ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 47
เหตุใดถึงได้ยิ้มให้เขาอย่างงดงามเพียงนี้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
ครั้นออกมาจากร้านขายตำราสกุลจางแล้วเซวียหย่วนยังงุนงงจนแทบแยกทิศทางไม่ออก ทว่าทันทีที่เขาเห็นฉู่เว่ยซึ่งเป็นดังต้นหยกเล่นลม* หน้าร้านขายตำราสกุลจางก็ได้สติขึ้นมาฉับพลัน
มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งติดตามฉู่เว่ยอย่างใกล้ชิด น่าจะมาหาซื้อตำรา เมื่อเขาเห็นคนกลุ่มนี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ขณะที่กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากร้านขายตำราฉู่เว่ยก็รีบเดินเข้าไปหา กำลังจะโค้งคำนับแต่สองแขนนั้นกลับถูกกู้หยวนไป๋ประคองไว้ได้ทันท่วงที
“ไม่ต้องทำเช่นนี้” กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “วันนี้ใส่ชุดธรรมดา พิธีการเหล่านี้ก็ให้งดเว้นเถิด”
ฉู่เว่ยจึงยืดตัวตรง เอ่ยว่า “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
กู้หยวนไป๋ยิ้มน้อยๆ เดินไปบนถนนกับเขา “วันนี้ฉู่ชิงมาซื้อตำราหรือ”
“กระหม่อมต้องการซื้อ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ สักฉบับพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เว่ยยิ้มอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงว่าจะขายดีเช่นนี้ ได้ยินว่าทุกวันที่เปิดร้านไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ขายจนหมดเสียแล้ว”
นับตั้งแต่ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ได้ถือกำเนิดขึ้น ทุกจวนว่าการรวมถึงจวนขุนนางต่างๆ ล้วนมีคนส่งสาส์นข่าวไปให้ถึงหน้าประตู แม้ฉบับเดียวจะดูน้อยแต่ก็เพียงพอแล้วที่เหล่าสหายผู้ร่วมงานจะหมุนเวียนกันอ่านภายในหนึ่งวัน ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เข้างานฉู่เว่ยจึงไม่เคยรู้เลยว่าการซื้อ ‘ข่าวสารต้าเหิง’ หนึ่งฉบับนั้นจะยากเย็นเพียงนี้
วันนี้เป็นวันหยุด เนื่องจากสองพ่อลูกสกุลฉู่คุ้นชินกับการอ่าน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ในทุกวัน เมื่อบัดนี้ไม่ได้อ่านก็รู้สึกราวกับว่าขาดบางอย่างไปทำให้กระสับกระส่ายยิ่งนัก แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ‘ข่าวสารต้าเหิง’ จะหาซื้อยากเพียงนี้ ร้านขายตำราทั่วทั้งนครหลวงก็มีแค่ร้านขายตำราของสกุลจางที่มีเพียงร้อยฉบับเท่านั้น
กู้หยวนไป๋เลิกคิ้วเรียก “เถียนฝูเซิง”
เถียนฝูเซิงก้าวไปข้างหน้ายื่น ‘ข่าวสารต้าเหิง’ ฉบับหนึ่งให้แก่ฉู่เว่ย ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉู่ รับไว้เถิด”
ฉู่เว่ยแสดงสีหน้าตกตะลึง จากนั้นมุมปากก็โค้งขึ้น ยิ้มสดชื่นราวกับต้นหลิวต้องสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขากล่าวคำขอบคุณกับฮ่องเต้และเถียนฝูเซิง ยื่นสาส์นข่าวให้กับบ่าวรับใช้ของตนที่ยืนตัวแข็งทื่อ แล้วเดินทอดน่องไปเป็นเพื่อนฝ่าบาท
เซวียหย่วนที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวกับหัวหน้าทหารองครักษ์จางที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความสนิทสนมว่า “ใต้เท้าจาง ท่านเห็นว่าใต้เท้าฉู่เป็นอย่างไร”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางกล่าวจริงจัง “ใต้เท้าฉู่มากความสามารถ มารยาทงาม เป็นเสาหลักของบ้านเมือง”
รอยยิ้มของเซวียหย่วนล้ำลึกขึ้น พยักหน้าเห็นด้วย “ใต้เท้าฉู่มีความสามารถเช่นนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้เอ็นดูเขานัก”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ฝ่าบาทก็โปรดผู้มีความสามารถ”
“ก็ต้องดูว่าความสามารถนั้นคู่ควรแก่ความโปรดปรานของฝ่าบาทหรือไม่” เซวียหย่วนหรี่ตา พเยิดหน้าให้เขาดู “ท่านดูสิ”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางมองตามไปก็เห็นแววตาที่ใต้เท้าฉู่มองฮ่องเต้ แววตานั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเย็นเยียบนั้นราวกับผุดระลอกคลื่น แน่นอนว่าท่วงท่าของบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในนครหลวงนั้นไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้ ดวงตาดำขลับที่เจือไปด้วยรอยยิ้มของเขาเวลามองฮ่องเต้นั้นราวกับกำลังมองคนรักก็มิปาน
หัวหน้าทหารองครักษ์จางรู้สึกฉงนสนเท่ห์
เสียงของเซวียหย่วนดังขึ้นเรียบๆ “ข้าบังเอิญได้ยินมาว่าใต้เท้าฉู่เหมือนจะชอบบุรุษเพศ”
สีหน้าของหัวหน้าทหารองครักษ์จางแปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ก่อนแรงผลักมหาศาลจะถูกส่งมาจากด้านหลัง เซวียหย่วนผลักหัวหน้าทหารองครักษ์จางไปยังเบื้องหน้าของกู้หยวนไป๋ทันที กู้หยวนไป๋หยุดการสนทนากับฉู่เว่ย แล้วหันมาถาม “มีอะไรรึ”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางอ้ำอึ้งอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “อีกสิบกว่าวันในนครหลวงจะมีเทศกาลโคมไฟ ช่วงนี้มีหลายครอบครัวเริ่มทำโคมไฟกันแล้ว ฝ่าบาทต้องการไปทอดพระเนตรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ ตรงข้ามกลับรู้สึกสนใจในคำชักชวนนี้
หลังจากที่ทะลุมิติมาก่อนที่เขาจะมีอำนาจกู้หยวนไป๋ไม่เคยออกจากวัง พอมีอำนาจแล้วเนื่องจากงานยุ่งจึงไม่เคยสัมผัสกับฉากเทศกาลโบราณที่มีชีวิตชีวาเลย ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกตั้งหน้าตั้งตาคอยอยู่บ้าง “เป็นวันเสี่ยวหม่าน ใช่หรือไม่”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เว่ยกล่าวเสริมอย่างเป็นธรรมชาติ “หลายวันมานี้มารดาของกระหม่อมเพิ่งเตรียมวัสดุทำโคมไฟไว้ หากฝ่าบาทสนพระทัย สามารถกลับไปที่จวนพร้อมกระหม่อมเพื่อลองทำด้วยพระองค์เองได้พ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางมองฉู่เว่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ความระแวดระวังปรากฏขึ้นในแววตา
กู้หยวนไป๋เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้นจะตามฉู่ชิงไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
ความตึงเครียดที่ฉู่เว่ยกล่าวถึงหายไปโดยไม่รู้ตัว เขายิ้มแล้วรับคำ จากนั้นก็นำทางฮ่องเต้อยู่ข้างๆ
เซวียหย่วนก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเย็นชา จู่ๆ ก็เอ่ยแทรกว่า “ฝ่าบาท หลายวันก่อนใต้เท้าฉู่บาดเจ็บไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าบัดนี้หายดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ฉู่เว่ยหลุบตาลง หมอกในดวงตานั้นหายวับไป ขณะกำลังจะเอ่ยบางอย่างนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้จะเผยยิ้มแล้วมองเขากับเซวียหย่วนอย่างมีนัยแอบแฝง เอ่ยเย้าว่า “เจิ้นไม่รู้เลยสักนิดว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าทั้งสองจะสนิทสนมกันเพียงนี้”
คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้สีหน้าของทั้งสองคนดูน่าเกลียด
ไม่รู้ว่ากู้หยวนไป๋กำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มแต่ไม่พูดจาแล้วหันหน้าไป
ครั้นเห็นสีหน้าของฮ่องเต้เช่นนี้หัวใจของเซวียหย่วนก็เต้นเร็วขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้สนิทกับใต้เท้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจิ้นรู้แล้ว ไม่ต้องพูดมากหรอก”
ท่านรู้อะไร
เซวียหย่วนรู้สึกปวดศีรษะ
ท่ามกลางบรรยากาศที่ยากจะเข้าใจคนทั้งกลุ่มก็เดินมาถึงนอกจวนสกุลฉู่แล้ว ในที่สุดบ่าวรับใช้ของฉู่เว่ยก็ฟื้นคืนสติกลับมาเล็กน้อย เนื้อตัวสั่นเทา วิ่งไปข้างหน้าเพื่อเคาะประตู หลังจากผู้ดูแลจวนเปิดประตูเขาก็กระซิบด้วยความร้อนรน “ฝ่าบาทเสด็จ รีบไปบอกนายท่านกับฮูหยินเร็วเข้า!”
ผู้ดูแลจวนตะลึงงัน “หา?”
บ่าวรับใช้ผลักเขาด้วยความกระวนกระวายใจ “ไปเร็วเข้าสิ!”
ประตูจวนเปิดกว้าง กู้หยวนไป๋เพิ่งจะก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในจวนก็เห็นใต้เท้าฉู่สวินในชุดลำลองรีบเดินเข้ามาพร้อมสวมหมวกอย่างไม่ใคร่เป็นระเบียบนัก หลังเห็นว่ากู้หยวนไป๋มาถึงแล้วจริงๆ ดวงตาก็เบิกกว้าง จากนั้นก็ค้อมคำนับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องมากพิธี” กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “เจิ้นได้ยินว่าหลายวันนี้ฮูหยินฉู่กำลังเตรียมทำโคมไฟ เจิ้นรู้สึกอยากรู้อยากเห็นจึงมาโดยมิได้รับเชิญ”
ใต้เท้าฉู่กล่าวเป็นพัลวันว่ามิกล้า จากนั้นก็ส่งคนไปเชิญฮูหยินฉู่มาเพื่อจัดเตรียมข้าวของ
หลังจากนั้นฮูหยินฉู่อยู่ภายในห้องพลางอธิบายให้กู้หยวนไป๋ฟังทีละขั้นตอนด้วยน้ำเสียงจริงจัง กู้หยวนไป๋นั่งอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาลงมือตามคำบอกของฮูหยินฉู่อย่างช้าๆ ผ่านไปเช่นนี้ครู่หนึ่งฮูหยินฉู่ก็รู้สึกสงบลงไม่น้อย
วัสดุทำโคมไฟเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบจากคนรอบข้างแล้ว ยามที่กู้หยวนไป๋ใช้มันจึงไม่ได้ระวังมากนัก ครั้นเขาหยิบไม้ไผ่เรียวยาวก้านหนึ่งมาลูบผ่านฝ่ามือก็อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบมิได้ เขาขมวดคิ้วมอง ที่แท้บนไม้ไผ่นี้มีเสี้ยนเล็กๆ และเสี้ยนนี้ก็ได้ตำเข้าไปในฝ่ามือของเขาแล้ว
มือของบรรดาทหารองครักษ์เต็มไปด้วยไตแข็งๆ และแม้ว่ามือของข้ารับใช้ในวังจะอ่อนนุ่มทว่าก็ทำงานจนเคยชิน พวกเขาตรวจสอบด้วยความจริงจังยิ่ง ทว่าเสี้ยนนี้อาจจะเล็กมากจนมองไม่เห็น หรือบางทีอาจเป็นเสี้ยนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ภายใต้การตรวจสอบของมือคู่นี้ก็เป็นได้
ทันทีที่เซวียหย่วนสังเกตเห็นความผิดปกติของกู้หยวนไป๋เขาก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป ชายเสื้อคลุมข้างเท้าพลิ้วไหว ก้มหน้ากุมมือของกู้หยวนไป๋ หลังจากโน้มตัวเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยเสียงต่ำ “เอาเข็มมา”
มีคนนำเข็มเข้ามา แต่ไม่มีใครกล้าเอาเข็มไปสะกิดเสี้ยนเล็กๆ นั้นออก จึงได้แต่มองเซวียหย่วนและคอยเอาใจช่วย
เซวียหย่วนคิดในใจ เหล่าจื่อสังหารมาตั้งเท่าไร ยังจะกลัวการเอาเข็มไปสะกิดออกมาเช่นนั้นหรือ
ทว่ามือของเขากลับหยุดชะงักไม่อาจลงมือได้ ท้ายที่สุดเซวียหย่วนก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กลัวเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นกู้หยวนไป๋กำลังจะบอกว่าไม่เจ็บฝ่ามือก็ถูกแทงครั้งหนึ่ง เสี้ยนเล็กๆ ชิ้นนี้ถูกเซวียหย่วนสะกิดออกมาแล้ว
เซวียหย่วนมองดูเสี้ยนแหลมแล้วหัวเราะเย็นชา บดขยี้มันบนนิ้วของตน จากนั้นก็ยิ้มให้กู้หยวนไป๋ กล่าวด้วยความโหดเหี้ยมว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมแก้แค้นให้ฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผิวหยาบเนื้อหนา ทั้งยังมีความเป็นเด็ก กู้หยวนไป๋รู้สึกขบขันนัก “เสี้ยนเล็กๆ นี้ หนีไม่พ้นเงื้อมมือขององครักษ์เซวียจริงๆ”
ในใจของเซวียหย่วนสั่นไหว ยกมือที่ยังคงกุมมือของฮ่องเต้ขึ้น ก่อนก้มหน้าลงเป่าที่ฝ่ามือนั้นแล้วเอ่ย “พระหัตถ์ของฝ่าบาทก็มีประโยชน์มากมายพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ถาม “หมายความว่าอย่างไร”
“มี…” มีไว้สัมผัส มีไว้ชม อะไรก็ดีไปหมด
เซวียหย่วนนึกถึงขาที่เตะแท่งผลิตลูกหลานของเขาก่อนหน้านี้สีหน้าก็พลันบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ฮ่องเต้เตะเขาอีกครา เขาก็คงจะพอทนไหว
ฉะนั้นเขาจึงกล่าวด้วยความซื่อสัตย์ว่า “มีความอ่อนนุ่ม น่าสัมผัสดุจหยกพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท!” จู่ๆ ฉู่เว่ยก็โพล่งออกมา ความดังของเสียงที่เพิ่มสูงขึ้นนี้กลบสิ่งที่เซวียหย่วนกล่าวจนหมด คิ้วและตาของเขาเปื้อนยิ้ม เอ่ยด้วยความอ่อนโยนว่า “ให้กระหม่อมตรวจสอบไม้ไผ่ที่เหลืออีกรอบดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่กล่าวฉู่เว่ยก็ยื่นมือออกไปแล้ว อันที่จริงมือของบัณฑิตคู่นี้มิได้บอบบางนัก แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เว่ยก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีแรงมัดไก่ กู้หยวนไป๋เหลือบมองมือที่งดงามดุจหยกนี้แล้วส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก เจิ้นทำมาได้ครึ่งทางแล้ว ระวังให้มากหน่อยเป็นใช้ได้”
นี่เป็นการทำโคมครั้งแรกในชีวิตที่สองของเขา ครั้งนี้กู้หยวนไป๋มีความตื่นเต้นเช่นคนหนุ่มสาวเขาจึงระงับความเจ็บปวดเอาไว้ พยายามทำตามคำสอนของฮูหยินฉู่อย่างสงบและใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อพับโครงร่างให้ดี จากนั้นก็ติดกระดาษโคมลงไป
ฮ่องเต้ดูน่าเกรงขามและน่ากลัวยิ่งเมื่ออยู่ในราชสำนัก ท่าทางของเขาในเวลานี้แม้จริงจังไร้ที่เปรียบ แต่ก็ดูเหมือนคนที่เข้าถึงได้ง่าย นิ้วมือที่คล้ายร่ายรำอยู่บนโคมไฟนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชดช้อยราวกับภาพวาด
ฉู่เว่ยมองจนใจลอยไปชั่วขณะ ครั้นโคมไฟถูกทำเสร็จเรียบร้อยเขาก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ต้องการให้กระหม่อมวาดดอกเหมยสีแดงบนโคมไฟหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ดี” กู้หยวนไป๋ปีติยินดี
พวกเขาทั้งสองมีความกลมเกลียว มองตายิ้มให้กันเป็นบางครั้ง เซวียหย่วนมองไปมองมาสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา พ่นคำว่า “ฮ่า” ขึ้นไปบนท้องฟ้าเงียบๆ
มือที่ถือดาบเล่มใหญ่อยู่นั้นสั่นเทาเพราะความโกรธ
หลังจากแยกย้ายเซวียหย่วนก็กลับมายังจวนสกุลเซวียด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยไอโหดเหี้ยมอันมืดมิด จนทุกคนในจวนล้วนไม่กล้าเข้าใกล้
เพราะแรงกระตุ้นจากฮูหยินเซวียทำให้แม่ทัพเซวียต้องเดินเข้ามา สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า “เจ้าทำสีหน้าถมึงทึงในจวนให้ใครดูกัน”
เซวียหย่วนตัดชั้นวางของไม้เป็นสองท่อนด้วยการวาดดาบเพียงครั้งเดียว เขาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและยังคงเล่นกับดาบด้วยสีหน้าเฉยเมย
สุดท้ายเขาก็โยนดาบทิ้งไป ถีบชั้นวางอาวุธด้านข้างอย่างดุดัน อาวุธเหล่านั้นเทกระจาดลงพื้นอย่างแรงส่งเสียงดังโครมคราม
บ่าวรับใช้ที่ได้ยินเสียงนี้ยื่นศีรษะออกมาดูก็เห็นใบหน้าดำคล้ำของเซวียหย่วน แล้วจู่ๆ เขาก็ก้มหัวและวิ่งแจ้นไปอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพเซวียคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เซวียหย่วน!”
“คราวก่อนท่านบอกข้าว่าหัวใจที่ข้ามีให้ฝ่าบาทนั้นคือความจงรักภักดี” เซวียหย่วนโพล่งออกมาโดยที่ไม่ได้มองบิดา ราวกับกำลังใจลอย ทั้งยังมีสีหน้าน่าเกลียด “ท่านแน่ใจแล้วหรือว่านั่นคือหัวใจแห่งความจงรักภักดี”
แม่ทัพเซวียตอบกลับ “ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้”
แผ่นหลังของเซวียหย่วนเกร็งตึง ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นทุกที คำตอบติดอยู่ที่ปากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก สุดท้ายจึงคลายคอเสื้อแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ฝ่าบาทต้องการกำราบพวกเผ่าเร่ร่อน”
แม่ทัพเซวียตกตะลึง
เซวียหย่วนหันกายกลับมาหาเขา เสื้อผ้ายุ่งเหยิง ทั้งดวงตายังเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานแล้ว “ข้าจะร่วมศึกด้วย”
ภายในวังหลวง
กู้หยวนไป๋กำลังอ่านรายงานลับที่หน่วยควบคุมดูแลส่งเข้ามา
นี่เป็นจดหมายที่ส่งมาจากเจ้าหน้าที่ในหน่วยควบคุมดูแลที่มีนามว่าซุนซาน ด้านบนมีรายงานสถานการณ์ของลี่โจว การทุจริตของเจ้าเมืองลี่โจวผู้นี้มีการทุจริตซ้อนทับไปอีกขั้นทว่ามีจำนวนไม่มาก ทั้งยังมีกลยุทธ์ซ่อนเอาไว้ เดิมทีกู้หยวนไป๋นึกว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทในหมู่พรรคพวกเท่านั้น แต่หลังจากหน่วยควบคุมดูแลตรวจสอบอยู่หลายวันกลับพบเบาะแสบางอย่างที่เขาซุกซ่อนอยู่
คลำเถาหาแตง สิ่งที่สืบเจอในตอนท้ายนั้นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด
ว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือเจ้าเมืองลี่โจวมีวงสหาย
ผู้ที่สามารถเข้าร่วมวงสหายนี้ล้วนเป็นผู้นำที่มีอำนาจในกลุ่มโจร
เดิมทีเงินที่เจ้าเมืองลี่โจวฉ้อโกงไปนั้นมีไม่มาก สิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดคือการใช้ประโยชน์จากความสะดวกของตำแหน่งหน้าที่ เพื่อสอบถามเส้นทางการส่งเงินและเสบียงของราชสำนักตามสถานที่ต่างๆ หรือไม่ก็เส้นทางที่ท้องถิ่นขนส่งเงินและเสบียงแต่ละคันรถให้แก่ราชสำนัก จากนั้นก็รายงานข้อมูลเฉพาะขบวนรถที่จะผ่านบริเวณรอบลี่โจว เวลาเดินทาง เส้นทางการเดินทาง และจำนวนคนให้วงสหายนี้ จากนั้นกลุ่มโจรเหล่านี้ก็จะจับตาดูความเคลื่อนไหวของขบวนรถขนส่ง เลือกพันธมิตรโจรสองสามกลุ่มและสกัดกั้นขบวนเหล่านี้พร้อมกัน
สิ่งที่ปล้นมาได้นอกจากการแบ่งสันปันส่วนในบรรดาหัวหน้าโจรแล้ว ยังมีเพียงเจ้าเมืองลี่โจวคนเดียวที่ได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสามไป
หนึ่งในสามส่วนเชียวนะ เขาจะได้สามสิบตำลึงจากหนึ่งร้อยตำลึงและเขาจะได้ถึงสามแสนตำลึงจากหนึ่งล้านตำลึง!
ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าเมืองลี่โจวยังเคยบอกเส้นทางขบวนรถส่งเงินภาษีของลี่โจวให้วงสหายอีกด้วย ชักนำให้โจรเหล่านี้ไปปล้นเงินและเสบียงที่ทางลี่โจวรวบรวมมาได้ หากอาหารมีเยอะเกินไปก็จะนำไปขายต่อให้กับท้องถิ่นและสถานที่อื่นๆ นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการยักยอกเงินของทางการเสียอีก!
เจ้าเมืองลี่โจวรู้ดีว่าควรจัดวางสหายกลุ่มนี้ไว้มิให้คนนอกเจอเบาะแสหรือค้นหาได้ และกำหนดให้วงสหายเหล่านี้ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ รู้จักที่จะบันทึกและรักษาพวกเขาไว้เพียงภายในกลุ่ม ห้ามมิให้แพร่งพราย จะต้องรักษาวงสหายกลุ่มนี้อย่างสมบูรณ์ดังเช่นถังเหล็กใบหนึ่ง
เหตุผลที่คนในหน่วยควบคุมดูแลสามารถรู้การมีอยู่ของ ‘วงสหาย’ นี้ได้เป็นเพราะว่าหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มโจรฉุดหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเป็นภรรยา หญิงสาวผู้นั้นเคียดแค้นแสนสาหัสและมองหาโอกาสที่จะคลี่คลายคดีนี้กับทางการอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าคืนหนึ่งในขณะที่แบ่งของที่ปล้นมาได้นั้นนางเห็นว่าเงินที่ส่งกลับมาในค่ายไม่ถูกต้อง จึงเกิดแผนการขึ้นในใจและรู้เรื่องเจ้าเมืองจากปากของหัวหน้าโจร
ท้องฟ้าของหญิงสาวผู้นั้นพังทลาย ไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ครั้นถูกสมุนโจรส่งตัวไปที่ตีนเขาเพื่อรับการรักษาก็ได้พบกับคนจากหน่วยควบคุมดูแล
คนในหน่วยควบคุมดูแลได้วางหญิงสาวผู้นั้นไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทว่าเมื่อนางพบว่าครอบครัวของตัวเองถูกโจรชั่วสังหารยกครัวก็ไร้ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกครั้ง จึงเกรงว่านางจะปลิดชีพตัวเองหลังจากที่พวกเขาจากไป
ในเวลานี้กู้หยวนไป๋ที่อ่านจดหมายลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลากลับขมวดคิ้ว ถอนหายใจยืดยาว
สตรีไม่ว่าอยู่ในโลกใดก็มักจะลำบากกว่าบุรุษเสมอ
ขุนนางทุจริต หากคิดที่จะทุจริตย่อมหาหนทางได้เสมอ กู้หยวนไป๋ไม่มีความปรารถนาที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าเมืองลี่โจว แต่เขากลับรู้สึกสงสารหญิงสาวคนนี้
แม้จะถูกจับขึ้นไปบนภูเขาแต่ก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ไม่ละทิ้งความหวังที่จะกลับออกไป ทั้งยังคิดหาวิธีติดต่อกับทางการ ลำพังเพียงความกล้าหาญเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นหญิงที่ไม่ด้อยกว่าชายใดเลย แน่นอนว่านางมิได้มีเพียงความกล้าหาญเท่านั้น การที่นางสังเกตเห็นว่าสิ่งของที่แบ่งสันปันส่วนไม่ถูกต้อง และสามารถรู้เรื่องการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าเมืองจากปากของหัวหน้าโจรได้นั้นนับว่าฉลาดยิ่ง
สตรีเช่นนี้หากถูกคนชั่วบีบให้ตายก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว
กู้หยวนไป๋ตอบจดหมายลับกลับไปว่าหากเป็นไปได้ ก็ให้พานางกลับมายังหน่วยควบคุมดูแล
หลังจากเขียนจดหมายตอบ ก็มีคนส่งจดหมายออกไป
กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในตำหนักชั้นใน เหล่าข้ารับใช้ถอดเสื้อผ้าให้เขาและเตรียมน้ำให้อาบ กู้หยวนไป๋มองขึ้นไปยังลวดลายแกะสลักอันวิจิตรงดงามบนเสากลางตำหนักพลางนึกในใจเงียบๆ หากจับกุมเพียงเจ้าเมืองลี่โจวคนเดียวก็เหมือนจะดูถูกเขาเกินไป จะต้องใช้ประโยชน์จากวงสหายของอีกฝ่ายนี้เพื่อรวบตัวขุนนางทุจริตกับโจรในคราเดียวถึงจะถูกต้อง
เขาทอดถอนใจยืดยาว โบกมือให้ทุกคนถอยออกไปแล้วยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
โคมไฟที่เขาประดิษฐ์ในตอนกลางวันวางอยู่บนโต๊ะ กู้หยวนไป๋เหลือบมองมันด้วยหางตา ก่อนเดินเข้าไปจุดโคมไฟนั้น
แสงไฟสีเหลืองนวลส่องสว่างขึ้น เงาดอกเหมยที่วาดอยู่นอกโคมไฟนั้นเรียบง่ายแต่ราวกับมีชีวิตสะท้อนอยู่บนโต๊ะ ครั้นกู้หยวนไป๋จุดโคมไฟ แสงไฟบนใบหน้าก็พลันมืดพลันสว่างไสว อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาบ้างแล้ว
ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองเอ๋ย
เมื่อใดที่ผู้คนกินอิ่มและมีเสื้อผ้าอุ่นๆ สวมใส่ มีความซื่อสัตย์รู้จักจรรยาบรรณ เมื่อมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอก็จะรู้จักละอาย เมื่อนั้นต่างหากจึงจะเป็นความสงบสุขและความรุ่งเรืองอย่างแท้จริง
เซวียหย่วนนั่งอยู่ข้างเตียงทั้งคืน
เขานั่งอย่างสง่างาม กล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างแน่นตึง ดวงตาหนักอึ้งราวกับมีพายุฝน
เขาเก็บงำความบ้าคลั่งไว้เฉพาะต่อหน้ากู้หยวนไป๋เท่านั้น แล้วเหตุใดต้องเก็บงำด้วย ก็เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับความบ้าคลั่งของตนไม่ได้ กลัวว่าตนจะพลั้งทำร้ายเขา
อย่างไรก็ดี เขาที่อยู่ในอารมณ์เศร้าซึมหดหู่แทบระเบิดเช่นนี้ ก็ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ข้างกายกู้หยวนไป๋
แต่เพียงแค่คิดว่าจะต้องจากกู้หยวนไป๋ไปไกล…
เซวียหย่วนก็กำหมัดแน่น จนเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน
เขาลุกขึ้นพรวด ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังลานหมาป่า หัวใจแห่งความจงรักภักดี…หัวใจแห่งความจงรักภักดี…หัวใจแห่งความจงรักภักดี มารดาเจ้าเป็นเช่นนี้หรือ!
เมื่อคิดว่าฮ่องเต้น้อยยิ้มให้กับชายอีกคนที่คิดไม่ซื่อต่อเขา ก็บันดาลโทสะเช่นนี้น่ะหรือ
รอยยิ้มของฮ่องเต้น้อย มือของฮ่องเต้น้อย
ฮ่องเต้น้อยต้องการลูกหมาป่า
วันต่อมาขณะที่เซวียหย่วนอุ้มลูกหมาป่าสองตัวเข้ามาทำงานกลับได้ยินว่าฮ่องเต้ประชวรเสียแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้น้อยประชวรนับจากวันที่อาเจียนเป็นเลือด มันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงได้ประชวรกะทันหันเช่นนี้
เนื่องจากอยู่เหนือความคาดหมายทุกคนในตำหนักจึงต่างยุ่งขึ้นมาทันใด คนในสำนักหมอหลวงต่างรีบเร่ง เมื่อเซวียหย่วนมาถึงตำหนักบรรทมก็ได้กลิ่นยาอย่างรุนแรง กู้หยวนไป๋ดื่มยาแล้วและกำลังพักผ่อน
เซวียหย่วนส่งลูกหมาป่าในอ้อมอกสองตัวให้กับขันทีที่เชี่ยวชาญในการดูแลสัตว์แล้วเข้าประตูตำหนักไป กู้หยวนไป๋ซุกตัวอยู่บนเตียงพร้อมกับไอเสียงต่ำไม่หยุด
ปวดศีรษะ ไอ และหนาวสั่นไปทั้งตัว
เถียนฝูเซิงยืนอยู่ด้านข้าง เซวียหย่วนต้องเดินเข้าไปใกล้จึงจะได้ยินกู้หยวนไป๋ที่ยังคงกระซิบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “…การต่อต้านการทุจริตในครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เจิ้นคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว เจ้าให้คนในสภาการปกครองกับสภาองคมนตรีดูแลให้ดี เรื่องเจ้าเมืองลี่โจวก็ให้จัดการตามที่เจิ้นเพิ่งบอกไป”
เถียนฝูเซิงตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ” ไม่ขาดปาก ก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาท พักผ่อนให้สบายพระทัยเถิด”
ในยามีสิ่งที่ช่วยให้นอนหลับ กู้หยวนไป๋ไม่รู้ว่าตนกำลังหลับตาหรือลืมตาอยู่อย่างแน่ชัด เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อย ตลอดเวลาสองเดือนที่ไร้ความเจ็บป่วยนี้ทำให้กู้หยวนไป๋เกือบลืมไปแล้วว่าเขามีร่างกายที่อ่อนแอมากเพียงใด
บนเตียงนั้นหนาวเย็นมาก ทั้งๆ ที่ทำทุกวิถีทางแล้วทว่าไอร้อนกลับยังจางหายไปเพราะมือและเท้าอันเย็นเฉียบของกู้หยวนไป๋อยู่เสมอ
เขาเหนื่อยล้าเป็นที่สุด เหนื่อยจนกระทั่งไม่ต้องการพูดว่าบนเตียงนั้นหนาวเย็นมากเพียงใด คิดในใจว่าประเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ร้อนขึ้นมาเอง
บนเตียงมังกรไร้ความเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ไม่ชอบถูกรบกวนขณะนอนหลับ เถียนฝูเซิงพาคนถอยออกไป เซวียหย่วนปักหลักอยู่ข้างเตียงมังกรราวกับเทพเฝ้าประตู เถียนฝูเซิงเรียกเขาเบาๆ อยู่นาน เขาถึงค่อยตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่”
เสียงของเถียนฝูเซิงเบาเหมือนยุง “องครักษ์เซวีย ฝ่าบาทไม่โปรดให้…”
“หัวหน้าเถียน” เซวียหย่วนขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงที่เบา “ตัวข้าร้อนราวกับกระถางไฟ หากสามารถกุมพระหัตถ์ของฝ่าบาทไว้ได้ก็ยังดี”
เถียนฝูเซิงไม่พูดอะไรอีก เขาเหลือบมองฝ่าบาทบนเตียง เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทไม่มีท่าทีตอบสนองก็พาคนอื่นๆ ออกไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กู้หยวนไป๋ทรมานมากจนไม่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาต่างหาก
ประตูตำหนักถูกปิดลง กลิ่นกำยานหนักหน่วง เซวียหย่วนสูดหายใจเข้าลึกมองไปยังคานเหนือศีรษะพลางคิดในใจว่า เหตุใดถึงได้ป่วยง่ายเช่นนี้นะ
เขาข่มมือที่สั่นเทาของตัวเอง ระงับหัวใจที่เร่าร้อน คุกเข่าข้างหนึ่งลงบริเวณข้างเตียง สอดมือเข้าไปในผ้าห่มจนสัมผัสได้ถึงมือเย็นเฉียบ
กู้หยวนไป๋ไอเบาๆ ด้วยเสียงหนึ่ง เพียงพริบตาต่อมาผ้าห่มก็ถูกยกขึ้น ด้านหลังของเขาแนบติดกับร่างกายหนึ่งที่กำลังแผดเผา
เซวียหย่วนถอดเสื้อคลุมกับรองเท้าออก แล้วก้าวขึ้นเตียงมังกรไปกอดกู้หยวนไป๋ไว้จากด้านหลัง กู้หยวนไป๋ยังไม่ทันจะมุ่นหัวคิ้วก็ได้ยินเสียงกระซิบของเซวียหย่วนดังขึ้นข้างหู “เพียงให้ความอบอุ่นแก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเป็นเหมือนเตาไฟขนาดใหญ่ที่แนบสนิทกับร่างเย็นเฉียบของกู้หยวนไป๋ คำที่เอ่ยออกมานั้นทุ้มต่ำ ทั้งลมหายใจก็ยังร้อนผ่าว “ฝ่าบาท เพียงครั้งนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นพระองค์จะตีกระหม่อม จะโบยกระหม่อม จะให้กระหม่อมคุกเข่าลงบนเศษกระเบื้อง หรือจะกดกระหม่อมลงน้ำ อะไรก็ได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียหย่วนพูดพลางยื่นมือออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาพร้อมโอบกู้หยวนไป๋จากด้านหลังและกุมมือที่เย็นจนน่าตกใจของอีกฝ่าย
อุณหภูมิเช่นนี้ช่างสบายเหลือเกิน สมองของกู้หยวนไป๋สะลึมสะลือ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเซวียหย่วนเป็นพระเอกในนิยายชายรักชาย ไม่ช้าก็เร็วชายผู้นี้จะต้องตกหลุมรักบุรุษด้วยกัน
ดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไปให้พ้น”
ทว่าเซวียหย่วนกลับแทบจะโอบกู้หยวนไป๋ไว้ในอ้อมแขนของเขา
นอกจากคำว่ากำเริบเสิบสานสี่พยางค์นี้ ก็ไม่มีคำอื่นใดที่สามารถบรรยายการกระทำของเซวียหย่วนได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุนี้เซวียหย่วนจึงสามารถมีโอกาสกอดฮ่องเต้น้อยไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ได้
เขากอดกู้หยวนไป๋แน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมพูดแล้ว รอฝ่าบาทหายดีแล้วคิดจะลงโทษกระหม่อมอย่างไรก็ย่อมได้”
“เพียงแต่หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่หัวใจที่จงรักภักดีของกระหม่อม ละเว้นชีวิตของกระหม่อมสักคราว” เซวียหย่วนหัวเราะเสียงเบา แล้วทอดถอนใจเอ่ย “หรือจะหักขาของกระหม่อมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ความร้อนแผ่ซ่านมาจากด้านหลัง เซวียหย่วนขึ้นมาเพียงครู่เดียวก็อุ่นเตียงมังกรได้ทั้งหลัง กู้หยวนไป๋ยิ่งวิงเวียนศีรษะขึ้นทุกที ก่อนที่เขาจะจมสู่ห้วงนิทราก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะอนุญาตให้เจ้าขึ้นเตียงมังกรสักครา”
อะไรก็สู้ความสบายของตัวเองไม่ได้
เพราะเคยถูกเอาอกเอาใจจนเคยชิน นิสัยก็สุดแสนจะดื้อรั้น กู้หยวนไป๋พินิจเพียงไม่นาน เขาจะชอบชายหรือหญิงก็ช่างปะไร อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าความสบายของเจิ้นอีกแล้ว
สามารถอุ่นเตียงให้เขาได้ ควรตกรางวัล
เซวียหย่วนตกตะลึง
เขารู้สึกอึดอัดในอกอยู่ครู่ใหญ่ “…มารดามันเถอะ”
ก่อนคว้ามือของกู้หยวนไป๋ไว้ เพราะประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนทรมาน ทั้งร่างกายยังเกร็งแน่น ด้วยกลัวว่าจะถูกฮ่องเต้น้อยจับได้จึงลอบถอยห่างอย่างลับๆ
กู้หยวนไป๋รู้สึกได้ว่าความอบอุ่นค่อยๆ ห่างออกไปก็ขมวดคิ้ว ก่อนขยับตัวไปข้างหลังเพื่อยับยั้งมันไว้
ฮ่องเต้เข้ามาสู่อ้อมแขนของเขาครั้งนี้ยิ่งทำให้หัวใจแห่งความจงรักภักดีของเซวียหย่วนเต้นรัวเร็วกว่าเดิม ทั้งตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงนี้เท่านั้นที่หนวกหู เซวียหย่วนเหลือบมองศีรษะของกู้หยวนไป๋แล้วชำเลืองมองหน้าอกของตัวเองอีกครั้ง ก่อนวางมือใต้ศีรษะของกู้หยวนไป๋เพราะกลัวว่าเสียงที่น่ารำคาญนี้จะทำให้อีกฝ่ายตื่น
ร่างกายของกู้หยวนไป๋ค่อยๆ อุ่นขึ้น นิ้วที่อยู่ในมือของเซวียหย่วนก็เริ่มร้อนขึ้นแล้วเช่นกัน เนื่องจากกู้หยวนไป๋หนุนอยู่บนตัวเขาจึงขยับตัวมากไม่ได้ ทำได้เพียงยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูอาการของกู้หยวนไป๋ในตอนนี้เท่านั้น
แค่มองก็เห็นใบหน้าที่เข้าสู่ห้วงนิทราของกู้หยวนไป๋แล้ว
ลำพังเพียงใบหน้าที่หลับใหลนี้ก็ทำให้เซวียหย่วนลุ่มหลงจนถลำลึก เขามองอยู่นาน ครั้นร่างกายรู้สึกชาจึงดึงสติกลับมา ดวงตาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากของฮ่องเต้น้อยอยู่เสมอ ริมฝีปากสีอ่อนถูกอุณหภูมิจากร่างกายของเขาทำให้มันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ดูอ่อนนุ่มและน่าทะนุถนอม
น่าแปลก เหตุใดความงดงามของชายอื่น กลับเป็นเหมือนเหล่าสตรีบอบบางในสายตาของเซวียหย่วน ทว่ากู้หยวนไป๋กลับมิได้เป็นเช่นนั้น
ไม่สิ ครั้งแรกที่เซวียหย่วนเห็นกู้หยวนไป๋เขาก็รู้สึกว่ากู้หยวนไป๋นั้นงามกว่าสตรีเสียอีก ทั้งยังไร้ซึ่งความเป็นชายชาตรีโดยสิ้นเชิง
เขากอดกู้หยวนไป๋ราวกับกอดของล้ำค่า ความโหดเหี้ยมรุนแรงของเมื่อวานหายไปในพริบตา แม้จะถูกลงโทษเขาก็เต็มใจน้อมรับด้วยความยินดี เซวียหย่วนรู้สึกว่าตัวเองป่วยเข้าขั้นสาหัสแล้ว
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกที เซวียหย่วนคิดในใจ หรือข้าอ่อนแอถึงขั้นที่เขาแพร่ความเจ็บป่วยมาให้แล้ว
ท้ายที่สุดคอและปากก็แห้งผากจนทนไม่ไหวจึงผละออกจากกู้หยวนไป๋อย่างเสียมิได้ ก่อนลงจากเตียงไปหาน้ำดื่ม
ทันทีที่ความอบอุ่นหายไปกู้หยวนไป๋ก็พยายามตื่นจากห้วงนิทราอย่างไม่สบายตัวนัก ครั้นเขาลืมตาขึ้นก็เห็นเซวียหย่วนถือน้ำถ้วยหนึ่งพร้อมกับเดินเข้ามาที่เตียงอย่างช้าๆ ในหัวมีเสียงดังวิ้งๆ อย่างทรมาน กู้หยวนไป๋พยุงตัวขึ้นกึ่งนั่ง แย่งถ้วยน้ำในมือของเซวียหย่วนแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ดื่มเสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอน
เซวียหย่วนมองดูถ้วยน้ำที่บัดนี้เหลือเพียงว่างเปล่า ก่อนจะมองคราบน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปากลงมาตามคางของกู้หยวนไป๋
ลูกกระเดือกของเขาขยับเล็กน้อย ยกมือดึงๆ คอเสื้ออย่างอึดอัด
เขาต้องการเลียน้ำใต้คางกู้หยวนไป๋?!
บทที่ 48
กู้หยวนไป๋ไม่ได้สมบูรณ์โดยกำเนิด ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
หลังจากพักฟื้นมาหลายปีความอ่อนแอนี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเคยถูกลอบทำร้ายหลายครั้งระหว่างการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง หลูเฟิงกลัวว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นเพื่อให้เขาตายเร็วขึ้นจึงวางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าให้เขาดื่มมาเป็นเวลาหลายปี
ทีละนิดทีละน้อย สุดท้ายร่างกายก็แย่ลงจนยากจะรักษา
กู้หยวนไป๋ผล็อยหลับไป เนื่องจากกฎเกณฑ์ของเรื่องต่างๆ ได้ถูกจัดวางไว้แล้วดังนั้นจึงวางใจเป็นพิเศษ ความสบายใจนี้ทำให้เขาหลับสนิทจนถึงตอนกลางคืน ครั้นกู้หยวนไป๋ลืมตาตื่นก็ยังรู้สึกง่วงซึมเล็กน้อย ไม่รู้ว่าบัดนี้เป็นยามใดแล้ว
เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรู้สึกว่าใต้มือมีสัมผัสที่ผิดปกติ ครั้นก้มหน้าลงมองก็พบว่าที่แท้ตัวเองนอนอยู่บนร่างของเซวียหย่วน
ไม่รู้ว่าเซวียหย่วนหลับไปตั้งแต่เมื่อไร สองตานั้นปิดสนิท คิ้วที่คมกริบยังคงขมวดอยู่ กู้หยวนไป๋ชักมือกลับมา จากนั้นก็ลุกขึ้นทว่าเอวกลับรู้สึกถูกเหนี่ยวรั้ง ครั้นก้มลงมองก็พบว่ามือของเซวียหย่วนกำลังโอบเอวเขา และทันทีที่เขาเคลื่อนไหวก็ทำให้เซวียหย่วนตื่นจากความฝันทันที
“ใคร?!” เสียงถามที่ทุ้มต่ำนั้นเต็มไปด้วยโหดเหี้ยม
ผ่านไปไม่กี่อึดใจเซวียหย่วนจึงได้สติคืนกลับมา เขามองกู้หยวนไป๋ที่ตื่นแล้ว มุมปากอดที่จะยกขึ้นยิ้มเองมิได้ “ฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงแหบแห้งเจือด้วยความแจ่มใสหลังนอนหลับเต็มอิ่ม
ใต้ผ้าห่มยังคงอุ่นอยู่ กู้หยวนไป๋รู้สึกเกียจคร้านไปทั่วร่างกาย เขาเอ่ยว่า “ไปยกชาอุ่นๆ มาให้เจิ้นถ้วยหนึ่ง”
เซวียหย่วนลงจากเตียงอย่างเชื่อฟังด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เสื้อคลุมไม่กระชับ กู้หยวนไป๋เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแผ่นหลังกว้างและมีพลังของเขา จนอดที่จะมองใต้บั้นท้ายหนั่นแน่นที่มีขาสองข้างที่แข็งแรงและตรงยาวมิได้
หลังจากถอดเสื้อคลุมออกแล้ว ร่างกายหนุ่มแน่นที่เคยผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นก็ทำให้ผู้คนมองแล้วยากที่จะวางตา
แม้หมาบ้าจะยังเป็นหมาบ้า ทว่าก็มิได้สูญเสียเสน่ห์ของชายฉกรรจ์เลย
กู้หยวนไป๋นั่งตัวตรง เอนหลังพิงโครงเตียงอย่างเกียจคร้าน เซวียหย่วนรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง เพราะกู้หยวนไป๋บอกว่าต้องการน้ำชาอุ่นๆ เขาจึงใช้นิ้วแตะขอบถ้วยทั้งยังเทน้ำชาลงบนมือเพื่อทดสอบอุณหภูมิ เมื่อรู้สึกว่าไม่ร้อนแล้วจึงถือถ้วยชานี้เดินไปหากู้หยวนไป๋อย่างมั่นคง และเนื่องจากเกรงว่าถ้วยเดียวจะไม่พอจึงยกกาน้ำชามาด้วย
ฮ่องเต้รับถ้วยชามา แตะริมฝีปากจิบคำหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถูกน้ำร้อนลวกจนตัวสั่น น้ำร้อนอยู่ในปากจะกลืนก็กลืนไม่ลง มันร้อนจนริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ท่าทางดูทรมานยิ่ง
เซวียหย่วนชะงักงัน เขาบีบแก้มของกู้หยวนไป๋เพื่อให้อีกฝ่ายบ้วนชาออกมาด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด “ลวกปากแล้วยังไม่บ้วนออกมาอีก?”
ผลสุดท้ายกู้หยวนไป๋ก็กลืนน้ำอึกนี้เข้าไปทันที
สีหน้าเซวียหย่วนมืดมน โยนกาน้ำชาและถ้วยทิ้งไปด้านข้าง ใช้มือง้างปากของฮ่องเต้ มองเข้าไปใกล้เพื่อดูว่ามีแผลพุพองหรือไม่
กู้หยวนไป๋สูดอากาศดังเฮือก เอ่ยว่า “ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”
บอบบางเกินไป อ่อนแอเกินไป มือของเซวียหย่วนยังไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับลวกปากของฮ่องเต้น้อยเสียแล้ว
ครั้นเซวียหย่วนนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกทรมานกว่าใช้มีดกรีดตัวเองเสียอีก เขาร้อนใจ มือหยาบกระด้างที่สัมผัสปากนั้นทำให้กู้หยวนไป๋เจ็บไปหมด จนทนไม่ไหวถีบเขาทีหนึ่ง
เซวียหย่วนยื่นมือไปกดเท้าของฮ่องเต้และตรวจสอบริมฝีปากต่อไป “อย่าดิ้น ให้กระหม่อมดูหน่อย”
กู้หยวนไป๋สงบลงแล้ว เขาเบือนหน้าหนีพร้อมส่งเสียง “จิ๊” ออกมาคำหนึ่ง “องครักษ์เซวีย เจ้าเบามือหน่อยได้หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะๆ กระหม่อมจดจำไว้แล้ว กระหม่อมจะเบามือ” เซวียหย่วนสงสัย “ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทถึงได้นุ่มนิ่มเพียงนี้”
กู้หยวนไป๋ “…”
เขาเตะเข้าไปอีกครั้งทำให้เซวียหย่วนตกจากเตียงมังกรไปพร้อมกับผ้าห่ม เซวียหย่วนล้มคะมำแต่เขาไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น เมื่อลุกขึ้นยืนก็รีบกดเข่าลงข้างเตียง ครั้งนี้สีหน้าของเขาดูมืดครึ้ม “ให้กระหม่อมได้ดูหน่อย”
จะดิ้นด้วยเหตุใด ไว้ปากของตัวเองไม่เป็นอะไรแล้วค่อยดิ้นไม่ได้หรือ
ครั้งนี้เซวียหย่วนออกแรงมหาศาลทว่าก็ระมัดระวังเป็นที่สุดเช่นกัน กู้หยวนไป๋บอกว่ามือของเขาหยาบกร้านเขาจึงไม่กล้าไปสัมผัสอีก ทำได้เพียงบีบปากไว้อย่างเบามือที่สุด นี่มันเปลืองแรงว่าการสังหารศัตรูเสียอีก เซวียหย่วนพยายามจนเหงื่อชุ่มศีรษะ กระทั่งมั่นใจว่ากู้หยวนไป๋ไม่เป็นอะไรจึงพบว่าแผ่นหลังของตนโชกเหงื่อไปหมดแล้ว
กู้หยวนไป๋ฟื้นตัวกลับเป็นปกตินานแล้ว ทว่าร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังปวดศีรษะและกระหายน้ำอยู่ “องครักษ์เซวีย สิ่งที่เจิ้นต้องการคือน้ำอุ่น”
เซวียหย่วนเหงื่อท่วมกาย จากนั้นก็ไปรินน้ำอุ่นถวายฮ่องเต้น้อยผู้ละเอียดอ่อนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาทดสอบอุณหภูมิในปากด้วยความชำนาญ หลังจากมั่นใจแล้วว่ามันไม่ร้อนจึงยื่นให้กับกู้หยวนไป๋
หลังจากกู้หยวนไป๋ดื่มน้ำไปครึ่งกาความแห้งผากในปากจึงดีขึ้นเล็กน้อย ภายในตำหนักมืดสลัว มีเพียงเทียนไขไม่กี่เล่มที่ถูกจุดสว่างไสว กู้หยวนไป๋หลับตาลงเพื่อปล่อยให้สมองได้พักผ่อนต่อไป ก่อนเอ่ยถามว่า “ยามใดแล้ว”
เซวียหย่วนรับน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งกามาดื่ม “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พูดอะไรไม่ออกแล้ว
เซวียหย่วนดับความกระหายได้แล้ว จึงถอนหายใจอย่างสบายตัว แล้วลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า “กระหม่อมจะไปดูเวลา”
ผ่านไปไม่นานเหล่าข้ารับใช้ก็ต่างย่องเข้ามาในตำหนัก เถียนฝูเซิงเข้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท บัดนี้ได้เวลาเสวยพระกระยาหารค่ำแล้ว กระหม่อมป้อนฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋รู้สึกถึงอาการปวดที่ศีรษะเล็กน้อย ก่อนฝืนลุกขึ้น “เช่นนั้นก็ไปกินเถิด”
หลังจากฮ่องเต้เสวยเสร็จแล้วก็ได้เวลาเลิกงาน ทว่าเซวียหย่วนยังคงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ขยับเขยื้อนพลางมองดูคนจากสำนักหมอหลวงมาตรวจชีพจรของฮ่องเต้
เถียนฝูเซิงเตือนสติด้วยความหวังดี “ใต้เท้าเซวีย ได้เวลาเลิกงานของท่านแล้ว”
เซวียหย่วนกล่าวเสียงทุ้ม “ข้ารู้”
ทว่าเขาอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากไป
กู้หยวนไป๋ได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเซวียหย่วน ซึ่งเป็นจังหวะที่สบตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความรู้สึกอบอุ่นและความสบายของการนอนในช่วงกลางวัน
เซวียหย่วนเหมาะแก่การอุ่นเตียงเหลือเกิน
น้ำเสียงที่ผ่อนคลายของกู้หยวนไป๋ระคนความแหบแห้ง “ก่อนที่จะหายป่วย องครักษ์เซวียก็อยู่ข้างกายเจิ้นให้มากหน่อยเถิด องครักษ์เซวียอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายจะได้ทำให้เจิ้นทุกข์น้อยลง”
เซวียหย่วนอดยกยิ้มมุมปากมิได้ ครั้นได้ยินคำว่า ‘ทำให้ทุกข์น้อยลง’ แล้ว เขาก็ฉุกขึ้นมาว่าเขาจะทำให้กู้หยวนไป๋เป็นทุกข์ได้อย่างไรกัน
ในเมื่อวันนี้ไม่ต้องออกจากวัง หลังจากฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารค่ำและทหารองครักษ์หน้าตำหนักผลัดเปลี่ยนเวรยามแล้ว เซวียหย่วนก็ไปกินข้าวกับสหายร่วมงาน โดยจะมีคนไปรายงานจวนสกุลเซวียและนำเสื้อผ้าเครื่องใช้บางส่วนออกมาให้เซวียหย่วน ครั้นเซวียหย่วนกลับมาจากกินข้าวของเหล่านั้นก็ถูกส่งมาให้เขาแล้ว
บัดนี้กู้หยวนไป๋กำลังนอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่มปักลายมังกรสีเหลืองอร่ามคลุมอยู่บนขา เขาถือฎีกาฉบับหนึ่งอยู่ในมือพร้อมกับอ่านมันอย่างช้าๆ
กู้หยวนไป๋อ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนและตั้งใจ ข่งอี้หลินกับฉินเซิง รวมถึงพรรคพวกของเขาได้ส่งเงินและธัญพืชไปให้ลี่โจวแล้ว ทรัพย์สินที่ส่งไปคราวนี้คือเหยื่อล่อ ทั้งยังเป็นเหยื่อล่อที่จะตกปลาตัวใหญ่ที่สุดในการต่อต้านการทุจริตนับตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ขึ้นมา
ปลาตัวใหญ่นี้คือเจ้าเมืองลี่โจว มองผิวเผินการทุจริตในท้องที่ของเขามีไม่มากนัก ทว่าราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขากลับใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น คนในหน่วยควบคุมดูแลยิ่งตรวจสอบลึกเข้าไปก็ยิ่งตกใจ ในที่สุดก็พบค่ายโจรรอบๆ ลี่โจว รวมถึงสาเหตุแท้จริงว่าเหตุใดคนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาถึงเข้าป่าไปเป็นโจร ซึ่งก็เพราะเจ้าเมืองลี่โจวลอบบังคับอย่างลับๆ อยู่นั่นเอง
ขุนนางบีบให้ราษฎรกลายเป็นโจร ทั้งยังสมคบคิดกับโจร
เรื่องนี้น่าสะพรึงยิ่งและไม่สามารถเปิดเผยต่อราษฎรได้โดยเด็ดขาด
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไปมีแต่จะสร้างความไม่วางใจที่ราษฎรมีต่อราชสำนัก ทำให้โจรจากทั่วทุกพื้นที่มีท่าทีที่ยิ่งใหญ่ ก่อการจลาจล และสร้างความวุ่นวาย
กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจอย่างขุ่นเคือง จะต้องทำให้ปลาตัวนี้กินเหยื่อให้ได้
จะไม่สนใจอย่างอื่นก็ได้ ทว่าเจ้าเมืองลี่โจวจะต้องตาย
ครั้นมือของกู้หยวนไป๋ออกแรง ฎีกาก็ถูกบีบจนเป็นรอยยับย่น
เซวียหย่วนเห็นว่าเขากำลังจัดการกับราชกิจก็ยืนหลบไปด้านข้าง แล้วจู่ๆ ก็ถามขันทีที่อยู่ถัดจากตนขึ้นมาว่า “มือหยาบสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่”
ขันทีผู้นั้นสะดุ้งโหยง เอ่ยอย่างสั่นกลัว “เรียนใต้เท้า ใช้เครื่องประทินผิวบำรุงมือในวันปกติก็พอแล้วขอรับ”
เซวียหย่วนปวดศีรษะ “พูดให้มันชัดเจนหน่อย”
ขันทีเอ่ยว่า “พวกน้ำมันหอมระเหย ผงไข่มุก หรือน้ำมันปลา ใช้สิ่งเหล่านี้ทามือและเท้าก็จะทำให้มือและเท้านุ่มลื่น”
เซวียหย่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาอย่างยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ได้ “ไปนำสิ่งของเหล่านั้นมาให้ข้า”
กู้หยวนไป๋เพิ่งจะวางฎีกาลง หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำที่กำลังเข้ามาใกล้
เขาหันมองและพบว่าเป็นเซวียหย่วน กู้หยวนไป๋มองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “องครักษ์เซวีย หากมีวันหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเริ่มฉ้อโกงเงินที่ไม่ได้เป็นของตนเอง เจ้าจะทำอย่างไร”
เซวียหย่วนเอ่ย “ควรสังหารก็สังหาร”
กู้หยวนไป๋หัวเราะ “ทว่าขุนนางทุจริตสังหารได้ไม่หมด”
“สังหารไม่หมด แต่เมื่อแสดงเจตคติออกมาพวกเขาก็กลัวแล้ว” เซวียหย่วนแสยะยิ้ม “ตามหลักการปกครองทหารมักจะมีคนกล้าทำในสิ่งที่ขัดกับวินัยทหารอยู่เสมอ เหตุใดพวกเขาถึงกล้าทำเล่า ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่เกรงกลัวแม่ทัพแล้วหรอกหรือ เมื่อเบื้องบนมีบารมีไม่พอคนที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มก่อความวุ่นวาย”
กู้หยวนไป๋เอ่ย “พูดต่อ”
เซวียหย่วนกล่าวอย่างผ่อนคลาย “กระหม่อมพูดจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ “…”
เซวียหย่วนกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนหยาบ ไม่สามารถจัดการราชกิจได้”
กู้หยวนไป๋คิดในใจ เช่นนั้นเจ้ากลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี ประโยคของเซวียหย่วนนี้กล่าวได้ถูกต้อง
จวนว่าการท้องถิ่นยิ่งอยู่ห่างจากนครหลวงมากเท่าใด บารมีของฮ่องเต้ก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ความหวาดกลัว บางทีอาจเป็นเพราะบารมีของกู้หยวนไป๋ไม่สูงถึงขั้นที่สามารถทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนและอยู่กับที่ไม่กล้าขยับไปที่ใดได้ พวกเขาถึงได้กำเริบเสิบสานเพียงนี้
หลังจากการต่อต้านการทุจริตครั้งนี้ เชื่อว่าความน่าเกรงขามของกู้หยวนไป๋ในหัวใจของขุนนางท้องถิ่นจะสูงขึ้นไปอีกขั้น
ทว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ราชวงศ์ต้าเหิงอ่อนแอมาเป็นเวลากว่าสิบปี ชนเผ่าเร่ร่อนกล้ารุกราน ขุนนางกล้าทุจริต ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นและขุนนางสมรู้ร่วมคิดกัน พวกเขากลายเป็นงูท้องถิ่นที่ตัวใหญ่กว่าจักรพรรดิเสียอีก
กู้หยวนไป๋ต้องการสู้ศึกที่ตัวเองจะสามารถเอาชนะได้ สู้ในศึกที่ไม่เคยชนะมาก่อนในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งศึกครั้งนี้ก็คือศึกกับชนเผ่าเร่ร่อน
นอกจากนี้มันยังจะเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจระดับแผ่นดินครั้งแรก นับตั้งแต่กู้หยวนไป๋เข้ายึดอำนาจ
ต้องพากองทัพออกไปเดินเล่นเสียบ้าง คนเหล่านี้จะได้รู้เสียบ้างว่าตนตัวเล็กเพียงใด
หลังจากบรรเทาอารมณ์ของตัวเองกู้หยวนไป๋ก็เห็นว่าสีหน้าของเซวียหย่วนดีขึ้นมากแล้ว จึงกล่าววาจากับเครื่องอุ่นเตียงมนุษย์ด้วยความนุ่มนวลยิ่ง “องครักษ์เซวีย บัดนี้ฟ้ามืดแล้วขึ้นเตียงเถิด”
เสียงเรียกอันนุ่มนวลของกู้หยวนไป๋นี้ทำให้ศีรษะของเซวียหย่วนชาขึ้นมา สองมือวางบนเข็มขัดที่เอว เพียงพริบตาเดียวก็ถอดชุดจนเหลือแต่เสื้อตัวใน
นางกำนัลรับเสื้อผ้ามาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็จุดกำยานช่วยนอนหลับแล้วถอยออกไปเงียบๆ ทีละคน
เซวียหย่วนเป็นเหมือนเตาขนาดใหญ่อย่างแท้จริง หลังจากที่เขาขึ้นเตียงกู้หยวนไป๋ก็ทอดถอนใจด้วยความผ่อนคลาย มันช่างสบายเกินไปแล้ว
ด้วยความสามารถนี้ ตำแหน่งของเซวียหย่วนในใจของกู้หยวนไป๋ก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในหลายจุดและกู้หยวนไป๋ก็เป็นมิตรกับเขามากขึ้น
อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไปไม่นานกู้หยวนไป๋ก็ได้กลิ่นสมุนไพร เขาดมอยู่ชั่วครู่ก็พบว่ากลิ่นสมุนไพรนี้มาจากตัวของเซวียหย่วน
“เจ้าใช้อะไรน่ะ” เขาถามทันที
เซวียหย่วนเนื้อตัวแข็งทื่อ
สวรรค์! ลอบใช้เครื่องประทินผิวทามือครั้งแรกก็โดนจับได้เสียแล้ว เขากล่าวเสียงอู้อี้ “ไม่ได้ใช้อะไรพ่ะย่ะค่ะ”
กลิ่นนี้ไม่นับว่าเหม็นนัก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดกู้หยวนไป๋ก็ขี้คร้านที่จะถามต่อ
ฮ่องเต้น้อยทั้งนุ่มทั้งหอม เตียงมังกรก็ทั้งนุ่มทั้งหอมเช่นกัน ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเซวียหย่วนก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อชุ่มศีรษะ เขาเอ่ยว่า “ฝ่าบาทร้อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เปิดบันทึกการเดินทางเพื่อผ่อนคลายจิตใจอย่างสบายๆ “เจิ้นไม่ร้อน องครักษ์เซวียร้อนหรือ”
เซวียหย่วนจ้องบันทึกเล่มนั้นในมือของกู้หยวนไป๋ น้ำเสียงล้ำลึก “ฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตรกระหม่อม”
ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ละสายตาจากบันทึกเล่มนั้น เมื่อหันหน้ามองก็มุ่นหัวคิ้วในทันใด “เหตุใดองครักษ์เซวียถึงได้มีเหงื่อออกมากมายเช่นนี้”
หน้าผากของเซวียหย่วนเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมสีดำเปียกโชก โครงหน้าเผยให้เห็นมุมที่คมชัดในสายหมอก “ฝ่าบาท ผ้าห่มหนาเกินไป บนเตียงก็ร้อนนัก”
บัดนี้ก็ปลายเดือนห้าแล้วคนอย่างเซวียหย่วนไม่สามารถทนความร้อนได้อย่างแท้จริง กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นควรทำอย่างไร”
“ฝ่าบาทยังคงหนาวอยู่ พระหัตถ์เย็น พระบาทก็เย็น” ราวกับหยกเนื้อเย็น น้ำเสียงของเซวียหย่วนลดต่ำลง “ฝ่าบาททำให้อุณหภูมิของกระหม่อมต่ำลง ส่วนกระหม่อมก็อุ่นพระหัตถ์กับพระบาทให้พระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงช้าๆ เอ่ยว่า “ได้”
เซวียหย่วนคล้ายหมาป่าโหดเหี้ยมที่ได้รับอนุญาตให้กินเนื้อ เขาพลิกตัวฉับพลัน จากนั้นกู้หยวนไป๋ก็ยื่นมือเย็นเฉียบมาให้เขา หรี่ตาด้วยความพึงพอใจยิ่ง
มือของฮ่องเต้มิได้ใหญ่เหมือนเซวียหย่วน ทั้งยังอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ เซวียหย่วนเกี่ยวฝ่ามือสีขาวของเขาไว้ กู้หยวนไป๋รู้สึกจักจี้แล้วชักมือกลับโดยไม่รู้ตัว แต่กลับถูกเซวียหย่วนดึงแรงขึ้นกว่าเดิม
“ฝ่าบาทกำลังอ่านอะไรอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียหย่วนแสร้งยิ้มพร้อมกับจับจ้องไปบนบันทึกเล่มนั้น
กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นเรื่อยเปื่อย “ก็แค่บันทึกการเดินทางเล่มหนึ่งเท่านั้น เอาไว้ฆ่าเวลา”
เซวียหย่วนมองไปยังบันทึกเล่มนั้นด้วยแววตาไม่ประสงค์ดี คิดพร้อมกับยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แล้วข้าไม่สามารถฆ่าเวลาได้หรือ
เขาเหมือนเตาไฟจริงๆ ผ่านไปเพียงครู่เดียวมือของกู้หยวนไป๋ที่ถูกเขากุมก็มีเหงื่อซึมเล็กน้อยแล้ว กู้หยวนไป๋ประหลาดใจเป็นที่สุด เซวียหย่วนวางมือของฮ่องเต้ลง “ฝ่าบาท กระหม่อมอุ่นพระบาทให้ฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋กล่าวไปตามจิตใต้สำนึก “เอาสิ”
เซวียหย่วนย้ายไปฝั่งตรงข้ามในชั่วพริบตา เขาคว้าข้อเท้าของกู้หยวนไป๋จากใต้ผ้าห่ม จากนั้นก็ยกขึ้น ยัดมันเข้าไปในเสื้อผ้าของตัวเองแล้ววางลงบนท้องเพื่อให้อุ่น
ท้องน้อยของเขาอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อ เท้าที่เย็นเฉียบของกู้หยวนไป๋จึงราวกับพบไฟอันอบอุ่น มันสบายจนคิ้วของกู้หยวนไป๋คลายตัว อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “องครักษ์เซวีย ลำบากแล้ว”
เท้าของฮ่องเต้น้อยนั้นราวกับหยก ทั้งยังสบายเหมือนน้ำแข็ง เซวียหย่วนคิดในใจ นี่เรียกว่าลำบากได้อย่างไรกัน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมควรทำพ่ะย่ะค่ะ”
คราวก่อนที่อุ่นเท้าให้กู้หยวนไป๋ เซวียหย่วนถูกด่าว่าบังอาจ แต่ครั้งนี้อุ่นเท้าให้ กู้หยวนไป๋กลับเกิดความไว้วางใจเสียแล้ว
เซวียหย่วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจ เมื่อขาของกู้หยวนไป๋อุ่นขึ้นหลังจากผ่านไปสักพักเซวียหย่วนก็คลายมือออก “ฝ่าบาท กระหม่อมกอดฝ่าบาทอ่านบันทึกดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “เจิ้นไม่ชิน”
สุดท้ายกู้หยวนไป๋ที่ปากบอกว่าไม่ชินนั้น กลับซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเซวียหย่วนเพราะไออุ่นหลังจากที่หลับไปแล้ว
เซวียหย่วนกอดกู้หยวนไป๋ ทอดถอนใจยืดยาว ก่อนที่จะได้กอดกู้หยวนไป๋นั้นเขายังไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป จนกระทั่งได้กอดกู้หยวนไป๋แล้วจึงตระหนักได้ถึงความว่างเปล่าในอ้อมแขน
เขาหลับตาลงพร้อมกับหัวใจแห่งความจงรักภักดีที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ทอดถอนใจยืดยาวอีกครั้งและผล็อยหลับไปเช่นกัน
ครั้นตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นกู้หยวนไป๋ก็ยังรู้สึกปวดศีรษะตุบๆ
แต่หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มมาหนึ่งวัน อย่างน้อยก็พอที่จะทำให้เขามีกำลังลุกขึ้นจากเตียง การประชุมราชสำนักเช้าวันนี้ล่าช้า ผู้ที่มีเรื่องต้องรายงานในราชสำนักล้วนมาถึงห้องโถงเล็กของตำหนักเซวียนเจิ้งแล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่ราชสำนักจะทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการต่อต้านการทุจริต ผู้ที่รับผิดชอบกระบวนการต่อต้านการทุจริตคือผู้ที่มาจากสำนักตรวจการ หน่วยควบคุมดูแล และองครักษ์ตงหลิง ในขณะเดียวกันก็ยังมีศาลสถิตยุติธรรมและเสนาบดีกรมปกครองที่รับผิดชอบเรื่องของเจ้าเมืองลี่โจว ส่วนคนที่เหลือยังคงยุ่งกับภารกิจของตัวเอง
คนจากหกกรมและสองหน่วยงานต่างมารวมตัวกันในห้องโถงเล็กของตำหนักเซวียนเจิ้งและกำลังหารือกันถึงสามประเด็น ประเด็นแรกคือการสร้างถนน ประเด็นที่สองคือการส่งทหารไปชายแดน และประเด็นสุดท้ายคือเรื่องการค้า
กู้หยวนไป๋พูดไปสักพักหนึ่งก็ต้องสงบสติอารมณ์อีกพักหนึ่ง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ สุดท้ายเป็นเพราะบรรดาขุนนางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงกล่าวว่าไว้รอหลังจากที่พวกเขาได้เจรจาเรื่องข้อบังคับร่วมกันแล้ว พวกเขาจะยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้เพื่อตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
กู้หยวนไป๋พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ให้พวกเขาถอยออกไป
หลังจากบรรดาขุนนางออกไปแล้วกู้หยวนไป๋จึงหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาคิดในใจว่าในที่สุดก็รู้ว่าเหตุใดจักรพรรดิโบราณถึงต้องการมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวโดยไม่แก่เฒ่า
บางทีอาจไม่ใช่เพราะโลภในอำนาจหรือปรารถนาที่จะคงความเยาว์วัย แต่เป็นเพราะมีเจตนาที่จะทำสิ่งต่างๆ มากมายทว่าไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
คิดว่าหากตนมีชีวิตที่ยาวนานกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงดี เขาจะได้ทำภารกิจได้มากกว่านี้ และสามารถบรรลุความทะเยอทะยานของตัวเองได้มากขึ้นอีกเล็กน้อย
เดิมทีหลังจากเป็นฮ่องเต้แล้ว เขายังมีความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักห้าร้อยปีด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่กู้หยวนไป๋หยอกล้อกับตัวเอง แต่ใครกันจะสามารถอยู่ถึงห้าร้อยปีได้เล่า
จักรพรรดิผู้ทะเยอทะยานในใต้หล้า พวกเขาก็ล้วนมีชีวิตอยู่ไม่ถึงห้าร้อยปี
การไร้ความสามารถ… ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากเช่นกัน
ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่จนปัญญา
กู้หยวนไป๋จมอยู่ในความหดหู่ครู่หนึ่งโดยที่ยังลืมตา เขาเรียกเถียนฝูเซิงเข้ามาเอ่ยว่า “ให้คนทางจิงหูหนานเร่งมือ”
ทั่วทั้งใต้หล้า กู้หยวนไป๋สามารถทิ้งเรื่องอื่นให้อนุชนรุ่นหลังจัดการได้ทว่าสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้
นอกเหนือจากกู้หยวนไป๋แล้ว ใครก็ตามที่ต่อต้านเรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะยึดทรัพย์สินไปเป็นของตน
ดังนั้นกู้หยวนไป๋จำเป็นต้องเร่งมือ เขามักจะรู้สึกว่าความเจ็บป่วยนี้ก็เหมือนกับสวรรค์กำลังเตือนสติเขาอีกครั้งว่าชีวิตของเขาจะไม่ยืนยาว
ความคิดเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมกินเวลาจนถึงขณะที่เขาแช่ตัวอยู่ในอ่างสมุนไพรตอนเที่ยง
อาบน้ำผสมยาเพื่อขับความเย็น หมอหลวงต้องการจับชีพจรให้กู้หยวนไป๋ก่อน ทว่าหลังจากจับชีพจรเสร็จแล้วกลับทอดถอนใจเอ่ยว่า “อาการประชวรของฝ่าบาทในตอนนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง เขาขมวดคิ้ว คิดว่าหมอหลวงคงจับชีพจรผิดไป “เจิ้นยังคงปวดหัวอยู่”
หมอหลวงยิ้มเอ่ยว่า “แช่น้ำผสมยาสองวันก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว เมื่อคืนฝ่าบาทจุดเตาหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเมื่อคืนฝ่าบาทคงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตราบใดที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการประชวรก็จะหายไปสามส่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ราวกับกำลังอยู่ในห้วงความคิด ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้นี่เอง เจิ้นรู้แล้ว”
น่าจะเป็นเพราะเซวียหย่วนช่วยเขาอุ่นเตียงทั้งคืน ทำให้เขาอบอุ่นตลอดทั้งราตรี วันนี้อาการจึงดีขึ้นบ้าง
ครั้นรู้ว่าอาการป่วยของตัวเองใกล้หายแล้ว กู้หยวนไป๋ก็ถามหมอหลวงอย่างละเอียดอีกครั้งว่าอาการป่วยครั้งนี้หนักหนาเข้ากระดูกหรือไม่ หมอหลวงพยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังจึงเห็นได้ชัดว่ามันได้ผ่อนคลายหัวใจของกู้หยวนไป๋ลง
กู้หยวนไป๋ปลอบประโลมตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองสามปี ผู้สำเร็จราชการกับว่าที่ขุนนางผู้มีอำนาจยังไม่มีสัญญาณที่จะเริ่มความสัมพันธ์ใดๆ ต่อให้ต้องเป็นฉากหลังก็ควรจะเป็นฉากหลังที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ครั้นคิดเช่นนี้อารมณ์ก็สงบลงอย่างสมบูรณ์
ฮ่องเต้ซ่อนความคิดนี้ไว้อย่างล้ำลึกยิ่ง คนข้างกายล้วนไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งใดเขาก็โน้มน้าวใจตัวเองเรียบร้อยแล้ว
เซวียหย่วนยืนตัวตรงอยู่หน้าประตูตำหนักทว่ากลับเหม่อลอยเล็กน้อย เหล่าสหายร่วมงานโดยรอบต้องการให้เขาเล่าเรื่องที่ชายแดนและเรื่องศึกการต่อสู้อีกครั้ง เซวียหย่วนขี้คร้านจะเล่าจึงใช้ปลายลิ้นดุ้นกระพุ้งแก้มด้านบนอย่างเหลืออด พ่นออกมาสองคำว่า “ไม่รู้”
เขาคลุ้มคลั่งจนเหล่าทหารองครักษ์ไม่กี่คนนั้นต่างเป็นใบ้
กลิ่นยาเล็ดลอดมาทางรอยแยกของประตูและหน้าต่าง หลังจากดมกลิ่นเหล่านี้จนชินแล้วก็รู้สึกว่ามันช่างหอมยิ่งนัก เซวียหย่วนสูดกลิ่นยาเข้าไปลึกๆ สองสามที คิ้วผูกกันเป็นปม ใบหน้าหมองคล้ำยิ่ง
มีหมอเทวดาที่ใดบ้าง
เส้นประสาทของเขาตึงเครียด ครั้นคิดถึงท่าทางของฮ่องเต้น้อยที่ป่วยหนักเขาก็หงุดหงิดจนแทบจะระเบิด
มีคนเดินออกมาจากในตำหนักเพื่อเชิญเซวียหย่วนเข้าไป เซวียหย่วนเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง ยกชายเสื้อคลุมขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในตำหนัก
ข้ารับใช้พาเซวียหย่วนมายังด้านหลังฉากกั้น หลังจากกู้หยวนไป๋รู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยหนักในตอนนี้ไฟแห่งความกระตือรือร้นที่จะทำงานก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเจือไปกับไอน้ำจากอ่างยาจนขมุกขมัวและคลุมเครือ “เซวียจิ่วเหยา เจิ้นอยากจะฟังเจ้าเล่าเรื่องที่ชายแดนอีกครั้ง”
เซวียหย่วนตะลึงงัน มองดูเหล่าบุปผาและวิหคบนฉากกั้น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “พ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องราวที่ชายแดนส่วนใหญ่เป็นพายุ อันตราย ความอับอาย และความด้านชา
เขากล่าวถึงสถานที่เลวร้ายแห่งนั้นคร่าวๆ แต่หลังจากที่เล่าไปแล้ว เซวียหย่วนก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตนไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเล่าให้กู้หยวนไป๋ฟังได้อีกแล้ว
คนที่อยู่มานานย่อมไม่คิดว่าทิวทัศน์ทางชายแดนเหนือเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม คนแถบชายแดนเหนือก็ไม่คิดว่ากองทัพเป็นมนุษย์
ท่ามกลางความเลวร้ายนั้น เซวียหย่วนเล่าด้านที่ไม่เลวร้ายนักให้กู้หยวนไป๋ฟัง
เขาเล่าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว กู้หยวนไป๋ฟังด้วยความตั้งใจ หลังจากเซวียหย่วนเล่าจบแล้ว น้ำที่กู้หยวนแช่ก็อุ่นขึ้นเช่นกัน
คนที่อยู่ด้านในปรนนิบัติฮ่องเต้ทั้งเช็ดตัวและแต่งกาย เซวียหย่วนก้มหน้าลง เขาสามารถมองเห็นด้านหน้ารองเท้าของตัวเองที่ตรงขอบใต้ฉากกั้นอยู่ตลอดเวลา
ครั้นเห็นฉากกั้นนี้ก็สามารถรู้ถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้น้อยได้ทันที เขาจะต้องเป็นผู้สง่างามและพิถีพิถัน น่าจะชอบคุณชายที่มีความสามารถในด้านกวีและการประพันธ์เพลง ทว่าเซวียหย่วนมิใช่คุณชาย
ฮ่องเต้น้อยทรงโปรดฉู่เว่ยมาก
ฉู่เว่ยเข้าเฝ้าฮ่องเต้น้อยไม่บ่อยเท่าเขา ทว่าฮ่องเต้น้อยมักจะพูดคุยกับฉู่เว่ยอย่างสนิทสนมทุกครั้งไป
เซวียหย่วนคิดเงียบๆ มารดามันเถอะ
น่าน้อยใจนัก
กู้หยวนไป๋สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แดดในยามเที่ยงร้อนแรงเป็นที่สุด เนื่องจากอาบน้ำผสมยาเพื่อป้องกันความหนาวเย็นจึงไม่รู้ว่าบนใบหน้าของเขาคือเหงื่อหรือว่าไอน้ำ
ขณะที่เดินออกมาเห็นสีหน้าของเซวียหย่วนก็เอ่ยปากถามไปเรื่อยเปื่อย “องครักษ์เซวียกำลังคิดอะไรอยู่รึ”
เซวียหย่วนมองกู้หยวนไป๋ไปตามจิตใต้สำนึก ร่างกายของฮ่องเต้ที่แช่อยู่ในน้ำแปรเปลี่ยนจากสีขาวเป็นแดงระเรื่อ ทั้งตัวของเซวียหย่วนราวกับถูกหลอมละลาย “กระหม่อมกำลังคิดถึงฉากกั้นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ถามขึ้น “ในเมื่อองครักษ์เซวียชอบฉากกั้นนี้ เช่นนั้นก็ยกให้เจ้า”
เซวียหย่วนตื่นตกใจ บัดนี้กู้หยวนไป๋ได้พาคนเดินออกไปจากตำหนักแล้ว และได้พัดพากลิ่นหอมไปตลอดทาง
กู้หยวนไป๋รีบฉวยโอกาสที่ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่จัดการราชกิจ หลังจากกินอาหารค่ำแล้วก็ขึ้นเตียงด้วยความเหนื่อยล้าและทรมาน
ด้านหลังมีคนตามติดมา กู้หยวนไป๋ที่กำลังจะผล็อยหลับจากไออุ่นกลับได้ยินเสียงคนเอ่ยคำยั่วยวนแผ่วเบาที่ข้างหู “ฝ่าบาท พระองค์ทรงโปรดใต้เท้าฉู่หรือไม่”
กู้หยวนไป๋หันไปขมวดคิ้ว
เซวียหย่วนไม่ยอมลดละ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงโปรดใบหน้าของใต้เท้าฉู่ หรือว่ามือของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ในใจเซวียหย่วนเต็มไปด้วยความมืดมน
หากชอบหน้าก็จะกรีดหน้าให้เสียโฉม หากชอบมือก็จะตัดมือทิ้งเสีย
เซวียหย่วนเป็นผู้มีอารยะ ไม่กระทำเรื่องสังหารคนฝังศพเช่นนั้นหรอก
บทที่ 49
กู้หยวนไป๋หลับไปนานแล้ว ไม่ได้ยินคำพูดบ้าบิ่นของเขาแม้แต่น้อย
ครั้งนี้ฮ่องเต้ประชวรอยู่หลายวัน เมื่อหายประชวรแล้วกระบวนการขนย้ายก็ได้มาถึงลี่โจวพอดี
เขาเพียงชี้แนะเรื่องนี้คร่าวๆ เท่านั้น เนื่องจากเขาได้ยกอำนาจทั้งหมดให้แก่เหล่าขุนนางใต้บังคับบัญชา ในการใช้วิธีเฉพาะเจาะจงที่จะทำให้เจ้าเมืองลี่โจวเข้ามาติดกับ และกินเหยื่อล่อในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของกระบวนการต่อต้านการทุจริตในตอนนี้
ข่งอี้หลินมีวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนใคร แผนรับมือยากที่จะคาดเดา เขาเชื่อว่าข่งอี้หลินจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
การล้มป่วยครั้งนี้ทำให้กู้หยวนไป๋รู้สึกถึงความเร่งร้อนของวิกฤตมากขึ้น หลังจากที่เขาหายจากอาการป่วยแล้ว เขาก็ได้มุ่งเน้นในการสร้างแผ่นดินทั้งๆ ที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ ไม่ว่าใครจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่สนใจ
จนกระทั่งวันนี้กู้หยวนไป๋ได้รับจดหมายจากหวั่นไท่เฟย
ถ้อยคำอ่อนโยนของหวั่นไท่เฟยแฝงไปด้วยความคิดถึง นางส่งคนมาเชิญกู้หยวนไป๋ให้ไปหานางสักเที่ยว นางคิดถึงฮ่องเต้แล้ว
ในเวลานี้กู้หยวนไป๋จึงวางพู่กันลง เมื่อเงยหน้าขึ้นจู่ๆ ก็มีความรู้สึกราวกับต้องพรากจากโลกใบนี้อย่างกะทันหัน เขาตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนที่จะหลุดหัวเราะพร้อมทั้งเอ่ยว่า “ใครลอบทูลรายงานไท่เฟยกัน”
เถียนฝูเซิงเอ่ย “ฝ่าบาท เป็นฝีมือของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระราชอาญา”
กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจ เขามองไปยังอากาศแจ่มใสด้านนอกตำหนักครู่หนึ่ง “จะลงโทษเจ้าไปไย เจ้าก็เพียงเป็นห่วงเจิ้นเท่านั้น”
เขาเหม่อลอยสักพักก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ทำตามดำรัสของไท่เฟย ไปเยี่ยมไท่เฟยกันเถิด”
จวนชานเมือง
หวั่นไท่เฟยยิ้มอย่างอบอุ่น นางพัดวีให้กู้หยวนไป๋แผ่วเบาพลางมองดูเขาดื่มชา
หวั่นไท่เฟยอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆ เท่านั้น ในยุคนี้ก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว ทว่าในเวลานี้ทุกการแสดงออกและอากัปกิริยาของหวั่นไท่เฟยกลับมีความเฉื่อยชาล้ำลึกเจือปนอยู่
หวั่นไท่เฟยปรนนิบัติอยู่ฝ่ายในมานานกว่าสิบปี กินยาคุมกำเนิดตั้งแต่ยังสาวจนส่งผลร้ายแก่ร่างกายอย่างฝังรากลึก ไม่มีหวังที่จะมีชีวิตที่ดีได้อีกแล้ว แม้ว่าใบหน้ายังไม่แก่ชราทว่ากลับเผยความร่วงโรยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ขณะที่หวั่นไท่เฟยประชวรเมื่อหลายเดือนก่อน หมอหลวงก็ได้กล่าวว่าหวั่นไท่เฟยยากที่จะอยู่พ้นฤดูใบไม้ร่วง ไม่ใช่ว่ากู้หยวนไป๋ไม่ต้องการมาเยี่ยม แต่เป็นหวั่นไท่เฟยเองที่ไม่ยอมให้เขาเข้าเฝ้า
ตั้งแต่ฮ่องเต้น้อยเสด็จขึ้นครองราชย์ทั้งสองก็ได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทว่าความห่วงใยที่มีต่อกันไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย หวั่นไท่เฟยเป็นห่วงพลานามัยของกู้หยวนไป๋ ดังนั้นจึงพบหน้าน้อยลง พูดคุยน้อยลง อย่างน้อยเมื่อถึงเวลาที่นางจากไปแล้วเขาจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานมากนัก
ร่มเงาใต้ต้นไม้นั้นสบายยิ่ง หลังจากกู้หยวนไป๋รู้สึกอิ่มเล็กน้อยก็วางมือ หวั่นไท่เฟยให้คนส่งผ้าเย็นมาให้ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “หลายวันนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว ในวังได้เตรียมของไว้ผ่านหน้าร้อนนี้แล้วหรือยัง”
กู้หยวนไป๋มองไปยังเถียนฝูเซิงโดยไม่รู้ตัว เถียนฝูเซิงรีบเอ่ยว่า “ทูลไท่เฟย เตรียมเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หวั่นไท่เฟยมองดูกู้หยวนไป๋แล้วหัวเราะ “ดูฝ่าบาทสิ ตอนที่เถียนฝูเซิงบอกข้าว่าช่วงนี้ฝ่าบาทยุ่งถึงขนาดที่ลืมกินข้าว ข้าเองยังไม่เชื่อ บัดนี้เมื่อดูแล้วเขาไม่ได้พูดเกินเลยอย่างแท้จริง ต่อให้ใต้หล้ายุ่งเหยิงเพียงใด ภารกิจทุกอย่างจะรีบเร่งในคราวเดียวกันเชียวหรือ”
กู้หยวนไป๋ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง”
“ต่อให้ข้าพูดถูกอีกสักเพียงใด” หวั่นไท่เฟยเอ่ย “ฝ่าบาทก็ต้องจำใส่ใจด้วยถึงจะถูก”
กู้หยวนไป๋อธิบายด้วยถ้อยคำที่มีเหตุผล “ช่วงนี้งานบ้านงานเมืองยุ่งเหลือเกิน เจิ้นทิ้งไปไม่ได้”
หวั่นไท่เฟยเงยหน้ามองเถียนฝูเซิงอีกครั้ง
เถียนฝูเซิงก้มหน้าทว่ากลับกล่าวอย่างบังอาจ “งานยุ่งอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ ทว่างานทุกอย่างต่างถูกมอบหมายออกไปแล้ว บรรดาใต้เท้าล้วนเป็นเสาหลักของบ้านเมือง อันที่จริงฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องลงมือทำทุกอย่างเองก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มพลางก่นด่า “เถียนฝูเซิง…”
“ว่าอย่างไร ฝ่าบาทจะไม่ให้พูดแล้วหรือ” หวั่นไท่เฟยยิ้มอย่างโกรธเคือง “เห็นทีคำพูดของเถียนฝูเซิงต่างหากที่เป็นความจริง ฝ่าบาทไม่ถนอมแม้แต่พระวรกายของตัวเองแล้วจะให้คนข้างกายวางใจได้อย่างไร”
หวั่นไท่เฟยค่อนข้างเหนื่อยล้าขณะที่กล่าวประโยคเหล่านี้ นางสงบลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนทอดถอนใจเอ่ยว่า “หยวนไป๋ ห้ามล้อเล่นกับร่างกายของตัวเองเป็นอันขาด”
กู้หยวนไป๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรับคำเสียงเบา
หวั่นไท่เฟยมองดูเงาของต้นไม้ แสงที่เล็ดลอดผ่านมาส่องสว่างเป็นจุดกระดำกระด่าง น้ำเสียงเชื่องช้าของนางเจือด้วยความหนักอึ้งของประสบการณ์หลายสิบปี “ตอนที่ฝ่าบาทองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ มักจะตรัสอยู่เสมอว่าอยากเป็นฮ่องเต้ที่ดี ทว่าเพียงแค่ตรัสแต่กลับทำไม่ได้ ภารกิจมีอยู่อย่างรัดตัว แต่ฝ่าบาทกลับนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเพื่อจัดการกับราชกิจ ทำเสมือนคนไร้ความอดทน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า สุดท้ายคนที่เหนื่อยก็เป็นตัวเขาเอง”
“หลังจากที่ฝ่าบาทคลอดออกมาแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนก็นับว่าขยันมาก ทว่าขยันอย่างไรก็ไม่เคยขาดการพักผ่อน ยามว่างฮ่องเต้องค์ก่อนยังไปไหว้พระ ไปหาความรื่นเริงใจ หยวนไป๋ ฮ่องเต้องค์ก่อนยังรู้จักพักผ่อน ไม่หักโหมตัวเองจนเกินไป ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงงานเช่นนี้ต้าเหิงก็ไม่เคยเกิดเรื่องร้ายใด ข้าคิดว่าฮ่องเต้ก็ควรทำเช่นนั้นด้วย ฝ่าบาทว่าใช่หรือไม่”
หวั่นไท่เฟยไม่รู้ถึงสถานการณ์ในต้าเหิงและไม่รู้ว่ากู้หยวนไป๋กำลังยุ่งเรื่องใด คำกล่าวของหวั่นไท่เฟยนี้ช่างไร้เดียงสายิ่ง ทว่ามันคือมุมมองของผู้เป็นมารดาที่หวังว่าบุตรของตนจะเหลือเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้าง
กู้หยวนไป๋ไม่หักล้างคำพูดนี้ เพียงแต่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หวั่นหมู่เฟย ตรัสได้ถูกต้อง”
หลังกินอาหารกลางวันเสร็จหวั่นไท่เฟยก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง กู้หยวนไป๋พาคนไปเดินทอดน่องอยู่ในสวน บุปผานานาพันธุ์บานสะพรั่ง ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม ครั้นได้เห็นอะไรที่เขียวขจีแล้วคนทั้งคนก็ราวกับว่าได้รับการชำระล้างให้สดชื่นอีกครั้ง
เสียงนกร้องดังไม่ขาดสาย กู้หยวนไป๋เยื้องย่างผ่อนคลายอยู่ริมธาร พูดคุยสัพเพเหระกับคนข้างกาย “หลายวันนี้เจิ้นยุ่งจนหัวหมุนจริงๆ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาโดยบังเอิญก็พบว่าใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว”
เมื่อพูดจบจิตใจเขาก็ล่องลอย หวั่นไท่เฟยจะสามารถอยู่พ้นฤดูร้อนนี้หรือไม่
หลังจากที่กู้หยวนไป๋ทะลุมิติมาแล้วก็พบหน้าหวั่นไท่เฟยน้อยครั้งจนนับนิ้วได้ ถึงกระนั้นแล้วความรู้สึกในความทรงจำก็ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับสุขภาพของหวั่นไท่เฟยอยู่เสมอ หมอหลวงประจำราชสำนักจะรายงานสภาพร่างกายของหวั่นไท่เฟยให้กู้หยวนไป๋ฟังทุกๆ สองวัน เมื่อคิดกลับกันหวั่นไท่เฟยก็คงจะเป็นห่วงสุขภาพของเขาเช่นกัน
กู้หยวนไป๋กำลังครุ่นคิดอย่างช้าๆ ทั้งร่างกายก็เคลื่อนไหวช้าลงตามไปด้วย เถียนฝูเซิงที่อยู่ข้างกายกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมโน้มน้าวฝ่าบาทก็ไร้ประโยชน์ ทว่าฝ่าบาทต้องฟังสิ่งที่หวั่นไท่เฟยตรัสนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้เจิ้นไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” กู้หยวนไป๋พยักพเยิดหน้า “ไปรอตรงโน้น”
เถียนฝูเซิงถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม เซวียหย่วนรีบก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าก่อนที่หัวหน้าทหารองครักษ์จางจะก้าวออกไป ทำทีเป็นว่าสนิทชิดเชื้อกับกู้หยวนไป๋มากที่สุด
ทันทีที่กู้หยวนไป๋ถูกแหล่งความร้อนเข้าใกล้ เขาก็หันไปชายตามอง “อยู่ให้ห่างเจิ้นหน่อย”
เซวียหย่วนหัวเราะ “ฝ่าบาท สองวันก่อนฝ่าบาทยังตรัสชมกระหม่อมอยู่เลยว่าตัวกระหม่อมอุ่นสบายนัก”
มุมปากของกู้หยวนไป๋ยกขึ้นด้วยความรังเกียจ ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เมื่อองครักษ์เซวียร้อนก็มีข้อดีในความร้อนนั้น เมื่อไม่ควรร้อนแต่ยังร้อนเพียงนี้ ก็น่ารำคาญอยู่บ้าง”
เซวียหย่วนขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอะไร
กู้หยวนไป๋หัวเราะพลางเดินไปอีกสองสามก้าว ทว่าเท้ากลับเหยียบลงบนพื้นเปียก ทันทีที่ลื่นคนทั้งคนก็แทบจะพุ่งลงไปในน้ำ
เซวียหย่วนตกใจรีบยื่นมือออกไปคว้าเข็มขัดของกู้หยวนไป๋เอาไว้และออกแรงดึงกลับมาท่ามกลางอันตรายซ้อนอันตรายนี้ ทว่าแรงเฉื่อยก็ยังทำให้เซวียหย่วนหงายหลัง เขาดึงกู้หยวนไป๋เข้ามาในอ้อมแขนก่อนที่จะล้มลง จากนั้นก็ม้วนหลายตลบเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง
เข็มขัดของกู้หยวนไป๋ถูกเซวียหย่วนคว้าไว้ หลังจากที่เซวียหย่วนตั้งสติได้แล้ว กู้หยวนไป๋ก็ถูกเขากดไว้ใต้ร่างด้วยสภาพที่กำลังวิงเวียนศีรษะและสติยังไม่กลับมาอย่างครบถ้วน มือข้างหนึ่งของเซวียหย่วนยังคงวางอยู่ที่เอวของกู้หยวนไป๋ และสามารถสัมผัสถึงขอบกางเกงที่ใต้ฝ่ามือ
ในสมองว่างเปล่า เซวียหย่วนจำได้เพียงคำว่า ‘เปลื้องกางเกง’ สามพยางค์นี้เท่านั้น เขาฉวยโอกาสนี้ปลดเปลื้องมันตามจิตใต้สำนึกและคนทั้งคนก็ตกอยู่ในสภาวะงุนงง
ครั้นก้มหน้าลงมอง เขาก็แข็งทื่ออยู่ที่เดิม
เห็นแล้ว
กู้หยวนไป๋รู้สึกเย็นวาบจึงได้สติคืนมาในที่สุด เขาพยุงตัวขึ้นมองก็เห็นว่าเซวียหย่วนกำลังเปลื้องกางเกงของตนพร้อมกับเหม่อมองอย่างตกตะลึง อีกฝ่ายดูสับสนราวกับได้ลิ้มรสยาวิเศษเข้าไป
สีหน้าของกู้หยวนไป๋มืดมน ครั้นได้ยินเสียงทหารองครักษ์วิ่งมาทางนี้พร้อมเปล่งเสียงอุทานก็พูดโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง “ห้ามทุกคนเข้ามา!”
บรรดาทหารองครักษ์หยุดยืนอยู่ในพงหญ้าไม่ไกล มองดูเสื้อผ้าของฮ่องเต้และขององครักษ์เซวียที่กองยับย่นอยู่ด้วยกัน เอ่ยถามอย่างสับสนว่า “ฝ่าบาท?”
ฮ่องเต้สีหน้าบึ้งตึง ทั้งน้ำเสียงก็ยังน่ากลัวยิ่ง “ไปให้พ้น”
เซวียหย่วนต้องการจะหลุดจากสถานการณ์นี้จึงปล่อยมือจากกางเกงและถอยร่นออกไปด้วยอาการตื่นตกใจ การเคลื่อนไหวของเขาดูเป็นที่สังเกตมาก มันชัดเจนเสียจนทหารองครักษ์รอบๆ ที่กำลังจะถอยออกไปต่างสะดุ้งโหยง ทุกคนต่างมองเซวียหย่วนอย่างงุนงง ทว่าเซวียหย่วนกลับจำได้เพียงคำว่า ‘ไปให้พ้น’ เท่านั้น เขาผลักฝูงชนกำลังจะจากไป
เซวียหย่วนมีใบหน้าที่คมสันและสง่างาม บัดนี้ใบหน้าหล่อเหลาที่มีคิ้วดุจดาบยาวจรดขมับนั้นแดงระเรื่อโดยสมบูรณ์แล้ว
เหล่าทหารองครักษ์คนอื่นได้สติกลับมาก็รีบถอยตามไปด้วย เซวียหย่วนเดินจากไปไม่ถึงสองก้าวก็ถูกเรียกไว้อย่างกะทันหัน
กู้หยวนไป๋ยังคงนอนอยู่บนพื้นหญ้า ลุกขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนมีเศษหญ้าเล็กๆ ติดอยู่ตามร่างกาย ใบหน้าของเขาดำคล้ำพอที่จะสกัดหมึกออกมาได้ “เซวียหย่วน…”
ร่างกายของเซวียหย่วนชาวาบ หันไปคุกเข่าลงทันใดไม่แม้แต่จะดิ้นรนด้วยซ้ำ “กระหม่อมขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นบรรดาทหารองครักษ์คนอื่นเห็นสีหน้าของฮ่องเต้เช่นนี้ก็เผ่นแน่บไปนานแล้ว
กู้หยวนไป๋ดึงหญ้าบนพื้น เผยให้เห็นรอยยิ้มอันตรายอันน่าสะพรึง เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและมองที่เซวียหย่วนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
เซวียหย่วนถูกมองจนรู้สึกอึดอัด ใบหน้าและลำคอหยาบกร้านที่แดงระเรื่อก่อนหน้านี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สามารถมองเห็นสีแดงบนใบหน้าหล่อเหลาและใบหูได้อย่างชัดเจน
นี่มันอาการอะไรกัน เห็นของลับของเขาแล้วยังจะหน้าแดงอีก?!
กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซวียหย่วนด้วยรอยยิ้มเย็นชา ยกเท้าขึ้นเตะแท่งเดรัจฉานของเขาอย่างแรงโดยไร้ซึ่งความเมตตา “เซวียจิ่วเหยา ก่อนหน้านี้เจิ้นนึกว่าที่เจ้าพูดว่าอยากเห็นแท่งผลิตลูกหลานของเจิ้นเป็นเพียงวาจาเหลวไหล คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะซ่อนความคิดนี้ไว้จริงๆ!”
“…” สีหน้าของเซวียหย่วนบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด เขาไม่กล้าขยับตัว บัดนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ท่อนล่างเจ็บปวดจนในสมองว่างเปล่า ท่ามกลางหยาดเหงื่ออันหนาวเหน็บนี้เขากลับพูดออกมาเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว “กระหม่อมมีหัวใจที่จงรักภักดีนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ขาของกู้หยวนไป๋หยุดชะงัก
เซวียหย่วนเหงื่อชุ่มศีรษะ ในแววตาและการแสดงออกมีคำว่า ‘แน่วแน่’ ปรากฏอยู่เต็ม ประโยคของเขานี้ทรงพลังและชัดเจน ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ราวกับสิ่งที่พูดนั้นคือความจริง ราวกับว่าหัวใจของเขาก็คือหัวใจแห่งความจงรักภักดี
เดิมทีกู้หยวนไป๋นึกว่าเซวียหย่วนผู้ที่จะกลายเป็นพระเอกของนิยายชายรักชายในอนาคตนี้มีใจให้กับเขา เดิมทีการที่บดขยี้สิ่งนี้อยู่เขาก็ตั้งใจทำให้เซวียหย่วนไร้สมรรถภาพโดยตรง แต่เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย มองเซวียหย่วนด้วยท่าทางคุกคามอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวย้ำอย่างเชื่องช้าว่า “หัวใจแห่งความจงรักภักดี?”
เม็ดเหงื่อไหลลงมาจากศีรษะของเซวียหย่วน
ใต้ฝ่าเท้าของกู้หยวนไป๋คือของรักของหวง ท่าทางเช่นนี้ของกู้หยวนไป๋เห็นได้ชัดว่าเพียงวาจาไม่เข้าหูก็สามารถทำลายเขาได้ทันที ส่วนนั้นของเขาราวกับรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น จึงเงียบงันไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
เซวียหย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “หัวใจแห่งความจงรักภักดีพ่ะย่ะค่ะ”
เจ็บ… นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ก็คล้ายจะมีความสบายเล็กๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้
กู้หยวนไป๋มองลงมาจากด้านบน ขณะที่เซวียหย่วนเงยหน้ามองก็เห็นลำคอและกรามขาวของกู้หยวนไป๋ เสื้อคลุมไม่อาจกีดขวางขาของเขาได้ เมื่อเขายกเท้าขึ้นเหยียบเซวียหย่วนเบาๆ เท้านั้นก็ทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน
สีหน้าของฮ่องเต้ที่โหดร้ายและเฉยเมยขึ้นเรื่อยๆ นั้นมีความอันตรายซ่อนอยู่ หัวใจของเซวียหย่วนจึงสั่นรุนแรงขึ้นทุกที
มันช่างน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการเข้าไปในสนามรบและสังหารศัตรูนับพันเสียอีก
ไม่รู้ว่ากู้หยวนไป๋เชื่อหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็พลันหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าเซวียจิ่วเหยายังมีหัวใจจงรักภักดีอีกหรือ”
หัวใจของเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง
เซวียหย่วนคล้ายกำลังมึนเมาแต่ก็ยังต้องตื่นขึ้นมาดื่มสุราต่อ เขากล่าวอย่างซื่อตรงว่า “บิดาของกระหม่อมได้สอนกระหม่อมแล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าหัวใจแห่งความจงรักภักดี”
กู้หยวนไป๋คิดในใจ เซวียหย่วนจงรักภักดีหรือไม่นั้นเขาไม่รู้ ทว่าหัวใจแห่งความจงรักภักดีของแม่ทัพเซวียนั้นเขากลับเชื่อเพียงห้าส่วน
ฟังจากน้ำเสียงและสีหน้าของเซวียหย่วนแล้วไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกจริงๆ กู้หยวนไป๋มิได้ชักเท้ากลับในทันที แต่กลับถามต่อว่า “หัวใจแห่งความจงรักภักดีขององครักษ์เซวียก็คือการเปลื้องกางเกงของเจิ้นเช่นนั้นหรือ”
เซวียหย่วนคิดในใจ มาแล้ว
เขายกยิ้มมุมปาก ในช่วงที่สำคัญเช่นนี้ความมั่นใจของผู้นำทัพกลับมาอย่างกะทันหัน “เมื่อครู่ตอนที่กระหม่อมดึงเข็มขัดของฝ่าบาท คล้ายไม่ทันระวังจนกระแทกเข้าที่พระเพลาของฝ่าบาทเข้า ในขณะนั้นกระหม่อมร้อนใจยิ่งจึงต้องการเปลื้องกางเกงดูพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ชักเท้ากลับ ในชั่วขณะที่รองเท้ามังกรกลับมาเหยียบพื้นเหงื่อบนศีรษะของเซวียหย่วนจึงหยุดไหลลงบ้าง ในใจลอบถอนหายใจโล่งอก ทว่าหลังจากโล่งใจแล้วเซวียหย่วนก็พลันนึกสงสัยว่าบิดากล่าวว่ามันคือหัวใจแห่งความจงรักภักดีก็คงจะเป็นเช่นนั้น แล้วจะโล่งอกเพราะเหตุใดกัน จู่ๆ ก็นึกละอายใจขึ้นมาหรือไร
“การกระทำที่หยาบช้าไร้สมองเช่นนี้” สีหน้าของฮ่องเต้น้อยเรียบเฉย ในความโหดร้ายนั้นยังแฝงความน่าสะพรึงไว้ “หากยังมีครั้งหน้าอีก เจิ้นก็จะจับเจ้าตอนเสีย!”
ด้วยส่วนนั้นรู้สึกเจ็บเซวียหย่วนจึงแสดงสีหน้าเจ็บปวดเหลือทนออกมาให้เห็น เขาข่มมันไว้พร้อมกับกล่าวว่า “กระหม่อม…กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.