ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 15
ตำหนักหยกประดับทอง เหลืองอร่ามแผ่กำจาย สลักราววาดเสา หรูหราถึงที่สุด
ภายในตำหนักหอมอวลระอุไอ เงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงวางเม็ดหมากลงบนกระดานอันกังวานชัดราวกับกำลังเคาะลงบนดวงใจ
“หลังผู้ศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนก็มุ่งมายังแคว้นตงเลยหรือ”
“กราบทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เงาร่างสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผู้ถือหมากสีดำสวมชุดมังกรมงกุฎจักรพรรดิ สีหน้าท่าทางตามแต่ใจ
แม้มีสีหน้าท่าทางตามแต่ใจ แต่การวางหมากขององค์จักรพรรดิกลับไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ทุกย่างก้าวบีบคั้น จิตสังหารเปิดเผย ทำให้ขุนนางตรงหน้าถึงกับลอบหลั่งเหงื่อ สองขาสั่นเทา
เรื่องที่อันดับหนึ่งในใต้หล้ามีการเปลี่ยนคนกำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ เป็นศูนย์รวมความสนใจของคนทั้งแผ่นดินเสวียนซวี
ภายใต้สถานการณ์นี้เวลานี้ ผู้ศักดิ์สิทธิ์จงจี่ปรากฏตัวอย่างสูงส่งในเมืองเซิ่งหยางโดยไม่ได้ปกปิดที่หมายของตนเลยแม้แต่น้อย นี่ควรค่าต่อการให้ผู้คนครุ่นคิดอยู่บ้าง
“อ่อนเยาว์ปานนี้แต่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า อนุชนน่าเกรงขามโดยแท้”
ปีหน้าเป็นช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในรอบสิบปีของแคว้นตง เขาอาจยืมคนผู้นี้มากระตุ้นส่งเสริมสักหน่อยได้
ตงเหยี่ยนวางหมากอีกเม็ดหนึ่ง ดวงตาสีม่วงเข้มเคร่งขรึม ความคิดมากมายผุดวาบขึ้นในใจ
จงจี่กลับไม่สนว่าผู้อื่นคิดเห็นเช่นไร ถึงอย่างไรเป้าหมายที่ต้องการสร้างประเด็นร้อนของเขาก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เขาเร่งโคจรพลังวิญญาณ ย่ำอยู่บนแผนที่นครภูผาธาราเหมือนย่ำลงบนพรมวิเศษของอะลาดิน ฝีเท้ารวดเร็วคล่องแคล่ว เสียง ‘ฟึ่บ…’ ดังขึ้นคราหนึ่งก็ไถลมาถึงแคว้นตงแล้ว เมื่อมองจากที่ห่างไกลก็เห็นเมืองอันสูงตระหง่านและหมู่เมฆล่องลอยกลางท้องฟ้า เมฆหมอกเคลื่อนคล้อยกระเพื่อมไหวดั่งดินแดนเซียน
สมาชิกของตำหนักลับในแคว้นตงเป็นองค์ชายท่านหนึ่ง
ระบบการเมืองภายในแคว้นตงนั้นแปลกประหลาดอย่างที่สุด เชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ทุกพระองค์ล้วนมีสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ ไม่ดูเพียงสายเลือดเท่านั้น ล้วนดูที่กำปั้นเล็กใหญ่
ผู้ครองแคว้นจะเปลี่ยนทุกสิบปี เมื่อถึงเวลาก็จะเปิดโหมดการต่อสู้รุนแรงครั้งใหญ่ของเชื้อพระวงศ์ ผู้ใดสามารถยิ้มได้ถึงตอนสุดท้ายผู้นั้นก็เป็นผู้ครองแคว้นคนต่อไป
แม้ฟังดูแล้วจะเอะอะวุ่นวาย แต่แคว้นตงก็เป็นแคว้นที่ใช้ความสามารถมาพูดคุย เชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์จะได้รับการสั่งสอนในวิชาจักรพรรดิตั้งแต่เด็ก แล้วค่อยตัดสินอีกครั้งว่าผู้ใดมีคุณสมบัติในการปกครองแคว้นในท้ายที่สุดและขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร
พลเมืองของแคว้นตงเองก็ชื่นชอบกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก ล้วนแข่งกันออกมาหวีดร้องสนับสนุนเชื้อพระวงศ์ที่ตนเองชื่นชอบในช่วงที่เปลี่ยนตำแหน่งทุกๆ สิบปี
ส่วนองค์ชายสิบสองผู้ติดต่อกับตำหนักลับท่านนี้ ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญอย่างมากก็คือเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญเพียรเท่าไรนัก
เขาคล้ายว่าจะเป็นสี่รากวิญญาณกระดำกระด่างผู้หนึ่ง หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้วการได้ครอบครองรากวิญญาณกระดำกระด่างเช่นนี้ ด้วยพรแสวงแล้วก็คงจะบรรลุไปถึงแค่ประมาณขั้นสามเท่านั้น
ขั้นสามนั้นเป็นระดับขั้นที่คนธรรมดาส่วนใหญ่ในแผ่นดินเสวียนซวีมีกัน ไม่นับว่าต่ำเกินไป แต่ไม่อาจประณามลมเมฆ* เหมือนผู้แข็งแกร่งได้
แต่ว่าองค์ชายสิบสองเป็นผู้มีใจทะเยอทะยานอย่างยิ่ง เทียบกับองค์ชายคนอื่นแล้วความคิดเขาปราดเปรื่องอย่างมาก เป็นฝ่ายสร้างเรือลำใหญ่กับตำหนักลับลำนี้และส่งข้อมูลภายในของแคว้นตงจำนวนไม่น้อยให้กับตำหนักลับเพื่อแสดงความจริงใจของตนเอง
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่จงจี่ก็ยังไม่ชอบเขา
คนของราชวงศ์แคว้นตงแต่ละคนล้วนชาติเสือชาติหมาป่า เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาแม้แต่คนของตนเองล้วนกัดหมด สองหน้าสามดาบ** อย่างยิ่ง ไม่อาจหาคำพูดใดมาพรรณนาได้เพียงพอ
มหาเทพตงเหยี่ยนยังมีอีกสมญานามหนึ่งคือทรราช ในตอนที่จงจี่เขียนบรรยายเกี่ยวกับราชวงศ์ของแคว้นนี้ในตอนแรกนั้น เจตนาคือต้องการมอบหินรองใต้เท้าให้กับจิงเจ๋อ จึงเขียนมหาเทพตงเหยี่ยนให้ออกมาเป็นสิบสามานย์ไม่อภัย อำมหิตแต่ก็มีเมตตา
ทว่าอำมหิตก็ส่วนอำมหิต ในด้านการเมืองนั้นตงเหยี่ยนเก่งกาจเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกเรียกขานว่าจักรพรรดิเอกชั่วกาล
เดิมทีถ้าหาก ‘อิสระ’ และ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ไม่ได้หลอมรวมกัน จงจี่คิดว่าองค์ชายสิบสองยังมีโอกาสชนะเจ็ดส่วน เพราะถึงอย่างไรก็มีเขาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้การสนับสนุน ต่อให้ทำไม่ดีก็ถือว่ายังได้คว้าเอาผู้ครองแคว้นมาเล่นสนุก
แต่หากโลกหลอมรวมกัน หลังจากผู้ครองแคว้นไร้ค่าผู้นั้นเปลี่ยนเป็นมหาเทพตงเหยี่ยน…
ไม่ต้องพูดถึงโอกาสชนะแล้ว ยอมจำนนไปเลยเถอะ
อุบายเล็กน้อยนี้ขององค์ชายสิบสองยังกล้ากระโดดไปตรงหน้าตงเหยี่ยนผู้ทะเยอทะยานมีสิทธิ์ชี้ขาดจงจี่ได้อีกหรือ
ตงเหยี่ยนทั้งต้านได้ตีได้ แม้จะเป็นตัวร้ายก็เป็นตัวร้ายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับตัวจืดจางอย่างองค์ชายสิบสองที่ไม่แม้แต่จะมีชื่อในต้นฉบับ ‘อิสระ’ แล้วย่อมเจ๋งแจ๋วกว่าเยอะ
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ด้วยใจที่อย่างไรเสียก็รับเอาผลประโยชน์จากคนเขามาในตอนแรก จงจี่จึงต้องไปซื้อซีอิ๊ว* ที่แคว้นตงสักหน่อย ไปให้การสนับสนุนองค์ชายสิบสองสักคราหนึ่ง
แน่นอน การสนับสนุนย่อมมีขอบเขตจำกัด แค่ไปดูหน้างานสักหน่อยก็จบเรื่อง
ดังนั้นหลังจากมาถึงแคว้นตงแล้ว ในเมืองไป๋จิง (เศวต) อันเป็นราชธานีของแคว้นตง ผู้ศักดิ์สิทธิ์พรรคไท่ซวีจงจี่ได้รับการต้อนรับอย่างสนิทสนมจากองค์ชายสิบสอง วาจาจริงใจ แขกเหรื่อปีติ เขาใช้ราชรถองค์ชายเปิดถนนหนทาง เดินทางออกจากฝูงชนมากมายตรงกำแพงเมืองไปยังจวนองค์ชายสิบสองอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองไป๋จิงทั้งหมด
“เจ้าตำหนัก ได้มาคารวะต่อหน้าท่าน ถือเป็นเกียรติของตงสือเอ้อร์ (สิบสอง)”
อีกประการหนึ่ง เพราะเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ของแคว้นตงมีมากเกินไป ดังนั้นชื่อของพวกเขาจึงเรียบง่ายไม่ประณีต เพียงเรียงลำดับต่อท้ายโดยเริ่มจากหนึ่งเท่านั้น
มีเพียงผู้ครองแคว้นเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เปลี่ยนชื่อครอบครองนามอันสูงส่ง
คิดดูเช่นนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่าน่าสังเวชนัก หากเกิดในราชวงศ์แคว้นตงแล้วต้องต่อท้ายชื่อลำดับที่หนึ่งร้อยขึ้นไปคงได้ร้องไห้จนตายเป็นแน่
ตงอีไป่เอ้อร์สือซาน (หนึ่งร้อยยี่สิบสาม) ชื่อทั้งหมดหกพยางค์ ฟังแล้วก็ทรงอำนาจอหังการดี
“อืม”
จงจี่สีหน้านิ่งเฉย ไม่หวั่นไหวไปตามไมตรีจิตขององค์ชายสิบสองแม้แต่น้อย เขาถึงกับปฏิเสธคำแนะนำเชิญเข้าจวนขององค์ชาย แสดงออกเพียงว่าตนเองจะไปเผยใบหน้าที่งานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้คราหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่จัดการฐานะเจ้าตำหนักลับในคราแรก จงจี่ตั้งใจจัดแจงบทละครไว้หลายฉาก ให้ทุกคนคิดว่าศิษย์เอกพรรคไท่ซวีคบค้ากับเจ้าตำหนักลับเพราะกิจธุระเมืองเซิ่งหยาง ลำบากลำบนสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองคนร่วมดื่มกินในหอไจซิงไปหลายฉาก
แทนที่จะสิ้นเปลืองความคิดไปกับการปกปิด กลับไม่สู้ให้สองฐานะนี้ทาบประกบกันสักเล็กน้อย ถึงอย่างไรปกติเจ้าตำหนักลับก็เป็นประเภทเทพโผล่ผีผลุบ* ปรากฏตัวต่อหน้าคนน้อยครั้งอยู่แล้ว ดังนั้นเกราะนี้จึงป้องกันได้อย่างมั่นคง
กล่าวโดยสรุปคือจงจี่เองมีความสนใจในแคว้นตงหลายส่วนอยู่ก่อนแล้ว หลังจากรู้ว่ามีตงเหยี่ยนก็คร้านจะไปขบกระดูกแข็งท่อนนี้ ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงตั้งใจว่าจะแค่พายน้ำ* ไม่ทำสิ่งอื่นใด ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก*
พูดอีกอย่างก็คือเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้เช่นนี้ มีดีอะไรให้คาดหวังได้เล่า
ตำหนักลับไม่เคยวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ในเมื่อไข่ไก่ใบนี้ไม่ได้ฟักออกมาเป็นลูกไก่ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรหากจะทิ้งไป
หลังจากจงจี่แสดงละครกับองค์ชายสิบสองเสร็จก็วิ่งไปยังตำหนักย่อยของตำหนักลับในตงโจว
ตำหนักลับของตงโจวตั้งอยู่ที่เมืองไป๋จิงเช่นเดียวกัน มองจากภายนอกเห็นเป็นร้านขายแป้งชาดร้านหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วหลังจากเดินลงมายังชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งจะพบกับแดนสวรรค์อีกแห่ง
“เจ้าตำหนัก”
ผู้พิทักษ์ตำหนักย่อยเห็นเขาแล้วประหลาดใจอย่างยิ่ง ก่อนจะรีบทำความเคารพ
จงจี่ส่งสัญญาณมือให้เขาเงียบเสียง แล้วโน้มกายลงไปมองด้านล่าง
พอดีกันกับที่ตำหนักย่อยฝั่งนี้กำลังเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเข้าตำหนักใหม่ เผ่าปีศาจ เผ่ามาร และเผ่ามนุษย์กลุ่มใหญ่ยืนเรียงกันเป็นแถว ต่างยกมือขวากล่าวคำมั่นด้วยสีหน้าจริงจังภายใต้การนำของบัณฑิตอาวุโสของตำหนักลับสองสามคน
“ข้าให้คำมั่น…”
“พสกนิกรใต้ฟ้า ล้วนถือเป็นหน้าที่ ทะเลสงบลำธารใส สุขถ้วนทุกปีกาล สรรพชีวิตเสมอภาค นอบน้อมเป็นสำคัญ”
“ควบรวมใต้หล้า รักชาวประชา ลุยในเพลิงร้อน ย่ำย้อนคมมีด”
คนต่างสีผิว ต่างสีตา ต่างเผ่าพันธุ์ล้วนยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ สีหน้าท่าทางในยามนี้จริงจังไร้ใดเปรียบอย่างแท้จริง ในดวงตาราวกับวาบประกายแสงเรืองรอง
ได้เห็นภาพฉากนี้จงจี่ก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
เขาคือคนที่ชอบใส่ใจเรื่องของชาวบ้านเป็นอย่างมาก
การเขียนนิยายนั้นนับเป็นเรื่องหนึ่ง ทะลุมิติเข้ามาในผลงานที่ตนเองเขียนก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในตอนที่จงจี่เขียนนิยายก็พรรณนาไว้ว่าเป็นโลกที่ปั่นป่วน
ต้องเป็นโลกที่ปั่นป่วน ถึงจะได้ไปปั่นป่วนโลก
ยามโลกปั่นป่วนจึงจะปรากฏวีรบุรุษ หากเป็นยุคสมัยที่สงบสุขเกินไปจนไม่มีความขัดแย้งเลยสักนิดจะทำให้เขี้ยวเล็บของคนค่อยๆ สูญหาย
ตอนเขียนเขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร รอจนหลังทะลุมิติเข้ามาในนิยายตัวเอง หลังจากได้เป็นพยานเห็นสงครามอันโหดร้าย เพลิงไฟเชื่อมฟ้า ควันสัญญาณสี่ทิศ พลเมืองพลัดถิ่นสูญหายกับตาในตอนที่ลงเขาครั้งหนึ่ง ถึงได้นึกเสียใจขึ้นมาอยู่บ้าง
เมื่อเรื่องที่คุณเขียนจากปลายปากกากลายเป็นความจริงขึ้นมาจะทำอย่างไร
อย่างน้อยความดีความชั่วก็ไม่สามารถบรรยายออกมาอย่างง่ายดายได้ในหนึ่งการจรดปากกา
และก็เป็นความโหดร้ายของสงครามที่ได้ประสบด้วยตนเองในคราวนั้น จงจี่ถึงได้แปลงตัวเป็นตำรวจแผ่นดินใหญ่ ก่อตั้งตำหนักลับ แล้วเริ่มการออกเดินทางท่องพิทักษ์ความสงบของตนเอง
โลกของฉัน ฉันย่อมมีหน้าที่ในการพิทักษ์สันติสุขโลก
ครั้นมองย้อนดูแล้วถ้อยวาจาที่ฟังดูอวดดีจนน่าขบขันในคราแรกประโยคนี้ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้จะกลายเป็นความจริง จากเป้าหมายของจงจี่เพียงคนเดียวแปรเปลี่ยนเป็นเป้าหมายของสหายร่วมตำหนักลับนับพันนับหมื่น
คิดมาถึงตรงนี้จงจี่ก็เกิดความรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
ดูเอาเถิด นี่คือใต้หล้าที่ข้ากำราบ! ดูเอาเถิด นี่คือสุนัขรับใช้ของข้า! (เดี๋ยวนะ)
“เข้าตำหนักลับของข้า คำมั่นเมื่อครู่จงจดจำให้ขึ้นใจ”
ในโถงตำหนักอันกว้างขวางพลันมีเสียงแปลกพิกลแว่วลอยมาเหนือศีรษะ ผู้คนต่างสะดุ้งตกใจและเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นเพียงห้วงอากาศบิดเบี้ยว พลังวิญญาณอันหนาวสะท้านปกคลุมเงาร่างท่อนบนของคนผู้นั้นอย่างมิดชิด เหลือไว้เพียงหน้ากากผีหนึ่งอัน กระตุกขวัญหมื่นส่วน
“คารวะเจ้าตำหนัก!”
บัณฑิตอาวุโสที่กำลังถือตำราสองสามคนรีบหันศีรษะมาคารวะ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ลืมตำหนิเหล่าศิษย์ที่เข้าตำหนักใหม่เหล่านั้น การแสดงออกล้วนเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสอย่างกระตือรือร้น
“คารวะเจ้าตำหนัก”
เหล่าผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมตำหนักลับย่อมเคยได้ยินสมญานามของเจ้าตำหนักลับกันมาบ้าง ทั้งแถวจึงแหงนศีรษะทักทายอย่างตัวสั่นงันงก
ตอนที่จงจี่ออกแบบตัวละครเจ้าตำหนักผู้ก่อตั้งตำหนักลับในคราแรกนั้น เขาจงใจเขียนให้เหมาะกับรสนิยมทางสุนทรียภาพของบรรดานิกายมาร
เพราะคำขวัญที่ตำหนักลับหยิบยกออกมานั้นสงบสุขมากเกินไป เพื่อแสดงออกว่าตำหนักลับนั้นไม่ใช่คณะบุคคลที่จะมารังแกได้โดยง่าย เจ้าตำหนักลับจึงต้องดุร้ายเล็กน้อย
ดุร้ายเหี้ยมโหด กลัวหรือไม่
ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับเจ้าตำหนักลับที่เล่าลืออยู่ข้างนอกเองก็ใช่ว่าจะดีไปกว่าจอมมารเท่าใดนัก
พูดอีกอย่างก็คือภาพลักษณ์เจ้าตำหนักที่จงจี่แสดงออกมานั้นเป็นตัวแทนถึงพลังยุทธ์ขุมนั้นในตำหนักลับ เมื่อรวมเข้ากับองครักษ์ลับสิบสามหมายเลขที่ขึ้นตรงต่อเขาแล้วก็ประกอบกันเป็นส่วนชี้ขาดของตำหนักลับ
ก็คือถ้ามีคนสองฝ่ายวิวาทกันขึ้นมาและตำหนักลับส่วนอื่นเกลี้ยกล่อมไม่ได้ องครักษ์ลับสิบสามหมายเลขก็จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ใช้กำลังอันแข็งแกร่งควบคุมโดยตรง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สันติสุขของคณะบุคคลอันป่าเถื่อน
ภายใต้ระยะห่างอันเหลื่อมล้ำชนิดนี้กลับทำให้การป้องกันเกราะของจงจี่ดียิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าเจ้าตำหนักลับและจงจี่สนิทสนมกัน ยังมีคนไม่น้อยคารวะเขาด้วยเหตุผลนี้ มักรู้สึกว่าเจ้าตำหนักลับจะพาให้ศิษย์เอกพรรคไท่ซวีผู้เป็นบุปผาแห่งยอดเขาสูง ผู้ใสกระจ่างดั่งน้ำแข็งบริสุทธิ์ดุจหยกแม้เกิดจากโคลนตมแต่กลับไม่แปดเปื้อนผู้นั้นเสียคน
จงจี่ “ฮะ!”
เสวียนซวีทำตามข้า คุณงามชื่อเสียงหมั่นซุกซ่อน
* ประณามลมเมฆ หมายถึงบุคคลที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่
** สองหน้าสามดาบ หมายถึงหน้าไหว้หลังหลอก ตีสองหน้า
* ซื้อซีอิ๊ว เป็นคำสแลง ใช้สื่อว่าผู้พูดไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใด เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีบทบาทสำคัญ
* เทพโผล่ผีผลุบ เป็นสำนวน หมายถึงลึกลับซับซ้อน
* พายน้ำ หมายถึงการไม่ลงแรงหรือไม่ช่วยงานใดๆ ในกิจกรรมที่ทำเป็นกลุ่ม และยังหมายถึงพฤติกรรมอู้งาน แอบขี้เกียจ
* ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก เป็นสำนวน หมายถึงต่อหน้าทำเป็นดี แต่พอลับหลังก็นินทาหรือหาทางทำร้าย
บทที่ 16
แสงตะวันสาดผ่านเป็นทางยาว เย็นวันต่อมาภายในพระราชวังแคว้นตงจัดงานเลี้ยงหลวงขึ้น จงจี่ที่ว่างจนไม่มีอะไรทำพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักย่อยคืนหนึ่ง วันต่อมาก็สวมหมวกสาน เดินเล่นไปทั่วทุกแห่งหนในเมืองไป๋จิง
แม้ผู้บำเพ็ญเพียรเกือบทั้งหมดจะรู้ว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์มาเยือนเมืองไป๋จิง แต่ก็จนใจที่บนถนนมีผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดสีดำทองมากเกินไป ถึงขนาดมีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากเดินเข้าร้านอาภรณ์เพื่อซื้อเครื่องแต่งกายแบบเดียวกับ ‘ผู้ศักดิ์สิทธิ์จงจี่’ ทั้งยังคาดกระบี่ยาวเอาไว้ที่เอวอย่างเป็นจริงเป็นจัง ในมือยังกางพัดกระดูกสีดำทองอีกด้วย มองดูแล้วรู้สึกว่ามีมาดของจงจี่อยู่บ้างจริงๆ
ในตอนที่บนถนนใหญ่มีแต่การแต่งกายเช่นนี้เต็มไปหมด ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยกับสุนทรียภาพนี้อย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย จงจี่ที่ปะปนอยู่ในนั้นกลับไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสวมหมวกสานอีกด้วย
ประจวบเหมาะที่ดวงอาทิตย์ของวันนี้นับว่าร้อนแรง แสงแดดยามเที่ยงวันนั้นโหดร้ายมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรพลังยุทธ์สูงล้ำสามารถใช้พลังวิญญาณขึ้นมาต้านทานได้ แต่บนถนนใหญ่ก็ไม่ขาดชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมหมวกงอบและผ้าคลุมหน้า ถือร่มหนึ่งคัน เดินเล่นชมบุปผาไปทั่วทุกหนแห่งต่อไป
จงโจวเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงเหมันตฤดูมายังวสันตฤดู ส่วนตงโจวนั้นย่ำเข้าคิมหันตฤดูแล้ว
ทิวทัศน์คิมหันตฤดูของเมืองไป๋จิงนั้นเหมือนดั่งภาพวาด มีดอกไม้หลายชนิดที่จะเผยโฉมกำจายกลิ่นหอมเพียงในฤดูกาลนี้เท่านั้น มีความคึกคักผลิบาน กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลทั่วถนนทั้งสาย
ฝั่งตะวันออกของตงโจวคือสมุทรแห่งซวีวั่งอันกว้างใหญ่ บนสมุทรแห่งซวีวั่งมีเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เมืองหนึ่ง…
เมืองฮ่วนไห่ฮวา
ว่ากันว่าดอกไม้สดของที่นั่นหนึ่งปีสี่ฤดูล้วนไม่เหี่ยวเฉา บานสะพรั่งตลอดกาล
เมืองฮ่วนไห่ฮวาตั้งอยู่ริมทะเล เมื่อทอดมองจากด้านบนจะเห็นเป็นดอกไม้ทะเลหลากสีสันผืนหนึ่ง ส่วนเมืองฮวาเฉิง (บุปผา) ที่อยู่ติดกับแคว้นตงจะซื้อดอกไม้สดจำนวนหนึ่งจากตลาดริมทะเลของที่นั่นมาประดับตกแต่งเมืองหลวงของตนเองทุกปี
ผู้บำเพ็ญเพียรหลายต่อหลายคนที่ไม่อาจผ่านค่ายกลวงกตของเมืองฮ่วนไห่ฮวาไปได้ก็จะถอยมายังสถานที่แห่งนี้ มาชมดอกไม้ที่เมืองไป๋จิงก็นับเป็นเรื่องราวที่งดงามเรื่องหนึ่ง
ทั่วทั้งตัวจงจี่ทั้งท่อนบนท่อนล่างล้วนเป็นสีดำสีทอง สองมือรวบอยู่ในแขนเสื้อยาวอย่างเอ้อระเหย สวมหมวกสาน ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณใดๆ เพียงเดินลอยชายอยู่ในตลาดซึ่งมีผู้คนสัญจรไปมาด้วยย่างก้าวแช่มช้า สำราญใจอย่างยิ่ง
เขาดูเหมือนย่ำก้าวไปตามใจ แต่กลับหลบเลี่ยงผู้สัญจรที่ต้องการจะเข้าใกล้เขาได้อย่างพอเหมาะพอดีโดยแท้
แม้ผู้สัญจรในเมืองไป๋จิงจะเทียบไม่ได้กับเสียงคนโกลาหลเช่นเซิ่งหยาง แต่คนก็ไม่น้อยกว่ากันเท่าใดนัก เพียงแค่จงจี่ค่อนข้างจะไม่ชอบสัมผัสร่างกายกับคนอื่นก็เท่านั้น เขาเลยตั้งใจใช้ท่าร่างหลบหลีกโดยไม่ทิ้งร่องรอย
จงจี่นั้นเป็นพวกไม่ฝักใจทางเพศ
ในตอนที่เขาเขียน ‘อิสระ’ นิยายเรื่องแรกก็ไม่มีพระเอกนางเอก เป็นดอกไม้ประหลาดท่ามกลางกลุ่มนักเขียนนิยายแนวฮาเร็มและแนวเลื่อนขั้นอย่างแท้จริง
ตอนแรกจงจี่ก็ไม่ได้วางแผนจะเพิ่มเส้นเรื่องรักเข้าไปใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ แต่ต่อมาไม่คิดว่านิยายเรื่องที่สองอย่าง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ จู่ๆ ก็ดังระเบิด จึงได้แต่ยอมศิโรราบอยู่ภายใต้การตกรางวัลอย่างบ้าคลั่งของนักอ่านเศรษฐีหลายท่าน
นักอ่านเศรษฐี : ตกรางวัลหนึ่งล้าน เอาน้องสาวมาหน่อย
จงจี่ : ได้เลย เอาตามที่ลูกพี่ว่าเลย!
เขาครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน เมื่อรวมเข้ากับประสบการณ์ของรุ่นพี่นักเขียนในเว็บฉี่เตี่ยนทุกท่าน ในที่สุดก็สร้างตัวละครเทพธิดาขาวรวยสวยพริ้งขึ้นมาได้คนหนึ่ง รับรองว่าเพียงพอให้คู่ควรกับจิงเจ๋อพระเอกผู้ย่ำฟ้ายีดินของเขาแน่
ผลคือยังไม่ทันได้พานางเอกออกมา กระทั่งชื่อก็ยังไม่ปรากฏในต้นฉบับ เขาก็ทะลุมิติเข้ามาในนิยายแล้ว
ดูท่าจิงเจ๋อคงถูกลิขิตให้เดียวดายยันแก่ (แบมือ)
นี่น่าจะเป็นโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง
ระหว่างที่เขาเดินๆ อยู่ตรงหน้าก็พลันมีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน จงจี่จึงแทรกตัวเข้าไปชมความครึกครื้น
“ในราชรถใช่มหาราชครูหลัวหรือไม่”
บนถนนหลวงที่มุ่งสู่พระราชวัง มีคนหนุ่มผู้หนึ่งขวางทางรถม้าคันหนึ่ง เขายืนอมยิ้มอยู่กลางถนนพร้อมทำการคารวะต่อราชรถ ดึงดูดให้มีผู้รายล้อมพร้อมชมไม่น้อย
“เป็นท่านผู้เฒ่านี่เอง”
คนขับรถม้าเลิกม่านรถขึ้น เผยให้เห็นมหาราชครูแคว้นตงในชุดขุนนางเรียบร้อยที่อยู่ข้างใน
ขวางทางราชรถกลางตลาดอันพลุกพล่าน การกระทำเช่นนี้ไม่ค่อยจะย่ำกรอบตามเกณฑ์* นัก หากไม่ใช่ว่าคนหนุ่มผู้นี้เป็นจ้วงหยวน** ของปีนี้ที่จักรพรรดิทรงเลือกด้วยพระองค์เอง อนาคตเหลือไร้ประมาณ มหาราชครูหลัวคงจะสะบัดแขนเสื้อจากไปแล้ว
ใต้ฝ่ามือมหาราชครูหลัวเองก็ไม่ได้ใสสะอาด พื้นฐานเขาตื้นเขิน เพื่อที่จะตีตนเสมอกับมหาราชาจารย์โจว จึงลอบดึงบัณฑิตตกยากจำนวนไม่น้อยเข้ามาเป็นพวก หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งในตอนที่แคว้นตงจัดการสอบระดับเมืองหลวง ตนเองไม่เพียงปล่อยน้ำ* แต่ยังส่งสายตาให้ขุนนางอาวุโส รับรองว่าบัณฑิตลูกสมุนของตนนั้นจะสามารถผ่านเข้าสู่การสอบหน้าพระที่นั่งได้
เพียงแต่จ้วงหยวนของปีนี้ผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกระดูกแข็งชิ้นหนึ่ง ในคราแรกมหาราชครูหลัวไม่ได้ให้ความสนใจเจ้าเด็กผู้นี้ ผลก็คือไม่คิดเลยว่าตอนที่ต่อกลอนกับองค์จักรพรรดิในการสอบหน้าพระที่นั่งจะไม่เห็นความขลาดกลัวบนร่างเขาเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายจึงดึงพระโสมนัสสู่ใจมังกร ชิงเอาสมญานามจ้วงหยวนไปได้
นี่ทำให้มหาราชครูหลัวขบเขี้ยวเงินทั้งปากจนแตก
เขาทำเรื่องเหล่านี้อย่างมิดชิดถึงที่สุด ด้วยกลัวว่าพระองค์จะทรงทราบ
วิธีการของตงเหยี่ยนโหดร้ายอย่างที่สุด หากถูกองค์จักรพรรดิรู้เข้า ผลสุดท้ายคงเลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการ มหาราชครูหลัวเองก็ไม่แน่ใจว่าองค์จักพรรดิล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆ เหล่านี้ของเขาหรือไม่ ทำได้เพียงอาศัยไมตรีจากตอนที่ตนเองเคยเป็นมหาราชครูขององค์ชายเมื่อกาลก่อน ค่อยๆ ซื้อใจคนอย่างเงียบเชียบ
“ซือมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อมาขอบพระคุณน้ำใจในการสอนสั่งของท่าน เพียงแต่…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนหนุ่มค่อยๆ กดลึกขึ้นดั่งอาบลมวสันต์ หางตาเห็นว่าชาวเมืองเข้ามาห้อมล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงหยิบถุงเฉียนคุนใบเล็กออกมาจากถุงผ้าอย่างไม่กระชับไม่เชื่องช้า
“แม้ซือจะเป็นเพียงบัณฑิตยากจนผู้หนึ่ง แต่อุปนิสัยบัณฑิตนั้นมีไม่น้อย…เงินสกปรกนี่ซือรับไว้ไม่ได้”
วาจาโยนลงพื้นแล้วจักเกิดเสียง ซือหมิงยังลอบโคจรพลังวิญญาณให้ในรัศมีสองหลี่โดยรอบล้วนได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ ผู้คนต่างระเบิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเอิกเกริกระลอกหนึ่งทันที เกิดเป็นความจ้อกแจ้กจอแจ ครึกครื้นอย่างยิ่ง
“ไอยา ได้ยินมานานแล้วว่ามหาราชครูหลัวกำลังทำเรื่องพวกนี้…”
“มิน่าบัณฑิตที่เข้าสอบในช่วงนี้ยิ่งมายิ่งน้อย เภทแคว้นภัยประชานี่หนา!”
“ไม่คิดว่ามหาราชครูจะเป็นคนเช่นนี้ ทั้งที่ยามปกติองค์จักรพรรดิไว้วางพระทัยในตัวเขามาก…”
บนใบหน้ามหาราชครูหลัวเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว สายตาที่จดจ้องซือหมิงเคร่งขรึมราวกับชโลมพิษอย่างไรอย่างนั้น
ลูกไม้นี้ร้ายกาจโดยแท้ เพียงมองก็รู้แล้วว่าวางแผนมาก่อน ผู้บำเพ็ญเพียรที่สัญจรไปมาในเมืองไป๋จิงมากมายดั่งขนวัว หลังจากได้ยินข่าวนี้แล้วไม่แน่ว่าจะวิ่งโร่ร้องเร่บอกต่อกัน และก็ไม่แน่ว่าจะลอดเข้าพระกรรณขององค์จักรพรรดิในวันใด
“ดีๆๆ”
มหาราชครูหลัวพูดว่าดีติดต่อกันสามครั้ง
ขอเพียงเจ้าเด็กนี่หาญกล้าย่ำเข้าไปในแวดวงขุนนางได้ในภายหลัง มหาราชครูหลัวก็ไม่อาจเล่นงานเขาถึงตาย
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ซือหมิงพลันแย้มยิ้มตามอำเภอใจ สะบัดแขนเสื้อด้วยท่วงท่าอย่างสองแขนเสื้อมีเพียงลม** อยู่ในท่วงท่าลมสดชื่นพัดผ่านสองแขนเสื้อ มองดูแล้วเป็นท่าทีเคร่งครัดในคุณธรรม
“ท่านไม่จำเป็นต้องจดจำความแค้น พวกข้าชาวตำหนักลับก็ทรงอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้แล”
จงจี่ “???”
เขายืนอยู่ด้านข้าง กำลังกินแตงอย่างตื่นเต้น คิดไม่ถึงว่าแตงผลนี้จะย้อนกลับมากินหัวตนเอง ในใจพลันรู้สึกปลื้มปีติไร้ที่เปรียบ
ชิงชังความชั่วดุจดั่งศัตรู ไม่เกลือกกลั้วกับฆราวาส เป็นความสง่างามอันประเสริฐสุดของศิษย์ตำหนักลับยุคนี้ ยอดเยี่ยมนัก!
กลับไปต้องขึ้นเงินเดือนเลื่อนตำแหน่ง ส่งดอกไม้แดงดอกน้อยๆ ให้กับศิษย์ตำหนักลับผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้นี้สักหน่อยแล้ว
หลังจงจี่จดจำชื่อของคนผู้นี้เอาไว้แล้วก็เดินกรายซ้ายกรายขวาต่อไปบนถนนอย่างแช่มช้าไร้จุดหมาย มีอารมณ์หน่อยก็จะวิ่งไปข้างแผงลอยพ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเพื่อซื้อของเล่นจำนวนหนึ่ง เมื่อวนครบรอบหนึ่งในมือก็ถือสิ่งของน่าสนใจเอาไว้ไม่น้อยแล้ว
อย่ามองว่าพ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเหล่านี้ดูต่ำต้อย การที่จะมาตั้งแผงอยู่ในเมืองหลวงแคว้นตงได้ แต่ละคนต่างต้องมีฝีไม้ลายมือสักแขนงถึงจะทำมาหากินได้ทั้งนั้น
จงจี่เคารพคนธรรมดาเหล่านี้อย่างมากมาโดยตลอด หากไม่มีการทุ่มเทอย่างเงียบๆ ของพวกเขาก็คงจะไม่มียุคสมัยที่รุ่งเรืองสงบสุข ชาวประชาแข็งแรงปลอดภัยอย่างในทุกวันนี้
เวลานี้เขาไม่เหลือมาดอยู่เลยแม้ครึ่งส่วน เพียงนั่งยองๆ อยู่กับกลุ่มเด็กน้อยกลุ่มหนึ่ง สองตาจดจ้องคุณปู่ซึ่งกำลังเป่าน้ำตาลอยู่ด้านหลังแผงลอยเล็กๆ ด้วยดวงตาวาวโรจน์ด้วยกัน
คุณปู่สวมชุดคลุมยาวที่ซักจนซีดขาว ใต้เท้าย่ำอยู่บนรองเท้าฟางเก่าขาดคู่หนึ่ง นัยน์ตาฝ้าฟาง ทว่าวรยุทธ์บนฝ่ามือกลับไม่ย่ำแย่เลยแม้แต่น้อย
ฝีมือของคุณปู่เป่าน้ำตาลผู้นี้ชวนให้คนชื่นชมจริงๆ
ชัดแจ้งว่าเป็นเพียงก้อนน้ำตาลขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก้อนหนึ่ง วางอยู่ด้วยกันกับแผ่นไม้ไม่กี่แผ่น แต่ด้านในนั้นกลับเหมือนอาบย้อมไปด้วยปราณเซียนเฮือกหนึ่ง เพียงแตะน้ำตาลก็พองออกอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นสัตว์นานาชนิดที่ปราดเปรียวดั่งมีชีวิต
“เจ้าหนุ่มน้อย อยากได้น้ำตาลปั้นหรือไม่”
คุณปู่เป่าน้ำตาลเสร็จอันหนึ่งก็ปักลงกับแท่งไม้ด้านหน้า พร้อมหัวเราะเหอะๆ แล้วถามจงจี่
“เป่าเป็นตัวนักษัตรสักสองสามตัวก็พอ รบกวนท่านแล้ว”
“ได้เลย”
จงจี่มองเห็นสายตาวาดหวังของเด็กน้อยที่นั่งยองๆ อยู่ด้านข้างทั้งหลายนี้ก็ยื่นศิลาวิญญาณออกมาหลายก้อน ผู้อาวุโสสายตาไม่ค่อยดี มองไม่เห็นว่าในบรรดาศิลาวิญญาณระดับล่างหลายก้อนนี้มีศิลาวิญญาณระดับสูงปนอยู่ด้วยก้อนหนึ่ง หลังจากวางไว้ที่ด้านข้างแบบส่งๆ แล้วก็เริ่มเป่าน้ำตาลต่อไป
รอจนหลังจากเป่าน้ำตาลปั้นเสร็จแล้ว จงจี่ก็แบ่งไก่เอยแพะเอยวัวเอยหลายตัวนี้ให้กับเด็กน้อยด้านข้าง ตนเองถือไว้เพียงหมูน้ำตาลปั้นตัวอ้วนกลมตัวหนึ่ง ก่อนบอกลาคุณปู่แล้วกรายไปยังแผงลอยถัดไป
เวลานี้ดวงอาทิตย์ส่องลงตรงกลางศีรษะพอดิบพอดี เป็นเวลาเที่ยงวัน
ผู้สัญจรบนถนนน้อยลง พ่อค้าแผงลอยหาบเร่เองก็เก็บข้าวของไปกินข้าวกันแล้ว
ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนจาง จงจี่ก็ถือหมูน้ำตาลปั้นอยู่เช่นนั้น เดินจากตอนใต้ของเมืองไปตลอดทางจนถึงตอนเหนือของเมือง
อากาศร้อนเช่นนี้ น้ำตาลปั้นนี้เดิมทีแล้วต้องละลายอย่างรวดเร็ว แต่จงจี่เห็นความน่ารักใสซื่อของเจ้าหมูน้อยตัวนี้จึงคลุมมันด้วยพลังวิญญาณให้คงสภาพเดิมเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในเหลาสุราแห่งหนึ่ง
“เสี่ยวเอ้อร์ นำสุรามาไหหนึ่ง”
“ได้เลย ลูกค้าต้องการสุราอะไรหรือ สุราหลีฮวาไป๋ (ดอกสาลี่ขาว) เป็นสุราขึ้นชื่อที่สุดในหอเฟิงอวี่ (ลมฝน) ของพวกข้า”
“เช่นนั้นเอามาไหหนึ่งเถิด”
พอจงจี่ได้กลิ่นหอมจากในเหลาสุรานี้ก็เดินบนถนนต่อไปไม่ได้อีก รีบเดินเข้ามาหาสุราชั้นเลิศโดยทันที
สุราเลิศรสของแคว้นตงนั้นยอดเยี่ยมยิ่งอย่างแท้จริง เมื่อก่อนเขายังเคยแอบเข้าไปขโมยสูตรหมักสุราชิวลู่ไป๋ในพระราชวังแคว้นตง สุราจักรพรรดิเช่นนี้ ไม่ได้ย่ำแย่ไปกว่าสุราพื้นบ้านเลย
เอ้อระเหยอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวัน อารมณ์ของจงจี่เองก็ไม่เลวนัก เขานั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง จ้องหมูน้ำตาลปั้นในมือ ฟังผู้คนคุยเรื่องสัพเพเหระแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
“อันดับหนึ่งในใต้หล้ากับจอมกระบี่ ที่สุดแล้วผู้ใดจะเก่งกาจกว่ากัน”
“การบำเพ็ญเพียรของท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์อาจจะสูงกว่าจอมท่านอยู่บ้าง แต่ในด้านวิชากระบี่ใครสูงใครต่ำมีแต่ต้องสู้กันถึงจะรู้”
“พูดได้ถูกต้อง หากทั้งสองท่านลงมือขึ้นมา เกรงว่าจะเป็นศึกสะท้านหล้าศึกหนึ่ง”
จงจี่ “…”
กระบี่เอกชั่วกาล-ผู้ไม่เป็นกระบี่-ถูกวิจารณ์ซึ่งๆ หน้า-กะพริบตาปริบๆ
เขาหันศีรษะไปกวาดตามองปราดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ในตอนที่สัมผัสได้ถึงคนผู้นั้นซึ่งอยู่ตรงประตู แม้แต่หมูน้ำตาลปั้นก็แทบจะถือเอาไว้ไม่มั่น
มือกระบี่ชุดขาวยิ่งกว่าหิมะราวกับภูตผี ยืนเงียบๆ อยู่ตรงประตู พริบตาเดียวก็แปะยันต์หยุดนิ่งลงบนผู้คนที่กำลังสนทนากัน
จงจี่กลับต้องการเพียงเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วร้องคำราม
จงจี่สงสัยว่าแปดอักษร* ของตนเองนั้นขัดแย้งกับจิงเจ๋อใช่หรือไม่ หรือว่าบนร่างของคนผู้นี้ใส่เครื่องตรวจจับเรดาร์อันดับหนึ่งในใต้หล้าเอาไว้ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใดเพียงแค่เขายื่นเท้าไปปรากฏตัวที่ใด ก้าวขาหลังไม่ทันไรอีกฝ่ายก็ตามมาถึงแล้ว
แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรจิงเจ๋อก็ไม่รู้จักเขา ขอแค่จงจี่ไม่ใช้ปราณกระบี่ จิงเจ๋อก็จะไม่สังเกตเห็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้กำลังพยายามลดการมีตัวตนของตนเองลงอยู่ที่มุมนี้
แต่สำนวนเขาว่าไว้ว่าอย่างไรนะ
เรื่องฉิบหายไม่มาเดี่ยว*
แต่ไม่เป็นไรหรอก ในเหลาสุราเกือบจะไม่มีที่นั่งว่างแล้ว อื้ออึงเสียงคนโกลาหล ขอแค่จงจี่ไม่สมองกระตุกเผลอใช้ปราณกระบี่ ด้วยนิสัยเย็นชาไม่เห็นใครในสายตาของจิงเจ๋อแล้วจะต้องไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเขาแน่นอน
จงจี่ครุ่นคิด ในตอนที่เริ่มปล่อยวางและก้มหน้าดื่มสุราอย่างสงบเงียบนั้น ตรงประตูพลันมีคนมาอีกหนึ่งคน อาภรณ์สีเทาปลอดตลอดร่าง มือถือดาบยาว ดื้อด้านทั้งเรือนกาย
คนผู้นี้ก็คือคนคุ้นเคยเก่าผู้หนึ่ง ต่างไล่ฆ่าแกงกันและกันกับจงจี่มาหลายสิบปี ไม่นานมานี้ยังถูกจงจี่ย่ำลงไปหนึ่งฝ่าเท้า จะใช้แค่คำว่าเวทนาเพียงคำเดียวมาบรรยายได้อย่างไร
เป็นนักดาบมู่เหยี่ยนั่นเอง
วาสนาเลิศล้ำไม่อาจบรรยาย
จงจี่ “…”
จบกันๆ วันนี้จบเห่แล้ว
* ย่ำกรอบตามเกณฑ์ เป็นสำนวน หมายถึงปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน
** จ้วงหยวน หรือจอหงวน คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบเคอจวี่ ซึ่งเป็นการสอบขุนนางในสมัยโบราณ
* ปล่อยน้ำ หมายถึงอ่อนข้อให้
** สองแขนเสื้อมีเพียงลม เป็นสำนวน หมายถึงขุนนางข้าราชการมือสะอาด ไม่ซุกซ่อนสินบน ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
* แปดอักษร คือศาสตร์การทำนายดวงชะตาด้วยอักษรแปดตัวที่ได้จากปี เดือน วัน และเวลาเกิด เทียบเป็นอักษรตามแผนภูมิกิ่งฟ้าก้านดิน
* เรื่องฉิบหายไม่มาเดี่ยว เป็นสำนวน หมายถึงเรื่องร้ายมักจะเกิดขึ้นหลายเรื่องพร้อมกันเสมอ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.