X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 1

เดือนสองในนครหลวง อากาศของฤดูใบไม้ผลิหนาวเย็นเล็กน้อย

ภายในห้องบรรทม เหล่านางกำนัลที่มีสีหน้าเบิกบาน กำลังถือน้ำร้อนและผ้าเช็ดหน้าเดินเข้าไปยังตำหนักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

บนเตียงมังกรสีทองอร่ามมีมือขาวๆ ยื่นออกมา ขันทีน้อยซึ่งรออยู่ด้านข้างมองจ้องสองเท้าเปลือยเปล่าของฮ่องเต้ที่กำลังจะแตะพื้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ยามนี้หัวหน้าขันทีเถียนฝูเซิงกำลังอุ่นฉลองพระบาทให้ฮ่องเต้อยู่ด้านนอกจึงไม่มีผู้ใดห้ามได้ ทุกอิริยาบถของฝ่าบาทที่เพิ่งหายจากอาการประชวรรุนแรงทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตระหนก

ขันทีน้อยตกใจ ก้าวไปข้างหน้าแล้วหมอบลงหน้าเตียง เท้าของผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าเหยียบบนหลังของขันทีน้อยได้ทันเวลา

ศีรษะของขันทีน้อยชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง กล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ “ฝ่าบาทจะสัมผัสความเย็นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หัวเราะด้วยเสียงหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วด่าขึ้นมาว่า “ไสหัวไปทางโน้น”

ขันทีน้อยไม่กล้าที่จะไม่ฟังคำเขา แต่ก็ไม่กล้าปล่อยให้เขาลงพื้นทั้งอย่างนี้ จึงกล่าวอย่างบังอาจว่า “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ บนพื้นมันเย็น ไอเย็นนี้จะแทรกซึมเข้าสู่พระวรกายมังกรจากฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เถียนฝูเซิงเพิ่งเข้ามาก็ได้ยินขันทีน้อยกล่าวประโยคนี้ เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นทันควัน ถือรองเท้ามังกรอยู่ในมือ แสร้งร่ำไห้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมาปรนนิบัติให้พระองค์ลงพื้น พระองค์จะวางฝ่าพระบาทลงมาไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของกระหม่อมแทบจะหลุดออกมาจากคอแล้ว”

กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะทันใด “เจิ้น เห็นว่าวันวันหนึ่งหัวใจเจ้าหลุดออกมาเจ็ดแปดรอบ”

เถียนฝูเซิงหัวเราะหึๆ จับสองเท้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ก่อนสวมเครื่องเท้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน

กู้หยวนไป๋ได้กลิ่นธูปหอมและยาอบอวลทั่วทั้งห้อง จนอดที่จะทอดถอนใจมิได้

เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่จริงจังอะไรนัก หากแต่เป็นหนุ่มมั่นผู้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดต่างหาก เพราะขณะที่กำลังเล่นกระโดดร่ม ในวินาทีที่เขาทะลุผ่านชั้นเมฆมานั้น พอลืมตาขึ้นอีกทีก็ดันตื่นขึ้นมาในร่างนี้เสียแล้ว

ราชวงศ์นี้มีชื่อเรียกว่าต้าเหิงซึ่งไม่มีในบันทึกทางประวัติศาสตร์ น่าจะเป็นโลกสมมติที่สร้างขึ้น ระดับเทียบเท่ากับราชวงศ์ซ่งเหนือ

ร่างกายของกู้หยวนไป๋นี้เป็นร่างที่ไม่สมบูรณ์โดยกำเนิดและอ่อนแอมากเกินไป การเป็นฮ่องเต้จึงไม่ค่อยดีนัก

ตอนที่กู้หยวนไป๋มาถึง ก็ปรากฏร่องรอยของระบอบขันทีเผด็จการแล้ว โดยทั่วไปเมื่อเกิดระบอบขันทีเผด็จการมักจะหมายความว่าราชวงศ์นั้นได้ดำเนินมาถึงตอนกลางหรือปลายแล้ว ขุนนางผู้มีอำนาจขยายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ขันทีเองก็ต้องการที่จะคุมทัพ กู้หยวนไป๋ใช้เวลาสามปีเต็มในการลากร่างอมโรคนี้ล้มขุนนางผู้มีอำนาจและขันทีลงมาในคราเดียว ชำระล้างราชวงศ์เก่าและฝ่ายใน ปรับสมดุลอำนาจทั้งสามฝ่ายเป็นการชั่วคราว ฟื้นฟูอำนาจแห่งจักรพรรดิให้เป็นดังกาลก่อน

ในขณะที่เขาถูมือเตรียมต่อสู้และตั้งรับภารกิจครั้งใหญ่อยู่นั้น ร่างกายก็ไม่อาจทนทานได้ ครั้นปลายฤดูหนาวมาถึงก็พัดพาสายลมอันหนาวเหน็บมาด้วย

ช่วงไม่กี่วันที่กู้หยวนไป๋ป่วยหนัก เขาได้ยินหนึ่งหรือสองชื่อที่คุ้นเคยอย่างยิ่งโดยบังเอิญ ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้ทะลุมาในโลกสมมติแต่ทะลุมาในหนังสือ

ฮ่องเต้น้อยที่อยู่ในหนังสือมีชีวิตอยู่ไม่กี่ปีก็ตาย จากนั้นจึงสละตำแหน่งให้ผู้สำเร็จราชการผู้โด่งดังซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง ส่วนนายเอกในหนังสือนั้นเป็นขุนนางมากความสามารถที่จะช่วยให้ผู้สำเร็จราชการปกครองแผ่นดิน มีชื่อเสียงดีงามสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น

กู้หยวนไป๋เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง และรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นเรื่องราวของมิตรภาพลูกผู้ชายที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมืองในวังหลวงบนเว็บดราม่า

หลังรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี กู้หยวนไป๋ก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอยู่ช่วงหนึ่ง ความทะเยอทะยานก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะอย่างไรเสียมันก็สู้การรักษาชีวิตให้ดีมิได้

เขาโกหกตัวเองว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นของเขา ต่อให้ยามนี้เขาทำมากเพียงใดก็เป็นเพียงการปูทางให้กับฮ่องเต้ในอนาคตเท่านั้น

แต่จะให้ยอมแพ้ไปอย่างนี้ เขาไม่เต็มใจจริงๆ

ในช่วงที่เจ็บป่วยอยู่นั้นกู้หยวนไป๋คิดไปมากมาย จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ หลายปีนี้เขาดูแลตัวเองอย่างดี เพลิดเพลินกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างเต็มที่ ทำตัวเป็นคนซื้อซีอิ๊ว ไปเรื่อย พร้อมสังเกตการณ์สังคมมิตรภาพลูกผู้ชายของสองตัวละครหลักในเรื่อง

กู้หยวนไป๋ยังไม่เคยเห็นสังคมมิตรภาพลูกผู้ชายแบบนี้มาก่อนเลย

“ฝ่าบาท เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงวางสองเท้าของกู้หยวนไป๋ลงอย่างเบามือเบาเท้า เพราะเกรงว่าจะรบกวนฮ่องเต้ที่กำลังจมอยู่ในความคิด

ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ยืนอยู่บนพื้น นางกำนัลนำชุดลำลองที่อบควันจนหอมมาผลัดเปลี่ยนให้เขา

ยังไม่ทันจะเปลี่ยนชุดเสร็จดี ด้านนอกก็มีขันทีมารายงาน “ฝ่าบาท เหอชินอ๋องพร้อมเสนาบดีกรมอากรและบุตรชายของเขา กำลังรออยู่นอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”

“ให้พวกเขาเข้ามา” กู้หยวนไป๋เอ่ย

ขันทีพาทั้งสามคนเข้ามา พวกเขาถวายความเคารพกู้หยวนไป๋ที่เพียงตอบรับเรียบๆ ด้วยเสียงหนึ่ง “ลุกเถิด”

คุณชายจวนเสนาบดีกรมอากรที่ยังมิได้สวมหมวก ดูจะเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดิน ทั้งที่เมื่อเช้าเขาเพิ่งถูกผู้เป็นบิดากำชับไปสิบยี่สิบรอบว่าห้ามมองพระพักตร์ฝ่าบาทโดยตรงเด็ดขาด ทว่ายิ่งห้ามกลับเหมือนยิ่งยุ เพราะบัดนี้เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังเหอชินอ๋องและผู้เป็นบิดากำลังอาศัยมุมอับลอบช้อนตาขึ้นมอง

อย่างที่กู้หยวนไป๋กล่าวถึง ผู้ครองแผ่นดินคือบุคคลที่ถูกตามใจจนเปราะบางที่สุด และได้รับการเลี้ยงดูจากทั้งแคว้น

ขณะที่คุณชายน้อยเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นนางกำนัลกำลังพาดผมดำขลับของฮ่องเต้ไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง วันนี้ฮ่องเต้เพิ่งหายจากอาการประชวร ตั้งใจสวมฉลองพระองค์สีแดงชาดเพื่อเฉลิมฉลอง ใบหน้าหยกนั้นสะท้อนสีแดงระเรื่อ

คุณชายน้อยก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก

“นี่คือคุณชายใหญ่ของใต้เท้าทังรึ”

น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋อ่อนโยนจนใต้เท้าทังรู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่ง ก่อนค้อมตัวเอ่ย “คราก่อนฝ่าบาทตรัสกับกระหม่อมว่าคนหนุ่มในวังมีน้อย บุตรของกระหม่อมคุณสมบัติปานกลาง นิสัยโง่เขลา ทว่าดีที่ยังเยาว์วัย ปกติแล้วน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ กระหม่อมก็จะให้เขาเข้าวังบ่อยๆ เพื่อติดสอยห้อยตามและคลายเหงาให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋อยากถอนหายใจอีกแล้ว

เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งทำเรื่องใหญ่สำเร็จไป นั่นก็คือการบอกใบ้ให้ขุนนางใหญ่เหล่านี้ส่งบุตรหลานในสกุลตนมายังวังหลวง ร่างกายของเขาอ่อนแอ ไร้สนมชายาและลูกชายหญิง การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงเพื่อใช้พวกเขาเป็นเชือกผูกมัดเหล่าข้าราชบริพารเท่านั้น แต่ยังเพื่อแสดงความโปรดปราน เลือกที่รักมักที่ชัง แบ่งแยกกลุ่มขุนนางและบัณฑิตออกจากกัน ส่วนเหตุผลข้อสามก็เพื่อดูว่าจะมีคนเก่งอนาคตสดใสที่จะปลูกฝังความจงรักภักดีและอยู่รับใช้ตนหรือไม่

ทว่าตอนนี้เขาไม่มีแก่ใจแล้ว

“เข้ามานี่ ให้เจิ้นได้เห็นหน้า” กู้หยวนไป๋กวักมือเรียกคุณชายน้อย “ใต้เท้าทังไม่ต้องถ่อมตัวไป ท่านมีชื่อเสียงในด้านการอบรมสั่งสอน เจิ้นเองก็เคยได้ยิน”

คุณชายน้อยกลั้นลมหายใจเดินไปหาฮ่องเต้ที่ด้านหน้า ส่วนแผ่นหลังของใต้เท้าทังเองก็เปียกเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เพราะหลังจากที่ฮ่องเต้ชำระสะสางราชสำนักในคราวเดียวแล้ว เขาก็มักจะรู้สึกตึงเครียดเสมอเมื่อเผชิญหน้ากับพระองค์ อำนาจในราชสำนักของฮ่องเต้เพิ่มพูนขึ้น เขาจึงกังวลว่าบุตรชายจะเสียมารยาทต่อหน้าพระองค์

โชคดีที่วันนี้ฮ่องเต้น่าจะอารมณ์ดี ทั้งยังเอ่ยถามด้วยความเป็นมิตรยิ่ง คุณชายน้อยตอบทุกคำถาม อาการตะกุกตะกักในตอนแรกก็ผ่อนคลายลง

กู้หยวนไป๋ต้องการจะยกถ้วยขึ้นดื่มชา ทว่าจู่ๆ มือของเขาก็สั่นเทาอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้วยชาร่วงลงพื้นส่งเสียงดังแสบแก้วหู กู้หยวนไป๋มองไปยังเศษถ้วยชาบนพื้น รู้สึกถึงเพียงไฟโกรธเข้าจู่โจมหัวใจ เขาระคายคอและเริ่มไอ

คุณชายน้อยสะดุ้งโหยง ก้าวขึ้นหน้าไปหาฮ่องเต้ตามสัญชาตญาณ นิ้วมือขาวของฮ่องเต้ลูบๆ หน้าอก คิ้วขมวดแน่น ทั้งตกใจทั้งโมโห

“ฝ่าบาท” คุณชายน้อยที่บังอาจเอื้อมมือประคองฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความกังวล “พระองค์ไม่เป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

เศษถ้วยชาถูกเก็บออกไป ส่วนกู้หยวนไป๋ก็หยุดไอแล้ว และแย้มยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง “เจิ้นไม่เป็นอะไร”

เหอชินอ๋องที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เข้าตำหนักหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ฝ่าบาทต้องดูแลพระวรกายมังกรให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ ยามที่เสด็จพ่อยกแผ่นดินให้ฝ่าบาทในตอนนั้น พระองค์ยังมิได้อ่อนแอเช่นทุกวันนี้เลย”

กู้หยวนไป๋ถอนใจ ก่อนเอ่ย “เหอชินอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว”

กู้หยวนไป๋ปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นและเดินออกไปนอกตำหนัก แหงนหน้ามองท้องฟ้า “อากาศวันนี้ไม่เลวจริงๆ”

“พระวรกายของฝ่าบาทดีขึ้นมากแล้ว อากาศย่อมแจ่มใส” เสนาบดีกรมอากรเอ่ยเสริมทันที “หลายวันที่ฝ่าบาทประชวร ราษฎรในเมืองล้วนหน้านิ่วคิ้วขมวด อยู่บ้านอธิษฐานให้ฝ่าบาททุกวัน ฝ่าบาทปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรม หัวใจราษฎรเบิกบาน แม้แต่สวรรค์ก็ยังหวงแหน”

ฮ่องเต้หัวเราะ เสนาบดีกรมอากรเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากอย่างไม่ลดละ “สองวันนี้อากาศน่าจะแจ่มใส ฝนในฤดูใบไม้ผลิมีค่าดังน้ำมัน เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตกปรอยๆ ดอกไม้ใบหญ้าแถบชานเมืองก็บานสะพรั่งแล้ว บุตรชายของกระหม่อมกล่าวว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะมีการแข่งขันชู่จวี* ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เอ๋?” กู้หยวนไป๋สนใจเป็นอย่างมาก “แข่งชู่จวีหรือ”

เรื่องที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานชู่จวีนั้นคนทั่วหล้าต่างรู้ดี ใบหน้าของคุณชายน้อยแดงเรื่อ เขาคำนับก่อนเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “พรุ่งนี้เป็นงานแข่งชู่จวีที่จัดขึ้นโดยบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษา มีกลุ่มศิษย์ทั้งหมดสี่กลุ่ม ใช้เวลาในการแข่งขันหนึ่งชั่วยาม** ครึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เอ่ย “พูดไปพูดมา เจิ้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเสียแล้ว พรุ่งนี้สำนักศึกษาของเจ้าจะจัดการแข่งขันชู่จวีขึ้นที่ใดยามใด เจิ้นอยากไปร่วมความครึกครื้นด้วย”

คุณชายน้อยรับคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ”

สายตาเฉียบคมของเถียนฝูเซิงสังเกตเห็นความอ่อนล้าปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วของฮ่องเต้ จึงรีบก้าวขึ้นหน้าเชิญให้เสนาบดีกรมอากรและบุตรชายออกไป ในเวลานี้เหอชินอ๋องที่ยืนใบหน้าเขียวคล้ำอยู่ด้านข้างเหมือนตอไม้ข้างทาง จ้องมองกู้หยวนไป๋อย่างดุเดือดแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปพร้อมกัน

กู้หยวนไป๋เห็นสีหน้าน่าเกลียดของเขาเช่นนั้นก็หัวเราะร่าครู่ใหญ่ จนกระทั่งรู้สึกแน่นหน้าอกจึงหยุดลง ก่อนกล่าวอย่างกระปรี้กระเปร่า “เถียนฝูเซิง ไป ไปชมสวนดอกไม้กับเจิ้น”

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

หลังออกจากตำหนักสองพ่อลูกก็แยกทางกันอย่างเร่งรีบ คนหนึ่งไปหาเสนาบดีกรมทหารเพื่อเตรียมการสำหรับฮ่องเต้ที่จะออกจากวังไปชมการแข่งขันชู่จวีในวันรุ่งขึ้น ส่วนอีกคนรีบกลับไปยังสำนักศึกษาเพื่อแจ้งแก่อาจารย์ใหญ่ถึงเรื่องการจะมาเยือนของฮ่องเต้

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นดังคลื่นที่โหมซัดสาดสำนักกั๋วจื่อเสวีย อย่างบ้าคลั่ง อาจารย์ใหญ่ลุกขึ้นพรวด “ฝ่าบาทจะเสด็จ?”

อาจารย์ผู้ช่วยและจื๋อเจี่ยง ต่างพากันลุกขึ้น มองดูทังเหมี่ยนบุตรชายของเสนาบดีกรมอากรอย่างกระตือรือร้น ไหนเลยจะยังมีท่าทีเข้มงวดขึงขังเช่นปกติ

ทังเหมี่ยนอดไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นมาอีกรอบ “เรียนท่านอาจารย์ใหญ่ ฝ่าบาทตรัสเช่นนั้นขอรับ”

อาจารย์ใหญ่เป็นขุนนางขั้นห้าเต็มขั้น เคยเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้จากที่ไกลๆ เท่านั้น ครั้นได้ยินข่าวเช่นนี้ ในอกก็เปี่ยมไปด้วยความปีติ เขาเดินไปเดินมาในห้องพร้อมใบหน้าที่อิ่มเอิบด้วยความสุข หัวเราะเสียงดังเป็นครั้งคราว ตื่นเต้นดีใจราวกับได้ดื่มสุราจนเมามาย

อาจารย์ผู้ช่วยและจื๋อเจี่ยงยังไม่เคยเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้มาก่อน หนึ่งในจื๋อเจี่ยงที่มีอายุห้าสิบกว่าปีน้ำตาไหลอาบแก้ม พึมพำกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะมีวันที่ได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาท”

อาจารย์ผู้ช่วยพยายามสงบสติอารมณ์ “อาจารย์ใหญ่ กลุ่มผู้แข่งชู่จวีทั้งสี่กลุ่มของสำนักศึกษาเราเป็นการรับสมัครอย่างไม่จริงจัง ความสามารถมีทั้งเด่นและด้อย หากลงแข่งทั้งอย่างนี้ จะต้องทำให้ฝ่าบาทหมดความสนใจเป็นแน่”

ฝีเท้าของอาจารย์ใหญ่หยุดชะงัก อดที่จะพยักหน้ามิได้ “ถูกต้องๆ เช่นนั้นวันนี้ก็รีบรับสมัครคนที่เตะชู่จวีเก่งๆ อีกสี่กลุ่มเสียใหม่ ฮ่าๆๆ น่ากลัวว่าถ้าเจ้าเด็กกลุ่มนั้นได้ยินว่าฝ่าบาทจะเสด็จ คงมิวายจะต้องพุ่งตัวเข้าใส่เป็นแน่”

อาจารย์ใหญ่นึกอะไรได้บางอย่างจึงหันมาถามทังเหมี่ยน “ฝ่าบาทตรัสว่าจะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์หรือมาอย่างเอิกเกริก”

ทังเหมี่ยนลังเล “ฝ่าบาทมิได้ตรัสอะไร แต่ท่านพ่อข้าไปหาเสนาบดีกรมทหารแล้ว”

อาจารย์ใหญ่ครุ่นคิด ลูบเคราพลางพยักหน้า ไม่ได้ถามทังเหมี่ยนให้มากความอีก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้เจ้าต้องลงแข่งด้วย วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้จักต้องทำเพื่อเกียรติของสำนักกั๋วจื่อเสวียของข้า”

ทังเหมี่ยนเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ศิษย์จะทำให้ได้ขอรับ!”

แค่คิดว่าพรุ่งนี้ฮ่องเต้จะมาดูเขาเตะชู่จวี ทังเหมี่ยนก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลัง แทบจะรอไม่ไหวอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เพื่อให้ฮ่องเต้ได้รับรู้ว่าเขาเก่งกาจเพียงใด

บทที่ 2

ในนครหลวงมีสถานศึกษาของทางการสองแห่ง หนึ่งคือสำนักกั๋วจื่อเสวีย สองคือสำนักไท่เสวีย ราตรีเดียวกันนั้น ไม่รู้ว่าข่าวของสำนักกั๋วจื่อเสวียแพร่งพรายไปยังสำนักไท่เสวียได้อย่างไร อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักไท่เสวียถึงได้ส่งคำขอเข้าร่วมมาฝ่ายเดียวอย่างไร้ยางอาย ทั้งยังจัดตั้งกลุ่มชู่จวีขึ้นมาสี่กลุ่ม ตั้งใจจะดวลฝีเท้ากับสำนักกั๋วจื่อเสวียต่อหน้าพระพักตร์ในวันรุ่งขึ้น

‘คนในสำนักศึกษาของพวกเจ้าเล่นกันเองจะไปสนุกอะไรเล่า รวมพวกข้าเข้าไปด้วยสิ! ศิษย์พวกข้าตัวสูงแข็งแรง เป็นนักเตะฝีเท้าดีเชียว!’

สิ่งที่ทำให้สำนักกั๋วจื่อเสวียหาความสุขมิได้ สำนักไท่เสวียย่อมคว้าให้มั่น

วันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จมาตามคาด พระองค์สวมชุดลำลองประทับอยู่ในศาลาที่คลุมด้วยผ้าม่าน เวลานี้เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังหนาวเย็น ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้และเหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นล้วนไม่มีผู้ใดกล้าปล่อยให้ฮ่องเต้ต้องลมหนาวอีก

ภายในศาลามีเพียงด้านเดียวซึ่งหันหน้าไปทางสนามแข่งเท่านั้นที่ไร้ม่านคลุม และมีกระถางไฟตั้งอยู่ข้าง ๆ ยามนี้การแข่งขันยังไม่เริ่มขึ้น แต่ข้างสนามก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่รู้ข่าวเรียบร้อยแล้ว

ศีรษะของคนเหล่านี้ผลุบๆ โผล่ๆ หวังที่จะได้เห็นฮ่องเต้สักครั้ง

เสียงข้างสนามแข่งดังเซ็งแซ่ ความคึกคักแทบจะถล่มท้องฟ้า อีกทั้งยังมีบางคนปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กอดลำต้นพลางยืดคอมองเข้าไปในสนาม

ทังเหมี่ยนบุตรชายเสนาบดีกรมอากรกำสองมือแน่นจนชาเล็กน้อย เขาเพียงรู้สึกแน่นในอกด้วยความตื่นเต้น หลังจากเห็นฮ่องเต้อยู่ในศาลาจากที่ไกลๆ ความตื่นเต้นก็กลายเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันแรงกล้า

ในเวลานี้ซื่อจื่อ จวนผิงชางโหว ซึ่งเป็นสหายสนิทของทังเหมี่ยนกำลังพูดกับเขาอย่างเป็นกังวลว่า “ข้ารู้สึกว่าน่องของข้าจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว”

ทังเหมี่ยนตกใจ “รีบนวดเร็วเข้า ประเดี๋ยวการแข่งก็จะเริ่มแล้ว พวกเราต้องเตะอย่างงดงามให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร!”

“ก็เพราะรู้ว่าฝ่าบาททอดพระเนตรอยู่ ข้าถึงได้ตื่นเต้นอย่างไรเล่า” ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวสีหน้าบึ้งตึง “ท่านพ่อข้าได้ยินว่าวันนี้ข้าจะเตะชู่จวีต่อหน้าพระพักตร์ ก็ปลุกข้าตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งซ้อมมวยทั้งวิ่ง ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

ทังเหมี่ยนนิ่งเงียบ เขาหมุนซ้ายหมุนขวาด้วยความกังวลใจ “เจ้าเล่นได้ราวมังกรสะบัดหาง จะขาดเจ้าไม่ได้”

ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวอดที่จะรู้สึกภูมิใจไม่ได้ เขาพยายามแกว่งๆ ขาพร้อมสูดปากส่งเสียง ‘ซี้ด’ ออกมา “ข้าจะไปนวดก่อน”

ผู้เล่นชู่จวีในสนามส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนุ่มน้อยที่ยังมิได้เข้าพิธีสวมหมวก ครั้นได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสด็จ ทั้งบัดนี้ยังมีผู้คนมาดูเป็นจำนวนมาก แม้จะตื่นสนามอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นและฮึกเหิมมากกว่า

“ข้างนอกยังหนาวอยู่ แต่เด็กพวกนี้กลับไม่กลัวกันเลย” กู้หยวนไป๋สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ขนปุยสีขาวล้อมรอบใบหน้าของเขา “ดูสิ สวมเสื้อบางๆ กันทั้งนั้น”

เถียนฝูเซิงรู้สึกปวดใจแทนฮ่องเต้ ก่อนอุ่นชาให้เขาอย่างระมัดระวังกาหนึ่ง “พอวิ่งก็เหงื่อออกแล้ว แต่หลังจากเหงื่อออกก็จะรู้สึกหนาวได้ง่าย สุดท้ายแล้วเพราะยังเด็กจึงสามารถต้านทานได้”

“สั่งการลงไป หลังการแข่งขันให้ส่งน้ำขิงไปทันที ให้คนในสำนักศึกษาระวังไว้ อย่าห่วงเรื่องเล็กจนเสียเรื่องใหญ่”

“พ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงให้คนสั่งการลงไป

 

แน่นอนว่าการแข่งขันชู่จวีระหว่างสองสำนักศึกษาย่อมดึงดูดสายตาผู้คน เสียงไชโยและเสียงโห่ร้องดังไปจนถึงอีกเนินเขาหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล

ฉู่เว่ยกับสหายร่วมสำนักที่กำลังเดินชมเขาอยู่สามารถมองเห็นฉากคึกคักนี้ได้แต่ไกล สหายร่วมสำนักหัวเราะพลางเอ่ย “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไม่ใคร่สนใจชู่จวีจริงๆ ข้าก็อยากจะไปที่นั่นเพื่อร่วมสนุกด้วย”

ฉู่เว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสวมชุดสีฟ้าทั้งตัว รูปโฉมสง่างาม บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ หว่างคิ้วมีความรู้สึกแปลกแยกเย็นชาเล็กน้อย เขาเป็นบุคคลที่เหมือนหยกอย่างแท้จริง เป็นชายรูปงามอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงในนครหลวง

“หนวกหูเสียจริง” ฉู่เว่ยกล่าว “เบื้องบนชอบอย่างไร เบื้องล่างย่อมทำตามเช่นนั้น”

สหายร่วมสำนักเอ่ยเย้า “เจ้าควรจะยินดีที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมิใช่ของล้ำค่าที่หาได้ยาก มิเช่นนั้นก็คงจะเป็นภัยต่อสรรพสิ่งในใต้หล้าอีกครา”

ฉู่เว่ยมีความสัมพันธ์อย่างเฉยเมยกับกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลเหล่านั้น เจ็ดปีที่แล้วหลังจากที่เขาสอบเจี่ยหยวน ได้ก็ออกเดินทางศึกษาไปทั่วหล้า เห็นราษฎรผู้ยากไร้ไม่มีอันจะกินมากมายก็รู้สึกผิดหวังต่อผู้ครองราชย์องค์ก่อนยิ่งนัก ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไร้ผลงาน ไร้ข้อเสีย และไม่มีสิ่งใดพิเศษ ปล่อยให้ขุนนางผู้มีอำนาจเล่นหัวรังแกมาหลายปี จึงไม่มีค่าใดให้ฉู่เว่ยชายตามอง

สหายร่วมสำนักเห็นสายตาของเขาก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงหัวเราะและเดินชมทัศนียภาพต่ออย่างสบายๆ

แม้ต้าเหิงในยามนี้ภายนอกจะดูเหมือนทะเลสงบแม่น้ำใส แต่ในสายตาของผู้ที่มีความรู้ซึ่งมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกลับรู้ดีว่าความสงบสุขนี้คงอยู่ได้ไม่นาน

ทันทีที่ฮ่องเต้น้อยซึ่งอ่อนแอขี้โรคผู้นี้สวรรคต ก็จะเกิดศึกทั้งภายนอกและภายใน ฝูงหมาป่าคอยจับจ้องและรอให้ถึงเวลาก็จะดึงความชอบธรรมอันสูงส่งออกมาตามใจชอบ แต่ผู้ต่อสู้ก็คือบรรดาทหารม้าที่อยู่ในมือ

ต่อให้ฮ่องเต้น้อยดวงแข็งไม่สวรรคต เขาจะสามารถปราบหมาป่าดุร้ายผู้หิวโซจนดวงตาฉายประกายสีเขียว ให้เชื่องได้หรือ

จะเอาสิ่งใดไปปราบ ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกเช่นนั้นหรือ

 

ในการแข่งชู่จวีที่ครึกครื้นนี้ ผู้เตะเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ผู้ชมก็มีเหงื่อออกมากเช่นกัน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหลังจากเด็กหนุ่มเหล่านี้ลงแข่งได้ครู่หนึ่งก็มีข้ารับใช้ฝ่ายในจากวังหลวงส่งน้ำขิงร้อนกรุ่นมาให้ถึงที่ เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้รับสั่งเป็นพิเศษ เด็กๆ ที่มาจากครอบครัวยากจนจำนวนมากก็อดที่จะดวงตาแดงก่ำมิได้

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เมื่อยกน้ำขิงขึ้นซดรวดเดียวจนหมด ไม่ช้าก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งกาย เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองสามคนยังคงปิดดวงตาที่แดงก่ำนั้นไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “น้ำขิงอร่อยนัก”

“พี่ชายทั้งหลายรีบไปสวมเสื้อผ้าเถิด” ข้ารับใช้ฝ่ายในจากวังหลวงก็อบอุ่นยิ่งนัก “ตอนนี้ยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”

คนทั้งหลายค่อยๆ สลายตัวไป ฝ่ายซื่อจื่อจวนผิงชางโหวนามว่าหลี่เหยียน หลังบีบจมูกและดื่มน้ำขิงหมดถ้วยแล้วก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “สบายตัวนัก!”

เขาส่งถ้วยเปล่าให้ข้ารับใช้ฝ่ายในแล้ววางมือบนไหล่ทังเหมี่ยน เอ่ยเย้า “พี่เหมี่ยน เหตุใดยังไม่ดื่มอีก คงไม่ได้เสียดายหรอกกระมัง”

ทังเหมี่ยนหูแดง รีบซดรวดเดียวจนหมด “ปากไม่มีหูรูด พูดจาส่งเดชจริงๆ”

ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ บ่าวชายของผิงชางโหวก็วิ่งเข้ามา “ซื่อจื่อ นายท่านให้ท่านรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมกับนายท่านขอรับ”

ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวตกใจ “เข้าเฝ้า?”

จู่ๆ เขาก็ทำอะไรไม่ถูก “ขะ…ขะ…ข้ายังใส่ชุดเตะชู่จวีอยู่เลย”

บ่าวตัวน้อยกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ท่านคลุมเสื้อไปก่อนเถิด นายท่านร้อนใจมากขอรับ”

ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวรีบตามเขาไปที่ศาลาอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับผิงชางโหว

กู้หยวนไป๋ได้เชิญอาจารย์จากทั้งสองสำนักศึกษามาพูดคุยพอดี หลังจากได้รับรายงานก็เอ่ยว่า “เข้ามาเถิด”

สองพ่อลูกแห่งจวนผิงชางโหวถวายความเคารพ ก่อนเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “พระวรกายมังกรของฝ่าบาทเพิ่งจะหายจากประชวร กระหม่อมจึงคิดอยากเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋หัวเราะ “กับข้าต้องพิธีรีตองเพียงนี้เชียว? นั่งเถิด”

ผิงชางโหวบรรจงนั่งลงไม่ไกลจากเขา แผ่นหลังตั้งตรง และยังคงตื่นเต้น

จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ผู้ที่มิได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยตรงย่อมไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกที่พวกเขาต้องเผชิญ ฝ่าบาทขึ้นเป็นจักรพรรดิตั้งแต่ยังเยาว์ เดิมทีพวกเขานึกว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมาตนเข้าใจอุปนิสัยของฮ่องเต้อย่างถ่องแท้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่คาดเดาไปมานั้นเป็นเพียงฉากหนึ่งเท่านั้น ฝ่าบาทเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน เพิ่งจะเข้าพิธีสวมหมวกเมื่อปีกลายเท่านั้น!

ผู้เป็นบิดานั่งลงแล้ว แต่ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวไม่กล้านั่ง กู้หยวนไป๋กวาดตามองเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาแล้วเอ่ย “นี่คงเป็นเหยียนเกอเอ๋อร์* กระมัง ที่แท้ก็โตถึงเพียงนี้แล้ว”

ผิงชางโหวเอ่ย “ตอนเด็กๆ ซุกซน พอโตก็ยิ่งชวนให้กระหม่อมปวดเศียรเวียนเกล้า”

“เด็กหนุ่มก็เป็นเช่นนี้” กู้หยวนไป๋หัวเราะเอ่ย “เหยียนเกอเอ๋อร์ มานั่งข้างเจิ้นสิ”

หลี่เหยียนนั่งลงข้างฮ่องเต้อย่างเก้ๆ กังๆ แม้จะพูดว่านั่งข้างๆ ทว่าตำแหน่งที่นั่งก็มีระยะห่างสองคนยืนกั้น ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่ หลังจากนั่งลงแล้ว หลี่เหยียนรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสายหนึ่งลอยมาแตะที่ปลายจมูก

เครื่องหอมที่ใช้ในวังหลวงเป็นเครื่องหอมที่ดีที่สุด ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งมึนเมา หลี่เหยียนสูดดมจนอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ได้ยินฮ่องเต้เอ่ยเย้าอยู่ข้างๆ “เจิ้นได้ยินบรรดาใต้เท้าหลายท่านพูดกันว่าซื่อจื่อจวนผิงชางโหวหน้าตาหล่อเหลา น่าเสียดายที่ในสกุลพวกเขาไร้เด็กสาวที่คู่ควรแก่การออกเรือน มิฉะนั้นจะต้องชิงลงมือก่อนเป็นแน่”

ผิงชางโหวรู้สึกภูมิใจยิ่ง แต่หลี่เหยียนกลับกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด ฮ่องเต้ชอบหยอกเย้ายิ่ง จงใจพูดกับเขาว่า “เหยียนเกอเอ๋อร์ เงยหน้าให้เจิ้นดูว่าหน้าตาของเจ้าเป็นเยี่ยงไร”

หลี่เหยียนหัวแข็งราวกับลูกเป็ด เขาเงยหน้าขึ้นพรวดอย่างรุนแรง ใบหน้าของเด็กหนุ่มขี้อายแดงระเรื่อไปทั้งแถบ มองตรงไปที่พระพักตร์ของฮ่องเต้โดยมิได้หลบสายตา

ฮ่องเต้มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลี่เหยียนคอแข็งทื่อ ในทรวงอกที่เชื่อมไปถึงสมองนั้นว่างเปล่า

ผิงชางโหวตะโกน “หลี่เหยียน!”

หัวใจของหลี่เหยียนเต้นแรง ตกใจจนเกือบจะทะลึ่งตัวขึ้นมา เขารีบก้มหน้างุดพร้อมกล่าวอย่างทำอะไรไม่ถูก “ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้เจตนา…”

กู้หยวนไป๋ชอบเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวาและทรงพลังเช่นนี้ เขาหัวเราะ “ผิงชางโหว ไม่ต้องหรอก เหยียนเกอเอ๋อร์บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เป็นเด็กดีคนหนึ่ง”

ฮ่องเต้กล่าวชมไม่กี่คำ ผิงชางโหวก็สั่งให้บุตรชายถอยออกไป หลี่เหยียนเดินโซซัดโซเซออกจากศาลา ทังเหมี่ยนคอยเฝ้าดูอยู่นอกกองทหารองครักษ์ไม่หยุดหย่อน เมื่อเห็นเขาออกมาก็รีบโบกมือ

หลี่เหยียนเดินเข้าไปหา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปในฝูงชนอย่างเงียบๆ เดินไปไม่กี่ก้าว หลี่เหยียนก็หยุดเดินกะทันหัน เขามองไปรอบทิศ กลืนน้ำลายก่อนหันไปกล่าวกับทังเหมี่ยน “เจ้าบอกว่าตอนที่เจ้าเข้าวังคราก่อนก็เห็นพระพักตร์ของฝ่าบาทอย่างชัดเจนใช่หรือไม่”

ทังเหมี่ยนพยักหน้าน้อยๆ “ทำไม ครานี้เจ้าก็เห็นแล้ว? เจ้าเชื่อฟังคำของท่านพ่อเจ้ามากที่สุดมิใช่หรือ”

หลี่เหยียนลูบศีรษะพลางหัวเราะแหะๆ ไม่ตอบคำ ทว่ากลับกล่าวบางอย่างราวกับปาระเบิดลงพื้น “พวกเราสองคนร่วมมือกันหาจิตรกรสักคนดีหรือไม่ ข้าคิดจะวาด…” เขาชี้ขึ้นฟ้า แม้หวาดกลัวแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นอันห้าวหาญหาที่เปรียบมิได้ “วาดภาพของบุคคลนั้นเก็บไว้”

ทังเหมี่ยนตกใจจนกระโดดโหยง “เจ้าบ้าไปแล้วรึ!”

“ข้ามิได้บ้า” หลี่เหยียนขยิบตาให้เขา “พวกเราก็ไม่ต้องวาดให้เหมือน คิ้วตาวาดไว้กับข้า ส่วนจมูกปากวาดไว้กับเจ้า หากคิดจะดูพวกเราก็เอาภาพวาดมาต่อกัน ยามปกติที่ไม่มีสิ่งใดก็ซ่อนภาพวาดไว้ในห้องนอน ใครจะพบเจอได้เล่า”

ทังเหมี่ยนกลืนน้ำลาย ในหัววาดลักษณะของฮ่องเต้ที่เขาเหลือบมองวันนั้น เมื่อสบตากับหลี่เหยียนอีกครั้ง ต่างคนก็ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นอันตกลงแล้ว

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 มิ.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: