X
    Categories: everYทดลองอ่านเขตห้ามรักฉบับเบต้า

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1

ผู้เขียน : MINTRAN

แปลโดย : ทันบี

ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 2.1

ทางกลับบ้าน

 

ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว อยากกินจาจังมยอนชะมัดเลยแฮะ

พอผมหันไปมองเพราะได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจากที่ไหนสักแห่งก็เห็นว่าต้นเสียงนั้นเป็นหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซออีกแล้ว สองคนนั้นไม่ทำงานทำการแล้วมัวทำอะไรกันอยู่น่ะ

“ถอยไปนะครับ”

หัวหน้าอีผลักไหล่ของหัวหน้าแผนกซอออกไป ด้านหัวหน้าแผนกซอเองก็ยอมถูกดันออกไปโดยไม่มีการขัดขืน หัวหน้าอีถอดแว่นตาออก ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างน่าสงสาร จะว่าไปแล้วเมื่อกี้นี้เหมือนผมจะได้ยินเสียงใครบางคนสะอึกสะอื้นอยู่ในห้องน้ำด้วยแฮะ…

“ฮยอนแจ นายช่วยฟังฉันพูดก่อนเถอะนะ”

“นายจะพูดอะไรล่ะ เข้าใจผิด? นายจะบอกว่าฉันเข้าใจผิดงั้นสินะ”

“ฮยอนแจ ฉัน…!”

“โอเมก้าคนนั้นเป็นใคร ฉันถามว่าโอเมก้าที่มีกลิ่นฟีโรโมนฟุ้งติดตัวนายมานั่นเป็นใคร! ท่าทางเมื่อคืนคงจะไปเปิดห้องด้วยกันมาสินะ? ได้กันแล้วล่ะสิ รูของโอเมก้าคนนั้นมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ มันคงจะดีกว่าของฉันอีกสินะ?”

“ฉันรัต! ระหว่างทางที่ฉันตามนายไป จู่ๆ หมอนั่นก็…”

หัวหน้าแผนกซอคว้ามือของหัวหน้าอีเอาไว้แน่น ทว่าหัวหน้าอีกลับสะบัดมือหัวหน้าแผนกซอออก มือหัวหน้าแผนกซอได้แต่กำแน่นค้างกลางอากาศอย่างหมดหนทางอธิบาย จากนั้นไม่นานเขาก็ก้มหน้าลง

“ได้โปรด เชื่อฉันเถอะนะ”

“จะให้เชื่ออะไรอีก พวกเราเป็นอะไรกันล่ะ นายก็ต้องการแค่ร่างกายของฉันไม่ใช่หรือไง เลิกงานแล้วรอก่อนอย่าเพิ่งกลับ ถ้านายหวังจะให้ฉันเชื่อ ฉันก็ให้โอกาสตามที่นายต้องการ”

หัวหน้าอีเดินมาทางผมอย่างเชื่องช้าในขณะที่มือกำแว่นเอาไว้แน่นจนซีดเผือด

“หัวหน้าครับ…”

ได้โปรดอย่ามาทางนี้เลยครับ ผมรู้สึกเสียวสันหลังอะ

“ผู้ช่วยคิม รบกวนช่วยส่งข้อมูลที่บอกเมื่อครู่นี้ให้ผมอีกทีนะครับ”

“ครับ…”

หัวหน้าอีตบบ่าผม ในขณะเดียวกันหัวหน้าแผนกซอก็ถลึงตามองมาทางนี้ เขาเขม้นมองผมก่อนจะเดินหายออกไป

น่าอึดอัดสุดๆ

ในบรรดาบทสนทนาที่หัวหน้าอีคุยกับหัวหน้าแผนกซอเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าจะมีคำพูดที่ทำให้ทุกคนต่างหน้าแดงไปตามๆ กันอยู่ด้วย ไม่สิ…เหมือนจะมีแต่คำพูดพวกนั้นซะด้วยซ้ำ

ทำไมกันนะ ทำไมกัน!

ในสถานที่ที่ไม่ควรนัดคุยกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ต่อให้จะจัดงานสัมมนาวิจารณ์ของเล่นผู้ใหญ่ขึ้นก็คงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่หรอก นั่นสินะ ต่อให้จะรู้สึกแปลกๆ กับการถามไถ่กันว่าเมื่อวานเล่นของเล่นชิ้นไหนอะไรยังไงอยู่หน่อยๆ แต่สถานที่ที่จะสามารถพูดคุยเล่นได้แม้กระทั่งเรื่องเพศสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันก็คงมีแต่บริษัทนี้นี่แหละ สิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิตในสังคมการทำงาน’ ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนมาก็คงจะมีแต่เรื่องพวกนี้นี่แหละนะ

ถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวในชีวิตประจำวันของหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอจะถูกเปิดเผยในที่สาธารณะจนคนทั้งบริษัทแทบจะรู้กันถ้วนหน้าแล้วก็เถอะ แต่ทำไมเขาสองคนถึงต้องมาพูดเรื่องชีวิตส่วนตัวของตัวเองแบบนั้นในเวลาอยู่นอกบ้านแบบนี้ด้วยเล่า

แต่ดูท่าจะมีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่มองว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องแปลก

แม้แต่ตอนนี้เองในออฟฟิศก็คงจะมีกลิ่นฟีโรโมนของใครบางคนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ทุกคนคงต่างกำลังได้กลิ่นอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ไม่ว่ากลิ่นนั้นจะเป็นกลิ่นวานิลลาที่หอมหวาน หรือว่าจะเป็นกลิ่นจาจังมยอนก็ตาม ดูท่าคงมีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่กำลังทำงานอยู่ท่ามกลางกลิ่นฝุ่นหนา

สงสัยคงต้องสั่งจาจังมยอนจากที่ไหนกินซะแล้วสิ

ผมส่งไฟล์ไปขณะกำลังข่มความรู้สึกหวั่นวิตกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจไม่หยุดหย่อน ก่อนที่หัวหน้าอีจะตอบกลับมาด้วยอีโมติคอนน่ารักๆ

ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมตอนนี้คือผมกำลังคิดหนักว่าผมสามารถใช้อีโมติคอนซึ่งมีคำพูดกวนประสาทที่ผมซื้อมาเมื่อวานนี้ตอบกลับอีโมติคอนน่ารักๆ ที่หัวหน้าอีส่งมาได้ไหม ดูเหมือนว่าความกังวลของพนักงานในบริษัทของเรานั้นทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับผลงาน ซึ่งแตกต่างไปจากความกังวลของผมอย่างสิ้นเชิง

อยากลาออกชะมัด ย้ายที่ทำงานไปเลยได้ยิ่งดี ถึงจะอยู่ไหนก็คงไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากลาออกจังแฮะ

 

‘ผู้ช่วยคิม เที่ยงนี้กินอะไรกันดี

 

คนที่ทักมาคือผู้ช่วยคัง

 

จาจังมยอน

แล้วทังซูยุก* ด้วยไหม

เหลือเวลาอีกกี่วันกว่าจะถึงวันเงินเดือนออกครับ

17 วัน

ถ้างั้นเราสั่งไซส์เล็กแล้วมาแบ่งกันกินดีกว่าครับ

จัดไป

 

ผู้ช่วยคังที่ไม่ได้ละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ยกกำปั้นหลวมๆ ขึ้นมาทางผม ก่อนที่ผมจะชนหมัดกับกำปั้นของเขา

เยส! ทังซูยุก!

 

ผมนั่งฝั่งตรงข้ามผู้ช่วยคัง และในระหว่างที่กำลังคลุกจาจังมยอนอย่างระมัดระวังอยู่นั้น พนักงานอาวุโสซอก็เดินเข้ามาใกล้โดยที่ในมือเธอถือข้าวกล่องเอาไว้ ผู้ช่วยคังจึงดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างตัวเองออก

“วันนี้ทั้งสองคนกินจาจังมยอนกันเหรอ”

“คุณซอมานั่งนี่สิ”

“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร พอดีวันนี้ฉันมีนัดไปกินข้าวกับเพื่อนจากแผนกการเงินน่ะค่ะ”

“เพื่อน? โอเมก้าคนนั้นที่ไปไหนมาไหนด้วยกันน่ะเหรอ”

ใบหน้าของพนักงานอาวุโสซอแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเธอเขินอายหรืออย่างไรถึงได้ปัดกระโปรงรีดให้เรียบทั้งที่กระโปรงก็ไม่ได้ยับ

“เปล่า อะไรกันเล่า โอเมก้านั่นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกับฉันสักหน่อย…!”

ผมเอ่ยปากถามขณะคีบทังซูยุกไปจิ้มซอส

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ว่าแต่คุณมีคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวันไม่ใช่เหรอครับ เห็นเคยบอกว่าเพื่อนสมัยเด็กหรืออะไรนี่แหละ ไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันกับเธอคนนั้นเหรอ”

พนักงานอาวุโสซอทำหน้ายู่ขึ้นมาในทันที

“อย่าพูดถึงเธอเชียวนะคะ โอเมก้าอะไรแรงเยอะขนาดนั้น แถมยังเถียงคำไม่ตกฟาก…ทั้งที่เป็นเรื่องที่ควรรอบคอบแท้ๆ แต่กลับชอบลืมพกยาระงับฮีตอยู่ตลอด…ถ้าฉันไม่พกเอาไว้ให้ก็คงแย่ไปแล้ว แต่ก็ยังมาบ่นฉันทุกวัน แถมยังมาไม่พอใจกันอีก วันนี้ก็เหมือนกัน พอฉันบอกว่าจะไปกินข้าวกับคุณจีฮเยที่อยู่แผนกการเงินก็มางอนกันแล้วไม่ตอบข้อความเลยตลอดทั้งวัน เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ งอนอยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวง้อนิดง้อหน่อยก็หาย…”

“เดี๋ยวสิครับ ผมถามเรื่องมื้อเที่ยงต่างหาก…”

ผู้ช่วยคังเลื่อนมือมาแตะถ้วยซอสทังซูยุก ส่วนผมก็เลื่อนไปจับมือของผู้ช่วยคังไว้ ผมรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีจากรอยยิ้มปีศาจของผู้ช่วยคัง

“เอาเถอะ ยังไงฉันไปก่อนนะคะ! ทานข้าวให้อร่อยค่า!~”

“ทานให้อร่อยเช่นกันครับ!”

ผู้ช่วยคังผละมือออกจากถ้วยซอสแล้วเริ่มหันไปคลุกจาจังมยอน ผมได้ปกป้อง ‘ศักดิ์ศรีของการจิ้มกิน’* เอาไว้อย่างสุดชีวิต ก่อนที่ผู้ช่วยคังที่กินจาจังมยอนไปคำหนึ่งจะเอ่ยปากถามโดยที่ยังคงเคี้ยวแก้มตุ่ย

“คุณซอน่าจะชอบโอเมก้าที่อยู่แผนกการเงินนั่นน่าดูเลยนะครับ”

“ไม่ใช่ว่าชอบโอเมก้าเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นหรอกเหรอ เห็นพูดถึงฝั่งนั้นบ่อยจะตายนี่”

“เห? ไม่หรอกน่า”

“แต่ปริมาณคำพูดที่พูดถึงต่างกันลิบเลยนะครับ”

ผู้ช่วยคังโบกตะเกียบไปมาพลางพร่ำสอนนั่นนี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเดิมทีพวกอัลฟ่าก็ชอบโอเมก้าเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว หรือไม่ก็เรื่องที่ว่าเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่โอเมก้ายิ่งสวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีหนามแหลมคมมากเท่านั้น…

สรุปก็คือแม้โอเมก้าที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นจะสวยมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้เป็นคนอ่อนหวาน เพราะแบบนั้นเลยเข้ากับพนักงานอาวุโสซอไม่ค่อยได้ แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น…

ผมเคี้ยวทังซูยุกแสนอร่อยไปพลางฟังคำพูดของผู้ช่วยคังไปด้วยโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ ทันใดนั้นเองประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ก่อนที่พนักงานอาวุโสอิมจะเดินเข้ามา

“โอ้โห กลิ่นหอมน่าอร่อยจัง! ขอร่วมวงกินข้าวเที่ยงที่นี่ด้วยหน่อยได้ไหมคะเนี่ย”

“โอ๊ะ คุณอิม! มาเลยๆ มากินทังซูยุกด้วยกันสิครับ”

“ฮ่าๆ! รู้ใช่ไหมคะว่าคนอย่างฉันไม่เคยปฏิเสธใครเพราะเกรงใจหรอกนะ คุณวอนอีมานี่เร็ว!”

ในเมื่อมีพนักงานอาวุโสอิมอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พนักงานฮาจะไม่อยู่ด้วย ฮาวอนอีกำลังถือข้าวกล่องลายตารางสีชมพูน่ารักอยู่ มันดูเข้ากับใบหน้าของเขาที่แดงเรื่อเอามากๆ

“สวัสดีครับ”

พอพนักงานฮาเห็นผม เขาก็ทำหน้ายู่เหมือนคนที่กำลังขบเคี้ยวอะไรอยู่ จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าทังซูยุกรสชาติเหมือนกระดาษขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พนักงานอาวุโสอิมนั่งลงข้างผู้ช่วยคัง พนักงานฮาจึงลังเลอยู่สักพักก่อนจะดึงเก้าอี้ข้างผมออก ทันทีที่เขาหย่อนก้นนั่งลงผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งตลบ มันเป็นกลิ่นเย็นสบายที่ไม่ได้เข้ากับฮาวอนอีที่เป็นคนผิวขาวเลยสักนิด ไม่สิ…ในทางกลับกันบางทีนี่อาจจะเหมาะกว่าอยู่หน่อยหนึ่งก็ได้ เพราะมันก็ดูเหมาะดีกับนิสัยของเขาที่ชอบพูดจาเหน็บแนมผมอย่างห้วนๆ

“กลิ่น…”

ฮาวอนอีสะดุ้งโหยงก่อนหันมามองผม ผมจึงรีบเคี้ยวทังซูยุกแล้วกลืนมันลงคอไป

“มะ…ไม่ใช่นะครับ คือว่า…ผมจะบอกว่ากลิ่นมันเหมือนร้านครีมอาบน้ำในห้างน่ะครับ พอดีว่ากลิ่นมัน…”

ฮาวอนอีทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ปลายจมูกของเขาแดงเรื่อน้อยๆ เขาเป็นคนที่สวยที่สุดจากในบรรดาผู้คนที่ผมเคยเจอมาทั้งชีวิตเลยจริงๆ ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้วแหละว่าคำว่า ‘โอเมก้าแสนสวย’ นั้นหมายความว่ายังไง

“คุณพูดถูกแล้วล่ะครับ ผมซื้อมาจากห้างนั่นแหละ ผมเองก็กำลังคิดอยู่พอดีเลยว่าเหมือนจะฉีดเยอะเกินไปหน่อย”

พนักงานอาวุโสอิมเปิดกล่องข้าวดังกุกกักๆ

“ก็นะ เห็นคุณวอนอีบอกว่าปกปิดฟีโรโมนได้ไม่ค่อยเก่งน่ะ เพราะงั้นก็เลยจงใจฉีดน้ำหอมเยอะๆ ไง”

“อ๋า…อย่างนั้นเหรอครับ”

“ค่ะ ได้ยินมาว่าปกติแล้วพวกอัลฟ่าชอบกลิ่นของคุณวอนอีเอามากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะงั้นคุณวอนอีก็เลยพยายามหาอะไรมากลบกลิ่น จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันเองก็เป็นเบต้าซะด้วย เพราะงั้นเลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอกค่ะ”

ฮาวอนอีเปิดกล่องข้าว ไข่ม้วนที่อัดแน่นอยู่เต็มกล่องอย่างเป็นระเบียบนั้นดูสวยงามราวกับเป็นของปลอม ดูท่าเขาน่าจะเป็นคนเจ้าระเบียบไม่น้อยเลยจริงๆ

“อัลฟ่าพวกนั้นแค่ได้กลิ่นผมเข้าหน่อยก็จ้องแต่จะกระโจนเข้าหา เพราะงั้นผมเลยต้องคอยระวังตัวน่ะครับ แต่ผู้ช่วยคิมคงไม่ใช่คนแบบนั้นสินะครับ ก็คุณสนใจกลิ่นน้ำหอมมากกว่ากลิ่นฟีโรโมนของผมซะอีก”

“นั่นเป็นเพราะผม…”

กลิ่นฟีโรโมนอะไรนั่นน่ะ เบต้าอย่างผมไม่ได้กลิ่นหรอกครับ ต่อให้อยากจะได้กลิ่นก็ไม่ได้กลิ่นอยู่ดี

“เอาไข่ม้วนสักชิ้นไหมครับ”

ฮาวอนอีคลี่ยิ้มให้ในขณะที่ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างเหม่อลอย ก่อนที่เขาจะพูดกระซิบ

“ความจริงแล้วผมควบคุมฟีโรโมนไม่ค่อยได้น่ะครับ อัลฟ่าอย่างคุณก็คงจะเหนื่อยกับการอดทนสินะครับ…มันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นขอบคุณมากนะครับที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้”

“เปล่าครับ คือความจริงแล้วผมเป็น…”

“คุณอิมราดซอสทังซูยุกแล้วค่อยกินหรือเปล่าครับ ปกติผมกินแบบนั้นอะ”

“ฮิๆ! ถ้างั้นราดตอนนี้เลยไหมคะ”

พนักงานอาวุโสอิมขยับมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบราดซอสลงไปบนทังซูยุก ด้านฮาวอนอีเองก็คีบไข่ม้วนใส่ปากผม ผมรู้สึกว่าสีหน้าของเขาดูสุขใจอยู่หน่อยๆ

“…เบต้าน่ะครับ”

“การราดซอสกินมันเกี่ยวกับเบต้าโอเมก้าตรงไหนคะ ฮ่าๆ!”

ไข่ม้วนมีรสชาติหวานหอมเล็กน้อยกำลังดี แถมฮาวอนอีเองก็สวยละมุนสุดๆ ในขณะเดียวกันทังซูยุกก็เริ่มชุ่มไปด้วยซอส ผมใช้ตะเกียบคนจาจังมยอนที่ไม่ได้เข้าพวกกับสิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด ดูสิ เส้นอืดหมดแล้วเนี่ย

พอหันไปมองด้านข้างผมก็เห็นว่าฮาวอนอีกำลังกัดปลายตะเกียบพลางหัวเราะอยู่

ฟีโรโมน…ฟีโรโมน?

กลิ่นน้ำหอมเย็นสบายที่ลอยมาจากฮาวอนอีส่งกลิ่นตลบอบอวล ใบหน้าของเขาสวยมากจนผมรู้สึกว่าโลกใบนี้มันโคตรจะไม่ยุติธรรม

ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนได้รับคะแนนจากฮาวอนอีอย่างบอกไม่ถูก

อยากลาออกชะมัด

 

หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็เป่ายิงฉุบพนันกันกับผู้ช่วยคังเพื่อหาคนเก็บกวาด ถึงจะพ่ายแพ้ แต่ผมก็ยอมรับมันอย่างใสสะอาด ผมอยากจะรีบๆ หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ รีบเอาชามไปวางไว้แล้วเดินไปอยู่ที่ห้องชงกาแฟคนเดียวสบายๆ ดีกว่า

“ผู้ช่วยคิมเอาชามไปวางไว้ข้างนอกสิ อีกเดี๋ยวเขาจะมาเอาคืนแล้วนะ”

ผู้ช่วยคังตบไหล่ผมก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”

พอผมบ่นพึมพำ พนักงานอาวุโสอิมก็หัวเราะร่าออกมา เธอที่เก็บกล่องข้าวเรียบร้อยแล้วคว้าแขนของพนักงานฮามาควง

“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราลงไปข้างล่างก่อนนะ”

แม้เธอจะพูดแบบนั้น แต่ฮาวอนอีกลับส่ายหัว

“ผมจะออกไปช่วยผู้ช่วยคิมก่อน เดี๋ยวกลับมานะครับ พอดีผมอยากดื่มกาแฟด้วยน่ะครับ ให้ผมซื้อมาเผื่อคุณอิมแก้วนึงด้วยไหมครับ”

“ถ้างั้นก็ขอบใจนะ! ฉันว่าจะไปแปรงฟันสักหน่อยพอดีเลย เดี๋ยวฉันไปแปรงเลยดีกว่า งั้นฉันลงไปก่อนนะ จังหวะเหมาะเหม็งพอดีเลย พวกนายสองคนจะได้สนิทกันมากขึ้นด้วย”

พนักงานอาวุโสอิมโบกมือก่อนจะออกจากห้องประชุมไป หลังเดินออกมาพ้นจากพื้นที่ที่มีแต่กลิ่นจาจังมยอนแล้ว ข้างกายผมก็เหลือแค่ฮาวอนอีกับถุงพลาสติก ผมอยากให้ถุงที่ใส่ชามจาจังมยอนนี่เป็นกำแพงใหญ่ๆ คั่นกลางระหว่างเราเสียเหลือเกิน แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้

“ไม่ลงไปเหรอครับ”

“เอ่อ…ครับ”

เวลานี้ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบของถุงพลาสติกดังพอๆ กับเสียงเครื่องเจาะในไซต์ก่อสร้าง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เกลียดสถานการณ์นี้ขนาดนั้น ไม่สิ…ความจริงแล้วมันก็พอจะทนไหวอยู่หรอก คงต้องขอบคุณที่ผมท้องอิ่ม โลกใบนี้มองไปทางไหนถึงได้ดูสวยงามไปหมด ให้ตายสิ นี่ผมคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อแค่กินข้าวเที่ยงหรอกนะ?

การที่ผมสามารถอดทนกับชีวิตในบริษัทได้ก็เป็นเพราะอาหารกลางวันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สิ…นี่คือพลังของบัตรเครดิตนิติบุคคล* ต่างหาก ความรู้สึกดียามที่ใช้จ่ายค่าอาหารกลางวันด้วยบัตรเครดิตนิติบุคคลมันทำให้ผมรอดตายไปได้ในแต่ละวัน

ผมเดินแกว่งถุงพลาสติกไปมามุ่งตรงลงไปยังชั้นหนึ่ง ส่วนฮาวอนอีก็เดินไล่หลังตามติดผมมาเหมือนเงา พอเดินผ่านล็อบบี้หินอ่อนที่ส่องประกายวาววับออกมาข้างนอกตัวอาคารแล้ว อากาศเย็นสบายและแสงแดดอ่อนๆ ก็ตกกระทบผิวกายต้อนรับพวกเรา

“คุณวอนอีบอกว่าจะไปร้านกาแฟใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมรอคืนชามให้พนักงานส่งอาหารตรงนี้เสร็จก็กะว่าจะขึ้นไปแล้วล่ะครับ”

ผมพอก้มหัวลงมอง ฮาวอนอีก็โบกมือปัดปฏิเสธทันที

“อ๊ะ ไม่เอาสิครับ เดี๋ยวผมรอเป็นเพื่อน”

อะไรของนาย ไม่เอาโว้ย มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย

ตัวผมหลายคนกำลังพากันกรีดร้องอยู่ในใจ

ส่งวอนอีไปร้านกาแฟซะ! ต้องหลีกเลี่ยงบรรยากาศอึดอัดนี่ดิเฮ้ย!

แม้ใจจะคิดแบบนั้น แต่ปากของผมที่ถูกฝึกฝนซ้ำๆ จากการเข้าสังคมจนเคยชินกลับต่อต้านและขัดขืน

“เอ่อ…จะรอด้วยกันจริงๆ น่ะเหรอครับ”

“ครับ”

“งั้นก็ได้ครับ”

“ครับ”

“…”

“…”

กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ พวกเราต่างยืนเกร็งกันราวกับภาพเหมือนที่กลืนไปกับพื้นหลัง จากนั้นไม่นานฮาวอนอีก็เปิดปากพูดขึ้น

“วางชามลงก่อนเถอะครับ คุณถือไว้ไม่หนักเหรอ”

ไม่หนักเลย…ไม่หนักเลยสักนิด

“ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ คือ…”

นี่เราควรทิ้งชามนี่ไว้แล้ววิ่งหนีดีไหมนะ

ผมรู้สึกเหมือนเวลาหยุดไปทั้งอย่างนั้น พนักงานออฟฟิศที่กลับมาหลังจากไปกินข้าวเดินผ่านไปมาเต็มไปหมดทุกที่อย่างกับฝูงปลาในน้ำ ทว่ามีแต่พวกเราที่กำลังยืนหยุดนิ่ง

โทรศัพท์มือถือไง ทำเป็นเล่นโทรศัพท์หน่อยละกัน

ปกติแล้วก็ชอบมาตามตื๊อชวนไปดื่มกันตลอดแท้ๆ ทีเวลาแบบนี้กลับหายหัวไปไหนกันหมดนะ ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้ ช่องแชตขาวสะอาดสุดๆ หรือนี่ผมโดนเพื่อนแบน? นี่ผมโดนแบนจนต้องมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อคืนชามจาจังมยอนข้างนอกคนเดียวเลยเหรอเนี่ย หรือความจริงแล้วนี่คือสิ่งที่ผู้ช่วยคังอยากจะแกล้งผมมาโดยตลอด!?

ไม่สิ…ต้องโทษความไม่รู้ของตัวผมเองที่มักจะออกค้อนไปเวลาเป่ายิงฉุบ

หลังจากที่เงียบไปสักพัก ในที่สุดฮาวอนอีก็เปิดปากพูดขึ้น

“ผมอยากขอโทษน่ะครับ”

“ครับ?”

“ก็ที่ผมพูดในห้องน้ำเมื่อคราวก่อน…เรื่องฟีโรโมนน่ะครับ”

“อ๋อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ ก็คุณเข้าใจผิดนี่นา”

“ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่คิดว่าผมทำผิดครับ เพราะสิ่งที่ผมพูดไปมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมก็เสียมารยาทที่ไปพูดกับผู้ช่วยคิมแบบนั้น เพราะแบบนั้นก็เลยรู้สึกผิดนิดหน่อยน่ะครับ ยังไงผมก็ขอโทษด้วยนะครับ”

นี่คิดจะขอโทษกันจริงไหมวะเนี่ย

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ อย่าคิดมากเลยครับ ยังไงผมก็เป็น…”

“ไม่ได้สิครับ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ความจริงแล้วผมก็คงจะปากไวไปเอง เพราะผมก็จัดการกับฟีโรโมนไม่ค่อยได้มาตั้งแต่เกิดแล้วน่ะครับ เพราะงั้น…เวลาตกใจ ฟีโรโมนของผมก็จะส่งกลิ่นออกมาเยอะกว่าคนอื่นๆ น่ะครับ”

“คงจะลำบากน่าดูเลยนะครับเนี่ย”

ก็พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักหรอก

“เพราะงั้นผมก็เลยเป็นคนอ่อนไหวง่ายมากครับ แล้วผมก็กดดันนิดหน่อยด้วยกับการควบคุมฟีโรโมนของตัวเอง ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

แพขนตาของฮาวอนอีที่กำลังคลี่ยิ้มราวกับเขินอายอยู่นั้นต้องแสงที่สดใสภายใต้แสงอาทิตย์ ยอมรับเลยว่าเป็นใบหน้าที่สวยงามมากจริงๆ ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็สวยจนไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักครั้ง แม้แต่ดวงตากลมโตนั้นก็ยังดูสวยเป็นพิเศษ ผมที่หลงใหลไปกับใบหน้าของเขาหลุดพึมพำออกมา

“ไม่เป็นไรครับ”

“เมื่อกี้นี้ผมแอบตกใจนิดหน่อยนะครับที่คุณไม่ใช่คนแบบนั้น คุณควบคุมฟีโรโมนเก่งมากเลยครับ แล้วตอนเช้าทำไมถึงได้ปล่อยฟีโรโมนแบบนั้นออกมาล่ะครับ…”

ฮาวอนอีเหมือนจะคิดอะไรอยู่คนเดียวแล้วก็หน้าแดงก่ำ จะว่าไปแล้วไอ้ฟีโรโมนที่ผู้จัดการอีปล่อยออกมานั้นเป็นฟีโรโมนเวลาติดสัดนี่ ถึงผมจะไม่ได้รู้อย่างละเอียดว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ผมก็พอรู้สึกได้ว่ามันน่าจะดูโรคจิตอยู่ไม่น้อยเลย แม้ว่าผมจะไม่มีความคิดที่อยากจะสนิทสนมกับวอนอีมากขึ้นไปกว่านี้ แต่ผมก็ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ให้จงได้ ดีไม่ดีบางทีฮาวอนอีอาจจะยังคิดว่าผมเป็นอัลฟ่าอยู่ก็ได้

“คือว่านั่นมันไม่ใช่ฟีโรโมนของผมตั้งแต่แรกแล้วครับ และอีกอย่างผมเองก็เป็น…”

“นั่นมันมอเตอร์ไซค์ของร้านจาจังมยอนไม่ใช่เหรอครับ”

นิ้วของฮาวอนอีชี้ไปทางด้านหน้า พอผมเงยหน้าขึ้นก็เห็นมอเตอร์ไซค์ที่ถูกแต่งอย่างหรูหรากำลังขับเข้ามาทางนี้ ก่อนจะเห็นว่าข้างหลังมีกล่องอาหารดีไซน์จีนๆ สีฟ้าเทินอยู่บนเบาะ ดูทรงแล้วไม่ผิดแน่นอน

“คือความจริงแล้วผมเป็นเบต้าครับ”

ผมอุตส่าห์พูดออกไปได้แล้ว แต่ฮาวอนอีกลับเดินนำหน้าไปไกลแล้ว

“รีบตามมาสิครับ!”

ฮาวอนอีโบกมือไม้ไปมาไหวๆ เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินไปยังมอเตอร์ไซค์คันนั้น ครั้งนี้ผมจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด ผมต้องบอกเขาไปให้ได้ว่าผมเป็นเบต้า

พนักงานส่งอาหารจอดมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงฝั่งสนามหญ้าก่อนจะถอดหมวกกันน็อกออก ไม่รู้ว่าตอนสัมภาษณ์เขาคัดเลือกกันจากหน้าตาหรือเปล่า พนักงานคนนั้นถึงได้มีหน้าตาหล่อเหลาเอาการขนาดนี้

“ชาม”

เลือกจากหน้าตาอย่างเดียวจริงๆ ด้วยแฮะ

พอผมยื่นถุงออกไป พนักงานส่งอาหารก็ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเหยียดยิ้ม เมื่อมองดูโดยละเอียดแล้วถึงได้เห็นว่าเขามีจิวเจาะอยู่ตรงหางคิ้วด้วย

พนักงานคนนั้นเอาถุงใส่ลงในกล่องด้านหลัง เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาจ้องฮาวอนอีพลางเหยียดยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้

“คุณคืออัลฟ่า? ส่วนนี่ก็โอเมก้าแฟนคุณสินะ?”

“ครับ?”

ผมอึ้งไปกับคำพูดเหลวไหลนั่น เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาอยู่ในหัวผมมากมายนับสิบอัน ฮาวอนอีควงแขนผมก่อนจะโต้กลับไป

“แล้วคุณดูท่าจะเป็นโอเมก้าสินะ? ถึงว่าได้กลิ่นฟีโรโมนจากที่ไหน”

พนักงานส่งอาหารโน้มร่างผอมบางเข้ามาหาผม ทำเอาผมเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง ก่อนที่เขาจะยื่นนิ้วมาจิ้มหน้าอกผม นิ้วของเขาทั้งเรียวและสวย แถมแรงยังเยอะอีกต่างหาก ถ้าได้เล่นดีดหมากล้อม* ก็ท่าจะเก่งน่าดู

“ทำอะไรของคุณครับ”

“นิ่งจังเลยนะครับ หรือว่าตอนนี้กำลังอดทนอยู่? วันนี้ถ้าเลิกงานแล้วสนใจ…”

“กลับดีๆ นะครับ”

ผมจับไหล่ของฮาวอนอีหมุนตัวแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที พอผมแอบหันไปเหลือบมองด้านหลังก็เห็นว่าพนักงานส่งอาหารกำลังมองมาทางเราพลางตะโกนพูดอะไรบางอย่างอยู่ และในจังหวะที่หันกลับไปมองอีกครั้ง เขาก็สวมหมวกกันน็อกและหันกลับไปทางมอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้ว

 

* ทังซูยุก คือหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน

* คำว่า ‘การจิ้มกิน’ ในที่นี้เป็นคำพูดยอดฮิตเวลากินทังซูยุกของคนเกาหลี เนื่องจากคนเกาหลีแต่ละคนจะมีวิธีกินเมนูนี้แตกต่างกัน โดยจะแบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งคนที่จิ้มซอสก่อนแล้วกิน กับฝั่งคนที่ราดซอสลงไปให้ทั่วเลยแล้วค่อยกิน

* บัตรเครดิตนิติบุคคล คือบัตรเครดิตที่บริษัทออกให้กับพนักงาน โดยบัตรนี้ไม่สามารถใช้ส่วนตัวได้ตามใจชอบ ต้องใช้ภายในขอบเขตที่ได้รับการอนุมัติเท่านั้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในสำนักงาน ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าสวัสดิการ และค่าใช้จ่ายสาธารณะอื่นๆ เป็นต้น

* ดีดหมากล้อม คือบอร์ดเกมรูปแบบหนึ่งซึ่งเล่นโดยการใช้นิ้วดีดลูกหมากล้อมให้ตัวหมากล้อมของฝ่ายตรงข้ามกระเด็นออกไปนอกกระดานหมาก

Chapter 2.2

 

ฮาวอนอีมองมาที่ผมก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงอู้อี้

“แผ่กลิ่นฟีโรโมนออกมาขนาดนั้น…ผู้ช่วยคิมมัวทนยืนอยู่เฉยๆ แบบนั้นได้ยังไงกันครับ ถึงการอดทนอยู่เฉยๆ ได้มันจะสุดยอดมากก็เถอะ แต่ว่า…”

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกอัลฟ่าและโอเมก้าที่ผมไม่รู้จัก ผมแยกพนักงานส่งอาหารคนนั้นไม่ออกว่าเขาเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพยายามจะยั่วโมโหผมหรือพยายามจะยั่วยวนผมกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนเขากำลังพยายามยั่วยวนผม…

ผมก้มมองฮาวอนอี ใบหูและใบหน้างดงามถูกย้อมไปด้วยสีแดงปลั่ง บางทีพนักงานนั่นอาจจะแค่อยากชวนทะเลาะเพราะเห็นว่าผมดูเหมือนจะเป็นแฟนของฮาวอนอีก็เป็นได้ ซึ่งความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นดูจะสูงกว่าแบบแรกที่ผมคิดเสียอีก เพราะเมื่อกี้เขายังถามอยู่เลยว่าผมเป็นอัลฟ่าหรือเปล่า

ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เขาดูยังไงว่าผมเป็นอัลฟ่า โอเมก้า หรือเบต้า ไหนจะเหตุผลที่ชวนทะเลาะนั่นอีก ผมไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ

ผมจะเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้าแล้วมันทำไม คนเราก็เกิดมาหน้าตาเหมือนคนกันหมดไม่ใช่หรือไงกัน

“คุณวอนอีครับ ผมดูเหมือนอัลฟ่าขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

ฮาวอนอีที่เดินนำหน้าอยู่หันขวับกลับมาทันทีเหมือนโมโห

“มั่นหน้าเกินไปแล้วครับ คุณน่ะเหมือนเบต้าสุดๆ ไปเลยต่างหาก!”

เรื่องนั้นมันก็จริง แต่ฟังแล้วรู้สึกไม่ยุติธรรมชะมัดเลยแฮะ ฟังดูเหมือนคำด่ายังไงไม่รู้

ถ้าถามว่าคิมจูฮยอกเป็นคนหน้าตาแบบไหนน่ะเหรอครับ ก็คงตอบได้แค่ว่าหน้าตาเหมือนคิมจูฮยอกไงล่ะครับ หน้าตาเหมือนคิมจูฮยอกน่ะ…

“ถ้าจะมาอวดเบ่งว่าตัวเองหล่อแล้วมีพลังอัลฟ่าเหลือล้นล่ะก็ ไม่มีโอเมก้าคนไหนชอบคนแบบนั้นหรอกนะครับ”

ผมก็ไม่เคยพูดแบบนั้นสักหน่อย

ฮาวอนอีที่จ้องเขม็งมาที่ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนหันกลับไปราวกับไม่พอใจ

“แต่ผมเป็นเบต้านะครับ”

“ตอนนี้มันใช่เวลามาล้อเล่นเหรอครับ ผู้ช่วยคิมนี่แปลกคนชะมัด…จริงๆ เลย ให้ตายสิ…”

ฮาวอนอีที่หลุดหัวเราะออกมาแหงนหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าที่ราวกับจะบอกว่ากลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น สรุปแล้วปัญหามันเริ่มจากตรงไหนกันแน่นะ ทำไมผม…เดี๋ยวนะ นี่อะไรเนี่ย…

ฮาวอนอีใช้ปลายนิ้วเชยคางผม

“ช่างเถอะครับ ว่าแต่คุณไม่สนใจไปซื้อกาแฟด้วยกันกับผมหน่อยเหรอครับ”

ผมจำใจต้องพยักหน้าเพราะไม่สามารถปฏิเสธออกไปได้ เส้นผมที่หยักศกน้อยๆ ของฮาวอนอีปลิวไสวไปกับสายลม

ปลายนิ้วของฮาวอนอีที่เดินผ่านไปนั้นสัมผัสไล้ปลายคางของผม ฝีเท้าของเขาดูสบายใจ ผมไล่สายตามองภาพด้านหลังของเขาก่อนขยับเท้าก้าวเดินตาม

ทำไมต้องใช้นิ้วมาสัมผัสคนอื่นตอนเดินผ่านไปด้วยนะ แปลกคน…

 

ในร้านกาแฟเต็มไปด้วยเหล่าพนักงานออฟฟิศที่โหยหากาเฟอีน แน่นอนว่าทุกคนคงกำลังคิดอยู่ว่าจะผ่านวันนี้ที่เหลืออยู่ไปได้อย่างไร

ฮาวอนอีคว้าแขนเสื้อของผมไว้แล้วเดินนำหน้า เขาใช้ร่างเล็กๆ เดินเลี่ยงผู้คนที่ยืนออกันอยู่เหมือนฝูงเพนกวินไปทางนู้นทีทางนี้ที ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเดินเลี่ยงผู้คนได้เพราะคล่องแคล่วว่องไวหรือเปล่า แต่ผมกลับเดินชนแทบจะทุกคนที่เดินผ่านราวกับกำลังทักทายผู้คนอยู่

“ขอโทษครับ อ๊ะ ขอโทษนะครับ ขอทางที…ขอทางหน่อยครับ ขอโทษด้วยครับ…”

กว่าจะเดินมาถึงเคาน์เตอร์ ผมก็กลายเป็นเครื่องพูดคำขอโทษอัตโนมัติไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองสามารถพูดขอโทษได้แม้แต่กับพนักงาน

ฮาวอนอีจิ้มสีข้างของผมจึกๆ

“อยากดื่มอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

“ถ้างั้นผมขอเป็นอเมริกาโนแล้วกันครับ”

ห้ามปฏิเสธเวลามีคนบอกว่าจะเลี้ยง มันคือกฎเหล็กในการเข้าสังคมกับคนอื่นของผม ห้ามปฏิเสธตอนที่คนอื่นอาสาเลี้ยงและห้ามหลบเลี่ยงเวลาที่จะต้องตอบแทนอะไรใครเด็ดขาด ขอแค่รักษากฎนี้เอาไว้ได้ ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเป็นกอง แน่นอนว่าผมสั่งเมนูที่ราคาถูกที่สุดไป เพราะมันคือคุณธรรมประจำใจในแบบของผม

หลังจากสั่งอเมริกาโนไปสามแก้วเสร็จแล้ว ฮาวอนอีก็หันกลับมาลอบสังเกตผม หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณในการบอกให้ผมเป็นคนจ่าย? บางทีบรรดาพวกโอเมก้าด้วยกันอาจจะมีวัฒนธรรมที่ว่านี่ก็ได้ แม้ปากบอกว่าจะจ่ายค่ากาแฟให้ แต่ความจริงแล้วจะปล่อยให้โอเมก้าจ่ายเงินเองไม่ได้เด็ดขาด ปกติแล้วเวลาดูในละคร พวกอัลฟ่าก็มักจะเป็นฝ่ายจ่ายค่ากาแฟเสมอ ถึงผมจะไม่ใช่อัลฟ่าและไม่ได้เป็นโอเมก้าก็เถอะ

อีกอย่างผมเองก็มีตำแหน่งสูงกว่าเขา เพราะแบบนั้นครั้งนี้ผมควรจะต้องเป็นคนจ่ายให้หรือเปล่านะ ดูท่าผมคงจะต้องจ่ายให้จริงๆ สินะ

ในขณะที่ผมกำลังควานหากระเป๋าเงินอยู่นั้น ฮาวอนอีก็เปิดปากพูดขึ้น

“ขอคุกกี้แอนด์ครีมแฟรปปูชิโน เพิ่มจาวาชิป แล้วก็ช่วยท็อปวิปปิ้งครีมไว้ข้างบนด้วยนะครับ โอ๊ะ แล้วก็…”

ออเดอร์ของฮาวอนอีใช้เวลาประมาณครึ่งนาทีได้กว่าจะเสร็จ มันคงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะรู้สึกรำคาญหากสั่งอะไรยาวๆ แต่พนักงานกลับกำลังยิ้มกว้างอย่างยินดี

“ดูจากที่สั่งเมนูหวานๆ แล้ว สงสัยคุณคงเป็นโอเมก้าสินะครับ รอยยิ้มคุณสวยมากเลย เดี๋ยวผมลดให้พันวอนนะครับ สนใจรับกลับบ้านไปพร้อมเบอร์โทรศัพท์ผมไหมครับ”

ฮาวอนอีขมวดคิ้วยุ่งทันควัน พอเห็นมือที่ถือบัตรเครดิตอยู่ชะงักนิ่งไป ผมจึงรีบดันเขาออกแล้วยื่นบัตรของตัวเองออกไปแทน เพราะว่ากันตามตรงแล้วผมเองก็เป็นถึงระดับผู้ช่วย จะปล่อยให้เขาเลี้ยงก็กระไรอยู่

“รับกลับครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”

“เอ่อ…”

พนักงานพลันหน้าแข็งทื่อไป ก่อนจะเบนสายตาไปทางฮาวอนอี

“มีแฟนอยู่แล้วนี่เองสินะครับ?”

จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าแขนขวาถูกคนด้านข้างกระชากไปเกาะ พอก้มลงมองข้างตัวผมก็เห็นฮาวอนอีที่ควงแขนผมอยู่กำลังคลี่ยิ้มหวานอย่างสดใส

“ยอดทั้งหมดหนึ่งหมื่นหนึ่งพันวอนครับ…”

ฮาวอนอีดึงแขนผมให้เข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด คงเพราะกลัวว่าผมจะดึงแขนออก ซึ่งมันทำให้ท่าทางของเราตอนนี้ดูชวนเข้าใจผิดเอามากๆ ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกเหมือนว่าขืนผมขยับตัวออกห่างล่ะก็ มีหวังได้โดนศอกของฮาวอนอีกระแทกเข้าสีข้างแน่

“เดี๋ยวเตรียมเครื่องดื่มเสร็จแล้วจะเสิร์ฟให้ทางด้านนี้นะครับ คิวที่หนึ่งสองหนึ่งนะครับ คนต่อไปเชิญครับ”

ดูเหมือนพนักงานตรงหน้าจะดูหงอยอยู่หน่อยๆ พอเดินพ้นออกมาจากแถวฮาวอนอีก็ปล่อยแขนผมก่อนจะเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง

“ขอโทษนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ถึงจะตกใจนิดหน่อย แต่พอเห็นเขาชอบใจที่ผมเลี้ยงถึงขั้นเกาะแขนหนึบแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้วล่ะที่จ่ายเงินไป

ในขณะเดียวกันผมก็นึกถึงน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในจังหวัดคยองกีขึ้นมา ยัยโจรรีดไถที่ชอบมาบีบนวดให้ผมแค่เวลาที่จะอ้อนขอให้ซื้ออะไรให้…ถ้าไม่ใช่ตอนที่ต้องการเงินค่าขนม ยัยนั่นก็จะหายหัวไปไม่ติดต่อมาเลย เลี้ยงมาผิดชัดๆ

“บางทีผมก็มักจะเจอคนแบบนี้แหละครับ ชอบหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดี แต่แท้จริงแล้วก็แค่กำลังดูถูกโอเมก้าอยู่ พอเห็นใครซื้อของหวานๆ เข้าหน่อยก็ตีตกว่าเป็นโอเมก้าไปซะหมด…ผมน่ะเหม็นขี้หน้าคนที่เข้ามาจีบผมเพียงเพราะเห็นแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกของผมที่สุดเลยล่ะครับ”

ฮาวอนอีทำแก้มป่องพลางทำปากยื่น เขาดูเด็กมาก ดูเหมือนนักศึกษามากกว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศซะอีก พอผมมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีใครบางคนกำลังแอบเหลือบมองมาทางพวกเรา ฮาวอนอีโดนจ้องอีกแล้ว จะว่าสวยก็สวยจริงๆ นั่นแหละนะ

“แต่ผมเพิ่งเคยเจอครั้งแรกเลยนะครับ คนที่ถูกพนักงานขอเบอร์ในร้านกาแฟเนี่ย เสน่ห์แรกพบของคุณวอนอีนี่ใช่เล่นเลยนะครับเนี่ย”

ผมพูดไปอย่างอ้อมๆ เพราะเขาไม่น่าจะชอบคำว่าสวยสักเท่าไหร่

‘สนใจรับกลับบ้านไปพร้อมเบอร์โทรศัพท์ผมไหมครับ’ เนี่ยนะ? ผมพนันได้เลยว่าหมอนั่นคงฝึกพูดวิธีขอเบอร์ทางอ้อมนี้อยู่ในใจตอนที่ฟังออเดอร์แน่ๆ น่าสงสารที่ฮาวอนอีไม่แม้แต่จะแยแสตอบอะไรกลับไปเลยสักคำ นิสัยสมกับเป็นพนักงานฮาจริงๆ

พอผมหันไปมองหน้าเขาแล้วหัวเราะ ฮาวอนอีก็เบือนหน้าหนีทันที เรียวนิ้วของเขาที่ขยับยุกยิกอยู่นั้นหลุดเข้ามาในสายตาผม

จู่ๆ ระหว่างเราก็เงียบลงไร้คำพูดใดอีกครั้ง ผมรู้สึกประหม่าทำตัวไม่ถูกจึงทำเป็นเปิดโทรศัพท์มือถือดู แน่นอนว่ายังไม่มีการติดต่อใดๆ จากใครหน้าไหนเลย นี่ผมคงถูกเพื่อนแบนแน่ๆ ผมกดเข้าไปในหน้าแชตแล้วกดออกซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นเป็นสิบรอบ

“คุณลูกค้าคิวหนึ่งสองหนึ่งค่ะ!”

“ของเราได้แล้วครับ”

ผมเดินไปยังเคาน์เตอร์พร้อมกับรอยยิ้มโดยที่มีฮาวอนอีวิ่งตามหลังมา

“ขอบคุณค่ะ”

พนักงานสาวที่สวมหมวกเบเรต์สีน้ำตาลแดงดันถาดมาทางพวกเรา การปล่อยผมยาวเอาไว้ด้านข้างนั้นทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้…

“ทรงผมคุณเหมือนยูซอลฮีเลยนะครับ นางเอกละครน่ะครับ”

และเพื่อนของผมก็เป็นพระเอกละครเรื่องนั้นด้วยครับ ผมหลุดขำออกมาเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ของวงการบันเทิงเอาไว้อย่างบอกไม่ถูก

เพื่อนผมเป็นนักแสดงนำในละครเรื่องนั้นด้วยนะครับ! เมื่อวานไอ้เวรนั่นดื่มเหล้าแล้วมานอนค้างบ้านผมด้วยล่ะ! ผมมีเพื่อนเป็นดาราเลยนะครับ!

ผมนึกถึงแม่ขึ้นมาเลย สมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถม แม่มักจะเอารางวัลการแข่งคณิตศาสตร์ที่ผมได้รับมาไปอวดในที่ทำงาน และตอนนี้ผมก็กำลังเป็นแบบนั้นเป๊ะเลย ทั้งที่ผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับปลาบปลื้มใจสุดๆ กับหมอนั่น

พนักงานสาวมองดูใบเสร็จบนถาดแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมซ้ำไปซ้ำมา ในระหว่างนั้นผมก็หยิบหลอดมาเรียบร้อยอย่างรู้งาน

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าขอทราบเบอร์ออเดอร์หน่อยได้ไหมคะ…”

พนักงานสาวกระซิบเสียงเบามากจนผมแทบไม่ได้ยิน

“คิวเบอร์หนึ่งสองหนึ่งถูกแล้วนะครับ อเมริกาโนสามแก้วกับแฟรปปูชิโน ขอบคุณครับ ลาก่อนนะครับ”

ผมหัวเราะออกมาทั้งที่ถือกาแฟอยู่ ซอลกีโดนี่เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ถ้าตอนนี้หมอนั่นยังอยู่ที่บ้าน ผมก็อยากจะย่างหมูสามชั้นให้สักหน่อย ไอ้เด็กเวรในวันนั้นในที่สุดก็ประสบความสำเร็จแล้วแฮะ แถมดูท่าจะเป็นสไตล์แฟนหนุ่มที่กำลังเป็นที่นิยมด้วย!

พอผมเดินออกมาจากร้านกาแฟ ฮาวอนอีก็จับแขนเสื้อผมเอาไว้

“คุณจงใจทำแบบนั้นเหรอครับ”

คิ้วที่เรียงตัวสวยเป็นระเบียบเรียบร้อยยกขึ้นข้างหนึ่ง

“หมายถึงอะไรเหรอครับ”

ฮาวอนอีอ้าปากหวอน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะแปลกๆ ออกมา

“ช่างมันเถอะครับ”

“รีบไปกันดีกว่า ใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้วครับ”

ผมเดินไปส่งฮาวอนอีที่แผนกการเงินชั้นหนึ่ง ก่อนจะหยิบอเมริกาโนมาหนึ่งแก้วแล้วส่งที่เหลือทั้งหมดไปให้เขา ทว่าฮาวอนอีกลับส่ายหัวแล้วส่งคืนมาให้ผม ปลายนิ้วที่สัมผัสโดนกันนั้นเย็นเฉียบมาก

“อีกแก้วนึงผมสั่งให้ผู้ช่วยคังครับ ผู้ช่วยคิมเอาขึ้นไปเถอะครับ”

ฮาวอนอีกัดหลอดดูดอเมริกาโนเล่น ก่อนจะหยิบแก้วแฟรปปูชิโนขึ้นมา

“อเมริกาโนนั่นไม่ใช่ของคุณอิมหรอกเหรอครับ”

“เปล่าครับ ของคุณฮันนาคือแก้วนี้ต่างหากล่ะครับ”

“อ้า…”

ผมดูดอเมริกาโนลงคอ มันทั้งสดชื่นและมีรสขมติดปลายลิ้นนิดหน่อย ฮาวอนอีมองผมก่อนจะหัวเราะออกมา

“กลับเข้าไปทำงานเถอะครับ”

ผมผงกหัวบอกลาแล้วขึ้นลิฟต์ไป ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองสนิทกับฮาวอนอีมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ แต่อย่างน้อยขอแค่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นก็ดีแล้วแหละนะ

ทว่าลิฟต์กลับหยุดลงที่ชั้นสอง ถ้ารู้แบบนี้สู้ผมเดินขึ้นไปเองน่าจะดีกว่า ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากด้านนอก ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย

“เตรียมพรีเซนต์ให้ดี แล้วเจอกันตอนบ่ายสามนะครับ ทุกคนกลับไปทำงานได้ครับ”

มือที่กำกาแฟเอาไว้พลันเย็นเยียบ ชายหนุ่มที่สบตากับผมหรี่ตาลงพลางหัวเราะเบาๆ

“ทานข้าวอร่อยไหมครับ”

ผู้จัดการอีไงจะใครล่ะ

ผมปิดปากเงียบจนถึงชั้นสาม พอได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ ของลิฟต์ผมก็รีบเอาตัวออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

“ขอตัวนะครับ”

ผมเดินพุ่งตัวไปข้างหน้า ทว่าผู้จัดการอีเองก็พุ่งตามอยู่ข้างๆ ผมเช่นกัน

“วันนี้หลังเลิกงานคุณทำอะไรเหรอครับ”

“ครับ?”

“ไปทานดินเนอร์กับผมไหมครับ”

“เอ่อ…”

ผมหยุดฝีเท้าลงทันควัน ขณะที่ผู้จัดการอีเดินมาขวางอยู่ด้านหน้า

“จากนั้นก็ไปดื่มเหล้าด้วยกันสักหน่อย”

“พอดีผมมีนัดแล้วครับ”

“ผมถามได้ไหมครับว่ากับใคร”

ต้องปั้นเรื่องมันซะตั้งแต่ตอนนี้ อีกเดี๋ยวผมจะมีนัดกับใครดีนะ และแล้วผมก็นึกถึงเจ้าซอลกีโดขึ้นมาได้ ถ้าเป็นหมอนั่นก็ถือว่าเป็นไม้กันหมาที่เข้าท่า

ผู้จัดการอียิ้มพราวเสน่ห์โดยไม่ได้รู้ถึงความรู้สึกผมเลยสักนิด ผมดูดอเมริกาโนเข้าไปอึกใหญ่อย่างจนใจ นี่มันแทบไม่ต่างอะไรจากการชวนเดตเลยสักนิด

ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไหร่ อัลฟ่าเขาไม่ได้คบกับโอเมก้ากันหรอกเหรอ ปกติแล้วพวกเบต้ามักจะคบแต่กับเบต้าด้วยกัน พ่อแม่ของผมก็เป็นแบบนั้น ปู่ย่าตายายของผมเองก็เช่นกัน แม้แต่คู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันที่อยู่ข้างบ้านผมก็ยังเป็นเบต้าทั้งคู่เลย

ผมไม่เคยนึกอยากก้าวเท้าเข้าสู่โลกที่แสนวุ่นวายของโอเมก้ากับอัลฟ่าเลยแม้แต่น้อย ในฐานะเบต้าผมชอบชีวิตแสนธรรมดาที่ได้อยู่ร่วมกันกับเหล่าเบต้ามากกว่า สำหรับผมแล้วผู้จัดการอีที่ทำท่าทีแพรวพราวใส่ผมนั้นไม่ต่างอะไรจากผู้เฝ้าประตูแห่งแม่น้ำจอร์แดนเลยสักนิด

ผมอยากมีชีวิตเรียบง่าย อีกอย่างการเดตกับเจ้านายที่เป็นผู้ชายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ผมจะสามารถยอมรับได้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีความคิดที่จะมีความรักในสังคมเส็งเคร็งนี้เลยแม้แต่น้อย โลกอันแสนสกปรกที่มีแต่อัลฟ่ากับโอเมก้าไล่จับคู่กันจนน่าเบื่อหน่าย

“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะผมนัดเพื่อนสมัยมหา’ลัยไว้น่ะครับ”

“คงจะมีนัดแค่วันนี้สินะครับ แล้วต่อจากนี้จะมีนัดแบบนี้ทุกวันหรือเปล่า หรือความจริงแล้วคุณมีแผนว่าจะมีนัดทุกครั้งที่ผมเอ่ยปากชวน?”

ผู้จัดการอียกมุมปากยิ้มอย่างรู้ทันจนเผยให้เห็นลักยิ้ม ผมจึงเปิดปากพูดโดยไม่ละสายตาไปจากลักยิ้มนั้น

“ในอนาคตต่อจากนี้ผมก็ไม่มีความคิดจะข้องเกี่ยวอะไรกับผู้จัดการอีเป็นการส่วนตัวครับ แม้ว่าผมจะเคยบอกไปแล้ว แต่ผมก็อยากจะบอกอีกครั้งว่าผมไม่คิดที่จะมีแฟนครับ”

ผู้จัดการอีเดินก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าวอย่างระวังท่าที เงาของเขาทาบทับลงบนใบหน้าของผม ผมรู้สึกหวั่นใจหน่อยๆ จึงก้าวถอยไปข้างหลัง เขานี่สมกับเป็นอัลฟ่าจริงๆ ทั้งตัวสูง แถมยังหล่ออีกต่างหาก

“ผมก็ไม่ได้ขอคุณเป็นแฟนนี่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะมาหาผมบ่อยๆ ทำไมล่ะครับ”

“เมื่อกี้เราเจอกันโดยบังเอิญต่างหาก”

“แต่นั่นมัน…”

“ไหนคุณบอกว่าจะไม่มีแฟนไง ถ้างั้นก็อย่าคบกับใครเลยนะครับ ผมสัญญาเลยว่าจะไม่รบกวนคุณคิมจูฮยอกจริงๆ”

“รู้ใช่ไหมครับว่านั่นเป็นคำพูดที่แปลกมากน่ะครับ”

ผมดูดอเมริกาโนในมืออีกครั้ง คอแห้งชะมัด

“ลองให้โอกาสผมเป็นเพื่อนคุณหน่อยเป็นไงครับ ถ้าคุณไม่อยากมีแฟน อย่างนั้นเราคบกันแบบเพื่อนก็ได้นี่”

“นั่นน่ะโคตรไม่ชอบมาพากลเลยครับ…”

ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อหยดหนึ่งไหลกลิ้งลงมาตามหลัง ไม่รู้ว่าผู้จัดการอีตัดสินใจมาแล้วหรือเปล่าถึงได้ไม่แม้แต่จะยอมหลีกทางให้ผมเลยสักนิด พอนึกถึงละครที่ดูมาจนถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นโอเมก้าเลยแฮะ

เหมือนได้กลายเป็นโอเมก้าที่โดนอัลฟ่ารุกเร้า เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ปกติแล้วพวกตัวละครเอกเขาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบยังไงกันนะ…

จำไม่ได้แล้วแฮะ ความจริงแล้วนอกจากฉากที่ซอลกีโดโผล่มาผมก็แทบจะไม่ได้ตั้งใจดูอะไรอีกเลย ทั้งชีวิตนี้ผมได้ดูละครแบบจริงๆ จังๆ แค่ตอนเรียนมหา’ลัยเท่านั้น เพราะช่วงนั้นพ่อกับแม่ติดละครกันงอมแงม ผมเลยมีโอกาสได้ดูบ้างเป็นครั้งคราวเวลาพ่อกับแม่ส่งเสียงดังตอนดูทีวี

น้องสาวกับผมมักจะนอนดูบอลบนโซฟาและเล่นเกมลงโทษด้วยกันเวลาดูบอลแล้วไม่สนุก ยัยนั่นมักจะกระชากผมของผมแล้วบอกว่าตัวเองชนะทั้งๆ ที่ตัวเองฟาวล์ ยัยน้องสาวคนนี้นี่มันจริงๆ เลย…ว่าแต่ทำไมช่วงนี้ไม่ทักมาเลยนะ นี่น่าจะถึงช่วงค่าขนมหมดแล้วนี่นา…

เดี๋ยวคงต้องส่งข้อความไปหาซะหน่อยแล้วสิ ตอนนี้จะสบายดีหรือเปล่านะ คงไม่ใช่ว่ามีแฟนไปแล้วหรอกนะ

ผมแกะฝาครอบแก้วอเมริกาโนออกอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดยังไง ช่วงนี้ยัยคิมจูยองน้องสาวตัวดีก็น่าสงสัย ทำไมถึงได้ไม่ขอค่าขนมกันนะ ไม่มีทางที่แม่จะให้ค่าขนมยัยนั่นจนพอใช้หรอกน่า…

“คุณคิมจูฮยอก ชีวิตคุณมีปัญหาที่ต้องคิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“อ่า ครับ…”

จริงสิ ผู้จัดการอี

“ขอโทษนะครับที่รั้งคุณไว้ ทั้งๆ ที่คุณกำลังยุ่งอยู่แท้ๆ ยังไงก็ลองคิดดูอีกครั้งเถอะนะครับ เรื่องที่จะไปกินข้าวเย็นกับผมวันนี้น่ะ เพราะถ้าคุณตอบตกลง ผมจะพาไปร้านอาหารที่อร่อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ”

ผู้จัดการอีตบบ่าผมปุๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังลิฟต์ ผมยกอเมริกาโนที่เหลืออยู่กระดกรวดเดียวจนหมด บางทีถ้าตามผู้จัดการอีไปผมอาจจะได้กินอาหารหรูสุดแพงก็เป็นได้ จิตสำนึกตามระบบทุนนิยมในตัวผมกำลังสั่นไหว ไม่ได้สิ…ท่องเอาไว้ ชีวิตอันแสนสงบสุข…ชีวิตอันแสนสงบสุข…

ผมกลับไปยังที่ของตัวเองแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พลางคิดว่าก่อนทำงานคงต้องส่งข้อความไปหายัยน้องสาวซะหน่อยแล้ว

 

ไม่ต้องการค่าขนมหรือไง

 

ทันทีที่กดรีเฟรชระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ ระบบเมสเซนเจอร์ก็กะพริบขึ้น ยัยนั่นไม่เรียนหนังสือหรือไงนะ ทำไมถึงได้ตอบเร็วทันทีแบบนี้

 

โอนมาสิ

เอาแต่เล่นมือถือหรือไง ทำไมถึงได้ตอบเร็วขนาดนี้น่ะฮะ

ก็ตอบแล้วนี่ไง ยังจะกวนอีก

ไม่ต้องเอามันแล้วนะ ค่าขนมอะ

มั่ยต่องอาวมัลแร้วนร๊ะ ค่าขณมอร่ะ

ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นโทรมาขอค่าขนมเลย

ก็เงินแต๊ะเอียยังเหลืออยู่ไง

แล้วสรุปจะเอาค่าขนมไหม

เอา

 

แค่เช็กว่ายังอยู่ดีก็พอแล้ว ไว้โอนไปให้สักแสนวอนแล้วกัน

 

ปัญหามักจะถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึง สัญญาณขอความช่วยเหลือถูกส่งมาจากแผนกให้คำปรึกษาลูกค้าที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามา เนื่องจากลูกค้ามีการขอทำธุรกรรมเรียกร้องขอเงินค่าบริการในการให้คำปรึกษาหารือคืนเป็นเงินก้อนใหญ่ เห็นบอกว่าถึงพนักงานให้คำปรึกษาจะพยายามปลอบใจและเกลี้ยกล่อมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของทางฝ่ายนั้นแล้ว แต่สุดท้ายก็เกิดการกระทบกระทั่งกันอยู่ดี สุดท้ายแล้วทั้งคู่ด่ากันวุ่นวายจนต้องติดต่อมาที่สำนักงานใหญ่

ไม่รู้ว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่มากหรือเปล่า หัวหน้าแผนกซอถึงได้วิ่งหน้าตั้งลงมาถึงชั้นสาม พอหัวหน้าแผนกซอมาปรากฏตัวเท่านั้นแหละ เหล่าพนักงานทุกคนต่างก็ยื่นหัวออกมาจากพาร์ทิชั่นกันหมด จนหัวหน้าอีต้องสั่งพวกเมียร์แคตคอยื่นคอยาวทั้งหลายที่เกลียดการทำงานให้สงบลง

“ทุกคนกลับไปทำงานของตัวเองเถอะครับ ปัญหานี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”

หัวหน้าแผนกซอคว้าข้อมือของหัวหน้าอีเอาไว้ทันควัน

“นายไหวแน่นะ?”

งานนี้ต่อให้ไม่ไหวยังไงก็ต้องไหว บริษัทจ่ายเงินเดือนมาก็เพื่อให้เราแก้ไขปัญหาถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนี่นา

หัวหน้าอีสะบัดมือหัวหน้าแผนกซอออก

“อย่ามาทำเป็นรู้จักผมตอนนี้เลยครับ”

เรื่องนั้นดูท่าจะยากหน่อยแฮะ ถ้าเจ้านายเมินเฉยต่อลูกน้อง งานมันก็ไม่เดินน่ะสิ

ความจริงแล้วผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของหัวหน้าอีดี ผมคิดว่าปัญหาของเขาสองคนมันเริ่มมาจากการนอกใจของหัวหน้าแผนกซอ อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะเป็นการแต่งงานทางผลประโยชน์ แต่การนอกใจก็คือการนอกใจอยู่วันยังค่ำ

ถ้าจะให้สรุปเรื่องราวของปัญหาที่เกิดขึ้นคร่าวๆ มันเป็นอย่างที่กล่าวมา เมื่อวานนี้ทั้งคู่แยกกันออกไปเจอกันเพื่อเดต แต่เหมือนจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง หัวหน้าอีก็เลยปลีกตัวจากตรงนั้นไป ส่วนหัวหน้าแผนกซอที่ทนรอไม่ไหวในระหว่างนั้นก็ดันไปสานความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกับโอเมก้าที่ไปเจอกันกลางถนน เวลานี้หัวหน้าแผนกซอคือไอ้อัลฟ่าสวะคนหนึ่งที่ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้เลย ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องอาการรัตหรืออะไรพรรค์นั้นมากนัก แต่ไม่ว่ายังไงการนอกใจก็คือการนอกใจอยู่ดี

และการได้ดูหนังสดอะไรแบบนี้ในบริษัทมันก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าสุดๆ ทำไมผมถึงต้องมารับรู้ปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของสองคนนี้ด้วยวะเนี่ย

ผู้ช่วยคังเหลือบมองมาทางผมก่อนจะส่งข้อความมา

 

หัวหน้าอีจะโกรธไปอีกกี่วันอะ

จนกว่าจะหย่า

แต่หัวหน้าอีชอบหัวหน้าแผนกซอมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ

จากที่ดูฉันว่าน่าจะหายโกรธหลังจากนี้แหละ

 

ในระหว่างนั้นหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอก็เริ่มทะเลาะกันใหญ่โต พอหัวหน้าแผนกซอบอกว่างานนี้ต้องไปทำงานนอกสถานที่ ฝ่ายหัวหน้าอีก็ตอบกลับไปว่านายเป็นคนนอก เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาทะเลาะกันถึงขั้นที่ทนไม่ไหวจนชวนกันลงไปทะเลาะกันที่บันได เรื่องแบบนี้ในบริษัทคนเป็นผู้จัดการสมควรจะต้องรู้เรื่องสิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการมันก็กำลังจีบผมอยู่นี่หว่า

คำตอบสุดท้ายจึงมีเพียงแค่การลาออกหนีไปเท่านั้น กัดฟันทนอีกแค่สามปี ผมแค่ต้องทนสภาพทุเรศนี้ไปอีกสามปีเท่านั้น

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: