ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
จันทร์เย็นฉ่ำดั่งสายน้ำ ธารดาราหลับใหลไปนิรันดร์
แม้จะบอกว่าล่วงเข้าวสันตกาลแล้ว ทว่าเมื่อถึงยามราตรีสายลมยามค่ำคืนบนที่สูงก็ยังคงหนาวเย็นเกินไปสักหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระเบื้องหยกอันเกลี้ยงเกลาและเย็นเยียบบนหอไจซิง
แต่สำหรับจงจี่แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา
หลังจากบำเพ็ญมาถึงระดับสูง คุณสมบัติของร่างกายและความแข็งแกร่งของฌานวิเศษล้วนยกระดับขึ้นสูงอย่างยิ่ง ทั้งไม่หวั่นหนาวร้อน และน้ำไฟไม่กล้ำกราย
ดังนั้นจงจี่ในเวลานี้จึงผ่อนคลายอย่างมาก เขายกไหสุราแหงนคอตั้งบ่าดื่มสุราอึกใหญ่ กิริยาท่าทางผ่าเผย สอดแทรกไว้ด้วยความผึ่งผาย ต่างจากท่าทีเย็นชายามจัดการบริหารงานต่อหน้าคนในยามปกติโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย หลังจากจัดการขุมอำนาจของตนให้สอดคล้องกับโครงเรื่องที่เขียนขึ้นมาแล้วก็ยังลอบถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคอยจับตาดูสิ่งของหรือตำราโบราณทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับห้วงมิติ แล้วนำมาไว้ในมือให้ได้โดยไม่คำนึงว่าราคาเป็นอย่างไร
แม้นี่จะเป็นโลกที่ตนสรรค์สร้างขึ้นมากับมือ แต่ไม่ว่าอย่างไรจงจี่ก็ยังคงรู้สึกคล้ายกับแบกบ่อน้ำจากบ้านเกิด* เหมือนกับผู้ที่ระหกระเหินมายังต่างโลก ย่อมคิดถึงสถานที่ที่ตนเกิด คิดถึงดาวแม่อันงดงามสีฟ้าครามดวงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ว่าตายแล้วถึงทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แต่เป็นหลังจากนอนหลับไปในวันหนึ่งก็พลันกลายเป็นทารกน้อยวัยฝึกพูดอ้อๆ แอ้ๆ ใน ‘อิสระ’ แล้ว
หลังจงจี่เพิ่งจะสืบพบวิธีการใช้ฌานวิเศษก็เริ่มมีความสงสัยในตนเองอยู่บ้างแล้ว ค่อยๆ เก็บความทรงจำก่อนทะลุมิติเข้ามาในนิยายเอาไว้ในส่วนลึกของห้วงสมุทรแห่งจิตอย่างระมัดระวัง
แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาก็ยังหยิบความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ออกมาได้ทุกเวลา ตั้งแต่ตอนที่ตนนั่งพิมพ์แต่ละตัวอักษรหน้าคอมพิวเตอร์ตอนแรกสุด ดึงความทรงจำเกี่ยวกับโลกนี้ออกมาทบทวน ย้ำเตือนถึงที่มาแรกสุดของตนเองทุกเวลา
จงจี่ไม่ได้เดินตามโครงเรื่องที่ตนวางเอาไว้ในโลกของ ‘อิสระ’ อย่างเข้มงวดจริงจังนัก เขาเหมือนปีกผีเสื้อที่ขยับกระพือทางอเมริกาใต้ก็ทำให้คลื่นความหนาวเย็นจากไซบีเรียปั่นป่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาก่อตั้งองค์กรสันติภาพอย่างตำหนักลับขึ้นมา และสยบสงครามที่ควรจะเกิดขึ้นตามต้นฉบับเดิมไปไม่รู้มากน้อยเท่าไร
แน่นอนผลกระทบนี้เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย เขาส่งผลกระทบต่อแผ่นดินเสวียนซวี โลกใบนี้เองก็กำลังส่งผลกระทบต่อจงจี่อยู่เช่นกัน
อาจารย์ผู้มีรูปลักษณ์ใจดีมีเมตตายังต้องหลีกหนีจากโลกอยู่บ้างในบางครั้ง ศิษย์น้องเล็กภายนอกดูสุขุมเอาจริงเอาจังแต่ความจริงแล้วมีใจขบถ เหล่าผู้อาวุโสทั้งพรรคไท่ซวีผู้ทรงมรรคศักดิ์เซียนมองเขาเหมือนเป็นลูกหลาน ยังมีผู้ฝึกกระบี่ร่วมสำนักที่ภายนอกดูแล้วไร้อารมณ์ความรู้สึกแต่ความจริงแล้วโง่งมและน่าเอ็นดู…
มนุษย์เราล้วนมีจิตใจและสายใยที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ไหนเลยที่บอกว่าจะตัดแล้วก็ขาดได้ง่ายดายเพียงนั้น
จงจี่ยื่นมือที่มองเห็นข้อต่อชัดเจนออกไป ปลายนิ้วเรืองแสงอ่อนจาง เช็ดหยาดสุราเย็นเยียบตรงมุมปากออกไปทีละน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็ยกไหสุราแล้วเงยหน้าอีกครา ปล่อยให้หยาดสุราไหลผ่านลำคอของเขา กลิ้งตามคางลงไปถึงสาบเสื้อ แล้วถูกพลังวิญญาณอบระเหยกลายเป็นไอสุราอบอุ่นเป็นระลอก
แสงจันทร์สีเงินยวงฉายส่อง ตกกระทบตัดกับชายแขนเสื้อ ทิ้งไว้เพียงเงามืดสลัวที่ทอดยาว ธารดาราเปลี่ยนเป็นห้วงมายา ดาวเคลื่อนดาราคล้อย แสงประหลาดลอบกะพริบวาบอย่างต่อเนื่อง
ท้องฟ้าในวันนี้แปลกพิกลอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะอากาศเปลี่ยน หรือบางทีอาจเป็นเพราะมีคนทะลวงขั้น แต่จงจี่ก็ไม่มีอารมณ์จะไปพิจารณา
หากเป็นในช่วงก่อนหน้านี้ที่ยังหาเค้าลางซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำลายห้วงมิติไม่พบ จงจี่อาจจะคิดใคร่ครวญสักหลายครา ไม่ไปคิดถึงปัญหานี้ชั่วคราว
แต่ว่า…
ตอนนี้หาวิธีที่จะกลับไปพบแล้ว
ในเนื้อเรื่องเดิมของจงจี่ ‘อิสระ’ มีสำนักที่ลึกลับที่สุดอยู่แห่งหนึ่ง นามว่าสำนักเทียนจี
สำนักเทียนจีแต่ละรุ่นจะมีแค่ศิษย์สายตรงไม่เกินสามคน เรียกว่าอนุชนเทียนจี
เงื่อนไขของสำนักเทียนจีที่มีต่อศิษย์สายตรงนั้นโหดร้ายอย่างยิ่ง มีข้อกำหนดให้ศิษย์ผู้นั้นไม่เคลื่อนไหวเพื่อสรรพชีวิต เทียบกันแล้วภิกษุผู้ตั้งจิตมั่นในพุทธะยังรู้ซึ้งเรื่องทางโลกมากกว่า ทั้งยังจำเป็นต้องใช้วิชาลับของสำนักตัดขาดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา* ของศิษย์ด้วย
ม้วนคัมภีร์หยกบนแผ่นดินเสวียนซวีมีสำนักเทียนจีเป็นคนควบคุมดูแล ผู้โดดเด่นในหมู่พวกเขานี้กระทั่งนับได้ว่าเป็นคำพ้องความหมายกับมรรคาสวรรค์บนแผ่นดินเสวียนซวีเลยทีเดียว ด้วยมีความสามารถในการมองชะตาชีวิตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
กระดาษแผ่นนั้นก็เป็นจงจี่ที่ถ่ายทอดคำสั่งให้ไปค้นหาเอาจากอนุชนเทียนจี และได้คำตอบมาจากมือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทียนจีคนปัจจุบัน
แม่กุญแจสี่ทิศ แม่กุญแจสี่ทิศ
จงจี่นึกย้อนในห้วงความทรงจำของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ชัดเจนว่ามีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่อย่างแจ่มแจ้ง แต่กลับยังคงไม่ได้สิ่งใดเลย ทำได้เพียงเหินทะยานมาบนยอดหอไจซิงแล้วดื่มสุราเพียงลำพังด้วยอารมณ์ซับซ้อน
วันนี้ในหอไจซิงจัดงานประมูลขึ้นงานหนึ่ง หน้าหอมีผู้คนแน่นขนัด ขวักไขว่คับคั่ง แม้ว่าตำหนักลับจะไม่เข้าสู่แวดวงการค้าขาย แต่ก็ยังรักษาความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าซึ่งมีไมตรีกับสมาคมการค้ารายใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก มีชั้นสำหรับให้สมาคมการค้ารายใหญ่มายืมเช่าเปิดประมูลโดยเฉพาะ
จงจี่นั่งอยู่บนหลังคาสูงเช่นนั้น ปล่อยให้สายลมเย็นพัดผมสีดำพลิ้วสยายท่ามกลางแสงดาวทั่วฟ้า ท่าเท้าแพรดำเลี่ยมทองย่ำอยู่เหนือควันไฟนับหมื่นพัน เลื่อนลอยไปไพศาล คล้ายกับว่าครู่ต่อมาจะร่อนลงที่ตรงนี้
สุราชิวลู่ไป๋ค่อนข้างเป็นสุราล้ำค่า และเป็นสุราของจักรพรรดิที่พระราชวังแคว้นตง (บูรพา) เก็บเป็นความลับ จะนำออกมาให้เชื้อพระวงศ์แคว้นตงดื่มแค่ในงานเลี้ยงแว่นแคว้นเท่านั้น ทุกปีปรากฏทั่วทุกที่ไม่เกินยี่สิบไห
นักดื่มจงจี่ ครั้งหนึ่งหลังจากดื่มไปหนึ่งจอกแล้วก็หลงใหลไม่ลืม จึงบุ่มบ่ามเข้าไปในพระราชวังที่มียอดฝีมือคอยอารักขาชั้นแล้วชั้นเล่า อาศัยความสามารถในการจดจำของตนหมักสุราตามสูตรออกมาหนึ่งชุด จากนั้นกลับมาคัดลอกหนึ่งฉบับแล้วโยนให้องครักษ์ลับไปหมักสุราอย่างเปรมปรีดิ์
องครักษ์ลับอเนกประสงค์ “…”
โชคดีที่ตำหนักลับมีความเปิดกว้างอย่างยิ่ง อัจฉริยะก็มากมาย ทั้งพิณหมากภาพอักษร อาหารหยูกยาและสุราล้วนมีความเข้าใจ จนทำสุราจักรพรรดิที่พวกเขาเฝ้าถนอมรักษาออกมาได้
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เนื่องจากวัตถุดิบเดิมอย่าง ‘น้ำค้างยามรุ่งอรุณฤดูสารทที่ใช้จานหยกรองรับ พร้อมกับหิมะแรกที่โปรยปรายลงมาในยามสาม* ฤดูเหมันต์ ผสมด้วยดอกเงินโบราณที่งดงามแบบราบเรียบแล้วปิดผนึกไว้ในไห’ นั้นเหมือนกับขนเต่า* เป็นพิเศษ ในหอไจซิงเองก็มีไม่มาก จึงจำเป็นต้องคาดการณ์ล่วงหน้า หนึ่งไหราคาพันทอง มีราคาไร้ตลาด*
ไม่รู้ว่าเย็นนี้จงจี่ดื่มไปกี่พันทองแล้ว
เขาที่ยามปกติดื่มพันจอกไม่เมาวันนี้คล้ายกับว่าจะมึนเมาอยู่บ้าง แต่เขายังคงไม่แม้แต่จะมอง สนใจเพียงแกะดินผนึกออกแล้วยกดื่ม เชิญจันทร์กระจ่างร่วมเมามาย ยืมลมสดชื่นชำระธุลี
“เจ้าตำหนัก มีแขกแก้หมากร้อยกระเรียนของชั้นหนึ่งได้”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ถึงอย่างไรเมืองเซิ่งหยางก็ไม่เคยมืดค่ำ และแสงสว่างใต้เท้าไม่เคยมอดดับตลอดกาล
องครักษ์ลับผู้สวมชุดที่ดูคล้ายกับว่าต้องการจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงรัตติกาลเดินเข้ามาหาเสียงเบา ด้วยเกรงว่าจะรบกวนบุคคลใต้แสงจันทร์
“หมากร้อยกระเรียนหรือ”
จงจี่ได้ยินพลันอึ้งงัน ความคิดที่เฉื่อยชาเล็กน้อยเพราะน้ำจัณฑ์พลันทำให้ไร้ท่าทีตอบสนองไปชั่วครู่
ในตอนที่ก่อตั้งหอไจซิงคราแรก เพื่อที่จะรักษาความลึกลับ (โกหก) จงจี่จึงตั้งใจวางหมากกระดานหนึ่งเอาไว้เป็นพิเศษที่ชั้นหนึ่ง ทั้งยังลั่นวาจาร้ายกาจออกไปด้วยว่าหากแก้หมากกระดานนี้ได้ ตำหนักลับจะตกลงทำตามคำร้องขอของผู้แก้หมากโดยไม่มีเงื่อนไขหนึ่งอย่าง
วาจาสะท้านสี่ทิศ ประโยคนี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนบนแผ่นดินเสวียนซวี
ตำหนักลับเดิมทีก็เป็นคณะบุคคลที่ประกอบการด้านข่าวสารอยู่แล้ว ทว่าข่าวสารลับสุดยอดจำนวนมากภายในกลับไม่ยอมรับวิธีการแลกเปลี่ยนกันด้วยเงินตรา แต่จะใช้ได้เพียงสิ่งของหรือไม่ก็ใช้ความลับอื่นมาแลกเปลี่ยนเท่านั้น
โดยเฉพาะข่าวสารของระดับขั้นสวรรค์
เล่าลือกันว่าขอเพียงข่าวเหล่านี้หลุดออกไปสู่โลกแม้เพียงหนึ่งอย่างก็สามารถโหมกระพือลมคาวเลือดฝนโลหิตบนแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาได้ระลอกหนึ่ง
ที่จงจี่เลือกก่อตั้งองค์กรด้านข่าวสารขึ้นมาในตอนแรกนั้นก็เป็นเพราะเขาคือผู้รังสรรค์ ไม่มีใครจะเข้าใจโครงสร้างของโลกใบนี้ดีไปกว่าเขาแล้ว ตำหนักลับขั้นสวรรค์ของม้วนคัมภีร์หยกล้วนเป็นโครงเรื่องที่เขาเขียนบันทึกเอาไว้ในตอนแรก ยังมีแม้กระทั่ง…เหตุการณ์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
ดังนั้นในตอนที่หอไจซิงเพิ่งเริ่มดำเนินการ ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายแทบแห่แหนย่ำเข้าธรณีประตูของมัน ปรมาจารย์หมากล้อมแต่ละแคว้นต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ แย่งชิงกันแก้หมาก แต่กลับยังคงไม่ได้สิ่งใด
หมากร้อยกระเรียนนั้น เป็นเพราะทั้งสี่มุมบนกระดานหมากประทับไว้ด้วยนกกระเรียนขาวกางปีกโผบินพันหมื่นตัวถึงได้ชื่อนี้มา
จงจี่อ้างอิงมาตามกลหมาก ‘หอสมบัติพันชั้น’ ของยุคโบราณ อนุมานเลียนแบบแล้ววางเอาไว้ตรงนั้นส่งๆ เพียงเพื่อให้เป็นลูกเล่นใช้ดึงดูดผู้สัญจร ต่อมาบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เขาเองก็ลืมวาจาร้ายกาจที่เคยลั่นเอาไว้ในตอนแรกไปเสียสิ้น
ทว่าวันนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีคนบอกว่าแก้กลหมากนี้ได้แล้ว
“ผู้แก้หมากคือผู้ใด”
“เป็น…จอมกระบี่พรรคไท่ซู”
…
จอมกระบี่พรรคไท่ซูอย่างนั้นหรือ
เพียงชั่วพริบตานั้นจงจี่เลิกคิ้วสูง รอยยิ้มพลันเลือนหายไป
เดิมทีเขาคิดว่าตนเองนั้นคอแข็งเป็นอย่างมาก แต่เวลานี้ดูท่าจะเมาแล้วจริงๆ
อีกทั้งยังเมาไม่เบาด้วย
‘อิสระ’ มีพรรคไท่ซูอะไรนั่นที่ใดกัน
พรรคไท่ซูเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ชัดๆ
* แบกบ่อน้ำจากบ้านเกิด เป็นสำนวนตรงกับสำนวนไทยที่ว่า พลัดที่นาคาที่อยู่ หมายถึงพลัดพรากจากถิ่นฐานเดิม
* เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา คืออารมณ์และความต้องการของมนุษย์ เจ็ดอารมณ์ได้แก่ ความยินดี ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียด และความเบิกบาน หกปรารถนาได้แก่ ความปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
* ยามสาม คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
* ขนเต่า เป็นคำพูดติดปากของวัยรุ่นชาวไต้หวัน หมายถึงละเอียดมากเกินไป
* มีราคาไร้ตลาด เป็นสำนวน หมายถึงสินค้ากำหนดราคาสูงมาก แต่คนที่ต้องการมีน้อยทำให้ขายยาก
บทที่ 10
ในเมื่อยืนยันได้ว่าตนเองเมาเสียแล้ว ท่าทางของจงจี่ก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้วความรู้สึกเช่นนี้ก็หาได้ยากเกินไปอย่างยิ่ง
ไม่เพียงแค่เมาแล้วเท่านั้น ยังได้ยินเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ อีก ดูแล้วนี่ก็คงจะเป็นฝันตื่นหนึ่ง
เขาเป็นคนประเภทพันจอกไม่เมามาย เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจใช้พลังวิญญาณนัก สติเลือนรางอยู่บ้าง เวลานี้จึงประหลาดใจมากอย่างหาได้ยาก
“เอาหน้ากากและเสื้อคลุมกระเรียนของข้ามา”
จู่ๆ จงจี่ก็เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว คล้ายกับต้องการดูว่าโลกในความฝันหลังเมามายนี้ที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร
ตั้งแต่ได้บำเพ็ญเพียร เขาก็บำเพ็ญเพียรอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุกค่ำทุกคืนล้วนใช้เวลาไปกับการนั่งสมาธิ จีบนิ้วนับคำนวณอยู่เช่นนั้นกลับไม่เคยฝันถึงอะไรมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความฝันน่าสนใจเช่นนี้เลย
หลังจากรอจนผู้ใต้บังคับบัญชานำเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าตำหนักมาแล้ว จงจี่ก็คลุมก็กลัดไปตามใจ แล้วทะยานกลับไปบนหลังคาใหม่อีกครั้ง งอปลายเท้าเล็กน้อย แหงนเงยศีรษะขึ้น
หลังเมามายมิรู้รายทายผืนฟ้าเป็นธารา จึงฝันว่าลำนาวาแน่นขนัดอัดธารดาว*
ห้วงราตรีในความฝันช่างงดงามจริงๆ ดาราทั่วฟ้า แสงดาวหมื่นพัน แสงเดือนกระจ่าง แสงประหลาดเนืองนิตย์
สีสันนับไม่ถ้วนผสมผสานกันในห้วงราตรี ราวกับแสงเหนือสายบางอ่อน ทั้งยังราวกับผืนผ้าอันงามช้อยที่นรเซียนถักทอ คล้ายกับว่าจะคลุมทับทั้งร่างเขาเข้าไป
จงจี่ไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่งามตระการเช่นนี้มาก่อน เพียงเสียดายว่าไม่อาจใช้ม้วนคัมภีร์หยกจดบันทึกในความฝัน ทำได้เพียงนำภาพฉากนี้ทาบประทับลงไปในฌานวิเศษอย่างแน่แน่ว ราวกับจารึกจิตรกรรมมรดกเลื่องชื่อ
บุรุษผู้สวมหน้ากากผีสีเงินยวงเอนกายบนหลังคากระเบื้องหยกที่มุมซ้อนกันเป็นชั้นสูงชันอยู่เช่นนั้น ท่วงท่าตามอำเภอใจ เสื้อคลุมแผ่สยายห้อยตก หล่อเหลาไม่สามัญ กางนิ้วมือทั้งห้าคล้ายกับจะคว้าเอาดวงดาวมาไว้ได้ในครึ่งฝ่ามือ
แสงดาวทั่วฟ้าล้วนส่องสะท้อนมายังดวงตาสีทองที่หาได้ยากคู่นั้นของจงจี่ ในตอนที่กวาดผ่านก็คล้ายกับว่าจะพรากเอาดวงวิญญาณของผู้คนไปด้วย
ยามที่มือกระบี่ผู้ถือกระบี่ยาวย่ำกระเบื้องหยกมาถึงในคราแรก สิ่งที่ได้เห็นก็คือภาพฉากนี้
ผู้ที่มามิได้ปิดบังตนเอง เพียงย่ำลงบนความว่างเปล่าอยู่เช่นนั้น ดุจเดินอยู่บนพื้นราบ มองตรงไปยังเจ้าตำหนักลับวัยเยาว์ผู้นี้อย่างสงบนิ่ง
เขาเหมือนกับกระบี่ที่บริสุทธิ์สันโดษเล่มหนึ่ง ผมสีดำขาวที่หาได้ยากทั้งศีรษะปรกลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สวมเกี้ยวครอบผมสีเงินประณีต ผมแผ่สยายอยู่ด้านหลัง ท่าทีประดุจเซียนผู้ละกิเลสเยือกเย็น
ใบหน้ามือกระบี่คล้ายกับจันทร์กระจ่างงามงอน หว่างคิ้วขมวดเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำลึกล้ำดั่งสระน้ำหนาว อาภรณ์สีขาวบนกายไม่แปดเปื้อนละอองธุลี กวาดปัดทุกฝุ่นผง ราวกับภูเขาเทียนซาน (สวรรค์) ที่สูงตระหง่านไม่อาจปีนป่าย ทั้งยังเหมือนดั่งนรเซียนผู้ย่ำดวงจันทร์มาหาท่ามกลางสีรัตติกาลอันไพศาล ทั่วทั้งร่างสะท้อนให้เห็นถึงความดุดันรุนแรงสลักลึกถึงกระดูก
ในตอนที่จงจี่กวาดมองไปยังร่างของมือกระบี่อย่างไม่ใส่ใจนั้นแววตาก็พลันนิ่งค้าง
ไม่ผิดแน่ ไม่ผิดแน่
แต่ละตัวอักษรที่เคยเขียนออกมาอย่างพรั่งพรู ทุกคำคุณศัพท์ที่เคยเรียงร้อย เวลานี้ล้วนเปลี่ยนจากตัวอักษรไร้สีสันดั่งละอองหมอกเป็นความจริงในที่สุด ราวกับว่าบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี* กลายเป็นความจริง เพียงเอื้อมก็สัมผัสได้
จงจี่เคยจินตนาการอยู่หลายครั้งว่ารูปลักษณ์ตัวละครเอกของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ และ ‘อิสระ’ นั้นควรจะเป็นเช่นไร
ทะลุมิติมาเป็นพระเอกของตนเอง ตัวละครเอกของ ‘อิสระ’ มีรูปโฉมและใบหน้าเหมือนกับตอนก่อนที่เขาทะลุมิติเข้ามาในนิยายราวเจ็ดส่วน หรือพูดอีกอย่างก็คือทะลุมิติมาอยู่ในร่างของทารก ส่องเงาน้ำตั้งแต่เป็นทารกตัวเหี่ยวย่นทุกวันจนเติบโต นานวันเข้าก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตกใจมากเพียงนั้นแล้ว
แต่ว่าพระเอกของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ล่ะ
จงจี่เคยคิดรูปลักษณ์ไว้หลากหลายแบบ เขาถึงขั้นสามารถท่องรายละเอียดการออกแบบตัวละครหลักตัวนี้ออกมาได้เลย
ผมสีดำแซมขาว ตาสีดำ อาภรณ์สีขาว กระบี่ไม่ห่างมือ
ศีรษะสวมเกี้ยวครอบผมสีเงิน สีหน้าเฉยเมยหมื่นปีไม่เปลี่ยนแปลง หน้านิ่ง พูดน้อย เป็นคนเก็บตัว ความแค้นลึกล้ำทะเลโลหิต ดื้อรั้น พยาบาท เย็นชา มรรคากระบี่ไร้อารมณ์ ทะนงตน ยึดติด นิ่งเฉย อดกลั้น
คำบรรยายทั้งหมดมีชีวิตขึ้นมาในที่สุด…
เวลานี้ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนค่อยๆ เดินออกมาจากม่านหมอกแห่งความสับสนด้วยตัวของมันเอง แล้วกลายเป็นรูปลักษณ์ของคนตรงหน้าผู้นี้
พอดีกันกับที่มอบความรู้สึกคุ้นเคยให้กับจงจี่อย่างกระจ่างแจ้งในทันที
“ข้าแก้กลหมากได้แล้ว”
แม้แต่น้ำเสียงก็เป็นอย่างที่จงจี่เคยเขียนเอาไว้ ‘ผิดแผกเย็นใส มิไหวตามสรรพสิ่ง’
หลังจากได้เห็นด้วยตาตนเองกลับทำให้ทุกตัวอักษรที่จงจี่เขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้สูญสิ้นสีสัน ไม่อาจพรรณนาออกมาได้แม้เพียงหนึ่งในหมื่นส่วน
นี่ก็คือพระเอกของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’
จอมกระบี่ จิงเจ๋อ
เมามายไม่เบาเลยจริงๆ
“เจ้าต้องการอะไร”
ท่าทีของจงจี่โอนอ่อนลงมากอย่างหาได้ยาก เขายืดกายขึ้นเล็กน้อย จดจ้องมือกระบี่ผู้กำลังย่ำอยู่ตรงหน้า เท้าศีรษะครึ่งหนึ่ง มุมปากใต้หน้ากากโค้งขึ้นน้อยๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วตัวเอกใต้ปากกานักเขียนทุกคนล้วนมีบุคลิกที่ตนเองปรารถนาจะเป็น
จิงเจ๋อก็เป็นเช่นนั้น
ม่านตาของจงจี่ผ่อนคลายเล็กน้อย เพราะเป็นความฝันท่าทีของเขาจึงตามอำเภอใจเป็นพิเศษ แววตาที่มองจิงเจ๋อเผยให้เห็นความปลื้มอกปลื้มใจที่ไม่ได้ปกปิดเอาไว้สักนิด เหมือนกับกำลังมองลูกสัตว์ตัวน้อยของตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“แผนที่ภูมิศาสตร์ของพรรควั่นหมัว (หมื่นมาร)”
แผนที่ภูมิศาสตร์ของพรรควั่นหมัวหรือ
เนื้อเรื่องนี้คุ้นหูอยู่เล็กน้อย ไม่นึกว่าห้วงฝันเองก็พัฒนาไปตามเส้นเวลาของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ เช่นกัน ไม่เหมือนเส้นเรื่องใน ‘อิสระ’ ที่ถูกจงจี่พลิกฝ่ามือเป็นเมฆคว่ำฝ่ามือเป็นฝน* ก่อกวน
“นี่ง่ายดายนัก เจ้าเข้ามานี่”
เจ้าตำหนักลับผู้สวมหน้ากากผีพลันหัวร่อเสียงเนือยสองเสียง ก่อนโบกมือไปทางมือกระบี่ชุดขาวตรงหน้า เวลาต่อมาก็โคจรพลังวิญญาณบนร่าง สีขาวอันเย็นยะเยือกปรากฏที่ปลายนิ้ว ทิ้งร่องรอยริ้วอ่อนจางเอาไว้กลางอากาศ
ปราณกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนี้! คิดไม่ถึงว่าจะปลดปล่อยออกมาจากร่างได้!
จิงเจ๋อที่นิ่งเงียบไร้วาจามาโดยตลอดพลันกระชับกระบี่ในมือแน่น เขาสัมผัสได้ว่าจิตต่อสู้ตลอดทั้งร่างของตนเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตาขณะที่ปราณกระบี่สายนั้นปรากฏ ดวงตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นราวกับถูกจุดประกาย อาบย้อมไปด้วยปราณสายอ่อนบาง
“เจ้าดูให้ดี ที่นี่คือทางเข้าของพรรควั่นหมัว…”
จงจี่กลับไม่ได้ให้ความสนใจกับความผิดปกติของมือกระบี่ เขาใช้นิ้วแทนพู่กัน ใช้ปราณกระบี่แทนหมึก ใช้รัตติกาลมืดมิดแทนกระดาษ สนใจแต่การวาดเค้าโครงเส้นทางเดินแต่ละสายออกมาอยู่กลางอากาศ
ปราณกระบี่ร้ายกาจ อีกทั้งยังคงค้างอยู่กลางอากาศตามประสงค์ของผู้เป็นนาย เวลานี้โผนอย่างหงส์สะดุ้งอยู่กลางราตรีกาลอันมืดมิด ท้ายที่สุดกลับว่านอนสอนง่ายอยู่ใต้มือของเจ้าตำหนักลับ ประกอบเส้นแต่งสายกลายเป็นภาพวาด
#ถกปัญหาการใช้อีกแบบหนึ่งของปราณกระบี่
#การออกแบบตัวละครพระเอกเรื่อง ‘อิสระ’ นอกจากเรื่องอ่อนปวกเปียกเมื่อถือกระบี่แล้ว เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับกระบี่ก็ไม่แย่นะ
ขณะมองจงจี่กำลังขีดๆ เขียนๆ ดวงตาสีดำของจิงเจ๋อก็ยิ่งสุกใส สุดท้ายในตอนที่เขาวาดจุดสำคัญจุดสุดท้ายเสร็จแล้วเก็บปราณกระบี่บนปลายนิ้วกลับไปในฉับพลัน มือกระบี่ชุดขาวพลันเปิดปากว่า
“เจ้าก็เป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง ประเสริฐยิ่ง เช่นนั้นข้าขอประมือสักรอบหนึ่ง!”
จงจี่ : …เวร
จะสมจริงเกินไปแล้วมั้งไอ้น้องนี่
จิงเจ๋อพระเอกของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ นั้นเป็นคนบ้าการต่อสู้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พบกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้กระบี่ก็จะต้องการรบรากับคนเขาสักรอบอย่างยืนหยัดไม่ยอมลดละ
ในตอนเพิ่งเริ่มต้นนั้นยังดี ต่อมาหลังออกจากการกักตนที่พรรคไท่ซูแล้ว จิงเจ๋อบุ่มบ่ามถือกระบี่ไปท้าทายยอดฝีมือผู้ใช้กระบี่ที่มีรายนามอยู่บนทำเนียบเสวียนจีไปรอบหนึ่ง แล้วไปรบเป็นตายกับผู้เคยเป็นอาจารย์ของเขาที่ผาเทียนโข่ว (โอษฐ์สวรรค์) อีกรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้การที่ตัวตายดับมรรคของฝ่ายตรงข้ามเป็นบทสรุป
กระบี่ เจ้าสิ่งนี้เร้นลับอย่างมาก หากอ้างอิงตามหลักเหตุผลแล้วขอแค่ตระหนักรู้ในปราณกระบี่หรือกระทั่งเจตจำนงกระบี่ได้ เช่นนั้นก็ราวกับได้เปิดสูตรโกงอย่างไรอย่างนั้น การต่อสู้ข้ามขั้นตระหนักรู้อยู่ที่เดิมอะไรพวกนั้นล้วนไม่ต้องกล่าวถึงเลย คล้ายเป็นบั๊กของผู้ร่อนเร่พเนจร และก็เป็นอาวุธที่พระเอกทุกคนชื่นชอบที่สุด
หลังจากสู้กับปีศาจกระบี่แล้ว จิงเจ๋อก็ต่อสู้จนโด่งดัง ผู้คนมอบสมญานาม ‘จอมกระบี่’ ให้ กลายเป็นผู้แตกฉานวิชากระบี่สูงสุดซึ่งเป็นที่ยอมรับกันใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’
แม้นี่จะเป็นความฝัน แต่ก็ยังมีเบาะแสที่น่าติดตาม
อย่างน้อยจิงเจ๋อผู้นี้ก็เหมือนกับต้นฉบับมาก
ในเมื่อแผนที่พรรควั่นหมัวถูกเปิดเผย เช่นนั้นก็หมายความว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ อีกครู่เดียวก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่จิงเจ๋อถือกระบี่ไปชำระแค้นที่พรรควั่นหมัวแล้ว
เวลานี้การบำเพ็ญเพียรของจิงเจ๋อนั้นบรรลุถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์เจ็ดดาว ห่างจากขั้นเซียนนั้นก็เป็นแค่เรื่องของการย่ำเพียงหนึ่งเท้าก็เข้าประตูแล้ว
ปัญหาคือต่อให้เป็นในห้วงความฝัน จงจี่ก็ยังใช้กระบี่ไม่เป็นนี่สิ!!!
พูดอีกก็คือในความฝันเขาก็ยังเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาว หากสู้กันขึ้นมาก็คงเปลี่ยนเป็นน้องชายในชั่ววินาทีเดียวแน่
พระเอกสุดโกงในนิยายแนวผู้ชายสองคนต่อสู้กัน ช่วงเวลาอย่างการต่อสู้ข้ามขั้นนั่นก็คงไม่มีอยู่แล้ว ระดับขั้นกลับเป็นอะไรที่เชื่อถือได้ที่สุด
“ไม่สู้ๆ เจ้าไม่ไหว”
ดังนั้นจงจี่จึงโบกมือไหวๆ อย่างค่อนข้างจะเล่นแง่อยู่บ้าง ทั้งใบหน้าแสดงอารมณ์เกียจคร้านอย่างเจ้าเหนื่อยข้าหน่าย
“เพราะเหตุใด”
มือกระบี่ชุดขาวสีหน้าเยียบเย็น เขานับว่าได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“เจ้า…”
จงจี่กำลังคิดจะอ้าปาก พลันไม่ระวังเตะจอกสุราซึ่งไม่เคยใช้งานที่ข้างมือจนล้มควํ่า เขาจ้องมองจอกสุราลื่นไถลจากกระเบื้องหยกสีเขียวกลิ้งตกลงบนพื้นอย่างนิ่งเงียบ กะพริบตาปริบๆ อย่างสงสัย มองดูแล้วเลื่อนลอยอย่างยิ่ง
จิงเจ๋อ “…”
จนกระทั่งเวลานี้มือกระบี่ถึงได้พบว่ากิริยาท่าทางของเจ้าตำหนักลับนั้นไม่สอดคล้องกันอยู่บ้าง
เหมือนกับคนเมามายผู้หนึ่งอย่างที่สุด
เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว ถกเหตุผลกับคนเมา มีประโยชน์หรือ
* หลังเมามายมิรู้รายทายผืนฟ้าเป็นธารา จึงฝันว่าลำนาวาแน่นขนัดอัดธารดาว มาจากกลอน ‘หัวข้อธารหญ้าเขียวอำเภอหลงหยาง’ ประพันธ์โดยถังก่ง แสดงถึงความอาลัยในความฝัน บ่งบอกว่ากวีค่อนข้างจะหมดหวังท้อแท้ในชีวิตจริง
* บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี หมายถึงความสวยงามที่ไม่อาจสัมผัสจับต้องได้
* พลิกฝ่ามือเป็นเมฆคว่ำฝ่ามือเป็นฝน เป็นสำนวน หมายถึงวางกลอุบายพลิกแพลง ตลบตะแลง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.