X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 133-134 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 133

 

ครึ่งเดือนผ่านไป หลังจากที่กู้หยวนไป๋ออกจากการไว้ทุกข์ก็ได้รับรายงานจากกองทัพเรือ

ทางเหลี่ยงเจ้อ ฝูเจี้ยน และกว่างหนานตงได้รับชัยชนะ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังกำเริบเสิบสานยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามกองทัพของฝูซังไปจนถึงเกาะที่อีกฝ่ายประจำการอยู่

กู้หยวนไป๋ประเมินกำลังของเรือรบและกองทัพเรือต้าเหิงต่ำไป กองทัพเรือทั้งสามได้ไล่ตามไปอย่างใกล้ชิด ครั้นล้อมกองทัพของฝูซังที่หลบหนีไปได้แล้วก็โจมตีด้วยเปลวเพลิง ขณะที่เปลวเพลิงลุกลามก็อาศัยโอกาสนั้นนเข้ายึดเกาะ

กู้หยวนไป๋สั่งให้คนนำตัวคุณชายหวังเข้ามา ให้คนอ่านสถานการณ์ที่ชายฝั่งให้เขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน คุณชายหวังฟังไปฟังมา สีหน้าที่ใจเย็นก็คล้ายถูกตีจนแตกละเอียด บันดาลโทสะจนดวงตาแทบถลนจากเบ้า พยายามดิ้นรนให้หลุดจากเชือกซึ่งพันธนาการเขาไว้ กู้หยวนไป๋ยกชาอุ่นๆ ขึ้นจิบพลางเหม่อมองทิวทัศน์ยามสารทฤดูนอกตำหนัก

กระทั่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของคุณชายหวังเบาลง ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงจึงหันหน้ามองเขา มุมปากผุดรอยยิ้มอบอุ่น “คุณชายหวัง กองทัพเรือของเจิ้นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว โชคดีที่มีเจ้าจึงทำให้กองทัพเรือสามารถยึดชุดเกราะ อาหาร และน้ำมันก๊าดจากฝูซังได้มากมายเพียงนี้”

แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงอ้อยอิ่ง มือของฮ่องเต้แห่งต้าเหิงที่กำลังถือถ้วยชานั้นดูโปร่งใสภายใต้แสงแดด ดวงตาเปื้อนยิ้มอาบไล้ไปด้วยแสงสีน้ำตาลทอง

คุณชายหวังรู้สึกถึงกลิ่นคาวหนักหน่วงอยู่ในลำคอ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ที่ดูไร้พิษสงต่อสรรพสัตว์จะโหดเหี้ยมปานนี้

สิ่งที่กู้หยวนไป๋เอ่ยจะต้องเป็นเรื่องลวงแน่ ฝูซังเตรียมการมานานเพียงนั้น จะมาพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร

ต้าเหิงแคว้นแห่งสวรรค์ เขตแดนแผ่นดินกว้างใหญ่ แม้จะต้องต่อสู้ตั้งรับฉับพลัน ก็มีความมั่นใจเพียงนี้เชียวหรือ

กู้หยวนไป๋รู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ จึงยิ้มเอ่ยอีกว่า “ฝูซังกระทำความผิด เจิ้นย่อมจะต้องสั่งสอนฝูซังให้แก้ไขความผิดพลาด และกลับสู่เส้นทางอันชอบธรรม ทว่าเส้นทางนี้ลำบากนัก หากฝูซังต้องการคำสั่งสอนจากเจิ้น ก็ต้องแบกรับเสบียงของกองทัพเจิ้นที่ไปยังฝูซังครานี้ด้วย แล้วค่อยจ่ายค่าชดเชยแก่ต้าเหิงอย่างพอเพียง ดินแดนแห่งสวรรค์ของเจิ้นไม่กลัวความลำบาก นี่เป็นเพียงการเดินทัพอีกเที่ยวเท่านั้น”

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา เถียนฝูเซิงก็อดที่จะตกตะลึงมิได้

ทำ…ทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ

ครั้นกู้หยวนไป๋กล่าวจบ ก็ไม่มองคุณชายหวังที่เคียดแค้นจนอยากจะสังหารเขาอีก “พาตัวออกไปเถิด”

สงครามทางทะเลไม่สามารถทำให้เหล่าราษฎรในนครหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปนับพันหลี่ร่วมเห็นอกเห็นใจได้ อีกทั้งข่าวนี้ก็ไม่เคยถูกรายงานใน ‘ข่าวสารต้าเหิง’ หรือกระทั่งปล่อยให้เล็ดลอดออกไปไกล อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากข่าวที่ก่อนหน้านี้คุณชายหวังปล่อยออกไปในนครหลวงว่าฮ่องเต้หมดสติยาวนาน

กลางเดือนเก้า เพื่อเป็นการสยบข่าวลืออย่างหมดจด กู้หยวนไป๋จึงปรากฏตัวต่อหน้าราษฎร ขึ้นไปไหว้พระจันทร์บนดาดฟ้า

ฮ่องเต้สวมเสื้อคลุมจักรมังกร รอบข้อมือมีผ้าไหมสีขาวผูกไว้ ขณะก้มตัวเอวนั้นดูบอบบางยิ่ง ม่านลูกปัดหยกด้านหน้าของมงกุฎกระทบกันราวกับสายฝน แต่ละท่วงท่างดงามราวกับภาพวาด

ราษฎรสามารถมองเห็นฮ่องเต้ได้จากที่ไกลๆ ทหารรักษาพระองค์จำนวนมากถือหอกยาวยืนตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม

ขณะฮ่องเต้เสด็จ ราษฎรสามารถล้อมชมได้ทว่าไม่สามารถตะโกนเรียกข้ามฝั่งถนนหรือมองลงมาจากที่สูงได้ เมื่อฮ่องเต้จุดธูป ยกแขนขึ้นอย่างช้าๆ และรวบปลายแขนเสื้อ การเคลื่อนไหวดุจสายน้ำนี้มองดูแล้วทำให้รู้สึกได้ถึงความสูงส่ง คนสามัญธรรมดามิอาจเทียบเคียง

เหล่าราษฎรมิอาจกล่าวถ้อยคำอันน่าฟังใดๆ ได้ เพียงรู้สึกว่าฮ่องเต้นั้นก็คือฮ่องเต้ ไม่ว่าทำอะไรล้วนมีอิริยาบถน่าชื่มชมอันเป็นเอกลักษณ์

ฉู่เว่ยกับสหายร่วมสำนักก็กำลังเฝ้ามองจากด้านนอกเช่นกัน เหล่าข้ารับใช้และทหารองครักษ์หลายชั้นบดบังเงาของฮ่องเต้ไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงชายอาภรณ์คลุมเท้าที่แวบผ่านให้เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น

สหายร่วมสำนักมองอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบดึงๆ ชายเสื้อของฉู่เว่ย “จื่อฮู่ เจ้ารู้สึกว่าคุณชายรูปงามที่พวกเราเห็นที่หอจ้วงหยวนคราวก่อนมีส่วนคล้ายกับฝ่าบาทหรือไม่”

ฉู่เว่ยเอ่ยเรียบๆ “ผู้นั้นก็คือฝ่าบาท”

สหายร่วมสำนักเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกระโดดโหยง “อะไรนะ!”

ฉู่เว่ยขมวดคิ้วเบาๆ สหายร่วมสำนักจึงสงบลง ก่อนจะกระซิบเสียงต่ำ “เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าว่านั่นคือฝ่าบาท!”

“ตอนนั้นเจ้ามิได้ต้องการเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก ทั้งยังไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก” ฉู่เว่ยกล่าวอย่างกระชับ “จะพูดมากกับเจ้าไปไย”

สหายร่วมสำนักสำลัก ส่ายหน้าอย่างพูดอะไรไม่ออก พึมพำไม่หยุด “เจ้าฉู่จื่อฮู่ตัวดี”

ฉู่เว่ยยังคงมองฮ่องเต้ต่อไป

วันนี้อากาศดี ผ้าที่ใช้ตัดเย็บเสื้อคลุมเป็นผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เข็มขัดหนังรัดรอบเอวหลวมๆ แม้จะอยู่ไกลแต่ก็ยังสามารถมองเห็นความผอมบางของลำคอ ข้อมือ และร่างกายของฮ่องเต้ได้ ฉู่เว่ยเกิดความกังวลในใจ เป็นห่วงเรื่องที่ฮ่องเต้หมดสติเมื่อหลายวันก่อน เป็นห่วงว่าเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเดิมเสียอีก

ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทำใจยอมรับการสิ้นพระชนม์ของหวั่นไท่เฟยได้หรือไม่

อย่างไรก็ดี นอกจากความเป็นห่วงแล้ว… ลูกกระเดือกของฉู่เว่ยขยับไหว เขาหลุบตาลง ขนตายาวปกปิดเงามืดที่อยู่ภายในดวงตา

นิ้วเรียวยาวทั้งห้าขยับเล็กน้อย คล้ายต้องการจะคว้าอะไรบางอย่าง

“ฉู่เว่ย!”

เสียงเรียกของสหายร่วมสำนักปลุกสติเขาฉับพลัน ฉู่เว่ยเอาสองมือข้างไพล่หลัง หันไปด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เหลือบตาขึ้นแล้วเอ่ย “หืม?”

“ฝ่าบาทจะเสด็จแล้ว” สหายร่วมสำนักเอ่ย “ที่นี่คนเยอะ อีกประเดี๋ยวบนถนนต้องติดขัดเป็นแน่ สู้พวกเราไปกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”

ก้าวย่างของฉู่เว่ยกลับมั่นคงดุจต้นสน “เจ้าไปก่อน”

“ข้าไปก่อน?” สหายร่วมสำนักประหลาดใจ

ฉู่เว่ยพยักหน้า เสื้อคลุมสีขาวโอบร่างของเขาให้ดูสูงขึ้นไปอีก “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

 

ฮ่องเต้นั่งอยู่ในรถม้า ม้าหกตัวด้านหน้ายังไม่ทันจะยกกีบเท้าขึ้น ทหารองครักษ์ก็วิ่งเข้ามารายงาน

“ฝ่าบาท ใต้เท้าฉู่ ฉู่เว่ยต้องการเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เหลือบมองท้องฟ้าด้านนอก “ให้เขาเข้ามาเถิด”

เซวียหย่วนเลิกคิ้ว ท่าทีสงบนิ่ง “ฝ่าบาท ลูกปัดหยกบนศีรษะท่านพันกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ยกมือขึ้นจัดๆ มันครู่หนึ่ง ลูกปัดส่งเสียงดังไม่หยุดภายใต้การสัมผัสของเขา นิ้วของเขาทั้งเย็นและขาวผ่อง นิ้วทั้งห้าพันอยู่รอบเชือก เชือกเส้นเล็กสีดำกับลูกปัดหยกขาวโปร่งแสงเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิงบนนิ้วเรียวยาวคล้ายยามที่กำลังเด็ดบัว หากลูกปัดเป็นมนุษย์ก็คงจะเขินอายจนหน้าแดงอยู่บนนิ้วของเขา “ตรงที่ใด”

เซวียหย่วนมองจนเคลิบเคลิ้มอยู่สักพัก เมื่อได้ยินคำถามนี้ก็ดึงสติกลับมา หางตาของเขาเหลือบเห็นว่าฉู่เว่ยกำลังเดินมาทางนี้จากที่ไม่ไกลก็มีรอยยิ้มเย็นชาวูบผ่านมุมปาก เซวียหย่วนพลิกกายขึ้นรถม้า คุกเข่าลง ค่อยๆ คลายสายลูกปัดสองเส้นที่พันอยู่ด้วยกันอย่างระมัดระวัง

กู้หยวนไป๋ประคองใบหน้าด้วยมือข้างหนึ่ง เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้เซวียหย่วนได้เคลื่อนไหวสะดวก

หลังจากที่ฉู่เว่ยเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นฉากนี้เข้า ม่านตาของเขาหดตัวกะทันหัน ส่วนโค้งที่แสดงออกถึงความไม่พึงใจกดอยู่ตรงมุมปาก เพียงชั่วครู่ก็กลับคืนสู่ปกติ ก้าวขึ้นหน้าคำนับอย่างสง่างาม “ถวายบังคมฝ่าบาท”

กู้หยวนไป๋พยักหน้าสบายๆ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เซวียจิ่วเหยา เจ้ายังไม่เสร็จอีกรึ”

“กระหม่อมเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากเซวียหย่วนจัดการลูกปัดจนเรียบร้อยก็ปล่อยมือ จากนั้นก็จัดแจงเสื้อคลุมของกู้หยวนไป๋ต่อหน้าฉู่เว่ย โน้มตัวกระโดดลงจากรถม้าไป

ดวงตาสีดำของฉู่เว่ยจับจ้อง มองเห็นทุกการกระทำของเซวียหย่วนอย่างชัดเจน จากนั้นครู่หนึ่งฉู่เว่ยก็ยกมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “หลายวันมานี้พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ก็ไม่เลว” กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ “นายน้อยสี่ที่บ้านเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉู่เว่ยเล่าอย่างละเอียด เขาพูดน้อย ทุกคำพูดล้วนไม่ฉาบฉวย กู้หยวนไป๋รอจนเขาเล่าจบก็พยักหน้า นึกว่าพอฉู่เว่ยพูดจบก็จะจากไป ทว่าฉู่เว่ยกลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ฝ่าบาท หลายวันก่อนกระหม่อมได้รับภาพวาดของหลี่ชิงอวิ๋น แต่มีเพียงส่วนล่างเท่านั้น บิดาของกระหม่อมเคยกล่าวว่าส่วนบนอยู่ในจวนเสนาบดีกรมอากร หลังจากกระหม่อมไปหาเสนาบดีกรมอากรแล้ว ใต้เท้าทังกล่าวว่าเขาได้ถวายครึ่งหนึ่งของภาพวาดนั้นให้ฝ่าบาทเมื่อเทศกาลวั่นโซ่วปีกลาย บังเอิญว่ากระหม่อมก็ไม่รู้ว่าภาพวาดที่ได้มานั้นเป็นของจริงหรือของปลอม จึงอยากขอยืมดูภาพวาดส่วนบนที่อยู่ในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เกิดความสนใจ หลี่ชิงอวิ๋นผู้นี้เป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์ก่อน ถูกเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ของราชวงศ์นั้น เขาสร้างสรรค์ภาพวาดน้อยมาก กู้หยวนไป๋ชื่นชมไม่เป็น แต่เขารู้ว่านามหลี่ชิงอวิ๋นนี้เป็นตัวแทนของเงินทองที่ทอแสงละลานตา

เขานึกประหวัดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เทศกาลวั่นโซ่วเมื่อปีกลายเสนาบดีกรมอากรได้มอบภาพวาดม้วนหนึ่งให้เขาจริงๆ กู้หยวนไป๋ค่อนข้างมั่นใจ มองฉู่เว่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉู่ชิง ม้วนภาพส่วนบนนั้นถูกเก็บอยู่ในท้องพระคลังของเจิ้น”

ฉู่เว่ยถูกรอยยิ้มนั้นของกู้หยวนไป๋ทำให้เหงื่อตกเล็กน้อย “ม้วนภาพในพระหัตถ์ของฝ่าบาทจะต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน ทว่าในมือของกระหม่อมอาจไม่ใช่”

กู้หยวนไป๋จงใจพูด “หากเป็นของจริงเล่า”

“เช่นนั้นก็จะถวายแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ในน้ำเสียงของฉู่เว่ยแม้แต่น้อย “สองภาพรวมเข้าด้วยกันก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

เขากล่าวคำเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ เสียงนั้นใสราวกับไข่มุกตกกระทบจานหยก ไพเราะน่าฟังราวกับคำบอกรัก

เซวียหย่วนมีสีหน้าเย็นชา

กู้หยวนไป๋อดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อสองปีก่อนฉู่เว่ยยังเป็นบุรุษผู้หยิ่งผยอง บัดนี้กลับรู้จักเปลี่ยนแปลง รู้จักมาเอาใจเขาเสียแล้ว กู้หยวนไป๋รับน้ำใจนี้ของขุนนางไว้อย่างใจเย็น “เช่นนั้นเจิ้นจะรอ พรุ่งนี้จะส่งคนนำภาพวาดไปให้เจ้า”

ฉู่เว่ยส่ายหน้า พูดเสียงเบาว่า “กระหม่อมส่งภาพวาดไปยังวังหลวงเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ครุ่นคิด นิ้วมือเคาะอยู่บนหน้าตักเบาๆ ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ดี”

ฉู่เว่ยถวายการคำนับกำลังจะจากไป แต่กลับนึกบางอย่างขึ้นได้กะทันหัน เขาเงยหน้ามองเซวียหย่วน “บัดนี้ใต้เท้าเซวียก็คงเริ่มดูตัวแม่นางแล้วกระมัง”

เซวียหย่วนหรี่ตา “อะไรนะ”

“หลายวันก่อน มารดาบ่นเรื่องการแต่งงานของกระหม่อม” ฉู่เว่ยทอดถอนใจ “กระหม่อมถามถึงได้รู้ว่า สองสามเดือนมานี้ฮูหยินเซวียกำลังง่วนอยู่กับเรื่องการแต่งงานของใต้เท้าเซวียตลอด โดยไม่หย่อนคล้อยเลยแม้แต่น้อย ฮูหยินเซวียรู้จักกับมารดาของกระหม่อมมานานแล้ว มารดาของกระหม่อมจึงเริ่มร้อนใจเช่นกัน”

เซวียหย่วนดึงมุมปากและมองฉู่เว่ย สายตาเหมือนกำลังมองคนตาย

เจ้าอยากตายรึ

เปลือกตาของฉู่เว่ยกระตุก และยิ้มเย็นชาเช่นกัน

ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย พ่นประโยคสุดท้ายออกมา “ใต้เท้าเซวีย ท่านชอบสตรีเช่นไรหรือ สู้กล่าวออกมาตรงๆ ดีกว่า ข้าจะได้ไปบอกมารดา ให้มารดาช่วยฮูหยินเซวียที่กำลังร้อนใจด้วย”

กู้หยวนไป๋ตกตะลึงเล็กน้อย

เมื่อได้ยินฉู่เว่ยกล่าวเช่นนี้ เขาจึงดึงสติกลับมาแล้วมองไปยังเซวียหย่วน

ใช่แล้ว

เซวียหย่วนอายุย่างยี่สิบห้าปีแล้ว เขาในวัยนี้ ทั้งยังไม่มีร่างกายที่อ่อนแอเหมือนข้าที่ไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ คนในตระกูลย่อมต้องรบเร้าให้เขาแต่งงานเป็นธรรมดา

ทันทีที่คิ้วกดต่ำลง ท่าทางดุร้ายก็ปรากฏ

เวลาที่เซวียหย่วนมองเขาก็เหมือนกับสุนัขมองกระดูกก็มิปาน ความคลั่งไคล้ที่อีกฝ่ายมีต่อกู้หยวนไป๋นั้นทำให้กู้หยวนไป๋รู้สึกว่าแม้ทั้งสองจะหลับนอนกันแล้ว ความปรารถนาและความกระหายของเซวียหย่วนก็มีแต่จะเพิ่มพูน คนเช่นนี้ยังจะสามารถแข็งกร้าวกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู้หยวนไป๋ได้อีกหรือ

จูบก็แล้ว สัมผัสก็แล้ว ยิ่งบอกว่าจะไม่เอาเปรียบ เซวียหย่วนก็ยิ่งจู่โจม ทว่าเวลาที่ข้าต้องการจะหลับนอนกับเขา เขากลับกำลังจะแต่งงาน เพราะเหตุใด ต้องการจะปั่นหัวข้าเล่นหรือ

น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋เย็นชาลง “หากฉู่ชิงพูดจบแล้วก็ออกไปเถิด เจิ้นเหนื่อยแล้ว”

ฉู่เว่ยอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรับคำแล้วถอยออกไป ชั่วขณะที่หมุนตัวจากไปก็มีรอยยิ้มวูบผ่าน

 

ในที่สุดรถม้าฮ่องเต้ก็เคลื่อนตัวไปในตลาดช้าๆ

ภายในรถม้าที่แกะสลักลายหงส์และมังกร ฝังด้วยหยก ทอง และเงิน น้ำเสียงของฮ่องเต้คล้ายเจือด้วยตะกรันน้ำแข็งเดือนสิบสอง “เซวียหย่วน ขึ้นรถ”

จากนั้นไม่นาน เซวียหย่วนก็มาคุกเข่าลงตรงหน้ากู้หยวนไป๋

บนรถม้าที่ส่ายไหวเล็กน้อยนั่น หน้าต่างและประตูปิดสนิท ภายในรถมืดมิด ถนนด้านนอกคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงความวุ่นวายไม่ได้ถูกปิดกั้นเลยแม้แต่น้อย

กู้หยวนไป๋ถอดรองเท้ามังกรออก เหยียบอยู่บนตัวของเซวียหย่วนด้วยถุงเท้า

เขาโอนเอนเบาๆ หลายครั้งไปตามรถม้า ใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ในความมืดถูกเงาวาดผ่านแล้วก็ถูกแสงสาดส่องอีกครั้ง ริมฝีปากแดงชาด ดวงตามืดมน แววตาคมปลาบดุจดาบ แฝงความมุ่งมั่นและโหดเหี้ยมผสมปนเป

เซวียหย่วนพ่นลมหายใจติดๆ ขัดๆ เข่าติดแน่นอยู่กับพื้น ส่วนนั้นของเขาลุกชันขึ้นมาแล้ว มันพร้อมปะทะเท้าที่ร้อนจนน่ากลัวของกู้หยวนไป๋

การลงโทษครั้งนี้ทรมานเกินไป

ศีรษะของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ในเส้นเลือดเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา มองผ่านไอหมอกและความชื้นไปที่ฮ่องเต้ด้วยสายตาเซื่องซึม

น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋เชื่องช้า เท้าก็ขยับอย่างเชื่องช้าเช่นกัน “เซวียจิ่วเหยาจะแต่งภรรยารึ”

เสียงลมหายใจของเซวียจิ่วเหยาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายเป็นสุขคล้ายทุกข์ระทม

รถม้าเลี้ยวที่มุมหนึ่ง เสียงโห่ร้องของราษฎรยิ่งใกล้หูเข้ามาทันที

เจ้าสิ่งเดรัจฉานใต้ฝ่าเท้ากระตุกเต้น แสดงความภักดี

กู้หยวนไป๋ส่งเสียง “ฮึ” ออกมา ผละจากข้างผนังรถม้า ก้มตัวออกมาจากความมืดและคว้าคอเสื้อของเซวียหย่วนทันใด เซวียหย่วนที่ถูกกระชากโดยไม่ทันตั้งตัวเซไปข้างหน้า สองมือยันผนังรถได้ทันเวลาจึงไม่ไปทับฮ่องเต้เข้า

คอเสื้อถูกกำจนแน่นตึง “เจิ้นถามเจ้า”

กู้หยวนไป๋พ่นลมหายใจหอมหวานข้างหู น้ำเสียงเจือไปกับรอยยิ้มเย้ยหยัน “หากผู้อื่นเหยียบย่ำเจ้า เจ้าก็ยังจะ…”

เขานิ่งไป ก้มหน้ามองเซวียหย่วน ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “…ยั่วยวนเช่นนี้รึ”

บทที่ 134

 

“หากผู้อื่นกล้าเหยียบข้า” เซวียหย่วนอดกลั้น เส้นเสียงตึงราวกับสายธนูที่ถูกน้าว “ข้าก็จะสับขามันทิ้งเสีย”

ขณะที่เซวียหย่วนเหงื่อท่วม ทันใดนั้นก็นึกถึงประโยชน์ของฉู่เว่ยขึ้นมาได้

ตอนนี้อย่าเพิ่งฆ่าคนผู้นี้ก่อน ปล่อยให้เขาได้ออกมากระทำการตามใจอีกสักสองสามวัน

แต่ว่าทันใดนั้นเอง เขาก็ไม่สามารถคิดอะไรได้อีก

ลมหายใจของเซวียหย่วนหนักหน่วง ใบหน้าของกู้หยวนไป๋อยู่ใกล้เพียงนิดเท่านั้น เขาต้องการจะยื่นศีรษะเข้าไปใกล้กู้หยวนไป๋ ทว่าอีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี บีบคางของเขาไว้ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน

“ข้าให้เจ้าแตะต้องตัวข้ารึ”

คิ้วของกู้หยวนไป๋ทำมุมยั่วยวนและไร้ปรานี “หากข้าไม่อนุญาต เจ้าก็แตะต้องตัวข้าไม่ได้แม้แต่ปลายผม”

นิ้วของฮ่องเต้ไม่มีทางที่จะควบคุมคนที่มีพละกำลังเช่นเซวียหย่วนได้

เซวียหย่วนสูดหายใจเข้าลึก ขอเพียงก้มหน้าลงอีกนิด ก็จะสามารถจูบริมฝีปากเย้ยหยันของกู้หยวนไป๋ได้แล้ว สองแขนเขาออกแรงชักมือที่ค้ำผนังรถม้ากลับ เสียงเล็บข่วนดังบาดแก้วหู

กู้หยวนไป๋ถูกกักขังอยู่ในอ้อมแขนเซวียหย่วน

เพียงแค่กดตัวลงต่ำอีกนิด ก็จะสามารถสัมผัสรสชาติริมฝีปากของเขา ลิ้มรสคอกับใบหูหยกของเขา

กดมือเขาไว้ กดขาเขาไว้

ปล่อยให้เขาร้อง

ร้องพลางครางว่า เซวียจิ่วเหยา

ความปรารถนาดิบเถื่อนในใจเซวียหย่วนถูกบีบจนจวนจะคลุ้มคลั่ง เขาพร่ำบอกตัวเองว่ากู้หยวนไป๋ร่างกายอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ… สุดท้ายเขาก็ถูกทำให้เชื่อง เซวียหย่วนฟังคำสั่งของฮ่องเต้ กลับไปคุกเข่าที่เดิมพลางหายใจหอบ

ต้นขาแน่นตึง เขาเอาสองมือไพล่หลังอย่างว่าง่าย อดกลั้นไว้จนเส้นเลือดสีเขียวปูดนูน แม้จะดูน่าเกลียดทว่าเขาไม่อาจขยับตัวได้

ฮ่องเต้กล่าวว่าจะลงโทษ ความหมายก็คือฮ่องเต้เย้าแหย่เซวียหย่วนได้ แต่ถึงตายเซวียหย่วนก็แตะต้องเขาไม่ได้

วิธีลงโทษเช่นนี้บีบคนให้ตายได้เลยทีเดียว

ภายในรถม้าส่ายไหว มีเพียงแสงสว่างที่เล็ดลอดผ่านช่องแคบๆ มาเป็นครั้งคราว ฝุ่นละอองในอากาศลอยล่องอยู่ภายใต้แสงสว่างเหมือนทรายสีทอง มันวาบผ่านนิ้วของฮ่องเต้เป็นครั้งคราว จากนั้นก็วาบผ่านเสื้อผ้า

เท้าของกู้หยวนไป๋เหยียบอยู่บนต้นขาของเซวียหย่วน เขาม้วนปลายลูกปัดหยกระย้าขึ้น เสียงหยกกระทบกันดังใส ถุงเท้าข้างนั้นช่างขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน เซวียหย่วนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมถอดถุงพระบาทให้ฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าในเงามืดนั้นมองเห็นการแสดงออกได้เพียงคลุมเครือ มีเพียงสันกรามเรียวงามที่เห็นได้อย่างชัดเจน

เซวียหย่วนยื่นมือออกไปอย่างอาจหาญ ลองมุ่งไปที่ด้านบนของถุงเท้าขาวเป็นการหยั่งเชิง

ขณะที่มือของเขากำลังจะสัมผัสนั้น กู้หยวนไป๋กลับเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ห้ามแตะต้อง”

ดวงตาของเซวียหย่วนแดงก่ำทันใด เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกับดัก สบถเสียงเบา “มารดามันเถอะ”

กู้หยวนไป๋เปิดตำราอ่าน แต่ด้วยภายในรถมืดเกินกว่าจะอ่านเนื้อหาในตำราได้ เขาเพียงพลิกหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจ เมื่อมีความสุขก็พลิกเร็วหน่อย ไม่พอใจก็นิ่งอยู่นานไม่ขยับ ขาข้างนั้นยังคงเหยียบอยู่บนต้นขาของเซวียหย่วน จากนั้นก็เคลื่อนไปข้างหน้าเบาๆ และถอยกลับมาอย่างหวงตัวตามความเร็วของการพลิกเปิดตำรา

เคลื่อนผ่านเบาๆ จนแทบจะมองไม่เห็น

แผ่นหลังของเซวียหย่วนโก่งงอ เหงื่อเม็ดโตร่วงลงบนน่องที่กู้หยวนไป๋ยกขึ้นมา “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยมองสตรีมาก่อน ฮูหยินเซวียก็ไม่เคยกล่าวเรื่องแต่งงานใดๆ กับกระหม่อมเลย”

กู้หยวนไป๋เหลือบเปลือกตาขึ้น ทันทีที่เขายกปลายเท้ามันก็ไปแตะบริเวณหน้าท้องแข็งแกร่งของเซวียหย่วน “เจ้าว่า…” เขาเอ่ยพลางกดเท้าลงไปด้านล่าง ใต้ฝ่าเท้านั้นร้อนผ่าว “หากคนอื่นแตะเจ้าสิ่งนี้เข้า มันก็จะกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้หรือไม่”

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเซวียหย่วนน่ากลัว “นอกจากฝ่าบาทแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแตะต้อง”

กู้หยวนไป๋พลิกตำราหลายหน้า ลมหายใจของเซวียหย่วนล้ำลึก ส่งเสียงครางต่ำออกมา

“เกรงว่าคนอื่นไม่ต้องสัมผัส” น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นเยียบ “มันก็ลุกขึ้นมาเองแล้ว”

“กระหม่อมรับรอง” เซวียหย่วนหมดสภาพถึงที่สุด ความร้อนทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว “หากมีวันนั้นจริงๆ ฝ่าบาทก็ตัดของกระหม่อมได้เลย”

จู่ๆ รถม้าก็โคลงเคลงเล็กน้อย ทำให้นิ้วเท้าของกู้หยวนไป๋พุ่งไปข้างหน้า เซวียหย่วนเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำจนน่าสงสาร “ฝ่าบาท…นายท่านไป๋”

แม่ทัพหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือและมีความน่าเกรงขามเกรียงไกร แม่ทัพหนุ่มแห่งชายแดนตอนเหนือที่น่าพรั่นพรึงเพียงได้ยินนาม กลับถูกบีบให้สิ้นท่าถึงขั้นนี้

บัดนี้เหงื่อของเขาไหลซึมผ่านเสื้อผ้าและได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสองสีเข้มอ่อนแล้ว กู้หยวนไป๋พิงอยู่บนผนังรถม้า ทุกครั้งที่สั่นไหว ลูกปัดระย้าที่อยู่เบื้องหน้าก็จะส่งเสียงใสชัด

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เซวียหย่วนในความมืด

น่าอัศจรรย์เหลือเกิน ในสายตาของเซวียหย่วนมีเพียงเขาเท่านั้น เซวียหย่วนกลายเป็นเช่นนี้เพราะความคลั่งไคล้ที่มีต่อเขา ความพึงพอใจและความกระหยิ่มผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของกู้หยวนไป๋ คล้ายการที่เซวียหย่วนปฏิบัติต่อเขาด้วยความมัวเมาเช่นนี้ทำให้เขาเปรมปรีดิ์ก็มิปาน

ความพึงพอใจเช่นนี้ต่างจากความรู้สึกที่อำนาจนำมาให้เขาอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลากหลายเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกันนี้ทำให้เขาใจสั่นพอๆ กัน มันทำให้ปลายนิ้วเท้าเขาเกร็ง หนังศีรษะตึงด้วยความเสียวซ่าน

แน่นอนว่าคนที่ทำให้เซวียหย่วนเปลี่ยนไปเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“เซวียจิ่วเหยา” ฮ่องเต้เอ่ย “จงจำคำที่เจ้าพูดไว้ให้ดี”

เซวียหย่วนตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ” จากในลำคอ

มุมปากของกู้หยวนไป๋ยกขึ้น ท้ายที่สุดก็เปิดทางให้ ยกมือเท้าศีรษะด้วยท่าทางสบายๆ ปลายนิ้วขาวผ่อง “สัมผัสสิ”

ราวกับโซ่ตรวนของสัตว์ร้ายถูกคลายออก คล้ายนักเดินทางผู้กระหายได้เจอกับน้ำหวาน เซวียหย่วนเผยเขี้ยวฟันดุร้าย พุ่งเข้าหาฮ่องเต้ทันที

รถม้าสั่นไหวหลายครั้ง ม้าตื่นตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกคนบังคับรถม้าปลอบประโลม

 

เซวียหย่วนกระโดดลงจากรถม้า สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเสื้อผ้าเปียกชื้นของเขา ความหนาวเหน็บเข้าจู่โจมในบัดดล

กรามของเขาขบแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ยังไม่อิ่มท้อง หัวหน้าทหารองครักษ์เห็นว่าเสื้อผ้าทั้งหน้าอกและแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อก็ลังเลสักพัก ก่อนเอ่ย “ใต้เท้าเซวีย นี่ท่าน…”

เซวียหย่วนหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าและดวงตาแดงฉานทำให้หัวหน้าทหารองครักษ์สะดุ้งโหยง “ใต้เท้าเซวีย นี่ท่านเป็นอะไรไป”

ยังจะเป็นอะไรได้อีกเล่า

เหตุใดเส้นทางนี้ถึงได้สั้นนัก

ไอชั่วร้ายบนใบหน้าของเซวียหย่วนหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ต้องการจะลงจากรถม้า

เซวียหย่วนลืมหัวหน้าทหารองครักษ์ไปชั่วขณะ รีบเดินไปข้างรถม้าแล้วยื่นมือออกไป

อาภรณ์ของฮ่องเต้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผมถูกเกล้าอย่างพิถีพิถัน เขาก้มหน้ามองเซวียหย่วนครู่หนึ่ง หางตาปรากฏรอยแดงเล็กน้อย นิ้วขาวดุจหยกวางลงบนมืออีกฝ่ายแล้วก้าวลงจากรถม้าอย่างมั่นคง

เถียนฝูเซิงติดตามฮ่องเต้อยู่ด้านหลัง เอ่ยขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ “ฝ่าบาท หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงกับปรมาจารย์คงซิ่งรออยู่นอกตำหนักแล้ว การฝังเข็มในวันนี้จะดำเนินการวินิจฉัยในยามอู่พ่ะย่ะค่ะ”

“เจิ้นสังเกตเห็นเวลาแล้ว” น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋แหบแห้งเล็กน้อย เขาไอเบาๆ สองสามที เมื่อพูดออกมาอีกทีน้ำเสียงก็กลับคืนสู่ปกติ “ไม่รีบ เจิ้นจะไปอาบน้ำก่อน”

เถียนฝูเซิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า “กระหม่อมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้”

กู้หยวนไป๋ตอบรับอย่างเกียจคร้าน รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตามกระดูก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ “พรุ่งนี้ฉู่ชิงจะส่งภาพวาดมาม้วนหนึ่ง เจ้าไปหาคนที่รู้จักงานที่แท้จริงของหลี่ชิงอวิ๋นมา ดูว่าภาพวาดนี้ของเขาเป็นของจริงหรือไม่”

เถียนฝูเซิงรับคำตามลำดับ

 

เมื่อฉู่เว่ยกลับมาที่จวนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องตำรา ฝนหมึกเตรียมวาดภาพ

บางทีประสบการณ์ท่องใต้หล้าเจ็ดปีทำให้เขากลายเป็นคนที่เกลียดชังขนบธรรมเนียมในสังคม ทว่าเขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย การเลียนแบบลายพู่กันของจิตรกรชื่อดังในราชวงศ์ก่อน สำหรับเขาแล้วเป็นการไตร่ตรองเพียงชั่วครู่เท่านั้น

ฉู่เว่ยลงพู่กัน

น้ำหมึกก่อตัวเป็นรูปร่างบนกระดาษขาว หลี่ชิงอวิ๋นชอบสาดหมึกในผลงาน ชอบใช้สีแดงชาด ตะกั่วแดง ผงเยียนจือ* หินเขียวและหินดำเพียงไม่กี่สี เขามักวาดภูเขาด้วยหินใหญ่หนาหนัก แล้วใช้ตะกั่วขาววาดเป็นชั้นของน้ำตกและลำธาร ภาพวาดที่เสนาบดีกรมอากรถวายแด่ฮ่องเต้นั้นเป็นของจริง ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อว่า ‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ของหลี่ชิงอวิ๋น

บังเอิญเหลือเกินที่ฉู่เว่ยเคยเห็นครึ่งล่างของ ‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ในที่พักของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษบนหุบเขาระหว่างท่องใต้หล้า เขาจดจำภาพนี้ได้มิลืมเลือน แม้กระทั่งกอไผ่หรือระลอกคลื่นของแม่น้ำและภูเขาก็ยังชัดเจนราวปรากฏอยู่เบื้องหน้า

แน่นอนว่าเขาไม่มีภาพวาดของจริงของหลี่ชิงอวิ๋น นี่เป็นเพียงข้ออ้างในการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องมีของจริงเลย

ราตรีย่างกราย แสงไฟส่องสว่าง

‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ที่ถูกปลอมแปลงกำลังถือกำเนิดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยปลายพู่กันของฉู่เว่ย

ฉู่เว่ยวางพู่กันลง มองเห็นรอยพู่กันบนภาพวาดที่ยังไม่แห้งดี มุมปากผุดยิ้มน้อยๆ เขาดับเทียนไขแล้วออกไปจากห้องตำราเพื่อพักผ่อน

 

การวินิจฉัยอาการของฮ่องเต้แต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน

บัดนี้ที่ขมับของหมอหลวงแห่งสำนักหมอหลวงมีเหงื่อซึมเล็กน้อยแล้ว เขาเก็บเข็มทีละเล่ม เถียนฝูเซิงป้อนยากู้หยวนไป๋อย่างระมัดระวัง

ทั้งตัวของกู้หยวนไป๋ไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าซีดขาว มีเม็ดเหงื่อละเอียดผุดขึ้นบนหน้าผาก

หลังจากคงซิ่งตรวจชีพจรของฮ่องเต้เสร็จก็กระซิบกระซาบกับเหล่าหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาก็บอกอาการปัจจุบันของฮ่องเต้ไปตามความจริง

คำพูดเหล่านี้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้ว ไม่ยอมปล่อยผ่านส่วนที่ไม่เข้าใจ จึงถามทีละเรื่องโดยละเอียด

ร่างกายของเขาไม่ดี การฝังเข็มและยาในเวลานี้ทำเพื่อขจัดไอเย็นในร่างกาย หลังจากไอเย็นถูกกำจัดออกหมดแล้ว จึงจะเริ่มรักษาร่างกายที่อ่อนแอของเขาได้

กู้หยวนไป๋วางใจ ยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อถึงวันที่ร่างกายของเจิ้นหายดีแล้ว ล้วนเป็นผลงานชั้นหนึ่งของทุกคนในสำนักหมอหลวงและปรมาจารย์คงซิ่ง”

พวกเขาต่างกล่าวว่ามิกล้า และถูกเถียนฝูเซิงพาออกไปจากตำหนักพร้อมกับรอยยิ้มร่า

เซวียหย่วนรีบตามออกไป ตบไหล่ของหัวหน้าทหารองครักษ์พลางกล่าวว่า “ใต้เท้าจาง ข้าต้องไปปลดทุกข์”

หนึ่งเค่อต่อมากู้หยวนไป๋ก็ฟื้นตัวจากการรักษา เขายื่นมือออกไป ขันทีน้อยกุลีกุจอเข้ามาประคองเขาทันที กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นโดยมีเสื้อคลุมตัวไว้ แล้วเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ

งานของวันนี้ยังไม่ได้สะสาง กู้หยวนไป๋เริ่มทำงานของวันนี้อย่างแข็งขัน ลอบถอนหายใจอยู่หลายรอบ หากการวินิจฉัยครั้งต่อไปก็ต้องใช้เวลาทั้งบ่ายเช่นนี้ เช่นนั้นเขาก็ต้องกระจายงานเหล่านี้ออกไปบ้างบางส่วน

สุดท้ายแล้วการอ่านฎีกาภายใต้แสงเทียนไม่ดีต่อสายตา นานๆ ครั้งไม่เป็นไร ทว่านานไปกลับไม่ดีนัก

หลังจากที่กู้หยวนไป๋อ่านฎีกาจบสองเล่ม เถียนฝูเซิงกับเซวียหย่วนก็เดินเข้ามาตามลำดับ สีหน้าของเถียนฝูเซิงผิดปกติ เมื่อเดินมาถึงด้านหลังของฮ่องเต้ก็ไม่พูดจา

ทว่ากู้หยวนไป๋กลับพูดว่า “เซวียชิง บิดาของเจ้าส่งฎีกามาว่าอีกสองวันจะกลับนครหลวง”

เซวียหย่วนไม่ยินดียินร้าย “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“หลายวันต่อจากนี้เจ้าก็อยู่จวนเป็นเพื่อนแม่ทัพอาวุโสเซวียอย่างเต็มที่” กู้หยวนไป๋ยิ้ม “หากแม่ทัพอาวุโสเซวียเห็นว่าเจ้าถวายการปรนนิบัติอยู่ที่ตำหนักส่วนหน้า เกรงว่าจะตำหนิที่เจิ้นกักตัวเจ้าไว้ ทำให้เจ้ารู้สึกผิด”

“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เซวียหย่วนตอบอย่างจริงใจ “บิดาของกระหม่อมมีแต่จะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาทเห็นความสำคัญของกระหม่อม”

ตราบใดที่ได้เข้าวังแล้ว เซวียหย่วนจะไม่มีวันให้โอกาสกู้หยวนไป๋ไล่ตนออกไปจากวังอีกครั้งเป็นอันขาด

วันเวลาที่ต่อให้พยายามมากเพียงใดก็ไม่อาจเห็นหน้าของกู้หยวนไป๋ ยามนี้เมื่อเห็นท่าทางของฉู่เว่ยก็รู้แล้วว่ามันยากลำบากเพียงใด

เซวียหย่วนคิดอย่างยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ เขาจะไม่อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด

 

* เยียนจือ เป็นสีชาดอย่างหนึ่ง ทำขึ้นจากการสกัดสีของดอกคำฝอย

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: