ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 6 หลบหนี

หร่วนปู้ฉีกำลังอุ้มหญ้าแห้งหนึ่งมัดเดินผ่านด้านหลังกระโจมสักหลาดเฮ่อหลันเฟิง นี่เป็นหญ้าที่ใช้เลี้ยงม้าสองตัวของสกุลเฮ่อหลัน หญ้าแห้งมัดนี้ไม่หนัก ทว่านางกลับเดินเชื่องช้ายิ่ง

บนดวงหน้าขาวสะอาดของเด็กสาวมีสีหน้าสุขุมสงบนิ่ง นางโน้มตัวเล็กน้อย ฝีเท้าแผ่วเบา ไม่หนักไปกว่าสายลมซึ่งพัดรบกวนบนยอดหญ้า

ในกระโจมเฮ่อหลันเฟิงกับเฮ่อหลันจินอิงยังคงสนทนากันอยู่

“…เขาจะตาย?” เฮ่อหลันเฟิงงุนงงไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”

“สัญญาพันธมิตรผิงโจวยกเลิกแล้ว จิ้นเยวี่ยไม่มีประโยชน์ใดๆ คราแรกเป่ยหรงเทียนจวินตัดสินพระทัยสังหารเขา” เฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ปิดบังอีก “การเสียชีวิตของบิดาอย่างจิ้นหมิงจ้าว มากพอจะทำให้กองทัพต้าอวี่ผิดหวังกับราชสำนักถึงที่สุด และสูญเสียความแน่วแน่ที่จะต่อสู้”

เฮ่อหลันเฟิงหน้าซีดเผือด “เหตุใดฝ่าบาทถึงเปลี่ยนพระทัย”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลนั้น” เฮ่อหลันจินอิงคว้าแผนที่มาไว้ในมือได้ในที่สุด “พูดโดยสรุปการมอบแผนที่ให้ถึงพระหัตถ์เทียนจวิน สหายใหม่ของเจ้าถึงจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้”

เฮ่อหลันเฟิงถามอีกครั้ง “เหตุใดเทียนจวินถึงต้องการแผนที่เหลียงจิง”

เฮ่อหลันจินอิงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ทว่ายังอดทนตอบคำถามนี้ “เป่ยหรงกับจินเชียงร่วมมือบุกโจมตีต้าอวี่ที่ด่านไป๋เชวี่ย นี่คือแผนการและความจริง ทว่าการเสียชีวิตของจิ้นหมิงจ้าวอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเราอย่างสิ้นเชิง เทียนจวินเพียงใช้ประโยชน์จากเรื่องเหนือความคาดหมายนี้ เวลานี้กองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือไม่มีแม่ทัพหลักกับทหารม้าคะนองเมฆา จำเป็นต้องย้ายแม่ทัพมาจากกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่เป่ยหรงจะบุกเข้าไปในต้าอวี่”

เขากดบ่าเฮ่อหลันเฟิง

“เจ้าจงจำไว้ จิ้นเยวี่ยอยู่ที่เยี่ยไถหาใช่เพราะเทียนจวินทรงมีพระเมตตา แค่เพราะเขายังมีประโยชน์และมีค่าบางอย่างเท่านั้น” เฮ่อหลันจินอิงกล่าว “เหตุที่ไว้ชีวิตจิ้นเยวี่ย ก็เพื่อหลอกถามเส้นทางในเหลียงจิงกับวังหลวงจากปากเขา”

เฮ่อหลันเฟิงไม่ได้ถามต่อทันที

หากสิ่งที่พี่ใหญ่พูดมาเป็นความจริง การคุมขังจิ้นเยวี่ยไว้ที่เป่ยตูถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด วิธีการสอบสวนของหน่วยลาดตระเวนสั่งการ* ที่เป่ยตูมากพอจะทำให้จิ้นเยวี่ยเจ็บปวดเจียนตาย

เฮ่อหลันเฟิงใจสั่น “…พี่ใหญ่ ท่านกล่าวสิ่งใดกับเทียนจวิน”

เฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ตอบ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ข้ารู้ว่าเขาอยากกลับต้าอวี่ แต่ในฐานะทาส เขาไม่มีทางอาศัยกำลังของตัวเองหลบหนีจากที่ราบฉือวั่งหยวนได้อย่างแน่นอน เฮ่อหลันเฟิง ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าได้ทำผิด วันนี้ข้าต้องออกเดินทางไปผิงโจวกับแม่ทัพหู่ ไม่ได้กลับมาสามเดือนห้าเดือน เจ้าอย่าได้กลบฝังข้ากับจั๋วจั๋วเพื่อคุณธรรมน้ำมิตรอย่างเด็ดขาด”

เฮ่อหลันเฟิงเพียงขบริมฝีปากไม่ตอบ

“ฟังเข้าใจหรือไม่!” เฮ่อหลันจินอิงตวาดเสียงดัง

เนิ่นนานเขาถึงได้รับประโยคหนึ่งจากเฮ่อหลันเฟิง

“เข้าใจแล้ว”

 

ครั้นหร่วนปู้ฉีหาจิ้นเยวี่ยพบ เหล่าล่าหมีก็เตรียมพร้อมรอออกเดินทางแล้ว

ผู้นำกลุ่มคืออาขู่ล่า เขามีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ เวลามองคนมักจะขมวดคิ้วย่นตา จมูกกระตุกไม่หยุด ว่ากันว่าประสาทรับกลิ่นของเขาเฉียบไว สามารถดมออกได้ว่าผู้ใดดีหรือร้าย เมตตาหรือเลวทราม

จิ้นเยวี่ยไม่เคยไปมาหาสู่กับอาขู่ล่า บางครั้งเวลาป้อนอาหารม้าและตักน้ำแข็งออก เด็กหนุ่มก็จะเห็นชายชราเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ในเผ่า ตรงเอวเขาจะเหน็บดาบโค้งหนึ่งเล่มไว้เสมอ แต่ไม่เคยเห็นเขาใช้มาก่อน

เด็กหนุ่มชาวต้าอวี่กำลังพูดคุยกับหุนต๋าเอ๋อร์ คงด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรตามปกติ ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหมาะสม อาขู่ล่ามองเห็นจากที่ห่างไกล ขยับจมูกครู่หนึ่ง

หุนต๋าเอ๋อร์ชอบท่าทางเป็นมิตรของจิ้นเยวี่ยมาก เขาโบกแส้ม้ากระโดดโลดเต้น พูดจนน้ำลายแตกฟอง ไอสีขาวลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง

เฮ่อหลันเฟิงวิ่งบึ่งมาแต่ไกล บนหลังแบกคันธนู ครั้นเห็นว่าจิ้นเยวี่ยอยู่ด้วย เขาก็ผ่อนฝีเท้าอย่างห้ามไม่อยู่ หุนต๋าเอ๋อร์ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน “จิ้นเยวี่ย เจ้าเคยเห็นหมีตัวโตหรือไม่ ข้าจะตัดหูหมีกลับมาให้เจ้า เจ้าเย็บติดไว้บนหมวก ทุกคนในเยี่ยไถก็จะรู้ว่าเจ้าเป็นสหายข้าหุนต๋าเอ๋อร์ แล้วจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้า”

เฮ่อหลันเฟิงไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย ดึงจิ้นเยวี่ยมาด้านหนึ่ง “ดูแลจั๋วจั๋วให้ดี หลังกลับมาข้ามีคำพูดจะบอกเจ้า”

เขาปลดมีดสั้นที่เหน็บเอวไว้ยัดใส่อกเสื้อจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยกำลังจะปฏิเสธ เฮ่อหลันเฟิงก็ขี่ม้าเกาซินสีดำของเขาห้อตะบึงนำออกไปประหนึ่งสายลมแล้ว

คนทั้งกลุ่มโห่ร้อง พลันหายลับไปท่ามกลางหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตาของที่ราบฉือวั่งหยวน

หร่วนปู้ฉีดึงมือจิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยถึงถอนสายตากลับมา “มีสิ่งใดหรือ”

เด็กสาวไม่อาจพูด สองมือนางวาดลวกๆ เห็นจิ้นเยวี่ยยังไม่เข้าใจ ก็ดึงมือเขาจะเขียนตัวอักษร ฉับพลันนั้นในสายลมก็มีเสียงเสื้อเกราะอันแจ่มชัดและสับสนดังขึ้น จิ้นเยวี่ยรีบจูงนาง ก้มตัวต่ำ ปีนขึ้นไปบนเนินหิมะด้านข้าง

กองกำลังสามสี่ร้อยนายกลุ่มหนึ่งกำลังออกจากค่ายเยี่ยไถอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาผ่านทุ่งหิมะตรงไปทางใต้

เมฆหิมะหนาลอยจากขุนเขาห่างไกลเข้ามาใกล้ ประหนึ่งมือยักษ์ของทวยเทพกำลังกดต่ำลงมาสู่โลกมนุษย์

แม่ทัพหู่กับเฮ่อหลันจินอิงนำทหารกล้ากลุ่มหนึ่งไปจากเยี่ยไถ อีกทั้งคนหนุ่มก็กำลังล่าหมีอยู่ในที่ราบฉือวั่งหยวน ในค่ายเหลือเพียงทหารลาดตระเวนบางตาไม่กี่นาย

“ปู้ฉี” เขากดเสียงต่ำกล่าวกับหร่วนปู้ฉี “นี่คือโอกาสเดียวของพวกเรา เจ้ารีบไปในกระโจมของเฮ่อหลันเฟิง หยิบกระบี่สำรองของเฮ่อหลันจินอิง ห้ามให้จั๋วจั๋วสงสัย เมื่อครู่นี้หุนต๋าเอ๋อร์รับปากจะให้ข้ายืมม้าฝึกขี่”

หร่วนปู้ฉีเบิกตากว้าง เต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ จิ้นเยวี่ยนำมีดสั้นที่เฮ่อหลันเฟิงทิ้งไว้ให้เขาใส่เข้าไปในอกเสื้อให้รัดกุม

“พวกเรามาเจอกันด้านล่างเนินนี้…” แววตาเขาวูบไหว ทั้งหมดคือความตื่นเต้นอันยากจะระงับ “ออกเดินทางกลับต้าอวี่!”

ยามนี้จิ้นเยวี่ยเป็นที่ขบขันของเยี่ยไถ ชายหญิงชาวเยี่ยไถไม่มีผู้ใดขี่ม้าไม่เป็น ขนาดจั๋วจั๋วเด็กกว่าเขามากก็ยังมีฝีมือด้านการขี่ม้า ทว่าแม้แต่ม้าที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดเขากลับทำให้เชื่องไม่ได้

เมื่อมาถึงคอกม้าของบ้านหุนต๋าเอ๋อร์เขาไม่ถูกผู้ใดขัดขวาง ในบ้านหุนต๋าเอ๋อร์มีทหารรับใช้สองสามนาย เห็นจิ้นเยวี่ยเข้ามาก็พากันล้อเลียนด้วยภาษาเป่ยหรง จิ้นเยวี่ยไม่ได้เลือกม้าเตี้ยที่เขาขี่ยามปกติ เปลี่ยนไปชี้ม้าเป่ยหรงพันธุ์ดีสูงใหญ่กำยำยิ่งหนึ่งตัว

ทหารรับใช้ยิ่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง พวกเขามองจิ้นเยวี่ยจูงม้าและเดินข้างม้าแบบหวาดกลัวหัวหดก็พูดรัวเร็วด้วยภาษาเป่ยหรงสำเนียงเยี่ยไถ จิ้นเยวี่ยแยกไม่ค่อยออก แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว เขากุมสายบังเหียนแน่น แกล้งทำท่าหวาดกลัวหลายส่วน จูงม้าเดินไปข้างนอกทีละก้าว

หลังไม่เห็นทหารรับใช้ของบ้านหุนต๋าเอ๋อร์ จิ้นเยวี่ยก็รีบเร่งความเร็ว เมฆดำลอยต่ำเข้ามาอย่างเชื่องช้า ผู้คนในเผ่าเยี่ยไถทยอยจูงแพะจูงม้า เห็นเด็กหนุ่มคล้ายจะออกไปก็รีบชี้ท้องฟ้าห้ามปรามเขา พอจิ้นเยวี่ยบอกเพียงว่าจะฝึกม้าตรงที่ราบฉือวั่งหยวนก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก

เขารอหร่วนปู้ฉีอยู่นานมาก เด็กสาวจึงถือดาบรีบเร่งมาหา ทำท่าบอกว่าตนเองเพิ่งจะกล่อมจั๋วจั๋วหลับไป

กลิ่นอายหนาวเย็นลอยมาในสายลม พัดจนใบหูกับจมูกแข็ง จิ้นเยวี่ยล้วงหมวกจากห่อสัมภาระมาสวมบนศีรษะหร่วนปู้ฉี นางจำได้ว่านี่คือหมวกขนแกะของเฮ่อหลันเฟิงซึ่งเมื่อไม่นานมานี้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ในห่อสัมภาระมีข้าวของมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของกินกับสิ่งกันหนาว ไม่รู้จิ้นเยวี่ยบ่มเพาะความคิดที่จะหลบหนีมานานเพียงใดแล้ว

เขาอุ้มหร่วนปู้ฉีขึ้นม้า กดเสียงต่ำกำชับนางว่าไม่ต้องกลัว ส่วนตัวเองก็พลิกกายขึ้นหลังม้า ท่วงท่าคล่องแคล่วงดงาม หร่วนปู้ฉีนั่งอย่างมั่นคงยิ่ง จิ้นเยวี่ยปกป้องนางไว้ข้างหน้าตนเอง ไม่มีชั่วขณะใดตื่นเต้นและเยือกเย็นเฉกเช่นยามนี้

ม้ารู้ว่าเด็กหนุ่มบนหลังเป็นนักขี่ม้าผู้ช่ำชอง พอจิ้นเยวี่ยลูบแผงคอกับลำคอของมัน มันก็พ่นลมส่งเสียงออกจมูกตอบรับ

สองขาจิ้นเยวี่ยหนีบท้องม้า ม้าก็ออกวิ่งเหยาะๆ

เกล็ดหิมะค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ในที่สุดทั้งสองก็อ้อมผ่านเนินสูง ห้อตะบึงไปทางใต้

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หิมะก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จำต้องผ่อนความเร็วม้าลง

จิ้นเยวี่ยถามหร่วนปู้ฉีว่าหนาวหรือไม่ กลัวหรือไม่ ทว่าหร่วนปู้ฉีคล้ายไม่ได้ยิน ดึงแขนจิ้นเยวี่ยแน่น เขียนตัวอักษรอย่างรวดเร็วบนฝ่ามือเขาตัวแล้วตัวเล่า

ตัวอักษรที่นางรู้มีเยอะมาก ความประหลาดใจวาบผ่านในใจจิ้นเยวี่ย ทว่าใบหน้าเขาหนาวจนแข็งไปเสียแล้ว อยากยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ได้แต่ปกป้องเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน

หร่วนปู้ฉีไม่กลัวม้า ทั้งยังรู้ตัวอักษร…นางหาใช่เด็กสาวครอบครัวธรรมดา

จิ้นเยวี่ยลอบตัดสินใจในใจ รอกลับถึงต้าอวี่เขาจะต้องช่วยนางตามหาครอบครัวให้พบ

ระหว่างกำลังตกใจ หร่วนปู้ฉีก็เขียนคำพูดที่อยากบอกทั้งหมดเสร็จ และจับฝ่ามือเขาไว้

“…ข้ารู้” จิ้นเยวี่ยกระซิบ “ข้ารู้ว่าที่เขาต้องการให้ข้าวาดแผนที่เหลียงจิงเป็นเพราะมีจุดประสงค์”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ในใจเขาก็ท่วมท้นด้วยรสขมฝาดอันเหน็บหนาว

หมวกที่หร่วนปู้ฉีสวมปักลายกวางเขายาวเอาไว้ นี่คือหมวกของเฮ่อหลันเฟิง ชาวเกาซินบูชากวางเป็นเทพเจ้า จึงจะปักเทพกวางไว้บนเสื้อผ้า รองเท้า และหมวกของเด็กๆ เป็นวิธีอธิษฐานขอให้คุ้มครองเด็กๆ ให้อยู่รอดปลอดภัยในแดนเหนืออันเหน็บหนาวและกันดาร

วิธีการปักเย็บลายกวางตัวนี้เป็นการเย็บแบบสลับไปมาที่สตรีชาวต้าอวี่ล้วนเย็บเป็น ทว่าฝีเข็มกลับไม่ละเอียดเหมาะเจาะ คล้ายเป็นผลงานของคนหัดเรียนเย็บปักเป็นครั้งแรก

จิ้นเยวี่ยตระหนักได้ นี่น่าจะเป็นหมวกหนังแกะที่มารดาตาบอดของเฮ่อหลันเฟิงทำให้เขา

ในใจพลันเอ่อท้นด้วยความเสียใจ ทว่าเขาจำต้องกัดฟัน

ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในเป่ยหรงไม่ยาวนาน นอกจากเฮ่อหลันเฟิงกับจั๋วจั๋วแล้ว เขาก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองรู้จักผู้ใดที่นี่

การ ‘รู้จัก’ คือความเข้าใจอย่างหนึ่ง จิ้นเยวี่ยไม่มีทางปล่อยให้ตนเองถลำลึกอยู่ในภาพลวงตาของความเข้าใจ…ทว่ากับเฮ่อหลันเฟิงและจั๋วจั๋วนั้นไม่เหมือนกัน

จั๋วจั๋วยังเล็ก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสุขความโกรธ แม้กระทั่งกับหุนต๋าเอ๋อร์ก็สามารถเล่นสนุกด้วยกันได้ แต่เฮ่อหลันเฟิงกลับเป็นเด็กที่ ‘แปลก’ อย่างยิ่ง ดังที่ไป๋หนีกล่าวไว้

จิ้นเยวี่ยไม่ได้รังเกียจการอยู่ร่วมกับเฮ่อหลันเฟิง ทว่าเขาไม่ชินกับสายตาที่เฮ่อหลันเฟิงมองตนเอง นัยน์ตาหมาป่าซึ่งซุกซ่อนสีเขียวเข้มเอาไว้คู่นั้นราวกับลอบจับจ้องมองเหยื่อ อยากแยกแยะข้อมูลอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากตัวจิ้นเยวี่ยให้กระจ่าง ชาวเป่ยหรงชอบมองชาวต้าอวี่เช่นนี้เสมอ แปลกใหม่ ฉงนสงสัย และหวาดกลัวหลายส่วน ทว่าพอสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏในดวงตาเฮ่อหลันเฟิง กลับล้วนแฝงด้วยความหมายอื่น

จิ้นเยวี่ยไม่ค่อยกล้าสบตาเฮ่อหลันเฟิง ด้วยกลัวว่าความคิดในใจตนจะถูกดวงตาคู่นั้นมองทะลุจนเห็นกระจ่างแจ้ง

 

มือถูกหร่วนปู้ฉีจับไว้แน่นอีกครั้ง จิ้นเยวี่ยค้นพบว่าเด็กสาวหาได้ดูอ่อนแอเหมือนภายนอก แรงมือของนางไม่น้อย บีบจนฝ่ามือเขาเริ่มเจ็บ

“ไม่ต้องกังวล” จิ้นเยวี่ยกดเสียงพูดให้เบาลง “ข้ามอบแผนที่ปลอมให้เขา”

คำพูดเพิ่งจะสิ้นสุด สายลมแรงก็พัดกระโชกปะทะใบหน้า พัดจนทั้งคนและม้าต่างโงนเงนหวิดจะล้ม จิ้นเยวี่ยรีบกอดหร่วนปู้ฉีไว้แน่น เขาดึงสายบังเหียนจนตึง กีบเท้าหน้าของม้าถีบอยู่กลางอากาศ เปล่งเสียงร้องยาว

เห็นเพียงข้างหน้ามีคลื่นหิมะพัดโหม บดบังผืนฟ้าและดวงตะวันจนมองสิ่งใดไม่เห็นโดยสมบูรณ์ จิ้นเยวี่ยร้องในใจว่าไม่ดีแล้ว พายุหิมะมาเร็วเกินไป เขารีบคลายสายบังเหียน ทอดสายตามองซ้ายขวาหาที่กำบัง

หร่วนปู้ฉีกลับหันหน้ามองไปทางภูเขาหิมะด้านข้าง นี่เป็นเนินหิมะราบเรียบ ทว่าพายุกลับพัดหิมะซึ่งสะสมบนยอดเขาลงมาอย่างต่อเนื่อง ยามกลิ้งตกลงมาก็พาเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นตามมาเป็นสาย

จิ้นเยวี่ยมองตามสายตานางไป แต่ไม่ว่าอะไรก็ล้วนมองไม่เห็น

“ตรงนั้นมีอะไร…”

คำพูดยังไม่ทันกล่าวจบ ใต้ร่างทั้งสองก็พลันว่างเปล่า…เบื้องหน้าคือหุบเขา ม้าร่วงหล่นลงไปโดยตรง!

จิ้นเยวี่ยปกป้องหร่วนปู้ฉีไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองกลิ้งตกลงไปในหุบเขา ร่วงเข้าไปในกองหิมะหนา ไม่รู้เพราะเหตุใดตอนร่วงลงพื้นหร่วนปู้ฉีถึงอยู่ข้างล่างจิ้นเยวี่ย รองรับแรงกระแทกทั้งหมด เด็กหนุ่มวิงเวียนตาลาย ฝืนตะกายลุกขึ้น ใช้ทั้งมือเท้าขุดเด็กสาวออกมาจากหิมะ

หร่วนปู้ฉีข้อต่อแขนหลุด สองตาแดงก่ำ ทว่ากลับหันหน้ามองไปทางม้าตัวนั้นซึ่งหล่นลงมาเช่นกัน แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ม้าดิ้นรนลุกขึ้นยืน คล้ายตระหนักได้ในที่สุดว่าคนที่แบกไว้บนหลังไม่ใช่เจ้านายจึงรีบควบเท้าทั้งสี่วิ่งฝุ่นตลบเลียบหุบเขาไป

จิ้นเยวี่ยร้องเรียก “ไม่ๆ! กลับมา! อย่าวิ่ง!!!”

เขาร้องตะโกนหลายประโยค วิงเวียนจนลุกไม่ขึ้น เพิ่งจะตะเกียกตะกายลุกยืนขึ้นได้ก็ล้มหงายไปบนหิมะทันที

พายุหิมะขาวโพลนสุดสายตา ผืนฟ้าแผ่นดินอลหม่านสับสน ไร้ซึ่งม้าพวกเขาก็ไม่อาจไปจากเป่ยหรงได้ และยิ่งยากจะกลับไปยังเยี่ยไถ

มือเท้าค่อยๆ เย็นเฉียบ จิ้นเยวี่ยรู้ตัวว่าตนเองน่าจะตกลงมาบาดเจ็บตรงที่ใดสักแห่ง ทว่าเนื่องจากประสาทรับรู้ความเจ็บปวดด้านชาจึงแยกไม่ออกโดยสิ้นเชิง

“ข้าขออภัย…” เขากล่าวขออภัยเด็กสาวเสียงเบา “ข้าไม่ควรพาเจ้าออกมาเลย…”

หร่วนปู้ฉีค้อมตัวกอดเขา ตบไหล่ครู่หนึ่งคล้ายปลอบโยน

ช่วงสุดท้ายก่อนจิ้นเยวี่ยสลบไป ในที่สุดก็มองเห็นว่าเนินหิมะที่หร่วนปู้ฉีจ้องมองเมื่อครู่แปลกไปจากธรรมดาจริงๆ กวางยักษ์ซึ่งมีเขาเหมือนกิ่งก้านงอกอยู่บนศีรษะกำลังยืนอยู่บนยอดเนินเขา ก้มลงมองมาจากที่ห่างไกล

บนร่างมันมีเซียนชุดแดงนั่งอยู่ ราวกับเปลวไฟอันโชติช่วงท่ามกลางพายุหิมะซึ่งปกคลุมทั่วผืนฟ้า

 

* ฮว่า หรือต้นฮวา หมายถึงต้นเบิร์ช เป็นไม้เนื้อแข็งผลัดใบ อยู่ในวงศ์กำลังเสือโคร่ง

** ซีเหลิ่งจู้ เป็นชื่อเรียกกระโจมทรงกรวยของชนกลุ่มน้อย เป็นที่อยู่ของชนเผ่าเอ้อเวินเค่อ ใช้ไม้สร้างเป็นโครงทรงสามเหลี่ยม มุงด้วยเปลือกไม้เบิร์ช

* อูฐอนิล เป็นอูฐในตำนานซึ่งสามารถเดินทางได้พันหลี่

* ไม่หนาวไม่ร้อน เปรียบเปรยถึงท่าทีธรรมดา ไม่กระตือรือร้นและไม่เย็นชา

** แมวสามขา เป็นอุปมา หมายถึงคนที่รู้เพียงผิวเผิน

* ตัวอักษรข่ายซู เป็นตัวอักษรมาตรฐานของจีน ถือกำเนิดในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น ตัวอักษรมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นระเบียบชัดเจน และอ่านง่าย

* บนขื่อนางแอ่นร้องพึมพำ พูดพร่ำเรื่องอันใดปลุกข้า มาจากบทกวี 《题屏》 ของหลิวจี้ซุนในสมัยราชวงศ์ซ่ง ในวรรคมีคำว่าเหลียง (梁) ซึ่งเป็นตัวอักษรจีนตัวเดียวกันกับในคำว่าเหลียงจิง (梁京)

** ต้นไห่ถัง คือพืชตระกูลเดียวกับแอปเปิ้ล ดอกมีสีขาว แดง และชมพูตามแต่ละสายพันธุ์

*** ชิงช้าน้ำ คือการแสดงที่ติดตั้งชิงช้าไว้บนเรือ ผู้แสดงจะโล้ชิงช้าจนขึ้นสูงเสมอคานชิงช้า จากนั้นก็จะกระโดดลงน้ำ

* ยามสาม คือช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 น. ถึง 01.00 น.

** ยามห้า คือช่วงเวลาตั้งแต่ 03.00 น. ถึง 05.00 น.

*** หูปิ่ง คือขนมปังอบทรงกลมแบน

* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูงชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนพู่กันจีน เนื้อกระดาษนิ่มเหนียว ไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ แมลงไม่กัดแทะ มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองเซวียน มณฑลอันฮุย

* หน่วยลาดตระเวนสั่งการ หมายถึงหน่วยงานดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 7 .. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

community.jamsai.com