ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5 วิธีขี่ม้า
เฮ่อหลันเฟิงมีความหดหู่อัดแน่นเต็มอก เขาวิ่งบึ่งไปในป่าสนผืนเล็กของที่ราบฉือวั่งหยวนดุจสายลม
ที่ราบฉือวั่งหยวนมีต้นไม้สูงไม่มาก พอมีป่าสนกับป่าฮว่า* กว้างใหญ่อยู่ไม่กี่แห่ง ป่าสนผืนเล็กอยู่ใกล้กับเยี่ยไถที่สุด เป็นสถานที่ที่ยามปกติเฮ่อหลันเฟิงชอบไปที่สุด สมัยยังเยาว์วัยในค่ายไม่มีใครเล่นกับพวกเขา สามพี่น้องจึงฆ่าเวลาอันยาวนานในป่าแห่งนี้ เฮ่อหลันจินอิงใช้ไม้กระดานกับเสาซีเหลิ่งจู้** สร้างเป็นกระโจมหลังน้อยแข็งแรงบนต้นสนที่ใหญ่ที่สุด ในช่วงฤดูร้อนจั๋วจั๋วชอบวิ่งมานอนที่นี่ตลอด
เฮ่อหลันเฟิงนอนอยู่ท่ามกลางหญ้าแห้งในกระโจมหลังน้อย เหม่อมองเหนือศีรษะ
เสาซีเหลิ่งจู้เจ็ดแปดต้นตั้งบนกิ่งสนอวบหนา รวบปลายอีกด้านเข้าด้วยกันแล้วมัดแน่น จากนั้นคลุมด้วยผ้าสักหลาดบังลมฝนหนึ่งชั้น เป็นกระโจมแบบเรียบง่ายที่สุด บริเวณที่เสาซีเหลิ่งจู้ถูกมัดรวมกันเหลือช่องว่างขนาดเล็กไว้หนึ่งช่อง หิมะบนยอดไม้ถูกสายลมพัดกระจาย ร่วงหล่นเอื่อยเฉื่อยเข้ามาทางช่องว่างตกลงบนร่างเฮ่อหลันเฟิง
ชั่วขณะหนึ่งเฮ่อหลันเฟิงแยกไม่ออกว่าเหตุใดตนจึงโมโห
จิ้นเยวี่ยพูดถูก เขาไม่ใช่ชาวเป่ยหรง
นับตั้งแต่วันที่ถือกำเนิดขึ้นมา ในร่างเขาก็ไหลเวียนด้วยเลือดของชาวเกาซินกับชาวฮั่น เขายังมีดวงตาหมาป่ากับคิ้วตาที่ละม้ายคล้ายชาวฮั่นมากกว่า ทุกสิ่งมาจากบิดาผู้มีนัยน์ตาสีเขียวกับมารดาผู้มีรูปโฉมงดงาม
ในตำนานของชาวเป่ยหรง ชาวเกาซินผู้มาจากชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเป็นร่างจำแลงของภัยพิบัติ นัยน์ตาสีเขียวของพวกเขาคือเครื่องพิสูจน์ว่าถูกเทพหมาป่าลงทัณฑ์ เทพโบราณผู้เคร่งขรึมน่าเกรงขามนำวิญญาณหมาป่าชั่วร้ายเก็บซ่อนไว้ในร่างชาวเกาซิน ชาวเกาซินจึงมีนัยน์ตาสีเขียวที่สามารถกลืนกินชีวิตบิดามารดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว และบุตรชายบุตรสาว ทำลายสายน้ำและขุนเขา นำภัยพิบัติมากวาดล้างแผ่นดินจนราพณาสูร
ตอนเฮ่อหลันเฟิงเกิด ชาวเยี่ยไถได้ยอมรับบิดากับพี่ใหญ่แล้ว กระนั้นบิดามารดากลับทยอยล่วงลับ ตำนานคล้ายจะได้รับการยืนยัน ทุกอย่างจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เวลานั้นเฮ่อหลันจินอิงเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีแล้ว เขาเป็นนักขี่ม้าผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในเยี่ยไถทว่ากลับไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแม้แต่การแข่งขันขี่ม้า หลังขายม้าสองตัวของครอบครัวไป ในที่สุดสองพี่น้องก็รวบรวมเงินกับเสบียงอาหารได้เล็กน้อย ช่วยชีวิตน้องสาวผู้อายุไม่กี่เดือนกลับมาจากการป่วยหนัก
ทว่าข่าวลือกลับไม่หยุดลง จั๋วจั๋วเด็กเกินไป เฮ่อหลันจินอิงก็แข็งแกร่งมากพอ เฮ่อหลันเฟิงซึ่งยังอายุน้อยจึงกลายเป็นเป้าอันเหมาะสมที่สุด
เฮ่อหลันจินอิงจะออกล่าสัตว์เร่ร่อนอยู่ข้างนอกบ่อยครั้ง จั๋วจั๋วถูกพวกสตรีในค่ายดูแล เขาเลยได้แต่ปกป้องตนเอง ตามหลังก้นม้าของหุนต๋าเอ๋อร์ด้วยกันกับตูเจ๋อ ปล่อยให้พวกนั้นหัวเราะเยาะ ยอมให้พวกนั้นโบยตี ในทางกลับกันเขาพูดจาภาษาเป่ยหรง เย้ยหยันดวงตาหมาป่าของตน ดื่มสุราเป่ยหรงคำโตเฉกเช่นเดียวกับบุรุษชาวเป่ยหรง ใช้มีดเล็กซึ่งบิดาเหลือไว้ให้เขาหั่นเนื้อแพะเนื้อม้า เรียนรู้การจัดการกับอูฐอนิล*
เฮ่อหลันจินอิงเคยหัวเราะเยาะเขา กล่อมเขาว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ กระนั้นสำหรับเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่ง การไม่ได้รับการใส่ใจและไม่ถูกยอมรับ ความขมขื่นปวดร้าวของเขานั้นเป็นดั่งแผ่นฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย
หากอยากอยู่รอดในที่ราบฉือวั่งหยวนต่อไป เขาจำเป็นต้องกลายเป็นชาวเป่ยหรง
เขากลับถูกจิ้นเยวี่ยเปิดโปงความจริงอย่างกะทันหัน เฮ่อหลันเฟิงมีความเศร้าโศกอันหยาบกระด้างซึ่งสืบเนื่องยาวนาน เขาเคยช่วยจิ้นเยวี่ยหนึ่งครั้ง คิดว่าจิ้นเยวี่ยควรจะแตกต่างจากผู้คนเหล่านั้น
มีคนเคาะลำต้นไม้ด้านล่าง ยอดไม้สั่นไหวหิมะร่วงลงมาหนึ่งกลุ่ม “เฮ่อหลันเฟิง”
เนิ่นนานไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ เฮ่อหลันจินอิงยิ้มอยู่ตรงใต้ต้นไม้ “ทะเลาะกับทาสตัวน้อยของเจ้าแล้ว?”
เฮ่อหลันเฟิงยื่นศีรษะออกมา “ท่านมาทำสิ่งใด”
“มาให้คำชี้แนะกับเจ้า” เฮ่อหลันจินอิงยิ้มกล่าว “หากเขาทำให้เจ้าโกรธ เจ้าก็ให้เขาไปทำงานหนัก ถ้ายังโมโหอยู่ ก็มอบเขาให้หุนต๋าเอ๋อร์ไปเสีย ข้าเห็นว่าหุนต๋าเอ๋อร์ออกจะชอบเขามาก…”
เฮ่อหลันเฟิงมองพี่ชายพูดจาเหลวไหลเงียบๆ หว่างคิ้วแสดงการปฏิเสธชัดเจน
เฮ่อหลันจินอิงพูดเพียงพอแล้วก็หยุด ตีสายบังเหียนในมือกับลำต้นแผ่วเบา แหงนหน้ามองน้องชายตน
“ข้ารู้ว่าเจ้าตัดใจไม่ได้” ชายหนุ่มกล่าว “เขาเป็นสหายเจ้า”
เฮ่อหลันเฟิงเปิดปากในที่สุด “เขาไม่ใช่”
“มีแค่สหายที่จะโมโหกับเรื่องเช่นนี้”
เฮ่อหลันเฟิงนั่งตัวตรงทันใด “ท่านแอบฟังคำพูดพวกข้า!”
“แค่บังเอิญผ่านไป ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว ชาวต้าอวี่ความคิดแปลกประหลาด ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ล้ำค่า จิ้นเยวี่ยไม่เคยเห็นเจ้าเป็นสหาย” เฮ่อหลันจินอิงเอ่ย “เขากลับด่าเจ้า เขาทำไม่ถูก ข้าเพิ่งจะตีเขาไปหนึ่งยก”
เฮ่อหลันเฟิงตกใจ “เขาเพิ่งจะหายป่วย!”
เฮ่อหลันจินอิงถามกลับ “ยังเหลืออีกครึ่งลมหายใจ จะลองไปดูหรือไม่”
เด็กหนุ่มรีบลงจากต้นไม้ แล้วขี่ม้าของพี่ชายกลับไป
ตั้งแต่เป็นนายกองแล้วได้ย้ายเข้ากระโจมสักหลาดหลังใหม่ สองพี่น้องต่างก็มีวัวและม้า จั๋วจั๋วเรียนรู้คำคำหนึ่งจากจิ้นเยวี่ย วันๆ เรียกตนเองว่าเป็น ‘ครอบครัวตระกูลใหญ่’ เฮ่อหลันจินอิงอยากถามเฮ่อหลันเฟิงว่าชอบม้าเกาซินสีดำตัวนี้หรือไม่ ทว่าน้องชายกลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ตลอด
“พี่ใหญ่ พวกเราเป็นชาวอะไร”
เฮ่อหลันจินอิงไม่ลังเลเลยสักนิด “ชาวเกาซิน”
“…แต่มารดาของพวกเราเป็นชาวฮั่น”
“เช่นนั้นพวกเราก็เป็นชาวฮั่นด้วย” เฮ่อหลันจินอิงตอบง่ายดาย
“เช่นนี้ได้ด้วยหรือ”
“เหตุใดถึงไม่ได้” เฮ่อหลันจินอิงคลี่ยิ้ม “บนที่ราบฉือวั่งหยวนมีเทพเจ้าองค์ใดกำหนดว่าคนผู้หนึ่งสามารถเป็นคนของดินแดนใดได้เพียงแห่งเดียวเล่า ร้อยปีก่อนหน้านี้ที่นี่หาได้มีเป่ยหรง ร้อยปีหลังจากนี้ใต้หล้าก็จะไม่มีต้าอวี่ เวลานี้ข้ากับเจ้าอยู่บนที่ราบฉือวั่งหยวน เจ้าสามารถบอกว่าเจ้าคือชาวฉือวั่งหยวนได้เช่นเดียวกัน”
ในใจเฮ่อหลันเฟิงพลันผ่อนคลาย “ชาวฉือวั่งหยวน?”
“ถูกต้อง!” เฮ่อหลันจินอิงหนีบท้องม้าแน่น อาชาห้อตะบึงอยู่บนทุ่งกว้างซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ เขากอดน้องชายซึ่งอยู่ด้านหน้า “พวกเรามีม้า มีขาหนึ่งคู่ ไม่ว่าที่ใดในใต้หล้าพวกเราก็สามารถไปได้ อยากกลายเป็นคนที่ใดก็มุ่งหน้าไปที่นั่น!”
เฮ่อหลันเฟิงติดนิสัยจากพี่ชาย เขาเป่าปากเสียงดังบนหลังม้า ใจเต็มไปด้วยความปลอดโปร่ง เฮ่อหลันจินอิงเฆี่ยนม้าวิ่งอ้อมป่าสนผืนเล็กสองสามรอบถึงค่อยคลายสายบังเหียน ปล่อยให้ม้าเดินกลับเยี่ยไถช้าๆ
“หากเจ้าอยากคบหาเป็นสหายกับองค์ประกันจริงๆ มอบทาสมอบกระต่ายล้วนใช้ไม่ได้” เฮ่อหลันจินอิงพูดกะทันหัน “เหตุใดไม่เรียนภาษาฮั่นกับเขาเล่า”
เฮ่อหลันเฟิงมองไปทางเสี้ยวหน้าหล่อเหลาซึ่งถูกแสงตะวันสาดส่องของเฮ่อหลันจินอิง “ข้าพูดภาษาฮั่นได้”
“แต่เจ้าเขียนไม่ได้” เฮ่อหลันจินอิงลูบผมน้องชาย สีผมของเฮ่อหลันเฟิงเข้มกว่าเขา มีเพียงช่วงเวลาที่อยู่ท่ามกลางแสงตะวันแรงกล้าถึงจะทอประกายสีทองเข้มออกมาหลายส่วน “กระทั่งชื่อเขา เจ้ายังไม่รู้ว่าเขียนเช่นไร”
เฮ่อหลันเฟิงก้มหน้า
“เรียนเขียนภาษาฮั่น เรียนกฎธรรมเนียมบางอย่างของชาวฮั่น…” เฮ่อหลันจินอิงเสนอเบาๆ คล้ายไม่ได้ตั้งใจ “ถามเขาเรื่องต้าอวี่ สกุลจิ้นเป็นเช่นไร ถนนเหลียงจิงหน้าตาอย่างไร วังหลวงตั้งอยู่ที่ใด…ให้เขาวาดแผ่นที่เหลียงจิงให้เจ้าเสีย วาดไปก็เล่าออกมาเอง”
แน่นอนว่าเฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ตีจิ้นเยวี่ย เฮ่อหลันเฟิงพุ่งเข้าไปในกระโจมทาสประหนึ่งพายุ เห็นเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่กำลังเช็ดหน้าให้ทาสเด็กสาวผู้นั้น เขาเพียงมองแวบหนึ่ง นิ่งงันไปสักพักก็หันหน้าพุ่งออกไปราวกับสายลมอีกรอบ
จิ้นเยวี่ย “…?”
จะไปจะมารวดเร็วยิ่ง จิ้นเยวี่ยจึงไม่แม้แต่จะทันได้เอ่ยขออภัย
เขาเช็ดใบหน้าและมือเท้าของเด็กสาวจนสะอาดอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่านางคล้ายกับบุตรสาวของราชเลขาฟางที่อยู่ข้างจวนสกุลจิ้นอยู่หลายส่วน
“…พวกเขาไม่ได้รังแกเจ้ากระมัง” จิ้นเยวี่ยถาม
เด็กสาวส่ายหน้า
“เจ้าชื่ออะไร” จิ้นเยวี่ยถามอีก
เด็กสาวดึงมือเขาขึ้นมา เขียนตัวอักษรบนฝ่ามือเขาทีละเส้น
จิ้นเยวี่ยตกใจอยู่ในใจ
นางพูดไม่ได้
“หร่วนปู้ฉี…” จิ้นเยวี่ยถาม “บ้านเกิดอยู่ที่ใด”
หร่วนปู้ฉีเขียนให้เขาอ่าน
‘ร่อนเร่พเนจรเนิ่นนาน ระหว่างทางประสบแต่เรื่องน่าตื่นตระหนกหวาดกลัว เรื่องราวมากมายล้วนหลงลืมสิ้นแล้ว’
จิ้นเยวี่ยเจ็บปวดในใจ เขากุมมือนางแน่น คล้ายบอกกับนางและเหมือนบอกกับตัวเอง “ไม่ต้องกลัว ข้าจะพาเจ้ากลับต้าอวี่ด้วยกัน”
กระต่ายหนีไปแล้ว วันถัดมาเมื่อหุนต๋าเอ๋อร์มาทวงขอปัวสยากงกับจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยย่อมมอบให้ไม่ได้ ไม่รอให้หุนต๋าเอ๋อร์โกรธ จิ้นเยวี่ยก็รีบบอก “หรือไม่เจ้าสอนข้าขี่ม้า ข้าก็อยากลองล่ากระต่ายดู”
ตูเจ๋อมองประเมินจิ้นเยวี่ยขึ้นลงอยู่อีกด้าน จิ้นเยวี่ยดูแล้วไม่เหมือนนักขี่ม้าที่จะล่ากระต่ายได้ แม้ว่าชีวิตทาสช่วงนี้จะทำให้เขาคล้ำลงนิดหน่อย กำยำขึ้นเล็กน้อย กระนั้นเมื่ออยู่ท่ามกลางชาวเป่ยหรงก็ยังคงไม่เข้ากัน
ทว่าหุนต๋าเอ๋อร์กลับตกลง เขากระตือรือร้นจะเปิดเผยความมั่งคั่งของครอบครัวให้จิ้นเยวี่ยได้เห็น จึงเป็นฝ่ายเชิญเด็กหนุ่มไปดูคอกม้าของบ้านตน
ในคอกม้าของแม่ทัพหู่มีอาชาพันธุ์ดีเจ็ดแปดตัว ล้วนเป็นพันธุ์เป่ยหรงไม่ก็พันธุ์เกาซิน ม้าเกาซินบึกบึนแข็งแรง และขนมันขลับ
“ม้าที่ดีที่สุดของเยี่ยไถล้วนอยู่ในคอกม้าบ้านข้า” วาจาหุนต๋าเอ๋อร์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้ารู้ ชาวเยี่ยไถล้วนกล่าวเช่นนี้” จิ้นเยวี่ยมองไปทางหุนต๋าเอ๋อร์ สายตาเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส “หุนต๋าเอ๋อร์ เจ้าว่าสติปัญญาเช่นข้า ต้องเรียนนานเท่าใดถึงจะขี่เป็น”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น หุนต๋าเอ๋อร์ก็ให้คำตอบจิ้นเยวี่ย “ข้าว่าเจ้าคงขี่ไม่เป็นไปตลอดกาล”
จิ้นเยวี่ยปีนป่ายอานม้า ไม่ว่าจะเหวี่ยงขาอย่างไรก็ปีนไม่ขึ้น ม้าตัวนั้นนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย มันตบหางเหมือนว่างงาน เนิ่นนานค่อยพ่นลมออกจมูก
จิ้นเยวี่ยเก้อเขิน “มันสูงเกินไป”
หุนต๋าเอ๋อร์ตอบกลับ “…นี่เป็นตัวที่เตี้ยที่สุด”
เขาประคองหลังกับสะโพกจิ้นเยวี่ย ดันเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่ขึ้นหลังม้า จิ้นเยวี่ยยังไม่ทันนั่งตัวตรง ม้าตัวนั้นก็เดินไปข้างหน้าครึ่งก้าว เด็กหนุ่มพลันตกใจจนหมอบบนอานม้า คว้าสายบังเหียนแน่น “เหตุใดถึงวิ่งแล้วเล่า!”
หุนต๋าเอ๋อร์ “ไม่ได้วิ่ง”
ม้าถูกรัดจนไม่สบายตัว สะบัดศีรษะเดินไปอีกสองก้าว
จิ้นเยวี่ย “วิ่งอีกแล้ว!”
หุนต๋าเอ๋อร์ “ไม่ใช่เสียหน่อย!”
เขาหมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง เริ่มเกลี้ยกล่อมให้จิ้นเยวี่ยล้มเลิกการเรียนขี่ม้าแล้วเล่นกับกระต่ายไปเสีย
หร่วนปู้ฉีนั่งอยู่ข้างคอกม้า มองดูอย่างสนุกสนานเป็นที่สุด
อาชาพันธุ์ดีสีดำเดินเข้ามาเนิบช้า เฮ่อหลันเฟิงถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์บนหลังม้า “เขากำลังทำสิ่งใด”
หร่วนปู้ฉีผุดลุกขึ้น ทำท่าทางบรรยายกับเขา
เฮ่อหลันเฟิงมองจิ้นเยวี่ยจากจุดห่างไกล ทั้งประหลาดใจทั้งขบขัน
“บุตรชายของแม่ทัพจงเจาขี่ม้าไม่เป็น?” เขาลดเสียงกล่าวกับหร่วนปู้ฉี “คงมีแต่คนโง่อย่างหุนต๋าเอ๋อร์ถึงจะเชื่อกระมัง”
เฮ่อหลันเฟิงขี่ม้าเข้าไปใกล้ ม้าของจิ้นเยวี่ยสัมผัสได้ถึงม้าตัวอื่นก็เริ่มกระวนกระวาย ยามที่ม้าขยับ จิ้นเยวี่ยก็เหลียวมองซ้ายขวาด้วยความหวาดกลัวทันที “เป็นอันใดเล่า”
หุนต๋าเอ๋อร์ตอบเขา “ชาวต้าอวี่ขี่ม้าเป่ยหรงไม่ไหวหรอก เจ้าลงมาเถิด”
เฮ่อหลันเฟิงไม่ส่งเสียงอยู่ด้านข้าง ประเมินเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่กับม้าของเขารอบหนึ่ง แล้วลอบยิ้มมุมปาก จิ้นเยวี่ยคว้าสายบังเหียน ในที่สุดม้าก็เดินไปข้างหน้าสองก้าว
“นี่ข้าเรียนเป็นแล้ว?”
หุนต๋าเอ๋อร์เอ่ยถาม “อีกห่างไกล”
จิ้นเยวี่ยถามอีก “เจ้าสอนข้าอีกได้หรือไม่”
เขาจริงใจเช่นนี้ หุนต๋าเอ๋อร์จึงตอบรับอย่างมีความสุขยิ่ง “ได้สิ จะสอนตลอดจนกว่าเจ้าจะเรียนล่ากระต่ายเป็น”
ยิ้มมุมปากบนใบหน้าเฮ่อหลันเฟิงเลือนหายไป เขาขบกราม กล่าวประโยคหนึ่งลอยๆ อย่างไม่หนาวไม่ร้อน* “นักขี่ม้ามือดีที่สุดในเยี่ยไถไม่ใช่เจ้ากระมัง หุนต๋าเอ๋อร์”
คาดไม่ถึงว่าหนนี้หุนต๋าเอ๋อร์ไม่ได้โต้แย้งและไม่ได้ปฏิเสธ เพียงถลึงตาใส่เฮ่อหลันเฟิง
“อยากเรียนขี่ม้า ไม่สู้หานักขี่ม้าที่เก่งที่สุดในเยี่ยไถมาสอนเจ้าเล่า” เฮ่อหลันเฟิงมองจิ้นเยวี่ย “แมวสามขา** สอนลูกศิษย์ให้ดีไม่ได้หรอก”
ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็รอจนเขาเป็นฝ่ายพูดคุยกับตนเอง เฮ่อหลันเฟิงเหมือนจะไม่เก็บเหตุการณ์ไม่น่าอภิรมย์เมื่อวานมาใส่ใจ จิ้นเยวี่ยแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ “นักขี่ม้าที่เก่งที่สุดของเยี่ยไถคือผู้ใด”
เฮ่อหลันเฟิงไม่ตอบ เชิดศีรษะขึ้นเล็กน้อย สะบัดแส้ม้าในมือตรงข้างคอกม้าเบาๆ ใบหน้าเขามีความหล่อเหลาซึ่งผสมผสานระหว่างความดิบเถื่อนของชาวเกาซินและความละเอียดอ่อนของชาวต้าอวี่ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำถูกแสงอาทิตย์ส่องสะท้อน จนผมหลายปอยเปล่งประกายสีทองเกี่ยวพันอยู่ในสายตาจิ้นเยวี่ย
จิ้นเยวี่ยจ้องมองดวงตาเขา เขาก็มองตาจิ้นเยวี่ยเช่นกัน สีเขียวมรกตซึ่งซุกซ่อนอยู่ในดวงตาถูกพื้นหิมะกับแสงสว่างบนฟ้าส่องจนโปร่งใส เฮ่อหลันเฟิงเป็นเด็กคนหนึ่งที่เฝ้ารอคำตอบ
“ข้าเรียนกับหุนต๋าเอ๋อร์แล้วกัน” จิ้นเยวี่ยท่าทางจริงจัง “หุนต๋าเอ๋อร์สอนดีมาก”
เฮ่อหลันเฟิงหวดแส้ม้า ม้าของเขาแผดเสียงร้องฮี้ ย่ำถีบเท้าทำลายความเงียบสงัดของผืนดินซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ ห้อตะบึงจากไปไกล
เขาควบม้าบนที่ราบฉือวั่งหยวนหนึ่งรอบ ก่อนหิ้วกระต่ายกลับมาหนึ่งพวงโยนให้หร่วนปู้ฉี นางคลายปมเชือกปล่อยกระต่ายไปทีละตัว เฮ่อหลันเฟิงนั่งลงข้างนาง มองหุนต๋าเอ๋อร์สอนจิ้นเยวี่ยขึ้นลงม้าและขี่ม้าเดิน ประเดี๋ยวก็โมโหประเดี๋ยวก็เหม่อลอย
จิ้นเยวี่ยถามเรื่องของเฮ่อหลันเฟิงได้จากปากหุนต๋าเอ๋อร์ไปไม่น้อย
เนื่องจากในบ้านไม่มีม้า ม้าที่เฮ่อหลันเฟิงขอยืมยามเรียนขี่ม้าจึงเป็นม้าของแม่ทัพหู่
เขามีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียว ทั้งยังได้รับการแนะนำจากแม่ทัพหู่ให้เข้าร่วมแข่งขัน เคยเป็นนักขี่ม้ายอดเยี่ยมที่สุดของงานประชันยอดฝีมือติดต่อกันสามปี ด้วยเหตุนี้จึงเคยได้รับศรจินเหอเป็นรางวัลจากเป่ยหรงเทียนจวิน
เพียงแต่ศรจินเหอดอกนั้นอยู่กับเฮ่อหลันเฟิงได้ไม่ถึงชั่วหนึ่งถ้วยชาน้ำมัน ก็ถูกเปลี่ยนมือขายออกไปแลกเงิน
จิ้นเยวี่ยเมินการเน้นย้ำอย่าง ‘แต่ข้าร้ายกาจกว่าเขา’ ของหุนต๋าเอ๋อร์ไป อดเหลียวกลับไปมองเฮ่อหลันเฟิงไม่ได้
เฮ่อหลันเฟิงกำลังมองจิ้นเยวี่ยจากที่ไกลๆ
“เวลาผู้ที่ขี่ม้าครั้งแรก มักเอาเท้าเหยียบไว้ในโกลนแบบถูกต้องไม่ได้” เขาอธิบายให้หร่วนปู้ฉีฟัง “ผู้ที่ขี่ม้าครั้งแรกมักใช้แรงมากหนีบท้องม้าแน่นเพราะตื่นเต้น ม้าจึงตกใจจากความเจ็บปวดได้ง่าย หากเป็นผู้เริ่มฝึกขี่ม้าจริง ม้าต้องมีท่าทีตอบสนอง”
หร่วนปู้ฉีไม่ได้ฟังแม้แต่น้อย นางกำลังตั้งอกตั้งใจคลายปมเชือกมัดกระต่ายตัวสุดท้าย
เฮ่อหลันเฟิงพูดต่อไป “ทหารม้าคะนองเมฆาเป็นทหารม้าเกรียงไกรที่สุดของต้าอวี่ บุตรชายของแม่ทัพจงเจาจะไม่รู้วิธีขี่ม้าได้อย่างไร…พอแล้ว ตัวนี้ไม่ต้องปล่อย เจ้าไม่อยากกินอาหารที่ทำด้วยกระต่ายหรือ”
สุดท้ายหร่วนปู้ฉีก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากอาหาร นางจึงคลายมือออกทันที
รอจิ้นเยวี่ยกล่าวลาหุนต๋าเอ๋อร์และกลับมาตรงหน้าเขา เฮ่อหลันเฟิงก็ทำให้กระต่ายน้อยแน่นิ่งหมดสติอย่างรวดเร็วเรียบร้อยแล้ว
หร่วนปู้ฉีใส่กระต่ายหิมะไว้ในหมวก จากนั้นประคองมอบให้จิ้นเยวี่ย
เฮ่อหลันเฟิงลุกขึ้นบอก “ข้าอยากกินกระต่าย”
จิ้นเยวี่ย “ปัวสยากง?”
เฮ่อหลันเฟิงนึกย้อนครู่หนึ่ง “…อืม”
หุนต๋าเอ๋อร์ได้ยินจากไกลๆ ก็โมโหจนกระทืบเท้า “นั่นเป็นของที่เขาจะทำให้ข้า!”
จิ้นเยวี่ยรับคำ “ได้”
เฮ่อหลันเฟิงหิ้วกระต่ายน้อยตัวนั้นขึ้นมาจากในหมวก ความหดหู่ในใจสลายหายไปดั่งหมอกควัน เขาคิดถึงคำชี้แนะของเฮ่อหลันจินอิง จึงถามจิ้นเยวี่ยอีกว่า “เจ้าสอนภาษาฮั่นให้ข้าได้หรือไม่”
จิ้นเยวี่ยตอบทันที “ได้สิ”
ทั้งสองต่างมองเห็นแววยินดีที่ได้คืนดีกันจากในดวงตาอีกฝ่าย ในที่สุดมิตรภาพซึ่งหมิ่นเหม่จะพังทลายก็กลับมามั่นคง
เฮ่อหลันเฟิงหิ้วกระต่าย จิ้นเยวี่ยจูงหร่วนปู้ฉี ทั้งสามเดินไปทางค่าย ระหว่างทางจิ้นเยวี่ยเอ่ยถามเขา “นักขี่ม้ามือดีที่สุดของเยี่ยไถ รู้จักการฆ่ากระต่ายด้วยหรือ”
เฮ่อหลันเฟิงตอบ “แน่นอน”
จิ้นเยวี่ยระบายยิ้มอย่างรวดเร็ว สีหน้าเย็นชายามปกติของเขาสว่างไสวมีชีวิตชีวาขึ้นมาจากรอยยิ้มนี้ เครื่องหน้าซึ่งงดงามโดดเด่นแต่เดิมพลันเปล่งประกายสดใส
หลายปีให้หลัง ยามเฮ่อหลันเฟิงหวนนึกถึงชีวิตตนเองและจิ้นเยวี่ย เขาก็มักจะคิดถึงรอยยิ้มครั้งนี้ใต้ผืนฟ้าสีคราม เริ่มจากรอยยิ้มนี้เองที่เขาค่อยๆ รู้ว่าจะแยกสีหน้าของจิ้นเยวี่ยว่าเช่นใดคือจริง เช่นใดคือเสแสร้งได้อย่างไร
มันคือกุญแจสู่การยอมรับที่จิ้นเยวี่ยมอบให้เขา เป็นชั่วพริบตาแรกของหนทางอันยาวไกล
เฮ่อหลันจินอิงเก็บสัมภาระอยู่ในกระโจม จั๋วจั๋วเห็นเฮ่อหลันเฟิงนำกระต่ายกลับมาหนึ่งตัวก็รีบชูมือขอ
“อีกไม่กี่วันข้าต้องไปผิงโจวกับแม่ทัพหู่” เฮ่อหลันจินอิงพิจารณาเขา “เจ้าอารมณ์ดีมาก เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นหรือ”
เฮ่อหลันเฟิงเอากระต่ายให้จั๋วจั๋ว “ไม่มีสิ่งใด”
จั๋วจั๋วเอ่ยถามเขา “พี่จิ้นเยวี่ยเรียนขี่ม้าแล้วขี่เป็นหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงอดหัวเราะไม่ได้ เขาส่ายหน้า
เฮ่อหลันจินอิงถามขึ้นอีก “เหตุใดเจ้าถึงติดหนึบอยู่กับทาสผู้นั้นอยู่เรื่อย”
“เขาให้ข้ายืมเสื้อ…”
“ข้ารู้ เสื้อคลุมขนจิ้งจอกๆ!” เฮ่อหลันจินอิงกระโดดเข้ามาขยี้เส้นผมเขา “ข้าจะให้เสื้อคลุมขนจิ้งจอกเจ้าร้อยตัว เจ้ายินดีจะไปดูข้าขี่ม้าทุกวันหรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงถูกถามจนเบื้อใบ้พูดไม่ออก จั๋วจั๋วอุ้มกระต่ายวิ่งออกไปเล่นสนุกแล้ว
“เจ้าเพิ่งเคยเจอเด็กชาวต้าอวี่ซึ่งอายุพอๆ กันเป็นครั้งแรกถูกหรือไม่ ก็เหมือนกับกระต่ายตัวนั้น หยอกเล่นแล้วสนุกก็เท่านั้น” เฮ่อหลันจินอิงยิ้ม “เจ้าก็แค่เห็นว่าเขาแปลกใหม่”
จั๋วจั๋วปล่อยกระต่ายไปแล้ว พวกเขาเลยไม่ได้กินปัวสยากง
เฮ่อหลันจินอิงกับแม่ทัพหู่หารืองานของทางการอยู่ในกระโจมทุกวัน แม่ทัพทุกนายของเผ่าเยี่ยไถต่างเข้าไปในกระโจมคึกคักหลังนั้น บางครั้งบางคราวท้องฟ้าเหนือที่ตั้งค่ายก็จะมีหิมะปลิวว่อน บรรยากาศอึดอัดตึงเครียดประหนึ่งสายลมเหนือแทรกซึมเข้ามาทุกรูขุมขน
ในกระโจมของเฮ่อหลันเฟิงเผามูลวัว หร่วนปู้ฉีหวีผมให้จั๋วจั๋ว จิ้นเยวี่ยกำลังสอนเฮ่อหลันเฟิงเขียนตัวอักษร
เขาเริ่มจากเส้นแนวนอนและแนวตั้ง ทั้งมีความอดทนอย่างสูง
“ตอนถอนพู่กันให้กดไปด้านหลังเล็กน้อยและตวัดขึ้น…”
จิ้นเยวี่ยขุ่นเคืองใจที่ตนเองกล่าวได้ไม่ชัดเจน จึงกุมมือขวาเฮ่อหลันเฟิงจากด้านหลัง เฮ่อหลันเฟิงฝืนเขียนตัวอักษรข่ายซู* แบบถูกต้องเรียบร้อยออกมาได้หนึ่งตัว
“เยี่ยมมาก!” จิ้นเยวี่ยชมยกใหญ่ “เขียนได้สวยเป็นอย่างยิ่ง!”
เฮ่อหลันเฟิงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย เหลือบมองจิ้นเยวี่ยแวบหนึ่ง เขาสะบัดมือเด็กหนุ่มออกเบาๆ แล้วคัดลอกด้วยตัวเอง จิ้นเยวี่ยหดมือกลับไปในแขนเสื้อ ลอบยิ้มพลางนึกถึงคำวิจารณ์ที่ไป๋หนีมีต่อเฮ่อหลันเฟิงขึ้นมา
ยามไร้คนสนใจ สายตาจิ้นเยวี่ยจะตกอยู่กับดาบบนหัวเสา
นี่เป็นกระบี่สำรองของเฮ่อหลันจินอิง ไม่ได้หนักอึ้ง จิ้นเยวี่ยเคยแอบชั่งน้ำหนักด้วยมือ มันเหมาะสมอย่างยิ่ง
มือขวาเขากางออกช้าๆ อยู่ในแขนเสื้อ แล้วก็ค่อยๆ กำแน่นอีกครั้ง
แน่นอนว่าบุตรชายของแม่ทัพจงเจาไม่มีทางขี่ม้าไม่เป็น
ด้วยร่างกายเขาอ่อนแอแต่เล็ก บิดามารดากับพี่สาวจึงพยายามคิดหาวิธีสอนการขี่ม้ายิงธนูและการต่อสู้ให้จิ้นเยวี่ย ไม่ใช่เพื่อให้ต่อสู้ ไม่ใช่เพื่อให้ออกรบ เพียงเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เขาจึงขี่ม้าเป็น และก็จับดาบตั้งรับศัตรูเป็น
เขาอยู่เป่ยหรงมาจวนจะสามเดือน เตรียมการทุกอย่างสำหรับหลบหนีไว้พร้อมแล้ว รอเพียงโอกาสเท่านั้น
จิ้นเยวี่ยหลุบตา ก็เห็นเฮ่อหลันเฟิงเงยหน้ามองตนเอง
“นี่คือเหลียงจากเหลียงจิงหรือ” เฮ่อหลันเฟิงชี้ประโยค ‘บนขื่อนางแอ่นร้องพึมพำ พูดพร่ำเรื่องอันใดปลุกข้า’* บนกระดาษพลางถาม
คำพูดนี้ปลุกความคิดถึงบ้านซึ่งจิ้นเยวี่ยกดไว้มานานขึ้นมา เขาลูบตัว ‘เหลียง’ ที่เฮ่อหลันเฟิงเขียนเบาๆ “ใช่ ตัวเหลียงจากเหลียงจิง”
ความสะเทือนใจชั่วครู่ทำให้นิ้วมือเขาสั่นเทา นัยน์ตาดำสนิทดุจหมึกวาวรื้น หยาดน้ำตาบางๆ ฉาบอยู่ในดวงตา สั่นระริกไปพร้อมกับขนตาของเขา ทว่าพริบตาต่อมาจิ้นเยวี่ยก็หลับตา รีบกลืนอารมณ์ทั้งมวลเข้าไปในวิญญาณ
“ข้าไม่เคยไปเหลียงจิง” เฮ่อหลันเฟิงเอ่ย “มันเป็นเช่นไร”
บนดินแดนที่ทอดยาวไกลแห่งนี้ แม่น้ำซึ่งยาวและกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดคือแม่น้ำเลี่ยซิง
แม่น้ำเลี่ยซิงยาวทั้งสิ้นหมื่นกว่าหลี่ ไหลจากตะวันตกไปทางตะวันออกผ่านขุนเขาทอดยาวนับไม่ถ้วน ยามไหลผ่านตอนกลางจะแยกเป็นแม่น้ำสายย่อยที่เมืองหยางเหอ ชื่อแม่น้ำเสิ่นสุ่ย
แม่น้ำเสิ่นสุ่ยไหลจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปยังตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเมืองเหลียงจิง เมืองที่รุ่งเรืองที่สุดของต้าอวี่
เนื่องจากสร้างเมืองโดยอาศัยแม่น้ำเสิ่นสุ่ย ทั่วทั้งเมืองเหลียงจิงจึงดูเหมือนกระสวยขนาดยักษ์ ปลายสองด้านแคบยาว ตรงกลางกว้าง มีตรอกกระจายแบ่งตามเขต
สภาพอากาศของเมืองอบอุ่น แบ่งเป็นสี่ฤดูชัดเจน ทั่วเมืองเต็มไปด้วยสีสันมวลหมู่ผกา เสียงธารน้ำไหลรินดังเข้าไปในบ้าน ใกล้ๆ ชิงซูหลี่อันเป็นที่ตั้งของจวนสกุลจิ้นมีธารน้ำสายย่อยของแม่น้ำเสิ่นสุ่ย ชื่อธารเยี่ยนจื่อ
สองฟากของธารเยี่ยนจื่อปลูกต้นไห่ถัง** ไว้นับไม่ถ้วน สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดอ่อนโยน กลิ่นหอมของมวลผกากำจายไปทั่ว ใต้ชายคาของบ้านเรือนทุกหลังข้างธารน้ำล้วนมีรังนกนางแอ่น นกน้อยกลับมายามวสันต์อพยพยามสารท คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ช่วงปีใหม่หรือวันพระ บนธารน้ำมักมีเรือหลากสีสัน การแสดงต่างๆ อย่างหุ่นกระบอกน้ำ ชิงช้าน้ำ*** ละลานตา ฝูงชนริมธารน้ำเดินไปดูพร้อมชื่นชม โยนเหรียญเงิน ไข่มุก และหยกเข้าไปในเรือประหนึ่งพิรุณพร่างพรม
ธารเยี่ยนจื่อไหลตรงเข้าไปในวังหลวง
วังหลวงซ่อนอยู่ส่วนลึกของเมืองชั้นในของเหลียงจิง ระหว่างเมืองชั้นในกับเมืองชั้นนอกเชื่อมต่อกันด้วยประตูขนาดยักษ์แปดบาน จิ้นเยวี่ยคุ้นเคยกับประตูจูเชวี่ยและประตูเจี้ยงหู่ที่สุด
ประตูเจี้ยงหู่อยู่ใกล้กับหอพานโหลวซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของเหลียงจิง หอพานโหลวเป็นสถานที่พบปะพูดคุยฟังดนตรีบรรเลงและบทเพลงที่ดีที่สุด ตรอกรอบหอพานโหลวไขว้สลับกัน มีตลาดร้านค้าตั้งเรียงราย มักมีนางกำนัลออกมาเที่ยวเล่นดื่มชาช่วงค่ำคืน ยามสาม* ตลาดกลางคืนซึ่งขายของกินชนิดต่างๆ จึงจะปิดร้าน ยามห้า** ก็เปิดร้านใหม่อีกครั้ง ช่างคึกคักเหลือประมาณ
เวลากลางคืนพี่สาวกับพี่เขยของจิ้นเยวี่ยมักจะแอบพาเขาไปเที่ยวเล่นที่ตลาดกลางคืนหม่าเอ้อร์เจียเสมอ ฤดูร้อนกินบะหมี่เย็น ลิ้นจี่หวานเย็น ถั่วเขียวต้มแช่เย็น ส่วนตัวเลือกแรกในฤดูหนาวคือเกี๊ยวน้ำเนื้อแพะกินคู่กับหูปิ่ง*** พี่เขยนั้นขาดไม่ได้ต้องเพิ่มสุราเหมยเหยือกเงินอีกหนึ่งไห
จิ้นเยวี่ยเล่าเพลิน หร่วนปู้ฉีอุ้มจั๋วจั๋วขยับเข้ามาฟังใกล้ๆ
เฮ่อหลันเฟิงมองจิ้นเยวี่ยด้วยความตะลึง นับตั้งแต่องค์ประกันต้าอวี่ผู้นี้เข้ามาในเป่ยหรง เขาไม่เคยเห็นจิ้นเยวี่ยมีสีหน้าไร้เดียงสา สุขใจ และอิ่มเอิบเช่นนี้มาก่อน
เด็กหนุ่มเบื้องหน้าหาใช่องค์ประกันที่ป่วยจนหน้าแดงเถือกก็จำต้องฝืนยืนบนทุ่งหิมะ เฮ่อหลันเฟิงอดคลี่ยิ้มกับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟังไม่ได้ สิ่งที่จิ้นเยวี่ยเล่า เขาไม่เคยเห็น ไม่แม้แต่จะเคยคิดมาก่อน ขณะนี้เขาพลันบังเกิดความใฝ่ฝันถึงเหลียงจิงอันห่างไกลขึ้นมาอย่างแรงกล้า
จิ้นเยวี่ยเหลือบมองสีหน้าเฮ่อหลันเฟิง ทันใดนั้นก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย รีบกลับสู่ท่ายืนตัวตรง “กลอนสองวรรคนี้เขียนเป็นแล้วใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันเฟิงกลับถามว่า “ประตูเจี้ยงหู่อยู่ที่ใด”
จิ้นเยวี่ยตอบ “ตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองชั้นใน”
เฮ่อหลันเฟิงถามอีก “เจ้าวาดมันออกมาได้หรือไม่ ธารเยี่ยนจื่อทะลุผ่านชิงซูหลี่อย่างไร หอพานโหลวตั้งอยู่ตำแหน่งใดกันแน่”
จิ้นเยวี่ยถามกลับ “หรือข้าต้องวาดแผนที่เหลียงจิงให้เจ้า”
เฮ่อหลันเฟิงนึกถึงคำพูดของเฮ่อหลันจินอิง ไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เอาสิ”
รอยยิ้มบนใบหน้าจิ้นเยวี่ยเลือนไปเล็กน้อย ในดวงตาหมุนวนด้วยอารมณ์ซับซ้อนมากมาย ลังเลอยู่นานถึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตั้งใจฝึกคัดตัวอักษร ส่วนข้าก็จะวาดภาพ”
คืนนี้หร่วนปู้ฉีตื่นมากลางดึก พบว่าจิ้นเยวี่ยจุดตะเกียงน้ำมันดวงน้อย กำลังวาดภาพบนกระดาษแผ่นหนึ่ง หมึกเข้มข้นบรรจุอยู่ในชามใบน้อยซึ่งปกติจั๋วจั๋วใช้ดื่มชาน้ำมัน เขาคุกเข่าอยู่กับพื้น นำชามกับปลายพู่กันซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งไปอังบนแสงตะเกียงให้อุ่นเป็นระยะ
กระดาษค่อนข้างยาว เมืองซึ่งมีรูปร่างเป็นกระสวยเพิ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จิ้นเยวี่ยกำลังตวัดวาดกำแพงระหว่างเมืองชั้นในกับเมืองชั้นนอก ตรงตำแหน่งซึ่งค่อนไปทางใจกลางของกระสวยมีที่ว่างสีขาวทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เขายังไม่ได้ลงมือวาด
“นี่คือเมืองชั้นใน…นี่คือวังหลวง…” จิ้นเยวี่ยชี้บริเวณที่ว่างสีขาวพลางกดเสียงพูดให้เบาลง ทันใดนั้นก็หัวเราะแผ่วเบายิ่ง “ไว้ชีวิตข้า ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้”
กล่าวถึงตรงนี้อารมณ์เขาก็พลันพลุ่งพล่าน จำต้องกุมมือขวาแน่นให้ตัวเองเยือกเย็น ปลายพู่กันลากเป็นรอยสั่นช่วงเล็กๆ บนกระดาษเซวียนจื่อ* ซึ่งขาวราวหิมะ
วันถัดมาจิ้นเยวี่ยมอบแผนที่ถนนของเหลียงจิงให้ถึงมือเฮ่อหลันเฟิง
เฮ่อหลันเฟิงนึกไม่ถึงว่าเขาจะวาดเร็วเช่นนี้ จิ้นเยวี่ยอธิบายว่านี่คือคำขออภัยที่เขาไม่ได้ทำปัวสยากงให้เฮ่อหลันเฟิงกิน
“ข้าจะไปจับกระต่ายอีกครั้ง” เฮ่อหลันเฟิงว่า
หลายวันก่อนนายพรานในป่าของที่ราบฉือวั่งหยวนทำให้หมีดำซึ่งหลับสนิทตกใจตื่นจนมีคนกลุ่มหนึ่งเสียชีวิตและบาดเจ็บ เยี่ยไถจึงตั้งกลุ่มล่าหมี และตัดสินใจไปกำจัดหมีดำวันนี้ พวกเฮ่อหลันเฟิงกับหุนต๋าเอ๋อร์ก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน
“หิมะอาจจะตก” เฮ่อหลันเฟิงกล่าวกับจิ้นเยวี่ยและหร่วนปู้ฉี “หากพายุหิมะตกหนักเกินไป พวกเจ้าก็มาอยู่เป็นเพื่อนจั๋วจั๋ว”
จิ้นเยวี่ยรู้ เขากลัวว่าหากทั้งสองอยู่ในกระโจมทาสจะหนาวจนป่วย จึงพยักหน้ารับคำ
เฮ่อหลันเฟิงวางแผนที่ไว้บนโต๊ะ หมุนกายเปลี่ยนเสื้อผ้ากับรองเท้า เฮ่อหลันจินอิงเดินเข้ามาในกระโจมก็ถูกแผนที่ดึงดูดทันที เขากวาดตามองคร่าวๆ สายตาพลันลึกล้ำ “วาดเร็วจริง นี่คือวาดเสร็จแล้ว?”
จิ้นเยวี่ยไม่เพียงวาดตำแหน่งประตูเมืองกับถนนทั้งหมดของเหลียงจิงออกมาบนแผนที่โดยละเอียด กระทั่งประตูวังหลายแห่งกับตำหนักใหญ่หลายจุดของวังหลวงก็ไม่ตกหล่นแม้แต่จุดเดียว
ขณะกำลังลังเล ทันใดนั้นเฮ่อหลันเฟิงก็ยึดกระดาษไป
“ให้ข้าเรียนภาษาฮั่นกับจิ้นเยวี่ย ไปทำความเข้าใจสถานการณ์ของเหลียงจิง” เขาถามเสียงเบา “แผนที่แผ่นนี้สินะที่ท่านต้องการจริงๆ”
เฮ่อหลันจินอิงยื่นมือไปทางน้องชาย มองเขาไม่พูดไม่จา
“เขาเป็นชาวต้าอวี่ เขาต้องกลับไป” เฮ่อหลันเฟิงว่า “หากฮ่องเต้ต้าอวี่ทรงรู้ว่าเขามอบแผนที่เหลียงจิงให้พวกเรา เขาต้องตายเป็นแน่”
“เขาจะเป็นหรือตายเกี่ยวอันใดกับพวกเรา” เฮ่อหลันจินอิงแย่งแผนที่มาไม่ได้ คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น “เขาวาดออกมาแล้ว ย่อมหมายความว่าเขาโง่เง่าเหมือนหมู ไม่ระแวดระวังแม้แต่น้อย คนพรรค์นี้เหมือนจิ้นหมิงจ้าวที่ใด หากไม่บอกว่าเขาเป็นบุตรชายของจิ้นหมิงจ้าว บัณฑิตอ่อนแอเช่นเขาผู้ใดจะใส่ใจมอง”
“ข้ารู้ว่าท่านเลื่อมใสจิ้นหมิงจ้าว” เฮ่อหลันเฟิงพูด “แต่เหตุใดท่านถึงไม่ชอบจิ้นเยวี่ย”
“ข้าไม่ได้เสื้อคลุมขนจิ้งจอก และก็ไม่ได้สาลี่ตากแห้ง”
เฮ่อหลันเฟิง “…”
“ในเมื่อเขาเป็นบุตรชายจิ้นหมิงจ้าว ก็ควรมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจิ้นหมิงจ้าว ความเป็นความตายของตนก็ควบคุมเอง” เฮ่อหลันจินอิงก้าวไปตรงหน้าเฮ่อหลันเฟิง ก้มมองดวงตาดื้อรั้นของเขา “ฟังให้ดี หากเจ้าไม่มอบแผนที่ให้ข้า เขาจะต้องตายจริงๆ”
บทที่ 6 หลบหนี
หร่วนปู้ฉีกำลังอุ้มหญ้าแห้งหนึ่งมัดเดินผ่านด้านหลังกระโจมสักหลาดเฮ่อหลันเฟิง นี่เป็นหญ้าที่ใช้เลี้ยงม้าสองตัวของสกุลเฮ่อหลัน หญ้าแห้งมัดนี้ไม่หนัก ทว่านางกลับเดินเชื่องช้ายิ่ง
บนดวงหน้าขาวสะอาดของเด็กสาวมีสีหน้าสุขุมสงบนิ่ง นางโน้มตัวเล็กน้อย ฝีเท้าแผ่วเบา ไม่หนักไปกว่าสายลมซึ่งพัดรบกวนบนยอดหญ้า
ในกระโจมเฮ่อหลันเฟิงกับเฮ่อหลันจินอิงยังคงสนทนากันอยู่
“…เขาจะตาย?” เฮ่อหลันเฟิงงุนงงไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”
“สัญญาพันธมิตรผิงโจวยกเลิกแล้ว จิ้นเยวี่ยไม่มีประโยชน์ใดๆ คราแรกเป่ยหรงเทียนจวินตัดสินพระทัยสังหารเขา” เฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ปิดบังอีก “การเสียชีวิตของบิดาอย่างจิ้นหมิงจ้าว มากพอจะทำให้กองทัพต้าอวี่ผิดหวังกับราชสำนักถึงที่สุด และสูญเสียความแน่วแน่ที่จะต่อสู้”
เฮ่อหลันเฟิงหน้าซีดเผือด “เหตุใดฝ่าบาทถึงเปลี่ยนพระทัย”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลนั้น” เฮ่อหลันจินอิงคว้าแผนที่มาไว้ในมือได้ในที่สุด “พูดโดยสรุปการมอบแผนที่ให้ถึงพระหัตถ์เทียนจวิน สหายใหม่ของเจ้าถึงจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้”
เฮ่อหลันเฟิงถามอีกครั้ง “เหตุใดเทียนจวินถึงต้องการแผนที่เหลียงจิง”
เฮ่อหลันจินอิงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ทว่ายังอดทนตอบคำถามนี้ “เป่ยหรงกับจินเชียงร่วมมือบุกโจมตีต้าอวี่ที่ด่านไป๋เชวี่ย นี่คือแผนการและความจริง ทว่าการเสียชีวิตของจิ้นหมิงจ้าวอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเราอย่างสิ้นเชิง เทียนจวินเพียงใช้ประโยชน์จากเรื่องเหนือความคาดหมายนี้ เวลานี้กองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือไม่มีแม่ทัพหลักกับทหารม้าคะนองเมฆา จำเป็นต้องย้ายแม่ทัพมาจากกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่เป่ยหรงจะบุกเข้าไปในต้าอวี่”
เขากดบ่าเฮ่อหลันเฟิง
“เจ้าจงจำไว้ จิ้นเยวี่ยอยู่ที่เยี่ยไถหาใช่เพราะเทียนจวินทรงมีพระเมตตา แค่เพราะเขายังมีประโยชน์และมีค่าบางอย่างเท่านั้น” เฮ่อหลันจินอิงกล่าว “เหตุที่ไว้ชีวิตจิ้นเยวี่ย ก็เพื่อหลอกถามเส้นทางในเหลียงจิงกับวังหลวงจากปากเขา”
เฮ่อหลันเฟิงไม่ได้ถามต่อทันที
หากสิ่งที่พี่ใหญ่พูดมาเป็นความจริง การคุมขังจิ้นเยวี่ยไว้ที่เป่ยตูถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด วิธีการสอบสวนของหน่วยลาดตระเวนสั่งการ* ที่เป่ยตูมากพอจะทำให้จิ้นเยวี่ยเจ็บปวดเจียนตาย
เฮ่อหลันเฟิงใจสั่น “…พี่ใหญ่ ท่านกล่าวสิ่งใดกับเทียนจวิน”
เฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ตอบ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ข้ารู้ว่าเขาอยากกลับต้าอวี่ แต่ในฐานะทาส เขาไม่มีทางอาศัยกำลังของตัวเองหลบหนีจากที่ราบฉือวั่งหยวนได้อย่างแน่นอน เฮ่อหลันเฟิง ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าได้ทำผิด วันนี้ข้าต้องออกเดินทางไปผิงโจวกับแม่ทัพหู่ ไม่ได้กลับมาสามเดือนห้าเดือน เจ้าอย่าได้กลบฝังข้ากับจั๋วจั๋วเพื่อคุณธรรมน้ำมิตรอย่างเด็ดขาด”
เฮ่อหลันเฟิงเพียงขบริมฝีปากไม่ตอบ
“ฟังเข้าใจหรือไม่!” เฮ่อหลันจินอิงตวาดเสียงดัง
เนิ่นนานเขาถึงได้รับประโยคหนึ่งจากเฮ่อหลันเฟิง
“เข้าใจแล้ว”
ครั้นหร่วนปู้ฉีหาจิ้นเยวี่ยพบ เหล่าล่าหมีก็เตรียมพร้อมรอออกเดินทางแล้ว
ผู้นำกลุ่มคืออาขู่ล่า เขามีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ เวลามองคนมักจะขมวดคิ้วย่นตา จมูกกระตุกไม่หยุด ว่ากันว่าประสาทรับกลิ่นของเขาเฉียบไว สามารถดมออกได้ว่าผู้ใดดีหรือร้าย เมตตาหรือเลวทราม
จิ้นเยวี่ยไม่เคยไปมาหาสู่กับอาขู่ล่า บางครั้งเวลาป้อนอาหารม้าและตักน้ำแข็งออก เด็กหนุ่มก็จะเห็นชายชราเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ในเผ่า ตรงเอวเขาจะเหน็บดาบโค้งหนึ่งเล่มไว้เสมอ แต่ไม่เคยเห็นเขาใช้มาก่อน
เด็กหนุ่มชาวต้าอวี่กำลังพูดคุยกับหุนต๋าเอ๋อร์ คงด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรตามปกติ ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหมาะสม อาขู่ล่ามองเห็นจากที่ห่างไกล ขยับจมูกครู่หนึ่ง
หุนต๋าเอ๋อร์ชอบท่าทางเป็นมิตรของจิ้นเยวี่ยมาก เขาโบกแส้ม้ากระโดดโลดเต้น พูดจนน้ำลายแตกฟอง ไอสีขาวลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
เฮ่อหลันเฟิงวิ่งบึ่งมาแต่ไกล บนหลังแบกคันธนู ครั้นเห็นว่าจิ้นเยวี่ยอยู่ด้วย เขาก็ผ่อนฝีเท้าอย่างห้ามไม่อยู่ หุนต๋าเอ๋อร์ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน “จิ้นเยวี่ย เจ้าเคยเห็นหมีตัวโตหรือไม่ ข้าจะตัดหูหมีกลับมาให้เจ้า เจ้าเย็บติดไว้บนหมวก ทุกคนในเยี่ยไถก็จะรู้ว่าเจ้าเป็นสหายข้าหุนต๋าเอ๋อร์ แล้วจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้า”
เฮ่อหลันเฟิงไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย ดึงจิ้นเยวี่ยมาด้านหนึ่ง “ดูแลจั๋วจั๋วให้ดี หลังกลับมาข้ามีคำพูดจะบอกเจ้า”
เขาปลดมีดสั้นที่เหน็บเอวไว้ยัดใส่อกเสื้อจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยกำลังจะปฏิเสธ เฮ่อหลันเฟิงก็ขี่ม้าเกาซินสีดำของเขาห้อตะบึงนำออกไปประหนึ่งสายลมแล้ว
คนทั้งกลุ่มโห่ร้อง พลันหายลับไปท่ามกลางหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตาของที่ราบฉือวั่งหยวน
หร่วนปู้ฉีดึงมือจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยถึงถอนสายตากลับมา “มีสิ่งใดหรือ”
เด็กสาวไม่อาจพูด สองมือนางวาดลวกๆ เห็นจิ้นเยวี่ยยังไม่เข้าใจ ก็ดึงมือเขาจะเขียนตัวอักษร ฉับพลันนั้นในสายลมก็มีเสียงเสื้อเกราะอันแจ่มชัดและสับสนดังขึ้น จิ้นเยวี่ยรีบจูงนาง ก้มตัวต่ำ ปีนขึ้นไปบนเนินหิมะด้านข้าง
กองกำลังสามสี่ร้อยนายกลุ่มหนึ่งกำลังออกจากค่ายเยี่ยไถอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาผ่านทุ่งหิมะตรงไปทางใต้
เมฆหิมะหนาลอยจากขุนเขาห่างไกลเข้ามาใกล้ ประหนึ่งมือยักษ์ของทวยเทพกำลังกดต่ำลงมาสู่โลกมนุษย์
แม่ทัพหู่กับเฮ่อหลันจินอิงนำทหารกล้ากลุ่มหนึ่งไปจากเยี่ยไถ อีกทั้งคนหนุ่มก็กำลังล่าหมีอยู่ในที่ราบฉือวั่งหยวน ในค่ายเหลือเพียงทหารลาดตระเวนบางตาไม่กี่นาย
“ปู้ฉี” เขากดเสียงต่ำกล่าวกับหร่วนปู้ฉี “นี่คือโอกาสเดียวของพวกเรา เจ้ารีบไปในกระโจมของเฮ่อหลันเฟิง หยิบกระบี่สำรองของเฮ่อหลันจินอิง ห้ามให้จั๋วจั๋วสงสัย เมื่อครู่นี้หุนต๋าเอ๋อร์รับปากจะให้ข้ายืมม้าฝึกขี่”
หร่วนปู้ฉีเบิกตากว้าง เต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ จิ้นเยวี่ยนำมีดสั้นที่เฮ่อหลันเฟิงทิ้งไว้ให้เขาใส่เข้าไปในอกเสื้อให้รัดกุม
“พวกเรามาเจอกันด้านล่างเนินนี้…” แววตาเขาวูบไหว ทั้งหมดคือความตื่นเต้นอันยากจะระงับ “ออกเดินทางกลับต้าอวี่!”
ยามนี้จิ้นเยวี่ยเป็นที่ขบขันของเยี่ยไถ ชายหญิงชาวเยี่ยไถไม่มีผู้ใดขี่ม้าไม่เป็น ขนาดจั๋วจั๋วเด็กกว่าเขามากก็ยังมีฝีมือด้านการขี่ม้า ทว่าแม้แต่ม้าที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดเขากลับทำให้เชื่องไม่ได้
เมื่อมาถึงคอกม้าของบ้านหุนต๋าเอ๋อร์เขาไม่ถูกผู้ใดขัดขวาง ในบ้านหุนต๋าเอ๋อร์มีทหารรับใช้สองสามนาย เห็นจิ้นเยวี่ยเข้ามาก็พากันล้อเลียนด้วยภาษาเป่ยหรง จิ้นเยวี่ยไม่ได้เลือกม้าเตี้ยที่เขาขี่ยามปกติ เปลี่ยนไปชี้ม้าเป่ยหรงพันธุ์ดีสูงใหญ่กำยำยิ่งหนึ่งตัว
ทหารรับใช้ยิ่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง พวกเขามองจิ้นเยวี่ยจูงม้าและเดินข้างม้าแบบหวาดกลัวหัวหดก็พูดรัวเร็วด้วยภาษาเป่ยหรงสำเนียงเยี่ยไถ จิ้นเยวี่ยแยกไม่ค่อยออก แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว เขากุมสายบังเหียนแน่น แกล้งทำท่าหวาดกลัวหลายส่วน จูงม้าเดินไปข้างนอกทีละก้าว
หลังไม่เห็นทหารรับใช้ของบ้านหุนต๋าเอ๋อร์ จิ้นเยวี่ยก็รีบเร่งความเร็ว เมฆดำลอยต่ำเข้ามาอย่างเชื่องช้า ผู้คนในเผ่าเยี่ยไถทยอยจูงแพะจูงม้า เห็นเด็กหนุ่มคล้ายจะออกไปก็รีบชี้ท้องฟ้าห้ามปรามเขา พอจิ้นเยวี่ยบอกเพียงว่าจะฝึกม้าตรงที่ราบฉือวั่งหยวนก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก
เขารอหร่วนปู้ฉีอยู่นานมาก เด็กสาวจึงถือดาบรีบเร่งมาหา ทำท่าบอกว่าตนเองเพิ่งจะกล่อมจั๋วจั๋วหลับไป
กลิ่นอายหนาวเย็นลอยมาในสายลม พัดจนใบหูกับจมูกแข็ง จิ้นเยวี่ยล้วงหมวกจากห่อสัมภาระมาสวมบนศีรษะหร่วนปู้ฉี นางจำได้ว่านี่คือหมวกขนแกะของเฮ่อหลันเฟิงซึ่งเมื่อไม่นานมานี้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ในห่อสัมภาระมีข้าวของมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของกินกับสิ่งกันหนาว ไม่รู้จิ้นเยวี่ยบ่มเพาะความคิดที่จะหลบหนีมานานเพียงใดแล้ว
เขาอุ้มหร่วนปู้ฉีขึ้นม้า กดเสียงต่ำกำชับนางว่าไม่ต้องกลัว ส่วนตัวเองก็พลิกกายขึ้นหลังม้า ท่วงท่าคล่องแคล่วงดงาม หร่วนปู้ฉีนั่งอย่างมั่นคงยิ่ง จิ้นเยวี่ยปกป้องนางไว้ข้างหน้าตนเอง ไม่มีชั่วขณะใดตื่นเต้นและเยือกเย็นเฉกเช่นยามนี้
ม้ารู้ว่าเด็กหนุ่มบนหลังเป็นนักขี่ม้าผู้ช่ำชอง พอจิ้นเยวี่ยลูบแผงคอกับลำคอของมัน มันก็พ่นลมส่งเสียงออกจมูกตอบรับ
สองขาจิ้นเยวี่ยหนีบท้องม้า ม้าก็ออกวิ่งเหยาะๆ
เกล็ดหิมะค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ในที่สุดทั้งสองก็อ้อมผ่านเนินสูง ห้อตะบึงไปทางใต้
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หิมะก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จำต้องผ่อนความเร็วม้าลง
จิ้นเยวี่ยถามหร่วนปู้ฉีว่าหนาวหรือไม่ กลัวหรือไม่ ทว่าหร่วนปู้ฉีคล้ายไม่ได้ยิน ดึงแขนจิ้นเยวี่ยแน่น เขียนตัวอักษรอย่างรวดเร็วบนฝ่ามือเขาตัวแล้วตัวเล่า
ตัวอักษรที่นางรู้มีเยอะมาก ความประหลาดใจวาบผ่านในใจจิ้นเยวี่ย ทว่าใบหน้าเขาหนาวจนแข็งไปเสียแล้ว อยากยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ได้แต่ปกป้องเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน
หร่วนปู้ฉีไม่กลัวม้า ทั้งยังรู้ตัวอักษร…นางหาใช่เด็กสาวครอบครัวธรรมดา
จิ้นเยวี่ยลอบตัดสินใจในใจ รอกลับถึงต้าอวี่เขาจะต้องช่วยนางตามหาครอบครัวให้พบ
ระหว่างกำลังตกใจ หร่วนปู้ฉีก็เขียนคำพูดที่อยากบอกทั้งหมดเสร็จ และจับฝ่ามือเขาไว้
“…ข้ารู้” จิ้นเยวี่ยกระซิบ “ข้ารู้ว่าที่เขาต้องการให้ข้าวาดแผนที่เหลียงจิงเป็นเพราะมีจุดประสงค์”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ในใจเขาก็ท่วมท้นด้วยรสขมฝาดอันเหน็บหนาว
หมวกที่หร่วนปู้ฉีสวมปักลายกวางเขายาวเอาไว้ นี่คือหมวกของเฮ่อหลันเฟิง ชาวเกาซินบูชากวางเป็นเทพเจ้า จึงจะปักเทพกวางไว้บนเสื้อผ้า รองเท้า และหมวกของเด็กๆ เป็นวิธีอธิษฐานขอให้คุ้มครองเด็กๆ ให้อยู่รอดปลอดภัยในแดนเหนืออันเหน็บหนาวและกันดาร
วิธีการปักเย็บลายกวางตัวนี้เป็นการเย็บแบบสลับไปมาที่สตรีชาวต้าอวี่ล้วนเย็บเป็น ทว่าฝีเข็มกลับไม่ละเอียดเหมาะเจาะ คล้ายเป็นผลงานของคนหัดเรียนเย็บปักเป็นครั้งแรก
จิ้นเยวี่ยตระหนักได้ นี่น่าจะเป็นหมวกหนังแกะที่มารดาตาบอดของเฮ่อหลันเฟิงทำให้เขา
ในใจพลันเอ่อท้นด้วยความเสียใจ ทว่าเขาจำต้องกัดฟัน
ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในเป่ยหรงไม่ยาวนาน นอกจากเฮ่อหลันเฟิงกับจั๋วจั๋วแล้ว เขาก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองรู้จักผู้ใดที่นี่
การ ‘รู้จัก’ คือความเข้าใจอย่างหนึ่ง จิ้นเยวี่ยไม่มีทางปล่อยให้ตนเองถลำลึกอยู่ในภาพลวงตาของความเข้าใจ…ทว่ากับเฮ่อหลันเฟิงและจั๋วจั๋วนั้นไม่เหมือนกัน
จั๋วจั๋วยังเล็ก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสุขความโกรธ แม้กระทั่งกับหุนต๋าเอ๋อร์ก็สามารถเล่นสนุกด้วยกันได้ แต่เฮ่อหลันเฟิงกลับเป็นเด็กที่ ‘แปลก’ อย่างยิ่ง ดังที่ไป๋หนีกล่าวไว้
จิ้นเยวี่ยไม่ได้รังเกียจการอยู่ร่วมกับเฮ่อหลันเฟิง ทว่าเขาไม่ชินกับสายตาที่เฮ่อหลันเฟิงมองตนเอง นัยน์ตาหมาป่าซึ่งซุกซ่อนสีเขียวเข้มเอาไว้คู่นั้นราวกับลอบจับจ้องมองเหยื่อ อยากแยกแยะข้อมูลอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากตัวจิ้นเยวี่ยให้กระจ่าง ชาวเป่ยหรงชอบมองชาวต้าอวี่เช่นนี้เสมอ แปลกใหม่ ฉงนสงสัย และหวาดกลัวหลายส่วน ทว่าพอสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏในดวงตาเฮ่อหลันเฟิง กลับล้วนแฝงด้วยความหมายอื่น
จิ้นเยวี่ยไม่ค่อยกล้าสบตาเฮ่อหลันเฟิง ด้วยกลัวว่าความคิดในใจตนจะถูกดวงตาคู่นั้นมองทะลุจนเห็นกระจ่างแจ้ง
มือถูกหร่วนปู้ฉีจับไว้แน่นอีกครั้ง จิ้นเยวี่ยค้นพบว่าเด็กสาวหาได้ดูอ่อนแอเหมือนภายนอก แรงมือของนางไม่น้อย บีบจนฝ่ามือเขาเริ่มเจ็บ
“ไม่ต้องกังวล” จิ้นเยวี่ยกดเสียงพูดให้เบาลง “ข้ามอบแผนที่ปลอมให้เขา”
คำพูดเพิ่งจะสิ้นสุด สายลมแรงก็พัดกระโชกปะทะใบหน้า พัดจนทั้งคนและม้าต่างโงนเงนหวิดจะล้ม จิ้นเยวี่ยรีบกอดหร่วนปู้ฉีไว้แน่น เขาดึงสายบังเหียนจนตึง กีบเท้าหน้าของม้าถีบอยู่กลางอากาศ เปล่งเสียงร้องยาว
เห็นเพียงข้างหน้ามีคลื่นหิมะพัดโหม บดบังผืนฟ้าและดวงตะวันจนมองสิ่งใดไม่เห็นโดยสมบูรณ์ จิ้นเยวี่ยร้องในใจว่าไม่ดีแล้ว พายุหิมะมาเร็วเกินไป เขารีบคลายสายบังเหียน ทอดสายตามองซ้ายขวาหาที่กำบัง
หร่วนปู้ฉีกลับหันหน้ามองไปทางภูเขาหิมะด้านข้าง นี่เป็นเนินหิมะราบเรียบ ทว่าพายุกลับพัดหิมะซึ่งสะสมบนยอดเขาลงมาอย่างต่อเนื่อง ยามกลิ้งตกลงมาก็พาเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นตามมาเป็นสาย
จิ้นเยวี่ยมองตามสายตานางไป แต่ไม่ว่าอะไรก็ล้วนมองไม่เห็น
“ตรงนั้นมีอะไร…”
คำพูดยังไม่ทันกล่าวจบ ใต้ร่างทั้งสองก็พลันว่างเปล่า…เบื้องหน้าคือหุบเขา ม้าร่วงหล่นลงไปโดยตรง!
จิ้นเยวี่ยปกป้องหร่วนปู้ฉีไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองกลิ้งตกลงไปในหุบเขา ร่วงเข้าไปในกองหิมะหนา ไม่รู้เพราะเหตุใดตอนร่วงลงพื้นหร่วนปู้ฉีถึงอยู่ข้างล่างจิ้นเยวี่ย รองรับแรงกระแทกทั้งหมด เด็กหนุ่มวิงเวียนตาลาย ฝืนตะกายลุกขึ้น ใช้ทั้งมือเท้าขุดเด็กสาวออกมาจากหิมะ
หร่วนปู้ฉีข้อต่อแขนหลุด สองตาแดงก่ำ ทว่ากลับหันหน้ามองไปทางม้าตัวนั้นซึ่งหล่นลงมาเช่นกัน แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ม้าดิ้นรนลุกขึ้นยืน คล้ายตระหนักได้ในที่สุดว่าคนที่แบกไว้บนหลังไม่ใช่เจ้านายจึงรีบควบเท้าทั้งสี่วิ่งฝุ่นตลบเลียบหุบเขาไป
จิ้นเยวี่ยร้องเรียก “ไม่ๆ! กลับมา! อย่าวิ่ง!!!”
เขาร้องตะโกนหลายประโยค วิงเวียนจนลุกไม่ขึ้น เพิ่งจะตะเกียกตะกายลุกยืนขึ้นได้ก็ล้มหงายไปบนหิมะทันที
พายุหิมะขาวโพลนสุดสายตา ผืนฟ้าแผ่นดินอลหม่านสับสน ไร้ซึ่งม้าพวกเขาก็ไม่อาจไปจากเป่ยหรงได้ และยิ่งยากจะกลับไปยังเยี่ยไถ
มือเท้าค่อยๆ เย็นเฉียบ จิ้นเยวี่ยรู้ตัวว่าตนเองน่าจะตกลงมาบาดเจ็บตรงที่ใดสักแห่ง ทว่าเนื่องจากประสาทรับรู้ความเจ็บปวดด้านชาจึงแยกไม่ออกโดยสิ้นเชิง
“ข้าขออภัย…” เขากล่าวขออภัยเด็กสาวเสียงเบา “ข้าไม่ควรพาเจ้าออกมาเลย…”
หร่วนปู้ฉีค้อมตัวกอดเขา ตบไหล่ครู่หนึ่งคล้ายปลอบโยน
ช่วงสุดท้ายก่อนจิ้นเยวี่ยสลบไป ในที่สุดก็มองเห็นว่าเนินหิมะที่หร่วนปู้ฉีจ้องมองเมื่อครู่แปลกไปจากธรรมดาจริงๆ กวางยักษ์ซึ่งมีเขาเหมือนกิ่งก้านงอกอยู่บนศีรษะกำลังยืนอยู่บนยอดเนินเขา ก้มลงมองมาจากที่ห่างไกล
บนร่างมันมีเซียนชุดแดงนั่งอยู่ ราวกับเปลวไฟอันโชติช่วงท่ามกลางพายุหิมะซึ่งปกคลุมทั่วผืนฟ้า
* ฮว่า หรือต้นฮวา หมายถึงต้นเบิร์ช เป็นไม้เนื้อแข็งผลัดใบ อยู่ในวงศ์กำลังเสือโคร่ง
** ซีเหลิ่งจู้ เป็นชื่อเรียกกระโจมทรงกรวยของชนกลุ่มน้อย เป็นที่อยู่ของชนเผ่าเอ้อเวินเค่อ ใช้ไม้สร้างเป็นโครงทรงสามเหลี่ยม มุงด้วยเปลือกไม้เบิร์ช
* อูฐอนิล เป็นอูฐในตำนานซึ่งสามารถเดินทางได้พันหลี่
* ไม่หนาวไม่ร้อน เปรียบเปรยถึงท่าทีธรรมดา ไม่กระตือรือร้นและไม่เย็นชา
** แมวสามขา เป็นอุปมา หมายถึงคนที่รู้เพียงผิวเผิน
* ตัวอักษรข่ายซู เป็นตัวอักษรมาตรฐานของจีน ถือกำเนิดในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น ตัวอักษรมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นระเบียบชัดเจน และอ่านง่าย
* บนขื่อนางแอ่นร้องพึมพำ พูดพร่ำเรื่องอันใดปลุกข้า มาจากบทกวี 《题屏》 ของหลิวจี้ซุนในสมัยราชวงศ์ซ่ง ในวรรคมีคำว่าเหลียง (梁) ซึ่งเป็นตัวอักษรจีนตัวเดียวกันกับในคำว่าเหลียงจิง (梁京)
** ต้นไห่ถัง คือพืชตระกูลเดียวกับแอปเปิ้ล ดอกมีสีขาว แดง และชมพูตามแต่ละสายพันธุ์
*** ชิงช้าน้ำ คือการแสดงที่ติดตั้งชิงช้าไว้บนเรือ ผู้แสดงจะโล้ชิงช้าจนขึ้นสูงเสมอคานชิงช้า จากนั้นก็จะกระโดดลงน้ำ
* ยามสาม คือช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 น. ถึง 01.00 น.
** ยามห้า คือช่วงเวลาตั้งแต่ 03.00 น. ถึง 05.00 น.
*** หูปิ่ง คือขนมปังอบทรงกลมแบน
* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูงชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนพู่กันจีน เนื้อกระดาษนิ่มเหนียว ไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ แมลงไม่กัดแทะ มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองเซวียน มณฑลอันฮุย
* หน่วยลาดตระเวนสั่งการ หมายถึงหน่วยงานดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 7 ต.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.