X
    Categories: everYทดลองอ่านเบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1

ผู้เขียน : วั่งยา 

แปลโดย : คุณต่ง

ผลงานเรื่อง : 表面天下第一

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3

 

จงโจว พรรคไท่ซวี

ภูเขาหิมะอันโอฬารที่โอบล้อมจงโจวลูกนี้คือดินแดนที่ลึกลับที่สุด บรรพชนพรรคไท่ซวีใช้หนึ่งกระบี่กรีดตัดยอดเขาออก แล้วก่อตั้งพรรคเอาไว้ภายในแดนหิมะน้ำแข็งท่ามกลางหมู่ดาวล้อมดวงเดือน

หิมะตกหนักเป็นขนห่าน* เส้นขอบฟ้าขาวโพลนจนเกือบวิเวก ชัดแจ้งว่าอุณหภูมิเหน็บหนาวเสียดกระดูก แต่ในใจศิษย์พรรคไท่ซวีทุกคนล้วนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจดจ้องเงาร่างสีดำทองตรงหน้าเขม็ง สายตาร้อนแรงเสียจนเกือบจะเผาแผ่นหลังของจงจี่เป็นรูโหว่

ใช้หมากเป็นศาสตรา ฟังก็ไม่เคยฟังมาก่อน เห็นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน!

ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าหมากที่พุ่งยิงออกมาตอนจงจี่โบกแขนเสื้อยังอาบไปด้วยปราณกระบี่เข้มข้นข่มขวัญคน กระทั่งกรีดผ่าห้วงอากาศได้

ผู้ชมที่รายล้อมอยู่ห่างออกมาไกลยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศยะเยือกนั้น ต่างควบคุมลมหายใจตั้งสติให้มั่น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เหล่าผู้ฝึกกระบี่ต่างเข้าใจดีว่าต้องเร่งรีบตั้งสติให้ได้เพื่อสังเกตการณ์ปราณกระบี่ในช่วงเวลาที่หาได้ยากเช่นนี้

“ตั้งค่ายกล!”

เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาที่มู่เหยี่ยก้าวถอยหลัง จงจี่ที่ยืนอยู่ ณ ตรงนั้นก็ยกสองมือขึ้นมากลางอากาศ สิบนิ้วเคลื่อนขยับเป็นจังหวะ มือก็เริ่มจัดแจงวางหมากแต่ละเม็ดตามตำแหน่ง

ฌานวิเศษอันทรงพลังไหลทะลัก กักขังนักดาบเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

ชั่วพริบตานั้นหิมะที่ปลิวว่อนทั่วฟ้าคล้ายกับว่าได้หยุดโรยตัวลงมาที่ค่ายกลหมากล้อม ภาพกระดานหมากปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างเลือนรางด้วยปราณวิญญาณ อำนาจกดดันดั่งขุนเขาหนักอึ้งพลันทาบทับลงมาจนชะงักนิ่งแทบหายใจไม่ออก

นี่คือ…ขั้นศักดิ์สิทธิ์

นักดาบยกดาบยาวขึ้นขณะยืนอยู่กลางลมหิมะ เงาร่างพลิกผันไม่มั่นคง ดวงตาสีดำขลับของเขาลึกล้ำไร้แสงราวกับหินโมราสีดำ

ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์และขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกันเพียงครึ่งคำ แต่ระยะห่างของมันกลับประหนึ่งฟ้ากับดิน

มู่เหยี่ยจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้มากมาย

ยามที่พวกเขาร่างสัญญาห้าปีในคราแรก จงจี่อยู่ในขั้นเก้าห้าดาวเท่านั้น ถึงจะเป็นเพราะระดับชั้นไม่ปรากฏ ทำให้คนมองความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่ออก แต่มู่เหยี่ยกลับกล้าพูดเลยว่าตนเองนำอีกฝ่ายอยู่ไม่กี่ขั้นเล็กๆ

หลังจากรอจนออกมาจากการกักตนในอีกห้าปีให้หลัง เขาทะลวงสู่ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางสายตาเปี่ยมความหวังของทุกคนที่พรรคอู๋จี๋ เข้าสู่สถานะไร้คู่ปรับโดยพลัน รายนามบนทำเนียบเสวียนจีสับเปลี่ยนพึ่บพั่บ ยามเดินเท้าก็ไม่ติดพื้น

หากว่ากันด้วยอายุของมู่เหยี่ยล่ะก็ ความสำเร็จเช่นนี้ย่อมได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในรอบหลายพันปีแล้ว แม้แต่อาจารย์ของเขายังทอดถอนใจ หากไม่มีจงจี่ มู่เหยี่ยก็อาจไม่ได้ทะลวงขั้นรวดเร็วถึงเพียงนี้

เพราะมีเป้าหมายถึงได้ปลุกเร้าศักยภาพขึ้นมาได้

ยามนั้นมู่เหยี่ยยังมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าตนจะคว้าชัยมาไว้ในกำมือได้ และคิดว่าแค้นมหันต์ของตนจะได้รับการชำระ เพียงแค่คิดจิตใจก็ตื่นเต้นขึ้นมา

แต่ผลลัพธ์นั้นรอจนพบหน้าถึงได้รู้ เพียงเวลาแค่ห้าปีจงจี่ก็เหนือกว่าเขาอักโข ย่ำก้าวเข้าสู่ยอดฝีมือชั้นสูงสุดในใต้หล้า…อันดับขั้นศักดิ์สิทธิ์

รอจนยืนอยู่กลางค่ายกลหมากล้อมนี้ มู่เหยี่ยจึงได้ประสบความยากในการท้าประลองข้ามขั้นด้วยตนเอง

ทว่า…

ชัดแจ้งว่าสำหรับจงจี่แล้วการท้าประลองข้ามขั้นนั้นง่ายดายเหมือนดื่มน้ำกินข้าว แล้วเหตุใดมู่เหยี่ยถึงทำไม่ได้เล่า

ครานั้นยามที่จงจี่ยังอยู่แค่ขั้นหกก็ข้ามขั้นกดมู่เหยี่ยที่อยู่ในขั้นเจ็ดระดับต้นลงใต้ฝ่าเท้า ระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดก็อาจหาญไปต่อกรกับพี่ใหญ่ขั้นเก้า ถึงขนาดทำให้ล่าถอยไปได้ เรียกเสียงฮือฮาทั่วทั้งแผ่นดิน

มู่เหยี่ยยิ่งคิดในอกยิ่งลุกโชนไปด้วยความเดือดดาล ยากจะสงบลงได้

เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตนด้อยกว่าจงจี่ ไม่ว่าด้านใด

ทว่าทุกครั้งที่เขาเสียสติถือเอาอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ คนผู้นี้กลับสะบัดเขาออกไปไกลพันหมื่นหลี่ก่อนแล้ว ทำได้เพียงเงยหน้ามองอีกฝ่ายจากที่ห่างไกล คล้ายกับว่าสรรพสิ่งล้วนไม่อยู่ในดวงตาสีทองเฉยเมยคู่นั้น

“หึ…อยากให้ข้ายอมแพ้ จะเป็นไปได้อย่างไร”

นักดาบยืนอยู่กลางลมหิมะที่ปกคลุมไปทั่วผืนดินและพึมพำกับตนเอง

กลับเป็นจงจี่ที่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

เขาสัมผัสได้ว่ามู่เหยี่ยดูเหมือนจะคว้าโอกาสบางอย่างและเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้

หลังจากเสร็จศึกนี้ไป เกรงว่าแผ่นดินเสวียนซวีจะมีขั้นศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว

พูดแล้วก็กระดากอายอยู่เล็กน้อย เพราะ ‘อิสระ’ เป็นนิยายออนไลน์เรื่องแรกที่จงจี่เขียน ก็เลยเผลอเขียนนิ้วทองคำของตัวประกอบเอาไว้มากไปหน่อย (เกาหัว)

มารดามันเถอะ ก็ไม่แปลกใจที่สุดท้ายแล้ว ‘อิสระ’ ล้วนไม่เป็นที่รู้จัก ถึงอย่างไรนักอ่านที่มาอ่านก็คงไม่ได้มาเพราะอยากเห็นเรื่องราวการดิ้นรนเอาตัวรอดตั้งแต่ต้นจนจบของตัวประกอบที่น่ารำคาญตัวหนึ่ง

เพราะนักอ่านชอบที่จะเห็นพระเอกจัดการตัวประกอบ ตบหน้าเพียะๆๆ แล้วเลื่อนขั้น

และก็เป็นเวลานี้พอดีที่ประกายดาบพลันฉายวาบทั่วท้องฟ้าท่ามกลางลมหิมะเลือนราง ผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งผืน ขาวเสียจนเกือบเป็นสีเดียวกับหิมะ

หากคิดจะทลายค่ายกล จำเป็นต้องหาจุดเปราะบางที่สุดให้เจอ!

เป้าประสงค์ของนักดาบและมือกระบี่นั้นล้วนเหมือนกัน มี ‘หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นวิชา’ ย่อมต้องมี ‘หนึ่งดาบตัดสินชัย’

มู่เหยี่ยจำเป็นต้องออกดาบให้ได้ก็เท่านั้น

“ดี!”

แม้แต่จงจี่เองก็อดร้องว่าดีออกมาเสียไม่ได้

แค่ความหาญกล้านี้ก็เพียงพอให้เขาตอบรับการโจมตีตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจังที่สุด

หมากกระดูกคือศาสตราลับของจงจี่ เขาไม่เคยใช้มันต่อหน้าคนอื่นแม้แต่กระบวนท่าเดียว วันนี้มีคู่มือที่ทัดเทียมส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู ประจวบเหมาะที่จงจี่กำลังอยากทดสอบอานุภาพสักหน่อยพอดี

“เปลี่ยนค่ายกล!”

เพียงใช้ท่าเท้าแพรดำเลี่ยมทองคราหนึ่ง พลังวิญญาณมหาศาลก็พาร่างของจงจี่ให้ทะยานไป เขาย่ำสุญทะยานฟ้า ผมสีดำพลิ้วไหว เหยียบลงกลางอากาศว่างเปล่าแล้วเริ่มจัดการหมากกระดานของตนจากด้านบน

ขณะล่องลอยอยู่กลางอากาศ เขาเป็นดั่งราชันของที่แห่งนี้

หมากกระดูกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามความคิดของจงจี่ เม็ดหมากสีดำขาวหกๆ เหินๆ คล้ายจะก่อตัวขึ้นเป็นภาพพร่าเลือนหมื่นพันชนิด

หมากตาย

ไม่ว่าตัวหมากจะเปลี่ยนผันไปอย่างไร บทสรุปก็มีเพียงอย่างเดียว

นักดาบที่ในมือถือดาบยาวกัดฟัน โคจรพลังวิญญาณทั่วร่างให้กำซาบเข้าไปในดาบ ก่อนทะยานขึ้นฟ้าโดยอาศัยแรงลม ท่วงท่าดั่งดวงอาทิตย์ทรงกลด

ดาบสุดท้าย ทุ่มสุดตัว

ประจวบเหมาะพอดีที่ค่ายกลของจงจี่ก็จัดวางเสร็จเรียบร้อย

ยุทธวิธีของเขาในคราวนี้แปลกใหม่เกินไปแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นสุดยอดจอมเวทใส่เดี่ยวฉบับตะวันออกเลยทีเดียว การวางกลหมากนี้ขอแค่เข้าใจคณิตศาสตร์ระดับสูงสักหน่อยก็ได้แล้ว ทักษะยุทธ์เคล็ดวิชาอื่นใดล้วนไม่จำเป็น

ก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีชอบรังแกตัวละครทะลุมิติเข้ามาในนิยายเอง

ดังนั้นตอนนี้…เป็นช่วงเวลาที่การฝึกฝนจะออกดอกออกผลแล้ว

จงจี่หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าเผยแววเอาแต่ใจตน

“ฆ่า”

ริมฝีปากบางของเขาเอื้อนเอ่ยออกมาคำหนึ่ง ถ้อยวจีผะแผ่วทว่าสื่อนัยหนักอึ้งเกินพันชั่ง*

ปราณกระบี่พันหมื่นสายเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง หมากกระดูกในค่ายกลหมากกระดานพลันสูญสิ้นทุกสีสัน ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านเป็นคมกระบี่กรีดเฉือน วงโคจรผิดแผกมิอาจคาดเดา โอบล้อมเงาร่างสีเทากลางค่ายกลจนเลือนราง

วางหมากสะท้านลมหิมะ ค่ายกลผีสางสะอื้น

คล้ายกับว่าผ่านไปแล้วสามสิบปี ทว่าเป็นเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น

รอจนความขาวโพลนค่อยเลือนหายไป ประกายดาบถูกบดขยี้ เงากระบี่ถูกเก็บกลับคืน บนพื้นหิมะเหลือเพียงเงาร่างของนักดาบที่ทรุดกายคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างซวนเซ

ติ๋ง

โลหิตสีแดงสดหยดลงมาจากเส้นผมยุ่งเหยิงของนักดาบ แต่งแต้มพื้นดินสีขาวให้มีสีสันสดใหม่เป็นด่างดวง

ราวกับหนึ่งดาบสะท้านฟ้า หนึ่งดาบไพศาลที่มู่เหยี่ยภูมิใจที่สุดถูกหมากกระดูกสีดำขาวทำลายลงอย่างง่ายดาย

อีกทั้งจงจี่ยังไม่ได้ขยับกระบี่ของจริงเลยด้วย ในช่วงเวลาสุดท้ายเขายังลอบใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มตัวหมากซึ่งอาบด้วยปราณกระบี่ ยั้งมือเอาไว้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

มู่เหยี่ยเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดอาจารย์เขาถึงชี้แนะเขาอยู่เสมอว่าอย่าไปเปรียบเทียบกับจงจี่

เพราะว่า…

‘เจ้าดีไม่เท่าเขา’

ในตอนที่อาจารย์เอ่ยประโยคนี้ออกมามู่เหยี่ยรู้สึกไม่ยินยอมทั้งหัวใจ

แต่ในตอนที่คนผู้หนึ่งก้าวข้ามคนอีกผู้หนึ่งมากเกินไป ความริษยาอื่นใดก็ล้วนไม่มีอีกแล้ว

ความพ่ายแพ้ในกาลก่อนมู่เหยี่ยยังหาเหตุผลหมื่นพันมาได้ แต่สัญญาห้าปีนี้เขาเป็นคนร่างขึ้นมาเอง เหตุการณ์ก็ยังเป็นเขาที่มาท้าทายพรรคไท่ซวีก่อน กระทั่งจุดเริ่มต้นเขาก็เหนือกว่าจงจี่

แต่ผลลัพธ์ยังคงเป็นแบบเดิม

องอาจผึ่งผาย ไม่อาจหลบเลี่ยง มู่เหยี่ยเองก็ไม่ยอมให้ตนกลายผู้ที่แพ้ไม่เป็น

“ข้า…แพ้แล้ว”

แผ่นหลังที่มักเหยียดตรงอย่างทะนงของนักดาบในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา หางตาที่ยามปกติชี้ขึ้นด้วยแววกำเริบเสิบสานเองก็ตกลง ราวกับสุนัขฮัสกี้น่าสงสารตัวหนึ่ง

จงจี่ “…”

จิตใจสับสน

ในฐานะนักเขียน เขาย่อมไม่มีความรู้สึกรังเกียจสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา

เพียงแต่เจ้ามู่เหยี่ยคนนี้ บางทีก็น่ารำคาญมากจริงๆ

เดิมทีตอนที่จงจี่เพิ่งรู้ตัวว่าทะลุมิติเข้ามาในนิยายก็ได้วางแผนไว้ว่าจะบำเพ็ญเพียรสายพุทธ อย่างไรเสียการพัฒนาของโลกในอนาคต ความลับทุกอย่างล้วนอยู่ในมือเขา

เมื่อเป็นผู้แจ่มแจ้งในทุกสิ่ง ล่วงรู้อนาคตก็ยากจะบอกว่าชีวิตนี้ยังมีความหมายอะไร

หลังจากมู่เหยี่ยปรากฏตัว ในทุกๆ ครั้งก็จะเข้ามาเอ่ยวาจาหรือแสดงกิริยายั่วยุจงจี่อย่างไม่ลดละ ทำให้เขาหาทางลงจากเวทีไม่ได้* ต่อหน้าผู้คน

ตอนเขียนนิยายไม่รู้สึก พอมาประสบพบเจอด้วยตัวเองถึงได้รำคาญเป็นอย่างมาก

จงจี่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ถูกทำให้รำคาญเข้าหน่อยก็โมโหจนหอบของกองใหญ่จากในพรรคมาที่ผาฉางเซิง (อายุยืน) ของตนแล้วกักตนบำเพ็ญเพียร ควบคุมสติรู้ผิดรู้ชอบ ตื่นเช้ากว่าไก่ หลับช้ากว่าสุนัข ถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในวันนี้ จัดการกดมู่เหยี่ยแนบพื้น

แต่ว่าจงจี่ยังไม่เกลียดมู่เหยี่ย ถึงอย่างไรคนจากปลายปากกาตนก็เหมือนกับลูก ใครจะเกลียดลูกที่ตนเองเขียนออกมากับมือได้ลงคอกันล่ะ

ตรงกันข้าม ในฐานะที่เป็นผู้สร้างเขาย่อมเข้าใจจิตใจของมู่เหยี่ยเป็นอย่างดี

ลองคิดดูสิ มู่เหยี่ยราบรื่นไร้อุปสรรคมาทั้งชีวิต ทั้งยังคู่ควรกับคำว่าอัจฉริยะและเจ้ารองหมื่นปี

ใครจะอยากเป็นเจ้ารองหมื่นปีกันเล่า

จงจี่เป็นใคร เขาคือพระเอกนิยายแนวเลื่อนขั้น ใครมาสู้กับเขาก็ลงเอยไม่สวยกันทั้งนั้น พูดให้ดูโอ้อวดหน่อยก็คือบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์นี่เอง

มู่เหยี่ยนั้นโดดเด่นมากอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเจ้าตัวขี้โกงจงจี่ เขานั่นแหละเป็นต้นแบบอัจฉริยะของแผ่นดินเสวียนซวีในยามปกติ

ที่จริงมู่เหยี่ยไม่ใช่คนจิตใจไม่ดี กลับค่อนไปทางน่ารักอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำ

ในฐานะที่เป็นนักดาบผู้หนึ่ง เขาล้วนทำให้จงจี่ไม่มีความสุขอย่างองอาจผึ่งผาย ไม่เคยใช้ลูกไม้วางอุบายใดๆ กระทั่งในตอนที่คนอื่นเอ่ยวาจายั่วยุจงจี่ มู่เหยี่ยยังแบกดาบเดินมาหน้าประตู ก่อนซัดเหล่าผู้ดีมีความสามารถหน้าใหม่ของสำนักพรรคเขาเสียจนหมอบราบ ทั้งยังทิ้งท้ายเอาไว้อีกหนึ่งประโยคว่า ‘อาศัยแค่พวกเจ้า ยังกล้าเรียกตนเองว่าคู่มือของจงจี่หรือ’

ความหมายในวาจานี้ก็คือมีเพียงตัวเขามู่เหยี่ยผู้นี้เท่านั้นถึงมีคุณสมบัติจะเป็นคู่มือของจงจี่

…ฟังแล้วก็แปลกๆ เหมือนจะเป็นความเข้าใจผิด

“เจ้าเก่งมาก”

เพื่อเลี่ยงไม่ให้มู่เหยี่ยถูกตนตบตีจนล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีก จงจี่จึงคลายเคล็ดวิชา หลังจากเก็บตัวหมากทั้งหมดกลับมาแล้วก็เอ่ยเสียงเบา

“เจ้ามีหัวใจของนักดาบอยู่กับตัวแล้ว มหามรรคนั้นเรียบง่าย ไม่มีอะไรให้ละอายต่อดาบ”

หากไม่ได้เป็นเพราะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จงจี่เกือบจะพูดประโยคโศกเศร้าอันโด่งดังออกไปอีกประโยคแล้วว่า ‘เจ้าก็คือเจ้า ดอกไม้ไฟมีสีสันไม่เหมือนกัน’

สุดท้ายเมื่อได้สบสายตาไม่อยากเชื่อทั้งยังตกตะลึงของมู่เหยี่ยแล้ว จงจี่จึงพูดเสริมตามใจตนเองไปอีกหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้

“แน่นอนว่าข้าเก่งกว่า”

มู่เหยี่ย “…”

🙂

 

* ขนห่าน เป็นคำบรรยายสภาพหิมะที่ตกหนัก เปรียบเปรยว่าเกล็ดหิมะที่ตกลงมานั้นหนาหนักราวกับขนห่าน

* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน หน่วยมาตราชั่งของจีน โดย 1 ชั่งเทียบน้ำหนักประมาณ 500 กรัม

* ลงจากเวทีไม่ได้ เป็นสำนวน หมายถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย

บทที่ 4

 

แผ่นดินเสวียนซวีแตกตื่นแล้ว

ทำเนียบเสวียนจีคือทำเนียบที่ถูกสร้างขึ้นโดยมรรคาสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเพียงต้องปล่อยรอยสัมผัสวิญญาณลงไปในม้วนคัมภีร์หยก จึงจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของความลึกลับด้วยล้ำลึกไพศาลนี้ได้โดยตรง

แม้ไม่รู้ว่ามรรคาสวรรค์สร้างทำเนียบนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร (จงจี่ : เพื่อให้พระเอกได้อวดความเก่งกาจ) แต่ในความเป็นจริงมันก็เหมือนสรรพสิ่งที่ควรมีอยู่ตามครรลองของธรรมชาติ เป็นการมีอยู่อันสมเหตุสมผล

ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรในแผ่นดินเสวียนซวีแล้ว การมีอยู่ของทำเนียบเสวียนจีนั้นเป็นเรื่องปกติราวกับการกินข้าวดื่มน้ำ และเป็นสัญลักษณ์ของผู้แข็งแกร่งที่เที่ยงตรงที่สุด ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าล้วนถือเอาการได้ขึ้นทำเนียบเสวียนจีเป็นเกียรติ และทำเนียบนี้ก็เป็นกังหันลมที่ทรงอำนาจที่สุด

ทว่าวันนี้นามที่ร่อนลงมาจากฟ้าทะยานขึ้นสู่ต้นทำเนียบได้ทำให้ทั้งแผ่นดินเดือดพล่าน

รายนามของทำเนียบเสวียนจีจะจัดลำดับโดยอิงจากความสามารถโดยสรุป หากล่วงเข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้เพียงไปต่อท้ายรายชื่อผู้อาวุโสคนก่อนหน้าเท่านั้น ไม่อาจกระโดดทะยานไปต้นอันดับได้ในครั้งเดียว

ในความเป็นจริงเพราะช่องว่างระหว่างดาวต้นกำเนิดทุกดวงนั้นห่างไกลกันดั่งฟ้ากับเหวในการบำเพ็ญระยะหลัง น้อยคนนักจึงจะก้าวข้ามระยะห่างของระดับขั้นได้ ต้องใช้ความสามารถของตนอย่างยิ่งยวดเพื่อก้าวขึ้นไป ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนต่างก็ยอมรับกันโดยปริยายว่านี่คือทำเนียบจัดลำดับขั้นดาวต้นกำเนิด

ดังนั้น…

ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือมีคนทะลวงไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาว

หลายพันปีมานี้บนแผ่นดินเสวียนซวีไม่มีผู้ที่สามารถทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์หนึ่งดาวอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่ชัดแจ้งว่าปราณวิญญาณบนแผ่นดินนั้นเปี่ยมล้น อัจฉริยะปรากฏตัวไม่ขาดสาย แต่ก็คล้ายกับว่ามีฉากกำบังไร้รูปผืนหนึ่งคอยขวางกั้นขั้นศักดิ์สิทธิ์หนึ่งดาวจากทุกคนเอาไว้อย่างแน่นหนา ตลอดชีวิตมิอาจย่ำเข้าไปได้แม้เพียงชุ่น

ปัจจุบันนี้บนแผ่นดินมีขั้นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดห้าคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่มาใกล้จะพันปีแล้ว พวกเขาต่างก็ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตคิดทะลวงฉากกำบังหนึ่งดาว แต่ยังคงไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ชวนให้ผู้คนทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง

ทว่ายามนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว อัจฉริยะผู้เดิมทีหมื่นปียากพบพานสักคราออกท่องหล้าปรากฏสู่โลกและก้าวล่วงเข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดว่าจะมีผู้ที่ทะลวงฉากกำบังได้อย่างไร้สุ้มเสียง นี่จะมิให้ผู้คนแตกตื่นตกใจได้อย่างไรเล่า

อนุชนน่านับถือ* นี่หนา

แต่เดิมจงจี่ก็เป็นแขกเจ้าประจำบนม้วนคัมภีร์หยกของแผ่นดินเสวียนซวีอยู่แล้ว ชื่อเสียงเลื่องลือข่มขวัญคนในแผ่นดิน เป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของคนรุ่นเยาว์เลยทีเดียว ยามนี้ก็ต่อท้ายอยู่ในอันดับเหล่ายอดฝีมือชั้นหัวกะทิผู้ร้ายกาจจนมีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า

พูดได้ว่าตั้งแต่ผู้เฒ่าอายุหลายร้อยไปจนถึงเด็กน้อยอายุสามขวบไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนามของจงจี่ หากสุ่มเดิมเข้าไปในโรงเตี๊ยมโรงน้ำชาสักแห่ง แปดส่วนของนักเล่านิทานล้วนโอ้อวดเขาเสียจนดอกไม้สวรรค์ปลิวว่อน ประดุจนรเซียนเสด็จเยือนโลกมนุษย์

แบบอย่างของชาวประชา มิพ้นว่าเป็นเช่นนี้

ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ห้าคนมีท่านสองคนที่อายุขัยใกล้จะถึงขีดจำกัด หลังจากได้ยินข่าวว่ามีคนทลายฉากกำบังได้ก็น้ำตาอาบหน้า โยนไม้เท้าแล้วกระโจนขึ้นสูงสามฉื่อ จากนั้นเร่งรีบดึงสีหน้า ตระเตรียมของขวัญพบหน้าไว้ไม่น้อย หมายว่าจะมาขอคำชี้แนะจากอนุชนผู้นี้ที่พรรคไท่ซวีเสียหน่อย

บนแผ่นดินเสวียนซวีในยามนี้เรียกได้ว่าสงบสุข

มนุษย์ มาร และปีศาจ ทั้งสามเผ่าล้วนสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อยในมหาสงครามเมื่อหมื่นปีก่อน แต่ละฝ่ายต่างประกาศว่าจะวางมือ แล้วกลับบ้านใครบ้านมันไปเริ่มพัฒนาบ้านเมืองอยู่ลับๆ

ระหว่างทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็มีความเคียดแค้นชิงชังกันและกัน บางคราก็มีการกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเท่าไรนัก แม้เจดีย์ปีศาจพรรคปีศาจ นิกายมารสำนักมารจะปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่กล้ากระทำการกำเริบเสิบสานยั่วยุโทสะของผู้คนทั้งแผ่นดินใหญ่ดั่งเช่นหมื่นปีก่อนแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อสิบปีก่อน จู่ๆ คณะบุคคลกลุ่มใหญ่นามว่า ‘ตำหนักลับ’ ก็ปรากฏตัวขึ้น ตัดผ่านใจกลางทั้งสามเผ่า หยิบยกคำขวัญสามเผ่าพันธุ์มาพัฒนาอย่างสันติพร้อมจับมือก้าวหน้าไปอย่างดีงามบนแผ่นดินเสวียนซวี ทำให้ทั้งสามเผ่าสร้างสายสัมพันธ์สงบสุขชนิดหนึ่งอย่างประจักษ์แจ้งแก่ใจมิใช่วาจา ผ่อนคลายบรรยากาศความเป็นน้ำเป็นไฟก่อนหน้านี้ลงไปได้

ครั้งนี้เผ่ามนุษย์เข้ายึดครองตำแหน่งยอดสุดของทำเนียบเสวียนจี เป็นผู้เริ่มทะลวงฉากกำบังของการบำเพ็ญได้ก่อน แผ่นดินเสวียนซวีจะต้องเกิดลมปั่นเมฆป่วน* ขึ้นอีกระลอกเป็นแน่

หลังจากจงจี่เก็บตัวหมากเสร็จก็ไม่ได้มีท่าทีทำให้มู่เหยี่ยลำบากใจอะไรอีก กลับปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนอาภรณ์สีดำของตนออกอย่างเนิบนาบ แล้วย่ำหิมะว่อนทั่วฟ้าอย่างแช่มช้ากลับพรรคไปภายใต้สายตาซับซ้อนของมู่เหยี่ย

เมื่อเขาหันศีรษะกลับมา บรรดาศิษย์พรรคไท่ซวีในชุดประจำพรรคสีน้ำเงินขาวทั้งหมื่นพันต่างก็ทำความเคารพต่อเขาด้วยสายตาคลั่งไคล้

หลังจากเห็นปราณกระบี่หนึ่งกระบวนท่าของจงจี่ ดวงตาของมือกระบี่ผู้เงียบขรึมเหล่านี้ก็ล้วนเกือบจะวาบประกาย อยากเข้าไปคุกเข่าคารวะขอคำชี้แนะสักคำรบหนึ่งเสียเดี๋ยวนี้อย่างอดไม่ได้

สถานการณ์เช่นนี้จงจี่พบพานมาเยอะแล้ว

คิดว่าสายตาที่มือกระบี่ทั้งหลายมองเขาในเวลานี้เหมือนกำลังมองรักแรกหรือไม่เล่า ก็ไม่แปลกใจที่มือกระบี่มีอัตราการครองตนเป็นโสดสูงที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด

เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย

เขาหน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นแรง สองตาสีทองหม่นเยียบเย็นกระจ่างใส สายตามิได้หยุดอยู่ที่ตัวผู้ใด กลับกวาดผ่านอย่างวาบไหวเป็นเหมือนหยาดหิมะบนเขาสูงอันงามสง่าโดดเด่น

“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่ที่ทะลวงระดับขั้นสำเร็จ”

เหยียนซื่อเป็นผู้เริ่มก้าวขึ้นมาหน้าฝูงชนก่อน บนใบหน้าที่ยามปกติไม่เคยใส่ใจในอารมณ์ขันปรากฏแววปีติยินดีขึ้นมา ถึงกับมองเห็นเงาของเด็กหนุ่มได้หลายส่วน

“ลำบากศิษย์น้องเหยียนแล้ว”

เมื่อครู่จงจี่เกือบจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง โชคดีที่เขามีศิษย์น้องผู้เฉลียวฉลาด ไม่อย่างนั้นคงทำให้มู่เหยี่ยท้าทายกับทั้งพรรคไท่ซวี แล้วอีกครู่ประมุขพรรคจะต้องมาเขกกะโหลกเขา

เหยียนซื่อเป็นศิษย์น้องเล็กของจงจี่

หมิงซวีจื่อประมุขพรรคไท่ซวีรุ่นนี้รับศิษย์มาทั้งหมดสองคน ศิษย์เอกจงจี่และศิษย์ปิดสำนักเหยียนซื่อ

เดิมทีหมิงซวีจื่อคิดจะรับศิษย์เพียงคนเดียว เขาในยามนั้นเห็นจงจี่รากกระดูกล้ำเลิศ มีเค้าเงื่อนของฤทัยกระบี่โดยกำเนิดอยู่เลือนราง จึงอาศัยช่วงจงจี่ยังเด็กเร่งรุดพาเมล็ดพันธุ์ชั้นดีนี้มาเลี้ยงดูสอนสั่งที่ยอดเขาฉังเจี้ยนของตนราวกับแม่ไก่ปกป้องเลี้ยงดูลูก คาดหวังว่าเขาจะสืบทอดจีวรและบาตร* ของตนต่อไป

หมิงซวีจื่อเป็นใคร เขาก็คือผู้ใช้กระบี่ในใต้หล้าที่มีชื่อเสียงสะท้านทำเนียบ สายตาที่มองคนเฉียบขาด หลังจากทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็คิดเพียงกลับพรรคไท่ซวีไปใช้ชีวิตยามแก่เฒ่า สอนสั่งศิษย์สักคนหนึ่งให้ดี และบำรุงอายุขัย เพลิดเพลินกับสุขแห่งสายสัมพันธ์ฟ้า**

ผลที่ไม่คาดคิดก็คือเจ้าหนุ่มน้อยจงจี่แม้จะมีฤทัยกระบี่โดยกำเนิด หากหยิบตัวหมากขึ้นมาตามใจก็ล้วนส่งประกายกระบี่ออกมาได้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเปลี่ยนเป็นกระบี่แล้วกลับล้มเหลว

วิชากระบี่ชุดหนึ่งแปดสิบเอ็ดกระบวนท่า หมิงซวีจื่อถือกิ่งหลิวมองเจ้าหนุ่มนี่ฝึกกระบี่ทุกวัน ทว่าฝึกมาแล้วสามปีกลับไม่มีความก้าวหน้าแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง กลายเป็นตัวตกต่ำเอาแต่ลอกเลียนท่วงท่าการโบกพัด เชี่ยวชาญทุกศาสตร์นอกรีตและดื่มสุราเป่าขลุ่ย

นี่น่ากังวลเสียจนทำให้ผมดกดำทั้งศีรษะของหมิงซวีจื่อเกือบจะได้พบกับวิกฤตหัวล้านของชายชาตรีเป็นที่สุด

ภายใต้ความจนใจหมิงซวีจื่อทำได้เพียงเปิดประตูภูเขารับเหยียนซื่อมาเป็นศิษย์ปิดสำนักเพื่อให้ตนมีผู้สืบทอดวิชากระบี่สืบไป

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ หมิงซวีจื่อยังไม่ชัดแจ้งว่าจงจี่นั้นเป็นคนนิสัยเกียจคร้านล่องลอยอิสระ ดังนั้นสำหรับเหยียนซื่อผู้เป็นคนมีระบบระเบียบแล้ว เขารู้สึกพึงพอใจกับศิษย์ปิดสำนักผู้เข้มงวดจริงจังผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง มีเรื่องไม่มีเรื่องอะไรก็เรียกศิษย์คนเล็กมาเปิดสำรับถึงในถ้ำบำเพ็ญของเขา

ภายใต้การเปรียบเทียบจากทั้งสองฝั่งนี้ จงจี่ถูกเลี้ยงปล่อยแล้ว

จงจี่ : ประเสริฐนัก!

เขาอยากให้หมิงซวีจื่อเลี้ยงปล่อยเขา หลังจากไม่ต้องฝึกกระบี่ทุกวัน อาทิตย์ขึ้นสามราวไผ่*** จงจี่ถึงจะตื่นนอน ไม่มีเรื่องอะไรก็กรายไปกรายมาอยู่ในสำนัก นอนกลางวันบนต้นไม้สักต้น สามวันตกปลาสองวันตากแห**** ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเบิกบานใจในคืนวันน้อยๆ นี้เลย

จนกระทั่งวันหนึ่งหมิงซวีจื่อพลันพบว่าไม่รู้ผู้ใดมาขุดเอาสุราไท่สี่ไป๋ (ขาวเกินสำราญ) ที่เขาแอบซุกเอาไว้ใต้ต้นซงไป่***** นอกถ้ำบำเพ็ญไป

เป้าหมายแรกที่สงสัยก็คือจงจี่

ใครไม่รู้บ้างว่าจงจี่เป็นเจ้าหนุ่มติดสุรา ยามที่หมิงซวีจื่อสอนสั่งเขาในตอนนั้น สุราไท่สี่ไป๋ที่หน้าประตูถูกเขาสร้างหายนะให้ไปไม่น้อย

เช่นนั้นปัญหาก็มาเยือนแล้ว ช่วงนี้หมิงซวีจื่อล้วนพาจงจี่เร่งรีบไปเลือกยาที่ยอดเขาเหลี่ยนเย่า ศิษย์สำนักพรรคผู้รู้ตำแหน่งฝังไหสุราที่ถูกต้องก็มีอยู่น้อย แล้วเหตุใดสุราไท่สี่ไป๋ยังหายไปอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้ได้

จงจี่ : หึๆ

แน่นอนว่าเป็นเพราะเขามีศิษย์น้องเล็กผู้น่ารักอย่างไรเล่า!

ในตอนที่เหยียนซื่อเพิ่งจะเข้าสำนักนั้นมีอายุเพียงห้าหกขวบ และเป็นเพราะขาดแคลนอาหารจึงสูงถึงแค่อกของจงจี่ ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววเอาจริงเอาจังราวกับเด็กที่เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ

ในแง่อายุของร่างกายแล้วจงจี่โตกว่าเขาแค่ปีกว่า ทั้งยังมีงานอดิเรกที่ไม่ดีอย่างยิ่ง ปกติยามไม่มีเรื่องอะไรก็มักไปสัพยอกศิษย์น้องเล็ก ถือเอาการเปลี่ยนสีหน้าของเขาเป็นความสนุก

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่จงจี่เปลี่ยนสารพัดวิธีในการหยอกเย้าเหยียนซื่อไปเรื่อย เหยียนซื่อกลับตกหลุมพรางชุดนั้นของเขา วิ่งตามหลังเขาไปทุกที่ ร้องเรียก ‘ศิษย์พี่ ศิษย์พี่’ อยู่ทุกวัน ท่าทางนับถือศิษย์พี่เป็นสำคัญอย่างยิ่ง

ดังนั้นในเดือนปีที่ผ่านมาจงจี่พาศิษย์น้องลูกสมุนของตนกระโดดโลดเต้นไปทุกที่ ทำเอาคนพลิกม้าคว่ำ ไก่เตลิดสุนัขกระเจิง* ไปทั้งสำนักไท่ซวี หลายปริศนาที่ไม่คลี่คลายซึ่งยังปรากฏอยู่ในทุกวันนี้อย่างเงาผีของผู้นำยอดเขากลางดึกหรือกระโถนปัสสาวะที่หายไปเหล่านั้นล้วนมาจากฝีมือของศิษย์พี่น้องคู่นี้ทั้งสิ้น

คาดว่าหมิงซวีจื่อเองก็คงไม่มีวันคิดว่าผู้ขุดเอาสุราไท่สี่ไป๋ที่เขาซุกเอาไว้หลายปีไปนั้นจะเป็นศิษย์น้องผู้ที่ในยามปกติเชื่อฟังรู้เหตุรู้ผลที่สุดกระมัง

แน่นอน ครู่เดียวสุราไท่สี่ไป๋เหล่านั้นก็ลงท้องของจงจี่ไปทั้งหมด

“ข้าจะไปพบอาจารย์สักหน่อย ศิษย์น้องจะไปด้วยกันหรือไม่”

“ขอรับ”

แม้ว่าในภายหลังเนื่องจากบทนิยายเริ่มต้นขึ้นจงจี่จะออกท่องไปนอกพรรคตลอดปีสี่ฤดู กลับพรรคมาก็กักตนบำเพ็ญเพียร แต่ความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ลดลงแม้เพียงครึ่ง กลับยังมีความอบอุ่นสายน้อยๆ อยู่ในใจอย่างเงียบๆ

เกรงว่าศิษย์ที่เพิ่งเข้าพรรคไท่ซวีมาใหม่และกำลังมองพวกเขาด้วยความเคารพเหล่านี้ก็คงไม่มีทางคิดว่าผู้นำยอดเขาฉังเจี้ยน นักพรตเหยียนที่ทำท่าเหมือนกับค้างหนี้เขาแปดล้านศิลาวิญญาณผู้นั้นก็มีด้านที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้

เพียงแต่ศิษย์น้องในยามนี้เติบใหญ่แล้ว บุคลิกท่าทางนับวันยิ่งเรียบนิ่งเหมือนกับหมิงซวีจื่อ เฮ้อ

ยามใดจะได้สนทนาพาทีดีๆ กับศิษย์น้องหนอ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็เป็นไปได้อย่างมากว่าแม้แต่ริ้วรอยบนใบหน้าเองก็คงจะเหมือนกับอาจารย์เป็นแน่แท้

แขนเสื้อของบุรุษชุดดำพลิ้วสะบัดเล็กน้อย พลังวิญญาณทรงพลังพลันปรากฏขึ้นรอบกายเขา พร้อมกับพาเหยียนซื่อไปด้วย เกือบจะเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ทิวทัศน์รอบกายเปลี่ยนเป็นภาพมายาอย่างต่อเนื่อง เพียงครู่เดียวก็จากประตูพรรคไท่ซวีมาถึงยอดเขาหลักที่ห่างออกมาหลายหลี่

“เจ้าเด็กบ้า!!!”

จงจี่ไม่ได้มีเจตนาปกปิดระลอกพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย หมิงซวีจื่อจึงรู้ถึงการมาเยือนของเขาในทันที แล้วถือไม้เท้าเริ่มไล่ตีศิษย์เอกของตนอย่างดุร้าย ลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ตีเสียจนจงจี่เจ็บศีรษะไปหมด

จงจี่ที่เดิมทียกมือขึ้นสูงอ้าแขนเตรียมรับการโอบกอดต้อนรับจากอาจารย์ “???”

จงจี่ที่กักตนมาห้าปีหลบไม่ทัน ในตอนที่โดนตีศีรษะไปหนึ่งไม้เท้าถึงนึกออกด้วยสีหน้าโง่งม…

ก่อนที่ตนเองจะกักตนได้ก่อเรื่องไว้ใหญ่โต

เขาร่วมมือกับเหยียนซื่อขุดเอาสุราไท่สี่ไป๋ที่หมิงซวีจื่อซุกเอาไว้กลับมายังยอดเขาฉังเจี้ยนด้วยกัน XD

 

* อนุชนน่านับถือ เป็นสำนวน หมายถึงคนหนุ่มสาวที่เก่งนำหน้าคนรุ่นก่อน

* ลมปั่นเมฆป่วน เป็นสำนวน หมายถึงเรื่องราวที่พลิกผันไปมาอย่างรวดเร็วคาดเดาไม่ได้

* จีวรและบาตร เดิมในทางพุทธศาสนาหมายถึงจีวรและบาตรที่อาจารย์มอบให้แก่ศิษย์ ต่อมาหมายถึงการประสิทธิ์ประสาทความคิด วิชา ความสามารถให้แก่ศิษย์

** สายสัมพันธ์ฟ้า เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสายสัมพันธ์ครอบครัว

*** อาทิตย์ขึ้นสามราวไผ่ เป็นสำนวน หมายถึงดวงอาทิตย์ขึ้นสูงถึงระดับความสูงของราวไม้ไผ่สามราวต่อกัน สะท้อนลักษณะนิสัยของคนนอนตื่นสายจนดวงตะวันลอยโด่งแล้ว

**** สามวันตกปลาสองวันตากแห เป็นสำนวน หมายถึงทำอะไรไม่จริงจัง

***** ซงไป่ หรืออีกชื่อหนึ่งคือสนไซปรัส เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 20 ถึง 50 เมตร สามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศหนาวเย็น

* ไก่เตลิดสุนัขกระเจิง อุปมาถึงเหตุการณ์วุ่นวายไปทั่ว

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: