X
    Categories: everYทดลองอ่านเบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1

ผู้เขียน : วั่งยา 

แปลโดย : คุณต่ง

ผลงานเรื่อง : 表面天下第一

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1

 

ยามนี้เป็นเดือนต้นกก* ของแผ่นดินเสวียนซวี (ทรงสุญ) ลมอุดรพัดเป็นระลอก ละล่องลิ่วพลิ้วมาจากหุบเขาห่างไกล กรีดลงบนกายคนจนรู้สึกเจ็บปวด

พรรคไท่ซวี (มหาสุญตา) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางแผ่นดินเพิ่งประสบกับหิมะห่าใหญ่ไปห่าหนึ่ง

หิมะบนสิบสองยอดเขาขาวโพลน สีสกาวอาบย้อมทั่วบริเวณ ชั้นของหิมะหนาเพียงพอให้ช่วงเอวของบุรุษวัยฉกรรจ์จมลงไปได้

ดั่งลมวสันต์โชยพัดมาฉับพลันในหนึ่งราตรี** ทั้งทัศนะมีเกล็ดหิมะปลิวว่อนราวกับนุ่งเงินห่มขาว*** มีเพียงยอดกิ่งต้นล่าเหมย**** ที่แต้มจุดสีแดงผลิบานต้อนรับลมเหมันต์อย่างอบอุ่น คล้ายว่าระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงสีสันชนิดนี้เท่านั้น

พรรคไท่ซวีที่ในวันปกติมักมีผู้คนสัญจรไปมาก็เงียบสงัดอย่างหาได้ยาก แต่กลับทำให้บุคคลพิเศษที่อยู่ในพรรคพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

บุคคลพิเศษผู้ฝึกกระบี่แสดงท่าทีว่า ‘อา เป็นความสงบที่มิได้พบพานมานานแล้วจริงๆ’

ใช่แล้ว ภายในพรรคซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘พรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ แห่งนี้ เกือบห้าในสิบส่วนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่

หากเอ่ยถึงผู้ฝึกกระบี่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดล้วนเข้าใจ นั่นก็คือผู้บำเพ็ญเพียร ‘หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นวิชา’

แม้ฟังแล้วพวกพี่ชายจะดูเยี่ยมยอด แต่ว่าไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ก็คือคนที่ปากบอกว่าจะถือกระบี่ออกผจญภัยสุดขอบฟ้า บิดามารดาไม่ต้องกังวลถึงการดำรงชีวิตของบุตรอีกต่อไป ทว่าความเป็นจริงกลับอับอายในถุงเงิน***** ทำได้เพียงวางท่าเมินเฉยเพื่อรักษาชีวิตและหน้าตา

แต่การที่พรรคไท่ซวียืนหยัดคัดเลือกคนจากคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง ช่วงเวลาที่พรรครับคนใหม่ทุกสี่ปีล้วนต้องได้คัดเอาเศษใจสลายของเหล่าคนหนุ่มสาวนับไม่ถ้วนออกไป

ถนนทุกสายมุ่งสู่จงโจว****** การยัดเงินบริจาคเล็กน้อยให้กับยอดเขาหนึ่งเพื่อปะปนเข้าไปแขวนชื่อเป็นศิษย์สายนอกก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เมื่อออกท่องยุทธภพก็จะได้ประกาศสมญาของพรรคไท่ซวี ยามเกิดเรื่องอันใดล้วนเป็นเกราะคุ้มภัยได้

ต้องขออภัย มีเงินก็ล้วนทำได้ทุกอย่างตามใจปรารถนา

เวลานี้ชัดแจ้งว่าเป็นเที่ยงตรง ทว่าเมฆหนากลับย้อมทั้งผืนฟ้าให้เป็นสีเทาขาวราวกับตกอยู่ในความวิเวกวังเวง เพียงครู่เดียวเกล็ดหิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีก ยามตกกระทบแขนเสื้อก็ละลายอย่างรวดเร็ว พาให้หนาวเย็นทั่วสรรพางค์กาย

มองเห็นเหล่าศิษย์เฝ้าประตูยังคงยึดมั่นอยู่ที่แนวหน้า โชคดีที่ศิลาวิญญาณอันเป็นรางวัลของภารกิจพิทักษ์สำนักเองก็ทบทวีขึ้นตามสภาพอากาศอันเลวร้าย ดังนั้นแม้ตำแหน่งนี้จะยากลำบากแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทุกคนต่างแก่งแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกเพื่ออุทิศแรงกายให้กับพรรคไท่ซวีผู้สร้างความปรองดองดีงามภูเขาสวยลำน้ำใส

ยามปกติเพียงสมญานามของพรรคไท่ซวีก็ทำให้ผู้อื่นแว่วเสียงลมก็เสียขวัญ* มิกล้าล่วงเกิน แต่วันนี้มีเหตุให้ถึงคราวพลิกผันบ้างแล้ว

นั่นคือประกายดาบสายหนึ่ง

ยะเยือกสุด สว่างสุด ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ณ จุดแสงซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเส้นขอบฟ้ากับหิมะขาวโพลน ส่องแสงเรืองรองคล้ายแสงจันทร์ ทั้งยังแฝงไอสังหารอันเย็นเยียบ ร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบผ่าลงตรงกึ่งกลางเกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งอย่างเหมาะเจาะ

“สัญญาห้าปี ได้เวลาพอดี”

ยังไม่ทันเห็นตัวคน เสียงก็มาถึงก่อนแล้ว

เงาร่างในอาภรณ์สีเทาปลอด ศีรษะสวมหมวกสานพลันเดินออกมาจากสถานที่ห่างไกล แม้จะเห็นชัดว่าเป็นจังหวะย่างก้าวที่เชื่องช้า แต่ทุกการย่ำเท้ากลับก้าวข้ามระยะทางสุดไกลโพ้น ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เดินมาถึงอย่างเงียบงัน ก่อนหยุดลงหน้าประตูทางเข้า

ดาบมิได้ออกจากฝัก บนพื้นหิมะมิได้ทิ้งร่องรอยใด มีเพียงราวกั้นไม้ของประตูทางเข้าที่ตอบรับโดยการแตกหักและแหลกละเอียดเป็นขี้เลื่อยฟุ้งตลบปะปนไปในลมหิมะ ต้อนรับสายตาตื่นตะลึงของศิษย์เฝ้าประตู

“มู่เหยี่ยมาแล้ว ขอถามว่าจงจี่อยู่ที่ใด”

ขอบหมวกสานเคลื่อนขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าเย็นชาใต้หมวกนั้น เขายกมือขึ้นอย่างผยอง เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ทุกคนรู้สึกบีบคั้นสลักลึกถึงกระดูก ถ้อยวาจาถ้าโยนลงพื้นจักเกิดเสียง**

มู่เหยี่ย!

พูดได้ว่านามนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในแผ่นดินเสวียนซวี

ตอนที่ทำเนียบเสวียนจี (ลึกลับ) ถูกปรับปรุงใหม่เมื่อสิบปีก่อน นามนี้ได้ทะยานจากหลังอันดับที่หนึ่งพันขึ้นมาอยู่ในห้าร้อยอันดับแรกด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ความเร็วในการเลื่อนอันดับของเขานั้นยากจะพบเห็นในชีวิตหนึ่ง

มู่เหยี่ยเพิ่งปรากฏตัวได้ห้าสิบปี กลับมีความรู้สูงล้ำมากเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็เป็นจุดสนใจไร้ผู้ใดเทียบ นามแห่งนักดาบอัจฉริยะ ใต้หล้าล้วนล่วงรู้

แผ่นดินเสวียนซวีไม่มีอัจฉริยะระดับนี้ถือกำเนิดมานานมากแล้ว เพียงปรากฏตัวพรรคแห่งนั้นล้วนประคองวางไว้บนยอดดวงใจ ประเคนทรัพยากรให้ทั้งหมด

หากไม่มีอัจฉริยะอีกผู้หนึ่ง มู่เหยี่ยคงได้ทะยานสู่ฟ้าสูงตามแต่ใจเขาเป็นแน่

น่าเสียดายที่โชคชะตาชอบกลั่นแกล้งคน ในยุคสมัยเดียวกันนั้นอัจฉริยะอีกคนได้ถือกำเนิดขึ้นหลังจากมู่เหยี่ยเพียงไม่กี่ปีและแย่งเอาความสนใจจากเขาไปจนหมดสิ้น

นามของคนผู้นั้นถูกมู่เหยี่ยเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หลายรอบ ทั้งยังแฝงความไม่ยินยอมและความอิจฉาอันไร้สิ้นสุดอยู่ก่อนแล้ว

จงจี่

หากกล่าวว่ามู่เหยี่ยคืออัจฉริยะที่หมื่นปีพานพบคราหนึ่ง เช่นนั้นจงจี่ย่อมไม่ใช่เพียงอัจฉริยะที่หมื่นปีพานพบคราหนึ่งเท่านั้น ไม่เพียงแค่พรสวรรค์ แม้แต่โชคชะตาและสภาวะจิตล้วนเหนือกว่าเขามาก

ผู้มีโอกาสประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดอย่างสูงล้ำเช่นนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เท่านั้น แต่โชคชะตาก็สำคัญไม่แพ้กัน และก็เป็นโชคดีที่โชคชะตาของเจ้าเด็กน้อยจงจี่ผู้นี้ดีเสียจนน่าประหลาดใจจริงๆ

“จอมท่าน…กำลังกักตนอยู่”

ศิษย์คนหนึ่งทำใจกล้าเอ่ยออกไปหนึ่งประโยค ศิษย์คนอื่นๆ อีกหลายคนก็คล้อยตามกัน แม้จะหวาดกลัวกลิ่นอายข่มขวัญจากกายของนักดาบ แต่แววตาของพวกเขาก็เด็ดเดี่ยวไร้ที่เปรียบขณะเอ่ยตอบไปอย่างงันงก

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของพรรคไท่ซวีเกือบเจ็ดส่วนล้วนวิ่งตะบึงมาเพราะจงจี่ เก้าส่วนในกลุ่มนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวผู้ชื่นชอบในตัวเขา หากสุ่มเลือกออกมาสักหนึ่งคนก็คงจะสามารถร่ายวีรกรรมของจงจี่อย่างคล่องปากโดยไม่หายใจได้รอบหนึ่ง

เช่นว่าจอมท่านเอาชนะนักดาบอัจฉริยะมู่เหยี่ยแบบตัวต่อตัวได้ในกระบี่แรก ณ การประลองครั้งใหญ่ของสำนักพรรคเมื่อปีนั้น เช่นว่าใช้กำลังภายในกดดันพรรคอู๋จี๋ (ไร้ขอบเขต) ในสถานการณ์คับขันจนคว้าอันดับหนึ่งที่สมุทรฮ่วน (มายา) มาได้ หรือเช่นว่าจับเจ็ดมู่เหยี่ย* ต้านทานกลางคลื่นอสูรคลั่ง…

มู่เหยี่ย ‘…’

ไม่ ข้าไม่อยากมีบทแล้ว ไม่ต้องพาตัวข้ามา

แต่อันที่จริงหลังจากทั้งสองท่านนี้ขมวดปมแค้นกันเป็นครั้งแรก ณ การประลองครั้งใหญ่ในพรรค เวลาต่อมาไม่ว่าจงจี่กระทำสิ่งใด มู่เหยี่ยล้วนจงใจไปหาเรื่องด้วยความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง ลงมือแต่ละครั้งล้วนเป็นฝ่ายยื่นหน้าไปให้คนเขาตบตีจนปูดโปน ทั้งยังทำเช่นนั้นอย่างปรีดาไม่เหน็ดเหนื่อย

นี่กลับทำให้จงจี่ผู้ก่อนหน้านี้ยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไรนักได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไม่น้อย ทว่ามู่เหยี่ยก็ไม่ล้มเลิกเสียที ยังคงยืนหยัดไม่ยอมลดละอยู่เช่นเดิม

“หึ ก็แค่เต่าหดหัวเท่านั้น”

นักดาบแค่นหัวเราะ เงาร่างพลันขยับ เหยียบลงกลางอากาศหมายจะบุกฝ่าเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะสนใจการขัดขวาง

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นย่ำสุญทะยานฟ้า!

ครานี้ศิษย์เฝ้าประตูไม่มีเวลามาสนใจเรื่องมากมายพวกนั้นอีก พวกเขาพลันโคจรปราณวิญญาณคราหนึ่ง และโยนยันต์ที่วาดด้วยชาดแดงไปกลางอากาศ

ทันใดนั้นมังกรเขียวที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้า ก่อนส่งเสียงคำรามกึกก้องเสนาะโสต

ตราประทับมังกรเขียว!

นี่คือเครื่องมือสื่อสารอันสะดวกสบายสำหรับใช้เรียกรวมตัวศิษย์ในยามที่พรรคไท่ซวีถูกจู่โจม แน่นอนว่าการใช้งานของมันมีหลากหลาย ในบางคราก็จะวางไว้กลางฟ้า ประกาศว่าอาณาบริเวณนี้พรรคไท่ซวียึดครองแล้ว

เผชิญหน้ากับมู่เหยี่ยผู้สำเร็จย่ำสุญทะยานฟ้าแล้วเช่นนี้ ศิษย์เฝ้าประตูไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

ย่ำสุญทะยานฟ้าเป็นกระบวนท่าที่มีเพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะทำได้ อีกทั้งในแผ่นดินเสวียนซวี…ผู้ที่สามารถเยียบย่างเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ หากลองนับนิ้วดู ต่อให้นับรวมขั้นครึ่งศักดิ์สิทธ์เข้าไปด้วยก็เพิ่งจะมีเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น

ทั้งพรรคไท่ซวีมีเพียงประมุขพรรคหมิงซวีจื่อเท่านั้นที่บรรลุถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำเจ็ดยอดเขาคนอื่นมีห้าคนที่อยู่ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์ และอีกสองคนอยู่ขั้นสูงสุดของขั้นเก้า

นี่คือมาตรฐานในปัจจุบันของพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า และพวกมันก็เป็นทุนรอนในการท่องไปในแผ่นดินเสวียนซวีด้วย เพราะในฤดูกาลเปิดประตูพรรคทุกครั้งพรรคไท่ซวีจะได้รับการเพิ่มชื่อลงไปในรายการนำเที่ยวอันหรูหราของจงโจว ในทุกช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมออกมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมากพรรคไท่ซวีล้วนมีรายรับมหาศาล

“นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้าหรือ”

มู่เหยี่ยแค่นยิ้ม อาวุธลักษณะเรียวยาวที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีเทาหนาในมือพลันพุ่งออกจากฝัก ดาบยาวทรงจันทร์เสี้ยวแผดเสียงคำรามแล้ววาดโค้งดั่งมังกรเหิน ประทับลงในฝ่ามือของนักดาบ

“สัญญาห้าปีเมื่อครานั้นตอบรับอย่างเร็วรี่ ในยามนี้ไม่กล้าแม้แต่จะออกมาจากยอดเขาแล้วหรือ!”

พริบตานั้นก็มีริ้วแสงจำนวนนับไม่ถ้วนร่อนลงมาที่หน้าประตูภูเขา

พรรคไท่ซวีไม่ได้ใช้ตราประทับมังกรเขียวมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทันทีที่มังกรเขียวปรากฏ ผู้อาวุโสและศิษย์ทั้งหมดที่เห็นมันต้องมาให้ถึงในทันที

ประตูภูเขาที่เพิ่งจะโหรงเหรงพลันเนืองแน่นไปด้วยผู้คน พวกเขาแต่ละคนต่างสวมชุดประจำพรรคสีน้ำเงินขาวของพรรคไท่ซวี เหยียบย่ำชั้นหิมะหนาถึงเข่าจนมันกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง

เสียงของมู่เหยี่ยกึกก้องไปทั่วหน้าประตูภูเขา ทั้งยังซุกซ่อนปฏิภาณเอาไว้ภายในอย่างแยบยล สั่นสะเทือนจนหิมะบนยอดเขาร่วงกราว มีกระทั่งเสียงครืนครั่นของหิมะถล่มดังมาจากที่ห่างไกล

บรรดาคนของพรรคไท่ซวีที่เดิมทีลับมีดกันมาแฉ่งฉับ คิดอยากจะสั่งสอนเจ้าเด็กทระนงผู้ไม่รู้จักฟ้าสูงพื้นดินหนา* ถึงขนาดขวัญกล้าบุกมายังหน้าประตูภูเขาพรรคไท่ซวีให้ดีๆ สักหน่อย ผลคือหลังจากได้ยินประโยคนี้แล้วต่างก็เก็บกระบี่ยาวสี่สิบหมี่** กลับไปอย่างเงียบเชียบ

เรื่องนี้ไม่อาจท้าทายมู่เหยี่ยได้จริงๆ

ห้าปีก่อนสองสุดยอดอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าพากันย่ำเข้าสู่ขอบเขตคอขวดของจุดสูงสุดในขั้นเก้า ยอดหอไจซิง (เด็ดดารา) หออันดับหนึ่งในใต้หล้าจึงร่างสัญญาห้าปีขึ้นมา โดยมีสิ่งเดิมพันก็คือให้ต่อสู้กันอีกครั้งในอีกห้าปีให้หลัง ดูว่าผู้ใดจะคว้าสมญานามอัจฉริยะอันดับหนึ่งมาได้

เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกมาก็พลันขึ้นพาดหัวบนม้วนคัมภีร์หยกของแผ่นดินเสวียนซวีในทันที หลังจากสับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายทอดให้แก่กันตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน บรรดาเจ้ามือทุกหมู่เหล่าต่างพากันเปิดโต๊ะพนันเพื่อเดิมพันกันว่าทั้งสองท่านนี้ใครจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด

จงจี่ทราบภูมิหลังในการประชันฝีมือของมู่เหยี่ยดีว่าไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ดังนั้นจึงต้องมาดูที่ตัวจงจี่ผู้นี้ให้ดีเป็นสำคัญ

เจ้าหนุ่มจงจี่ผู้นี้นับว่ามีความผิดแผกมาตั้งแต่เกิด ดาวต้นกำเนิด* ของเขาไม่ปรากฏ ในยามปกติทำได้เพียงสร้างปรากฏการณ์ฟ้าดินเท่านั้น และก็เป็นเพราะดาวต้นกำเนิดของเขาไม่ปรากฏนี่เองถึงได้มอบความรู้สึกลึกซึ้งไม่อาจคาดเดาชนิดหนึ่งให้แก่ผู้คน

ในตอนแรกเริ่มจงจี่เกือบจะถูกคนสงสัยว่าเขาคือตัวไร้ค่าผู้ไม่อาจฝึกบำเพ็ญเพียรได้ ผลคือหลังจากรอจนเขาเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรผู้คนถึงได้ตระหนัก

ไหนเลยจะเป็นตัวไร้ค่าพรรค์นั้น ชัดแจ้งว่าเป็นบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์ต่างหาก (ปาดน้ำตา)

“อาจารย์อาจงไม่ใช่คนตระบัดสัตย์เช่นนั้น ยามนี้กักตนไม่ออกมา ไร้ทางเลือกให้โดยแท้ สหายมู่ได้โปรดผ่อนปรนให้ด้วย”

เหยียนซื่อผู้นำยอดเขาฉังเจี้ยน (ซ่อนกระบี่) หนังตากระตุกทีหนึ่ง แล้วผินกายไปส่งสายตาให้กับหยางเฉียนผู้นำยอดเขาเหลี่ยนเย่า (กอบเก็บโอสถ) ปราดหนึ่ง จากนั้นฝ่ายหลังก็พลันเข้าใจความคิด จึงเอ่ยตอบเสียงดังฟังชัด

“ฮึ ผ่อนปรนหรือ”

ในฐานะที่มู่เหยี่ยเป็นนักดาบผู้ตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง สิ่งที่รังเกียจที่สุดก็คือการอ้อมค้อมเหล่านี้ เขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่าพรรคไท่ซวีคิดอยากกำราบเขาลงที่นี่ ฉับพลันนั้นเขาจึงปักดาบลงบนพื้นหิมะเสียงดังฉึก และกดหมวกสานลงเล็กน้อย เผยท่าทีว่าไม่ยอมแพ้

“วันนี้ถึงกำหนดเส้นตายแล้ว เช่นนั้นมู่เหยี่ยก็จะรออยู่ที่นี่ครึ่งวัน ไม่ล่วงเข้าประตูพรรคเจ้าแม้แต่ก้าวเดียว คิดว่าผู้สูงศักดิ์จงคงจะไม่ทำให้แขกต้องลำบากกระมัง”

มีการเตรียมตัวมาก่อนดังคาด

แม้มู่เหยี่ยจะไม่ได้วางอุบายเอาไว้ในการประชันฝีมือ แต่ท่าทีเย่อหยิ่งเช่นนี้กลับทำให้บรรดาศิษย์ในพรรคไม่ใคร่จะสบายใจนัก

ไม่ได้ วันนี้ต้องหาสักเหตุผลหนึ่งมาสั่งสอนเจ้าเด็กนี่ให้ดีๆ เสียก่อน!

เพิ่งจะย่ำเข้าธรณีประตูขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จักฟ้าสูงพื้นดินหนาแล้ว ไม่ว่าเอ่ยอย่างไร ประมุขพรรคไท่ซวีพวกข้าก็ยังเป็นถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง หากปล่อยให้เจ้าเด็กน้อยผู้หนึ่งมาท้าทายถึงที่ พรรคไท่ซวีก็ไม่รู้จะเอาใบหน้าชรากว่าพันปีนี้ไปวางไว้ที่ใด

เหยียนซื่อเหลือบตาไปเห็นเศษขี้เลื่อยสีน้ำตาลที่แหลกละเอียดอยู่บนพื้นหิมะฟุ้งตลบขึ้นมา นัยน์ตาสีดำสนิทพลันวาบประกาย

ป้ายไม้ที่เขียนตัวอักษรสามตัวเอาไว้ว่าพรรคไท่ซวีแผ่นนี้แท้จริงแล้วไม่ได้มีค่ามากนัก เพราะพรรคตั้งอยู่ในหุบเขาลึก ทั้งยังมีหิมะตกตลอดทั้งปี ลูกพี่จึงโดนลมหวีดหวิวพัดโกรก ภายใต้สภาพแวดล้อมสุดขั้วเช่นนี้ป้ายไม้จะได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ สองสามเดือน

แต่ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรมู่เหยี่ยก็เป็นคนนอก เหยียนซื่อย่อมเหลือพื้นที่ให้วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง ประกอบกับลิ้นสามชุ่นไม่เน่า* ของผู้นำยอดเขาเหลี่ยนเย่าแล้ว รับรองได้เลยว่าจะทำให้มู่เหยี่ยผู้นี้ต้องตกตะลึง

ทว่าตอนนี้ต้องหาเหตุผลสักข้อมาตีเจ้าเด็กนี่สักครู่หนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน

กล้ามาร้องเรียกรังแกศิษย์พี่จงถึงหน้าประตูเลยหรือ ฮึ รนหาที่ตาย

เหยียนซื่อเพิ่งจะตัดสินใจได้ สองมือที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้ออยู่ในท่าเตรียมพร้อม ทว่าในตอนที่เตรียมถลึงตาเอ่ยผรุสวาทนั้น เบื้องหลังพลันมีเสียงหัวเราะก้องกังวานลอยมา ดั่งอสนีบาตฟาดลงบนผืนดิน

“สหายมู่ไม่จำเป็นต้องรอนาน แขกผู้มีเกียรติมาเยือน จงจี่ย่อมมาต้อนรับ”

น้ำเสียงนี้ทั้งไพเราะและแฝงความเอาแต่ใจ ทั้งยังเผยถึงแววขบขันเจ็ดส่วน ความเกียจคร้านสามส่วน ซุกซ่อนปฏิภาณแบบเดียวกันเอาไว้อย่างแยบยล ทั้งยังทำให้บรรดาผู้คนที่ได้ยินเสียงคำรามของมู่เหยี่ยจนเลือดลมพลุ่งพล่านก่อนหน้านี้นิ่งงัน คืนกลับสู่ความสงบ

“จงจี่!”

เพียงได้ยินเสียงนี้มู่เหยี่ยไหนเลยจะอดทนไหว ประกายเพลิงในดวงตาพลันลุกโชน

ว่าแล้วก็แปลกนัก นักดาบผู้เงียบขรึมสงวนวาจาอยู่เป็นนิจ เพียงได้พบจงจี่ก็กลายเป็นดั่งพวงประทัดที่แค่จุดไฟก็ระเบิด แล้วนักดาบผู้สุขุมเยือกเย็นก็เปลี่ยนร่างเป็นเด็กน้อยในชั่วพริบตา

“มาแล้วๆ เบาเสียงหน่อย”

เงาร่างสีดำเรียวเล็กสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากที่ห่างไกล อาภรณ์สีดำดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุดกลางผืนหิมะกว้าง เหนือศีรษะปรากฏเป็นเส้นริ้วสีทองเรืองรองที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน เหินเหาะอย่างหงส์ร่อน ลอยล่องดั่งเริงรำ

ย่ำก้าวของเงาร่างไร้ลมไร้เสียงหายใจ เยื้องย่างมาอย่างลมเย็นเดือนหงาย** เหยียบลงบนหิมะไร้ร่องรอย พริบตาเดียวก็ย่อพิภพเป็นชุ่น*** เดินมาถึงหน้าประตู

บรรดาผู้คนที่รายล้อมอยู่หน้าประตูพรรคต่างถอนหายใจโดยพลัน ความมั่นใจเปี่ยมล้นขึ้นมา

“ว่าอย่างไร ไม่ได้พบกันห้าปี คุณชายมู่คิดถึงผู้แซ่จงถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

บุรุษผู้มีผมสีดำลู่ลงมาทั้งศีรษะ ไม่ได้สวมเครื่องประดับใด ปล่อยสยายประบ่าอยู่เช่นนั้นตามแต่ใจ สองคิ้วของเขาดั่งกระบี่ นัยน์ตาสีทองราวกับห้วงน้ำล้ำลึก สันจมูกสูงโด่ง องคาพยพงามวิจิตร บุคลิกโดดเด่นองอาจ ยามยกมือยื่นเท้าก็งามสง่า ดั่งทิวทัศน์ใสกระจ่างหลังฝน**** ทั้งหล่อเหลาและอิสรเสรี

แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่กำลังเดินมาดวงตาของเขาก็เหลือบขึ้น ถ้อยวาจาแฝงความเกียจคร้านจนใจ ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของผู้อื่นกลับเห็นเป็นความยโสโอหัง

“เจ้า…!”

มู่เหยี่ยโมโหเสียจนเกือบจะดึงดาบขึ้นจากพื้น

ทว่านักดาบผู้สวมหมวกสานนับว่าอดทนเอาไว้ได้ในครานี้ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถอดหมวกสานออกอย่างเชื่องช้า จงใจเผยให้เห็นดาวต้นกำเนิดบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเสียงเย็นเยียบอย่างบ้าคลั่ง

ดาวห้าแฉกสีเงินม่วงดวงหนึ่งปรากฏบนหน้าผากเขาแล้วค่อยๆ ขยายตัวขึ้น จากนั้นก็ลอยขึ้นมาอยู่ที่ตำแหน่งกลางกระหม่อม เรืองแสงสุกใสเป็นประกาย

สีเงินม่วง!

ผู้มีดาวต้นกำเนิดขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะมี!

“ฮึ”

มู่เหยี่ยมีใจคิดโอ้อวด จึงจงใจโคจรปราณวิญญาณทำให้ดาวต้นกำเนิดที่หน้าผากเปล่งประกายชัดยิ่งกว่าเดิม นึกอยากประทับดาวดวงนี้ลงตรงหน้าจงจี่อย่างอดรนทนไม่ไหว ให้เจ้าเด็กไม่รู้ฟ้าสูงพื้นดินหนาผู้นี้ได้มองเห็นให้ชัดเจน

ผู้คนโดยรอบล้วนทราบดี อัจฉริยะจงจี่ไม่ปรากฏดาวต้นกำเนิดมาตั้งแต่เกิด มู่เหยี่ยจึงต้องการยั่วยุเจ้าเด็กผู้นี้

แน่นอนว่าอีกทางก็เพื่อจะหยั่งเชิงดูว่าจงจี่บำเพ็ญถึงขั้นใดแล้วด้วยเช่นกัน เพราะโดนตบหน้ามาก็หลายครั้ง ในใจเขาจึงไม่ค่อยมั่นใจนัก

ในแผ่นดินเสวียนซวีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนน้อยมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพียงทะลวงขั้นสำเร็จล้วนสามารถทะยานขึ้นสู่ยี่สิบอันดับแรกของทำเนียบเสวียนจีได้เลย

เพื่อที่จะแสดงความแข็งแกร่งของตนเองอย่างเงียบๆ ทว่าหรูหราและมีท่วงท่าที่ผ่านการบ่มเพาะ ทั้งยังไม่ต้องการให้เสียภาพลักษณ์พี่ใหญ่อันเพียบพร้อมไร้ที่ติ เหล่าพี่ใหญ่กลุ่มนี้ยามเดินเหินจึงวางเท้าห่างจากพื้นอยู่หลายชุ่น* ย่ำท่องกลางอากาศ

และในเมื่อจงจี่ไม่ได้เดินย่ำท่องกลางอากาศ จึงเป็นไปได้มากว่าไม่ได้ล่วงเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์

แต่สิ่งที่น่าพูดถึงก็คือเนื่องด้วยการพัฒนาในด้านการบำเพ็ญเพียรของแผ่นดินเสวียนซวี ไม่นานมานี้ปรมาจารย์ด้านการเขียนยันต์คิดค้นยันต์ชนิดหนึ่งที่แปะบนฝ่าเท้าแล้วจะเลียนแบบวิชาย่ำสุญทะยานฟ้าขึ้นมาได้ เรียกได้ว่าสมบัติลอกเลียนแบบ พอออกขายสู่ตลาดผู้คนก็ซื้อไปจนเกลี้ยง

“โอ้”

จงจี่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

“คุณชายมู่ไยมีดาวเพียงดวงเดียวเล่า ทั้งสียังกระดำกระด่างเสียด้วย”

ความเยาะหยันระดับสูงสุด

ยิ่งเห็นจงจี่มีท่าทีเช่นนี้ ในใจมู่เหยี่ยก็ยิ่งไม่มั่นใจ

นักดาบพินิจพิเคราะห์สีหน้าของเจ้าเด็กผู้นี้อย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่ลักษณะภายนอกของจงจี่นั้นเป็นท่วงท่าสี่มั่นแปดคง* มองไม่เห็นเค้าเงื่อนใดแม้เพียงครึ่ง

มู่เหยี่ยพลันระลึกถึงความหลังยามที่ตนถูกจงจี่ควบคุมอยู่หลายครั้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ทุกครั้งในตอนที่เขาคิดว่าตนจะได้ชัยชนะมาครองแน่แล้วจนเริ่มเป็นฝ่ายยั่วยุก่อเรื่องนั้น จงจี่มักจะเป็นฝ่ายฟาดเขากลับสักหนึ่งฝ่ามือ

จากครั้งแล้วครั้งเล่านี้ถือกำเนิดเป็นสัมผัสลางหายนะที่หก แม่นยำอย่างยิ่ง

แต่ในฐานะที่เป็นนักดาบผู้หนึ่ง มู่เหยี่ยไม่อาจถอยหลัง ยิ่งไม่อาจถอยหลังไปมากกว่านี้ เขาไม่อาจกระทำในสิ่งที่ละอายต่อดาบในมือ

นี่เป็นโอกาสในการเอาชนะจงจี่เพียงหนึ่งเดียว

หากชนะก็จะได้ปีนข้ามขุนเขาสูงหนักลูกนี้ หากว่าแพ้อำนาจของการรบกันครั้งนี้จะกลายเป็นมารในจิตของมู่เหยี่ยไปตลอดชีวิต

“พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ หยิบกระบี่เถิด”

นักดาบสงบจิตใจให้มั่นคง ยกปลายดาบขึ้นเล็กน้อย แววตาปรากฏความมุ่งมั่นและทะนงตนไม่ย่อท้อ

หลังเขาพูดจบจงจี่ที่อยู่ตรงหน้าก็ยังคงไม่แสดงกิริยาใด สีหน้ากลับแปลกพิกลอยู่บ้าง

“ว่าอย่างไร หรือว่าในศึกสุดท้ายนี้คุณชายจงก็ยังคงไม่ยินยอมชี้แนะ”

จงจี่ “…”

จบกัน จะบอกเจ้าโง่นี่อย่างไรว่ากระบี่ที่เขาพกก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วก็เพื่อความหล่อเท่ก็เท่านั้น

อันที่จริงจงจี่ไม่เป็นกระบี่เลย 🙂

เวลาเดียวกันนั้น ในช่วงเวลาสำคัญที่ผู้คนยังไม่ทันได้รู้สึกตัว

บนม้วนคัมภีร์หยกพลันมีนามหนึ่งวาบแสงติดๆ ดับๆ พุ่งขึ้นมาราวกับริ้วแสงมุ่งสู่อันดับสูงสุดของทำเนียบเสวียนจีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดหนึ่งร้อยปี ทะยานสู่จุดยอดที่สุด

 

‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า จงจี่’

 

* เดือนต้นกก คืออีกชื่อเรียกหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนตามปฏิทินจันทรคติ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีต้นกกงอกงาม

** ดั่งลมวสันต์โชยพัดมาฉับพลันในหนึ่งราตรี มาจากกลอน ‘ลำนำหิมะขาวส่งตุลาการทหารกลับนครหลวง’ ของเฉินชาน กวีสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นบทกลอนที่บรรยายถึงภาพฉากความงดงามในวันหิมะตก

*** นุ่งเงินห่มขาว เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบถึงความงามตอนหิมะตกปกคลุมทิวทัศน์จนหนาราวกับสวมอาภรณ์สีเงินขาวเอาไว้

**** ล่าเหมย แปลตรงตัวว่าเหมยเดือนสิบสอง เป็นไม้ดอกที่ออกดอกในฤดูหนาว ส่วนมากเป็นสีเหลือง แต่ก็มีที่เป็นสีชมพูหรือสีแดง คนทั่วไปรู้จักในชื่อต้น Winter Sweet หรือ Japanese Allspice

***** อับอายในถุงเงิน เป็นสำนวน หมายถึงอัตคัดขัดสน รู้สึกอับอายเพราะในกระเป๋าเงินไม่มีเงิน

****** ถนนทุกสายมุ่งสู่จงโจว ดัดแปลงมาจากสำนวน ‘ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม’ หมายถึงไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ล้วนมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน

* แว่วเสียงลมก็เสียขวัญ เป็นสำนวน หมายถึงเพียงได้ยินเสียงลมก็ตกใจจนสูญเสียความกล้า ใช้บรรยายถึงความรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งหนึ่งเป็นอย่างมาก

** ถ้อยวาจาถ้าโยนลงพื้นจักเกิดเสียง มาจากสำนวน โยนลงพื้นจักเกิดเสียง ใช้พรรณนาว่าถ้อยคำนั้นกึกก้องทรงพลัง

* จับเจ็ดมู่เหยี่ย ดัดแปลงมาจากสำนวน ‘จับเจ็ดปล่อยเจ็ด’ เป็นกลยุทธ์การทำสงครามของขงเบ้งกับชาวพื้นเมืองทางภาคใต้ โดยการจับหัวหน้าชาวพื้นเมืองได้ทั้งเจ็ดครั้งแล้วปล่อยไป ทำให้สามารถชนะใจของฝ่ายตรงข้ามได้

* ฟ้าสูงพื้นดินหนา เดิมมีความหมายตรงตัวว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ต่อมาใช้เปรียบถึงบุญคุณอันใหญ่หลวง และยังหมายถึงความยากลำบาก ความหนักหนารุนแรงของเหตุการณ์ ความยุ่งยากซับซ้อนของสิ่งต่างๆ ด้วย

** หมี่ เป็นหน่วยวัดระยะทาง มีค่าเท่ากับหน่วย ‘เมตร’

* ดาวต้นกำเนิด คือสิ่งที่ทุกคนมีพร้อมตั้งแต่เกิด เป็นตัวแทนของระดับขั้นพลังยุทธ์ของการบำเพ็ญเพียร ทั้งยังเป็นตัวแทนของความสามารถที่จะจำแนกระดับขั้นของผู้บำเพ็ญเพียรตามสีสันของดาวต้นกำเนิดอีกด้วย

* ลิ้นสามชุ่นไม่เน่า เป็นสำนวน หมายถึงผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศ

** ลมเย็นเดือนหงาย เป็นสำนวน ใช้เปรียบเปรยถึงผู้มีบุคลิกอิสรเสรี ไม่อนาทรในสิ่งใด

*** ย่อพิภพเป็นชุ่น เป็นหนึ่งในสกิลของอาชีพแม่มดจากเกม Dungeon Fighter Online โดยเป็นท่าสำหรับเคลื่อนย้ายย่นระยะทางให้สั้นลง ในที่นี้เปรียบเปรยถึงความเร็วในการเดินทางของตัวละคร

**** ทิวทัศน์ใสกระจ่างหลังฝน เป็นสำนวน ใช้เปรียบเปรยถึงผู้มีจิตใจเปิดกว้าง ตรงไปตรงมา

* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว

* สี่มั่นแปดคง เป็นสำนวน หมายถึงกิริยาท่าทางสุขุมและมั่นคง

บทที่ 2

 

สีหน้าของมู่เหยี่ยพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเหลือบตาคราหนึ่ง จดจ้องไปยังกระบี่ยาวสีดำทองที่อยู่ข้างเอวของจงจี่เล่มนั้นไม่วางตา

เขาคือนักดาบผู้หนึ่ง แม้ไม่เข้าใจเรื่องกระบี่ แต่ทักษะการแยกแยะศาสตรานั้นเป็นเลิศ

นั่นคือกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่ง

มู่เหยี่ยกล้าพูดเลยว่ากระบี่เล่มนี้เป็นได้ถึงวัตถุเซียนเล่มหนึ่ง

ปราณเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวดาบนั้นข่มขวัญกดดันคน เขาเพียงมองปราดเดียวก็ราวกับจะถูกมังกรทองที่แยกเขี้ยวยิงฟันอยู่บนด้ามกระบี่กลืนกินเข้าไป

ศาสตราที่ระดับขั้นยิ่งสูงก็ยิ่งมีวิญญาณ อีกทั้งกระบี่ของจงจี่ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีสติปัญญาแล้ว หากสามารถเชื่อมโยงกับจิตใจของผู้เป็นนายได้ก็เหมือนเสือติดปีก

ในตอนที่มู่เหยี่ยพบกับจงจี่เป็นครั้งแรก เจ้าหนุ่มนี่ก็พกกระบี่เล่มนี้เอาไว้ข้างกายแล้ว แต่ไม่ว่ามู่เหยี่ยจะประชันกับเขามากี่ครั้ง จงจี่ล้วนไม่เคยใช้มันเลย

ในแผ่นดินเสวียนซวี พรรคไท่ซวีขึ้นชื่อเรื่องกระบี่มาแต่ไหนแต่ไร จงจี่มีฐานะเป็นถึงศิษย์เอกรุ่นนี้ของประมุขพรรคหมิงซวีจื่อ เล่ากันว่ามีความแตกฉานในวิชากระบี่สูงล้ำจนมิอาจคาดเดา ปีก่อนในพรรคไท่ซวีมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าเขาใช้อานุภาพของกระบี่เดียวทำลายค่ายกลดอกท้อเบญจธาตุที่ไม่อาจแก้ได้มาเป็นพันปีแล้ว กระทั่งศิษย์น้องของจงจี่ ผู้นำยอดเขาฉังเจี้ยนเหยียนซื่อยังพูดออกมาโดยตรงว่า ‘ข้าสู้ศิษย์พี่ไม่ได้’

ดังนั้นแม้ชาวโลกจะไม่เคยเห็นจงจี่ใช้กระบี่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนมาก่อนก็ยังมอบนามกิตติคุณให้กับเขาว่า ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ กระทั่งเล่าลือกันว่าจงจี่จะชักกระบี่ออกมารบก็ต่อเมื่อพานพบกับคู่ปรับที่แท้จริงเท่านั้น

คู่ปรับไม่แท้ มู่เหยี่ย “…”

น่าโมโหนัก

“ว่าอย่างไร หรือว่าในศึกสุดท้ายนี้คุณชายจงก็ยังคงไม่ยินยอมชี้แนะ”

ประชันฝีมือกับคนเขาแม้แต่อาวุธก็ไม่ชักออกมา หากนี่ไม่ใช่การดูหมิ่นแล้วจะเป็นอะไรได้!

ยิ่งคิดยิ่งโมโหจนเกือบจะเสียชีวิตเฉียบพลัน

จงจี่ได้ยินคำพูดนั้น มือที่เพิ่งจะยื่นออกมาก็นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ รู้สึกจนใจอยู่บ้าง

ที่จริงแล้วโลกใบนี้คือนิยายออนไลน์สำหรับผู้ชายที่มีชื่อว่า ‘อิสระ’

และจงจี่ก็เป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้

ที่บังเอิญก็คือจงจี่เองก็เป็นนามปากกาของผู้เขียน ‘อิสระ’ เช่นกัน

ไม่ผิด ตอนนี้เรื่องมันเหนือจินตนาการถึงเพียงนี้เลยล่ะ จงจี่ในฐานะที่เป็นนักเขียนทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างผู้ชายที่มีชื่อแซ่เดียวกันในนิยายที่ตนเขียนแล้ว นับเป็นการเริ่มต้นอย่างยากลำบากในการยกระดับหน้าที่การงานของตนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ในฐานะที่เป็นนักเขียนของนิยายเรื่องนี้ จงจี่ไม่ได้ใส่ทักษะการใช้กระบี่ให้กับพระเอกเอาไว้ในตอนที่เขียนนิยาย และก็ไม่ได้หมายความว่าพอนักเขียนทะลุมิติเข้าไปยังร่างของพระเอกในนิยายแล้วก็จะมีนิ้วทองคำ* มาชี้สั่งฟ้าบันดาลได้ตามใจเสียหน่อย! (กรีดร้อง)

ยิ่งไปกว่านั้นในตอนแรกแม้จะเขียนถึงการมีอยู่ของกระบี่เฉิงอิ่ง** (สืบทอดเงา) เล่มนี้เอาไว้ในต้นฉบับ จงจี่ในตอนนี้ได้สัมผัสถึงซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ ไหนเลยจะมีเหตุผลให้นำสมบัติประจำตระกูลของคนเขาออกมากวัดแกว่ง

แม้จงจี่จะไม่เป็นกระบี่ แต่โชคดีที่กระบี่เล่มนี้เป็นวัตถุครึ่งเทพ ต้องการให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดีเท่าไรก็ดูดีเท่านั้น อีกทั้งตอนที่แกว่งไปมาอยู่ข้างเอวขณะก้าวเดินนั้นก็ยิ่งทำให้ได้รับความยกย่องทบทวี ทั้งเท่แล้วก็มีหน้ามีตา

ศาสตราของจงจี่ในยามปกติเป็นพัดเล่มหนึ่ง ตอนต่อสู้ เพียงโบกพัดตามแต่ใจต้องการก็ปล่อยปราณกระบี่ออกไป

ปล่อยปราณกระบี่ออกไปเลยนะ! ในยามปกติย่อมเพียงพอให้หวั่นเกรง

ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้ เท่าที่เห็นจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานับได้ไม่เกินห้านิ้ว

การใช้พัดชั่วคราวเช่นนี้ย่อมทำให้คนจินตนาการได้ว่ายามที่จงจี่ชักกระบี่ออกมาจะต้องเป็น ‘กระบี่เดียวทะลวงฟ้าดิน โบกกระบี่เคลื่อนเมฆา’ เป็นแน่

จงจี่ “…”

ฉันควรจะบอกกับพวกคุณอย่างไรดี มีปราณกระบี่แต่ใช้กระบี่ไม่เป็นนี่เป็นสิ่งที่ออกแบบเอาไว้ให้กับพระเอกในต้นฉบับอย่างไรล่ะ (เป็นกังวล)

ด้วยเหตุนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยิ่งชื่อเสียงของจงจี่ในแผ่นดินเสวียนซวีมากขึ้นเรื่อยๆ วิชากระบี่แมวสามขา* ที่ไม่เคยใช้ของเขาก็ได้เปลี่ยนความหมายเป็นเหมือนคำว่าลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ตามที่ผู้คนเล่าลือกันไปแบบปากต่อปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กระทั่งเหตุผลก็ยังคิดไว้ให้แทนจงจี่อีกด้วย

ปุจฉา พวกเจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดถึงไม่มีใครเคยเห็นจงจี่ชักกระบี่ออกมา เพราะว่า…

วิสัชนา ผู้ที่เห็นกระบี่เขาล้วนตายหมด

จงจี่ ฉันเกือบจะเชื่อแล้วนะเนี่ย

แม้จะกล่าวกันเช่นนั้นกระบี่ก็ยังไม่อาจชักออกมาได้

ถ้าชักออกมานั่นไม่ใช่หมายความว่าต้องการเผยความลับหรือ แล้วเขาจะเอาใบหน้าชรานี่ไปไว้ที่ใดได้อีก

“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การเคารพผู้หนึ่ง”

จงจี่กระแอมกระไอเสียงเบาสองเสียง นิ่งค้างอยู่ในท่าเตรียมหยิบพัดออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวบนิ้วเรียวยาวกลับมาวางไว้ที่บริเวณริมฝีปากอย่างเก้งก้าง โชคดีที่ท่าทีตอบสนองของเขารวดเร็ว จึงมองดูแล้วไม่ถึงกับแข็งทื่อ และยังคงองอาจดั่งที่เขียนเอาไว้ งามสง่าตามใจตน

“วันนี้ผู้แซ่จงไม่ใช้กระบี่ เพื่อให้เจ้าได้พ่ายแพ้ทั้งกายใจ”

ภายนอกของจงจี่มองดูแล้วหล่อเหลาเย็นชา สุภาพแบบบาง แต่ถ้อยวาจาที่เอ่ยออกมานั้นกลับถือดีและยั่วยุชวนตี นี่ย่อมทำให้มู่เหยี่ยอดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“วาจาแสนโอหัง!”

นักดาบหัวเราะเย็นเยียบสองเสียง “คิดจะใช้พัดผุพังเล่มนั้นของเจ้าอีกครั้งหรือ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้มู่เหยี่ยก็มีความโกรธอัดแน่นเต็มท้อง

จงจี่เจ้าคนต่ำช้า แม้แต่กระบี่ก็ไม่ใช้ ไม่สั่งสอนให้เข้าใจเสียหน่อยไม่ได้แล้ว

ตอนมู่เหยี่ยประชันฝีมือกับเขาในยามปกติ จงจี่มักใช้พัดสีดำเล่มนั้นของเขาอย่างมักง่าย ยืนโบกมันอยู่ตรงที่ไกลๆ อย่างส่งเดช

อย่ามองว่าใช้พัดแล้วจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เพราะปราณกระบี่เข้มข้นที่ล้นทะลักออกมาจากด้านในนั้นสมจริงเป็นอย่างมาก สามารถสกัดกั้นดาบของมู่เหยี่ยเอาไว้กลางอากาศได้อย่างสมบูรณ์ สี่ตำลึงปาดพันชั่ง**

ต้องโจมตีจากระยะไกลถึงจะตีโดนเจ้าโง่นั่นที่ยืนอยู่บนพื้น

มู่เหยี่ยย่อมไม่ยินยอมโดยเด็ดขาด เขาคิดหาวิธีเข้าไปใกล้ตัวจงจี่ แต่ก็จนใจที่วรยุทธ์ของเจ้าหนุ่มนี่สุดพิสดาร ท่าเท้าแพรดำเลี่ยมทองใต้สองเท้าพลิกผันต่อเนื่อง ในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นเงาร่างมายาหมื่นพันร่าง รอจนตากลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งอีกฝ่ายก็อยู่ตรงที่ไกลๆ อีกครั้งแล้ว จากนั้นก็เริ่มเจ้าตามข้าถอยกันใหม่อีกครั้งไม่รู้จบ

แต่ไม่ว่าจะสู้อย่างไรมู่เหยี่ยก็จับชายเสื้อของจงจี่ไม่ได้เลยอย่างน่าคับข้องใจ

โง่หรือเปล่า ใครที่เคยเล่นเกมก็รู้กันหมด กลยุทธ์ปล่อยว่าวบินร้ายกาจที่สุด นักดาบคนหนึ่งอย่างนายแม้แต่ชายเสื้อยังคว้าไม่ได้แล้วยังคิดอยากชนะ กุญแจเงินดอกหนึ่งราคาสามไคว่ นายคู่ควรหรือไม่*

“ไม่ใช้”

ทว่าครั้งนี้ดียิ่ง เจ้าหนุ่มจงจี่นี่ถึงกับบอกว่าไม่ใช้พัด

ช่างมีไมตรีจิตยิ่งนัก!

มู่เหยี่ยแววตาวาวโรจน์ กอบหมัดคำนับ ดึงดาบขึ้นจากพื้นอย่างอดรนทนไม่ไหวมากวาดเก็บความอับอาย

สัตบุรุษควรต่อสู้กันด้วยดาบกระบี่ถึงจะถูก หรือว่าเจ้าเต่าหดหัวจงจี่ก็ตระหนักในเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกโดยแท้

“ออกดาบเถิด”

จงจี่เอ่ยเสียงเรียบ บนใบหน้าปรากฏเป็นลมเอื่อยเมฆจาง** สองมือเขาไพล่หลัง ท่ามกลางสีขาวพิสุทธิ์ทั่วฟ้า ชายแขนเสื้อพลิ้วไปตามลมหิมะ มองดูแล้วราวกับผู้สูงส่งต่างดินแดนที่ถือสันโดษเหนือผู้คน ปลีกวิเวกอยู่นอกด่าน

มู่เหยี่ย…สังหรณ์ว่ามีอุบาย

นักดาบในอาภรณ์สีเทาปลอดกุมดาบแน่นพลางหรี่ตาลงอย่างแคลงใจ ในใจมีความลังเลอยู่บ้าง

จงจี่จะยืนตั้งท่าเตรียมพร้อมโดยเปิดเผยจุดอ่อนออกกว้าง ทั่วร่างเต็มไปด้วยช่องโหว่เช่นนั้นจริงๆ หรือ

ไม่สนใจแล้ว ในความอันตรายมีความมั่งคั่งซ่อนอยู่ หากบีบบังคับให้จงจี่ออกกระบี่ได้ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

ในฐานะนักดาบผู้หนึ่ง ย่อมควรท้าทายโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด

มู่เหยี่ยสงบจิตใจ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งตาดำคู่นั้นก็เขม็งเกลียวไว้ด้วยจิตต่อสู้

ดาวต้นกำเนิดสีเงินม่วงอันเป็นตัวแทนของระดับขั้นบนหน้าผากของนักดาบพลันเลือนหายไป ขุมพลังอันตรายค่อยๆ คืบคลานรายล้อมอยู่รอบกายเขา โดยเริ่มรุดไล่มาจากปลายเท้า ทำให้อาภรณ์สีเทาพัดไหว

ในตอนที่เขายกดาบขึ้น คล้ายกับว่าดาบในมือล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายตลอดทั้งร่าง

มู่เหยี่ยเป็นนักดาบอัจฉริยะโดยแท้

ที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นตอนจงจี่ออกแบบลักษณะตัวละครเมื่อตอนนั้นกระมัง ที่วางบทให้เขาเป็นเจ้ารองหมื่นปี

อืม ใช่ เป็นตัวประกอบซึ่งถูกบีบบังคับให้เป็นตัวรับกระสุน* ที่มีไว้ให้พระเอกมาตบหน้าเพื่อขับเน้นว่าพระเอกมีความเท่เถื่อนอหังการขนาดไหนประเภทนั้นแหละ

มู่เหยี่ยมาหาเรื่องใครไม่หา กลับจ้องมาหาเรื่องจงจี่ที่เป็นพระเอกเสียให้ได้

ตอนที่ออกแบบตัวละครในตอนนั้นจงจี่เขียนขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ อยากให้เป็นพระเอกที่หลงตัวเองขนาดไหนก็หลงเท่านั้น นั่นคือบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์เชียวนะ ใครตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาล้วนต้องตาย

จงจี่ยังคงรักษาท่าทางลึกล้ำไม่อาจคาดเดาเอาไว้ต่อไป ถึงขนาดที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนดั่งเกล็ดหิมะ

เวลานี้ต้องมีคนหยิบม้วนคัมภีร์หยกขึ้นมาจดบันทึกการต่อสู้ชั่วชีวิตฉากนี้เป็นแน่

เพื่อรักษาภาพลักษณ์เทพบุตรในฝันของสาวน้อยนับหมื่นพันในแผ่นดินเสวียนซวีของตน จงจี่ยืนให้มั่นอย่างเชี่ยวชาญ แม้แต่อารมณ์บนใบหน้าทุกชุ่นก็ล้วนควบคุมเอาไว้อย่างดีทั้งหมด มุ่งหมายให้เหล่าผู้กินแตง*** ได้ถ่ายภาพเขาออกมาให้หล่อเหลาสักหน่อย

ยามพูดช้า ยามนั้นเร็ว****

เงาร่างที่เพิ่งจะตั้งท่าเตรียมพร้อมอยู่เมื่อครู่ของมู่เหยี่ยพลันบิดเบือน เพียงพริบตาก็หายไปจากที่เดิม

ประกายดาบที่งดงามดั่งรุ้งสายหนึ่งคล้ายพุ่งขึ้นกลางอากาศ แผดเสียงคำรามและปรากฏขึ้นจากกลางฝ่ามือของนักดาบ เพียงชั่วพริบตาก็แหวกฝ่าอากาศมาถึงตำแหน่งที่ห่างจากจงจี่หลายจั้ง***** กรีดผืนหิมะลึกเท่าหัวเข่าและไม่ละลายตลอดทั้งปีของจงโจวออกเป็นร่องลึกตลอดทั้งสาย

มาแล้ว!

เวลานี้จงจี่ผู้มักวางตนสูงกว่ามู่เหยี่ยอยู่สองขั้นเสมอก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม

แต่นี่กลับไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าตนจะสู้มู่เหยี่ยไม่ได้

จงจี่กำลังครุ่นคิดว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายอย่างไรดี ถึงจะทำให้เจ้าหนุ่มคนนี้ยอมจำนนทั้งกายใจ ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะได้อย่างงดงาม

“เอาเถิด เช่นนั้นข้าก็จะเผยความสามารถเล็กน้อยแล้วกัน”

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง วัตถุเย็นยะเยือกหลายเม็ดพลันปรากฏขึ้นเหนือปลายนิ้วที่วางไพล่อยู่ด้านหลัง

หนึ่งหลี่******! สามจั้ง! ห้าฉื่อ*******!

ใกล้แล้ว

ใบหน้าของมู่เหยี่ยเริ่มเผยรอยยิ้มได้ใจ ดาบในมือเขาใกล้จะแทงเข้าไปในอกของจงจี่เต็มทีเพียงออกแรงที่ข้อมือเล็กน้อยเท่านั้น

ฝันร้ายที่ถูกอีกฝ่ายเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าตลอดหลายปีมานี้ใกล้จะถูกเขาบดขยี้เอาไว้กับพื้นแล้ว

เจ็ดชุ่น!

ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้เสียจนมู่เหยี่ยมองเห็นลวดลายซับซ้อนสีทองหรูหราบนสาบเสื้อของจงจี่ และเพียงพอให้มองเห็นแววขบขันวาบขึ้นในดวงตาสีทองสองข้างนั้นของอีกฝ่ายอย่างหาได้ยาก

แววขบขันหรือ!

ครู่ถัดมาตาดำของมู่เหยี่ยพลันหดแคบ พลังวิญญาณทรงพลานุภาพส่งออกมาจากปลายเท้าของเขา เส้นขนทั่วร่างตั้งชัน ขาก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

แม้ไม่ได้สัมผัสถึงแรงสั่นไหวใดๆ ของพลังวิญญาณ แต่ลางสังหรณ์ในฐานะที่เป็นนักดาบกลับร้องเตือนเขาล่วงหน้า ร่างกายเลือกกระทำก่อนจิตใต้สำนึก

“หนีอะไร”

หัวคิ้วของจงจี่ขมวดเล็กน้อย แววขบขันปรากฏเป็นระลอกแต่มือกลับไม่หยุด

แขนเสื้อสีดำของเขาพลันสะบัด นิ้วเรียวยาวคลายออก ส่งวัตถุที่ห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นออกไปโดยพลัน ขุมกำลังหนักดั่งหมื่นจวิน* จู่โจมทะลวงอากาศ

คิดไม่ถึงว่านั่นจะเป็นเม็ดหมากสีดำขาวจำนวนหนึ่ง

“วางหมาก”

“เรียง”

จงจี่ตะโกนออกคำสั่งเสียงหนึ่ง หมากพลันเปลี่ยนเป็นสิบกว่าเม็ด ล้อมรอบมู่เหยี่ยที่หนีไม่ทันเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

ในตอนแรกเริ่มเขาออกแบบให้พระเอกเป็นปัญญาชนผู้ไม่จับดาบถือกระบี่ เช่นนั้นเรื่องพิณหมากภาพอักษร** ล้วนต้องเข้าใจสักหน่อย

หมากกระดูกนี้คือศาสตราชั้นเลิศที่จงจี่เก็บซ่อนเอาไว้มาตลอด

นำมาเสริมความองอาจสง่างามขณะต่อสู้ ยิ้มหัวยามนาวามอดประลัย ไหวพัดขนนกโพกผืนแพร** ลมเอื่อยเมฆจาง อิสรเสรี สังหารไร้ร่องรอย

ทั้งหล่อเท่และเอาชนะศัตรูได้ไปพร้อมๆ กัน สามารถนำมาต่อกรกับนักดาบมือกระบี่ผู้โจมตีระยะประชิดอย่างมู่เหยี่ยได้อย่างเหมาะเจาะเป็นพิเศษ

ขุมอำนาจของขั้นศักดิ์สิทธิ์มาเยือนอย่างกะทันหัน ดุจเขาไท่ซานทาบทับ ดั่งภูเขาหิมะพังทลาย ราวกับมหาสมุทรไร้ขอบเขต เพียงพริบตาก็กดทับลงมาที่หัวใจของทุกคน

บุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ตรงนั้นตามใจปรารถนากลับเป็นคูลึกตามธรรมชาติที่มู่เหยี่ยไม่อาจก้าวข้ามได้ชั่วชีวิต

 

* นิ้วทองคำ เป็นคำสแลง หมายถึงได้เปรียบกว่าผู้อื่นเพราะมีความสามารถหรือตัวช่วยที่เหนือกว่า

** กระบี่เฉิงอิ่ง เป็นหนึ่งในสิบกระบี่ที่มีชื่อเสียงในตำนานของจีน ได้ชื่อว่าเป็นกระบี่แห่งความประณีตงดงาม บ้างก็ว่าเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ ไม่มีผู้ใดเคยเห็นตัวกระบี่

* แมวสามขา อุปมาถึงคนที่มีทักษะไม่เชี่ยวชาญหรือความรู้ในศิลปะบางแขนงเพียงผิวเผินเท่านั้น

** สี่ตำลึงปาดพันชั่ง คือเพลงมวยชนิดหนึ่งที่มีหลักการอ่อนพิชิตแข็ง ใช้แรงน้อยกว่าเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า

* กุญแจเงินดอกหนึ่งราคาสามไคว่ นายคู่ควรหรือไม่ เป็นคำสแลงที่นิยมใช้กันในอินเตอร์เน็ต ใช้สำหรับถากถางฝ่ายตรงข้าม

** ลมเอื่อยเมฆจาง เป็นสำนวน หมายถึงอากาศสดใส เป็นการใช้สภาพอากาศเพื่อเปรียบเปรยถึงสภาพจิตใจของตัวละคร

* ตัวรับกระสุน เปรียบเปรยถึงทหารในสงครามที่จะอยู่หรือตายก็ไม่มีค่าอะไร

*** เหล่าผู้กินแตง เป็นคำสแลง หมายถึงพวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน

**** ยามพูดช้า ยามนั้นเร็ว หมายถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

***** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน แต่ละยุคสมัยอาจมีระยะแตกต่างกัน โดยทั่วไป 1 จั้งเทียบได้ประมาณ 3 เมตร

****** หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน 1 หลี่เทียบเท่าระยะทางประมาณ 500 เมตร

******* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อในสมัยโบราณเท่ากับ 10 ชุ่น 1 ชุ่นเทียบระยะประมาณ 1 นิ้ว แต่ปัจจุบันชาวจีนใช้คำว่าฉื่อในความหมายว่า ‘ฟุต’

* จวิน เป็นหน่วยตวงสมัยโบราณของจีน มีค่าเท่ากับ 30 จิน (ชั่งจีน) หรือประมาณ 15 กิโลกรัม

** พิณหมากภาพอักษร หมายถึงความรู้ความชำนาญทางด้านศิลปวัฒนธรรม

** ยิ้มหัวยามนาวามอดประลัย ไหวพัดขนนกโพกผืนแพร มีที่มาจากกลอน ‘ไหวพัดขนนกโบกผืนแพร ยามยิ้มสรวลนาวามอดประลัย’ ในบทกลอน ‘ระลึกหญิงยอดดวงใจ’ ของซูซื่อ กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง อันเป็นบทกลอนที่บรรยายถึงความอิสรเสรีและความงามของชีวิต

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: