋นชิง

อวิ๋นชิงได้ฟังคำที่เสี่ยวชุนพูด คิดตามว่าซาลาเปาขาวๆ ถ่ายออกมาแล้วจะเป็นอะไร หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดมุ่น

เสี่ยวชุนยังบอกอีกว่า “เจ้าก็อย่าคิดเรื่องนี้อีกเลย ข้าไม่ได้เป็นอะไร ยังใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข จะมีเลือดวิเศษหรือไม่มีก็เหมือนกัน ไม่ได้ขาดอะไรไปสักหน่อย”

ได้ฟังเช่นนั้นอวิ๋นชิงก็แค่นเสียงเยาะอย่างเย็นชา ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป แต่ถึงแม้ไม่อยากจะคิด ทว่าคำพูดของหมอหลวงเมื่อวานก็ยังดังก้องอยู่ข้างหู ‘โรคภัยที่เป็นอยู่เดิมก็เรื้อรังยากจะวินิจฉัย’

เสี่ยวชุนไม่ยี่หระอะไรกับตัวเองจริงๆ หลังจากทั้งสองผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน อวิ๋นชิงก็รู้สึกเช่นนี้แล้ว เสี่ยวชุนผ่ายผอมลงมากจนเห็นกระดูกปูดโปนไปทั่วร่าง ดูน่าสงสารเหลือเกิน ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มบัดนี้เหลือเพียงคางแหลม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันคงเหลือแต่โครงกระดูก แม้แต่กล้ามเนื้อก็จะไม่มี

คิดถึงความเป็นไปได้นี้แล้วอวิ๋นชิงก็ไม่อาจสบายใจได้เลย

แต่เพราะเสี่ยวชุนเป็นคนดื้อรั้นนัก ดึงดันว่าไม่อยากให้เขาต้องมาหงุดหงิดไม่สบายใจกับเรื่องนี้จึงไม่พูดแม้แต่คำเดียว

หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้เสี่ยวชุนทรุดหนักจนเขาเห็นกับตา ก็ไม่รู้ว่าเจ้านี่จะปิดบังเขาไปอีกนานเพียงใด

เสี่ยวชุนจ้องมองอวิ๋นชิงก็รู้ว่าเขายังคิดเรื่องการเจ็บป่วยของตนเองอยู่จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดคุยกับอวิ๋นชิง

อวิ๋นชิงทำเสียงอือออตอบรับเป็นครั้งคราว บางครั้งยังหัวเราะไปกับเรื่องขำขันที่ไร้ที่มาที่ไปของเสี่ยวชุน ซึ่งดึงความสนใจของเขาออกไปจากหนังสือที่อ่าน

ตราบจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูสองสามครั้งขององครักษ์ชุดขาวจากด้านนอก ซึ่งในยามปกติอวิ๋นชิงไม่เห็นร่องรอย แต่จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น แล้วบอกว่า “นายท่าน ถึงเวลาแล้ว” อวิ๋นชิงจึงค่อยเรียกสติคืนมา

อวิ๋นชิงปิดหนังสือลง

เสี่ยวชุนที่นั่งอยู่บนเตียงมองดูอวิ๋นชิงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาออกมาแล้วสวมเสื้อผ้าเป็นทางการ เตรียมตัวออกไปข้างนอก เขาจ้องมองดูอยู่จนเหม่อลอย

แม้อวิ๋นชิงจะสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวทั้งตัว แต่ปลายแขนเสื้อประดับลายเกลียวเมฆสีขาวตื้นลึกสลับกัน ภายใต้แสงและเงามีลายดอกไม้ปรากฏขึ้นเลือนราง ซ้ำยังสวมหมวกยศประดับหยกขาวห้อยสายเกลียวเชือกดูสูงศักดิ์ ใบหน้าขาวกระจ่างหมดจดนวลเนียน ดูเยือกเย็นยิ่งนัก ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับมิใช่ดวงตาของมนุษย์

เสี่ยวชุนที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว

อวิ๋นชิงคาดกระบี่ หันมามองเสี่ยวชุนอีกหลายครั้งแล้วบอก “ข้าจะกลับดึกหน่อย”

“อืม” เสี่ยวชุนยิ้มอย่างเหม่อลอย

“ก่อนข้าจะกลับมา ห้ามออกไปไหน ไม่ให้หนีไปเที่ยวเล่นเหลวไหล ห้ามมองผู้หญิง ห้ามก่อกวน และยิ่งกว่านั้นห้ามก่อเรื่อง” อวิ๋นชิงเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดแล้วหันไปมองเสี่ยวชุน กำชับเรื่องนั้นเรื่องนี้

“อืม” เสี่ยวชุนยังคงพยักหน้า

อวิ๋นชิงคิดแล้วจึงบอกว่า “กลับไปหาอาจารย์เจ้าที่หุบเขาเทพเซียน คนธรรมดาต้องเอาอะไรไปด้วยหรือไม่”

“ไม่ต้องเอาอะไรไปหรอก อาจารย์ไม่จุกจิกอย่างนั้น” เสี่ยวชุนตอบ

“แต่นั่นเป็นอาจารย์ของเจ้า” สีหน้าอวิ๋นชิงดูไม่ค่อยแน่ใจ ท่าทางสับสน ตลอดมาคนอย่างเขามีแต่ผู้อื่นที่คอยส่งข้าวของมาบรรณาการ ไม่เคยต้องหาของไปกำนัลใคร แต่ก็พอรู้อยู่ว่าหากไปเยี่ยมเยียนถึงที่ก็น่าจะต้องมีของติดมือไปบ้าง

อันที่จริงอวิ๋นชิงก็ไม่ได้จะเตรียมของฝากไปไหว้อาจารย์ แต่เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวชุน อีกฝ่ายนั้นเป็นอาจารย์ที่เสี่ยวชุนคอยระลึกถึงตลอดเวลา อวิ๋นชิงคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกกระวนกระวาย ไปคราวนี้อยากจะให้ท่านยอมรับปากให้เสี่ยวชุนออกจากหุบเขาเทพเซียนไปอยู่ที่วังอ๋อง หากอีกฝ่ายไม่ให้ไปก็คงไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี

เสี่ยวชุนแกล้งหยอก “อันที่จริงจะเตรียมของอะไรไปก็ได้ ในหุบเขาเทพเซียนมีพร้อมสรรพ ไม่ได้ขาดแคลนอะไร สิ่งของที่อาจารย์ต้องการ ศิษย์พี่รองย่อมต้องจัดเตรียมไว้ให้แล้ว แค่อาจารย์ได้เห็นข้าออกจากหุบเขาแล้วกลับไปได้อย่างราบรื่นก็ดีใจแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากลับไปคราวนี้ข้ายังพาภรรยาคนงามกลับไปหาเขาด้วย นี่นับว่าเป็นของขวัญที่มีค่าควรเมือง มีเพียงหนึ่งเดียวไม่เหมือนใครเชียวนะ!”

อวิ๋นชิงถลึงตาใส่เสี่ยวชุน รู้สึกว่าเจ้าคนนี้ช่างไม่รู้จักว่าอะไรเหมาะควรเสียบ้าง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่รอข้าที่นี่ ทำตัวดีๆ ให้ข้าเป็นคนพาของขวัญของเจ้ากลับไปหุบเขาเทพเซียนเองก็แล้วกัน”

“ได้สิ คำพูดของอวิ๋นชิงคนงาม จ้าวเสี่ยวชุนจะไม่เชื่อฟังได้อย่างไรเล่า” เสี่ยวชุนหยอกเล่น คนคนนี้ไม่ยอมวางใจเขาเสียที รับปากไปก็หลายคำแล้วนะ

“เจ้ายิ้มน่าเกลียดจริงๆ” อวิ๋นชิงทำหน้ามุ่ย รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้เหมือนจะล้อเลียน ทว่าแม้ปากจะบอกว่าน่าเกลียด แต่ที่จริงพอมองดูดีๆ ก็ไม่ได้น่าเกลียดถึงขั้นนั้นสักหน่อย

“อวิ๋นชิง เจ้านี่เหมือนแม่ข้าจริงๆ ชอบทำเป็นดุข้าเหมือนกันเลย” เสี่ยวชุนว่า

“ใครเป็นแม่เจ้า!” อวิ๋นชิงทำเสียงเย็นชาแล้วรีบสาวเท้าออกจากห้อง รีบไปแต่หัววันจะได้กลับมาเร็วหน่อย อวิ๋นชิงคิดในใจ เสี่ยวชุนเป็นพวกชอบก่อเรื่อง ปล่อยให้อยู่คนเดียวในโรงเตี๊ยมนานเกินไปเกรงว่าอาจเกิดอะไรขึ้นได้

 

หลังจากอวิ๋นชิงไปแล้ว เสี่ยวชุนก็นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่หลายรอบด้วยความเบื่อหน่าย หยิบตำราแพทย์สองสามเล่มมาพลิกอ่านอย่างเลื่อนลอย

อันที่จริงวันนั้นตอนที่เสี่ยวชุนรู้ตัวว่าตนเองไม่สบายก็รินน้ำเอายามากิน ใครเลยจะรู้ว่าค่ำคืนนั้นสายลมพัดกระหน่ำ ประกอบกับพลอดรักกับอวิ๋นชิงหักโหมเสียจนหลับสนิท จากนั้นอวิ๋นชิงเห็นเขามีเหงื่อโซมกายจึงคิดว่าร้อน ไม่เพียงอาบน้ำให้ ยังเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทั้งคืน ทั้งยังช่วยเดินลมปราณไปทั่วร่างให้ร่างกายเย็นสบายด้วยเกรงว่าเขาจะไม่สบายตัว

เสี่ยวชุนรู้ถึงเจตนาอันดีของอวิ๋นชิง แต่การกระทำเช่นนี้สำหรับคนที่ป่วยด้วยอาการชี่ พร่อง ภายในร่างกายหนาวเหน็บเป็นไข้ หยางไม่เพียงพอ เปรียบเหมือนการไม่ยอมก่อไฟกลางฤดูเหมันต์ ส่งผลเลวร้ายขึ้นแทน ผิดไปจากที่ตั้งใจไว้ เหมือนเอาน้ำแข็งมาโยนใส่คนที่ใกล้จะแข็งตาย ทำให้เขาหนาวเหน็บจนทนไม่ไหว

สิ่งเหล่านี้ทำให้อาการที่เพียงแค่ได้นอนพักผ่อนก็หายกลายเป็นมีไข้สูงสองวันไม่ลด

เสี่ยวชุนนอนพลิกไปมาอย่างแสนเบื่อหน่าย รู้สึกกระสับกระส่ายร้อนรน

เสี่ยวชุนตะเกียกตะกายขึ้นจากเตียงลุกไปสวมเสื้อผ้า ยังไม่ทันได้ผูกสายคาดเอว พอเงยหน้าก็เห็นองครักษ์ชุดขาวที่ไวเหมือนปรอทปราดเข้ามายืนตระหง่านอยู่สองคน เสี่ยวชุนตกใจจนสะดุ้ง

“ถ้าข้างนอกไม่มีแดดออกส่องแสงสว่างจ้า ข้าคงคิดว่าตัวเองเห็นอะไรเข้าแล้ว! นี่พี่ชายชุดขาว มือเท้าพวกท่านจะเบาเกินไปแล้ว แวบเข้ามาไร้สุ้มเสียง ข้าตกใจแทบแย่!” เสี่ยวชุนเอามือลูบหน้าอกถูไปถูมา ตอนเด็กหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ ต่อมาเมื่อฝึกฝนการเป็นมนุษย์ยา ได้อาจารย์ช่วยรักษาจนหายแล้ว แต่ก็ไม่ควรจะต้องมาตกอกตกใจแบบนี้

“ทำให้คุณชายต้องตกใจแล้ว แต่นายท่านสั่งไว้ ก่อนนายท่านจะกลับมา ห้ามท่านออกไปแม้แต่ครึ่งก้าว” หนึ่งในองครักษ์ชุดขาวตอบพลางก้มศีรษะ

เสี่ยวชุนร้องโอดครวญออกมา พูดอย่างหงุดหงิดว่า “แต่ในนี้มันน่าเบื่อ ออกไปสูดอากาศสักหน่อยไม่ได้หรือ”

“คุณชาย…”

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ยังไงซะอวิ๋นชิงก็ไม่อยู่ ข้าไม่พูด พวกท่านไม่พูด เขาก็จะไม่รู้ ข้าจะลงไปข้างล่างกินข้าวกับเดินเล่นสักหน่อย ไม่ออกไปนานหรอกน่า” เสี่ยวชุนหัวเราะพลางคว้าเสื้อตัวนอกมาสวม คาดเอวแล้วก็ออกไปข้างนอก

“คุณชาย!” สององครักษ์ไหนเลยจะตามเสี่ยวชุนทัน รั้งไว้ไม่อยู่ ได้แต่รีบตามไป

เสี่ยวชุนเดินไปพลางพูดว่า “หาได้ยากที่ข้างนอกจะอากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าไร้เมฆกว้างไกลหมื่นลี้ เป็นช่วงอากาศดีเหมาะกับการยืดเส้นยืดสาย พวกท่านก็อย่าเอาแต่อุดอู้ในห้องกับข้าเลย ลงมาแล้วข้าจะเลี้ยงชาพวกท่าน กินข้าวกันสักมื้อ!”

เสี่ยวชุนครวญเพลงพลางเดินส่ายอาดๆ ลงบันไดมา เสียงเพลงเพี้ยนๆ เรียกความสนใจจากคนรอบข้างให้หันมามอง ทว่าเสี่ยวชุนกลับไม่แยแส เดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ซึ่งอยู่ติดถนน สั่งอาหารที่ชอบมาสองสามอย่าง นั่งลิ้มรสอาหารอันเรียบง่ายที่เสี่ยวเอ้อร์นำมาให้อย่างสบายใจ

เสี่ยวชุนนั่งพิงราวระเบียง เฝ้ามองเหล่าพ่อค้าเร่และผู้คนที่เดินไปมาตามท้องถนน รู้สึกว่าเมืองนี้ช่างคึกคักเต็มไปด้วยสีสัน

อาจเพราะก่อนหน้านี้อยู่ในหุบเขาเทพเซียนที่เงียบสงบ ศิษย์พี่ศิษย์น้องกับอาจารย์แม้จะมีกันเก้าคน แต่ภายหลังศิษย์พี่ใหญ่ได้จากไปเพื่อไปชำระแค้น ศิษย์พี่หญิงสี่กลับบ้านไปแต่งงาน ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่ห้า และศิษย์พี่หกที่เป็นชายก็ออกผจญภัยในยุทธภพ เนื่องจากศิษย์พี่เจ็ดทำผิดต่ออาจารย์จึงถูกศิษย์พี่รองขับออกจากหุบเขา สุดท้ายหุบเขาเทพเซียนจึงเหลือคนไม่กี่คนที่กินยา ‘ลืมทุกข์’ แล้วเอาแต่หันมายิ้มให้เขาอย่างเลื่อนลอย มีอาจารย์ที่เอาแต่นอนทั้งวันคนหนึ่งกับศิษย์พี่รองอีกคนที่มักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน

ที่เขาไม่ชอบความเงียบสงบ สาเหตุส่วนใหญ่ก็คงเพราะเก็บกดมาจากช่วงเวลานั้นก็เป็นได้

เสี่ยวชุนเขย่ากาน้ำชา รินชาดื่มราวกับว่ามันเป็นสุรา

ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้กินยาที่เขาปรุงขึ้นบ้างหรือเปล่า ลมปราณเดินกลับตาลปัตรจนมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามปี ตัวเขาคิดอยากจะช่วย แต่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะยอมให้ช่วยหรือไม่ เพราะตัวเขาดันไปขัดขวางความปรารถนาของศิษย์พี่ใหญ่ที่จะฆ่าอวิ๋นชิงเพื่อล้างแค้นที่มาทำลายสำนัก ศิษย์พี่ย่อมจะไม่พอใจ

“สามปีแล้วสินะ…” เวลาผ่านมานานแล้ว เสี่ยวชุนคิดว่าน่าจะยังมีวิธี

ตอนนั้นอวิ๋นชิงจวนเจียนจะสิ้นชีพ เขายังยื้อกลับมาจากเงื้อมมือมัจจุราชได้มิใช่หรือ ในโลกนี้จะมีโรคภัยใดอีกที่เขาจ้าวเสี่ยวชุนไม่อาจรักษาได้

เสี่ยวชุนเหม่อคิดอย่างเลื่อนลอย เวลานี้เสียงจากโต๊ะข้างเคียงดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวยุทธ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมหลายคนต่างกินดื่มกันอย่างตะกละตะกลาม พูดคุยถึงสถานการณ์ทั่วหล้ากันจนน้ำลายแตกฟอง

คนนี้พูดว่า “สำนักมารแผ่อิทธิพลไปทั่วยุทธภพ มีอำนาจเหนือตระกูลใหญ่ๆ ในหมู่ชาวยุทธ์ หลังการต่อสู้นองเลือด สถานการณ์ทั่วหล้าดูเหมือนจะสงบลง แต่อันที่จริงใต้ความสงบนั้นยังมีกระแสคลื่นผันผวน”

คนนั้นพูดบ้าง “ในจิตใจของผู้คนที่ยังเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไหนเลยจะยอมตกต่ำถูกปกครองโดยสำนักมาร สำนักที่เซียงหนานก็ถือโอกาสไปลอบวางเพลิงสำนักสาขาของสำนักมารตอนกลางคืนไม่ใช่หรือ สำนักที่อยู่ตอนเหนือของทะเลทรายก็ลอบโจมตีผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักมารจนถึงแก่ความตายด้วยนี่”

มีเสียงเฮขานรับดังขึ้นตามมา “ทั่วหล้ายังมีวีรบุรุษ หากมีสักคนที่กล้าออกมารวบรวมเหล่าวีรบุรุษเพื่อกำจัดสาวกที่ชั่วช้าของสำนักมาร การจะให้ทั่วหล้ากลับคืนสู่หนทางที่ชอบธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

“ยังจะรวบรวมเหล่าผู้กล้าอีกหรือ” เสี่ยวชุนอดจะหวนนึกถึงอุทาหรณ์อันเจ็บปวดสองครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้

ครั้งหนึ่งมีการชุมนุมชาวยุทธ์ที่ปราสาทเขาหลิวเขียวเพื่อเลือกเจ้ายุทธภพ สุดท้ายปราสาทเขาหลิวเขียวก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น อีกครั้งมีการรวมพลพรรคชาวยุทธ์อย่างลับๆ ที่ปราสาทเขาเพลินภิรมย์เพื่อปรึกษากันจะหาทางกำจัดสำนักมาร ผลสุดท้ายมีคนชุดดำมาล้อมเขาลูกนั้นไว้ ซ้ำยังปิดตายเขาทั้งลูกแล้วจัดการสังหารหมู่ โลหิตไหลหลั่งดุจแม่น้ำ

เสี่ยวชุนเอนร่างไปแล้วหันหน้าหนี ไม่อยากจะรับฟังอีกต่อไป

อย่าได้มีการรวมพลผู้กล้าไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอีกเลย รวมทั้งการชุมนุมลับด้วย หลันชิ่งศิษย์พี่ของเขาเนื่องจากธาตุไฟเข้าแทรก เส้นเลือดได้รับบาดเจ็บ ร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว อีกอย่างก็ได้แก้แค้นไปมากแล้ว เหลือเพียงอวิ๋นชิงที่อีกฝ่ายยังไม่อาจสังหารได้เท่านั้น ไม่รู้ว่ายังจะมีแก่ใจนึกถึงเรื่องของยุทธภพอีกหรือไม่

ในเมื่อจิตใจของศิษย์พี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ยุทธภพจึงไม่น่าจะมีภัยร้ายแรงเร่งด่วน ขอเพียงคนเหล่านี้อยู่เฉยๆ ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ก็เป็นไปได้ว่าทั่วหล้าจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี

ขณะที่เหล่าผู้สูงส่งแห่งยุทธภพกลุ่มนี้กำลังคุยโวถึงเรื่องที่ทำไม่ได้กันอยู่ ที่ประตูก็มีสาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา

อันที่จริงโรงเตี๊ยมก็มีผู้คนมากหน้าหลายตา มีหญิงสาวเข้ามาคนหนึ่งก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร

แต่ที่แปลกก็คือสาวน้อยอายุราวสิบสี่สิบห้านางนี้งดงามมิใช่เล่น คิ้วเรียวบางดุจใบหลิว ดวงตากลมโต ริมฝีปากรูปกระจับหยักขึ้นเล็กน้อย มองแล้วไม่อาจละสายตาได้เลย

สายตาของผู้คนในห้องโถงใหญ่สะดุดหยุดลง จากนั้นก็อดที่จะมองดูร่างของนางในชุดสีดำไม่ได้ เมื่อได้เห็นสีอันน่าเกรงขามนี้ บางคนก็ถึงกับกลั้นหายใจ

ว่ากันว่าสำนักมารแห่งแรกของใต้หล้าคือสำนักภูษานิล สาวกสำนักภูษานิลมักสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ ทำให้เหล่าชาวยุทธ์เพียงแค่เห็นชุดสีดำก็รู้สึกขนลุกขนพองเหมือนได้พบศัตรูที่ร้ายกาจ บัดนี้ชุดดำที่ว่านี้สวมใส่อยู่บนเรือนร่างของสาวงามน่ารัก ก็ยิ่งไม่ยากที่จะดึงดูดสายตาผู้คนให้จ้องมอง

ขณะเสี่ยวชุนจ้องมองด้วยความตื่นเต้นราวกับนกกระจอกที่โลดเต้น ไหนเลยจะรู้ว่าทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็มืดดำ…มีมือใหญ่ข้างหนึ่งมาปิดตาเขาไว้

“พี่ชาย! ถามหน่อย ท่านทำอะไรหรือ” เสี่ยวชุนร้องทุกข์ ปิดตาเสียสนิทขนาดนี้ อะไรสนุกๆ ก็ไม่ได้เห็นกันพอดี

“เป็นคำสั่งของนายท่าน ไม่อนุญาตให้มองดูหญิงใดขอรับ” องครักษ์ตอบ

“เช่นนั้นข้าขอไหว้วานท่านสักหน่อยก็แล้วกัน หญิงผู้นั้นน่าจะอายุเท่าใด” เสี่ยวชุนถูกปิดหน้าไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก

สาวน้อยผู้นั้นกวาดตามองไปรอบๆ มุมปากหยักขึ้น เผยรอยยิ้มที่ไม่สมกับวัย ดูทั้งแสนหวานและเจ้าเล่ห์ เหมือนไม่เห็นสายตาซอกแซกรอบข้างที่มองมา แล้วมองหาที่นั่งว่าง

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่จางเสียจนแทบไม่ได้กลิ่นลอยมาวูบหนึ่งตามลมที่พัดผ่านชุดผ้าไหมบางจนพลิ้วไหว เสี่ยวชุนจามออกมาอย่างแรงจนน้ำลายกระเด็นเต็มมือที่ใหญ่โตข้างนั้นซึ่งกำลังปิดตาเขาอยู่ องครักษ์ชุดขาวถึงกับผงะ แต่ก็ยังฝืนไว้ไม่ดึงมือกลับ

เสี่ยวชุนดึงมือของคนผู้นั้นลง ภาพตรงหน้ากลับมาชัดเจนเหมือนเดิม แล้วเอามือข้างนั้นมาถูกับเสื้อผ้าของตน พูดกับอีกฝ่ายอย่างกระดากอายว่า “ข้าเสียมารยาทจามใส่ท่านไปแล้ว”

เสี่ยวชุนขยี้จมูกที่คันยิบๆ พลางมองดูสาวน้อยนางนั้น ทำให้หญิงผู้นั้นเกิดความสนใจขึ้นมา

เสี่ยวชุนคุ้นเคยกับกลิ่นที่แผ่ออกมาจากร่างของสาวน้อยเหลือเกิน นั่นเป็นกลิ่นของยา ‘หอมหวนร้อยลี้’ หนึ่งในยาพิษล้ำค่าร้อยแปดชนิดที่ปลิดชีพคนได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลันชิ่งศิษย์พี่ใหญ่ของเขา เซียนแห่งการปรุงยาพิษมักใช้อยู่เสมอ

แต่เสี่ยวชุนรู้สึกแปลกใจ หญิงสาวที่เพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเก่งกล้าสามารถขนาดไหนจึงได้ไปล่วงเกินหลันชิ่งจนถูกวางยาพิษชนิดนี้มา หากไร้ซึ่งความสามารถใดๆ ไฉนเลยศิษย์พี่ของเขาจะถึงกับยอมลงทุนใช้ยาพิษหายากนี้กับนาง!

เขากลอกตา สายตาเคลื่อนไปมา มีนกตัวเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือบินมาเกาะใต้ชายคา ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ เล็กเบาสองครั้ง จากนั้นเสี่ยวชุนก็ยิ้ม จะมีงิ้วให้ดูสินะ

หลังจากนกตัวนั้นบินมาถึงก็มีเสียงกระบี่พุ่งแหวกอากาศดังตามมา

กระบี่อันว่องไวและทรงพลังพุ่งมาถึงสาวน้อยซึ่งนั่งที่โต๊ะตรงหน้าเสี่ยวชุน สาวน้อยผู้นั้นรีบกระโดดขึ้นจากม้านั่งหลบหลีกได้อย่างฉับพลัน จากนั้นกระบี่ที่ไร้ตาก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวชุนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังนางพอดี

เสี่ยวชุนกำลังยกตะเกียบคีบเนื้อ ไม่ทันรู้ตัวว่ามีการซุ่มโจมตี ชั่วครู่ร่างกายจึงตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ ตะเกียบสั่นไหว ชิ้นเนื้อชุ่มฉ่ำร่วงหล่นลงมา น้ำแกงกระจายไปทั่ว ชั่วพริบตากำลังภายในก็รวมกันอยู่ที่ตะเกียบซึ่งยื่นออกไปสกัดอาวุธ

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังเคร้ง เหมือนกระบี่ยาวเล่มนั้นพุ่งเข้ากระแทกเหล็กกล้าจนกระเด็นออกไป เมื่อตกพื้นจึงเห็นว่ากระบี่เล่มนั้นหักงอจนผิดรูปกลายเป็นแค่เศษเหล็ก

“ย่ามันเถอะ!” เสี่ยวชุนนิ่วหน้าพลางไอออกมา

เกิดเหตุขึ้นกะทันหัน เขาจึงรีบเดินลมปราณเพื่อรับมือ ทว่าเขายังไม่หายบาดเจ็บดี กำลังภายในเพิ่งกลับคืนมาได้สามส่วน พอใช้กำลังจึงเกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมาในช่องอก เจ็บมากจนน้ำตารื้น เจ็บแทบตายเชียวล่ะ!

“พี่ชาย กำลังภายในท่านแข็งแกร่งดีนี่!” ชาวยุทธ์ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างเคียงเห็นเสี่ยวชุนเผยวรยุทธ์สูงส่งฝีมือล้ำลึก ดวงตาก็เป็นประกาย

เสี่ยวชุนได้แต่ลูบอกแรงๆ น้ำตาคลอเบ้า พูดอะไรไม่ออก

องครักษ์ชุดขาวรีบพุ่งปราดเข้ามาอยู่ต่อหน้าเขา คอยคุ้มกันประกบเขาไว้ทั้งสองข้างอย่างแข็งขัน

“โอ๊ย!” แม้จะเจ็บแต่เสี่ยวชุนก็ยังอยากรอดูงิ้วน่าสนุกอยู่ ทว่าภาพตรงหน้ากลับถูกบดบังหมด เขาจะไปเห็นอะไรได้! จึงยื่นมือไปตีองครักษ์ทั้งสองหลายที แต่ทั้งสองไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย

หลังเกิดเหตุกระบี่พุ่งมาแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งถือดาบถือกระบี่พุ่งปราดเข้ามาออกันในโรงเตี๊ยม พวกที่เดินนำเข้ามาสองสามคนฝึกฝนวรยุทธ์ที่เน้นกำลังภายในมาเป็นอย่างดี วิธีหายใจลึกยาว และยังมีอีกหลายคนที่มีพื้นฐานของมวยภายนอกแข็งแกร่ง เพียงก้าวย่างอย่างมั่นคงมีพลังเข้ามาในโรงเตี๊ยม พื้นปูหินในห้องโถงใหญ่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที

ขณะนั้นราวกับได้ยินเสียงใครเรียกชื่อ ‘แปดเซียนชุดดำ’ ดังแว่วมา เสี่ยวชุนยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าแปดเซียนชุดดำคืออะไรก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นในโรงเตี๊ยม

เสี่ยวชุนรีบดันก้นใหญ่ๆ สองก้นตรงหน้าออกไป ทันใดนั้นชั่วแวบหนึ่งสาวน้อยในชุดดำก็กระโจนเข้าไปในกลุ่มสาวกสำนักมาร

เหล่าชาวยุทธ์ที่อวดอ้างว่าถือคุณธรรมสองสามคนในโรงเตี๊ยมพากันร้องตะโกน “พาพรรคพวกมากมายมารังแกคนอ่อนแอกว่าเช่นนี้ สำนักภูษานิลช่างน่าขายหน้านัก!”

สองสามคนด้านหน้าซึ่งดูเหมือนเป็นผู้นำต่างก็หยิบอาวุธลับประจำสำนักออกมา แล้วเอาตัวคนที่พูดตรึงติดไว้กับผนังโรงเตี๊ยม เลือดสดๆ สาดกระจายไปทั่ว คนเหล่านั้นพากันตกตะลึง บางคนร้องเรียกหาบิดามารดาแล้วหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่บางคนยอมกัดฟันออกมาสู้ ทันใดนั้นรอบด้านก็เต็มไปด้วยเสียงหมัด เสียงฝ่ามือ เสียงซัดพลัง เสียงกระบี่ฟาดฟันดังสนั่น ผ่านหน้าเสี่ยวชุนไปจนรู้สึกเจ็บ

เสี่ยวชุนมองดูหญิงสาวในชุดดำที่ค่อยๆ ล่าถอยออกไป ในใจรู้สึกตื่นตระหนก มือเดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคลายออก คลายแล้วก็กำแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เห็นโอกาสที่จะลงมือเลย

ในที่สุดคนชุดดำผู้หนึ่งต่อสู้ฟาดฟันจนเข้ามาใกล้เสี่ยวชุนมากเกินไป สององครักษ์ที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามากันอีกฝ่ายไว้ ทันใดนั้นสถานการณ์ก็เหมือนถูกทำให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนถูกลากเข้าไปในการวิวาทโดยไม่แบ่งแยกแล้วว่าใครเป็นใคร

เสี่ยวชุนฉวยโอกาสล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบอาวุธลับออกมา แต่ยังไม่ได้ขว้างก้อนเงินที่กำไว้ในมือออกไปก็มีร่างเล็กร่างหนึ่งทะยานมาหา กระแทกกับโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า ชาร้อนทั้งกาถูกชนกระเด็น ฝากาเปิดอ้าออก น้ำชาร้อนกระฉอกออกมาสาดใส่ร่างเสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนถูกน้ำชาร้อนลวกจนสะดุ้ง ร้องเอะอะรีบพัดลมใส่ตัว แต่หางตากลับมองเห็นว่ายังมีคนชุดดำบุกเข้ามาอีก จึงไม่สนใจความเจ็บปวดบนตัวแล้วรีบโอบร่างสาวน้อยไว้เพื่อคุ้มกัน ช่วยปัดป้องกระบี่ยาวหลายเล่มที่ฟาดฟันลงมาใส่นาง

“เป็นอะไรหรือไม่!” เสี่ยวชุนถามอย่างร้อนใจ หากสาวน้อยเกิดบาดเจ็บขึ้นมาคงไม่ดีแน่ ยังไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นแค่หญิงสาว บอบบางออกอย่างนี้จะปล่อยให้ใครมาข่มเหงรังแกได้อย่างไร

แต่เพราะประโยคที่เสี่ยวชุนพูดขึ้นมานั้นเองทำให้คนที่อยู่ในอ้อมอกถึงกับเงยหน้าขึ้นแล้วบอก

“พี่ชายน้อย! พี่ชายน้อยช่วยข้าด้วย!”

หญิงสาวชุดดำในอ้อมอกเสี่ยวชุนต่อสู้จนผมเผ้ายุ่งเหยิง ถูกกระบี่ฟันตามตัวไปหลายแผล เลือดสดๆ หยาดหยดลงพื้น

ใบหน้าขาวซีดของนางไม่เหลือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว มีก็แต่เพียงความน่าเห็นใจ ริมฝีปากที่สั่นระริกร้องขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวชุนอย่างน่าสงสาร พูดจบยังกระอักเลือดสดๆ ออกมาเปรอะร่างเสี่ยวชุนอีกด้วย ชั่วขณะนั้นเองเสี่ยวชุนก็รู้สึกว่าพวกสำนักภูษานิลนี่เป็นพวกสารเลวไร้หัวใจ ถึงกับลงมือโหดเหี้ยมกับหญิงสาวที่น่าสงสารได้ถึงเพียงนี้

เสี่ยวชุนทนไม่ไหวอีกแล้ว ลืมกระทั่งอาการบาดเจ็บของตัวเองว่าไม่อาจเดินลมปราณได้ ชักกระบี่มังกรครวญที่เหน็บเอวไว้ออกมาฟาดฟันจนสาวกสำนักภูษานิลที่เข้าใกล้กระเจิงไป แต่พอเดินลมปราณกลับต้องเหนื่อยจนหอบแฮกๆ

สภาพการณ์ในโรงเตี๊ยมวุ่นวายสับสน มีคนบุกเข้ามาโจมตีเขาไม่ขาดสาย คมกระบี่ของเสี่ยวชุนแต่ไหนแต่ไรมาไม่กระหายโลหิตและไม่ได้ชอบฆ่าคน เมื่อหมดหนทางจึงโอบเอวสาวน้อยดีดตัวขึ้นด้วยวิชาตัวเบา พาทะยานออกไปยังที่โล่งข้างนอก จากนั้นก็เตลิดหนีอย่างเร่งร้อนจนกระทั่งออกไปถึงนอกเมืองที่เริ่มร้างผู้คน ร่างกายเริ่มหมดแรง มีสายลมสองสายพัดวูบผ่านตัวเขา ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตามมาทัน

ทันใดนั้นหญิงสาวก็กรีดร้องขึ้นมา “พี่ชายน้อย! ระวัง ช่วยปกป้องข้าด้วย!”

คมกระบี่บางเฉียบราวกับใบไม้พุ่งมาพร้อมเงาร่างสีดำที่ปราดเข้ามาจู่โจม พอเสี่ยวชุนวาดกระบี่ขึ้นต้าน เลือดในอกก็ปั่นป่วนขึ้นมา พลังกระบี่จึงถดถอย ตกที่นั่งลำบากจวนจะเพลี่ยงพล้ำอยู่รอมร่อ

เสี่ยวชุนส่ายศีรษะ สาวน้อยนางนี้ช่างกรีดร้องเก่งจริงๆ กรี๊ดกร๊าดจนเขาเวียนหัวไปหมดแล้ว “โธ่! หูข้า เจ้าเบาๆ หน่อยได้หรือไม่ หูข้าจะแตกอยู่แล้ว”

“กระบี่พุ่งมาแล้ว! พุ่งมาแล้ว ปกป้องข้าที!” สาวน้อยกรีดร้องอย่างร้อนใจ

เสี่ยวชุนแทบจะหมดเรี่ยวแรงแล้ว หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่าคงทิ้งกระบี่ยอมแพ้ มอบศีรษะให้ผู้ตามล่าเอากลับไปขอรับรางวัลแล้ว แต่ต่อให้เขาไม่มีกำลังต่อสู้ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ เจ้าพวกนี้ก็แค่ลูกจ๊อก แปดเซียนชุดดำอะไรกัน ไม่เคยได้ยิน ไม่เห็นจะน่าตกใจกลัวตรงไหน

เสี่ยวชุนค่อยๆ แสยะยิ้มให้คนเหล่านั้น เป็นรอยยิ้มที่ดูแสนจะชั่วร้าย คนชุดดำที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดเริ่มรับรู้ได้ถึงอันตรายก็ตกตะลึงจนยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ไปทันใด

เสี่ยวชุนสะบัดชายแขนเสื้อ ผงไร้สีไร้กลิ่นก็ฟุ้งกระจายไปตามลม คนพวกนั้นแตกฮือทันใด บางคนยังทำทียิ้มเยาะ บ้างมองดูเสี่ยวชุนอย่างเย้ยหยันราวกับเห็นลูกไม้นี้มาบ่อยแล้ว

“อ้อ สำนักภูษานิลช่างแตกต่างจริงๆ” ต้องเป็นเพราะศิษย์พี่ใหญ่สั่งสอนเรื่องการใช้พิษเอาไว้แน่ คนพวกนี้จึงได้เชี่ยวชาญ แม้แต่วิธีหลบยาสลบทำอย่างไรก็ยังรู้

“เข้ามา!” เสี่ยวชุนขว้างยาออกไปอีก

คนเหล่านั้นยังกระโดดไปมา ไม่ยอมให้ผงยามาโดนตัว

“คอยดูไม้ตายของข้า!” เสี่ยวชุนยังคงทำท่าขว้าง แต่คราวนี้กลับกลายเป็นท่าลวงอันว่างเปล่า

รอจนคนพวกนี้หมุนตัวหลบไปมาจนมึนหัว เสี่ยวชุนก็ฉวยโอกาสขว้างกระสุนหมอกอำพรางตัวที่ทำจากพริกใส่ศัตรู เป็นกระสุนอันร้ายกาจที่ทำมาโดยเฉพาะ ใครถูกกระสุนนี้เข้าเป็นต้องแสบร้อนทรมาน

ทันใดนั้นก็เห็นแสงไฟสว่างวาบขึ้นรอบด้าน ควันสีขาวลอยคลุ้ง กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งไอทั้งสำลักจนน้ำตาคลอตาพร่าไปหมด

เสี่ยวชุนก็ไออย่างแรง แต่ก็รีบฉวยโอกาสนี้โอบเอวสาวน้อยแล้วอำพรางร่างหลบหนีไปท่ามกลางหมอกควันหนาทึบ หนีรอดจากพวกสำนักภูษานิลที่น้ำหูน้ำตาไหลพราก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันร้องก่นด่าออกไปได้

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: