ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 89
หลังจากเซวียหย่วนกินข้าวอิ่มแล้วก็ออกไปดูว่าทหารได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไร
บรรดาผู้ประสบภัยที่หิวโหยเป็นเวลานานกำลังเข้าแถวรอรับอาหาร ดวงตาที่มองไปเบื้องหน้าเปี่ยมด้วยความหวัง ผู้คนจำนวนมากเรียงแถวกันเต็มพื้นที่เปิดโล่งจนมองไม่เห็นหัวแถว เมื่อมองไปก็เห็นเพียงศีรษะของผู้คนขนัดแน่น
เซวียหย่วนถาม “พวกเจ้าจัดการกลุ่มผู้ประสบภัยที่ตามขบวนขนส่งอาหารมาแล้วหรือยัง”
เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลทหารส่งเสบียงตอบว่า “พวกข้าจัดการกับผู้ประสบภัยเหล่านั้นแล้ว เพียงแต่พวกเขาหิวโหยมานานเกินไป บัดนี้จึงกินได้เพียงโจ๊กกับผักเท่านั้น ที่ห้องครัวกำลังปรุงโจ๊กอยู่ขอรับ”
เซวียหย่วนเอ่ยด้วยความกระชับรัดกุม “ให้คนพาข้าไปดูที่พักของผู้ประสบภัย”
เจ้าหน้าที่ส่งทหารนายหนึ่งตามไป เซวียหย่วนเดินเข้าไปใจกลางของผู้ประสบภัย เห็นว่าหลายคนได้รับอาหารแล้วและกำลังล้อมวงทำอาหารกินกันในหม้อ
ผู้ประสบภัยเหล่านี้พากันตั้งถิ่นฐานใหม่ในชายแดนตอนเหนือ เนื่องจากมีคนจำนวนมากเกินไปสถานที่ตั้งถิ่นฐานของคนจำนวนมากจึงไม่สามารถเรียกว่าเป็นบ้านได้ด้วยซ้ำ ลมพัดเข้ามาจากทุกด้านและน้ำฝนรั่วจากหลังคา ระหว่างที่แม่ทัพเซวียกำลังยุ่งอยู่นั้น จึงทำได้เพียงสร้างบ้านพักเพื่อรองรับผู้ประสบภัยบางส่วน ทว่าท่ามกลางความหนาวเย็นของชายแดนตอนเหนือ บ้านดังกล่าวไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ชายแดนตอนเหนือหนาวเกินไป
เซวียหย่วนรู้ดีว่าความหนาวเหน็บนี้มีรสชาติอย่างไร รู้ว่าหิมะของชายแดนเหนือมีรสชาติเป็นอย่างไร ฮ่องเต้ชอบที่เขาร้อนแต่ก็รังเกียจที่เขาร้อน แม้แต่เซวียหย่วนที่ร้อนและไม่กลัวหนาวก็ยังถูกแช่แข็งอยู่ในฤดูหนาวของชายแดนตอนเหนือ จนมือเท้าแข็งทื่อและไม่สามารถก้าวขาได้เลย
บัดนี้ย่างเข้าปลายเดือนสิบแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้จะมีอาหารแต่ผู้ประสบภัยจำนวนมากก็ยังต้องล้มตายเพราะความหนาว ชีวิตของคนเหล่านี้ไร้ค่า เมื่อแข็งตายก็จะตายกันเป็นเบือ ทว่าหลังจากความเหน็บหนาวและการระบาดของตั๊กแตนแล้ว เป็นไปได้ว่าจะนำมาซึ่งโรคระบาดจากคนสู่คนได้
เหตุผลที่ฮ่องเต้น้อยส่งยาและหมอจำนวนมากมาก็เพราะความกังวลนี้
หลังจากเซวียหย่วนสำรวจรอบหนึ่งแล้วก็พาคนขี่ม้าลากรถค้นหาวัสดุสำหรับสร้างบ้านในทันที เพื่อเตรียมสร้างห้องที่อย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้คนสามารถอยู่รอดได้ ก่อนที่ฤดูหนาวซึ่งสามารถทำให้ผู้คนแข็งตายได้อย่างแท้จริงจะมาถึง
เขาบอกว่าจะทำก็ทำทันทีและนำคนลงมือทำอย่างจริงจัง หลังจากแม่ทัพเซวียรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรแล้วก็แบ่งกำลังพลให้เขาจำนวนหนึ่ง ยิ่งคนมากกำลังก็ยิ่งมากและจะได้ดำเนินการได้เร็วขึ้น
หลังจากนำวัสดุสำหรับสร้างบ้านกลับมาแล้ว ผู้ประสบภัยในชายแดนตอนเหนือก็รู้แล้วว่าเหล่าทหารวางแผนจะทำอะไร พวกเขาลุกขึ้นยืนเงียบๆ และเข้าไปร่วมช่วยด้วย
เซวียหย่วนโยนหินก้อนที่หนักที่สุดลงบนพื้น ปัดๆ มือ จากนั้นก็หยิบกริชออกจากอกเสื้อเพื่อลับท่อนไม้ ทหารที่กำลังตัดฟืนอยู่ข้างๆ มีเหงื่อชุ่มศีรษะแล้ว เมื่อเห็นเขาดังนี้จึงตะโกนว่า “แม่ทัพน้อย แสดงฝีมือหน่อย!”
กริชในมือของเซวียหย่วนหมุนวนรอบมือสองครั้ง ปรากฏเป็นรูปดอกไม้ทั้งด้านบนและล่าง มือนี้มีพลังมหาศาล ใบมีดฉายประกายเย็นยะเยือก แสงสีขาวที่เจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์เฉือนอยู่บนไม้ฟืนหลายรอบ
เหล่าทหารและผู้ประสบภัยที่กำลังสร้างบ้านถูกดึงดูดความสนใจด้วยเสียงตะโกนว่า ‘เยี่ยมๆ’ พวกเขามองมาทางนี้ สูดหายใจและพลอยปรบมือพร้อมกับร้องว่าเยี่ยมๆ ตามไปด้วย
เนื่องจากทหารเหล่านี้ประจำการที่ชายแดนตอนเหนือจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงของภัยพิบัติตั๊กแตนและชนเผ่าเร่ร่อนอยู่เสมอ ภายนอกมีสถานการณ์ภัยพิบัติอันเลวร้าย ภายในมีวิกฤตอาหารขาดแคลน หลังจากกินข้าวต้มติดต่อกันเป็นเวลาสิบวัน ขวัญกำลังใจของทหารก็ลดต่ำไปมาก พวกเขารู้สึกกังวลและไม่สบายใจอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา อาหารที่เซวียหย่วนนำมานั้นคือกำปั้นหนักๆ ที่ทำลายความวิตกกังวลของพวกเขาจนแตกละเอียด แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอ เหล่าทหารและผู้ประสบภัยที่ด้านชาต้องการฉากแห่งความรื่นเริงอันสมบูรณ์เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจและจุดประกายความหวังใหม่
ฉากแห่งชัยชนะ
ชายแดนตอนเหนือต้องการฉากแห่งชัยชนะเพื่อมาสร้างแรงบันดาลใจ
เซวียหย่วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง หมุนกริชเป็นรูปดอกไม้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างเกียจคร้าน และดึงมือกลับมาอย่างงดงาม
เหล่านายทหารที่ยืนมองดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ พาสหายทหารเข้ามาพร้อมกับร้องว่าเยี่ยมๆ ไม่หยุด ผู้คนกระตือรือร้นมากขึ้น พากันชูสองกำปั้นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคำราม
พวกเขาเฮฮากันแต่ในหมู่ของพวกเขา ส่วนเซวียหย่วนกลับก้มศีรษะสลักไม้อีกครั้ง ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มือที่ถือกริชกลับสลักอักขระสามตัวอยู่บนไม้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อสลักเส้นสุดท้ายเสร็จสิ้น เซวียหย่วนก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเริ่มสลักเส้นแรกของชื่อนี้ออกมาได้อย่างไร
เขาเหม่อลอย นิ้วหัวแม่มือลูบคลำอยู่บนลายอักขระ หยางฮุ่ย ขุนพลซึ่งเคยร่วมรบด้วยกันกับเขาในสนามรบที่ชายแดนตอนเหนือเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้ามอง ถามด้วยเสียงก้องกังวาน “แม่ทัพน้อย นี่คือตัวอักษรใด”
นิ้วของเซวียหย่วนลูบอยู่บนตัวอักษรตรงกลางพอดี เขายิ้มๆ ห้อมล้อมไปด้วยสายลมและผืนทรายแห่งความโหยหา “หยวน”
กู้เหลี่ยน กู้หยวนไป๋
แม่ทัพหยางนึกขึ้นได้ทันใด “นี่ไม่ใช่ชื่อของแม่ทัพน้อยหรอกหรือ”
“ไม่ใช่” เซวียหย่วนหัวเราะ “นี่เรียกว่าเป็นวาสนา”
เซวียหย่วน เซวียจิ่วเหยา
สอดคล้องกันอย่างแท้จริง
สอดคล้องกันจนสวรรค์ทำใจที่จะให้ฟ้าผ่าข้าตายไม่ได้
เซวียหย่วนอารมณ์ดีแล้ว เขาสลักคำว่า ‘เซวียจิ่วเหยา’ ที่งดงามดุจมังกรร่อนหงส์ระบำ สามคำด้านข้างคำว่า ‘กู้หยวนไป๋’ ก่อนชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกสบายใจ
ทว่าไม้ที่ถูกแกะสลักหกตัวไม่อาจใช้งานได้แล้ว เช่นนั้นอาจต้องถูกกำจัดทิ้ง ครั้นเซวียหย่วนคิดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว เขาลุกขึ้นพรวด หยิบไม้กับกริชและก้าวเท้ายาวๆ ไปยังค่ายทหาร
“แม่ทัพน้อย?” เสียงตะโกนจากด้านหลังค่อยๆ ไกลห่างออกไป
ครั้งนี้หัวใจของเซวียหย่วนกำลังร้อนเป็นไฟ ความวู่วามของชายหนุ่มพุ่งทะยานจากร่างกายขึ้นสู่ท้องฟ้า เขากลับไปที่ค่ายทหารคว้าดาบเล่มใหญ่แล้วพกไว้ที่เอว จูงเลี่ยเฟิงแล้วพลิกกายขึ้นบนหลังมัน หวดแส้ควบจากไป “ย่าห์!”
เลี่ยเฟิงห้อตะบึงออกจากชายแดนจนถึงเขตแดนของเผ่าชี่ตันราวกับลูกธนู
ในบรรดาเผ่าชี่ตันที่อยู่ใกล้กับชายแดนมากที่สุดก็คือเผ่าของรื่อเหลียนน่า เซวียหย่วนขี่ม้าเข้าไปใกล้เงียบๆ เพื่อหลบเลี่ยงทหารยาม และหยุดม้าห่างออกจากกระโจมของเผ่ารื่อเหลียนน่าทางทิศตะวันออกหนึ่งร้อยหลี่ เลี่ยเฟิงยกกีบเท้าแล้วร้องฮี้เสียงสูง การควบม้าชะงักงันด้วยความเร็วสูงสุด
เซวียหย่วนจัดแจงเสื้อผ้าแล้วลงจากม้า ปักท่อนไม้ที่สลักชื่อของเขากับกู้หยวนไป๋จมดิน
ดินหนาปกคลุมท่อนไม้จนมิด เซวียหย่วนยืนมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จดจำตำแหน่งพอสังเขปแล้วยิ้ม
พระอาทิตย์แรกขึ้นทางทิศตะวันออกของทุ่งหญ้าจะชำระล้างพื้นดินผืนนี้
เซวียหย่วนซ่อนความปรารถนานี้ไว้ใต้ฝ่าเท้าของศัตรู เมื่อทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นี้ตกเป็นของกู้หยวนไป๋แล้ว ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงจะค้นพบความลับนี้เอง
สายลมไม่อาจพัดไหว สายฝนไม่อาจชะล้าง ตราบใดที่กู้หยวนไป๋ยังไม่ยอมรับเซวียหย่วน ท่อนไม้นี้ก็จะคงตั้งอยู่ไม่ล้มลง นอกจากเซวียหย่วนและฟ้าดินแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้
เซวียหย่วนพลิกกายขึ้นบนหลังเลี่ยเฟิง บังคับมันให้หันตัวกลับมาแล้วขี่จากไป ม้าเร็วห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางลมหนาว
ขณะที่เขาขี่ม้าย่ำออกมาจากดินแดนของรื่อเหลียนน่านั้น ก็ก้มศีรษะหันกลับไปมองกระโจมของเผ่าชี่ตันเบื้องหลังที่เล็กจิ๋วเหมือนมด
รื่อเหลียนน่า
เจ้าอยู่ใกล้เพียงนี้ หากเจ้าไม่ตายจะเป็นใครได้เล่า
รื่อเหลียนน่าคิดว่าการโจมตีแม่ทัพหนุ่มนั้นควรจะเร่งมือไม่อาจล่าช้า สองวันต่อมาจึงเริ่มส่งทหารม้าไปดูลาดเลา และเริ่มการจู่โจมแบบฉับพลันหลายครั้งกับทหารลาดตระเวนที่รักษาการณ์ต้าเหิง
ทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้ชนะและผู้แพ้ แต่เนื่องจากม้าชี่ตันไม่ได้กินอาหารอย่างเพียงพอมาหลายวัน บัดนี้พวกมันจึงอ่อนแอมาก ทหารลาดตระเวนของต้าเหิงไม่ได้ต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีตามที่แม่ทัพสั่งการไว้ ก็เพื่อให้รื่อเหลียนน่ารู้สึกว่าเขาได้เห็นกำลังพลของกันและกันแล้ว
แต่ถึงกระนั้น นี่เป็นการดูถูกชาวชี่ตันที่ภาคภูมิใจกับการสงครามและทหารม้าของตนเองมาโดยตลอด
หลังจากการเผชิญหน้าและการจู่โจมไม่กี่ครั้ง รื่อเหลียนน่าก็มีแผนการในใจ เขาเตรียมการอยู่สิบวันเพื่อรวบรวมทหารม้าเข้ากดดันชายแดน โดยแบ่งทหารออกเป็นสองฝ่ายเพื่อเข้าใกล้ชายแดนของต้าเหิงจากทิศตะวันออกและตะวันตก
ภายในค่ายของต้าเหิง แม่ทัพเซวียรับข้าศึกจากทางทิศตะวันตก ส่งทหารม้าสามพันนายและทหารราบห้าพันนายให้เซวียหย่วนเพื่อป้องกันศัตรูภายนอกจากด้านหลัง เซวียหย่วนรับคำสั่งและนำทหารทั้งแปดพันนายไปยังจุดหมายเพื่อจัดแถวกองทหาร
ทหารแปดพันนายยืนอยู่ในท่าตามระเบียบ เรียงแถวตามรูปแบบทัพเผชิญหน้าที่เซวียหย่วนจัดแจงไว้ พวกเขาสวมชุดเกราะครบครัน ถือปืนและดาบคมกริบที่สะท้อนแสงเย็นยะเยือก หลังจากผ่านการฝึกฝนมานานกว่าสิบวัน ทหารก็กลับมามีพลังอีกครั้ง สิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้เกราะนั้นมีเพียงร่างกายแข็งแรงทรงพลัง
เครื่องยิงธนูของต้าเหิงเรียงรายรอบทิศ อาวุธธนูกลขนาดใหญ่สามารถยิงลูกธนูอย่างต่อเนื่องถึงหนึ่งหมื่นดอก ก่อให้เกิดฝนลูกธนูหนาแน่นจำนวนมหาศาล เครื่องยิงธนูแต่ละเครื่องล้วนมีทหารสามถึงห้านายที่ทำหน้าที่เป็นมือยิงธนู
ฉากสงครามนี้ล้วนอยู่ในสายตาของเซวียหย่วน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชัดเจนแล้ว
ทหารม้าของชนเผ่าเร่ร่อนแข็งแกร่งและดุร้าย แต่ม้าของพวกเขานั้นอ่อนแอมากจนไม่สามารถลุกขึ้นวิ่งได้แล้ว อาวุธที่ชนเผ่าเร่ร่อนใช้ยังคงเป็นคันธนู ดาบ และปืนอันเป็นอาวุธพื้นฐานที่สุด พวกเขาถูกกำแพงยาวกั้นกลาง ไม่มีทางเรียนรู้วิธีทำอาวุธ และเมื่อพวกเขาหันไปรอบๆ ดินแดนของตัวเอง ทหารของต้าเหิงกลับมีหน้าไม้และลูกศรครบมือ
ทัพชี่ตันจะชนะได้อย่างไร
เซวียหย่วนมองไปยังกองทหารม้าของศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา เลิกคิ้วและยิ้มอย่างล้ำลึก สั่งทหารให้เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี
รื่อเหลียนน่านำกองทัพอ้อมไปทางทิศตะวันออกเพื่อเผชิญหน้ากับเซวียหย่วนด้วยตัวเอง กองทหารม้าขนาดใหญ่ยังไม่ทันจะมาถึงใต้กำแพงก็มองเห็นกองทัพที่เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีแล้ว
แรงปรารถนาที่หมายจะสังหารวูบผ่านดวงตาของรื่อเหลียนน่า “นั่นคือแม่ทัพที่ราชสำนักส่งมาหรือ”
รองแม่ทัพพยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะใช่ขอรับ”
ความทะเยอทะยานของพวกเขาถูกกระตุ้นด้วยเสบียงธัญพืชของต้าเหิง ดวงตาของพวกเขาลุกช่วงโชติ คนทั้งเผ่าแผดเสียงร้องอย่างทรงพลัง โห่ร้องพลางพุ่งไปเบื้องหน้าจนกระทั่งเผชิญหน้ากับเซวียหย่วน
จังหวะการเคลื่อนไหวอันรุนแรงเช่นนี้สามารถทำให้ทหารใหม่ตกใจจนเข่าอ่อนได้ รื่อเหลียนน่าที่จินตนาการถึงภาพแห่งชัยชนะไว้แล้วหัวเราะเสียงดังก่อนที่ทหารม้าจะพุ่งเข้าไปหาศัตรูเสียอีก
อย่างไรก็ดี ในชั่วขณะต่อมาอาการหัวเราะร่ากลับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าของผู้นำทัพของต้าเหิงแล้ว ใบหน้านี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ไม่มีสิ่งใดจะคุ้นเคยไปกว่านี้อีกแล้ว! ผู้นำทัพหนุ่มที่ราชสำนักส่งมาก็คือเซวียหย่วนผู้ที่เคยกัดชั้นผิวหนังของเขาอย่างโหดเหี้ยมมาก่อน!
เป็นบุตรชายของตาเฒ่าเซวียผิง เซวียหย่วน!
สีหน้าของรื่อเหลียนน่าแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันใด
เซวียหย่วนมองเห็นรื่อเหลียนน่าอยู่นานแล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา เอ่ยเสียงสูงว่า “ยิงธนู!”
การเคลื่อนไหวของพลธนูมีความพร้อมเพรียงหมดจด พวกเขาใช้หน้าไม้และคันธนูแบบใหม่ที่กองโยธาธิการสร้างขึ้นเพื่อโจมตีชาวชี่ตันราวกับฝนลูกธนู
ลูกธนูนับหมื่นพันพุ่งลงมาจากอากาศ รูของเครื่องยิงธนูขนาดใหญ่เล็งไปยังศัตรูที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ปลดปล่อยอาวุธอันทรงพลังนี้ท่ามกลางสีหน้าสยดสยองและเหลือเชื่อของพวกเขา
น่าเศร้าที่ทัพชี่ตันเดินเข้าไปในแนวการยิงของทหารต้าเหิงแล้ว ทว่าทหารต้าเหิงยังอยู่ไกลเกินขอบเขตการยิงของพลธนูชี่ตัน
พวกเขาทำได้เพียงยอมรับมัน ไม่สามารถโต้ตอบได้เลย
ลูกธนูดุร้ายนับหมื่นพันพุ่งเข้าใส่ร่างและม้าของทัพชี่ตัน ม้าตกใจเพราะฝนลูกธนูวิ่งกระเจิดกระเจิงไปทั่วทุกทิศทาง มีคนถูกม้าที่วิ่งอย่างคลุ้มคลั่งสลัดตก จากนั้นก็ถูกกีบเท้าเหยียบย่ำจนตาย ม้าที่กินไม่อิ่มมานานเหล่านี้ใกล้จะทรุดอยู่แล้ว ครั้งนี้เมื่อถูกทำให้ตกใจกลัว ความตื่นตระหนกของม้าตัวหนึ่งจึงนำไปสู่ความตื่นตระหนกโกลาหลของม้าอีกหลายตัว ทหารชี่ตันจำนวนมากล้มตายท่ามกลางฝนลูกธนูและม้าพยศเหล่านี้
ช่างน่าขันเหลือเกิน
สีหน้าของรื่อเหลียนน่าบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัวเล็กน้อย
ก่อนที่ทัพชี่ตันจะเข้าใกล้ทหารต้าเหิง คนในเผ่าของรื่อเหลียนน่าก็มีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้ เขาคำรามเสียงดัง “กองกำลังป้องกัน! กองกำลังป้องกันจากด้านบน! ก้าวไปข้างหน้าเพื่อตอบโต้การยิงธนู!”
รองแม่ทัพต้านสายฝนลูกธนูที่พุ่งลงมาทั่วท้องฟ้าอย่างยากลำบาก ไม่สามารถขยับเท้าไปข้างหน้าได้เลย เขากล่าวด้วยความตื่นกลัว “หัวหน้า ขยับไม่ได้แล้ว!”
ตามปกติฝนธนูจะตกลงมาเป็นระลอกและมักจะมีเวลาให้โต้กลับ ทว่าครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลธนูของต้าเหิง เป็นไปได้หรือไม่ที่มีพลธนูหลายชั้นสลับกันไปมา ทำให้ฝนลูกธนูไม่ลดลงแม้แต่น้อย ทั้งยังทำให้พวกเขาก้าวเดินได้อย่างยากลำบากอีกด้วย
แต่มันก็ควรมีเวลาสิ้นสุดไม่ใช่รึ!
ซากศพของทหารชี่ตันและม้าที่ถูกลูกธนูยิงตายเบื้องหน้าขวางทางไม่ให้ทหารในเผ่าที่เหลือเคลื่อนตัวไปได้ ต่อให้รื่อเหลียนน่าตายก็ไม่คาดคิดว่าเหตุใดการจู่โจมของฝนลูกธนูครั้งนี้ถึงได้รุนแรงนัก แม้แต่ผู้คุ้มกันคนสนิทที่ปกป้องเขาก็ตายไปแล้ว รื่อเหลียนน่ากัดฟัน ความตายและความละอายของการพ่ายแพ้ต่อต้าเหิงถูกดึงกลับไปกลับมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นและในที่สุดก็เอ่ยว่า “ถอย!”
มองดูแผ่นหลังของทหารชี่ตันที่หนีตายอย่างทุลักทุเล มองดูซากศพและม้าที่ถูกลูกธนูยิงตายเกลื่อนพื้น ทหารของต้าเหิงจึงหยุดยิง หลังจากตะลึงงันครู่หนึ่งแล้วก็โห่ร้องเสียงดังกึกก้องฟ้า!
และท่ามกลางเสียงโห่ร้องเช่นนี้ ทหารชี่ตันหนีตายเร็วกว่าขี่ม้าเสียอีก พวกเขาปิดบังใบหน้า รู้สึกขายหน้าและอัปยศอดสูอย่างยิ่ง
ฝ่ายศัตรูบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ทว่ากองทัพของตัวเองไร้ผู้บาดเจ็บและล้มตาย นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่!
นั่นคือชี่ตันผู้โหดเหี้ยมที่ปล้นสะดมชายแดนมาหลายครั้งเชียวนะ พวกเขาถูกโจมตีจนยอมแพ้และถอยร่นกลับไปแล้ว!
ที่แท้เผ่าชี่ตันอ่อนแอเพียงนี้หรือ
บทที่ 90
เผ่าชี่ตันถูกชัยชนะในอดีตครอบงำจนหลงละเลิง การล่าถอยของต้าเหิงตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานโอหัง และเนื่องจากความเย่อหยิ่งทั้งประเมินศัตรูต่ำเกินไปครั้งนี้จึงพ่ายแพ้ราบคาบ
ความรู้สึกที่นำชัยชนะครั้งนี้มาสู่เหล่าทหารนั้นเกินคำบรรยาย พวกเขาถูกเซวียหย่วนพากลับไปยังค่ายทหารเพื่อสมทบกับแม่ทัพเซวียราวกับความฝัน
ใบหน้าของแม่ทัพเซวียก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นกัน พวกเขาเองก็ได้รับชัยชนะ แม่ทัพเซวียไม่ค่อยได้รับชัยชนะอันหอมหวานเช่นนี้มากนัก สองเดือนก่อนที่เขามาถึงชายแดน เนื่องจากการระบาดของฝูงตั๊กแตนและชาวบ้านผู้ประสบภัย การต่อสู้จึงเป็นเพียงการโต้กลับของฝ่ายตั้งรับเท่านั้น ไม่เคยสบายใจเช่นนี้มาก่อน
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชายแดนอย่างชัดเจน ฉากที่อาวุธทรงพลังของต้าเหิงทำให้ทหารชี่ตันหนีกลับไปอย่างสิ้นท่านั้นถูกหลายคนจดจำไว้ในส่วนลึกของสมองแล้ว
ขวัญกำลังใจพลุ่งพล่าน ความกลัวและกังวลก่อนการโจมตีกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันสูงส่ง ทหารหลายนายแทบรอไม่ไหวที่จะตะโกนขึ้นฟ้าเพื่อระบายความไร้ประโยชน์และความอัปยศอดสูในอดีตออกมาให้หมด!
ความสุขแห่งชัยชนะก็เหมือนเปลวเพลิงที่ลุกลาม ใช้เวลาเพียงไม่นาน ชาวบ้านก็รู้ข่าวชัยชนะของทหารชายแดนแล้ว
พวกเขาเดินออกจากที่พัก วางก้อนหินและอิฐในมือลง มองดูทหารที่กลับมายังค่ายอย่างมีความสุขบนถนนด้านหน้าพวกเขาพร้อมกับร้องเพลงตลอดทาง
ชาวบ้านในชายแดนตอนเหนือไม่ค่อยได้เห็นเหล่าทหารในท่าทางเช่นนี้เลย
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านและทหารชายแดนไม่ดีนัก ผู้คนในชายแดนตอนเหนือต่างกลัวและเกลียดชังทหารที่ประจำการที่นี่ เกลียดชังพวกเขาที่เฉยเมย เกลียดชังเพราะทั้งๆ ที่มีทหารทว่าไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ พวกเขาด่าทอเหล่าทหารลับๆ ว่าเป็นพวกไร้ประโยชน์ เป็นคนชั่วและเป็นคนบาปเหมือนกับชนเผ่าเร่ร่อน
ความสัมพันธ์ระหว่างทหารและชาวบ้านตึงเครียด ชาวบ้านทำถึงขั้นชูอาวุธขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากทหารด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้พวกเขาต้องตกตะลึง ที่แท้ทหารต้าเหิงก็ไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
พวกเขาก็ปราบปรามศัตรูได้ และสามารถนำชัยชนะกลับมาได้เช่นกัน
ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนและการบุกรุกจากชนเผ่าเร่ร่อนจวนตัวแล้ว มีเพียงกองทัพหลวงเท่านั้นที่สามารถโจมตีพวกมันได้
ราชสำนักต่างไม่ไร้ประโยชน์ กองทัพของพวกเขากล้าโต้กลับแล้ว ปรากฏว่าหลังจากที่กล้าโต้กลับก็สามารถชนะได้อย่างง่ายดาย และสามารถปราบปรามพวกเร่ร่อนกลุ่มนั้นได้ราวกับพลิกฝ่ามือ
ทันใดนั้นชาวบ้านแถบชายแดนเหนือต่างรู้สึกว่าทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
การจัดการชายแดนกำลังดำเนินไปทีละขั้นตอน กองทัพเป็ดหนึ่งแสนตัวได้เข้าสู่เขตระบาดของฝูงตั๊กแตนแล้ว
ทันทีที่พวกมันมาถึงที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนหาอาหารให้อีกต่อไป มันจิกกินตั๊กแตนที่ได้เข้าสู่ระยะตัวอ่อนแทน จิกกันตัวละคำ ระหว่างที่เร่งเดินทางไปยังชายแดนตอนเหนือ กองทัพเป็ดหนึ่งแสนตัวก็สามารถจัดการตัวอ่อนของตั๊กแตนไปได้สองล้านตัวต่อวัน แต่ละตัวกินกันจนอิ่มหมีพีมัน พุงพลุ้ยตัวอ้วนกลม
ตัวอ่อนเหล่านี้ถูกเป็ดกินก่อนที่จะวางไข่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งช่วยลดเวลาในการกำจัดไข่ไปได้อีก
ในนครหลวง กู้หยวนไป๋ก็กำลังติดตามสถานการณ์ที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด
อากาศในนครหลวงก็เริ่มเย็นลงแล้วเช่นกัน ลมหนาวพัดมาชวนให้สั่นสะท้าน ขณะที่คนอื่นๆ อย่างมากก็เสริมเพียงเสื้อคลุมธรรมดา แต่กู้หยวนไป๋กลับต้องสวมเสื้อคลุมตัวหนาแล้ว
จิตใจกระปรี้กระเปร่าทว่าร่างกายกลับตามไม่ทัน เขาเพียงอ่านฎีกานานกว่าเดิมครู่เดียวนิ้วก็ถูกความเย็นแช่แข็งเสียแล้ว หมอหลวงมักจะอยู่เคียงข้างเสมอ หมอหญิงเจียงก็ถูกจัดให้อยู่เคียงข้างฮ่องเต้เพื่อวินิจฉัยและรักษาด้วย
แม้หมอหญิงเจียงไม่รู้ว่าจะรักษาโรคตั้งแต่กำเนิดได้อย่างไร ทว่านางก็รู้ว่าท่านตาในบ้านดูแลท่านตาน้อยในระหว่างฤดูหนาวอย่างไร นางก็ทำตามและใช้วิธีเหล่านั้นกับพระวรกายของฮ่องเต้ทีละขั้นตอน
ไม่ว่าจะเป็นการกดจุด ฝังเข็ม หรือแช่ยา วิธีการของหมอหญิงเจียงสามารถทำให้ร่างกายของกู้หยวนไป๋อบอุ่นได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ความอบอุ่นนี้จางหายเร็วเกินไป สำนักหมอหลวงก็บรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกันด้วยวิธีที่แตกต่างทว่ามีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนเตาอุ่นมือกับกระถางไฟในตำหนักก็มอบเพียงความอบอุ่นจอมปลอมให้กู้หยวนไป๋
ทันทีที่สัมผัสก็อบอุ่นครู่หนึ่ง เมื่อดึงมือออกก็หนาวเหน็บทันตา บางครั้งตื่นขึ้นกลางดึกกู้หยวนไป๋ก็ยังนึกถึงเซวียหย่วนผู้อบอุ่นท่ามกลางความเย็นยะเยือกและความทรมานจากร่างกายอันอ่อนแอนี้
เขาหลับตาแล้วเอนตัวลงบนเตียง ห่มผ้าห่มเย็นๆ พลางนึกถึงความอบอุ่นบนตัวของเซวียหย่วนที่ทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายไร้ที่เปรียบ
เมื่อกำลังจะเข้านอนในวันต่อมาและเหล่าทหารองครักษ์กำลังจะถอยออกไปนั้น ฮ่องเต้ก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “จางซวี่”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางงุนงง ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเอ่ยว่า “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ขึ้นเตียง อุ่นเตียงให้เจิ้นที” กู้หยวนไปกล่าวอย่างกระชับแต่ครอบคลุมความหมาย
หัวหน้าทหารองครักษ์จางตกตะลึง ใบหน้าแดงระเรื่อทันใด แผ่นหลังของเขาแข็งทื่อ กำหมัดถอดเสื้อคลุมและรองเท้าอย่างเงียบๆ แล้วปีนขึ้นไปบนเตียง
ครั้นหมอหญิงเจียงเดินเข้ามาพร้อมกับยาแช่ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็เห็นฉากนี้เข้า นางเดินเข้าไปหาฮ่องเต้อย่างมั่นคงด้วยสีหน้านิ่งเฉย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาท ได้เวลานวดกดจุดแล้วเพคะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองนาง โน้มน้าวว่า “ให้คนอื่นทำก็ได้”
หมอหญิงเจียงส่ายหน้า “หม่อมฉันจัดการเองดีกว่าเพคะ”
ยานี้มีไว้แช่เท้า การนวดกดจุดก็เป็นการนวดบนฝ่าเท้าและน่อง หมอหญิงเจียงมีเคล็ดลับเฉพาะตัวซึ่งถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษในตระกูล และมันไม่ง่ายเลยที่นางจะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้คนอื่น
เสียงน้ำกระฉอก หัวหน้าทหารองครักษ์นอนตัวตรงอยู่บนเตียงราวกับศพ ใบหน้าแดงก่ำจนสามารถต้มไก่ให้สุกได้ทั้งตัว ความร้อนนี้ทำให้เตียงมังกรอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมีผ้าห่มหนาสีเหลืองสดใสห่มคลุมอยู่บนตัวก็ยิ่งทำให้หัวหน้าทหารองครักษ์ร้อนจนเหงื่อออกท่วมตัว
หลังจากแช่ยาเสร็จแล้วกู้หยวนไป๋ก็ขึ้นเตียง หัวหน้าทหารองครักษ์เกร็งไปทั้งตัวและนอนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง ราวกับเป็นเครื่องทำความร้อนส่วนตัว และฟังบทสนทนาระหว่างกู้หยวนไป๋และเถียนฝูเซิง
เตียงอุ่นมาก คิ้วและตาของฮ่องเต้ผ่อนคลาย หลังจากหารือเรื่องเสื้อบุนวมกับเถียนฝูเซิงและมั่นใจว่าสามารถขนส่งเสื้อบุนวมภายในต้นเดือนสิบเอ็ดได้ กู้หยวนไป๋จึงจบการสนทนา
“นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว” เถียนฝูเซิงเอ่ย “มีฎีกามาจากชายแดน ตามคำบอกเล่าของแม่ทัพเซวีย สถานการณ์การระบาดของตั๊กแตนมีสัญญาณที่ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฎีกาจากชายแดนตอนเหนือเมื่อสองวันก่อนมาถึงบนโต๊ะของกู้หยวนไป๋ โดยมีฎีกาของแม่ทัพเซวียเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนที่เหลือเป็นฎีกาที่เซวียหย่วนส่งกลับมาระหว่างทาง จนกระทั่งบัดนี้กู้หยวนไป๋ได้อ่านฎีกาของแม่ทัพเซวียรอบหนึ่งแล้ว
หลังจากฮ่องเต้พยักหน้า เถียนฝูเซิงก็พาคนถอยออกไป ภายในตำหนักไร้ผู้คน กู้หยวนไป๋นอนลง ทว่าหลังจากผ่านไปสักพักก็เริ่มรู้สึกไม่สบายตัวอีก
หัวหน้าทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ความร้อนแผ่มาจากด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ช่องว่างระหว่างพวกเขายังสามารถนอนได้อีกหนึ่งคน ลมที่พัดเข้ามานั้นเหน็บหนาวกว่าการที่ไม่มีคนอุ่นเตียงเสียอีก ความเย็นนี้แปลกประหลาดนัก มันเย็นเฉียบราวกับกำลังเสียดแทงกระดูก ความร้อนและเย็นที่สลับไปมานี้ทรมานกว่าการที่ไม่มีความร้อนเสียอีก
ฮ่องเต้หลับตาลง “ออกไปเถิด”
หัวหน้าทหารองครักษ์ถอยออกไปอย่างแผ่วเบา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูก็ดังขึ้นและถูกปิดลงอีกครั้ง
ผ่านไปหลายวัน เสื้อบุนวมก็ถูกขนขึ้นเกวียนเรียบร้อย กำลังจะมุ่งหน้าสู่ชายแดนตอนเหนือ
กู้หยวนไป๋ตั้งใจไปดูเสื้อบุนวมก่อนส่งออก ใช้โอกาสนี้สุ่มตรวจเสื้อสองสามตัวเพื่อให้มั่นใจว่ามันตรงตามความต้องการของเขา
“จ่ายเบี้ยให้ราษฎรเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ข่งอี้หลินยืนอยู่ข้างๆ “ทูลฝ่าบาท เรียบร้อยไร้ข้อผิดพลาดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” กู้หยวนไป๋พยักหน้าแล้วยิ้ม “เจิ้นจะเป็นผู้นำในการสวมเสื้อบุนวมก่อน ของดีเช่นนี้ คุ้มค่าที่ผู้คนในใต้หล้าจะได้สวมใส่”
ข่งอี้หลินยิ้มสดใส “ดอกฝ้ายในปีนี้ถูกใช้จนหมดแล้ว แต่กระหม่อมเชื่อว่าเมื่อมีฝ่าบาทเป็นแบบอย่าง ผู้เพาะปลูกฝ้ายในปีหน้ามีแต่จะเพิ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ยิ่งเยอะยิ่งดี” กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจ “เพียงแต่น่าเสียดายฤดูหนาวปีนี้ ราษฎรต้าเหิงของเจิ้นกลับไม่สามารถสวมใส่ของดีเช่นนี้ได้”
กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านเกวียนที่บรรทุกเสื้อบุนวมเต็มเกวียนทีละคน ระหว่างทางกลับ ฮ่องเต้บอกให้คนหยุดอยู่นอกเขตใจกลางนคร พาข่งอี้หลินเดินทอดน่องไปรอบๆ ตลาดเพื่อดูความเป็นอยู่ของผู้คน
ชั้นบนในโรงเตี๊ยมข้างทาง องค์ชายซีซย่าหลี่อั๋งซุ่นกำลังฟังผู้ติดตามรายงานเกี่ยวกับฉู่เว่ย ในขณะที่เหลือบมองลงมาด้านล่างก็เห็นฮ่องเต้แห่งต้าเหิงเข้าพอดี
ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงสวมชุดพิธีการยาวสีดำ คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีเข้ม พระพักตร์ขาวผ่อง สวมชุดเต็มรูปแบบในฤดูกาลเช่นนี้ แม้ไม่แปลกทว่าโดดเด่นยิ่งนัก
มือที่ถือตะเกียบของหลี่อั๋งซุ่นหยุดชะงัก สายตามองตามร่างของฮ่องเต้ไป
ฮ่องเต้ของต้าเหิงใช่ว่าอยากเจอแล้วจะได้เจอเสียหน่อย หลี่อั๋งซุ่นอยู่ในต้าเหิงมาครึ่งเดือนแล้ว และได้เจอฮ่องเต้ที่งานเลี้ยงในตำหนักของวันเทศกาลวั่นโซ่วเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าโชคชะตาจะนำพาให้มาเจอฮ่องเต้องค์นี้อีกครั้งโดยบังเอิญ
ผู้ติดตามของเขายังคงพูดต่อ “หลังจากคุณชายฉู่เว่ยเสร็จสิ้นเวลางานเมื่อวานก็ไปกินอาหารกับสหายในเหลาสุราแห่งหนึ่ง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม คุณชายฉู่เว่ยก็เดินออกมาจากเหลาสุราและกลับจวนสกุลฉู่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่อั๋งซุ่นถาม “สหาย เป็นสหายสตรีหรือบุรุษ”
สายตายังคงมองลงไปเบื้องล่าง
“…” ผู้ติดตามเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยตอบ “แน่นอนว่าเป็นบุรุษพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่อั๋งซุ่นกำลังเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด เขาคีบผักเข้าปากคำหนึ่ง “สหายผู้นั้นของฉู่เว่ยมีหน้าตาเป็นอย่างไร สนิทกับเขามากหรือไม่”
ผู้ติดตามทอดถอนใจ “องค์ชายเจ็ด บัดนี้พระองค์ให้พวกกระหม่อมจับตามองคุณชายฉู่เว่ยมาครึ่งเดือนแล้ว หากพระองค์ชมชอบ เขาก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ในต้าเหิงเท่านั้น แค่บังคับฝืนใจด้วยกำลังก็จบสิ้นแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่อั๋งซุ่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าโง่ ลักพาตัวขุนนางต้าเหิงในดินแดนของต้าเหิง เจ้าลืมความอับอายที่ถูกขังอยู่ในที่พักหมิงเซิงสิบกว่าวันเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบไปหมดแล้วหรือ”
ผู้ติดตามเอ่ย “พระองค์ชมชอบฉู่เว่ยจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ชอบสิ” หลี่อั๋งซุ่นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนว่าชอบอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์กำลังมองใคร”
หลี่อั๋งซุ่นชี้ไปที่กู้หยวนไป๋ ในเวลานี้กู้หยวนไป๋เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมของพวกเขา ทำให้มองเห็นทุกอิริยาบถได้อย่างชัดเจน งดงามยิ่ง บุคลิกอันสูงส่งนั้นยิ่งเหนือคำบรรยาย แม้แต่ริมฝีปากสีจางและดวงหน้าซีดขาวยังดูคล้ายกล่องผ้าที่ประดับหยกงามก็มิปาน เมื่อได้เห็นครั้งหนึ่งก็ทำให้อยากมองเป็นครั้งที่สอง
ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงมีใบหน้าที่ทำให้ผู้คนเกลียดไม่ลงและมีความน่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองซ้ำสอง ในขณะที่ไม่มีใครกล้ามองนั้น หลี่อั๋งซุ่นกลับมองอยู่เนิ่นนาน ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงราวกับว่ารู้สึกได้ เงยหน้าขึ้นมองชั้นบนอย่างกะทันหัน
หัวใจของหลี่อั๋งซุ่นพลันเต้นระรัว เขายืนขึ้นยิ้มอย่างสงบ โค้งคำนับฮ่องเต้ แล้วยกจอกสุราในมือขึ้น
ข่งอี้หลินมองตามสายตาของฮ่องเต้ เมื่อเห็นองค์ชายเจ็ดของซีซย่าก็กล่าวว่า “ฝ่าบาท บุคคลนี้ฟุ่มเฟือยเปี่ยมด้วยราคะ ชื่อเสียงของเขาในหมู่ราษฎรซีซย่านั้นเสื่อมเสียยิ่ง ทว่าฮ่องเต้ของซีซย่ากลับโปรดปรานเขามาก กระหม่อมได้ยินมาว่าหลายวันมานี้เขาคอยสืบข่าวของใต้เท้าฉู่เว่ยตลอดเวลา ด้วยพื้นเพนิสัยของเขา จะต้องมีความคิดไม่ซื่อต่อใต้เท้าฉู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าให้หลี่อั๋งซุ่นอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าแววตาของเขายังคงเหมือนกับกำลังมองแม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำก็เอ่ยว่า “ลำบากฉู่ชิงแล้ว”
เนื่องจากเจตนาชั่วร้ายของกู้หยวนไป๋ เขาจึงอยากจะเห็นว่าทูตซีซย่านำสิ่งของมาจากซีซย่ามากเพียงใดกันแน่ ทว่าไม่เคยพูดคุยกับทูตของซีซย่าเกี่ยวกับปัญหาของทั้งสองแคว้นเลย เมื่อเห็นว่าทูตแห่งซีซย่าวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อมอบของกำนัลและสืบข่าวคราวอยู่นั้น เขาก็ถือเอาเรื่องของทูตซีซย่ามาผ่อนคลายจิตใจหลังจากปวดหัวกับราชกิจในบางครั้ง
ปรากฏว่าได้ผลอย่างดีเยี่ยม
ยิ่งข่งอี้หลินเข้ากันได้ดีกับฮ่องเต้องค์นี้มากเท่าใดก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเท่านั้น ในเวลานี้เขาเพียงรับคำและเออออตามอย่างจนปัญญา “ใต้เท้าฉู่ลำบากอย่างแท้จริง”
กู้หยวนไป๋เดินไปข้างหน้ากับเขาต่ออย่างช้าๆ เอ่ยเย้าว่า “หน้าตาของข่งชิงก็หล่อเหลา ฝีมือด้านการต่อสู้เป็นเลิศ เหตุใดองค์ชายเจ็ดแห่งซีซย่าถึงได้ดวงตาไร้แววเช่นนี้ และยังไม่ได้ชอบข่งชิงเล่า”
ข่งอี้หลินยิ้มขมขื่น “หน้าตากระหม่อมสามัญ ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเย้ากระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” กู้หยวนไป๋ถาม “เช่นนั้นในสายตาของข่งชิง ผู้ใดกันที่มีพรสวรรค์ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลาและสามารถเทียบเคียงพานอันเว่ยเจี๋ยได้เล่า”
“อย่างเช่นใต้เท้าฉู่ ฉู่เว่ย หลี่เหยียน ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวพ่ะย่ะค่ะ” ข่งอี้หลินเอ่ยชื่อของคนจำนวนหนึ่งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ในสายตากระหม่อมรูปลักษณ์ของใต้เท้าเซวีย เซวียหย่วนก็ไม่แพ้คนอื่น หล่อเหลายิ่งเช่นกัน สุดท้ายแล้วก็จะขาดฝ่าบาทไปมิได้”
กู้หยวนไป๋เลิกคิ้ว หัวเราะอย่างมีความสุข สีหน้าที่ดูป่วยเล็กน้อยของเขามีเลือดฝาดจางๆ “เจิ้นจะถือเอาคำเยินยอเหล่านี้เป็นจริงก็แล้วกัน”
ข่งอี้หลินยิ้ม จู่ๆ ก็กระซิบเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เรื่องที่ระยะหลังมานี้ฝ่าบาทเรียกหมอหญิงเจียงมาปรนนิบัติข้างกาย ผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของหมอหญิงเจียงต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา แม้ในราชสำนักเองก็มีเสียงพูดคุยหลากหลาย เสียงพูดคุยที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ก็คือพระองค์จะรับสนมเข้าวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 16 ส.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.