ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1
ผู้เขียน : MINTRAN
แปลโดย : ทันบี
ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
prologue
ผมชื่อคิมจูฮยอก
ผมเป็นเบต้า
ผมไม่เคยรู้สึกอายและก็ไม่เคยสงสัยในความจริงข้อนั้นเลยสักนิด
ผมเป็นเบต้ามาจนถึงตอนนี้ และในอนาคตต่อจากนี้ผมก็คงจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน
เขาว่ากันว่าในโลกใบนี้มีประชากรเบต้าอยู่เยอะมาก แต่มันก็ไร้ความหมาย ในเมื่อโลกใบนี้โคจรอยู่รอบบรรดาพวกอัลฟ่าและโอเมก้า โดยมีพวกอัลฟ่าอยู่เป็นจุดศูนย์กลางของอำนาจทั้งหมด และเบื้องหลังของอัลฟ่าเหล่านั้นก็มีโอเมก้าที่คอยควบคุมและบงการอยู่อีกที
ในสมัยที่ผมเป็นนักเรียน ผู้อำนวยการทุกคนก็เป็นอัลฟ่า และพอผมเข้ามหาวิทยาลัยมา เหล่าผู้คนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันหมด แม้กระทั่งตอนนี้ทุกอย่างก็ยังคงเป็นมาแบบนั้น นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว นับตั้งแต่คณะผู้บริหาร ผู้อำนวยการ หัวหน้าแผนก รวมถึงผู้จัดการในบริษัทของผม ทุกคนเป็นอัลฟ่ากันทั้งหมด ส่วนภรรยาของพวกเขาน่ะเหรอ แน่นอนว่าก็ต้องเป็นโอเมก้าทั้งหมดเหมือนกันไง
เฮ้อ…แม้แต่หัวหน้าอีที่กำลังหอบหายใจถี่อยู่ตรงโน้นก็ยังเป็นโอเมก้าเช่นกัน เขาคนนั้นเป็นโอเมก้าในบริษัทของเราที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นบุคคลที่มีอนาคตไกล และตอนนี้ดูเหมือนเขาน่าจะกำลังอยู่ในช่วงฮีตอยู่ เขาถึงได้หอบหายใจรุนแรงมาตั้งแต่เช้า
พอผมถามออกไปว่า ‘เป็นอะไรไหมครับ’
เขาก็ตอบกลับมาว่า ‘มะ…ไม่เป็นไร…แฮก…’ ทั้งที่เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัว ซึ่งนอกจากผมแล้ว ทุกคนต่างก็หลงเชื่อคำพูดนั้น
ผมพยายามจะโทรเรียกรถพยาบาล แต่หัวหน้ากลับห้ามผมไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรทั้งที่ยังคงหอบหายใจถี่อยู่อย่างนั้น โลกใบนี้มันบ้าไปหมดแล้วหรือไงกันนะ
โอ๊ะ อัลฟ่าชนชั้นสูงของบริษัทเรากำลังวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแล้วนั่น
หัวหน้าแผนกซอกระชากตัวหัวหน้าอีอย่างแรงด้วยแววตาเย็นเยียบ
“หัวหน้าอี นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ”
“ซอฮีแท…นี่ไม่ใช่เรื่องที่…ฮึก…หัวหน้าแผนกซอ…ต้องมาใส่ใจหรอกครับ”
“อีฮยอนแจ!”
“กลับไป…เถอะครับ…!”
“เห็นคุณอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วผมจะกลับไปได้ยังไง!”
หัวหน้าแผนกซอคว้าไหล่ของหัวหน้าอีเอาไว้อย่างแรง เขาที่กำลังขบกรามแน่นถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะลากตัวหัวหน้าอีออกไป หัวหน้าอีเลยจำต้องยอมถูกลากออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง…
“ผู้ช่วยคิมคะ ทางนี้มีแฟ็กซ์ส่งมาหนึ่งฉบับค่ะ”
“อ๊ะ ครับ”
ต้นเสียงนั้นคืออิมฮันนา พนักงานอาวุโสแผนกการเงิน ผมรับแฟ็กซ์จากเธอมา ก่อนจะเริ่มกรอกข้อมูลของลูกค้าลงไปในระบบประมวลผล โดยที่ไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่หัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอีพุ่งตัวออกไปจากออฟฟิศอย่างกะทันหันในเวลางานเลยสักคน ส่วนผมก็ทำเพียงแค่นั่งเฉยๆ อยู่กับที่แล้วกดรีเฟรชระบบประมวลผลจนนิ้วหงิกเท่านั้น
ตอนสมัยที่เข้ามาทำงานในบริษัทแรกๆ ผมโทรเรียกตำรวจไปโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง นั่นก็เป็นเพราะว่าหัวหน้าแผนกซอตบเข้าที่หน้าของหัวหน้าอีจนล้มพับลงไป
‘จัดการกับกลิ่นน่าขยะแขยงนั่นหน่อยสิครับ’
นี่มันเป็นการใช้ความรุนแรงภายในบริษัทชัดๆ ตอนนั้นผมกำลังจะวิ่งตรงเข้าไปหาผู้จัดการ แต่แล้วก็จำต้องย้อนกลับมายังที่นั่งของตัวเองเพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้จัดการน่าจะไม่อยู่ในวันนั้น เนื่องจากช่วงนั้นผู้จัดการเองก็กำลังยุ่งๆ อยู่กับการประชุมกับคู่ค้าตลอด ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วรีบโทรเรียกตำรวจ ความจริงแล้วผมควรจะต้องโทรไปที่ศูนย์สิทธิมนุษยชนภายในของบริษัท แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องนั้น เพราะมันเป็นช่วงที่ผมเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทได้ไม่นาน
‘คะ…คุณตำรวจใช่ไหมครับ!? หัวหน้าแผนกซอเขา…หัวหน้าอี…!’
และแล้วผมก็ถูกตำหนิอย่างหนัก ส่วนเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะผมโทรเรียกตำรวจด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตอนนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าต่อให้อัลฟ่าจะทุบตีโอเมก้าไม่ยั้งมือขนาดนั้นก็ไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอีเองก็ดันเป็นคู่สมรสที่ตบแต่งกันทางผลประโยชน์โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการ แถมความจริงแล้วหัวหน้าอีก็รักหัวหน้าแผนกซออยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งหัวหน้าแผนกซอเองก็รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นมาโดยตลอด แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วปฏิเสธหัวหน้าอีอย่างเย็นชา ผมไม่นึกเลยว่าบนโลกนี้จะมีความสัมพันธ์รักๆ ใคร่ๆ ที่น่าอเนจอนาถใจแบบนั้นอยู่ด้วย
แต่ดูเหมือนว่าบรรดาพนักงานในออฟฟิศทุกคนต่างก็รู้เห็นเหมือนกันหมด
เฮงซวย
ผมเรียนจบจากโรงเรียนที่มีแต่พวกเบต้าซึ่งตั้งอยู่ในแถบชนบทของจังหวัดคยองกีที่มีแต่พวกเบต้าอาศัยอยู่มานานจากรุ่นสู่รุ่นเช่นกัน จากนั้นผมก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อพอสมควร มันเป็นมหาวิทยาลัยที่ในอัตราส่วนจำนวนนักศึกษาทั้งหมดนั้นมีพวกเบต้าเรียนอยู่เยอะมากที่สุด ดังนั้นก่อนจะเข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้ผมจึงต้องดูพวกสื่อลามกโดยใช้เหตุผลทางการศึกษาและหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือทางการแพทย์มากมาย แถมภาพยนตร์ก็เลือกดูแต่ภาพยนตร์โรแมนติกเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับบริษัทแห่งนี้ได้
แต่แล้วผมก็ตระหนักได้ว่า…
เวรเอ๊ย สังคมนี้นี่มันห่วยแตกชะมัด
ด้วยเหตุนั้นผมจึงกะว่าจะทำงานที่นี่ไปอีกประมาณสามปีแล้วค่อยลาออก เงินชดเชยจากการลาออกจำนวนหนึ่งผมจะมอบให้พ่อกับแม่ และหลังจากที่เก็บสะสมเงินได้ก้อนใหญ่แล้วผมก็จะเดินทางไปต่างประเทศและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นเบต้า
ผมยังคงจำรอยฟันสีจางตรงต้นคอของหัวหน้าอีที่ไม่อาจปกปิดมันเอาไว้แม้ว่าจะใช้ผ้าพันแผลปิดไว้ในวันถัดมาหลังจากที่โดนหัวหน้าแผนกซอตบจนล้มลงได้อย่างติดตา และวันนั้นก็เป็นวันที่ทำให้ผมได้ตัดสินใจ
ผมไม่มีทางอนุญาตให้มีความสัมพันธ์แบบไหนก็ตามเกิดขึ้นในอาณาเขตของผมเด็ดขาด
และนี่ก็เป็นการประกาศ ‘เขตห้ามรักแบบฉบับเบต้า’ ของผม
Chapter 1.1
ระหว่างฮาวายกับโกลด์โคสต์
ทะเลสีฟ้า หมู่เกาะที่แสนงดงาม ผู้คนที่สวมแว่นกันแดดเข้ากับเสื้อผ้าแขนสั้นขาสั้น…
นั่นคือโลกในอุดมคติที่ผมวาดฝันเอาไว้ ผมมักจะจินตนาการเพ้อฝันเอาเองว่า ‘จะซื้อตั๋วเครื่องบินเมื่อไหร่ดีน้า’ อยู่เป็นประจำ และช่วงเวลายามเช้าตั้งแต่แปดโมงยี่สิบนาทีจนถึงแปดโมงครึ่งนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเพ้อเจ้อของผม ถึงแม้ว่าเวลาเข้าทำงานในบริษัทคือเก้าโมง แต่บางครั้งก็มีโทรศัพท์จากลูกค้าโทรเข้ามาเร็วจนทำให้ผมต้องเข้างานตอนแปดโมงยี่สิบนาทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่ามันเฮงซวยไหม มันก็เฮงซวยอย่างว่านั่นแหละ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว เพราะยังไงผมก็ได้เงินค่าล่วงเวลาเพิ่มอยู่ดี เพียงแต่ว่า…
“คุณคิมจูฮยอกครับ วันนี้ก็นั่งดูรูปนั้นอีกแล้วเหรอครับเนี่ย”
“เอ่อ ครับ”
ปัญหาของผมก็คือไอ้ผู้จัดการนี่
ผู้จัดการอีชีฮยอน เขาเป็นอัลฟ่าชั้นสูงที่เรียนจบจากต่างประเทศ ปัจจุบันมีฐานะเป็นหัวหน้าที่อายุน้อยที่สุดของศูนย์ให้คำปรึกษาด้านการศึกษาฮันมาอึม เขามักจะมาถึงบริษัทตอนแปดโมงเช้าของทุกวันแล้วนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็เดินป้วนเปี้ยนอยู่ในบริษัท ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่ NPC* ในเกมโปเกมอนที่จะต้องมารอแบตเทิลแท้ๆ…ทั้งที่ตัวเองมีบรีฟงานกับทีมประชาสัมพันธ์ตอนเก้าโมงเช้าทุกวัน แต่กลับมุ่งมั่นมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์เนี่ยนะ? แปลกคนจริงๆ
มิหนำซ้ำเขายังอุตส่าห์เดินลงจากออฟฟิศของตัวเองที่อยู่ชั้นเก้ามายังโต๊ะทำงานของผมที่อยู่ชั้นสาม แถมยังชอบมาดมกลิ่นผมพร้อมทำเสียงฟุดฟิดๆ แล้วแอบมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผมพลางยิ้มหน้าบานอวดฟันขาวเรียงตัวสวยอีกต่างหาก
“วันหยุดยาวคราวนี้อยากไปกับผมไหมครับ ผมมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่โกลด์โคสต์ ถ้าเป็นช่วงนี้น่าจะอากาศดีเหมาะกับการไปพักผ่อนหย่อนใจพอดีเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“คุณไม่ควรทำตัวเย็นชาใส่หัวหน้าในที่ทำงานแบบนี้นะครับ นี่ผมพูดด้วยความหวังดีจริงๆ นะ…”
ผมดึงมือของผู้จัดการอีที่วางอยู่บนไหล่ของผมออก
“พอดีผมต้องไปไหว้บรรพบุรุษตอนวันหยุดยาวน่ะครับ”
“ถ้างั้นผมจะส่งผลไม้ไปให้เป็นของขวัญวันเทศกาลนะครับ เดี๋ยวผมเลือกลูกที่สดใหม่ให้กับมือเลย”
“ธรรมเนียมแบบคริสเตียนน่ะครับ”
“ไหนเมื่อกี้คุณบอกว่าไหว้บรรพบุรุษไง…”
“พอดีพ่อแม่ผมเป็นคริสเตียน แต่ผมไม่ใช่น่ะครับ”
ผู้จัดการอีทำหน้าตึงไปนิดหน่อย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกกว้าง
“คุณนี่เป็นคนตลกจังเลยนะครับเนี่ย คุณคิมจูฮยอก…” เขาพูดพึมพำ “เฮ้อ…น่ารักชะมัดเลยแฮะ”
“…”
“ไม่มีอะไรครับ ถ้าอย่างนั้นไว้คุณเกิดมีความคิดอยากจะไปโกลด์โคสต์ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ขึ้นมาที่ชั้นเก้าของผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
ผู้จัดการอีขยิบตาให้ผมแล้วก็เดินจากไป ในขณะที่ผมทอดสายตามองภาพด้านหลังของเขา ผมก็จำต้องกำมือไว้แน่นเพื่อเก็บซ่อนนิ้วกลาง
แม่ง…
นี่เป็นเพียงหนึ่งในกิจวัตรประจำวันยามเช้าของผมเท่านั้น นั่นก็คือการโต้ตอบการรุกอันร้อนแรงของผู้จัดการอี ไม่รู้ว่าเขามองเห็นความหวังอะไรในตัวผมที่เป็นเบต้าถึงได้รุกจีบกันหนักขนาดนั้น นี่เขาคงไม่ได้กำลังเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นโอเมก้าหรอกนะ?
อีกอย่างนะ…ในรูปนั่นน่ะมันใช่โกลด์โคสต์ซะที่ไหน ฮาวายต่างหากล่ะ
“อึก…แฮก…”
เสียงครางดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องน้ำ นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยใช่เล่นเลยล่ะ
ผมสะบัดมือลวกๆ ก่อนลองคลำกระเป๋ากางเกงดู
เฮ้อ เช็กดูก่อนแล้วกัน
หลังจากเดินเข้าไปใกล้ๆ ประตูห้องน้ำแล้ว ผมก็ลองเอาหูแนบอย่างเงียบๆ
“ฮึก…อือ…อึก…”
คนด้านในกำลังอยู่คนเดียว ผมพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับความจริงข้อนั้น ก่อนที่ผมจะเสนอหน้ายื่นมือเข้าไปช่วย ผมจะต้องพิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบในสิ่งที่ผมกำลังจะทำเสียก่อน เพราะหากยื่นมือออกไปช่วยเหลือแล้ว อาจจะกลายเป็นว่าผมเข้าไปขัดขวางการเริงรักในชีวิตประจำวันที่แสนเพลิดเพลินของใครบางคนอย่างไม่เข้าเรื่องเอาก็ได้
แต่ทำกันในห้องน้ำบริษัทเนี่ยนะ? ช่างเถอะ ตั้งคำถามไปก็เปล่าประโยชน์
คนที่อยู่ข้างในตอนนี้ต้องเป็นโอเมก้าอย่างแน่นอน ดูท่าคงจะไม่ได้กินยาระงับอาการฮีตมาอีกแล้วล่ะสิ
ทั้งที่อยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนผ่านไปมามากมายแบบนี้ แต่ดันไม่กินยาระงับอาการฮีตมาเนี่ยนะ? ต่อให้ตัดเรื่องที่อาจจะกลายเป็นเป้าหมายของพวกอาชญากรออกไป แต่หากไม่กินยาระงับอาการฮีตก็อาจจะเกิดฮีตขึ้นมาจนไม่สามารถควบคุมร่างกายเอาไว้ได้แท้ๆ แล้วแบบนั้นทำไมถึงยังลืมกินยาได้ลงอีกนะ
ผมโคลงหัวไปมาอย่างระอากับคำถามที่สามารถตอบได้ทันทีในฐานะพลเมืองเบต้าที่แสนจะรักความสงบสุข ก่อนจะลูบขวดยาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง
เหตุผลที่ผมซึ่งเป็นเบต้ามียาระงับอาการฮีตของโอเมก้านั้นเรียบง่ายมาก นั่นก็เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องทำงานล่วงเวลายังไงล่ะ
ก่อนหน้านี้ผู้ช่วยคังซึ่งเป็นโอเมก้าก็เคยไม่ได้พกยาระงับมาแล้วเกิดถึงรอบฮีตพอดี มันเป็นสถานการณ์ที่ไอ้อัลฟ่าคู่พันธะของเขาดันไปทำงานอยู่ต่างประเทศพอดีด้วย พวกเราจึงต้องรีบหิ้วปีกผู้ช่วยคังไปยังรถพยาบาลอย่างเร่งด่วน ส่วนพนักงานใหม่ซึ่งเป็นอัลฟ่าที่เคยไล่ตามตื๊อเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เรื่องราวความรักของคนอื่นมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่ผมจะต้องรู้ แต่ปัญหาหลักนั้นก็คือเรื่องงานต่างหากล่ะ พอผู้ช่วยคังหมดสติไป เอกสารที่ผมจะต้องกรอกลงไปในระบบประมวลผลแล้วส่งคืนให้แผนกการเงินก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ถึงจะขาดผู้ช่วยคังไปแค่หนึ่งคน แต่ทีมดูแลลูกค้าทีมหนึ่งก็ถึงกับต้องทำงานล่วงเวลากันหมดทุกคน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มพกยาระงับอาการฮีตของโอเมก้าไว้กับตัว ถ้ามีใครส่งเสียงหอบฟังดูแหบพร่า นั่นก็เป็นเครื่องหมายสัญญาณเตือนที่แสดงว่าการทำงานล่วงเวลาและหยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าเสียใจของคนอื่นๆ ในทีมกำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง และมาตรการในการยับยั้งเรื่องพวกนั้นก็คือยาระงับที่อยู่ในมือผมตอนนี้ ผมจะอาสาเป็นเทวดาที่คอยขัดขวางการทำงานล่วงเวลาของบริษัทนี้ให้เอง
ชายหนุ่มที่หอบเสียงกระเส่าอยู่พักหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ พอผมเข้าไปประคองเขาที่เดินโซเซ เขาก็ทิ้งตัวพิงมาที่ผมอย่างว่าง่าย ผมพาเขาไปที่เครื่องกรองน้ำแล้วรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว ก่อนจะยื่นยาระงับอาการฮีตให้หนึ่งเม็ด
ใบหน้าของโอเมก้าที่กำลังดื่มน้ำนั้นกลับมามีเลือดฝาดให้เห็นและดูสดชื่นขึ้นเป็นอย่างมาก เขาเป็นหนุ่มรูปงามเอวบางร่างน้อย คางเรียวเล็กนิดหน่อยและดวงตากลมโต ไหนจะปลายจมูกโด่งมนนั่นอีก มันเป็นดวงหน้าที่ต่อให้ใครบอกว่าเป็นผู้หญิงผมก็คงจะเชื่อ แต่แน่นอนว่าเรื่องนั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยปากพูดกับผมในขณะที่ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่เปล่งประกาย
“ขอบคุณนะครับ…ที่ช่วยผม…เอ่อ ไม่ทราบว่า…มะ…ไม่สิ ผมเกือบจะถามคำถามเสียมารยาทไปแล้ว…”
“เอ่อ…ครับ”
“ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกพบเลย…คือผม…!”
“…”
“ขอบคุณจริงๆ นะครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่อ…”
“ช่างเถอะครับ พอดีชื่อผมมันเชยน่ะ”
ผมรีบออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ถึงสายตาที่ทิ่มแทงด้านหลังศีรษะจะร้อนแรงแค่ไหน ผมก็ต้องชินกับมันให้ได้
สำเร็จ และแล้ววันนี้ผมก็พิทักษ์เวลาเลิกงานตามกำหนดของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ได้อีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับไปยังที่นั่งด้วยความพึงพอใจหลังจากได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมายไว้แล้วนั้น ผมก็ลูบคลำบริเวณกระเป๋าเสื้อ แต่ในนั้นกลับว่างเปล่า อย่าบอกนะว่าผมทำขวดยานั่นหล่นน่ะ?
ผมเดินย้อนกลับไปยังห้องน้ำตามทางเดิมที่เดินมา ยาระงับของโอเมก้าไม่ใช่ของราคาถูกเลยสักนิด ดังนั้นผมจึงคลานเข่าควานหาไปทั่วพื้นทางเดินอย่างละเอียด
กระทั่งตอนที่ไปถึงหน้าเครื่องกรองน้ำผมถึงได้เห็นขวดยาสีขาวกลิ้งอยู่ข้างเก้าอี้
โล่งอกไปที
ชั่วขณะที่ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอื้อมมือออกไปนั้นก็มีมือเรียวยาวฉวยแย่งขวดยาของผมตัดหน้าไปเสียก่อน
“นี่มันอะไรครับเนี่ย”
“…ผู้จัดการอี”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นผมก็เห็นผู้จัดการอีชีฮยอนที่กำลังขมวดคิ้วยุ่งอยู่เบื้องหน้า
“คุณคิมจูฮยอก”
“ครับ”
“ยาระงับอาการฮีตนี่น่ะ…ของคุณเหรอครับ”
ผู้จัดการอีถามหน้าเข้ม เขามองหน้าผมสลับกับขวดยาแล้วเม้มปากแน่น ก่อนที่ผมจะตระหนักได้ว่าเรื่องที่น่ารำคาญสุดๆ กำลังจะเกิดขึ้น อันดับแรกลองมาคิดอย่างใจเย็นกันก่อนดีกว่า
ถ้าตอนนี้ผมพูดออกไปว่า ‘มันคือยาของผมครับ’ ผมก็ไม่รู้อีกว่าอัลฟ่าตรงหน้านี้จะจินตนาการเพ้อเจ้ออะไรบ้าง แถมยังมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นโอเมก้าแล้วมาตามตอแยผมมากกว่าเก่า
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกเสียดายยาอยู่นิดหน่อยหากจะพูดออกไปว่า ‘ไม่ใช่ของผมครับ’ แถมเบต้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการฮีตอย่างผมเวลาซื้อยาระงับอาการฮีตจะไม่สามารถเบิกประกันได้อีกต่างหาก
ตาชั่งในใจของผมเอนไปทางโน้นทีเอียงมาทางนี้ทีกลับไปกลับมาอยู่พักใหญ่
“…ก่อนอื่นตามผมมาก่อนเถอะครับ ไว้ไปคุยกันในห้องทำงานผม”
ดะ…เดี๋ยว มันต้องไม่ใช่อย่างนั้นสิ ห้องทำงานคุณอยู่ชั้นเก้าไม่ใช่หรือไง เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
แต่แล้วสุดท้ายตาชั่งในใจผมก็ได้เอียงไปยังฝั่งหนึ่ง…ฝั่งที่ฟังดูสมเหตุสมผลที่สุด
“ผู้จัดการอีครับ”
“ว่าไงครับ”
“นั่นมันไม่ใช่ของผมครับ”
“…”
เงินทองของนอกกายไว้หาใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับผู้จัดการอีต่อแล้ว อีกแค่ห้าวินาทีก็ไม่เอา เพราะบางทีผมอาจจะเผลอตวาดเสียงดังลั่นแล้วพังกระจกหน้าต่างชั้นเก้ากระโดดออกไปก็ได้ ใครจะไปรู้กัน
ผู้จัดการอีเป็นบุคคลที่ผมมั่นใจว่าไม่ว่าเขาจะชอบผมหรือไม่ แต่เขาต้องอยากมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างกับผมแน่ๆ เดิมทีเขาก็เป็นเจ้านายของผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่มีความคิดที่จะอยู่ในพื้นที่คับแคบกับผู้จัดการอีสองต่อสองแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว ต่อให้เขาจะขนทรายจากโกลด์โคสต์เอามาให้ผมหนึ่งตัน ผมก็ไม่เอา ถึงเดิมทีแล้วทรายนั่นมันจะไม่ได้จำเป็นอะไรสำหรับผมก็ตาม ดังนั้นผมจึงไม่มีทาง…
พอผู้จัดการอีขำออกมาน้อยๆ ผมถึงได้สติเอาตอนนั้น นี่มันไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องอื่นสักหน่อย
“คุณบอกว่าไม่ใช่ของคุณอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณต้องพยายามเก็บมันด้วยล่ะครับ”
“ก็ผมเหมือนเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่ตรงหน้านี่ครับ”
“แล้ว?”
“ก็แค่นั้นแหละครับ”
“…อย่างนั้นเองสินะครับ ถ้างั้นผมก็คงคิดอะไรเหลวไหลไปเอง คุณที่เป็นเบต้ากลับเป็นเจ้าของยาระงับที่ใช้สำหรับโอเมก้า ผมคงเพี้ยนไปแล้วจริงๆ…”
พอดูๆ ไปแล้ว คนในบริษัทของผมดูเหมือนจะไม่มีความคิดที่จะปิดซ่อนความรู้สึกภายในใจเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่จะเก็บเอาไว้แค่ในใจอย่างเดียวก็ได้ แต่ทุกคนก็พูดมันออกมาหมด ไม่รู้ว่าผู้จัดการอีเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ต่อบริษัทของพวกเรามากๆ หรืออย่างไร ถึงได้ตั้งอกตั้งใจพูดความคิดของตัวเองที่ผมเองก็ไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดออกมาส่งเดชแบบนั้น
“ผมมีความคิดแบบนี้เข้ามาในหัวแวบแรกน่ะครับ ความจริงแล้วคุณอาจจะเป็นโอเมก้าที่แสร้งทำตัวเป็นเบต้าก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันก็ฟังดูสมเหตุสมผลนี่ครับ เพราะคุณชอบหลีกเลี่ยงตอนที่ต้องเจอกับอัลฟ่าเท่านั้น แล้วสนิทแค่กับพวกเบต้าหรือโอเมก้า…ผมพูดถูกต้องใช่ไหมล่ะครับ”
คำพูดของผู้จัดการอีไม่มีตรงไหนผิดเลยสักนิด ไม่สิ…มันไม่มีทางผิดอยู่แล้ว เพราะอัลฟ่าส่วนใหญ่ของบริษัทพวกเรานั้นมีตำแหน่งสูงกว่าผมกันทั้งนั้น ซึ่งการที่จะสนิทกับเจ้านายในที่ทำงานมันก็มีขอบเขตอยู่ และทีมดูแลลูกค้าทีมหนึ่งที่ผมสังกัดอยู่ก็เป็นทีมที่คนส่วนใหญ่เป็นโอเมก้ากับเบต้า พวกอัลฟ่านั้นก็มีเพียงแค่พนักงานใหม่สองคนเท่านั้น
และพนักงานใหม่ที่เป็นอัลฟ่านั้น ผมเองก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรด้วย แถมโต๊ะก็ยังอยู่ห่างกันเป็นโยชน์อีก
ผู้จัดการอีเดินเข้ามาใกล้ผมอีกก้าวหนึ่ง
“ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่ได้เป็นโอเมก้า แล้วอย่างนั้นตอนนี้ทำไมคุณถึงได้มาอยู่ตรงนี้ล่ะครับ ผมหมายถึงทำไมคุณต้องพยายามเก็บขวดยานี่ล่ะ คุณมีเหตุผลอะไรที่จะต้องเดินลุกลี้ลุกลนก้มมองพื้นเหมือนกับคนที่กำลังพยายามตามเก็บของสิ่งนี้ให้ได้ล่ะครับ”
เงาของเขาทาบลงมาบนใบหน้าผม พอได้มองดูในระยะใกล้แล้ว ผู้จัดการอีน่าจะสูงกว่าผมถึงสองคืบ ผู้จัดการอีกำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มแบบนั้นนอกจากตอนที่หัวหน้าแผนกซอจูบกับหัวหน้าอีจนไปพรีเซนต์งานสายเมื่อคราวก่อน ผมก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย ซึ่งมันทำเอาผมถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ผมแค่มาดื่มน้ำน่ะครับ”
“…ครับ ถ้าอย่างนั้นดื่มเสร็จแล้วก็กลับเข้าไปเถอะครับ”
ผู้จัดการอีถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะตบบ่าผม จากนั้นก็ฉวยมือผมไปแล้วยัดขวดยาใส่มือให้ มือของผู้จัดการอีที่ผมสัมผัสโดนนั้นเย็นยะเยียบสุดๆ
“กลับเข้าไปเถอะครับ ส่วนขวดยานี่คุณก็เอาไปด้วยแล้วกัน ไม่ว่ามันจะเป็นของคุณหรือไม่ใช่ของคุณก็ตาม”
ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพ่ายแพ้แปลกๆ ยากเกินบรรยายขณะมองภาพแผ่นหลังของผู้จัดการอีที่ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ
ผมเดินกลับมายังโต๊ะทำงานด้วยความรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
ทำงานของเราดีกว่า
ถ้าได้จดจ่ออยู่กับงานแล้ว ไอ้ความรู้สึกค้างคาใจนี้ก็จะได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความโมโหเกี่ยวกับระบบประมวลผลแทน ช่วงนี้ระบบประมวลผลของบริษัทผมอืดลงมากๆ เนื่องจากบริษัทเซิร์ฟเวอร์ที่ทำสัญญาด้วยล้มละลาย ระบบรวนจนผมจะบ้าตายอยู่แล้ว แถมดูเหมือนฝ่ายธุรการเองก็น่าจะหัวหมุนไปหมดกับการหาบริษัทเซิร์ฟเวอร์บริษัทใหม่ เพราะแบบนั้นพวกเราถึงได้กำลังยอมทนความไม่สะดวกที่คนจากแผนกการเงินจะต้องถ่อขึ้นมาถึงออฟฟิศที่อยู่ชั้นสามเวลามีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือเซิร์ฟเวอร์ผิดเพี้ยนไป
ในขณะที่ผมดึงเก้าอี้ออกมาและกำลังจะนั่งลงไปนั้น ผู้ช่วยคังที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็เกิดคลื่นไส้พะอืดพะอมขึ้นมา พอผมแอบเหลือบมองก็เห็นว่าผู้ช่วยคังกำลังเอามือปิดปากแล้วใช้อีกมือโบกพัดไปมากลางอากาศ
“ผู้ช่วยคัง ในที่สุดก็ท้องแล้วเหรอครับ”
“โอ๊ย ผู้ช่วยคิม พูดอะไรน่าขนลุกอย่างนั้นล่ะครับ ว่าแต่ไปทะเลาะกับใครที่ไหนมาครับเนี่ย กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าถึงได้ติดเต็มตัวคุณคลุ้งไปหมดเลย”
ผู้ช่วยคังเอาพัดลมขนาดพกพายกขึ้นมาจ่อใกล้ๆ ผม ก่อนที่จะกดปุ่มให้ใบพัดลมเริ่มหมุนติ้ว
ฟีโรโมน?
แม้ว่าผมจะลองยกแขนขึ้นมาดมฟุดฟิดๆ ดูแล้ว แต่แน่นอนว่าผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลย มีเพียงแค่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกับกลิ่นแดดอ่อนๆ ที่ฝังติดอยู่เท่านั้น นั่นเพราะเบต้าไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าและโอเมก้า
“กลิ่นมันแรงมากเลยเหรอครับ”
“เปล่า มันก็ไม่ได้เรียกว่ากลิ่นแรงหรอกครับ แค่รู้สึกได้จากฟีโรโมนน่ะ รู้สึกเหมือนว่าเจ้าของกลิ่นน่าจะโกรธอยู่นิดหน่อยด้วย”
“ของแบบนั้นก็สะดวกเหมือนกันนะครับ…‘ไอ้การที่รับรู้ได้โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำเลย’ เนี่ย”
“สะดวกอะไรล่ะครับ ไร้ประโยชน์สุดๆ เลยต่างหาก แบบนี้พวกคนที่ไม่สามารถจัดการกับฟีโรโมนของตัวเองได้ก็ไม่สามารถเล่นโป๊กเกอร์ได้เหมือนกันหมดน่ะสิ เพราะมันจะเผยให้เห็นความรู้สึกทั้งหมดเลยไง”
ผมพยักหน้าก่อนจะหันกลับมาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
ผู้จัดการอี…คงจะโกรธกันสินะ
ตัวเองเป็นใครถึงได้มาโกรธกันล่ะเนี่ย ถึงมันจะไร้สาระและน่าหัวเสียหน่อยๆ แต่ผมก็ตัดสินใจตั้งหน้าตั้งตาทำงานดีกว่า คนเราถ้าต้องให้มานั่งตอบสนองทุกความรู้สึกของเจ้านายในที่ทำงานก็คงไม่เป็นอันทำมาหากินกันพอดี
สามปี…สามปีเท่านั้นที่ผมจะทนทำงานเก็บเงินอยู่ที่นี่ แล้วก่อนหน้านั้นผมก็จะไปฮาวายให้ได้ด้วย
“โอ๊ะ จะว่าไปแล้ว ผู้ช่วยคิม”
“ครับ?”
“วันนี้มีพนักงานสัญญาจ้างคนใหม่มาที่แผนกการเงินด้วยนะครับ คุณเห็นหรือยัง”
“ไม่นะ ว่าแต่ใครบอกผู้ช่วยคังเหรอครับ”
“เปล่าหรอกครับ พอดีเมื่อกี้ตอนพักเที่ยงผมไปซื้อกาแฟให้คุณฮันนามาน่ะ”
“อ๋อ…”
“ก็ตอนที่คุณพัคพนักงานอาวุโสเป็นลมไปเพราะเกิดอาการฮีตเมื่อคราวก่อนนั้นไง ได้ยินว่าเขาตัดสินใจลาพักไปยาวๆ เลยล่ะ เห็นว่าช่วงนั้นวุ่นวายกันสุดๆ ไปเลยด้วย เล่นเอาอัลฟ่าสองคนบุกตามเข้ามาถึงในออฟฟิศขนาดนั้นนี่เนอะ ทำเอาคนในทีมลำบากน่าดู…เพราะอย่างนั้นก็เลยปล่อยให้เขาลาพักไปแล้วก็ไปจ้างพนักงานสัญญาจ้างเพิ่มเอาแทน…”
“ก็นะ ในเมื่อคนหนึ่งไป คนใหม่ก็ต้องมาอยู่แล้วนี่”
จู่ๆ ผู้ช่วยคังก็กระซิบกระซาบราวกับกำลังพูดความลับอันยิ่งใหญ่ยังไงยังงั้น
“ว่าแต่…เห็นว่าพนักงานโอเมก้าคนนั้นน่ะ หน้าตาสวยสุดๆ ไปเลยนะครับ”
“ใครจะสวยแล้วไง เกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ”
“โน่นไง คุณอิมมาพอดีเลย เดี๋ยวผมถามให้เอาไหม”
ผู้ช่วยคังเลื่อนเก้าอี้ถอยไปด้านหลังก่อนจะโบกแขนไหวๆ
“คุณฮันนา! โอ๊ะ? ข้างหลังนั่นพนักงานใหม่เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ! ว่าจะมาแนะนำให้รู้จักพอดีเลย!”
ผมหันกลับไปมองโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเห็นพนักงานอาวุโสอิมกำลังเดินโซเซไปมาพร้อมกับหอบกองเอกสารที่เหมือนภูเขาย่อมๆ ไว้ในมือ
และด้านหลังของพนักงานอาวุโสอิมนั้นก็คือโอเมก้าคนที่ผมเพิ่งจะเจอไปเมื่อครู่นี้ โอเมก้าคนนั้นที่ส่งเสียงครางในห้องน้ำ โอเมก้าที่ผมเอายาให้แล้วเดินออกมาส่งนอกห้องน้ำ
โอเมก้าซึ่งเป็นพนักงานสัญญาจ้างคนใหม่ที่ว่ากันว่าหน้าตาโคตรสวยคนนั้น
‘โอเมก้าคนนั้น’ ไม่ละสายตาไปจากผมเลยสักนิด ผมรู้จักแววตาแบบนั้นดี สีหน้านั้นเองก็เช่นกัน มันเป็นสีหน้าที่บอกชัดเจนว่าพร้อมที่จะสารภาพรักผมได้ทุกเมื่อ และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่สามารถปิดซ่อนความรู้สึกไม่สบอารมณ์นี้ได้เลย
ก่อนหน้านี้เด็กโอเมก้านี่พึมพำพูดว่าอะไรแล้วนะ…ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบหรือเปล่านะ
บางทีโอเมก้าแบบนี้ก็มีอยู่บนโลกด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์ที่เหวี่ยงสวิงเหมือนขึ้นรถไฟเหาะเวลาฮีตหรือเปล่า คนเหล่านั้นถึงได้รู้สึกซาบซึ้งกับแค่การที่ผมยื่นยาระงับอาการฮีตและน้ำแก้วหนึ่งให้แล้วปุบปับตกหลุมรักกันขึ้นมา
และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีบางคนที่เอาพวกเครื่องดื่มนั่นนี่มาวางไว้บนโต๊ะทำงานของผมทุกเช้า บางคนก็เอาขวดน้ำผลไม้ที่มีโน้ตเขียนด้วยถ้อยคำดูดีแปะไว้มาให้
‘ความรู้สึกขอบคุณในใจนี้มันเพิ่มพูนขึ้นทุกวันเลยครับ’
ซึ่งแบบนั้นมันก็ดีเหมือนกัน เพราะผมเองก็ชอบเครื่องดื่มพวกนั้น ทว่ามันก็แค่นั้น เพราะผมคิดว่าพวกเขาคงแค่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณมาให้ผม
ทว่าปลายทางนั้นกลับกลายเป็นการสารภาพรักซึ่งแตกต่างจากที่ผมคิดเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วพวกโอเมก้าก็คาดหวังอยากจะเป็นคนรักของผม บ้างก็ว่าตกหลุมรักผมตั้งแต่แรกพบ บ้างก็ว่ายิ่งเจอหน้าผมเท่าไหร่ก็ยิ่งตกหลุมรักมากขึ้นเท่านั้น แม้เหตุผลจะหลากหลายและแตกต่างกันออกไป ทว่าในตอนจบแล้วมันก็เหมือนๆ กันหมดทุกคน
ผมปฏิเสธผู้คนเหล่านั้น ถึงพวกเขาจะไม่ได้แย่และผมเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น แต่ผมก็แค่ไม่มีความคิดที่อยากจะคบกับผู้ชายเฉยๆ พอนึกถึงภาพผู้ชายแล้ว มันก็ทำให้ผมฝังใจกับบรรยากาศที่น่าเบื่อและอึดอัดของโรงอาบน้ำสาธารณะ
จะว่ายังไงดีล่ะ มันทำให้ผมหวนนึกถึงความบ้านนอกของวิธีการที่พ่อชอบพูดล้ออยู่บ่อยๆ ในตอนที่ผมยังเด็กว่า ‘ถ้าแกไม่เรียนหนังสือ ในอนาคตแกก็จะหัวล้านเหมือนตาลุงคนนั้น’
พอนึกถึงผู้ชายแล้ว ยิ่งเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า ผมก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นไปอีก คนเหล่านั้นไม่ใช่เป้าหมายคนรักของผม คนที่เป็นเบต้าอย่างผมคบกับเบต้าด้วยกันเองก็พอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความรักในบริษัทเนี่ยนะ? ผมไม่เอาด้วยหรอก
เพื่อที่จะรักษาคติของผมเอาไว้ ผมจึงพยายามทักทายโอเมก้าคนนั้นด้วยใบหน้าบูดบึ้งมากที่สุดเท่าที่จะแสร้งทำได้
“สะ…”
“สวัสดีครับ…! เราเพิ่งเจอกันเมื่อครู่นี้นี่เอง…ผมชื่อฮาวอนอีครับ วอนอีครับ”
“เอ่อ ครับ…”
“เห? ผู้ช่วยคิม การทักทายแบบนั้นนั่นมันอะไรกัน นี่คือผู้ช่วยคิมจูฮยอก เดอะแบกของทีมเราเอง เดอะแบกตัวเต็งเลยล่ะ”
“ฮ่าๆ!”
พนักงานอาวุโสอิมหัวเราะเสียงดังลั่นพลางปล่อยกองเอกสารลงบนโต๊ะผมดัง ‘ตุบ’
“เดอะแบก! สงสัยเดอะแบกคงต้องทำไอ้กองนี้ให้หมดแล้วสิเนี่ย”
“เอ่อ…คุณอิม แบบนี้มันไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอครับ จะให้ผมทำหมดนี่เลยจริงๆ ดิ?”
“ฮ่าๆๆ”
พอผมขมวดคิ้วมุ่น ผู้ช่วยคังก็เอาพัดลมขนาดพกพามาเป่าใส่หน้าผม ผมหน้าม้าถูกสายลมพัดเสยขึ้นไปด้านหลัง
“อย่าขมวดคิ้วไปเลยน่า! โอ๊ะ ว่าแต่ผู้ช่วยคิมหน้าผากโหงวเฮ้งดีเหมือนกันนะเนี่ย!”
“ทำไมวันนี้ทุกคนถึงได้เป็นแบบนี้กันล่ะครับ เมาเหล้ากันหรือไง”
“เหล้า? เหล้างั้นเหรอ ไหนๆ ก็พูดแล้ว พวกเราไปร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ข้างล่างนี้กันไหม”
ในระหว่างที่พนักงานอาวุโสอิมกับผู้ช่วยคังกำลังพูดคุยกันน้ำไหลไฟดับอยู่นั้น ใบหน้าของพนักงานฮาก็เริ่มซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนตัวจะสั่นน้อยๆ อีกด้วย ลมจากพัดลมของผู้ช่วยคังที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาคุยจ้อกับพนักงานอาวุโสอิมกำลังพัดไปทางเขา อันที่จริงแล้วการใช้พัดลมในฤดูนี้มันก็…น่าจะไม่ดีต่อร่างกายสักเท่าไหร่ ผมจึงเอ่ยปากทัก
“ผู้ช่วยคัง พัดลม พัดลมน่ะ”
“หืม? อ๋า โทษทีๆ ลมพัดไปทางคุณวอนอีหมดเลยแฮะ ขอโทษทีนะ”
“เอ่อ…ผมไม่เป็นไรครับ…คุณผู้ช่วยคิม…”
พนักงานฮาห่อไหล่อย่างน่าสงสัย ไม่รู้ว่าหนาวหรือเปล่าถึงได้ลูบแขนตัวเองป้อยๆ แบบนั้น
“หืม? อ๋า อย่างนี้นี่เอง! ผู้ช่วยคิมอย่าใส่ใจเลยนะ”
“อะไรเหรอครับ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ”
อะไรของเขาล่ะเนี่ย
ผมถอนหายใจพลางเคลื่อนสายตามามองเอกสาร
ผมนึกว่าพนักงานอาวุโสอิมจะคุยเรื่องไปดื่มเหล้ากับผู้ช่วยคังต่อ แต่เธอกลับตบไหล่ผมปุๆ ถึงอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้นโบกปัดปฏิเสธโดยไม่ได้หันกลับไปมองเพราะวันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องกลับบ้านไปดูซีรี่ส์
“มาสุมหัวทำอะไรกันอยู่ตรงนั้นครับ เห็นบริษัทเป็นโรงเรียนกันหรือไง กลับที่นั่งไปซะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของหัวหน้าอีที่กำลังเดินผ่านไป การรวมกลุ่มนี้ถึงได้สลายตัวกันไป ผมรู้สึกเหมือนมีใครบางคนผงะอยู่ด้านหลังก่อนจะถอยห่างออกไปไกลทันที ดูท่าคงจะเป็นพนักงานฮา
พอผมแอบเหลือบมองผู้ช่วยคัง อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาด้วยสีหน้าเหมือนมีอะไรน่าตลกจนแทบทนไม่ไหว ทว่าพอสบสายตากัน เขาก็รีบก้มหน้างุดลงทันที
ผู้ช่วยคัง มีอะไรน่าขำขนาดนั้นกันครับ
โอ๊ย 5555555555555
?
5555555555555555
?????
พอผมเปิดระบบประมวลผลในคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีกครั้งเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบ ในตอนนั้นเองก็มีข้อความหนึ่งเด้งเข้ามา
‘ไม่ใช่ไรหรอก พนักงานฮาน่าจะได้กลิ่นฟีโรโมนบนตัวคุณน่ะ เมื่อกี้ผู้ช่วยคิมเพิ่งจะมีฟีโรโมนติดตัวกลับมานี่ บางทีเขาอาจจะคิดว่าคุณเป็นอัลฟ่าไปแล้วก็ได้ล่ะมั้ง 555555555’
ผมผละมือออกจากคีย์บอร์ดทันที
วันนี้มันต้องเป็นวันซวยอะไรสักอย่างแน่ๆ
* NPC (Non-player character) คือตัวละครที่ผู้เล่นไม่ได้ควบคุมในเกม หมายถึงตัวละครใดๆ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่น โดยปกติในวิดีโอเกมจะหมายถึงตัวละครที่ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ผ่านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence หรือ AI) ซึ่งจะมีการกำหนดหรือตั้งค่าให้พูดจาหรือทำอะไรแบบเดิมๆ เป็นกิจวัตรตามแต่บทหรือเนื้อเรื่องในเกม ในเกมโปเกมอน พวก NPC จะยืนอยู่ประจำจุดต่างๆ รอให้ตัวละครของผู้เล่นเข้าไปแบตเทิล ซึ่งชีวิตประจำวันของพวกNPC จะวนลูปอยู่ที่เดิมเพื่อรอแบตเทิล
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.