ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 133-134 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 133-134 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 134

 

“หากผู้อื่นกล้าเหยียบข้า” เซวียหย่วนอดกลั้น เส้นเสียงตึงราวกับสายธนูที่ถูกน้าว “ข้าก็จะสับขามันทิ้งเสีย”

ขณะที่เซวียหย่วนเหงื่อท่วม ทันใดนั้นก็นึกถึงประโยชน์ของฉู่เว่ยขึ้นมาได้

ตอนนี้อย่าเพิ่งฆ่าคนผู้นี้ก่อน ปล่อยให้เขาได้ออกมากระทำการตามใจอีกสักสองสามวัน

แต่ว่าทันใดนั้นเอง เขาก็ไม่สามารถคิดอะไรได้อีก

ลมหายใจของเซวียหย่วนหนักหน่วง ใบหน้าของกู้หยวนไป๋อยู่ใกล้เพียงนิดเท่านั้น เขาต้องการจะยื่นศีรษะเข้าไปใกล้กู้หยวนไป๋ ทว่าอีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี บีบคางของเขาไว้ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน

“ข้าให้เจ้าแตะต้องตัวข้ารึ”

คิ้วของกู้หยวนไป๋ทำมุมยั่วยวนและไร้ปรานี “หากข้าไม่อนุญาต เจ้าก็แตะต้องตัวข้าไม่ได้แม้แต่ปลายผม”

นิ้วของฮ่องเต้ไม่มีทางที่จะควบคุมคนที่มีพละกำลังเช่นเซวียหย่วนได้

เซวียหย่วนสูดหายใจเข้าลึก ขอเพียงก้มหน้าลงอีกนิด ก็จะสามารถจูบริมฝีปากเย้ยหยันของกู้หยวนไป๋ได้แล้ว สองแขนเขาออกแรงชักมือที่ค้ำผนังรถม้ากลับ เสียงเล็บข่วนดังบาดแก้วหู

กู้หยวนไป๋ถูกกักขังอยู่ในอ้อมแขนเซวียหย่วน

เพียงแค่กดตัวลงต่ำอีกนิด ก็จะสามารถสัมผัสรสชาติริมฝีปากของเขา ลิ้มรสคอกับใบหูหยกของเขา

กดมือเขาไว้ กดขาเขาไว้

ปล่อยให้เขาร้อง

ร้องพลางครางว่า เซวียจิ่วเหยา

ความปรารถนาดิบเถื่อนในใจเซวียหย่วนถูกบีบจนจวนจะคลุ้มคลั่ง เขาพร่ำบอกตัวเองว่ากู้หยวนไป๋ร่างกายอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ… สุดท้ายเขาก็ถูกทำให้เชื่อง เซวียหย่วนฟังคำสั่งของฮ่องเต้ กลับไปคุกเข่าที่เดิมพลางหายใจหอบ

ต้นขาแน่นตึง เขาเอาสองมือไพล่หลังอย่างว่าง่าย อดกลั้นไว้จนเส้นเลือดสีเขียวปูดนูน แม้จะดูน่าเกลียดทว่าเขาไม่อาจขยับตัวได้

ฮ่องเต้กล่าวว่าจะลงโทษ ความหมายก็คือฮ่องเต้เย้าแหย่เซวียหย่วนได้ แต่ถึงตายเซวียหย่วนก็แตะต้องเขาไม่ได้

วิธีลงโทษเช่นนี้บีบคนให้ตายได้เลยทีเดียว

ภายในรถม้าส่ายไหว มีเพียงแสงสว่างที่เล็ดลอดผ่านช่องแคบๆ มาเป็นครั้งคราว ฝุ่นละอองในอากาศลอยล่องอยู่ภายใต้แสงสว่างเหมือนทรายสีทอง มันวาบผ่านนิ้วของฮ่องเต้เป็นครั้งคราว จากนั้นก็วาบผ่านเสื้อผ้า

เท้าของกู้หยวนไป๋เหยียบอยู่บนต้นขาของเซวียหย่วน เขาม้วนปลายลูกปัดหยกระย้าขึ้น เสียงหยกกระทบกันดังใส ถุงเท้าข้างนั้นช่างขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน เซวียหย่วนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมถอดถุงพระบาทให้ฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าในเงามืดนั้นมองเห็นการแสดงออกได้เพียงคลุมเครือ มีเพียงสันกรามเรียวงามที่เห็นได้อย่างชัดเจน

เซวียหย่วนยื่นมือออกไปอย่างอาจหาญ ลองมุ่งไปที่ด้านบนของถุงเท้าขาวเป็นการหยั่งเชิง

ขณะที่มือของเขากำลังจะสัมผัสนั้น กู้หยวนไป๋กลับเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ห้ามแตะต้อง”

ดวงตาของเซวียหย่วนแดงก่ำทันใด เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกับดัก สบถเสียงเบา “มารดามันเถอะ”

กู้หยวนไป๋เปิดตำราอ่าน แต่ด้วยภายในรถมืดเกินกว่าจะอ่านเนื้อหาในตำราได้ เขาเพียงพลิกหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจ เมื่อมีความสุขก็พลิกเร็วหน่อย ไม่พอใจก็นิ่งอยู่นานไม่ขยับ ขาข้างนั้นยังคงเหยียบอยู่บนต้นขาของเซวียหย่วน จากนั้นก็เคลื่อนไปข้างหน้าเบาๆ และถอยกลับมาอย่างหวงตัวตามความเร็วของการพลิกเปิดตำรา

เคลื่อนผ่านเบาๆ จนแทบจะมองไม่เห็น

แผ่นหลังของเซวียหย่วนโก่งงอ เหงื่อเม็ดโตร่วงลงบนน่องที่กู้หยวนไป๋ยกขึ้นมา “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยมองสตรีมาก่อน ฮูหยินเซวียก็ไม่เคยกล่าวเรื่องแต่งงานใดๆ กับกระหม่อมเลย”

กู้หยวนไป๋เหลือบเปลือกตาขึ้น ทันทีที่เขายกปลายเท้ามันก็ไปแตะบริเวณหน้าท้องแข็งแกร่งของเซวียหย่วน “เจ้าว่า…” เขาเอ่ยพลางกดเท้าลงไปด้านล่าง ใต้ฝ่าเท้านั้นร้อนผ่าว “หากคนอื่นแตะเจ้าสิ่งนี้เข้า มันก็จะกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้หรือไม่”

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเซวียหย่วนน่ากลัว “นอกจากฝ่าบาทแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแตะต้อง”

กู้หยวนไป๋พลิกตำราหลายหน้า ลมหายใจของเซวียหย่วนล้ำลึก ส่งเสียงครางต่ำออกมา

“เกรงว่าคนอื่นไม่ต้องสัมผัส” น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นเยียบ “มันก็ลุกขึ้นมาเองแล้ว”

“กระหม่อมรับรอง” เซวียหย่วนหมดสภาพถึงที่สุด ความร้อนทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว “หากมีวันนั้นจริงๆ ฝ่าบาทก็ตัดของกระหม่อมได้เลย”

จู่ๆ รถม้าก็โคลงเคลงเล็กน้อย ทำให้นิ้วเท้าของกู้หยวนไป๋พุ่งไปข้างหน้า เซวียหย่วนเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำจนน่าสงสาร “ฝ่าบาท…นายท่านไป๋”

แม่ทัพหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือและมีความน่าเกรงขามเกรียงไกร แม่ทัพหนุ่มแห่งชายแดนตอนเหนือที่น่าพรั่นพรึงเพียงได้ยินนาม กลับถูกบีบให้สิ้นท่าถึงขั้นนี้

บัดนี้เหงื่อของเขาไหลซึมผ่านเสื้อผ้าและได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสองสีเข้มอ่อนแล้ว กู้หยวนไป๋พิงอยู่บนผนังรถม้า ทุกครั้งที่สั่นไหว ลูกปัดระย้าที่อยู่เบื้องหน้าก็จะส่งเสียงใสชัด

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เซวียหย่วนในความมืด

น่าอัศจรรย์เหลือเกิน ในสายตาของเซวียหย่วนมีเพียงเขาเท่านั้น เซวียหย่วนกลายเป็นเช่นนี้เพราะความคลั่งไคล้ที่มีต่อเขา ความพึงพอใจและความกระหยิ่มผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของกู้หยวนไป๋ คล้ายการที่เซวียหย่วนปฏิบัติต่อเขาด้วยความมัวเมาเช่นนี้ทำให้เขาเปรมปรีดิ์ก็มิปาน

ความพึงพอใจเช่นนี้ต่างจากความรู้สึกที่อำนาจนำมาให้เขาอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลากหลายเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกันนี้ทำให้เขาใจสั่นพอๆ กัน มันทำให้ปลายนิ้วเท้าเขาเกร็ง หนังศีรษะตึงด้วยความเสียวซ่าน

แน่นอนว่าคนที่ทำให้เซวียหย่วนเปลี่ยนไปเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“เซวียจิ่วเหยา” ฮ่องเต้เอ่ย “จงจำคำที่เจ้าพูดไว้ให้ดี”

เซวียหย่วนตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ” จากในลำคอ

มุมปากของกู้หยวนไป๋ยกขึ้น ท้ายที่สุดก็เปิดทางให้ ยกมือเท้าศีรษะด้วยท่าทางสบายๆ ปลายนิ้วขาวผ่อง “สัมผัสสิ”

ราวกับโซ่ตรวนของสัตว์ร้ายถูกคลายออก คล้ายนักเดินทางผู้กระหายได้เจอกับน้ำหวาน เซวียหย่วนเผยเขี้ยวฟันดุร้าย พุ่งเข้าหาฮ่องเต้ทันที

รถม้าสั่นไหวหลายครั้ง ม้าตื่นตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกคนบังคับรถม้าปลอบประโลม

 

เซวียหย่วนกระโดดลงจากรถม้า สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเสื้อผ้าเปียกชื้นของเขา ความหนาวเหน็บเข้าจู่โจมในบัดดล

กรามของเขาขบแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ยังไม่อิ่มท้อง หัวหน้าทหารองครักษ์เห็นว่าเสื้อผ้าทั้งหน้าอกและแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อก็ลังเลสักพัก ก่อนเอ่ย “ใต้เท้าเซวีย นี่ท่าน…”

เซวียหย่วนหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าและดวงตาแดงฉานทำให้หัวหน้าทหารองครักษ์สะดุ้งโหยง “ใต้เท้าเซวีย นี่ท่านเป็นอะไรไป”

ยังจะเป็นอะไรได้อีกเล่า

เหตุใดเส้นทางนี้ถึงได้สั้นนัก

ไอชั่วร้ายบนใบหน้าของเซวียหย่วนหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ต้องการจะลงจากรถม้า

เซวียหย่วนลืมหัวหน้าทหารองครักษ์ไปชั่วขณะ รีบเดินไปข้างรถม้าแล้วยื่นมือออกไป

อาภรณ์ของฮ่องเต้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผมถูกเกล้าอย่างพิถีพิถัน เขาก้มหน้ามองเซวียหย่วนครู่หนึ่ง หางตาปรากฏรอยแดงเล็กน้อย นิ้วขาวดุจหยกวางลงบนมืออีกฝ่ายแล้วก้าวลงจากรถม้าอย่างมั่นคง

เถียนฝูเซิงติดตามฮ่องเต้อยู่ด้านหลัง เอ่ยขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ “ฝ่าบาท หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงกับปรมาจารย์คงซิ่งรออยู่นอกตำหนักแล้ว การฝังเข็มในวันนี้จะดำเนินการวินิจฉัยในยามอู่พ่ะย่ะค่ะ”

“เจิ้นสังเกตเห็นเวลาแล้ว” น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋แหบแห้งเล็กน้อย เขาไอเบาๆ สองสามที เมื่อพูดออกมาอีกทีน้ำเสียงก็กลับคืนสู่ปกติ “ไม่รีบ เจิ้นจะไปอาบน้ำก่อน”

เถียนฝูเซิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า “กระหม่อมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้”

กู้หยวนไป๋ตอบรับอย่างเกียจคร้าน รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตามกระดูก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ “พรุ่งนี้ฉู่ชิงจะส่งภาพวาดมาม้วนหนึ่ง เจ้าไปหาคนที่รู้จักงานที่แท้จริงของหลี่ชิงอวิ๋นมา ดูว่าภาพวาดนี้ของเขาเป็นของจริงหรือไม่”

เถียนฝูเซิงรับคำตามลำดับ

 

เมื่อฉู่เว่ยกลับมาที่จวนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องตำรา ฝนหมึกเตรียมวาดภาพ

บางทีประสบการณ์ท่องใต้หล้าเจ็ดปีทำให้เขากลายเป็นคนที่เกลียดชังขนบธรรมเนียมในสังคม ทว่าเขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย การเลียนแบบลายพู่กันของจิตรกรชื่อดังในราชวงศ์ก่อน สำหรับเขาแล้วเป็นการไตร่ตรองเพียงชั่วครู่เท่านั้น

ฉู่เว่ยลงพู่กัน

น้ำหมึกก่อตัวเป็นรูปร่างบนกระดาษขาว หลี่ชิงอวิ๋นชอบสาดหมึกในผลงาน ชอบใช้สีแดงชาด ตะกั่วแดง ผงเยียนจือ* หินเขียวและหินดำเพียงไม่กี่สี เขามักวาดภูเขาด้วยหินใหญ่หนาหนัก แล้วใช้ตะกั่วขาววาดเป็นชั้นของน้ำตกและลำธาร ภาพวาดที่เสนาบดีกรมอากรถวายแด่ฮ่องเต้นั้นเป็นของจริง ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อว่า ‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ของหลี่ชิงอวิ๋น

บังเอิญเหลือเกินที่ฉู่เว่ยเคยเห็นครึ่งล่างของ ‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ในที่พักของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษบนหุบเขาระหว่างท่องใต้หล้า เขาจดจำภาพนี้ได้มิลืมเลือน แม้กระทั่งกอไผ่หรือระลอกคลื่นของแม่น้ำและภูเขาก็ยังชัดเจนราวปรากฏอยู่เบื้องหน้า

แน่นอนว่าเขาไม่มีภาพวาดของจริงของหลี่ชิงอวิ๋น นี่เป็นเพียงข้ออ้างในการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องมีของจริงเลย

ราตรีย่างกราย แสงไฟส่องสว่าง

‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ที่ถูกปลอมแปลงกำลังถือกำเนิดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยปลายพู่กันของฉู่เว่ย

ฉู่เว่ยวางพู่กันลง มองเห็นรอยพู่กันบนภาพวาดที่ยังไม่แห้งดี มุมปากผุดยิ้มน้อยๆ เขาดับเทียนไขแล้วออกไปจากห้องตำราเพื่อพักผ่อน

 

การวินิจฉัยอาการของฮ่องเต้แต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน

บัดนี้ที่ขมับของหมอหลวงแห่งสำนักหมอหลวงมีเหงื่อซึมเล็กน้อยแล้ว เขาเก็บเข็มทีละเล่ม เถียนฝูเซิงป้อนยากู้หยวนไป๋อย่างระมัดระวัง

ทั้งตัวของกู้หยวนไป๋ไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าซีดขาว มีเม็ดเหงื่อละเอียดผุดขึ้นบนหน้าผาก

หลังจากคงซิ่งตรวจชีพจรของฮ่องเต้เสร็จก็กระซิบกระซาบกับเหล่าหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาก็บอกอาการปัจจุบันของฮ่องเต้ไปตามความจริง

คำพูดเหล่านี้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้ว ไม่ยอมปล่อยผ่านส่วนที่ไม่เข้าใจ จึงถามทีละเรื่องโดยละเอียด

ร่างกายของเขาไม่ดี การฝังเข็มและยาในเวลานี้ทำเพื่อขจัดไอเย็นในร่างกาย หลังจากไอเย็นถูกกำจัดออกหมดแล้ว จึงจะเริ่มรักษาร่างกายที่อ่อนแอของเขาได้

กู้หยวนไป๋วางใจ ยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อถึงวันที่ร่างกายของเจิ้นหายดีแล้ว ล้วนเป็นผลงานชั้นหนึ่งของทุกคนในสำนักหมอหลวงและปรมาจารย์คงซิ่ง”

พวกเขาต่างกล่าวว่ามิกล้า และถูกเถียนฝูเซิงพาออกไปจากตำหนักพร้อมกับรอยยิ้มร่า

เซวียหย่วนรีบตามออกไป ตบไหล่ของหัวหน้าทหารองครักษ์พลางกล่าวว่า “ใต้เท้าจาง ข้าต้องไปปลดทุกข์”

หนึ่งเค่อต่อมากู้หยวนไป๋ก็ฟื้นตัวจากการรักษา เขายื่นมือออกไป ขันทีน้อยกุลีกุจอเข้ามาประคองเขาทันที กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นโดยมีเสื้อคลุมตัวไว้ แล้วเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ

งานของวันนี้ยังไม่ได้สะสาง กู้หยวนไป๋เริ่มทำงานของวันนี้อย่างแข็งขัน ลอบถอนหายใจอยู่หลายรอบ หากการวินิจฉัยครั้งต่อไปก็ต้องใช้เวลาทั้งบ่ายเช่นนี้ เช่นนั้นเขาก็ต้องกระจายงานเหล่านี้ออกไปบ้างบางส่วน

สุดท้ายแล้วการอ่านฎีกาภายใต้แสงเทียนไม่ดีต่อสายตา นานๆ ครั้งไม่เป็นไร ทว่านานไปกลับไม่ดีนัก

หลังจากที่กู้หยวนไป๋อ่านฎีกาจบสองเล่ม เถียนฝูเซิงกับเซวียหย่วนก็เดินเข้ามาตามลำดับ สีหน้าของเถียนฝูเซิงผิดปกติ เมื่อเดินมาถึงด้านหลังของฮ่องเต้ก็ไม่พูดจา

ทว่ากู้หยวนไป๋กลับพูดว่า “เซวียชิง บิดาของเจ้าส่งฎีกามาว่าอีกสองวันจะกลับนครหลวง”

เซวียหย่วนไม่ยินดียินร้าย “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“หลายวันต่อจากนี้เจ้าก็อยู่จวนเป็นเพื่อนแม่ทัพอาวุโสเซวียอย่างเต็มที่” กู้หยวนไป๋ยิ้ม “หากแม่ทัพอาวุโสเซวียเห็นว่าเจ้าถวายการปรนนิบัติอยู่ที่ตำหนักส่วนหน้า เกรงว่าจะตำหนิที่เจิ้นกักตัวเจ้าไว้ ทำให้เจ้ารู้สึกผิด”

“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เซวียหย่วนตอบอย่างจริงใจ “บิดาของกระหม่อมมีแต่จะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาทเห็นความสำคัญของกระหม่อม”

ตราบใดที่ได้เข้าวังแล้ว เซวียหย่วนจะไม่มีวันให้โอกาสกู้หยวนไป๋ไล่ตนออกไปจากวังอีกครั้งเป็นอันขาด

วันเวลาที่ต่อให้พยายามมากเพียงใดก็ไม่อาจเห็นหน้าของกู้หยวนไป๋ ยามนี้เมื่อเห็นท่าทางของฉู่เว่ยก็รู้แล้วว่ามันยากลำบากเพียงใด

เซวียหย่วนคิดอย่างยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ เขาจะไม่อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด

 

* เยียนจือ เป็นสีชาดอย่างหนึ่ง ทำขึ้นจากการสกัดสีของดอกคำฝอย

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 .. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

community.jamsai.com