X
    Categories: everYทดลองอ่านเขตห้ามรักฉบับเบต้า

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 1.2-1.3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1

ผู้เขียน : MINTRAN

แปลโดย : ทันบี

ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 1.2

 

จนแล้วจนรอดในที่สุดกองเอกสารของพนักงานอาวุโสอิมก็ทำให้การเลิกงานตรงเวลาของผมจบเห่ ผมลุกขึ้นตอนเวลาเลิกงานแล้วเดินตามคนอื่นๆ เข้าลิฟต์ไปด้วยกัน

ผมเดินสวนผู้คนที่มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าตรงไปร้านกาแฟที่ตั้งอยู่หน้าบริษัท ก่อนจะสั่งอเมริกาโนกับแซนด์วิชแบบห่อกลับบ้านหนึ่งชุด จากนั้นก็ซื้อคุกกี้ที่บังเอิญผ่านเข้ามาในระยะสายตาไปด้วยอีกหนึ่งชิ้น

ในระหว่างที่ผมถือถุงกระดาษแล้วเดินกลับมาที่บริษัทอย่างอิดโรย ผมก็เห็นพนักงานฮากำลังยืนอยู่ตรงข้างๆ ที่นั่งของผมอย่างกับมังบูซอก*

รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ แฮะ

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผู้ช่วยคิม! เอ่อ…ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ คือว่า…”

ในมือของพนักงานฮาที่ยื่นออกมาอย่างขวยเขินมีข้าวกล่องอยู่กล่องหนึ่ง โดยที่บนถุงพลาสติกสีขาวนั้นมีโลโก้สีเหลืองของร้านข้าวกล่องที่อยู่แถวๆ นี้สกรีนอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมือของพนักงานฮากำลังสั่นอยู่หรือเปล่า ถุงพลาสติกนั้นถึงได้เกิดเสียงกรอบแกรบเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบไม่หยุด

ลำบากใจเหมือนกันแฮะ แม้จะซาบซึ้งกับความเอาใจใส่นั้นก็เถอะ แต่ว่า…

“วันนี้คุณวอนอีทำโอทีเหรอครับ”

“พอได้ยินว่าผู้ช่วยคิมต้องทำงานล่วงเวลา ผมก็เลย…”

“ไม่เห็นต้องลำบากซื้อมาให้เลยครับ”

“แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากซื้อมาให้อยู่ดีน่ะครับ คุณผู้ช่วยคิมรับเอาไปทานเถอะนะครับ”

ผมพินิจมองพนักงานสัญญาจ้างที่เพิ่งเข้ามาใหม่ตรงหน้า เขาดูอายุน้อยมาก ดูไปแล้วเขาก็น่าจะไม่เคยเข้าสังคมและใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในวัยทำงานมาก่อน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เขาจะรู้สึกดีกับคนที่ช่วยเหลือตัวเองเอาไว้ในบริษัทที่แสนไม่คุ้นเคยแห่งนี้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ผมรู้สึกลำบากใจอยู่นิดหน่อย จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอกหากจะอยู่ด้วยกันแบบรุ่นน้องที่สนิท…

“คุณวอนอีครับ ถ้างั้นก่อนอื่น…”

ท่าทางของพนักงานฮายามเงยหน้าขึ้นและมองมาที่ผมนั้นดูน่าสงสารเอามากๆ แม้ใบหน้าจะซีดเผือด ทว่าพวงแก้มกลับแดงปลั่ง

ผมก็แค่ไม่อยากมีแฟน แต่ก็ไม่ได้คิดจะทำตัวเย็นชาหรอกนะ อีกอย่างถ้าตอนนี้ผมให้โอกาสพนักงานฮาเข้าหาผมล่ะก็ เราทั้งคู่อาจจะต้องมีเรื่องให้ลำบากใจเกิดขึ้นในภายหลังก็ได้

ทว่าพอผมเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของพนักงานฮาแล้ว ความใจอ่อนก็ก่อตัวขึ้นมาในใจผมอยู่เรื่อยๆ เขาคงจะไม่มีที่พึ่งพิงทางใจเพราะเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัท…โอเคๆ ยอมให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ

“ถ้างั้นคุณวอนอีก็มาทานกับผมสิครับ นี่ผมก็ซื้อแซนด์วิชมาด้วยพอดี…”

“เอ่อ…เรื่องนั้น ช่างเถอะครับ”

“ครับ?”

พนักงานฮายัดข้าวกล่องใส่มือของผมราวกับยัดเยียด

“ผู้ช่วยคิมเป็นอัลฟ่านี่ครับ ตอนที่เจอกันครั้งแรกผมนึกว่าคุณเป็นเบต้าก็เลยคาดหวังนิดหน่อยน่ะครับ…คือผมไม่ชอบยุ่งกับพวกอัลฟ่าน่ะครับ แต่ถ้าจะให้ติดหนี้บุญคุณมันก็ยังไงๆ อยู่ เพราะงั้นผมเลยอยากจะตอบแทนคุณด้วยสิ่งนี้ ลาก่อนนะครับ”

ทันทีที่พูดจบคำพนักงานฮาก็โค้งตัวบอกลาแล้ววิ่งออกไปอย่างไม่รีรอ

ส่วนผมก็ได้แต่หันกลับไปโค้งตัวลาตามเขาด้วยท่าทางเหมือนกับเพนกวินโง่ๆ

ผมอ้าปากค้างพลางมองพนักงานฮาที่หันหลังจากไปเหมือนคนที่จะไม่เจอกันอีกชั่วชีวิต ด้านหลังศีรษะเล็กๆ นั้นหายลับสายตาไปอย่างน่ารักน่าชัง

มือทั้งสองข้างของผมที่ห้อยต่องแต่งหิ้วข้าวกล่องกับแซนด์วิชอยู่นั้นรู้สึกหนักอึ้งแปลกๆ

 

คุณคบกับฉันเพราะแค่เปลือกนอกของฉันใช่ไหมล่ะคะ แฟนฉันเป็นโอเมก้าสุดสวย คุณคงมองแค่เรื่องนี้อย่างเดียวแล้วคบฉันสินะ!”

ยูซอลฮี! ทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนั้นกัน

แล้วฉันพูดผิดหรือไง ฉันถามว่าฉันพูดผิดหรือไง!”

กร้วมๆ

ผมเคี้ยวแผ่นมันฝรั่งทอดกรอบตุ้ยๆ ไม่หยุดปาก รสชาติเค็มสัมผัสที่ปลายลิ้นก่อนจะสลายหายไป

แม้ว่าโทรทัศน์จะกำลังเล่นไปเรื่อยๆ แต่สายตาของผมกลับจับจ้องอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นนิ่ง

ข้าวกล่อง…

สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้กินข้าวกล่องที่ฮาวอนอีให้มา เลยต้องถือติดกลับมาที่บ้าน

ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอาหาร เมื่อเย็นผมก็ค่อยๆ งับแซนด์วิชที่โต๊ะทำงานอย่างเชื่องช้า แต่กับข้าวกล่องนั้นผมกลับไม่ได้แตะต้องมันเลย ผมรู้สึกเหมือนโดนหักอกแปลกๆ ถึงจะไม่เคยขอใครออกเดตมาก่อน แต่หนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนคนอกหักไม่มีผิด

ไม่สิ…ความรู้สึกเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับตัวเองที่ตีตนไปก่อนไข้โดยที่ยังไม่ทันได้รู้ว่าฮาวอนอีชอบผมจริงหรือเปล่านั้นกำลังค่อยๆ ไต่ไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า

ขายขี้หน้าจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

เรื่องที่ฮาวอนอีตกหลุมรักผมตั้งแต่แรกพบนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเจ้าตัวเป็นคนพูดออกจากปากตัวเองเลยว่าสนใจในตัวผม แต่หลังจากที่เข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นอัลฟ่าก็กลายเป็นว่าเขาอึดอัดกับผมแทนเสียอย่างนั้น

นี่ผมจะต้องแก้ไขให้มันถูกต้องตั้งแต่ตรงไหนกันนะ แล้วผมต้องแก้ไขให้มันถูกต้องด้วยหรือเปล่า แต่มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าผมปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปแบบนี้ เขาคงจะไม่มาวอแวผมอีก แต่ดูเหมือนเขาก็น่าจะเข้ากับพนักงานอาวุโสอิมได้ดีพอสมควร ดังนั้นไม่นานความจริงที่ว่าผมเป็นเบต้าก็คงจะต้องถูกเปิดเผยในสักวัน

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คงจะน่าขำไม่น้อยแน่ๆ ถ้าผมถ่อลงไปหาเขาถึงที่ชั้นหนึ่งแล้วบอกว่า ‘ความจริงแล้วผมเป็นเบต้าครับ’

อะไรกันวะเนี่ย ไม่ได้จะไปขอให้เด็กนั่นจีบสักหน่อย

มันก็เป็นแค่สถานการณ์วุ่นวายทั่วไป ความรู้สึกอึดอัดใจและแปลกประหลาดนี้มันคล้ายๆ กับความรู้สึกน่ารำคาญใจเวลาที่มีมันฝรั่งแทรกติดอยู่ระหว่างฟันกรามแล้วต้องไปแปรงฟันใหม่อีกครั้งเนื่องจากมันเป็นส่วนที่แปรงสีฟันแปรงไม่ออกและไหมขัดฟันขัดไม่ถึง

ผมถอนหายใจออกมา แม้แต่ถุงพลาสติกใส่ข้าวกล่องก็เหมือนกำลังหัวเราะเยาะผมด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โค้งเว้าของมันนั่น และสุดท้ายผมก็จัดการเอาข้าวกล่องที่ไม่กล้ากินเก็บเข้าตู้เย็นไป

ในขณะนั้นเองละครก็กำลังดำเนินมาถึงจุดไคลแมกซ์โดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกผมในตอนนี้เลย

ซอลฮี! ผม…! ผมมีแค่คุณนะ! ท่ามกลางโอเมก้ามากมายเหล่านั้น ผมรู้สึกได้เพียงแค่กลิ่นหอมของคุณ ฟีโรโมนของคุณเพียงคนเดียว! แค่นั้นก็พอแล้ว!”

คุณจุนซอก…!”

ซอลฮี…!”

กร้วมๆ…

จะว่าไปแล้วไม่ใช่แค่อัลฟ่าเท่านั้น แต่โอเมก้าเองก็มีฟีโรโมนเช่นกัน ว่ากันว่าแต่ละคนต่างก็มีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่กลิ่นบรรดาดอกไม้ไปจนถึงกลิ่นพูแดจีแก* แต่ผมเองก็ไม่สามารถรับกลิ่นเหล่านั้นได้ และไม่เคยแม้แต่จะได้กลิ่นด้วย

สรุปแล้วฟีโรโมนมันคืออะไรกันแน่นะ ทำไมถึงทำให้ผู้คนวุ่นวายได้ขนาดนั้น ฮาวอนอีเองก็คงจะมีฟีโรโมนเหมือนกัน จะว่าไปแล้วกลิ่นของเขาจะเป็นกลิ่นแบบไหนกันนะ ไม่สิ อย่าไปคิดถึงมันเลยดีกว่า อย่าไปคิดถึงด้านหลังศีรษะกลมๆ ของเขาที่เลือนรางอยู่ตรงหน้า รวมทั้งปลายหูที่แดงเรื่อนั่นเลย

ละครตอนนี้ตัดภาพมาถึงฉากจูบที่ดูดดื่ม ผมยู่จมูกน้อยๆ ก่อนที่จะเดินไปยังห้องครัว ผมคงต้องดื่มน้ำสักหน่อย เพราะมันฝรั่งทอดกรอบนั่นเค็มเอาซะเหลือเกิน

แม้ว่าผมจะรินน้ำใส่แก้วและเดินกลับมาแล้ว แต่ฉากจูบก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ ผมรู้สึกกระดากอายขึ้นมาทั้งที่ทั้งคู่ไม่ได้จูบกันอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ก็นะ…นักแสดงนำชายคนนั้นเป็นรุ่นน้องคนสนิทที่มหาวิทยาลัยของผมเองนี่นา มันเป็นความรู้สึกเขินอายที่คล้ายกับว่าผมกลายเป็นนักเรียนที่เพิ่งกลับเข้ามาเรียนใหม่อีกครั้งหลังจากพักการเรียนไปนาน หรือไม่ก็เป็นทหารเกณฑ์ใกล้ปลดประจำการที่แอบมองฉากรักของคนอื่นแล้วผิวปากแซว

ส่วนเหตุผลที่ผมดูละครเรื่องนี้นั้น ความจริงแล้วก็เป็นเพราะเจ้าซอลกีโด นักแสดงที่ได้รับบทบาทเป็นฮันจุนซอก ตัวละครหลักซึ่งเป็นอัลฟ่า เขาเป็นรุ่นน้องในชมรมของผม พวกเราเจอกันที่ชมรมละครเวทีซึ่งเป็นชมรมละครเวทีภาษาอังกฤษ

ผมอยากเรียนภาษาอังกฤษก็เลยเข้าชมรมละครเวทีภาษาอังกฤษของหมอนั่นไป มันเป็นชมรมที่ดื่มเหล้ากันแบบที่เรียกได้ว่าดื่มจนเมาหัวราน้ำ ซึ่งต่างจากจุดประสงค์แรกเข้าของผมโดยสิ้นเชิง ถึงจะบอกว่าเป็นชมรมละครเวทีภาษาอังกฤษ แต่มันก็เป็นเพียงแค่การรวมตัวกันที่ไม่ได้มีนโยบายอะไรชัดเจน แถมบางครั้งก็ทดแทนกิจกรรมชมรมด้วยการดูละครแบบมาราธอนด้วย ดูท่าเจ้าซอลกีโดเองก็คงจะถูกหลอกเข้ามาเหมือนกันกับผม

คงต้องขอบคุณเรื่องนั้นที่ทำให้หมอนั่นกับผมสนิทกันสุดๆ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะนิสัยง่ายๆ ไม่ยุ่งยากวุ่นวายอะไรของผมกับหมอนั่นด้วยแหละ สายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่สบายๆ และไม่เรื่องมาก นั่นแหละคือพวกเราล่ะ

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยพวกเราก็เคยไปออกเดตคู่และเคยไปเที่ยวด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่มีความทรงจำมากมายร่วมกัน บางทีระหว่างเราก็อาจจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘ครอบครัว’ มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ ด้วยซ้ำ แม้ว่าหมอนั่นจะเป็นอัลฟ่า แต่ก็เป็นอัลฟ่าที่ไม่ได้ต่างอะไรจากเบต้าสักนิด ผมมีซอลกีโดเป็นอัลฟ่าเพียงคนเดียวจากในบรรดาเพื่อนทั้งหมดของผม เพราะหมอนั่นเป็นเพื่อนผมก่อนที่ผมจะรู้ว่าหมอนั่นเป็นอัลฟ่าเสียด้วยซ้ำ

ซอลกีโดอยากเรียนมิวสิคัลมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ผมจำได้ดีว่าเขาเรียนไม่ค่อยเก่งเพราะเอาแต่ไปออดิชันหรือไม่ก็ไปโรงละครเล็กๆ ทุกวัน เขาเป็นตัวแทนคนที่ได้ที่โหล่ของเอกภาษาอังกฤษ และสุดท้ายเขาก็ได้งานทางด้านการแสดงตามที่ตั้งใจ หลังจากที่เรียนจบแล้วเขาก็ได้ทำงานกับคณะละครเวที ก่อนจะไปทำงานพาร์ตไทม์เป็นนักแสดงประกอบในสถานีโทรทัศน์ และจากนั้นก็มีโอกาสได้ไปลองออดิชันจนได้เริ่มต้นในเส้นทางสายนักแสดงละครโทรทัศน์เต็มตัว

ตอนนี้ก็ได้เป็นถึงนักแสดงนำของละครแล้ว ดังนั้นบางทีก็อาจจะต้องมองว่าชีวิตของเขาเริ่มผลิบานขึ้นมาแล้ว อีกหน่อยเจ้าเด็กนี่คงหาเงินได้เยอะ ไว้ถ้าเขาได้เงินค่าตัวเยอะขึ้นคงต้องบอกให้มาเลี้ยงข้าวสักหน่อยแล้ว

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ละครเรื่องนี้ก็ไม่ดังเท่าไหร่นัก แม้แต่ผมเองยังเปิดดูในฐานะพี่น้องเลย

ยูซอลฮีที่เป็นนางเอกของละครเรื่องนี้เป็นนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังใช้ชีวิตอย่างมุ่งมั่นเพราะความยากจน แต่แล้วอัลฟ่าที่เป็นลูกชายของประธานในเครือบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฮันจุนซอกก็ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอที่น่าสงสาร มันเป็นเรื่องราวความรักที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับชนชั้นภูมิกำเนิดที่กั้นขวางระหว่างคนสองคน ทว่าทั้งสองก็เผลอผูกพันธะกันไปโดยแรงอารมณ์ เรื่องราวของโอเมก้าและอัลฟ่าที่ขอลองเสี่ยงกับการคัดค้านหัวชนฝาของครอบครัวและเฝ้าฟูมฟักความรักอย่างมั่นคง มันเป็นเรื่องดราม่าที่สะเทือนใจผู้ชมจนทำให้ร้องไห้น้ำตาซึม

จากที่สาธยายมาทั้งหมดนั้นก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบเยอะแยะมากมาย บ้างก็ว่าโอเมก้าสาวชีวิตรันทดเกินไป บ้างก็ว่าละครพังเพราะใช้เบต้ามารับบทโอเมก้า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด…แต่…

ฮันจุนซอกที่ซอลกีโดเป็นคนแสดงนั้นกลับคล้ายผู้จัดการอีโคตรๆ

อัลฟ่าที่ทั้งหนุ่มและมีหน้าที่การงานอยู่ในตำแหน่งสูง บุคคลที่มีพรสวรรค์จนไม่ว่าใครก็ต้องจับตามอง แล้วยังได้รับความอิจฉาจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ท่ามกลางหนุ่มหล่อน้อยใหญ่มากมาย ทำเอาพวกโอเมก้าส่งสายตาหวานเยิ้มยามเขาเดินผ่านจนเหล่าเบต้าต่างริษยา ซึ่งผู้จัดการอีก็เป็นแบบนั้นเป๊ะๆ เหมือนแม้กระทั่งนิสัยเลี่ยนๆ ชวนอ้วก ถ้าถามถึงจุดที่แตกต่างก็คงจะมีแค่จุดที่ว่าฮันจุนซอกทำตัวเจ้าเล่ห์เจ้าชู้แต่กับโอเมก้าของตัวเองเท่านั้น แต่ผู้จัดการอีนั้นวอแวแต่กับผม เฮ้อ…พอคิดถึงผู้จัดการอีแล้วรู้สึกอยากอ้วกชะมัด

ในที่สุดฉากจูบที่แสนยาวนานก็จบลง จากนั้นแบนเนอร์โฆษณากับเพลงประกอบละครหลักก็ดังขึ้น ทีนี้ก็ถึงเวลาต้องไปแปรงฟันเข้านอนแล้ว

เพราะเธอคือพรหมลิขิตของฉัน เพราะฉันคือความรักของเธอ~ อัลฟ่าที่คอยปกป้องโอเมก้าของฉันก็คือฉันคนนี้ รักนะ คนโง่~ คนโง่คนนี้ที่ไม่เคยสนใจไยดีแม้แต่โชคชะตา…”

ผมนึกว่าเพลงประกอบละครมันยาวขึ้นแปลกๆ แต่แท้จริงแล้วมันคือเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของผม ซึ่งสายที่โทรเข้ามานั้นก็คือซอลกีโด

“ไง กีโดๆ นี่ ฉันดูละครนายแล้วนะ”

“อ๊าก พี่ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าไปดู ผมก็เขินเป็นนะพี่”

“จูบกันนานเชียวนะ…”

“โอ๊ย พี่ ผมขอเถอะ!” ซอลกีโดที่บ่นงึมงำเอ่ยปากบอกจุดประสงค์ที่โทรมา “พอดีผมผ่านแถวบ้านพี่อะ ไปดื่มสักแก้วกันไหม”

ผมเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปห้าทุ่มกว่าแล้ว แถมพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปทำงานอีก ปกติผมก็คงจะออกไปดื่มแหละ ถ้าไม่ใช่วันทำงาน…แต่ช่วงนี้ผมเหนื่อยมากกับการตื่นนอนตอนเช้า ต่อให้จะบอกว่าบริษัทผมมีระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น แต่ก็มีเพียงแค่โอเมก้าหรืออัลฟ่าเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นั้น ทว่านั่นก็ได้แค่ช่วงรัตหรือช่วงฮีตเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสวัสดิการที่แบ่งแยกกีดกันกันสุดๆ

“พรุ่งนี้ฉันยังต้องไปทำงานเลยไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่น่ะ”

“อ่า งั้นเหรอ…ไม่สิ ถ้าพี่ยอมออกมาเจอกันเดี๋ยวผมเลี้ยงเองเลย”

“…ไม่อะ”

“แอบเขวไปหน่อยเลยสิ เมื่อกี้อะ”

“ว่าแต่นายมีเรื่องอะไรเหรอ”

“เปล่า ก็แค่เลิกกองแล้วคิดถึงพี่ขึ้นมา แถมเด็กของผมก็อาศัยอยู่แถวนี้ด้วย”

“นายนี่นะ”

จริงสิ จะว่าไปแล้วตอนนี้เจ้าซอลกีโดก็กำลังคบกับโอเมก้าสาวอยู่นี่นา มันเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่ายากลำบากสุดๆ กว่าเธอจะยอมใจอ่อนก็หลังจากที่หมอนี่ไล่ตามจีบอยู่พักหนึ่ง ผมรู้สึกปวดหัวอยู่ตลอดทุกทีเวลาลองฟังตอนพวกเขาคุยโทรศัพท์กัน แม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ได้ยินมาว่าเธอเป็นคนสวย ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะเธอคือแฟนสาวหรือเปล่า หมอนี่เลยพูดออกมาแบบนั้น…

มือผมขยับไปที่แผ่นมันฝรั่งทอด ก่อนจะเผลอนึกถึงฮาวอนอีขึ้นมาอีกครั้ง เขาคิดว่าผมเป็นเบต้าเลยเกิดสนใจในตัวผมขึ้นมาแวบหนึ่งหรือเปล่านะ แต่ปกติแล้วโอเมก้าไม่ได้ชอบอัลฟ่าหรอกเหรอ ขนาดเจ้าซอลกีโดที่เป็นอัลฟ่าเองยังคบโอเมก้าเป็นแฟนเลย…

“นี่ กีโด”

“ว่าไงพี่”

“ปกติแล้วโอเมก้าน่ะ…ไม่สิ บนโลกนี้มีโอเมก้าที่ไม่ชอบอัลฟ่า แต่ชอบเบต้าอยู่ด้วยเหรอ”

“มีโอเมก้าที่ไหนมาบอกชอบพี่เหรอ สวยไหม”

“ฉันถามเพราะสงสัยเฉยๆ”

“ของแบบนี้มันก็แค่ความชอบส่วนตัวไม่ใช่หรือไง เอ๊ะ หรือว่า…?”

“หรือว่า…?”

“ผมอยู่ที่สนามเด็กเล่นตรงคอนโดฯ ฮยอนแด ถ้าพี่ออกมาผมจะยอมบอกให้”

ผมกดปิดโทรทัศน์ทันที

กีโด ไอ้เด็กเวรนี่มักจะหัวดีกับเรื่องอะไรแบบนี้จริงๆ เลยเชียว

 

ผมสวมเสื้อขนแกะกันหนาวลวกๆ ก่อนใส่รองเท้าแตะเดินออกมานอกห้อง ไหล่ห่อเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อเจออากาศหนาวเย็น ในจังหวะนั้นชายหนุ่มข้างห้องก็เดินออกมาทิ้งขยะพอดี

“สวัสดีครับ”

“อ๊ะ สวัสดีครับ”

อัลฟ่าหรือเปล่านะ ดูทรงแบบนี้ก็น่าจะเป็นอัลฟ่าแหละ ปกติแล้วอัลฟ่าจะมีรูปร่างดีกว่าเบต้า และหน้าตาก็จะค่อนข้างหล่อเหลาเอาการ ไม่ใช่ว่าเบต้าจะหน้าตาไม่หล่อ เพียงแต่เบต้าที่หล่อกว่าอัลฟ่านั้นหาได้ยากมาก เพราะพวกอัลฟ่านั้นตัวสูงและหล่อมากอย่างเห็นได้ชัด

แล้วทำไมฮาวอนอีถึงได้ไม่ชอบอัลฟ่ากันนะ ทั้งที่อัลฟ่าก็ดีกว่าเบต้าในหลายๆ ด้าน มันช่วยไม่ได้เลยที่จะบอกว่าอัลฟ่านั้นดีกว่า ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งความสามารถ ทั้งสถานภาพทางสังคม…

ชายหนุ่มข้างห้องเองก็คงจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมกว่าผมอย่างแน่นอน

“นี่คุณกำลังจะออกไปไหนเหรอครับ”

ในขณะที่ผมกำลังนึกประณามสังคมนี้อยู่ภายในใจ ชายหนุ่มคนนั้นก็ทักขึ้นจนผมหยุดยืนนิ่งก่อนจะเอียงตัวหันกลับไป

“เอ่อ…จะว่ายังไงดีล่ะ”

“วันนี้อากาศหนาวนะครับ สวมเสื้อผ้าให้อุ่นกว่านี้หน่อยเถอะครับ แล้วก็…”

“พอดีผมไม่ได้ขี้หนาวน่ะครับ ยังไงผมขอตัวไปก่อนนะครับ”

ว่ากันว่าคนสมัยนี้มักไม่มีน้ำใจ แต่ชายหนุ่มข้างห้องของผมนั้นใจดีมากๆ ทั้งให้ต๊อกตอนที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ บ้างก็เอาผลไม้มาให้พลางบอกว่าเหลือจากที่บ้าน แถมบางครั้งก็เอาเหล้ามาให้อีกต่างหาก…

ถึงจะเคยคิดว่าเขาชอบผมหรือเปล่านะ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ รอบตัวผมมีแต่คนที่ใจดีมากมายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลายสิบครั้งที่ผมเข้าใจผิดกับการที่ไปสงสัยว่าเขาชอบผมหรือเปล่า สมัยก่อนผมเองก็เคยถามกับซอลกีโดตรงๆ เลยเหมือนกัน แต่แล้วผมก็ถูกปฏิเสธกลับมาหน้าหงายเลย หมอนั่นมองผมแล้วบอกว่าผมเป็นโรคหลงตัวเอง บางทีผมอาจจะมีปฏิกิริยาต่อความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนมากเกินไปก็ได้ ดังนั้นอัลฟ่าข้างบ้านที่บังเอิญเจอกันเป็นครั้งคราวนั้นไม่มีทางชอบผมที่เป็นเบต้าหรอก

ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังปิด สีหน้าเหม่อลอยของชายหนุ่มข้างห้องก็หายลับไปจากสายตา ในระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวลงไปอยู่นั้น พอมาลองคิดดูแล้วมันก็น่าสงสัยแปลกๆ ถ้าจะทิ้งขยะก็ต้องลงมาทิ้งที่ชั้นหนึ่ง แต่เขาไม่เห็นจะเข้าลิฟต์มาเลย สงสัยคงจะลืมอะไรไว้ในห้องล่ะมั้ง

พอเดินออกไปที่สนามเด็กเล่นผมก็เจอกับซอลกีโดที่กำลังนั่งหย่อนก้นอยู่บนชิงช้า ชิงช้าที่ไม่สามารถรับน้ำหนักของชายหนุ่มได้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอย่างน่าสงสารพลางโคลงเคลงไปมา

“กีโด!”

“พี่!”

ทันทีที่ซอลกีโดลุกขึ้น เท้าของเขาก็จุ่มลงไปในพื้นทราย เขาจึงทรงตัวไม่อยู่และเซไปเล็กน้อย ก่อนจะจับเชือกชิงช้าเอาไว้แล้วล้มลงไปเหมือนกับกำลังเต้นระบำ ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของหมอนั่นจะดูดียังไง แต่เขาก็เซ่อซ่าแบบนี้เป็นประจำ

“ก็อย่างที่เล่าไปนั่นแหละ โอเมก้านั่นมาจีบฉันด้วยเหตุผลอะไรกัน”

“ช่วยคนอื่นลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยถามไม่ได้หรือไงเล่า”

พอผมยื่นมือออกไป ซอลกีโดก็จับมือผมไว้ทันที ทีแรกผมนึกว่าน้ำหนักตัวของเขาจะถ่วงรั้งผมลงไป แต่แล้วเขาที่สูงกว่าผมประมาณคืบหนึ่งก็ลุกขึ้นมาได้ในที่สุด ก่อนจะซวนเซไปมาเล็กน้อย

“กินข้าวมาหรือยังเนี่ย ทำไมถึงได้เซแบบนั้น”

“ผมไปดื่มเหล้ากับเด็กของผมมาแล้วน่ะ”

กลิ่นเหล้าฟุ้งออกมาจากเสื้อผ้าของซอลกีโด

ไอ้หมอนี่หนิ ไปดื่มเหล้ามาแล้วแท้ๆ แต่ดันบอกว่าจะดื่มอีกเนี่ยนะ…?

ผมลากซอลกีโดไปนั่งที่ม้านั่งในสนามเด็กเล่นก่อนเดินไปร้านสะดวกซื้อ

ผมเดินถือยาแก้เมาค้างสองขวด เบียร์สองกระป๋อง และขนมหนึ่งถุงไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ทว่าพนักงานกลับไม่ได้มองของ มิหนำซ้ำยังเอาแต่จ้องหน้าจนผมเกิดรู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาในใจ หากว่าอีกฝ่ายขอบัตรประชาชนขึ้นมาแล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น พนักงานที่อ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยปากถามผมอย่างตะกุกตะกัก

“เอ่อ…คือว่าบะ…เบอร์โทรศัพท์…”

“ผมไม่สมัครเมมเบอร์ชิปครับ”

“เอ่อ…หนึ่งหมื่นสองพันวอนครับ…”

ผมยื่นบัตรไปก่อนจะรับถุงมา ดูเหมือนเขากำลังประหม่า สงสัยคงจะเพิ่งเคยทำงานพาร์ตไทม์ครั้งแรกล่ะมั้ง ทำเอาเกือบเข้าใจผิดว่าเขาชอบผมอีกแล้วสิเนี่ย

พอผมถือถุงแกว่งไปมาพลางเดินออกมาจากร้าน ซอลกีโดที่กำลังยิ้มหน้าบานก็โบกมือให้ผม ภาพนี้มันเหมือนภาพของเราในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไม่มีผิด เวลาที่เงินค่าขนมไม่พอแล้วอยากดื่มเหล้า พวกเรามักจะไปซื้อเบียร์ที่กำลังลดราคามาคนละกระป๋องแล้วเอามานั่งดื่มกันข้างนอกแบบนี้

ซอลกีโดเป็นคนหน้าตาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมักจะโดนเหล่าโอเมก้าน้อยใหญ่รุกใส่อยู่เสมอ อ่า…พวกโอเมก้าเข้าหาบ่อยก็ไม่แปลกหรอก ก็เรื่องนั้นน่ะ…

ผมยื่นกระป๋องเบียร์ไปนาบแก้มของซอลกีโดที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“อื้อออ มันเย็นนะ!”

“จัดการกับฟีโรโมนตัวเองให้ดีๆ ซะ”

“หืม? ผม? อีกแล้วเหรอเนี่ย นี่มันแรงถึงขั้นที่เบต้าอย่างพี่รู้สึกได้เลยเหรอ”

“มีสติหน่อยเถอะ ไอ้เด็กนี่ เบต้าจะไปได้กลิ่นฟีโรโมนได้ไง ก็เวลานายเมาแล้วเป็นเรื่องทุกทีเลยนี่ เหล้าเข้าปากทีไรฟีโรโมนฟุ้งทุกทีเลย ทุกครั้งที่ได้ดื่มกับนาย พวกโอเมก้านี่แห่กันมาเป็นขบวน”

“อ่า…นั่นสิเนอะ”

ซอลกีโดพยักหน้าด้วยสายตาซื่อบื้อ

“จัดการหรือยัง”

“จัดการแล้ว”

เพราะตัวผมไม่มีวิธีที่จะเช็กอะไรได้ก็เลยได้แต่นั่งบื้ออยู่ข้างเขาทั้งอย่างนั้น พอเป็นแบบนี้แล้วคงไม่ใช่ว่าจะโดนเข้าใจผิดเหมือนเมื่อวานอีกหรอกนะ สงสัยก่อนนอนคงต้องอาบน้ำให้สะอาดเอี่ยมซะแล้วสิ

พอรู้สึกได้ถึงเสียงเปิดกระป๋องจากปลายนิ้ว เราก็ชนแก้วกันด้วยกระป๋องอวบอ้วนพอดีมือ ร่างกายผมสั่นหงึกๆ ทันทีเมื่อดื่มเบียร์เย็นเฉียบท่ามกลางอากาศหนาวยามค่ำคืน

“นี่ วันนี้มีโอเมก้าคนนึงบอกกับฉันว่าสนใจฉันถ้าฉันเป็นเบต้าด้วยล่ะ แต่พอเข้าใจว่าฉันเป็นอัลฟ่าก็เหม็นหน้ากันทันทีเลย”

“แต่พี่ก็เป็นเบต้าไม่ใช่หรือไง”

“นั่นแหละปัญหา ถ้าฉันบอกไปว่าฉันเป็นเบต้า เขาก็คงจะเริ่มสนใจฉันจริงจังแน่ แถมฉันยังบอกว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าไม่ได้อีก นี่มันบ้าบอชะมัด”

“ยังไงพี่ก็ไม่คิดจะมีแฟนอยู่แล้วนี่”

ผมกระดกเบียร์เข้าปากไปหลายอึก ซอลกีโดที่อยู่ข้างๆ เลยเงยหน้าขึ้นกระดกดื่มเบียร์ตามเข้าไปเช่นกัน

“โอเมก้าคนนั้นบอกชอบพี่เหรอ”

“นี่ แล้วช่วงนี้ยังมีอัลฟ่าอีกคนด้วยนะ ผู้จัดการนั่นน่ะยิ่งไม่น่าเข้าใกล้กว่าเดิมอีก ล่าสุดนี่ถึงขั้นมาชวนฉันไปโกลด์โคสต์ด้วยกันเนี่ย”

“นั่นมันที่ไหนอะ”

“ถามได้ ก็ที่ที่มีทะเลสีฟ้าครามและชายหาดทอดยาวที่ออสเตรเลียไง”

“ผมไม่เห็นจะรู้จักเลยแฮะ”

“ดูภูมิใจซะเหลือเกินนะ”

พวกเราหยิบขนมขึ้นมากินก่อนจะเงียบไปพักหนึ่ง ท่ามกลางค่ำคืนที่มองไม่เห็นแม้แต่ดวงดาว ผมรู้สึกแสบปลายจมูกน้อยๆ

พรุ่งนี้ไม่อยากไปบริษัทเลยแฮะ

“สรุปแล้วเหตุผลที่พวกโอเมก้าบอกชอบฉันมันคืออะไรกันแน่”

“…”

“…นี่นายพูดไปงั้นๆ เพื่อหลอกให้ฉันลงมาเหรอ ไอ้เด็กเวรนี่!”

“อื้ม…ว่าแต่วันนี้ผมขอนอนค้างบ้านพี่นะ”

“ให้ตายสิ จริงๆ เลย”

 

“นี่ ตื่นได้แล้ว! ฉันต้องออกไปทำงานนะเว้ย!”

เมื่อวานซอลกีโดบอกว่าวันนี้ไม่มีตารางงาน ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมปลุกเขาหลายต่อหลายครั้งพลางตะโกนบอกว่าเช้าแล้ว แต่มันก็ไร้ประโยชน์ ถ้างั้นก็ปล่อยให้นอนไปทั้งอย่างนี้นี่แหละ

“นี่ ถ้าจะนอนต่อก็ช่วยลุกไปนอนบนเตียงดีๆ ด้วย”

“ไม่เอา…ก็ผมบอกว่ามันมีห้าตัวไงครับ…เจ๊ครับ…”

“เวรเอ๊ย…”

 

* มังบูซอก เป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านของเกาหลี เกี่ยวกับภรรยาผู้ซื่อสัตย์ที่มารอสามีที่ถูกญี่ปุ่นจับตัวไปบนเนินเขา เธอเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าสามีก็ไม่กลับมาสักที จนสุดท้ายเธอก็กลายเป็นหินไปในที่สุด

* พูแดจีแก หรือสตูกองทัพ เป็นอาหารประเภทซุป มีลักษณะเหมือนกับสตูของตะวันตก โดยในปัจจุบันมักผสมเครื่องปรุงสมัยใหม่เข้าไปด้วย เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อเมริกันชีสที่หั่นเป็นแผ่นบางๆ ส่วนเครื่องปรุงอื่นๆ ก็ประกอบไปด้วย เนื้อบด ไส้กรอกหั่นเป็นชิ้นบางๆ ถั่วกระป๋อง มีนารี หอมใหญ่ หอมต้นเดี่ยว ต๊อก เต้าหู้ พริก มักกะโรนี กระเทียม เห็ด และผักอื่นๆ ตามฤดูกาล

Chapter 1.3

 

หลังจากเขกกะโหลกของซอลกีโดไปทีสองทีแล้ว ผมก็รีบออกจากบ้าน ต่อให้หงุดหงิดมากขนาดไหน แต่เมื่อยามเช้ามาถึงผมก็ต้องไปบริษัทอยู่ดี ผมส่งข้อความทิ้งเอาไว้ว่าให้หาข้าวหาปลากินให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปซะ หมอนั่นคงจะจัดการตัวเองได้อยู่แหละ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมที่จะต้องมาดูแลคนขี้เมานี่นา

วินาทีที่เดินไปถึงโต๊ะที่ทำงาน ทั้งออฟฟิศก็เพิ่งจะมีคนมาถึงไม่กี่คน ในระหว่างที่คอมพิวเตอร์กำลังเปิดอยู่นั้น ผมก็เดินไปชงกาแฟที่บาร์ชงกาแฟ

และแล้วช่วงเวลาแห่งการเพ้อฝันของผมก็มาถึงอีกครั้ง ไม่สิ…มันเป็นช่วงเวลาในการวาดแผนการในอนาคต เริ่มจากการหนีไปต่างประเทศหลังจากลาออก แผนการเพอร์เฟ็กต์สุดๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็ไปเที่ยวฮาวาย…

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ดูท่าจะไม่ใช่ใครนอกจากผู้จัดการอี ผมลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อที่จะทักทายเขา ทว่าแขนของผมกลับถูกจับเอาไว้แน่น ก่อนที่เนกไทของผู้จัดการอีจะเข้ามาประชิดแทบจะแตะปลายจมูกผม

“ใครครับ”

“ผม?”

“ไม่ใช่ ผมหมายถึงกลิ่นฟีโรโมนนี่น่ะ เมื่อวานนี้คุณไปอยู่กับใครมา”

ไอ้เวรซอลกีโด ว่าแล้วเชียว…

เวลาหมอนั่นเมาเหล้าจนภาพตัดทีไรก็มักจะหัวเราะเหมือนคนซื่อบื้อพลางปล่อยกลิ่นฟีโรโมนไปทั่ว ผมเป็นเบต้าก็เลยไม่รู้ว่าเขาปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาหรือแพร่กระจายกลิ่นไปตรงไหนบ้าง แต่ได้ยินมาว่าคนที่ดื่มกับเจ้ากีโดล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่ต่างจากผักดองที่ถูกดองแช่อยู่ในฟีโรโมน เพราะเหตุนี้หมอนั่นจึงมักจะถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ถึงขั้นมีข่าวลือน่าขนลุกที่บอกว่าคนในชมรมละครเวทีที่เคยดื่มเหล้ากับหมอนั่นนอนกับหมอนั่นกันหมดแล้ว…

ผมเองก็กะเอาไว้แล้ว เมื่อเช้าเลยอาบน้ำถูตัวซะดิบดี แต่มันก็ยังเป็นแบบนี้เอาซะได้ ไว้ถ้าผมจัดการแก้ไขสถานการณ์นี้ได้เมื่อไหร่ ผมจะไม่ปล่อยไอ้เด็กเวรซอลกีโดนั่นเอาไว้แน่ คอยดูเลย คราวหน้าผมจะไม่ดื่มเหล้ากับหมอนั่นอีกแล้ว

ยังไงก็ตามตอนนี้ดูเหมือนผู้จัดการอีน่าจะกำลังเข้าใจผมผิด ผมคงต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ก่อน ยังไงผมก็ไม่สามารถเริ่มต้นเช้าวันธรรมดาที่แสนน่าหงุดหงิดทั้งที่อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ได้จริงๆ

“ผมถามว่าคุณไปอยู่กับใครมา บอกมาสิครับ”

ทว่าสัญชาตญาณของผมกลับไวกว่าวิจารณญาณ ความรู้สึกอึดอัดใจที่เกิดขึ้นจากการถูกจับตัวอย่างกะทันหันเอาชนะมารยาททางสังคมของผมไปอย่างรวดเร็ว

ริมฝีปากของผมพูดโพล่งออกไปโดยไร้ซึ่งการชั่งใจ

“แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะครับ”

ซวยแล้วไง

ผู้จัดการอีถอยหลังกลับไปครึ่งก้าว ก่อนที่เขาจะเสยผมขึ้นไปด้านหลัง

“ที่ผมพูดก็เพราะเป็นห่วงไงครับ เพราะผมเป็นห่วงร่างกายของคุณ…”

“ร่างกายอะไรกันครับ”

“ช่างเถอะครับ”

เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เสียงดัง ต้องมีเรื่องอะไรที่เขาเข้าใจผิดไปแน่ๆ อย่าบอกนะว่าคิดว่าผมเป็นโอเมก้าเพราะเรื่องเมื่อวานนี้น่ะ?

ผู้จัดการอีกำหมัดน้อยๆ ก่อนจะคลายมือออก มือที่ขยับยุกยิกหยุดลังเลอยู่บริเวณแถวๆ ต้นคอของผม นี่เขากำลังเข้าใจผมผิดอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์

“ผู้จัดการอีครับ ผม…”

“ไม่ครับ ช่างมันเถอะ ต่อไปก็…”

ให้ตายสิ…ช่วยฟังคนอื่นเขาพูดให้จบก่อนได้ไหม…

“อย่าไว้ใจอัลฟ่าหน้าไหนเด็ดขาดเลยนะครับ พวกอัลฟ่าโดยเฉพาะพวกที่ชอบวนเวียนอยู่รอบตัวคุณน่ะ อย่าหลงเชื่อใจเด็ดขาด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ”

ผู้จัดการอีให้คำตักเตือนที่ฟังดูไร้สาระสุดๆ ก่อนจะเดินจากไปทั้งอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเขามีคำพูดอะไรที่อยากพูดอีกแต่กลับสะกดกลั้นมันเอาไว้ ประจวบเหมาะกับที่ผู้ช่วยคังเดินมุ่งหน้ามาหาผู้จัดการอีแล้วก้มหัวโค้งทักทายพอดี ผู้จัดการอีจึงยกมือขึ้นรับคำทักทายอย่างไร้มารยาท

ผู้ช่วยคังเดินมานั่งลงข้างๆ ผมแล้วเอ่ยปากกระซิบกระซาบ

“ในที่สุดผู้ช่วยคิมก็หักอกผู้จัดการอีแล้วสินะครับ?”

“…นี่ทุกคนรู้เรื่องที่ผู้จัดการอีชอบผมกันหมดเลยเหรอ!?”

“มีใครไม่รู้บ้างล่ะครับ เล่นเดินมาหาถึงที่นี่ทุกวันขนาดนั้น”

ผู้ช่วยคังเปิดพัดลมพกพาขึ้นอีกครั้งทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนเลยสักนิด

“ว่าแต่เมื่อวานไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาล่ะครับ ทั่วตัวถึงได้อาบฟีโรโมนมาแบบนี้เนี่ย”

“ไอ้เวรซอลกีโดเอ๊ย!”

“ใครคือซอลกีโดเหรอครับ คู่แข่งผู้จัดการอีเหรอ”

ผมนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ภาพชายหาดสวยและท้องทะเลสีฟ้าที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่นั้นราวกับกำลังล้อเลียนผม ภายในท้องรู้สึกพะอืดพะอมไปหมด ไม่สิ…ต้องบอกว่ารู้สึกแสบร้อนไปหมด

ในตอนที่เสียงคอมพิวเตอร์ของผู้ช่วยคังดังขึ้นครืดๆ ขณะเปิดขึ้น ผมก็ลุกจากที่นั่ง ไม่ได้การแล้ว ผมจะปล่อยให้ผู้จัดการอีมาเทียวไล้เทียวขื่อทำตัวน่ารำคาญทุกเช้าอย่างไร้เหตุผลไม่ได้แล้ว ต้องจัดการให้เรียบร้อยซะแล้วสิ

ถ้าไล่ตามไปตอนนี้ก็น่าจะทัน ดูจากท่าทีที่ดูเหมือนว่างนั้นแล้ว วันนี้น่าจะไม่ใช่วันที่มีประชุมอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจวิ่งตามผู้จัดการอีไปทันที

“ผู้ช่วยคิม” ผู้ช่วยคังเงยหน้าขึ้นมองผม “ขากลับมา ผมฝากกาแฟแก้วนึงนะครับ”

“ผู้ช่วยคิม!”

หัวหน้าอีส่งสัญญาณมือให้ผม พอผมยื่นหน้าออกไปก็เห็นว่าหัวหน้าอีกำลังชูนิ้วเป็นรูปอักษรตัววีอยู่

“ผู้ช่วยคิม ฝากของผมกับของคุณซอแผนกการเงินด้วยนะครับ”

“จะดื่มกาแฟอีกเหรอครับ”

“พอดีเมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะ”

ผมรู้สึกเหมือนความจริงบางอย่างที่ตัวเองไม่อยากจะล่วงรู้กำลังผุดขึ้นมาในหัว แต่สุดท้ายผมก็ส่ายหัว

ออกไปซะไอ้เจ้าพลังจินตนาการไม่รู้เวล่ำเวลา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่แกจะแสดงออกมานะ

ผมส่งสัญญาณนิ้ว ‘โอเค’ ไปให้หัวหน้าอีเป็นการตอบรับ

เอาล่ะ มุ่งหน้าสู่ชั้นเก้า

 

ทั้งที่ตอนลุกขึ้นมาจากที่นั่งผมยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้ยิ่งลิฟต์ขึ้นไปสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ลำคอผมก็ยิ่งแห้งผากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจู่ๆ เกิดบุกเข้าไปในห้องผู้จัดการแล้วบอกว่า ‘อย่ามาชอบผมเลยนะครับ’ ผมจะไม่ถูกมองว่าเป็นคนบ้าใช่ไหม

ตัวลิฟต์ยังคงเคลื่อนขึ้นไปไม่หยุด

ติ๊ง…

ผมขึ้นมาถึงชั้นเก้าพร้อมกับเสียงลิฟต์ที่ฟังดูเป็นลางร้าย ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมก็เห็นใบหน้าหนึ่งที่คุ้นเคย

พนักงานฮา

ทำไมฮาวอนอีถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย

พนักงานฮาพยักหน้าทักทายผมก่อนเดินเข้ามาในตัวลิฟต์

“ไม่ลงลิฟต์เหรอครับ”

“เอ่อ…”

พอก้าวขาออกจากลิฟต์มาอย่างทำตัวไม่ถูก ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ

ไม่มีทางซะหรอก ไอ้คนพรรค์นั้น…

ถ้าหันหลังกลับตอนนี้ก็เท่ากับแพ้ สุดท้ายแล้วผมจึงเดินไปตามโถงทางเดินชั้นเก้าอย่างขึงขัง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูรักษาความปลอดภัย เพราะว่าห้องของผู้จัดการอยู่ติดกับห้องประชุมชั้นเก้า ดังนั้นจึงต้องกดรหัสรักษาความปลอดภัยก่อนถึงจะสามารถเข้าไปได้ ด้วยเหตุนั้นผมจึงรวบรวมกำลังใจทั้งหมดมาไว้ที่ปลายนิ้ว

ติ๊งต่อง…

น้ำลายในปากพลันแห้งผาก ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรครับ”

“เอ่อ…ผมคิมจูฮยอกจากทีมดูแลลูกค้าทีมหนึ่งครับ ไม่ทราบว่าผู้จัดการอีอยู่ไหมครับ”

“สักครู่นะครับ”

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกดรหัสเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงปลดล็อกออกดัง ‘แกร๊ก’

ทำได้ เราต้องทำได้

ในเมื่อเดินมาถึงห้องของผู้จัดการได้อย่างง่ายดายขนาดนี้แล้ว

เคาะประตูสิ เคาะประตูสิโว้ย

มือของผมสั่นระริก มาตอนนี้ผมถึงได้เข้าใจสภาพความเป็นจริงอย่างทะลุปรุโปร่งว่าผมมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับเจ้านาย…พูดคุยกับเจ้านายที่ตำแหน่งสูงกว่าผมว่า ‘ดูเหมือนคุณจะชอบผม แต่ได้โปรดอย่าชอบผมแบบนั้นเลยนะครับ’

ทั้งที่ไม่ได้ยืนอยู่หน้าแม่น้ำจอร์แดน* แต่กลับมีภาพหนึ่งปรากฏแวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วก่อนจางหายไป ภาพเครื่องแบบชุดนักเรียนมัธยมต้นสีน้ำเงินเหมือนโต๊ะบิลเลียด ภูเขาด้านหลังโรงเรียน เด็กสาวที่ผมเคยชอบ ไก่ฟ้าที่ผมเคยเห็นที่นั่น พ่อที่บอกว่าจะไปตกปลาแต่กลับจับกระต่ายกลับมาได้จากเนินเขา และน้องสาวที่รั้นจะเลี้ยงกระต่ายจนวุ่นวายไปหมด…

ทำไมความคิดถึงได้ล่องลอยไปยังภาพอะไรทำนองนั้นกันนะ

ผมยกมือขึ้นเคาะประตูห้องผู้จัดการ

“เชิญครับ”

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นผู้จัดการอีที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขามองมาที่ผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแพรวพราว

“ผมบอกแล้วไงครับว่าให้ระวังพวกอัลฟ่าเอาไว้”

“ครับ?”

ผู้จัดการอีเดินพรวดเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะฟังคำพูดของผม เขาปิดประตูห้องลงดังโครม แผ่นหลังของผมที่แนบชิดติดกับประตูจึงหดเกร็งไปด้วยความตกใจขณะที่จมูกของผมฝังลงกับแผ่นอกของผู้จัดการอี

“ทำไมคุณถึงได้ไม่ฟังคำพูดของผมบ้างเลยครับเนี่ย”

“เดี๋ยวครับ…”

ผู้จัดการอีจับปลายคางของผมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเขาจับผมเอาไว้อย่างแรง แต่มันกลับเป็นแรงจับที่ผมสามารถสะบัดให้หลุดได้แม้ออกแรงเพียงเล็กน้อย เขาน่าจะแค่อยากทำให้ผมกลัว จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงผมจะไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ท่าทีของเขาไม่ได้ดูเหมือนอยากข่มเหงผมจริงๆ จังๆ เลยสักนิด

“คุณคิมจูฮยอก วันนี้ลาครึ่งวันดีไหมครับ”

“เรื่องนั้น…พอดีว่าผมอยากเก็บวันลาเอาไว้หน่อยน่ะครับ…”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้ลาป่วยครับ”

ดวงตาของผู้จัดการอีลุกวาวราวกับจะลุกเป็นไฟ ก่อนที่เขาจะแลบลิ้นเลียขอบริมฝีปากตัวเองอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย ทำอย่างกับตัวเองเป็นนักแสดงเลยแฮะ ถึงแม้ว่านักแสดงที่ผมรู้จักจะมีแค่ไอ้หมาหน้าเซ่ออย่างซอลกีโด แต่ผู้จัดการอีมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับนักแสดงมืออาชีพ ท่าทางเขาดูเหมือนกับนักแสดงจริงๆ

สำหรับผู้จัดการอีแล้ว เขามีเสน่ห์ที่เหนือกว่าคนอื่นๆ ทั้งที่ปกติแล้วผมไม่เคยมีความสนใจอะไรในตัวอัลฟ่าชายคนไหนเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เพราะแบบนั้นผมถึงได้รู้สึกดีจนติ่งหูของผมค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาทีละน้อย

แต่มันก็เท่านั้นแหละ

“…”

“…”

“…คุณคิมจูฮยอก”

“…ครับ”

“…”

“…”

“คุณเป็นเบต้าเหรอครับ”

“ครับ…”

ผู้จัดการอีผละมือออกไปพร้อมกับถอยไปข้างหลัง เขายกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเสียอารมณ์ ส่วนผมก็จัดการกับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เพราะเกิดรู้สึกกระดากอายขึ้นมา

“คุณเป็นเบต้าจริงๆ น่ะเหรอครับ”

“ครับ…”

“…”

ผู้จัดการอีเดินวนอยู่ในห้องทำงานประมาณสองรอบก่อนจะเอ่ยปากถามผมขึ้นอีกครั้ง

“ถ้างั้นคุณพกยาระงับอาการฮีตของโอเมก้าไปไหนมาไหนทำไมกันครับ”

“ผมก็เคยบอกไปแล้วนี่ครับว่านั่นไม่ใช่ของผม…”

“อย่ามาโกหกนะครับ”

“ผมพกไว้เผื่อเวลาเพื่อนร่วมทีมฮีตน่ะครับ…”

“เฮ้อ…”

ผู้จัดการอีนั่งลงตรงที่นั่งของเขา เขาปิดหน้าด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่จะกวักมือเรียกผม ผมจึงลากเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ มานั่งตรงหน้าโต๊ะของเขาโดยหันหน้าเข้าหากัน

“ถ้าอย่างนั้นอัลฟ่าที่อยู่กับคุณเมื่อคืนนี้ล่ะครับ”

“ทำไมผู้จัดการอีถึงได้ใส่ใจเรื่องนั้นนักล่ะครับ”

“คุณคิมจูฮยอก คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ครับว่าผมชอบคุณ ได้โปรดบอกผมมาเถอะครับ เพราะผมทั้งหึงแล้วก็เป็นห่วงมากคุณด้วย”

ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะเป็นความลับ แต่ผู้จัดการอีกลับพูดมันออกมาอย่างมั่นใจมากจนผมตกใจ ผู้จัดการอีจ้องผมที่กำลังอ้าปากพะงาบๆ เขม็งไม่วางตา ผมกลืนน้ำลายลงไปครั้งหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป

“เพื่อนน่ะครับ รุ่นน้องในชมรมสมัยมหา’ลัย…”

“ไปเจอเพื่อนคนนั้นมาแค่คนเดียวเหรอครับ เพื่อนแน่ใช่ไหม”

“ครับ…”

“เป็นคนแบบไหนเหรอครับ ทำงานอะไร แล้วหล่อไหมครับ”

ผมโดนบรรยากาศพาไปจนเผลอพูดความจริงเกี่ยวกับซอลกีโดออกไปว่าหมอนั่นเป็นเพื่อนที่จริงใจมากขนาดไหน หมอนั่นเป็นคนมุ่งมั่นแม้กระทั่งกับคนรักและตั้งใจทำงานของตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ว่าใครเห็นต่างก็อยากปกป้องหมอนั่นในระดับเดียวกันกับพวกสมาชิกแฟนคลับของซอลกีโดกันทั้งนั้น แต่พอคิดว่านี่เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นจากนิสัยขาดสติเวลาดื่มเหล้าของไอ้หมอนั่นทั้งหมดแล้ว ผมก็ได้แต่ขบกรามแน่นอย่างแค้นเคือง

ผู้จัดการอีเอนศีรษะไปด้านหลังก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็กลับมามองผมอีกรอบพร้อมใต้ตาที่ดูหมองคล้ำ

“ระวังพวกอัลฟ่าไว้ด้วยนะครับ”

“แต่ผู้จัดการอีเองก็เป็นอัลฟ่านี่ครับ…”

“นอกจากผมแล้วคุณต้องระวังอัลฟ่าคนอื่นทุกคนครับ ไม่สิ…แม้แต่ผมเองคุณก็ต้องระวังด้วยครับ”

“แต่ผมเป็นเบต้านะครับ”

“ผมรู้ แต่คุณก็ระวังไว้เถอะครับ”

ผู้จัดการอีไม่อาจกลับมาทำสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยมีเลศนัยตามปกติได้ ตอนนี้แหละคือโอกาส ต้องบอกความคิดของผมออกไป ต้องพูดให้ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุด…

“ผู้จัดการอี…ชอบผมเหรอครับ”

“รู้แล้วยังจะถามทำไมอีกครับ”

ผู้จัดการอีหัวเราะเบาๆ สีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมานิดหนึ่งต่างไปจากตอนปกตินั้นทำให้เขาดูเป็นมนุษย์มากขึ้นเป็นอย่างมาก ปกติแล้วเขาชอบทำตัวเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งในการจีบเอาไว้ ทว่าตอนนี้เขากลับเหมือนคนที่กำลังห่อเหี่ยว

“ทำไมถึงต้องมาหาผมทุกเช้าอยู่บ่อยๆ ล่ะครับ”

“ก็เพราะอยากเห็นหน้าคุณไงครับ คุณคงรู้สึกกดดันสินะครับ?”

“ครับ”

“ผมรู้ครับ แต่ที่ผมไปหาคุณก็เพื่อให้คุณรู้สึกกดดันนี่แหละครับ ผมคิดว่าถ้าไปหาคุณบ่อยๆ เพื่อมองคุณแล้ว สักวันหนึ่งวันที่คุณจดจำผมได้ก็คงจะมาถึง”

“ว่าไงนะครับ…”

ผมยกมือขึ้นเกาสันจมูกอย่างงงๆ ในขณะที่ผู้จัดการอีหัวเราะพลางเอามือเท้าคางด้วยท่าทีขี้เล่น

“ถ้างั้นจากนี้ไปผมจะไม่ไปหาคุณแล้วดีไหมครับ”

“ครับ มันรบกวนการทำงานของผม แล้วอีกอย่าง…”

“แต่ผมก็แค่อยากเห็นหน้าคุณตอนเช้าเองนะครับ”

“แต่มันทำให้ผมหัวเสียไปทั้งวันไงครับ…”

ผมพูดพึมพำเหมือนลูกหมาที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ ต้องพูดให้ดูขึงขังกว่านี้ จะได้ตัดขาดการจีบครั้งนี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด ชีวิตในบริษัทในวันข้างหน้าจะได้สดใส

“ผู้จัดการครับ”

“ครับ”

“อย่าชอบผมเลยครับ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เพราะผมยังไม่คิดที่จะมีคนรักน่ะครับ”

“ถ้างั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้เกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ?”

ผู้จัดการอียิ้มพลางลุกขึ้น ในบรรดาสีหน้าของเขาที่ผมเห็นในช่วงนี้ สีหน้าตอนนี้ดูสดใสมากที่สุดแล้ว จากนั้นผู้จัดการอีก็ยื่นใบหน้าเข้ามาหาผม

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าต่อให้ไม่ใช่ผม ไม่ว่าใครหน้าไหนคุณก็จะไม่คบด้วยใช่ไหมครับ”

“ครับ…ใช่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็โปรดรักษาคำพูดนั้นด้วยล่ะครับ”

ในตอนนั้นเองโทรศัพท์สายตรงของผู้จัดการอีดังขึ้นมาพอดี

“อีชีฮยอนรับสายครับ อ๋า อย่างนั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นให้ไปถึงที่นั่นภายในสิบเอ็ดโมงสินะครับ ไม่หรอกครับ ผมอยากมองด้วยตาตัวเองมากกว่าน่ะครับ ครับ ตามนั้นเลยครับ”

ผู้จัดการอีวางสายก่อนจะกลับมามองผมพร้อมกับรอยยิ้มบางที่สว่างไสวไปทั่วทั้งใบหน้า

“มัวทำอะไรอยู่น่ะครับ ไปทำงานสิครับ”

 

เมื่อกลับมาถึงชั้นสามผมก็เห็นว่าหน้าของทุกคนต่างยับยู่ยี่กันไปหมด พอผมถือกาแฟเดินเข้าไปหา หัวหน้าอีก็ส่ายหัวพลางเดาะลิ้น เขาตบบ่าของผมอย่างระมัดระวังพลางกระซิบกระซาบว่า ‘สู้ๆ นะ’ จากนั้นก็ดึงทิชชูเปียกออกมาเช็ดมือ นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

พนักงานอาวุโสซอซึ่งเป็นอัลฟ่าใช้มือข้างหนึ่งปิดปากแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งของอีกมือหนึ่งฉวยกาแฟไปอย่างรวดเร็ว ผมได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ออกมาจากปากที่ป้องปิดเอาไว้ว่า ‘ขอบคุณนะคะ’ และนี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมสุดๆ

และพอผมกลับไปยังที่นั่ง ผู้ช่วยคังก็ช่วยเพิ่มระดับความแรงของพัดลมให้

“แย่แล้ว วุ่นวายไปหมดแล้ว”

“ฟีโรโมนเหรอครับ อีกแล้วเหรอ”

“ผู้ช่วยคิม นี่คุณขึ้นไปจูบกับผู้จัดการมาเหรอครับ”

“ทำไมพูดอะไรน่าขนลุกแบบนั้นล่ะครับ”

“ก็…ฟีโรโมนติดสัดมันฟุ้งเต็มตัวคุณเลยนี่…”

ฟีโรโมนติดสัด? ฟีโรโมนติดสัดเนี่ยนะ!!!?

“เดี๋ยวผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะครับ”

ผู้จัดการอีบ้าไปแล้วหรือไง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถ้าไม่บ้าจริงคงไม่ทำแบบนั้นแน่ ถ้าหากว่าผมเป็นโอเมก้าจริงๆ ล่ะก็…ใบหน้าผมค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะจินตนาการที่แทรกเข้ามาในหัว…ถ้าผมเป็นโอเมก้ามีหวังได้เสร็จเขาไปตามระเบียบแน่ ให้ตายสิ

แต่ในทางกลับกันผมก็เกิดความคิดที่ว่าผู้จัดการอีคงจะไม่ทำเรื่องร้ายแรงแบบนั้นหรอก ถึงนิสัยจะเส็งเคร็งไปบ้าง แต่เขาคงไม่ใช่คนแบบนั้น

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าวันนี้ผู้จัดการอีจะไม่ทำให้ผมปวดหัว ผมไม่ได้แตะงานเลยแม้แต่น้อยมาตั้งแต่เช้าเพราะถูกผู้จัดการอีทำให้จิตใจปั่นป่วนไปหมด แบบนี้ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเลิกงานช้าหรอกเหรอ ทั้งที่เขาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรในชีวิตผมเลยสักนิดแท้ๆ

หรือว่าจะไถเงินกับตั๋วเครื่องบินโดยอ้างเรื่องชวนไปโกลด์โคสต์ด้วยกันไปเลยดีนะ? ไม่สิ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเกิดมาบอกว่าจะไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แบบนั้นมีหวังได้ปวดหัวหนักกว่าเดิมอีก

ผมกระพือเสื้อแล้วล้างมือโดยขัดถูแรงๆ ในห้องน้ำพลางก่นด่าผู้จัดการอีในใจไม่ให้ใครได้ยิน

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของพนักงานอาวุโสอิมจากไกลๆ ก่อนจะมีใครบางคนเดินเสียงดังตึงตังเข้ามาในห้องน้ำ จากนั้นน้ำเสียงที่คุ้นเคยแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกก็ดังขึ้น

“อุบ…!”

ฮาวอนอีอีกแล้ว

มาถึงตอนนี้ผมก็ไม่แปลกใจอะไรแล้ว ผมผงกหัวทักทายอีกฝ่าย แต่พนักงานฮากลับเมินผมแล้วตรงไปยังโถปัสสาวะ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาผม

“นี่คุณไม่คิดจะควบคุมฟีโรโมนหน่อยเหรอครับ”

หมดคำจะพูด นี่ผมต้องเริ่มแก้ไขจากตรงไหนก่อนดีเนี่ย

ผมเป็นเบต้า เบต้าน่ะรู้จักไหม ก็บอกแล้วว่าผมเป็นเบต้า!

“คุณรู้ไหมครับว่ามันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขามากขนาดไหน แถมฟีโรโมนของคุณยัง…นี่คุณมีจิตสำนึกบ้างไหมครับ รู้ไหมครับว่าที่นี่คือบริษัทน่ะ สำหรับพนักงานที่เป็นโอเมก้าแล้ว นี่ถือเป็นการคุกคามทางเพศชัดๆ เลยนะครับ”

ริมฝีปากของฮาวอนอีที่ยิงคำถามใส่ผมฉอดๆ นั้นดูเหมือนจะแดงระเรื่อเป็นพิเศษ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แค่มันแดงจนสะดุดตามากๆ ก็เท่านั้นแหละ ดูจากการที่เจ้าตัวพูดจาขวานผ่าซากในสิ่งที่ใจอยากจะพูดออกมาทั้งหมดนั่นแล้ว ดูท่าเขาคงไม่มีอะไรจะเสียแล้วในการใช้ชีวิตในที่ทำงานแบบนี้

ในระหว่างนั้นผมก็ถึงกับนึกคำพูดเหมาะๆ ที่จะแก้ตัวไม่ออก ขืนพูดออกไปตรงนี้เลยว่าจริงๆ แล้วผมเป็นเบต้า แบบนั้นมีหวังได้ถูกเข้าใจผิดแปลกๆ มากกว่าเก่าแน่ว่าเป็นคนที่แก้ตัวได้น่าขัน ผมจึงตัดสินใจถอยให้ก้าวหนึ่ง

“ขอโทษครับ”

“ถ้างั้นก็รบกวนกลับไปคิดทบทวนตัวเองดูหน่อยนะครับ”

วอนอีมองค้อนใส่ผมด้วยท่าทีราวกับกำลังมองสิ่งสกปรกก่อนจะออกจากห้องน้ำไป

ถึงผมจะไม่มีศาสนา แต่ผมก็อ้อนวอนสวดภาวนาอยู่ในใจ

ได้โปรดช่วยทำให้วันเฮงซวยนี่มันจบไปเร็วๆ ทีเถอะครับ

* แม่น้ำจอร์แดน เป็นแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดจากภูเขาเฮอร์โมนแล้วไหลลงสู่ทะเลเดดซี มีความหมายในทางศาสนาคริสต์ที่สื่อถึงความตาย

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: