X
    Categories: everYทดลองอ่านเขตห้ามรักฉบับเบต้า

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 3.2-3.3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1

ผู้เขียน : MINTRAN

แปลโดย : ทันบี

ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 3.2

 

ก๊อกๆ

ผมเคาะประตูห้องของผู้จัดการ แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

ดูจากการที่หัวหน้าแผนกซอเพิ่งออกมาเมื่อครู่นี้ แสดงว่าต้องมีคนอยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการแน่ๆ ผมจึงจัดการเคาะประตูต่ออีกสองสามครั้ง แม้ว่าผมจะลองเอาหูแนบประตูเหมือนกำลังแอบฟังดูแล้ว แต่ภายในห้องก็ยังคงเงียบกริบ ผมรอต่ออีกสักพักก่อนจะได้ยินคำตอบที่ตอบกลับมาช้าแสนช้า

“เข้ามาได้ครับ”

ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไป สายลมเย็นก็พัดโกรกมาปะทะหน้า

แสบตาชะมัด

ผมเดินเข้าไปข้างในเหมือนตัวเองเป็นสมาชิกในฐานปฏิบัติการขั้วโลกใต้ ก่อนจะเห็นผู้จัดการอีกุลีกุจอไล่ปิดหน้าต่าง

“ร้อนเหรอครับ”

“เปล่า พอดีเมื่อกี้ผมเถียงกับหัวหน้าแผนกซอนิดหน่อยน่ะ…”

“แต่ข้างนอกลมแรงมากเลยนะครับเนี่ย”

“อืม ก็ชั้นมันอยู่ค่อนข้างสูงนี่…จริงสิ คุณเป็นเบต้าใช่ไหมครับ ถ้างั้นก็คงจะไม่เป็นไร”

ผู้จัดการอีเดินไปล็อกหน้าต่างจนเสร็จเรียบร้อย อากาศภายในห้องปลอดโปร่งและก็เย็นสบายมาก ผมวางแฟ้มเอกสารการอนุมัติลงบนโต๊ะของผู้จัดการก่อนจะถูมือที่เย็นขึ้น

“นี่หนังสือชี้แจงครับ”

“แล้วคุณสำนึกผิดแล้วหรือยังครับ”

“ครับ”

“ยังไงก็ตาม ไม่ว่าคุณจะโมโหขนาดไหน แต่คุณจะเตะเจ้านายไม่ได้นะครับ”

“ผมไม่ได้…”

ผู้จัดการอีทอดสายตาจ้องมองผมนิ่ง

“โอเค ผมจะระวังครับ”

“นั่งสิ”

ผมดึงเก้าอี้มานั่งอย่างว่าง่ายให้สมกับเป็นพนักงานที่ดี

“ยื่นหน้ามาใกล้ๆ หน่อยสิ เร็ว”

ผมยื่นหน้าไปตามที่ผู้จัดการอีบอก ก่อนที่เขาจะยิ้มพลางจัดผมด้านหน้าของผมให้เป็นระเบียบ

“ลมพัดจนผมเสียทรงหมดแล้ว เรื่องหนังสือชี้แจงนี่เดี๋ยวผมจะดูทีหลังแล้วกันนะ”

ผู้จัดการอีถอยออกไปประสานมือเข้าหากันและจ้องมองผม ก่อนรอยยิ้มจะประดับขึ้นบนใบหน้าอีก

“สงสัยคงต้องเก็บค่าที่พักสักหน่อยแล้วแฮะ”

“อ่า ถ้างั้นให้ผมจ่ายเท่าไหร่ดีครับ”

เรียวคิ้วของผู้จัดการอีพลันขมวดมุ่น

“ไม่สิ…”

“ขอบคุณเรื่องเมื่อวานนี้มากๆ เลยนะครับ ถ้าเป็นเรื่องค่าที่พัก เดี๋ยวผมจ่ายให้…”

“ผู้ช่วยคิม คุณคิมจูฮยอกครับ ใจเย็นก่อนนะครับ ผมไม่ได้จะขอเงินคุณสักหน่อย”

ผู้จัดการอีโบกมือปฏิเสธก่อนดึงเก้าอี้มานั่ง

“สงสัยผมคงจะพูดล้อเล่นต่อหน้าคุณไม่ได้แล้วสินะครับ ว่าแต่คุณจำเรื่องที่บอกผมเมื่อวานได้ไหมครับ ตอนที่อยู่บนรถแล้วคุณร้องเพลงว่าอยากไปฮาวายน่ะ”

“เอ่อ…ครับ”

นั่นไงล่ะ เมาสร้างเรื่องจนได้ อึดอัดคอชะมัด

ผมปรับเนกไทที่ซ่อนอยู่ใต้สูทเล็กน้อย

“ถึงผมจะไม่สามารถพาคุณไปฮาวายได้ในทันทีเดี๋ยวนี้ แต่…”

เรื่องนั้นผมไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำ อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากไปกับเจ้านายด้วย ผมอยากไปที่นั่นเพราะมันเป็นที่ที่ไม่มีเจ้านายต่างหากล่ะ

“แต่ผมน่าจะเลี้ยงอาหารฮาวายคุณได้เดี๋ยวนี้ เพราะงั้นคุณช่วยไปกับผมหน่อยได้ไหมครับ”

“แล้วเรื่องค่าที่พักอะไรนั่นล่ะครับ”

“ก็ตอบแทนโดยการไปกินข้าวกับผมนี่ไงครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอเป็นคนจ่ายนะครับ”

“ไม่ได้สิครับ นี่ผมเป็นคนชวนคุณนะ”

ผู้จัดการอีเอื้อมมือมาวางกุมบนหลังมือของผม

“ให้โอกาสผมได้ทำคะแนนหน่อยนะครับ”

ผมผลักมือของผู้จัดการอีออก ก่อนที่เขาจะกุมมือตัวเองราวกับเสียหน้า

“คุณไม่อยากไปเหรอครับ”

“เปล่าครับ ขอบคุณนะครับ”

“ถ้างั้น…วันเสาร์นี้คุณว่างไหมครับ”

ตอนนี้เจ้านายของผมกำลังถามถึงงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่ใช่งานในวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนตัวผมก็ดันเป็นมนุษย์เข้าสังคมซะด้วยสิ

“ก็ว่างแหละครับ”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปรับคุณที่บ้าน ขอที่อยู่หน่อยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผม…”

ลักยิ้มของผู้จัดการอีดึงดูดสายตาผมไปจนหมด จู่ๆ ภาพเรือนร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเขาเมื่อเช้าก็ผุดเข้ามาในหัว ผมนึกถึงกางเกงในสีดำและเฟอร์นิเจอร์โมเดิร์นที่เหมือนกับในนิตยสารอินทีเรียดีไซน์ บางทีอาจจะมีเรื่องให้ผู้จัดการอีต้องเข้ามาในบ้านผมก็ได้ แต่ผมไม่อยากให้เขาเห็นเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อจากเอาต์เลตกระจอกๆ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นบ้านของผมยังแต่งผนังกับพื้นด้วยสีเชอรี่อีกต่างหาก

“เดี๋ยวผมไปหาผู้จัดการที่บ้านเองครับ”

“ช่างเถอะ ถ้างั้นเอานามบัตรผมไปก่อนแล้วกัน อย่าลืมส่งที่อยู่มาให้ผมทางข้อความด้วยล่ะ”

ผู้จัดการอีผุดลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างอีกครั้ง ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะขึ้นสีเล็กน้อย

“เพราะในอนาคตผมน่าจะได้ไปส่งคุณบ่อยๆ”

 

“สติสตังลอยไปไกลถึงไหนเนี่ย ไม่กินข้าวเที่ยงหรือไง”

ผู้ช่วยคังดึงเก้าอี้ผมไปด้านหลัง ร่างกายผมจึงถูกลากย้ายไปข้างหลังทั้งอย่างนั้น

“ผมไม่ค่อยอยากอาหารน่ะครับ”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็กินอะไรสักหน่อยเถอะ พ่อวีรบุรุษแห่งการเลิกงานตรงเวลา”

“เฮ้อ ช่วยไปไกลๆ หน่อยได้ไหมครับ”

“คุณอิมชวนไปร้านอร่อยๆ ที่อยู่ข้างหน้านี้ด้วยกันเนี่ย เห็นว่าออกทีวีด้วยนะครับ”

“ถ้างั้นคนก็น่าจะเยอะมากๆ เลยไม่ใช่เหรอครับ”

“ได้ยินว่าออกทีวีเมื่อสามเดือนก่อนน่ะ”

“ถ้างั้นเราไปกันเถอะครับ”

พอผมผุดลุกขึ้น ผู้ช่วยคังก็ก่นด่าผมทันทีว่าไหนบอกว่าไม่กินไง

ถ้าเป็นร้านอร่อยก็ต้องไปอยู่แล้วสิ ยิ่งถ้าเป็นร้านอร่อยที่ออกอากาศไปนานแล้ว แบบนั้นก็ยิ่งแสดงว่าไม่ต้องรอคิวนาน

ผมลงไปยังชั้นหนึ่งก่อนจะเห็นพนักงานอาวุโสอิมกับพนักงานฮากำลังรออยู่ ทันทีที่ฮาวอนอีเห็นผม ใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อขึ้นมาในฉับพลัน ผมยกมือขึ้นโบกทักทาย ทว่าเขากลับหันหน้าหนีไป ผู้ช่วยคังจึงใช้ศอกทุ้งสีข้างผมจึกๆ

“บรรยากาศของคุณสองคนนี่มันอะไรเนี่ย”

“อยากจะพูดอะไรอีกแล้วล่ะครับ”

“ก็ผู้ช่วยคิมชอบพนักงานฮาไม่ใช่เหรอครับ”

“ผมเนี่ยนะ?”

“ก็พอเห็นคุณวอนอีแล้ว สีหน้าของคุณก็ดูผ่อนคลายขึ้นอะ”

“ผมเป็นแบบนั้นตอนไหนกัน”

“ไม่ได้ชอบจริงๆ น่ะเหรอ”

“เด็กนั่นแค่คล้ายกับน้องสาวของผมน่ะครับ”

ผู้ช่วยคังวิ่งไปหาพนักงานฮาด้วยท่าทีเหมือนเด็กๆ เขาวิ่งไปกอดคอทำทีเป็นสนิทสนมก่อนพูดขึ้น

“ผู้ช่วยคิมบอกว่าคุณวอนอีน่ารักเหมือนน้องสาวด้วยนะครับ”

“เฮ้อ ผู้ช่วยคัง ให้ตายเถอะ”

ติ่งหูของฮาวอนอีแดงมากขึ้นไปอีก เขาหันมามองผมราวกับว่ารู้สึกไม่พอใจ

“น้องเหรอครับ”

“อย่าใส่ใจเลยครับ ผู้ช่วยคังเขาแค่ล้อเล่นน่ะ”

ผมตบไหล่ของฮาวอนอีปุๆ เขาเดินเข้ามาประชิดตัวผม ในขณะที่ผู้ช่วยคังก็ลากพนักงานอาวุโสอิมเดินนำหน้าไป แขนของฮาวอนอีเฉียดผ่านแขนผมไป ผมรู้สึกเหมือนว่าเขาน่าจะจงใจเดินเฉียดไปแบบนั้น ไม่ทันไรฮาวอนอีก็ยกมือขึ้นมาลูบติ่งหูตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันกลับมามอง

“ผมอายุยี่สิบหกแล้วนะครับ”

ฮาวอนอีทำแก้มป่องอย่างงอนๆ ผมจึงใช้นิ้วจิ้มแก้มนั้น ก่อนที่เขาจะอ้าปากน้อยๆ ราวกับตกใจ

ทีนี้หน้าแดงเถือกเลยแฮะ

“เด็กจังแฮะ”

“ไม่ได้เด็กสักหน่อย”

และแล้วฮาวอนอีก็เดินหนีผมไป

 

ร้านอาหารที่เรามาถึงยังคงมีลูกค้านั่งกันอยู่เต็มร้านทั้งที่ออกอากาศรายการทีวีมาได้สามเดือนแล้ว เหล่าพนักงานออฟฟิศที่ไม่เสียดายเวลาพักกลางวันต่างก็มารวมตัวอยู่ที่นี่

“เราไปร้านอื่นกันดีไหม”

ผู้ช่วยคังแอบเหลือบมองพวกเราเล็กน้อย พวกเราที่กำลังพูดคุยกันอย่างเอ้อระเหยอยู่ด้านหลังสุดของแถวจึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางกันทันที พอพนักงานอาวุโสอิมถามว่าไปร้านซุนแดกุกกันไหม ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน โควตาซุนแดกุกในเดือนนี้เต็มเรียบร้อยไปตั้งแต่ตอนที่ผมไปกินกับผู้จัดการอีแล้ว

สุดท้ายพวกเราก็เข้าไปยังร้านอาหารเก่าๆ ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านที่กำลังดูละครอยู่หันมาจ้องพวกเราตาเขม็งอย่างกับว่าจู่ๆ พวกเรามานั่งที่โต๊ะเหมือนกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่นานนักเจ้าของร้านก็เอาจานเครื่องเคียงอย่างถั่วผัดซีอิ๊วและผัดลูกชิ้นปลาโยนส่งมาให้บนโต๊ะอย่างส่งเดชราวกับนินจา

ฮาวอนอีดึงทิชชูออกมาแล้ววางตะเกียบกับช้อนลงไป ส่วนสามคนที่เหลือก็พากันเอะอะโวยวายแย่งกันรินน้ำ ช่างเป็นชีวิตที่ต้องแข่งขันไปซะทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเสียจริง

ต่อให้จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจปักหมุดมาที่ร้านนี้ก็เถอะ แต่เมนูทั้งหมดกลับดูไม่ได้น่ากินเลยสักนิด ถึงสิ่งที่ควรจะมีก็มีครบหมด แต่สิ่งที่อยากกินกลับไม่มีสักอย่าง นอกจากพนักงานอาวุโสอิมที่สั่งซุปเต้าเจี้ยวแล้ว ทุกคนต่างก็สั่งอาหารชุดเนื้อผัดซอสกันหมด

หลังจากที่สั่งอาหารกันเสร็จสรรพ พวกเราทุกคนต่างก็พากันเงียบหมด ผมเหลือบมองเข้าไปในโทรศัพท์มือถือครู่หนึ่งเพราะรู้สึกอึดอัดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับฮาวอนอี ทว่าเขากลับหลบสายตาผมไปเสียอย่างนั้น

ความเงียบงันดำเนินต่อไปอีกสักพัก ก่อนที่พนักงานอาวุโสอิมจะเป็นคนเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน

“อ๊ะ จะว่าไปแล้วคุณวอนอีบอกว่าช่วงนี้มีเรื่องกลุ้มใจไม่ใช่เหรอคะ”

พนักงานอาวุโสอิมคีบลูกชิ้นปลาขึ้นมาใส่ปากก่อนเอ่ยถาม ฮาวอนอีตกใจจนสะดุ้งโหยงพลางกำแก้วน้ำเอาไว้แน่น

“เอ่อคือ…เรื่องนั้น…”

“หืม? อะไรกัน เรื่องความรัก?”

ผู้ช่วยคังมองผมพลางยิ้มแปลกๆ จนโหนกแก้มของเขายกขึ้นสูง ผมจึงส่ายหัวพลางถามขึ้น

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ช่วงนี้ผม…” ฮาวอนอีกัดริมฝีปาก “ผมไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องแบบนี้ไหม แต่ว่า…”

ฮาวอนอีลอบสังเกตท่าทีของผม ผมจึงวางตะเกียบที่คีบลูกชิ้นปลาอยู่ลง ก่อนที่เจ้าของร้านจะถือถาดสแตนเลสเดินมาทางพวกเรา จากนั้นหม้อดินเผาที่ใส่แกงกิมจิจนล้นออกมาก็ถูกนำมาวางตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเรา

“ช่วงนี้เหมือนจะมีสตอล์กเกอร์ตามผมอยู่น่ะครับ”

“ว่าไงนะ”

“บ้าไปแล้ว!”

“เอ่อ…พวกเราไม่ได้สั่งอันนี้…”

เจ้าของร้านโยนบิลลงมากลางโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปในครัวหน้าตาเฉย

“อะไรของร้านนี้วะ…ขอโทษนะครับ!”

ผู้ช่วยคังผุดลุกขึ้นอย่างงงๆ แล้วหันไปมองด้านหลัง แต่ก็ไร้คำตอบใดกลับมา

สีหน้าท่าทางของฮาวอนอีดูไม่ดีเท่าไหร่นัก เล็บสีชมพูสวยของเขาจิกกับแก้วน้ำแน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังช้อนมองผมอยู่นั้นเปล่งประกายเป็นสีเหลืองอำพันท่ามกลางแสงแดด

แต่ว่า…สตอล์กเกอร์เนี่ยนะ?

“แล้วนี่คุณลองแจ้งตำรวจไปหรือยังครับ”

ฮาวอนอีส่ายหัว

“ทางตำรวจบอกว่าไม่สามารถทำการจับกุมได้เนื่องจากไม่ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกฝ่ายน่าจะเป็นแค่อัลฟ่าที่กำลังเพ่งเล็งโอเมก้าอยู่ เขาก็เลยบอกให้ผมจัดการควบคุมฟีโรโมนตัวเองให้ดีๆ…”

“นั่นปากเหรอ!”

พนักงานอาวุโสอิมวางตะเกียบลงอย่างแรงราวกับเขวี้ยงทิ้งจนตะเกียบข้างหนึ่งเด้งกระเด็นออกไปนอกโต๊ะ ผมหยิบตะเกียบคู่ใหม่ขึ้นมาให้แล้วเอ่ยปากถาม

“นี่ครับคุณอิม เดี๋ยวสิ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีคนแอบไล่ตามคุณตอนกลับบ้านอะไรแบบนี้เหรอครับ”

“คิดว่าน่าจะตามมาตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินน่ะครับ…เขาสวมฮู้ดใส่หมวกสีดำปิดหน้าปิดตา แต่ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ถ้าวันไหนที่ผมเปลี่ยนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เขาก็จะมายืนรออยู่ที่สวนสาธารณะหน้าบ้าน…”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็คงจะมารอเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าอย่ากลับบ้านเลยน่าจะดีกว่านะครับ”

ผู้ช่วยคังพูดขึ้นขณะที่พนักงานอาวุโสอิมตักแกงกิมจิเข้าปากคำหนึ่ง

“คุณอิมสั่งแกงเต้าเจี้ยวไม่ใช่เหรอครับ”

“โอ๊ะ นี่มันแกงกิมจินี่”

ผู้ช่วยคังโอบไหล่ของฮาวอนอีก่อนจะส่งสายตาแปลกๆ มาที่ผม

“ผู้ช่วยคิมจูฮยอก วันนี้คุณวอนอีน่าจะกลับบ้านไม่ได้นะครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ อึ๋ย เค็มจัง คุณวอนอีวันนี้อย่ากลับบ้านเลยนะคะ มันอันตรายเกินไป”

และแล้วสายตาทั้งสามคู่ต่างก็จ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว

อย่าบอกนะ…

“เฮ้อ อย่าทำแบบนี้กันสิครับ”

ฮาวอนอีมองพนักงานอาวุโสอิมกับผู้ช่วยคังสลับกันไปมาก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม

“คุณคงลำบากใจที่จะบอกให้พ่อแม่ออกมารับใช่ไหมครับ”

“ทั้งคู่ค่อนข้างยุ่งน่ะครับ อีกอย่างผมเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย…”

“เกิดมาเป็นโอเมก้ามันก็ลำบากแบบนี้เนี่ยแหละน้า”

ผู้ช่วยคังแสร้งทำเป็นทอดถอนใจ ผมคนแกงกิมจิราวกับกำลังไม่พอใจก่อนจะวางช้อนลง

“ถ้างั้นวันนี้จะทำยังไงครับ”

ฮาวอนอีหยิบช้อนขึ้นมา

“ไม่รู้สิครับ…ก็อาจจะต้องเลิกงานช้าหน่อย…”

ผู้ช่วยคังยังคงจ้องผมไม่วางตาในขณะที่พนักงานอาวุโสอิมเองก็ใช้ศอกทุ้งสีข้างผม ก่อนที่ผู้ช่วยคังจะขยับปากพูดแบบไร้เสียง

‘ลง-ไป-รับ?’

“ให้พาไปด้วยต่างหากล่ะคะ”

และแล้วพนักงานอาวุโสอิมก็เป็นคนเฉลยให้

“อะแฮ่ม”

ฮาวอนอียกมือขึ้นปิดปากก่อนแสร้งกระแอมกระไอ ผู้ช่วยคังจึงแกล้งกระซิบข้างหูของเขา ซึ่งแน่นอนว่าผมได้ยินมันทั้งหมด

“ได้ข่าวว่าคุณวอนอีถูกคุณซอแผนกการเงินจับได้แล้วสินะครับ?”

ฮาวอนอีพยายามรีบตะครุบปากของผู้ช่วยคัง ผู้ช่วยคังจึงจับข้อมือของฮาวอนอีเอาไว้ก่อนจะหัวเราะคิกคักหน้าระรื่น ในขณะที่ใบหน้าของฮาวอนอีแดงก่ำไปทั้งหน้า

ส่วนผมนั้นก็ได้แต่คิดหนัก นี่ผมต้องพาฮาวอนอีกลับบ้านไปด้วยจริงๆ เหรอเนี่ย ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ แต่ผมไม่อยากพาเขามาบ้านสักเท่าไหร่เลย ฮาวอนอีกับผมเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน อีกทั้งเมื่อวานนี้ผมก็ไม่ได้กลับบ้าน ดังนั้นเรื่องทำความสะอาดบ้านนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เสื้อผ้าอะไรก็ยังไม่ทันได้ซักเลยมั้งเนี่ย

แต่ถึงอย่างนั้นครั้นจะปล่อยให้ฮาวอนอีกลับบ้านไปคนเดียวแบบนี้ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะพาไปอยู่ด้วยกันได้สักวันแหละนะ ถึงจะไม่สามารถช่วยเหลือต่อไปได้เรื่อยๆ ในอนาคต แต่แค่วันนี้…แค่วันนี้เท่านั้น จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนอาการเมาค้างจากเมื่อคืนจะกลับมาเล่นงาน

“คุณวอนอี ถ้างั้นวันนี้มาค้างบ้านผมไหมครับ”

ไม่รู้ว่าผู้ช่วยคังชอบใจอะไรนักถึงได้ยิ้มปากบานแบบนั้น

“ไม่ครับ ไม่เป็นไรหรอก”

“คุณก็อย่าไปปฏิเสธสิ ผู้ช่วยคิมเขาเป็นห่วงนะ นี่ถ้าได้ไปดื่มเหล้าด้วยกันอีกสักหน่อยและสนิทกันขึ้นมาสักนิดก็คงจะดี”

“ใช่ จะปล่อยให้ไปคนเดียวมันก็ยังไงๆ อยู่นะ”

ดูเหมือนฮาวอนอีจะลังเลอยู่นิดหน่อย แต่แล้วไม่นานนักเขาก็พูดขึ้น

“ผมคิดว่าการไปบ้านคนอื่นอย่างกะทันหันแบบนี้มันค่อนข้างเป็นการรบกวนน่ะครับ เพราะงั้นไม่เป็นไรจริงๆ นะครับ แต่ว่า…” ฮาวอนอีมองผมแล้วพูดต่ออย่างระมัดระวัง “ถ้าหากคุณไม่ว่าอะไร ผมอยากรบกวนให้ช่วยไปส่งผมที่บ้านหน่อยน่ะครับ”

ผู้ช่วยคังผิวปากอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เจ้าของร้านถืออะไรบางอย่างเดินมาทางด้านหลังของผู้ช่วยคังอีกครั้ง อาหารที่กองกันเหมือนภูเขานั้นดูแปลกๆ พิลึกไม่น่าไว้ใจ

“นอนค้างบ้านผมก่อนแล้วค่อยกลับเถอะครับ ถ้าบ้านคุณอยู่คนละทางกับบ้านผม การไปบ้านคุณแล้วย้อนกลับมามันลำบากผมมากกว่าน่ะครับ”

ดูเหมือนฮาวอนอีอยากจะพูดอะไรอีก แต่แล้วก็เงียบไปและได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่รอยยิ้มจะประดับขึ้นบนริมฝีปากของเขา

นี่ผมคงไม่ได้ตัดสินใจอะไรที่อาจจะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังใช่ไหมนะ

ในตอนนั้นเองเจ้าของร้านก็ได้วางเนื้อผัดซอสจานไซส์ยักษ์ลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นบนโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวของพวกเรา

 

ผมรอจนเวลาเลิกงานพอดีแล้วลงไปยังชั้นหนึ่ง แผนกการเงินวิ่งวุ่นกันไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้เป็นช่วงก่อนปิดยอดหรือเปล่า ผมเห็นพนักงานอาวุโสอิมที่วิ่งไปนู่นทีไปนี่ที แม้ว่าผมจะโบกมือให้แล้ว แต่เธอน่าจะไม่เห็น และในตอนนั้นใครคนหนึ่งก็ยื่นหน้าออกมาอย่างกับตัวตุ่นพร้อมกับจ้องมองมาที่ผม

น่าอายชะมัด

“เอ่อ ใครครับเนี่ย…”

“อ่า ผมคิมจูฮยอก อยู่ทีมดูแลลูกค้าทีมหนึ่งครับ พอดีว่าผมมาหาคุณวอนอี…”

“อ๋า คุณวอนอี”

พนักงานแผนกการเงินตรงหน้ากวาดสายตามองผมจากบนลงล่างก่อนจะชี้มือบอกทาง

การกวาดสายตามองคนอื่นหัวจรดเท้าอย่างเปิดเผยแบบนั้นมันเสียมารยาทนะเว้ย

ผมบ่นงึมงำอยู่ภายในใจพลางเดินตามเขาไป

โต๊ะทำงานของฮาวอนอีอยู่ด้านในสุด บนพาร์ทิชั่นมีฟิกเกอร์สุนัขตัวเล็กตัวหนึ่งตั้งอยู่ และมีโพสต์อิตสีเหลืองกับสีชมพูแปะอยู่ติดกันอย่างน่ารัก บรรดาพนักงานที่อยู่รอบๆ ต่างเหลือบมองมาที่ฮาวอนอี ทว่าเจ้าตัวกลับเอาหัวจุ่มโต๊ะอยู่เหมือนกับกำลังตั้งใจทำงาน

“คุณวอนอี มีแขกมาน่ะครับ”

“โอ๊ะ ผู้ช่วยคิม!”

ฮาวอนอีเงยหน้าพรวดขึ้นมา บนโต๊ะของเขามีช็อกโกแลตกับขนมต่างๆ กองอยู่เกลื่อนไปหมด ดูท่าเขาคงอายเลยรีบกวาดบรรดาขนมทั้งหลายไปไว้มุมข้างของโต๊ะ

“นี่คุณเสร็จงานแล้วเหรอครับ ผมเองก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ…”

“ให้ผมรอข้างนอกไหมครับ”

ฮาวอนอีส่ายหัว พนักงานที่พาผมมาตบไหล่ของเขาปุๆ ก่อนพูดขึ้น

“คุณวอนอีกลับไปเถอะครับ ที่เหลือไว้ทำพรุ่งนี้ก็ได้”

“ครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผม…”

“ผู้ช่วยคิมจูฮยอก…”

พนักงานคนเดิมกวาดสายตามองผมอีกครั้ง จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะลูบจับไหล่ของฮาวอนอีตามอำเภอใจ

“เบต้า?”

อย่างน้อยผมก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เบต้า แต่ดูจากท่าทีและน้ำเสียงที่ดูแคลนเบต้าอย่างผมแล้ว อีกฝ่ายน่าจะต้องเป็นอัลฟ่าอย่างแน่นอน

โลกใบนี้มีอัลฟ่าแบบนี้อยู่เต็มไปหมด พวกที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่นและชอบดูถูกเบต้ากับโอเมก้า ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจตรรกะของคนพวกนั้นสักเท่าไหร่ แต่คนประเภทนั้นมักจะมีความคิดที่ว่าพวกเบต้านั้นบกพร่อง และพวกโอเมก้าก็ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของอัลฟ่า

ช่างเป็นความคิดที่แสนโง่เขลา เพราะแม้จะไม่ใช่อัลฟ่า แต่พวกโอเมก้าเองก็ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายโดยที่ไม่มีอะไรให้ต้องอิจฉาผู้อื่น และเบต้าเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน ชีวิตของเบต้าที่คั่นกลางอยู่ระหว่างอัลฟ่ากับโอเมก้านั้นมีเสถียรภาพสุดๆ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสติสัมปชัญญะโดยปราศจากการติดสัดและไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของฟีโรโมน แถมประกันสุขภาพก็จ่ายเบี้ยแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เบต้าน่ะคือบรรทัดฐานตรงกลางของสังคมมนุษย์ต่างหากล่ะ

“ส่วนคุณคงจะเป็นโอเมก้าสินะครับ”

ผมจงใจพูดในสิ่งที่อัลฟ่าเกลียดมากที่สุด และดูเหมือนคำยั่วยุของผมจะใช้ได้ผลดีกับอีกฝ่ายเสียด้วย เพราะหมอนั่นถึงกับกัดริมฝีปากแน่น ผมจงใจเดินเข้าไปใกล้เขาคนนั้นขึ้นอีกก้าว เขาตัวเตี้ยกว่าผมซะอีก และผมก็รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายผงะไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง

“ยังไงก็รบกวนจัดการกับฟีโรโมนให้ดีหน่อยนะครับ…”

ผมเห็นฮาวอนอีรีบเร่งเก็บของ ผมด้านหน้าของเขาปรกลงมาปิดตาเอาไว้อยู่ ผมจึงช่วยปัดผมหน้าม้าให้อย่างลืมตัว ฮาวอนอีเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะยิ้มให้กัน และในวินาทีนั้นผมก็นึกถึงยัยกอริลล่าที่บ้านขึ้นมา

“…ถึงผมจะไม่ค่อยรู้อะไรเพราะเป็นเบต้าก็เถอะ”

“ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ผู้ช่วยคิมครับ เรารีบไปกันเถอะ”

ฮาวอนอีดันหลังผมออกมาจากแผนกการเงิน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ผมทำผิดอะไรหรือไง”

“โอ๊ย ทำไมถึงได้พูดไปแบบนั้นล่ะครับ เขาเป็นพนักงานอาวุโสที่น่ากลัวมากๆ เลยนะ”

“ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ”

ฮาวอนอีจับแขนเสื้อผมแล้วลากออกไป ทว่าพอผ่านล็อบบี้ไปแล้วผมก็หลุดหัวเราะออกมา

“โทษทีๆ ผมพูดอย่างนั้นไปเพราะรู้สึกเหมือนว่าเขาดูถูกผมที่เป็นเบต้าน่ะ”

“คุณทำดีแล้วล่ะครับ”

ท้ายทอยของฮาวอนอีที่เดินนำหน้าอยู่นั้นแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาผิวขาวมากหรือเปล่า มันถึงได้ขึ้นสีเร็วขนาดนั้น

ในระหว่างที่ฮาวอนอีกำลังลากผมไปอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

“รู้ได้ไงเหรอครับว่าพนักงานอาวุโสเป็นโอเมก้า”

“โอเมก้า? ผมพูดแบบนั้นไปเพราะนึกว่าเขาเป็นอัลฟ่าซะอีก”

“แต่เมื่อกี้นี้คุณเหมือนอัลฟ่าสุดๆ ไปเลยนะครับ”

ฮาวอนอีหันกลับมามองผม ก่อนที่ผมจะเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนมุมปากเขา

“ผู้ช่วยคิมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับบ้านหรือเปล่าครับ”

“อื้อ ขึ้นสายสองไปน่ะ”

“ถ้างั้นคนน่าจะเยอะมากแน่เลย ผมว่าเราไปหาของอร่อยๆ กินกันก่อนแล้วค่อยกลับกันดีกว่าครับ”

ฮาวอนอีควงแขนผม ในจังหวะที่เราเดินผลักประตูหมุนออกมา ผมก็เห็นกระหม่อมของฮาวอนอีที่อยู่ตรงหน้าใกล้เพียงแค่ปลายจมูก

“เดิมทีแล้วผมเกลียดอัลฟ่าน่ะครับ”

“มันก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้นี่ครับ”

“แต่เมื่อกี้ผมกลับคิดว่ามันคงจะดีถ้าผู้ช่วยคิมเป็นอัลฟ่า” ฮาวอนอีเอนไหล่มาพิงกับแขนของผมก่อนจะผละตัวออกไป “ผมคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยก็คงจะเริ่มต้นได้ง่ายน่ะครับ”

แก้มของฮาวอนอีที่หันกลับมามองผมนั้นแดงระเรื่อ

อย่าบอกนะว่าฮาวอนอี…ผม

ผมเอียงคออย่างสับสน จะว่าไปแล้วฮาวอนอีก็เคยบอกว่าตกหลุมรักผมตั้งแต่แรกพบนี่ อย่าบอกนะ นี่คงไม่ใช่ว่าเขายังชอบผมอยู่ หรือมีความรู้สึกแบบนั้นหลงเหลืออยู่หรอกนะ?

ฮาวอนอีเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเปล่งประกายแวววับ

วันนี้ผมต้องพาเขาไปบ้าน

นี่ผมคงไม่ได้เลือกอะไรผิดไปหรอกนะ ฮาวอนอีมีสตอล์กเกอร์สะกดรอยตามอยู่ และผมเองก็แค่พยายามที่จะช่วยเหลือเท่านั้น ผมแค่พยายามจะช่วยเหลือเขาเพียงเท่านั้นจริงๆ

ในระหว่างที่กำลังสบตากับฮาวอนอีนิ่งๆ อยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังแสบแก้วหู พวกเราจึงรีบหันกลับไปด้านหลัง ก่อนจะเห็นว่ามีรถหรูสีดำสนิทจอดเทียบอยู่ตรงไหล่ถนน

รถซีดานสุดคุ้นตา

รถของผู้จัดการอี

และมันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คิด ผู้จัดการอีเปิดประตูแล้วเดินลงมาจากรถ ท่าทางยามเขาจัดผมให้เข้าทรงเรียบร้อยนั้นดูเหมือนกับหลุดมาจากนิตยสารภาพอะไรสักอย่าง หลังจากจัดการกับผมเสร็จเขาก็ก้าวขาเรียวยาวเข้ามาหาอย่างสบายอารมณ์

“เลิกงานแล้วเหรอครับ”

“ผู้จัดการอีกำลังกลับบ้านเหรอครับ”

“พอดีผมกำลังรอใครบางคนอยู่น่ะ”

ผู้จัดการอีมองผมก่อนส่งยิ้มพราวโปรยเสน่ห์ หากจะหาคนที่ตรงกับนิยามของคำว่าหล่อเหลา ผู้จัดการอีก็คงเป็นคนที่ตรงกับนิยามนั้นที่สุด จู่ๆ ผมก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

ถ้าผมเป็นโอเมก้า บางทีผมอาจจะหวั่นไหวใจสั่นไปกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้ก็ได้

อัลฟ่าสุดหล่อกำลังรอผมอยู่ ทว่าผมเป็นเบต้า และอีกฝ่ายที่กำลังรอผมอยู่นั้นก็เป็นถึงเจ้านายด้วย

สถานการณ์นี้มันเรียกว่านรกได้หรือเปล่านะ

แต่แล้วผู้จัดการอีที่มองผมพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั้นก็เคลื่อนสายตาลงมา

“เหมือนจะมีเพื่อนร่วมทางมาด้วยแฮะ”

ฮาวอนอีมายืนขวางกั้นระหว่างผมกับผู้จัดการอี

“อะไร”

ผมรีบยกมือปิดปากฮาวอนอีโดยฉับพลัน ดูท่าคงเพราะเขาเป็นพนักงานสัญญาจ้างเลยน่าจะไม่รู้จักผู้จัดการอี

นี่เขาเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้นายนะเว้ย ไอ้เด็กบ้านี่

“คุณวอนอีพูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ”

ผมก้มหัวลงพร้อมกับกระซิบข้างหูบอกฮาวอนอี ทว่าฮาวอนอีกลับจับมือของผมที่ปิดปากตัวเองอยู่ออก

“ผู้จัดการครับ เด็กคนนี้คือ…”

“ผมรู้ครับ ฮาวอนอี ทายาทโอเมก้าคนเดียวของเครือดงอูโภคภัณฑ์”

คำพูดที่คาดไม่ถึงหลุดออกมาจากปากของผู้จัดการอี ผมเหมือนเห็นออร่าราศีส่องสว่างออกมาจากด้านหลังของฮาวอนอี ก่อนที่เขาจะใช้กำปั้นชกเข้าที่สีข้างของผู้จัดการอี

“อัลฟ่าที่กำลังยุ่งอยู่มาเสนอหน้าทำอะไรอยู่ตรงนี้”

ผู้จัดการอีจัดการใช้นิ้วดันหว่างคิ้วของฮาวอนอีอย่างมันเขี้ยว

“พูดอะไรแปลกๆ ฉันกำลังรอนายอยู่ไง ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

อ้าว ไม่ได้รอผมหรอกเหรอ ที่แท้ก็กำลังรอฮาวอนอีอยู่นี่เอง

จู่ๆ หน้าของผมก็พลันเห่อร้อนขึ้นมา เพราะแบบนี้สินะเจ้าซอลกีโดถึงได้บอกว่าผมเป็นโรคหลงตัวเอง

ฮาวอนอีมองค้อนผู้จัดการอี

“ก็ผมยุ่งอยู่นี่ พี่ชีฮยอน”

ทั้งคู่เหมือนแข่งจ้องตากันแปลกๆ จากนั้นต่างคนต่างก็หลบสายตาไปอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่ผู้จัดการอีจะหัวเราะคิกคัก

ภาพนั้นทำเอาหนังโรแมนติกหลายสิบตอนฉายวนขึ้นมาภายในหัวของผม

อัลฟ่าที่มารอโอเมก้าเนี่ยนะ? หรือว่าทั้งคู่จะคบกันอยู่?

แล้วไหนผู้จัดการอีบอกว่าชอบผมไง หรือว่าคิดจะนอกใจแล้วทิ้งฮาวอนอี?

ถึงผมจะไม่ค่อยรู้ทัศนคติของพวกอัลฟ่าสักเท่าไหร่ แต่พอลองนึกถึงตัวอย่างที่เคยมีมาของหัวหน้าแผนกซอแล้ว มันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่จะว่าไปแล้วผมก็ไม่เคยได้ยินฮาวอนอีบอกว่าตัวเองมีแฟนอยู่แล้วเลยแฮะ แถมเขาก็ดูเหมือนจะไม่ชอบอัลฟ่าด้วย

บางทีความเป็นจริงนั้นอาจจะเป็นหนังคนละม้วนกันก็ได้ โรงหนังในหัวของผมตอนนี้หมุนเล่นหนังฟิล์มนัวร์* ด้วยความเร็วนับสิบเท่า พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเครือดงอูโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของบริษัทเรา ผู้จัดการอีชีฮยอนกำลังเผชิญหน้าและประมือกับอำนาจมืดที่กุมเงินทุนของบริษัทเราเอาไว้ และโอเมก้าที่อยู่ตรงกลางท่ามกลางสงครามนั้นก็คือฮาวอนอี นี่สินะ…การแข่งขันและความขัดแย้งของวงการธุรกิจที่ดุเดือดเลือดสาด

ผมเริ่มมองฮาวอนอีใหม่อีกครั้ง จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาจนถึงตอนนี้ ทว่าตอนนี้มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงออร่าบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ นี่สินะ…ออร่าของพวกคนรวย

จะว่าไปแล้วมันก็แปลก พนักงานสัญญาจ้างที่เข้ามาทำงานอย่างกะทันหัน พนักงานอาวุโสเพิ่งออกไปแท้ๆ แต่ก็มีเด็กใหม่เข้ามาเสียบแทนที่ทันที แถมยังเป็นโอเมก้าอีกต่างหาก จิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่กำลังค่อยๆ ประกอบกันอยู่ภายในหัวผมทีละชิ้น

บางทีฮาวอนอีอาจจะเป็นเด็กเส้นก็ได้ ไม่สิ เขาต้องเป็นเด็กเส้นอย่างแน่นอน หรือบางทีอาจจะเป็นสายลับทางธุรกิจก็ได้ ให้ตายสิ นี่ผมคิดไปไกลเกินไปหรือเปล่านะ

“อยู่ตรงนี้ต่อไปก็เสียเวลาเปล่า ก่อนอื่นเราขึ้นรถกันก่อนเถอะ”

ฮาวอนอีเดินไปที่รถของผู้จัดการอีอย่างว่าง่าย สุดท้ายผู้จัดการอีก็ได้กลายเป็นเพื่อนร่วมทางไปด้วยอีกคนโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเห็นของผมเลย ที่นี่มีใครคิดจะฟังความเห็นของผมบ้างไหมเนี่ย ตอนนี้ผมอยากกลับบ้านต่างหากเล่า กลับไปโดยที่ทิ้งไอ้สองคนนี่ไว้

ฮาวอนอีเปิดประตูที่นั่งด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ

“เข้าไปก่อนเลยครับ”

“พอดีคุณจูฮยอกเขาชอบที่นั่งข้างคนขับน่ะ…ที่นั่งข้างคนขับ”

ผู้จัดการอีเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้ผม ผมจึงใช้สมองตรึกตรองเพื่อแสดงถึงความสามารถในการเข้าสังคมของผมอย่างเต็มที่

“เดี๋ยวผมนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับเองแล้วกันครับ”

สุดท้ายแล้วอำนาจก็คือที่สุด เพราะแบบนั้นผมทำตามคำพูดของเจ้านายน่าจะดีกว่า แต่ดูเหมือนว่านั่นจะทำให้ฮาวอนอีงอนผม

“ขึ้นรถเร็วสิครับ ที่นั่งข้างคนขับน่ะ คุณจูฮยอกชอบที่นั่งข้างคนขับใช่ไหมล่ะครับ”

ผู้จัดการอีย้ำคำว่า ‘ที่นั่งข้างคนขับ’ เร่งเร้าผม พอผมขึ้นรถไปก็รู้สึกหายใจไม่ออกกับบรรยากาศที่เงียบสงัดนี่ทันที ส่วนวอนอีเองก็นั่งกอดอกไขว่ห้างในแบบที่ใครเห็นเข้าก็รู้ว่าเขาดูไม่พอใจ

ผู้จัดการอีสบตากับฮาวอนอีผ่านทางกระจกหลัง

“จะไปไหน บ้าน?”

“…”

“ฉันถามว่าจะไปไหน วอนอี”

“เรากำลังจะไปบ้านผมกันครับ วันนี้คุณวอนอีตกลงว่าจะนอนที่บ้านของผมน่ะครับ”

ผู้จัดการอีทำตาโตแล้วหันมามองผมในขณะที่ตัวรถยังคงขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล

“ผู้จัดการครับ มองทางข้างหน้าหน่อยสิครับ…”

“อ๋า ใช่ ข้างหน้า ต้องมองทางข้างหน้าสินะ ต้องขับขี่ปลอดภัยไม่งั้นจะโดนค่าปรับ ว่าแต่พวกคุณสองคนสนิทกันเหรอครับ”

“ครับ เอ่อ…ก็เข้ากันได้ดีแหละครับ”

“วอนอีไม่ได้ก่อเรื่องอะไรให้ใช่ไหมครับ”

“นี่ พี่!”

ฮาวอนอีโวยวายพลางเกาะพนักพิงที่นั่งคนขับเอาไว้

“แล้ววันนี้มีเรื่องอะไร ทำไมวอนอีถึงได้จะไปบ้านคุณจูฮยอกเหรอครับ”

ผู้จัดการอีถามคำถามที่ฟังดูไม่ใช่คำถาม ก่อนที่ฮาวอนอีจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงอู้อี้

“ก็โดนตามสตอล์กเกอร์…”

“แล้วทำไมถึงต้องไปบ้านคุณจูฮยอกด้วยล่ะ”

ผู้จัดการอีถามซ้ำใหม่อีกครั้ง ฮาวอนอีที่ผมเห็นผ่านทางกระจกหลังกำลังกระวนกระวายและทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสนิทกันระดับไหน

“เรื่องสตอล์กเกอร์ พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะลองสืบดูสักครั้ง”

“แล้วพี่ยุ่งไรด้วยอะ”

“น้องโดนสตอล์กเกอร์ตามทั้งคน จะให้พี่บอกว่า ‘อ๋อ งั้นเหรอครับ’ แล้วเขวี้ยงเรื่องนี้ออกจากหัวไปหรือไง คุณน้าเองก็โทรมาบอกพี่ว่านายไม่สบายใจ”

“โทรแจ้งตำรวจเอาก็ได้นี่”

ไหนบอกว่าแจ้งตำรวจแล้วไม่ได้อะไรไง ฮาวอนอีนี่ดื้อดึงเกินตัวไปจริงๆ ทว่าดูจากการที่โต้เถียงกันแล้ว พวกเขาคงจะสนิทสนมกันน่าดู

“แล้วสรุปว่าทำไมถึงต้องไปบ้านคิมจูฮยอกด้วยล่ะ นี่นาย…เบต้าอีกแล้ว…เฮ้อ ช่างเถอะ”

“เงียบไปเลยนะ”

“วันนี้มานอนที่บ้านพี่แล้วกัน อย่าไปทำให้คุณจูฮยอกเขารำคาญเลย”

“…”

ฮาวอนอีเอนหลังพิงพนักอย่างหงุดหงิด ส่วนผมที่ลอบสังเกตมานานก็เปิดปากพูดขึ้น

“พวกคุณสองคนรู้จักกันได้ยังไงเหรอครับ”

“อ๋า วอนอีเป็นญาติผมเองครับ ลูกพี่ลูกน้องน่ะ”

พอผมหันไปมองฮาวอนอี เขาก็พยักหน้าหงึกหงัก

ในที่สุดก็หยุดฉายหนังในหัวได้สักที!

ธรรมดากว่าที่คิดไว้อีกแฮะ หลังจากคาดเดาไปทั่วตั้งแต่ความสัมพันธ์พี่น้องร่วมสถาบัน ความสัมพันธ์แบบเพื่อนบ้าน สุดท้ายก็กลับเป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือด สิ่งที่เรียกว่าเงินทองนี่มันไหลไปตามสายเลือดจริงๆ สินะ

“ครอบครัวผมทุกคนเป็นอัลฟ่ากันหมดยกเว้นแม่น่ะครับ ซึ่งมันก็น่าแปลกเหมือนกันที่มีแต่พวกอัลฟ่าเกิดมา ผมเองก็เป็นอัลฟ่าลูกคนเดียว ส่วนพวกญาติๆ เองก็เป็นอัลฟ่ากันหมด เว้นแต่…”

“มีแค่ผมคนเดียวที่เป็นโอเมก้า”

ฮาวอนอีโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“เพราะแบบนั้นก็เลยได้รับความรักมากมายจนทำให้วอนอีรำคาญใจน่ะครับ และบางทีนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นิสัยเขาเกเรหน่อยๆ”

ผู้จัดการอีหัวเราะเบาๆ ถึงในใจจะคิดว่านี่เป็นจังหวะที่ควรจะต้องหัวเราะไปด้วย แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากเกร็งจนแข็งทื่อไปหมด

อยากกลับบ้านชะมัด

“ทั้งสองคนยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม ไหนๆ มีโอกาสทั้งที ถ้างั้นเราไปร้านอาหารที่พี่ตั้งใจจะไปกับคุณจูฮยอกสุดสัปดาห์นี้กันไหม”

“นี่พี่กับคุณผู้ช่วยนัดเจอกันวันสุดสัปดาห์แค่สองคนเหรอ”

ฮาวอนอีโผล่หน้าพรวดมาข้างหน้า ผู้จัดการอีจึงเอ่ยปากเตือนเขาว่ามันอันตราย จะว่าไปแล้วฮาวอนอีเวลาอยู่กับผู้จัดการอีนั้นดูเด็กกว่าปกติไปมากเลยแฮะ

ผมรู้สึกอึดอัดเพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไปดี

‘พอดีว่าผมติดหนี้บุญคุณผู้จัดการอีเอาไว้น่ะครับ ก็เลยนัดกันไว้ว่าเดี๋ยวผมจะเลี้ยงข้าว’…ฟังดูไม่เมกเซ้นส์สุดๆ

ผมควรจะอธิบายสถานการณ์แปลกๆ นี้ว่ายังไงดีนะ

“พอดีพี่ชวนเขาไปกินข้าวน่ะ พี่กับคุณจูฮยอกตกลงจะเป็นเพื่อนกันแล้ว ใช่ไหมครับ”

“ผมพูดอย่างนั้นไปเหรอครับ”

“คุณพูดแบบนั้นตอนดื่มเหล้าไงครับ คุณบอกว่าจะเป็นเพื่อนกับผม ผมเลยตอบตกลงไป คุณจำไม่ได้เหรอครับ”

“ผมเนี่ยนะครับ?”

ผมจำไม่ได้เลยสักนิด ทว่าผู้จัดการอีกลับยิ้มหน้าบาน บางทีเขาอาจจะโกหกก็ได้ ผมไม่มีทางพูดแบบนั้นออกไปแน่ ชวนผู้จัดการเป็นเพื่อนเนี่ยนะ? ไม่ใช่ระดับผู้ช่วยเหมือนกันสักหน่อย ความกล้าที่ผมได้รับมาจากแอลกอฮอล์นั้นเกินขอบเขตไปมากจริงๆ

“นี่ทั้งสองคนไปดื่มด้วยกันมาแล้ว?”

ฮาวอนอีโพล่งถาม ความสนใจของทุกคนในรถมุ่งเป้ามาทางผมไม่หยุด สงสัยคงต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาสักหน่อยแล้ว เรื่องที่พอจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาทั้งคู่ได้นั้นก็…

“ว่าแต่เรื่องสตอล์กเกอร์เนี่ย ปัญหาใหญ่จริงๆ เลยว่าไหมครับ”

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เริ่มพูดออกมาด้วยประโยคนั้น ลางสังหรณ์ที่บอกว่าผมได้ทำพลาดลงไปแล้วกำลังไต่ไล่ขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง รู้งี้น่าจะเอาเรื่องมื้อเย็นมาคุยซะยังจะดีกว่า อย่างเช่นว่า ‘ถ้าพูดถึงอาหารมื้อเย็นก็ต้องเป็นอาหารฮาวายเอี้ยนใช่ไหมล่ะครับ คือผมชอบกุ้งมากเลยนะครับ กุ้งไงครับ บางทีเมื่อชาติก่อนผมคงจะเป็นปลาวาฬ’…

“ก่อนอื่นเราต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนั้นกันก่อนไม่ใช่เหรอครับ”

บางทีตำรวจเขาอาจจะ…แต่จะว่าไปแล้วเห็นบอกว่าตำรวจเองก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้นี่ นี่เป็นปัญหาคุกคามใหญ่โตจริงจังเลยนะ ถ้าอย่างนั้นเราก็คงจะต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเองสิ

และแล้วความคิดในหัวผมก็วกกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ผมไม่รู้วิธีการพูดเบี่ยงประเด็นเลยสักนิด นี่ผมควรพูดอะไรดีนะ ที่นี่ไม่มีคนที่จะช่วยผมได้เลยสักคน แต่ผมก็ต้องจบเรื่องนี้ลงให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม

“เราจะทำยังไงกันดีครับ”

เชิญเสนอความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระเลยครับ

ไร้สาระชะมัด…นี่ไม่ใช่การดำเนินรายการข่าวสถานการณ์ปัจจุบันสักหน่อย แล้วทำไมผมถึงได้เปิดปากพูดไปล่ะวะเนี่ย เขาว่ากันว่าตราบใดที่เราไม่พูดก็จะไม่มีใครรู้ว่าเราโง่ แต่นี่ผมดันพูดพล่ามไหลไปถึงไหนแล้วเนี่ย

ผมสังเกตดูท่าทีของฮาวอนอี ทว่าเขากลับกำลังจ้องมองผมอยู่ เขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกของผมไหมนะ ความรู้สึกของผมที่กลายเป็นพิธีกรรายการข่าวไปแล้วหลังจากเปลี่ยนเรื่อง

“บางทีอาจจะเป็นคนรู้จักก็ได้”

ผู้จัดการอีพูดขึ้นหน้านิ่ง

“พี่!”

“จำตอนนั้นไม่ได้เหรอ ไอ้คนที่ก่อเรื่องแล้วบอกว่าชอบนายมาก ถ้าไม่มีนายก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้น่ะ…”

“โอ๊ย พี่!”

ผู้จัดการอีเหลือบมองผมก่อนจะหัวเราะออกมา

“คุณจูฮยอกเองก็อยู่ด้วยแท้ๆ ผมไม่น่าพูดเลย คงเพราะวอนอีของเราเกิดมาสวยเกินไปหน่อยก็เลยเจอเรื่องแปลกๆ แบบนั้นเป็นประจำน่ะครับ”

“แบบนั้นก็ยิ่งเรื่องใหญ่เลยสิครับ”

“บางคนนี่ถึงขั้นกระโจนเข้ามาบอกว่าจะทำพันธะเลยนะ…คงเพราะแบบนั้นแหละ วอนอีเลยชอบเบต้ามากกว่าอัลฟ่า พวกแฟนเก่าเองก็น่าจะเป็นเบต้าหมดเลยนี่ พี่พูดถูกไหมล่ะ”

ใบหน้าของฮาวอนอีที่สะท้อนอยู่บนกระจกมองหลังนั้นซีดเผือด ผมยอมรับเลยว่าตกใจไม่น้อย ทั้งที่ผมเองก็เดาสเป็กของฮาวอนอีเอาไว้แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้มีนิสัยชอบมาเปิดอกคุยเรื่องรสนิยมของคนอื่นแบบนี้ เพียงแต่ขอแค่เป้าหมายนั้นไม่ใช่ผมก็พอ

ผู้จัดการอียิ้มกว้างให้กับกระจกมองหลัง

“สงสัยพี่คงต้องเงียบปากแล้วสินะ?”

“ได้โปรดเถอะ”

ผมหลุดขำคิกคักออกมา เขาทำให้ผมคิดถึงคิมจูยองขึ้นมา สงสัยคงต้องถามหน่อยแล้วว่ายัยกอริลล่านั่นเอาเงินค่าขนมไปซื้ออะไร คนอย่างยัยนั่นถ้าไม่ถามก็คงไม่บอกกันแน่ๆ ต่อให้เลี้ยงมากับมือ แต่ยัยนั่นก็คงไม่บอกอะไรผมหรอกถ้าผมไม่ถาม

“ใกล้ถึงแล้วครับ จริงสิ พูดถึงเรื่องแฟนแล้ว วอนอีรู้เรื่องนั้นด้วยหรือเปล่าครับ” ผู้จัดการอีหมุนพวงมาลัยโดยที่รอยยิ้มยังคงประดับบนมุมปาก “เรื่องที่คุณจูฮยอกบอกว่าจะไม่มีแฟน”

ผู้จัดการอีแอบสบตากับผม

ข้างหน้าโว้ย ข้างหน้าๆ ได้โปรดช่วยสนใจมองทางข้างหน้าทีเถอะ

“ไม่มีแบบเด็ดขาดเลยน่ะ”

 

* ฟิล์มนัวร์ เป็นชื่อเรียกประเภทของภาพยนตร์ประเภทหนึ่ง หรืออาจจะเรียกว่า ‘ฟิล์มดำ’ ‘ภาพยนตร์ดำ’ หรือ ‘ภาพยนตร์มืด’ โดยภาพยนตร์ที่จัดให้อยู่ในประเภทฟิล์มนัวร์นั้นจะเป็นภาพยนตร์ที่ใช้แสงและสีมืดทึบหรือขาวดำเป็นหลัก แสดงให้เห็นถึงด้านมืดในจิตใจมนุษย์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรื่องก็ไม่ได้บ่งบอกว่าใครดีใครเลวกว่ากัน ทุกคนมีปะปนกันไปทั้งดีและเลว

Chapter 3.3

 

ผมกับฮาวอนอีลงจากรถมาก่อนในระหว่างที่ผู้จัดการอีไปจอดรถ ร้านอาหารที่ผู้จัดการอีพูดถึงน่าจะอยู่ข้างในโรงแรมนี้ พอได้ลองคาดเดาเรตราคาแล้วผมก็เกิดเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าผมต้องเป็นคนจ่าย สงสัยคงต้องผ่อนจ่ายไปหลายงวดแน่ๆ

ฮาวอนอีที่กำลังมองภาพรถซีดานจอดเข้าซองอย่างเรียบร้อยเอ่ยเรียกผม

“ผู้ช่วยคิมครับ”

“ครับ?”

“เรื่องที่บอกว่าจะไม่มีแฟนนั่นเรื่องจริงเหรอครับ”

“อ๋อ ใช่ครับ”

“ทำไมเหรอครับ”

“ถ้าจะให้พูดมันก็ยาวน่ะครับ…”

สาเหตุที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่มีแฟนนั้นก็เป็นเพราะเรื่องของหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอนั่นแหละ ผมคิดหนักว่าควรจะบอกเรื่องราวความรักที่คาดไม่ถึงซึ่งเกิดขึ้นในทีมดูแลลูกค้าให้พนักงานในแผนกการเงินอย่างฮาวอนอีรู้ดีไหม บางทีต่อให้ผมไม่พูด ข่าวลือนั่นก็อาจจะกระจายไปทั่วแล้วก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมคุยโม้เรื่องของคนอื่นมันก็น่าตลกไม่น้อยเช่นกัน อย่างน้อยๆ หัวหน้าอีก็จริงใจต่อหัวหน้าแผนกซอ และอีกอย่างต่อให้เรื่องนั้นจะทำให้ผมเหนื่อยหน่ายมากขนาดไหน แต่มันก็ไม่โอเคสักเท่าไหร่กับการพูดจาพล่อยๆ ในเรื่องความจริงใจของคนอื่น

“คือผม…อืม…ไม่คิดจะมีความรักน่ะครับ”

ฮาวอนอีเงยหน้าขึ้น แสงไฟจากเสาไฟเผยให้เห็นใบหน้าของเขา ผมจึงพลั้งปากพูดไปโดยอัตโนมัติ

“สิ่งที่เรียกว่าความรักน่ะ มันคือการที่คนเรามีความสุขด้วยกันนี่ครับ แต่พอมองดูรอบตัวแล้ว จะว่ายังไงดีล่ะ รอบตัวผมมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิครับ ต่างคนต่างยึดติดกัน ทะเลาะกัน อีกอย่างมันก็มีเรื่องแบบนั้นอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ เรื่องที่ว่าความรักของอัลฟ่ากับโอเมก้านั้นคือเรื่องของโชคชะตา แต่สำหรับเบต้าแล้วมันก็แค่เป็นความรักเฉยๆ ต่อให้ไม่ได้เจอหน้ากัน มันก็ไม่ได้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ…”

ผู้จัดการอีกำลังเดินมาทางเรา เขากับฮาวอนอีหน้าตาดูไม่ได้คล้ายกันเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่ตรงที่ทั้งคู่คงจะต้องพบเจอกับความรักที่โชคชะตาได้กำหนดไว้ในสักวันหนึ่ง ความรักที่แสนน้ำเน่าและน่าประทับใจในคราวเดียวกันเพราะพวกเขาเป็นอัลฟ่าและโอเมก้า

ส่วนผมนั้นเป็นเบต้า

“ผมไม่อยากจะมีหรอกนะ ถ้าความรักมันยุ่งยากและซับซ้อนมากขนาดนั้น ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตแบบธรรมดาน่ะครับ”

ผู้จัดการอีโบกมือให้พวกเราพลางก้าวเท้าเดินตรงเข้ามา ในขณะที่ฮาวอนอีกำลังลอบสังเกตท่าทีของผมและดูเหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูด ผมก็พูดเสริมขึ้นเบาๆ

“อีกอย่างนะครับ ไม่ค่อยมีใครมาชอบผมกันหรอกครับ”

จู่ๆ ฮาวอนอีก็หัวเราะขึ้นมา

“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกครับ ก็มีผมอยู่คนนึงนี่ไง”

ฮาวอนอีเดินนำผ่านหน้าผมไป ฝีก้าวของผมค่อยๆ ช้าลง ภาพเงาบนพื้นของฮาวอนอีกับผู้จัดการอีนั้นดูเหมาะกันจนผมแทบไม่อยากเชื่อ

ผมขึ้นลิฟต์ของโรงแรมไปจนถึงเลานจ์ พอผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฮาวอนอีกับผู้จัดการอีแล้วก็รู้สึกอึดอัดในใจขึ้นมา

เรื่องความรักที่คุยกันเมื่อกี้นี้มันทำให้ใจผมกระสับกระส่ายไปหมด

ผมกำลังมองข้ามความรู้สึกดีๆ ที่ผู้จัดการอีกับฮาวอนอีมีให้อย่างเย็นชา

ผู้จัดการอีเองก็คงจะต้องเป็นคนแบบนั้นแน่ๆ คนเป็นอัลฟ่าก็ต้องคบกับโอเมก้าแล้วก็แต่งงานกันสิ ส่วนผมน่ะเป็นแค่เบต้า ถ้าจะให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าการจีบของผู้จัดการอีนั้นเป็นเพียงแค่การล้อเล่นไม่ได้จริงจังอะไรก็เท่านั้น ไม่มีทางหรอกที่อัลฟ่าจะมาชอบเบต้าอย่างผม

ปฏิกิริยาโต้ตอบที่โอเมก้าคนอื่นๆ หรือแม้แต่ฮาวอนอีแสดงให้ผมเห็นก็คงเป็นแบบนั้นเช่นกัน ทุกคนก็แค่เข้าใจความปรารถนาดีที่ผมมอบให้ผิดไป ผมคิดว่าหลังจากนี้ฮาวอนอีก็คงจะได้เจอกับอัลฟ่าของตัวเอง

แต่มันก็มีบางอย่างแปลกๆ…ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มดูแปลกไป

การที่ผู้จัดการอีเดินมาช่วยดึงเก้าอี้ของผมออกให้นั้นก็แปลก การที่ฮาวอนอีเอาตัวมาแนบชิดผมแล้วแนะนำไวน์นั่นนี่ให้ก็น่าหวาดระแวงเช่นกัน การที่ทั้งสองคนคอยจ้องตาผมตอนที่คุยกันก็ชวนฉงน การยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นั้นก็มีบางอย่างดูน่าสงสัย ตอนนี้การคุยเล่นของสองคนนั้นไม่ได้เข้าหูผมเลยสักนิด

แต่แล้วจู่ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่กับเหล่าคนที่บอกว่าชอบผม

‘ผมชอบคุณ’

คำสารภาพรักของผู้จัดการอีผุดขึ้นมาในหัวของผม ในขณะเดียวกันใบหน้าของฮาวอนอีที่แดงระเรื่อยามมองหน้าผมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมละสายตาจากแก้วไวน์ที่กระเพื่อมไหวเล็กน้อย เหล่าตัวละครหลักในห้วงความคิดของผมกำลังนั่งอยู่ตรงหน้านี้ และดวงตาทั้งสองคู่ต่างก็กำลังจับจ้องมาที่ผม

ผมรู้จักแววตาพวกนั้นดี มันเป็นแววตาที่ผมเห็นทุกวันในบริษัท แววตาของโอเมก้าและอัลฟ่ายามตกหลุมรักใครสักคน

แต่ผมเป็นเบต้า

ผมเป็นเบต้านะเว้ยเฮ้ย!?

“ผมขอตัวสักครู่นะครับ”

ผมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มแทนไวน์ก่อนจะลุกขึ้น ผู้จัดการอียกยิ้มที่ดูใจดีให้ ในขณะที่ฮาวอนอีเองก็โบกมือให้ผม และในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินคำพูดที่สองคนนั้นกระซิบกระซาบกัน

“นี่นายยังแก้นิสัยเดิมของนายไม่ได้อีกหรือไง”

“ว่าแต่ผม พี่เองก็มีนัดเจอตอนวันหยุดสุดสัปดาห์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

ผมได้ยินหมดนะเฮ้ย

แล้วทำไมถึงได้เป็นอัลฟ่าผู้ชายกับโอเมก้าผู้ชายด้วยล่ะวะเนี่ย ถ้าเป็นอัลฟ่าสาวหรือโอเมก้าสาวก็น่าคิดอยู่หรอก ก็แฟนเก่าของผมล้วนแต่เป็นผู้หญิงกันหมดเลยนี่ แถมยังเป็นเบต้าอีกต่างหาก

ผมไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ชอบอีกเช่นกัน

ผมเดินเข้าห้องน้ำก่อนจะล้างมืออยู่นานสองนานทั้งที่ก็ไม่ได้มีอะไรเลอะเปรอะมือ จากนั้นผมก็ใช้มือที่เย็นขึ้นกดนวดลงบนเปลือกตา ตอนนี้ผมรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด

บางทีมันอาจจะเป็นความจริงใจทั้งหมดเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของผู้จัดการอีที่บอกว่าชอบผม หรือคำพูดที่ฮาวอนอีพูดเมื่อครู่นี้ว่า ‘ก็มีผมอยู่คนนึงนี่ไง’

ทำไมอัลฟ่าอย่างเขาถึงมาบอกชอบผมกันนะ อย่าบอกนะว่ามันไม่ใช่แค่การล้อเล่นน่ะ? ปกติแล้วพวกอัลฟ่าเองก็ชอบเบต้าหรอกเหรอ

แล้วทำไมโอเมก้าถึงได้มาบอกว่าชอบผมกันนะ นั่นก็เป็นคำพูดจากใจจริงหรือเปล่า

ผมพยายามเปิดโทรศัพท์มือถือ ทว่ามันก็กดไม่ติดเนื่องจากมือผมเปียก ผมจึงดึงทิชชูอย่างลวกๆ แล้วเช็ดมือ

ซอลกีโดไง ผมต้องถามเจ้าซอลกีโด…

เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานนักก่อนที่ซอลกีโดจะรับสาย

“ว่าไงพี่!”

“นี่ กีโด ฉันมีอะไรอยากถามหน่อย”

“อะไรอะ เดี๋ยวผมกำลังจะเข้าฉากแล้วเนี่ย”

“พวกอัลฟ่ากับโอเมก้าก็ชอบเบต้าด้วยเหรอ”

“จู่ๆ พี่พูดเรื่องไรเนี่ย”

“ก็นายเป็นอัลฟ่าใช่ไหมล่ะ”

“ก็ใช่”

“ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้จักอัลฟ่ากับโอเมก้าดีไม่ใช่เหรอ นายชอบเบต้าไหม อัลฟ่าอย่างนายสามารถชอบเบต้าได้ด้วยเหรอ”

“นี่พี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย”

ซอลกีโดเดาะลิ้น ผมรู้สึกปวดร้าวในอกไปหมด ถ้าเกิดพวกนั้นคิดว่าผมอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปแล้วจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ‘อ๋อ พอดีผมท้องผูกครับ’ ไม่ๆ ไม่เข้าท่าเลยสักนิด

“พี่ลองคิดดูนะ พี่จำคนที่เคยมาชอบพี่ได้ไหม เด็กรัฐศาสตร์การทูตอะ”

“เคยมีใครมาชอบฉันด้วยเหรอ”

“อะไรของพี่เนี่ย พี่นี่ท่าจะหนักแล้วนะ พี่ ฟังผมดีๆ นะ ผมจะรีบพูด พอดียุ่งอยู่ ตอนสมัยเรียนมหา’ลัย มีพวกอัลฟ่า โอเมก้า เบต้าที่ชอบพี่เยอะจะตายไป ต่อให้บอกว่าเป็นโอเมก้าหรืออัลฟ่าก็ไม่ได้หมายความว่าชอบเบต้าไม่ได้สักหน่อย ถ้าพี่คิดแบบนั้นก็เป็นอคติของพี่เองแล้ว ขนาดแฟนเก่าผมยังเป็นเบต้าเลย”

“…”

“เกิดเป็นอัลฟ่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะคบกับเบต้าไม่ได้สักหน่อย ความจริงมันก็เป็นแบบนั้นแหละ”

“เอ่อ…”

“ผมวางก่อนนะ ผู้กำกับเรียกแล้ว ไว้เดี๋ยวผมโทรไปใหม่!”

ผมยัดโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋าก่อนจะกดนวดเปลือกตาเบาๆ

แฟน…แฟน…

“อึก…ฮึก…”

เสียงครางดังมาจากประตูห้องน้ำห้องในสุด ทำเอาผมได้แต่ถอนหายใจ

เริ่มอีกแล้วสินะ

ความรักของโอเมก้ากับอัลฟ่านั้นเป็นเรื่องทางร่างกาย ทั้งการเกิดอาการติดสัด ทั้งการลุ่มหลงอยู่กับฟีโรโมนของกันและกัน สำหรับเบต้าแล้วมันเป็นโลกที่เข้าไม่ถึงเลยสักนิด เพราะแบบนั้นมันถึงได้ยากยิ่งกว่าเดิม

ผมเดินไปยังห้องน้ำด้านใน ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังข่มความรู้สึก คนแบบนี้มีเยอะมากมายเต็มไปหมด และผมก็ไม่ได้เพิ่งมาเจอคนแบบนี้แค่วันสองวัน โลกของอัลฟ่ากับโอเมก้ามันก็แบบนี้แหละ ซึ่งคนในห้องน้ำห้องนี้เองก็คงจะมีแฟนอัลฟ่าที่ซ่อนเอาไว้อยู่อย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะซ่อนเรื่องราวความรักที่น่าสงสารเอาไว้อยู่ก็ได้ คนเราไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตให้ยุ่งยากซับซ้อนขนาดนั้นเลย

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฮึก…”

“ให้โทรเบอร์หนึ่งหนึ่งเก้าเรียกรถพยาบาลไหมครับ”

“แฮก…อึก…”

“นี่คุณคงไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมทรามในที่สาธารณะอยู่ใช่ไหมครับ”

เสียงครวญครางยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือว่า…นี่เขาคงไม่ได้กำลังช่วยตัวเองอยู่หรอกใช่ไหม

ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ เลยลองคลำกระเป๋ากางเกงหายาระงับอาการฮีต ก่อนจะดึงทิชชูมาห่อเม็ดยาหนึ่งเม็ดเอาไว้แล้วสอดเข้าไปทางใต้ประตูห้องน้ำ

“ขอโทษนะครับ นี่ยาระงับครับ ก่อนอื่นกินนี่เข้าไปก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะไปเรียกพนักงานในร้านมาให้นะครับ”

“ฮึก!”

และในตอนนั้นเองเสียงครางแหลมสูงก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนเหมือนกำลังหัวเราะคิกคักอยู่

จริงสินะ บางทีก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โอเมก้ากับอัลฟ่าที่เกิดความใคร่มักจะมาใช้เวลาเริงรักกันอย่างแสนสนุกข้างนอก ผมเคยเห็นเรื่องแบบนั้นทั้งที่บริษัทและที่ร้านอาหารเหมือนอย่างวันนี้ และแน่นอนว่าผมก็ทำได้เพียงแค่ยืนปรับลมหายใจอยู่เงียบๆ

พอลองคิดดูดีๆ แล้วมันก็ชัดเจนอยู่ ผมไม่ชอบทั้งโอเมก้าและอัลฟ่า ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมไม่ชอบ ผมพยายามเพื่อที่จะปกป้องหัวใจของผมเอาไว้อย่างดี แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว

ผมไม่ชอบ…ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

ผมเกลียดสังคมนี้ที่ถูกอัลฟ่ากับโอเมก้ายึดครองไว้หมด

ส่วนเบต้านั้นก็ต้องใช้ชีวิตไปอย่างเบต้า

ผมกำหมัดแน่น

ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมโดนดูถูกอีกต่อไปแล้ว

ผมออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินตรงไปเรียกพนักงาน

“เหมือนจะมีคนแปลกๆ อยู่ในห้องน้ำห้องสุดท้าย รบกวนช่วยไปลากออกมาทีนะครับ ไม่ทราบว่าที่นี่ไม่มีคนตรวจตราห้องน้ำกันเลยเหรอครับ”

พนักงานกลอกตาไปมาก่อนจะก้มหัวงกๆ แล้ววิ่งออกไป ส่วนผมก็ยืนกอดอกรออยู่ตรงนั้นตามเดิม ไม่นานนักพนักงานหลายคนก็มารวมตัวกันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

จากนั้นผมก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ก่อนเอ่ยปากขอให้เรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกนี้มา โดยจงใจทำเสียงเหมือนร้อนใจ

“ผมได้ยินเสียงครางจากในห้องน้ำ ดูเหมือนจะมีใครโดนทำร้ายนะครับ”

พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ตกใจหน้าตาตื่นก่อนรีบยกโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อภายในขึ้น ส่วนผมก็ส่งข้อความเรียกตำรวจอย่างเงียบๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเห็นพนักงานคนหนึ่งเคาะประตูห้องน้ำพลางตะโกนลั่น

“เฮ้! คุณเป็นอะไรไหมครับ เปิดประตูหน่อยครับ ถ้าไม่ออกมาจะแจ้งความแล้วนะครับ!”

ผมได้ยินเสียงฝาชักโครกกระแทกปิดลงเสียงดังอึกทึกครึกโครม จากนั้นก็มีคนสองคนออกมาจากห้องน้ำจริงๆ คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่หน้าตาสวยมากๆ กับอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่แค่มองดูก็รู้แล้วว่าคงมีฐานะไม่ใช่เล่น ทั้งที่ทั้งคู่เป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าเข้าไปอยู่ในห้องแคบๆ แบบนั้นได้ยังไง

พวกพนักงานต่างตกใจและถอยหลังไป ในวินาทีเดียวกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินมาอย่างเร่งรีบดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกนี้ที่สวมเครื่องแบบเต็มยศจะเดินปรี่เข้ามา

“ผมได้รับแจ้งมาน่ะครับ”

“ผมก็บอกแล้วนี่ว่าอย่าทำอะ…”

“นี่พวกคุณทำอะไรกันอยู่ครับ”

คนสองคนที่ออกมาจากห้องน้ำถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าพนักงานบริกรและพนักงานรักษาความปลอดภัย

น่าสนุกชะมัด ผมล่ะอยากให้โดนลากไปสถานีตำรวจกันทั้งแบบนี้เลยจริงๆ

พนักงานรักษาความปลอดภัยล็อกแขนผู้ชายตัวสูงใหญ่เอาไว้ ในขณะที่ผู้ชายตัวเล็กผงะไปเพราะความตกใจก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น

“ก่อนอื่นไปสถานีตำรวจด้วยกันก่อน! ไอ้พวกคนหนุ่ม! ชิ!”

เยส เอาตัวไปสถานีตำรวจเลย

“ปล่อยผมนะครับ!”

“ฮึก…ฮือ…”

“นี่มัน…เอ๊ะ? โอ๊ะ หนีไปแล้ว! พี่เรียกผู้จัดการเร็วครับ!”

“ผมเจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ ทางผมได้รับแจ้งมาว่ามีใครบางคนมีเพศสัมพันธ์กันที่นี่”

สถานการณ์ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด ผมรู้สึกราวกับมีเพลงซามุลโนรี* กำลังบรรเลงอยู่ลึกๆ ภายในใจ เหล่าพนักงานเองก็ต่างร้อนอกร้อนใจ แต่ภายในใจผมกลับโล่งสบาย ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีใครบางคนมาตบบ่าผมดังปุๆ

“มาทำอะไรอยู่ที่นี่ครับเนี่ย”

เขาคนนั้นคือผู้จัดการอี ผมเบิกตาที่เรียวคมขึ้นแล้วจ้องไปที่เขา ผู้จัดการอีเองก็เป็นอัลฟ่า สักวันหนึ่งเขาก็อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแบบนั้นได้เหมือนกัน ผมจะเชื่อใจพวกอัลฟ่าไม่ได้ พวกโอเมก้าเองก็เช่นกัน

“รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นน่ะครับ ผมเลยกำลังเฝ้าดูอยู่น่ะ”

“นั่นมัน…”

ผู้จัดการอีจ้องมองชายสองคนที่ถูกตำรวจลากออกไปก่อนจะรีบหันกลับมาหาผมอย่างรวดเร็ว

“อย่าบอกนะว่าเป็นคนรู้จักของคุณน่ะ?”

“ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกครับ”

“โล่งอกไปที”

“อาหารออกมาเสิร์ฟพอดีเลยครับ คุณชอบกุ้งใช่ไหม”

“ชอบครับ”

“ถ้างั้นก็เยี่ยมไปเลย”

ผู้จัดการอียกยิ้มอย่างอ่อนโยน ลักยิ้มบนแก้มนั้นดูเหมาะกับเขาเกินไปจริงๆ และในตอนนั้นเองผมก็ตัดสินใจได้

“ผมมีของต้องทิ้งนิดหน่อย สักครู่นะครับ”

ผมคลำกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเอายาระงับออกมา ก่อนจะรั้งพนักงานที่เดินผ่านไปแล้วยัดยาระงับใส่มือของเขา

“นี่เป็นยาระงับของโอเมก้า รบกวนช่วยจัดการให้หน่อยนะครับ จะเอาไปทิ้งหรือเอาไปทำอะไรก็ได้ครับ”

“ครับ?”

พนักงานจ้องมองผมอย่างงุนงงแล้วหันไปมองผู้จัดการอี และเมื่อเขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงเรื่อ

“เอ่อ…ยาระงับ? ตอนนี้เลยเหรอครับ”

“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะครับ”

ผมลูบมือของพนักงานเบาๆ พนักงานใช้ทั้งสองมือกำยาระงับเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นของมีค่า

“ขะ…ขอให้มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันนะครับ…”

พอกลับมายังที่นั่ง ผมก็เห็นฮาวอนอีกำลังนั่งเท้าคางอยู่ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”

“พอดีมีเรื่องวุ่นวายที่ห้องน้ำนิดหน่อยน่ะ”

บนโต๊ะมีอาหารประเภทกุ้งที่ดูน่ากินวางอยู่ กุ้งที่เอาลงไปทอดอย่างดีมีสีแดงอมส้มมันวาว กลิ่นกระเทียมและกลิ่นเนยหอมกรุ่น และผมรู้สึกได้ถึงรสชาติเผ็ดหวานของพริกเปปเปอรอนชีโน่จากกลิ่นนั้น

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว กลิ่นอะไรอย่างอื่นในชีวิตนี้ผมไม่ต้องการเลยสักนิด เพราะเบต้าอย่างผมนั้นไม่ต้องการของอย่างฟีโรโมนหรอก อีกอย่างอาหารนี่ก็ไม่มีทางทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศได้

“พอดีคุณจูฮยอกบอกว่าชอบอาหารประเภทกุ้งน่ะ”

ผู้จัดการอีพูดขึ้น ก่อนที่ฮาวอนอีจะยิ้มกว้าง

“โล่งอกไปทีครับ”

ทั้งคู่เข้ากันได้ดีมากเลยทีเดียว ถึงผมจะไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ต่อให้ใครมองมาก็คงเข้าใจผิดคิดว่าทั้งคู่เป็นคนรักกัน มันเป็นค่านิยมมาตรฐานของโอเมก้ารูปงามกับอัลฟ่ารูปหล่อ ทุกอย่างล้วนเป็นพลังของสายเลือดทั้งนั้น

ส่วนครอบครัวเบต้าอย่างผมก็จะมีแต่เบต้าเกิดมาเท่านั้น อาจมีบ้างที่บังเอิญมีโอเมก้าหรืออัลฟ่าเกิดมา แต่นั่นก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ นอกจากนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ในบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมปรากฏช้า

เบต้าที่ไม่ใช่เบต้า

นั่นแหละคือคนเหล่านั้น

การที่ผู้จัดการอีกับฮาวอนอีสามารถกลายเป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าได้อย่างราบรื่นแบบนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะพันธุกรรมล้วนๆ

พวกเขาแตกต่างจากผมนับตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลกแล้ว และในอนาคตพวกเขาก็จะมีชีวิตต่างไปจากผม

ผมกระดกไวน์เข้าไปรวดเดียวเหมือนดื่มโคล่า

สายตาของคนทั้งคู่มองตามแก้วไวน์ที่ว่างเปล่านั้น ผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งติดอยู่ที่ปลายจมูก

“ผมจะขอพูดอีกครั้งนะครับ…ผมไม่คิดมีแฟน”

สายตาของพวกเขาทั้งคู่เคลื่อนมาจับจ้องที่ผม

“ต่อให้พวกคุณสองคนจะบอกว่าชอบผม แต่ผมก็จะไม่คบใครครับ”

ผู้จัดการอีหัวเราะขึ้นมา

“ผมจะไม่ขอคุณเป็นแฟนให้คุณลำบากใจหรอกครับ อย่าห่วงเลย”

ฮาวอนอีเงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการอี ผมเองก็จ้องเขม็งไปที่ผู้จัดการอีเช่นกัน

“จริงเหรอครับ”

“ก็เรื่องคบกันมันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนนี่ครับ ถ้ามีฝ่ายหนึ่งไม่ได้ชอบแล้วจะคบเป็นแฟนกันได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่คิดจะรบเร้าเซ้าซี้ให้คุณเป็นแฟนกันหรอกนะครับ” ผู้จัดการอีก้มลงมองฮาวอนอี “ใช่ไหม วอนอี?”

ฮาวอนอีเติมไวน์ลงในแก้วไวน์ของผม ผู้จัดการอีเหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดริมฝีปากเหมือนคิดหนัก และแล้วฮาวอนอีก็พยักหน้าตอบ

“ถ้าไม่อยากมีใครมันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ”

“เพราะฉะนั้นจากนี้ไปก็อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะครับ อย่างเช่นคำว่าชอบผมอะไรทำนองนั้นน่ะ ผมลำบากใจนะครับ”

ผู้จัดการอีฝืนหัวเราะเจื่อนๆ

“เข้าใจแล้วครับ”

“ผมคิดว่าคนเราไม่ควรสร้างบาดแผลให้กับคนอื่นโดยเด็ดขาดน่ะครับ โดยเฉพาะเรื่องความรัก”

“คุณพูดถูกแล้วล่ะครับ ผมเองก็ได้ยินเรื่องข่าวลือของทีมดูแลลูกค้ามาเหมือนกัน เอ่อ…แล้วก็ได้ข่าวว่าพี่ชีฮยอนไปหาคุณผู้ช่วยทุกวันเลยนี่ครับ ทุกวันตอนเช้าเลย”

ฮาวอนอีมองผู้จัดการอีก่อนยิ้มร่า ในขณะที่ผู้จัดการอีดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดแก้ว ดูท่าคงจะคอแห้ง

“เพราะแบบนั้นต่อจากนี้ผมจะไม่ไปยุ่งกับปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของใครอีกแล้วครับ”

ผมกลืนไวน์ลงไปหลายอึก รสชาติฝาดเฝื่อนแผ่ซ่านอยู่ที่ปลายลิ้น

ในขณะที่ผมกำลังคิดทบทวนการตัดสินใจที่แน่วแน่อยู่นั้น ฮาวอนอีก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นมา

“ผู้ช่วยคิมครับ คุณบอกว่าตกลงจะเป็นเพื่อนกับพี่ใช่ไหมครับ”

“เพื่อน?”

“ครับ เพื่อน”

“ผมว่าผมไม่เคยไปตกลงอะไรแบบนั้นนะครับ…”

ดวงตาของฮาวอนอีเปล่งประกาย ก่อนจะหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวจนเห็นเงาของขนตา

“ถ้างั้นช่วยเป็นเพื่อนกับผมด้วยไม่ได้เหรอครับ”

ไม่ได้…จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด

มุมปากของฮาวอนอียกยิ้มขึ้น ผมเหลือบมองผู้จัดการอี ดูเหมือนว่าริมฝีปากของพวกเขาจะถอดแบบมาเหมือนกัน ทว่าลักยิ้มของผู้จัดการอีนั้นดูเหมือนจะเลือนหายไปครู่ใหญ่แล้ว

“คุณชอบไปดื่มกับเพื่อนใช่ไหมครับ นี่เป็นครั้งแรกที่เรามากินข้าวเย็นด้วยกันเลยนะครับ”

ผมที่เผลอใจอ่อนไปกับรอยยิ้มของฮาวอนอีได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่เขาจะปรบมือเรียกพนักงาน

“ขอบลูสกายสองแก้วครับ”

 

จู่ๆ เมื่อตั้งสติได้ผมก็รู้สึกหนักตรงไหล่ ฮาวอนอีกำลังนอนพิงไหล่ผมอยู่ ท่านอนของเขาดูไม่สบายคอ ผมจึงเขยิบตัวให้เขาเล็กน้อย ดูเหมือนเขาน่าจะไม่ได้สติแล้ว ผมก็เลยดึงหัวเขาให้เข้ามาใกล้อีกนิด ในลำคอผมแห้งผากจนหลุดกระแอมกระไอออกมาบ่อยครั้ง

“ตื่นแล้วเหรอ”

ผู้จัดการอีถาม

“ผู้จัดการ?”

“ไหนคุณบอกว่าชอบนั่งข้างคนขับไงครับ แล้วทำไมถึงไปนั่งข้างหลังล่ะ แบบนี้ผมเสียใจนะครับเนี่ย”

ผู้จัดการอีหัวเราะ แม่น้ำฮันจมอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์มืดสนิทนอกหน้าต่าง แสงไฟสีเหลืองที่สะท้อนเหนือผิวน้ำกระเพื่อมไหวไปมา

“ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปส่งคุณจูฮยอกที่บ้านอยู่ครับ”

“ขอโทษนะครับ”

“วันนี้คุณดื่มเยอะอีกแล้ว เพราะวอนอีเลยจริงๆ ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ เขาคงน้อยใจเรื่องที่ผมบอกว่าไปดื่มกับคุณจูฮยอกสองคนน่ะ”

“คุณคงเอ็นดูคุณวอนอีมากเลยสินะครับ”

“แหงอยู่แล้วสิครับ ก็เขาเป็นน้องที่อายุห่างจากผมค่อนข้างเยอะนี่นา”

“เพราะเป็นโอเมก้าด้วยสินะ”

ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะได้กลิ่นเหล้าเคล้ามากับลมหายใจ

“แล้วรู้ไหมครับว่าผมเองก็มีน้อง”

ผู้จัดการอีระเบิดหัวเราะออกมา

“รู้สิครับ คุณเล่าให้ผมฟังแล้วนี่นา”

“ตอนเด็กๆ จูยองน้องผมป่วยบ่อยมากเลยครับ มีอยู่ครั้งนึงเธอหมดสติไปจนทั้งครอบครัวต่างวิ่งหน้าตั้งไปที่โรงพยาบาลของมหา’ลัยกันหมดเลยล่ะครับ…”

ปวดหัวชะมัด…

ผมใช้มือกดนวดขมับเอาไว้

“ตอนนั้นผมอยู่ในระหว่างช่วงสอบกลางภาค พอที่บ้านส่งข่าวมา…ผมก็เลยออกมาจากสนามสอบทั้งอย่างนั้น ผมกลัวจะเสียเธอไปจริงๆ เพราะเธอหมดสติแทบทุกวัน…”

มันเป็นโรคที่เราไม่รู้จักชื่อ เธอก็แค่หมดสติไปเฉยๆ เรื่องที่เธอหมดสติไประหว่างเดินเหินนั้นเกิดขึ้นบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน ยาสมุนไพรแผนโบราณที่ใครต่อใครว่าดีต่อร่างกาย ผมก็หามาให้เธอกินอยู่ตลอดไม่เคยขาด แถมยังเคยต้องเสียสละเงินอั่งเปาเพื่อเอาไปใช้จ่ายเป็นค่ายารักษาให้เธออีกต่างหาก แม้แต่เหล้าดองงู บ้านผมก็เคยเอาให้เธอกินทั้งที่ตอนนั้นเธอเพิ่งจะพ้นวัยประถมมาเอง คงเพราะแบบนั้นยัยคิมจูยองถึงได้มีนิสัยป่าเถื่อนสุดๆ แบบทุกวันนี้

คิมจูยองที่มักจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะเจ็บป่วยอยู่ทุกวัน…คิมจูยองที่เคยกลัวการไปโรงเรียน…

“จะว่าไปพอเห็นคุณวอนอีแล้ว ผมก็นึกถึงยัยกอริลล่าน้องสาวผมขึ้นมาแปลกๆ”

ผมพูดพลางอิงแก้มเข้ากับกระหม่อมของฮาวอนอี

อบอุ่นจัง

“ผมน่ะอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

“…”

“และผมก็อยากให้คิมจูยองได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเหมือนคนปกติเหมือนกัน”

“…คุณจูฮยอกนอนต่ออีกหน่อยเถอะครับ กว่าจะถึงคงอีกสักพัก”

“พวกคุณทั้งคู่เองก็ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาไปเถอะครับ อย่าใช้ชีวิตลำบากเหมือนพวกอัลฟ่าหรือโอเมก้าคนอื่นเลย”

“…”

“ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข อย่าเจ็บอย่าป่วยเลยครับ…”

ผมตั้งใจว่าจะปรับลมหายใจสักหน่อย แต่ประตูรถก็ได้เปิดออกเสียก่อน

“คุณจูฮยอก ถึงแล้วครับ ลงมาเร็ว”

ผู้จัดการอีเปิดประตูรถแล้วยื่นแขนออกมา ผมจึงกระซิบข้างหูฮาวอนอี

“ไม่ต้องแกล้งหลับก็ได้ครับ”

ฮาวอนอีลืมตาขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซุกซน

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”

ผมปัดเส้นผมที่กระจายปรกหน้าผากของเขาออกไปข้างๆ

“น่ารักจัง เหมือนกอริลล่าเลยครับ”

พอก้าวขาลงมาจากรถ ร่างกายของผมก็ซวนเซไปนิดหน่อย ผู้จัดการอีจึงช่วยประคองผมไว้

“ไหวไหมครับ”

“ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“อย่าหักโหมนะครับ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรที่บริษัท คุณบอกผมได้หมดเลยนะ โดยเฉพาะ…อืม…เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะอัลฟ่าหรือโอเมก้าน่ะ คุณช่วยบอกทั้งหมดนั่นกับผมด้วยนะครับ”

ผมพยักหน้ากับคำพูดของผู้จัดการอี

“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง เรื่องที่บอกว่าจะไม่มีแฟนน่ะ ผมจริงจังนะครับ”

“อย่าย้ำนักสิครับ ผมเจ็บนะ”

“ผมไม่คิดจะมีจริงๆ นะครับ”

“เข้าใจแล้วครับ เข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ”

ผมพยายามยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วโบกมือลาพวกเขา ผู้จัดการอีเองก็โบกมือลาผมเช่นกัน บางทีพวกเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ ก็ได้ เพราะขนาดปฏิเสธไปตรงๆ ขนาดนั้นแล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์โบกมือให้แบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลายเป็นเพื่อนกับผู้จัดการอีไปแล้วจริงๆ เลย ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ แต่พวกเราก็คงเป็นเพื่อนกัน…ต้องเป็นเพื่อนกันได้อยู่แล้วสิ เพื่อนไง ขนาดซอลกีโดเองก็ยังเป็นเพื่อนผมได้เลย

ผมเอาหัวพิงผนังลิฟต์แล้วกดขึ้นไปชั้นบน เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องผมก็กดรหัสประตูหน้าก่อนจะเดินเข้าไป

ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย

มีบางอย่างแปลกๆ ไปแฮะ อืม…มีอะไรที่แปลกไปกันนะ

ผมไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่แปลกไป กระทั่งไฟห้องน้ำเปิดขึ้น ก่อนที่เจ้าซอลกีโดจะเดินออกมา

“ซอลกีโด นี่นายยังไม่กลับบ้านตัวเองไปอีกเหรอ”

“นี่พี่ดื่มเหล้ามาเหรอ”

“อื้อ ดื่มมานิดหน่อย”

“ถ้างั้นก็เข้าไปนอน”

“จ้าๆ”

ผมซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มก่อนเริ่มครุ่นคิด นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะไม่ยอมให้คนรอบตัวหยิบเอาเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของคนรักออกมาพูดอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ชีวิตถูกสั่นคลอนโดยอัลฟ่ากับโอเมก้าเด็ดขาด

 

ผมลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอม ทั้งยังรู้สึกหนักที่ขาด้วย พอหันมองไปรอบๆ ถึงได้เห็นหนุ่มหน้าตาดีราวกับรูปปั้นกำลังนอนกรนอยู่ข้างผม บางทีเจ้าซอลกีโดก็นอนกรนแบบนี้แหละ

ผมดันขาของเขาออกแล้วหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง พอได้ดื่มเหล้าแล้วผมก็มักจะตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดแบบนี้ประจำ หลังจากเช็กดูโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่ใกล้จะหมดอยู่รอมร่อก็เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเช้า ผมมองไปรอบๆ ห้องที่รกเละเทะไปหมด ซึ่งเป็นความรกที่ผมไม่คุ้นตาสุดๆ

“อะไรกันเนี่ย…พี่ตื่นแล้วเหรอ…”

“กีโด…?”

“อื้อ…”

“ทำไมฉันมาอยู่บ้านนายได้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ…”

และแล้วซอลกีโดก็เริ่มกรนอีกครั้ง ผมเองก็เอนตัวนอนลงอีกครั้งเช่นกัน

* ซามุลโนรี เป็นการแสดงพื้นบ้านของประเทศเกาหลีโดยใช้เครื่องดนตรี 4 ชนิด เครื่องดนตรีทั้ง 4 ชนิดมีเสียงคล้ายกับลักษณะเสียงธรรมชาติรอบตัว เช่น เสียงฝนที่กำลังตก เสียงฟ้าผ่า เสียงลม เป็นต้น การแสดงซามุลโนรีเป็นการแสดงการเคาะเพลง แนวเพลงแบบพื้นบ้านเกาหลี มักจะนำไปประกอบกับการแสดงกายกรรมหรือพิธีกรรม

 

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เขตห้ามรักฉบับเบต้า

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: