ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 42
ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานก็ชาไปทั้งร่าง
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเฉินจิ่งเซินกำลังดึงและลูบไล้เส้นผมของเขา นิ้วเรียวยาวอุ่นร้อน สิ่งที่ร้อนระอุยิ่งกว่าฤดูร้อนนวดคลึงเข้าไปในจิตใจเขาทีละนิด
อวี้ฝานจ้องดวงตาสีดำขลับลุ่มลึกของเขา พยายามดึงหน้า ผ่านไปหลายวินาทีกว่าจะเปล่งเสียงออกมาอย่างแข็งกระด้าง “ใคร…จะสนว่านายชอบอะไร ฉันอยากตัด”
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองสีหน้าบูดบึ้งของเขาที่แดงยิ่งกว่าดอกกุหลาบในแปลงดอกไม้ของโรงเรียนแวบหนึ่ง เลิกคิ้วและไม่ได้พูดจา
อวี้ฝานรู้สึกว่ายังไม่พอ “วันนี้กลับบ้านไปก็จะตัดเลย”
เฉินจิ่งเซินเม้มริมฝีปาก
“ฉันจะโกนให้หมดเลย…” เพิ่งสิ้นเสียงของอวี้ฝาน ลางสังหรณ์อันคุ้นเคยก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาขมวดคิ้ว ก่อนถามอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เฉินจิ่งเซิน นายแม่งจะยิ้มอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่า” เฉินจิ่งเซินดึงมือออก ก้มหน้าดูมือถืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ก้มจนอวี้ฝานเห็นเพียงใบหน้าครึ่งเดียวของเขา
เส้นผมถูกปล่อยกะทันหัน อากาศอบอ้าวแทรกเข้าไปจนรู้สึกเย็นอย่างชัดเจน
ความรู้สึกว่างเปล่าที่อธิบายไม่ถูกนี้คงอยู่เพียงวินาทีเดียว อวี้ฝานรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ขยับเข้าไปและยกมือล็อกคอของเฉินจิ่งเซิน ฝ่ามือดันหน้าเขา
เฉินจิ่งเซินหลบเลี่ยง ตอนแรกอวี้ฝานไม่ได้ดันกลับมา แต่หลังจากนั้นจู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็ผ่อนแรงลง ปล่อยให้อีกฝ่ายหมุนหน้าของตนกลับไป
ยังจะบอกว่าไม่ได้ยิ้มอีก
“ก่อนหน้านี้หลายรอบไม่ได้ลงมือกับนายเพราะมีมือถือกั้น นายก็เลยคิดว่าฉันจะไม่ซัดนายใช่ไหม” อวี้ฝานบีบหน้าเขาจากด้านล่างด้วยมือข้างเดียว ถามอย่างเกรี้ยวกราด “ยิ้มอะไร”
มุมปากของเฉินจิ่งเซินถูกเขาดึงลง ท่าทางมีชีวิตชีวาอย่างหาได้ยาก “คิดถึงสภาพตอนนายหัวโล้นน่ะ”
“หืม?” มือของอวี้ฝานที่ล็อกคออีกฝ่ายออกแรงขึ้นอีกนิด “งั้นรอฉันโกนแล้วนายก็ยิ้มอยู่ข้างๆ ให้เต็มที่ไปเลย ไม่เลิกเรียนห้าม…”
“อีกอย่าง…” เฉินจิ่งเซินช้อนตาขึ้นมองเขา เอ่ยด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม “อวี้ฝาน คอนายแดงมาก”
“…”
เฉินจิ่งเซินถูกดึงเข้ามา ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันมากเกินไป ลมหายใจตอนเฉินจิ่งเซินพูดจึงพัดผ่านปลายคางของอวี้ฝานอย่างแผ่วเบา
“ตอนโมโหฉันก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ” สักพักทั้งคอ หู และใบหน้าของอวี้ฝานก็ร้อนผ่าว เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ตอนฉันต่อยคนมันแดงกว่านี้อีก นายอยากดูไหมล่ะ”
เฉินจิ่งเซินกะพริบตาอย่างเงียบๆ ท่าทางหวั่นไหวนิดหน่อย ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นถึงได้ขยับริมฝีปาก…
อวี้ฝานออกคำสั่งอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “บอกว่าไม่อยากสิ”
เฉินจิ่งเซิน “ไม่อยาก”
อวี้ฝานปล่อยเขา กลับลงไปนั่งโดยที่ร้อนผ่าวไปทั้งตัว แล้วก็ดูดถั่วเขียวปั่นแรงๆ อึกหนึ่ง
ช่างเถอะ ชอบยิ้มก็ยิ้มไปสิ ฉันไม่มองซะก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือไง
เฉินจิ่งเซินปิดเกมแล้วเหลือบมองคอเสื้อของเขาแวบหนึ่ง “ทำไมติดกระดุมเสื้อล่ะ”
อวี้ฝานเพิ่งนึกขึ้นได้ มิน่าล่ะถึงได้ร้อนขนาดนี้…
เขาปลดมันออกอย่างคล่องแคล่วด้วยมือเดียวพลางเอ่ย “ก่อนหน้านี้หนาวน่ะ”
มือถือส่งเสียงดังขึ้นหลายที อวี้ฝานหยิบขึ้นมาดู เป็นจางเสียนจิ้งส่งข้อความมา บอกว่าวันนี้เป็นเวรของพวกเขาสองคน ให้เขากลับไปกวาดห้องเรียน
“ประชุมผู้ปกครองเสร็จแล้ว คนไปกันหมดแล้ว” อวี้ฝานเก็บมือถือ หิ้วขวดน้ำแร่ที่ใช้ใส่เถ้าบุหรี่ขึ้นมาแล้วสะกิดคนข้างๆ “กลับห้องเรียน”
พวกเขากลับมาช้ามาก จางเสียนจิ้งกับเคอถิงเช็ดกระดานกับหน้าต่างเสร็จก็กลับบ้านไปแล้ว เหลือเพียงแค่พื้นที่ไม่ได้ทำความสะอาด
อวี้ฝานหยิบไม้กวาดขึ้นมาแล้วโยนให้เฉินจิ่งเซิน “นายกวาด ฉันจะไปซักไม้ถูพื้น”
พวกเขาลงมือไวมาก สุดท้ายเหลือเพียงทางเดินหลังห้องที่ยังไม่ได้ทำ
ทั้งสองคนคนหนึ่งหิ้วไม้กวาด คนหนึ่งหิ้วไม้ถูพื้น ย้ายไปที่นอกระเบียงทางเดินอย่างเกียจคร้าน อวี้ฝานเพิ่งย่างเท้าออกไปข้างหนึ่งก็ได้ยินว่าข้างๆ มีเสียงกระซิบคุยกันที่เบามาก…
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะเปิดดูไดอารี่ของฉัน…ฮือ…ถ้าแม่ฉันจะให้ฉันเลิกกับนายให้ได้ล่ะ จะทำยังไงดี” นักเรียนหญิงถามอย่างสะอึกสะอื้น
“ไม่เป็นไร ต่อให้แม่เธอ พ่อเธอ ครู…หรือคนทั้งโลกจะห้ามไม่ให้ฉันกับเธอคบกัน ขอแค่เราชอบกันก็ไม่มีทางถูกคนอื่นแยกได้แน่นอน…เธออย่าร้องไห้ไปเลย”
อวี้ฝานเลิกคิ้ว รู้สึกว่าเสียงของผู้ชายคุ้นหูอยู่หน่อยๆ
พอเขาหันหน้าไปก็เห็นร่างบึกบึนของนักกีฬาอย่างจูซวี่
สุดปลายทางเดิน จูซวี่ขวางเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาคนนั้นไว้ในมุมของระเบียงทางเดิน
คู่รักที่เพิ่งถูกจับได้ว่าแอบคบกันคู่นี้อาศัยที่รอบๆ ไม่มีคนแนบชิดกันอย่างสนิทสนม
ดวงอาทิตย์ตกดิน พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นสีเหลืองทองพลางพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งด้วยเสียงแผ่วเบา แต่แล้วก็เห็นจูซวี่ยิ่งพูดยิ่งโน้มศีรษะลงเรื่อยๆ อวี้ฝานยังไม่ทันได้ถอยออกไปจากตรงนี้พวกเขาก็จูบกันแล้ว ร่างทั้งสองทาบทับกัน ศีรษะของจูซวี่เอียงเล็กน้อย มือก็กดอยู่บนเอวของอีกฝ่าย
มือที่กำไว้ของทั้งสองคนต่างแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อวี้ฝานได้สติกลับมา กำลังคิดจะผลักของเฉินจิ่งเซินเข้าไป คนด้านหลังก็ชิงคว้าเสื้อเขาก่อนก้าวหนึ่งแล้วดึงไปข้างหลัง อวี้ฝานไม่ได้ควบคุมฝีเท้า จึงชนเข้ากับร่างเฉินจิ่งเซิน ทั้งสองถอยกลับเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง
ชั้นล่างมีเสียงแตรดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ปกปิดเสียงของพวกเขาสองคนไว้ได้พอดี นอกระเบียงทางเดินไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกนั้นอาจจะยังจูบกันอยู่
ในห้องเรียนเงียบกว่าด้านนอกเสียอีก
อวี้ฝานรู้สึกถึงสายตาของเฉินจิ่งเซิน เขางอนิ้วมือ ไม่ได้หันกลับไป ความตื่นเต้นซึ่งไม่มีที่มาที่ไปผุดขึ้นมาในใจทั้งๆ ที่ระยะห่างตอนที่พวกเขาอยู่ตรงโถงบันไดเมื่อครู่ใกล้กว่าตอนนี้เสียอีก
สักพักอวี้ฝานก็หมุนตัว ผลักอีกฝ่ายโดยไม่เงยหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบา “จะไปแล้ว”
เฉินจิ่งเซินมองข้างนอกแวบหนึ่ง “ไม่กวาดตรงทางเดินแล้ว?”
“ไม่กวาดแล้ว” อวี้ฝานดึงเขา “…กลับบ้าน”
ตกกลางคืนอวี้ฝานเห็นจูซวี่คร่ำครวญอยู่ในแชตเรื่องที่ตนเองคบกับแฟนสาวแล้วถูกจับได้
จูซวี่ แต่เราสัญญากันไว้แล้วว่าจะไม่ให้ใครมาส่งผลต่อความรักของเรา!
‘งั้นอย่าให้ความรักของพวกนายส่งผลกระทบต่อคนอื่นได้หรือเปล่า’
อวี้ฝานพิมพ์ประโยคนี้ออกไป แต่เมื่อคิดครู่หนึ่งแล้วก็ลบทิ้ง ช่างเถอะ ขืนส่งไปคงต้องได้คุยกันอีกยาว
เลยสามทุ่มมาแล้ว รออยู่นานสองนานก็ไม่ได้รับคำเชิญวิดีโอคอลล์ ดังนั้นเขาจึงออกจากกลุ่มแชต กดเปิดรูปโพรไฟล์ของใครบางคนและส่ง ‘?’ ไปหาอีกฝ่าย
เฉินจิ่งเซินตอบกลับด้วย ‘?’ อย่างรวดเร็ว
อวี้ฝานมือว่างๆ ก็กดโทรไปหาเขาทันที
ผ่านไปสักพักเฉินจิ่งเซินถึงได้รับ เขานั่งพิงเก้าอี้ ขณะรับสายวิดีโอคอลล์ดูท่าทางสบายๆ มากกว่าปกติ เขาถาม “ทำไมเหรอ”
“คืนนี้ไม่ติว?” อวี้ฝานถาม
“อยากติว แต่ว่า…” เฉินจิ่งเซินชะงักไปครู่หนึ่ง “นายไม่รู้สึกเหรอว่าขาดอะไรไป”
อวี้ฝานงุนงง “ขาดอะไร”
“เมื่อตอนบ่ายรีบออกมาเกินไปหน่อย ลืมเอากระเป๋ามาด้วย”
“…”
เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ออกมาอย่างรีบร้อน อวี้ฝานที่กำลังถือมือถือก็บีบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผลคือออกแรงมากเกินไป มือถือสูญเสียการควบคุม ล้มหงายลงบนโต๊ะดัง ‘ตุบ’ …
เชี่ย
อวี้ฝานรีบช้อนมือถือขึ้นมา ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “อ้อ งั้นฉันวางล่ะนะ”
“คุยกันสักเดี๋ยวสิ” เฉินจิ่งเซินเอ่ย
“…”
ดึกๆ อย่างนี้ผู้ชายสองคนมีอะไรน่าคุยกัน นั่งคุยกันตอนกลางวันไม่ได้หรือไง
เสียงเปิดประตูดังมาจากด้านนอก อวี้ฝานมองไปทางประตูโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินไปทางระเบียง
เฉินจิ่งเซินมองไฟกลางคืนที่วูบไหวบนหน้าจอแล้วเอ่ยถาม “คนที่บ้านนายกลับมาแล้ว?”
อวี้ฝานตอบอืมทีหนึ่ง มือเท้าบนราวและนั่งบนระเบียงอย่างชำนาญ
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะคุยอะไรกับเฉินจิ่งเซิน
เขายกมือถือไว้ตรงหน้าแล้วพูดว่า “เฉินจิ่งเซิน ถ่ายห้องนายให้ฉันดูหน่อยซิ”
เฉินจิ่งเซินนิ่งอึ้งไปอย่างเห็นได้ยาก จากนั้นก็สลับเป็นกล้องหลัง ขยับเก้าอี้หมุนเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายดู
ห้องของอีกฝ่ายไม่ต่างกับโต๊ะหนังสือของเขา สะอาด เป็นระเบียบ โทนสีเย็น พื้นที่ว่างใหญ่พอๆ กับห้องรับแขกในบ้านของอวี้ฝาน
อวี้ฝานดูรอบหนึ่ง ก่อนจะพิงบนตาข่ายเหล็กกันขโมยพลางบอก “ขยับขึ้นไปหน่อย”
เฉินจิ่งเซินชะงักครู่หนึ่งก่อนจะยกมือถือขึ้นเล็กน้อย
อวี้ฝานเห็นของที่ตนอยากเห็นแล้วก็หรี่ตา ตั้งใจถามทั้งๆ ที่รู้ “เดี๋ยวนะ ผ้าดำบนผนังนั่นคลุมอะไรไว้น่ะ”
วินาทีต่อมาเฉินจิ่งเซินก็ตัดกล้องกลับมา เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กล้อง”
“ทำไมห้องนายมีของพรรค์นี้ด้วย” อวี้ฝานถาม “ไม่เขินหรือไง”
“ชินแล้ว ใช้ผ้าบังไว้ก็พอ”
“ไม่ได้ยินเสียง?”
เฉินจิ่งเซินตอบอืมทีหนึ่ง “ไม่ได้ติดลำโพง”
ก็ยังดี
เห็นทีว่าดูเหมือนเฉินจิ่งเซินจะไม่ได้ขี้ขลาดขนาดนั้นอย่างที่เขาคิด และก็ไม่ได้มีอิสระขนาดนั้นด้วยเหมือนกัน ผ้าสีดำที่ปกปิดไว้อย่างแน่นหนาและเนี้ยบผืนนั้นดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือจากการทำมานาน
อวี้ฝานพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอบอ้อทีหนึ่งอย่างเฉื่อยชา
ที่อยากถามก็ถามเสร็จแล้ว เขาบอก “คุยเสร็จแล้ว วาง…”
“อวี้ฝาน” ในหูฟังจู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็เรียกชื่อเขา “เคยมีความรักไหม”
“…”
อวี้ฝานงอขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เครื่องหน้าทั้งห้าบนใบหน้าที่เพิ่งผ่อนคลายลงกลับเครียดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง
ตั้งแต่มัธยมปลายปีสองอวี้ฝานก็เริ่มทำตัวเกเรแบบนี้ ชกต่อย สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ล้วนเคยทำมาหมด มีแค่พฤติกรรมต่อต้านในช่วงวัยรุ่นอย่างการมีแฟนเพียงอย่างเดียวที่ไม่เคยได้สัมผัสเลย
ไม่มีเหตุผลอะไร ตั้งแต่เด็กจนโต ขอแค่มีคนมาสารภาพรักกับเขา เขาก็หน้าแดงแล้ว ไม่ว่าจะตอนไหน หรือไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ตาม
เรื่องนี้จะพูดออกไปได้เหรอ ไม่ได้เด็ดขาด
“แน่นอน เคยตั้งหลายครั้ง” อวี้ฝานนั่งตัวตรงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ หลังจากพูดจบก็เสริมอีกทันที “กับผู้หญิงน่ะ”
“จริงเหรอ” เฉินจิ่งเซินหลุบเปลือกตาอย่างเกียจคร้าน ดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน “ทำไมฝ่างฉินบอกว่านายไม่เคยมีแฟน”
“งั้นเหรอ ฉันตั้งแต่ประถมจนถึงตอนนี้คบมาแล้วสาม…” อวี้ฝานชะงักครู่หนึ่ง
ถึงเขาจะไม่มีประสบการณ์ แต่สามสิบกว่าคนก็ออกจะเกินไปหน่อยมั้ง
“สิบสามคน” เขาพูดจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่เคยถูกครูจับได้”
เฉินจิ่งเซิน “ประถม? คบตอนชั้นไหน”
นี่เรียกว่าอะไรนะ นี่เรียกว่าโกหกครั้งหนึ่งต้องโกหกต่อไปไม่สิ้นสุด
อวี้ฝานอยากสูบบุหรี่ ขณะคลำหาซองบุหรี่เจอก็นึกถึงคำพูดที่จูซวี่บอกในกลุ่มแชตวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง…จึงอดทนไว้
ขณะปั้นเรื่องสายตาของเขาก็ล่องลอย ลอยไปยังเกียรติบัตรที่อยู่บนผนังภายในห้อง แล้วปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันใด…
“ป.สี่ ตอนเข้าร่วมค่ายฤดูร้อน” อวี้ฝานว่า “ครั้งล่าสุดก็ไอ้นั่นที่นายเห็น ค่ายฤดูร้อนฟิอะไรนั่น จำได้ไหม ฉันได้เกียรติบัตรด้วยไม่ใช่หรือไง บอกว่าฉันชอบช่วยเหลือคนอื่น”
“…”
อวี้ฝานไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าจู่ๆ ท่าทีของคนที่อยู่ในวิดีโอคอลล์ก็เปลี่ยนไปจนยากจะอธิบายนิดหน่อย แล้วก็แต่งเรื่องต่อ “คนคนนั้นที่ฉันช่วยก็คือแฟนคนแรกของฉัน”
“…”
ในวิดีโอคอลล์เงียบไปสักพัก อวี้ฝานรออยู่นานสองนานก็ขมวดคิ้ว “นายได้ยินหรือเปล่า”
“ได้ยินแล้ว” เนิ่นนานกว่าเฉินจิ่งเซินจะเอ่ยปาก “คบนานเท่าไหร่ อีกฝ่ายเป็นเด็กประถม…แบบไหน”
“ทำไมนายถามเยอะแยะขนาดนี้เนี่ย”
พูดตามตรงอวี้ฝานลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
จุดพลิกผันในครอบครัวใหญ่หลวงเกินไป เรื่องในอดีตเมื่อตอนมัธยมต้นปีหนึ่งเขาจำได้เลือนรางมาก หรือจะให้พูดก็คือเขาปฏิเสธที่จะนึกย้อนกลับไป
ถึงอย่างไรอดีตเมื่อนานมาแล้ว ยังมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ในชีวิตเขา แต่หลังจากคนคนนั้นไปแล้ว จิตใต้สำนึกของเขาก็เริ่มไม่อยากจดจำคนหรือเรื่องราวใดๆ ในอดีตอีก
เขาจ้องเกียรติบัตรใบนั้นพลางคิดครู่หนึ่ง ได้แต่นึกขึ้นมารางๆ…
“เด็กประถมขี้แยคนหนึ่งล่ะมั้ง” อวี้ฝานบอก “คบเมื่อก่อนนานมากแล้ว จำไม่ค่อยได้แล้ว”
“แบบนี้นี่เอง”
แต่งเรื่องเสร็จอวี้ฝานก็พรูลมหายใจ กำลังจะพิงตาข่ายเหล็กกันขโมยใหม่อีกครั้ง…
“งั้นเคยจูบไหม”
“…”
ตาข่ายเหล็กราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน อวี้ฝานแตะทีหนึ่งแล้วก็ผุดลุกนั่งตัวตรง
มีแฟนมาสิบสามครั้งแต่ไม่เคยจูบ นี่แม่งไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยมั้ง
อวี้ฝานกะพริบตาสิบกว่าครั้ง กว่าจะเปล่งเสียงออกไปอย่างแข็งกระด้าง “…อื้ม!”
เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้ว “ก็คือกับเด็กประถมคนนั้น?”
ได้หรือไง เด็กประถมเข้าใจกับผีน่ะสิ
แต่อวี้ฝานไม่อยากปั้นแต่งประวัติความรักต่อแล้ว จึงกัดฟันพูด “…อืม”
เฉินจิ่งเซินงอนิ้วแตะที่ปลายจมูก “เด็กขนาดนั้น…จูบยังไง”
“แม่งจะจูบยังไงได้ จูบแรงๆ น่ะสิ! จูบจนปากแตก…” อวี้ฝานหลับตา พูดต่อไปไม่ได้แล้ว “นายจะถามเรื่องนี้ไปทำไมฮะ”
เฉินจิ่งเซินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตรงๆ ว่า “ไม่เคยจูบ เพราะงั้นก็เลยอยากรู้น่ะ”
แค่เดาก็รู้แล้วว่านายไม่เคยจูบ ไอ้เด็กเรียนหน้าเหม็น
อวี้ฝานแต่งเรื่องจนตัวเองก็เชื่อด้วยแล้ว ขณะมองเฉินจิ่งเซินยังเจือด้วยความรู้สึกแบบที่พวกมือโปรดูถูกพวกมือใหม่นิดหน่อย มองไปมองมาตาก็เคลื่อนลงไปโดยไม่รู้ตัว
เฉินจิ่งเซินจมูกโด่งมาก ตอนเขารัดคออีกฝ่ายเมื่อตอนบ่ายเกือบจะแตะเข้าให้ อีกทั้งริมฝีปากยังบางมาก ท่าทางก็ดูเย็นชานิดหน่อย จูบกันขึ้นมาก็คงไม่เท่าไหร่…ฉันเป็นบ้าหรือเปล่า
อวี้ฝานถูกความคิดนี้ของตนเองทำเอาตกตะลึงจนมึนงง ทั่วทั้งร่างกายแข็งทื่อกว่าตอนแต่งเรื่องเมื่อกี้นี้เสียอีก
เสียงโทรศัพท์ดังติ๊งทีหนึ่ง หวังลู่อันส่งข้อความมาชวนเขาเล่นเกม
ทันใดนั้นริมฝีปากที่กำลังจ้องอยู่ก็งับลง อวี้ฝานวางสายวิดีโอคอลล์อย่างไม่มีทางเลือกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยปาก
s ?
s หลังจากนั้นพวกนายเลิกกันยังไง
อวี้ฝานลูบหน้าแล้วก้มลงคว้ากล่องบุหรี่ หลังจากสูบบุหรี่ไปมวนหนึ่งถึงได้ใจเย็นลงอีกครั้ง
– เลิกกันแล้วก็คือเรื่องในอดีตที่เสียใจ นายยังเอาแต่ถามอยู่อีก?
– จะไปเล่นเกมแล้ว ขืนตอบอีกจะบล็อก
คืนนี้อวี้ฝานเล่นเกมจริงจังมาก นานๆ ทีจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดกับเหล่าเพื่อนยากจนถึงตีสอง
ทำให้หลังจากเขาวางมือถือ พอศีรษะถึงหมอนก็หลับไปอย่างง่วงงุน
หลายปีมานี้อวี้ฝานแทบจะฝันทุกคืน
นอกจากความฝันที่พิลึกพิลั่นบางอย่างแล้ว เนื้อหาในความฝันที่เหลือล้วนคล้ายกันมาก ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือเขาชนะบ้างแพ้บ้าง บางอย่างเป็นเรื่องในอดีต บางอย่างคิดจินตนาการเอาเอง
กระทั่งไม่กี่เดือนก่อน ในฝันถ้าไม่ใช่เขาตายก็เป็นอวี้ข่ายหมิงตาย ทำให้ช่วงหนึ่งหลังจากตื่นมาเขาต้องนอนสงบสติอยู่สักพักกว่าจะแน่ใจว่าตนเองตื่นแล้วหรือว่าวิญญาณออกจากร่าง
กระทั่งเปิดเทอมใหม่จู่ๆ เขาก็ค่อยๆ ฝันน้อยลง เขาเริ่มฝันแบบที่เรียบง่ายและก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้…
เขาฝันเห็นโถงบันไดของอาคารปฏิบัติการ เฉินจิ่งเซินนั่งก้มหน้ากลั้นหัวเราะอยู่บนขั้นบันได ส่วนตัวเขาเองขยับเข้าไปรั้งคอของเฉินจิ่งเซิน บังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้า
เฉินจิ่งเซินปล่อยให้เขาทำ ชั่วขณะที่เงยหน้าก็ยกมือขึ้น สอดเข้าไปในเส้นผมของเขา และกดเขาลงไป…
เฉินจิ่งเซินบดเบียดใบหน้าเขาแล้วบดเบียดจมูกเขาอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็แตะลงบนริมฝีปากเขา
เช้าวันต่อมา
เฉินจิ่งเซินเพิ่งเข้ามาในห้องเรียนก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนกำลังคว้านท้องเขาด้วยสายตาอย่างชิงชัง
เขาหันไปมองราวกับมีสัมผัสพิเศษ แล้วก็เห็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาเอาแจ็กเก็ตเครื่องแบบที่ไม่ได้เห็นมานานตัวนั้นคลุมศีรษะแล้วฟุบลงไปพอดี
เฉินจิ่งเซินนั่งประจำที่ ยกมือเคาะโต๊ะเรียนข้างๆ “กินมื้อเช้าหรือยัง”
ไม่มีคนตอบ
ผ่านไปสักพักเฉินจิ่งเซินก็เอาการบ้านที่ทำเสร็จด้วยความเร่งรีบวางไว้ข้างมือเขา “ลุกขึ้นมารีบทำการบ้านเถอะ”
ไม่มีคนตอบ
ใกล้ถึงเวลาท่องหนังสือรอบเช้า จั่วควนเดินมาจากห้องข้างๆ บอกว่าตนง่วงมาก นัดพวกเขาไปสูบบุหรี่ก่อนแล้วค่อยเข้าเรียน
หวังลู่อัน “ชู่ เบาเสียงหน่อย เราไปกันสองคน อวี้ฝานหลับแล้ว…”
เพิ่งสิ้นเสียงอวี้ฝานก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ยัดบุหรี่ใส่กระเป๋ากางเกงลวกๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
คนที่ปกติมักจะเตะเก้าอี้ของเฉินจิ่งเซินเพื่อให้หลีกทาง วันนี้กลับไม่แม้แต่จะหันหน้าไปทางขวา เขาเหยียบเก้าอี้แล้วข้ามหน้าต่างออกไปจากห้องเรียนโดยตรง ก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ
หวังลู่อันและจั่วควน “…?”
เฉินจิ่งเซิน “…”
เข้าใจแล้ว ไม่ได้หลับจริงๆ แค่ไม่สนใจเขา
สิบนาทีต่อมา เริ่มท่องหนังสือรอบเช้า
ตัวแทนวิชาภาษาจีนกำลังถามครูภาษาจีนว่าวันนี้จะอ่านบทไหน เฉินจิ่งเซินก็ยื่นแขนไปสะกิดคนข้างๆ
วินาทีต่อมาที่แขนของทั้งสองคนแนบชิดกัน อวี้ฝานก็ถอนมือออกไปทันที
เฉินจิ่งเซิน “…”
เขาวางปากกากดลงบนโต๊ะ แล้วหันหน้าไปถาม “ฉันกวนนาย?”
เพื่อนร่วมโต๊ะของเขาไม่ขยับเขยื้อน จ้องหนังสือเรียนและเอ่ยอย่างเฉยชา “เปล่า”
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองหูแดงๆ ของเขาแวบหนึ่ง “งั้นทำไมนายโมโหฉันแต่เช้าล่ะ”
บทที่ 43
อวี้ฝานใช้มือข้างหนึ่งเท้าข้างแก้มเพื่อตัดสายตาของเขากับเฉินจิ่งเซินออกไป
เขาจ้องตัวหนังสือบนหนังสือเรียน ยังคงไม่หันหน้า “เปล่า ใครโมโห ฉันไม่ได้โมโห”
เฉินจิ่งเซินว่า “งั้นทำไมไม่สนใจฉัน”
“ง่วง ไม่อยากพูด”
อวี้ฝานรู้สึกได้ว่าเฉินจิ่งเซินมองเขาเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นสายตาที่ตกอยู่บนร่างก็หายไปแล้ว คนข้างๆ ท่องบทเรียนพร้อมกับตัวแทนวิชาภาษาจีนด้วยเสียงแผ่วเบา
อวี้ฝานคลายการป้องกันโดยไม่รู้ตัว ใช้มือขยี้หน้าแรงๆ สองสามที
เขาไม่ได้โมโหจริงๆ เรื่องที่ฝันนี้โทษเฉินจิ่งเซินไม่ได้หรอก จะโทษก็ต้องโทษจูซวี่ แอบมีแฟนแล้วยังจูบกันที่ทางเดินห้องเรียนอีก แม่งสมควรถูกจับจริงๆ ครั้งหน้าขืนยังให้เขาเจออีกล่ะก็ เขาจะโทรหาหูผางทันที
ท่องตำรารอบเช้าสิ้นสุดลง สองคาบแรกของวันนี้คือวิชาคณิตศาสตร์ จวงฝ่างฉินยังไม่มา หัวหน้ากลุ่มของแต่ละกลุ่มล้วนถือโอกาสนี้เก็บการบ้าน
เคอถิงลุกขึ้นเก็บจากแถวหน้าไปข้างหลัง เมื่อถึงอวี้ฝาน เธอก็ถามอย่างระมัดระวัง “อวี้ฝาน นายจะส่งการบ้านคณิตไหม ครูจวงบอกว่าถ้าวันนี้ไม่ส่งการบ้าน คณิตสองคาบต้องยืนเรียนนะ”
อวี้ฝานพิงเก้าอี้ก้มลงหาหนังสือเรียน ก่อนพูดโดยไม่เงยหน้า “ไม่ได้ทำ ไม่…”
“ของฉันกับของเขา” เฉินจิ่งเซินหยิบกระดาษข้อสอบคณิตศาสตร์สองแผ่นออกมาจากใต้โต๊ะแล้ววางไว้ตรงหน้าเคอถิง
อวี้ฝานตะลึงงัน ดูลิ้นชักของตนก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเงยหน้ามองกระดาษข้อสอบสองแผ่นนั้นที่เคอถิงเพิ่งรับไปอยู่ในมือ “นายหยิบไปตอนไหน”
“ตอนนายไปห้องน้ำ”
“…นายเลียนแบบตัวหนังสือฉันไม่ได้ ยังอยากยืนด้วยกันอีกสองคาบหรือไง”
เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ครั้งนี้น่าจะได้”
อวี้ฝานไม่เชื่อ จึงลุกขึ้นยืนแล้วคว้ากระดาษข้อสอบในมือเคอถิงไป “เอามาให้ฉันดูซิ”
เมื่อเห็นตัวหนังสือบนข้อสอบเขาก็ขมวดคิ้วจนกลายเป็นเชือกถักจีน ปฏิกิริยาเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน “นี่มันอะไร นี่มันเหมือนตัวหนังสือของฉัน?”
ขณะพูดประโยคหลังเขาเงยหน้าหาคนยืนยันโดยจิตใต้สำนึก
เคอถิงที่ถูกเขาจ้องได้แต่ก้มหน้าดูข้อสอบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “คะ…ค่อนข้างเหมือนนะ”
“…”
อวี้ฝานอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ เอวก็ถูกคนแตะ เขาพลันรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิบนมือของอีกฝ่ายโดยมีชุดเครื่องแบบฤดูร้อนบางๆ กั้น
เฉินจิ่งเซินมองร่างที่อยู่นอกประตู “ฝ่างฉินมา…”
โครม!
อวี้ฝานสะท้าน หลบไปด้านข้างทั้งตัว จนชนเข้ากับโต๊ะและเก้าอี้ของตน ทำเอาโต๊ะของเขากับเก้าอี้ของเคอถิงที่อยู่ข้างหน้าขยับตำแหน่งไปด้วยกันหมด
โต๊ะและเก้าอี้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาคนทั้งห้องหันมาดู
เฉินจิ่งเซินยังอยู่ในท่ายกมือ หันไปมองคนที่สะดุ้งจนดีดออกไปพร้อมกับทุกคน
“อวี้ฝาน!” จวงฝ่างฉินเหยียบเข้ามาในห้อง ยืนตะโกนตั้งแต่หน้าประตู “ไม่นั่งที่ให้ดีๆ ชนโต๊ะเหมือนชนเครื่องกระเบื้องสินะ อยากไปยืนเรียนข้างหลังใช่ไหม”
พูดตามตรง อวี้ฝานอยากมาก
ทว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของเขายื่นมืออันล้ำค่าออกไป แล้วดึงเก้าอี้กับโต๊ะของเขากลับมาใหม่ ดังนั้นอวี้ฝานจึงได้แต่ทิ้งท้ายไว้ว่า “เปล่าครับ” ก่อนจะนั่งกลับลงไปใหม่อย่างทึ่มทื่อ
จวงฝ่างฉินมองค้อนเขาทีหนึ่ง ก่อนเดินไปยังโพเดียมพลางถามบรรดาหัวหน้ากลุ่มว่ามีใครไม่ส่งการบ้านบ้าง
หลังจากนั่งลงอวี้ฝานก็เอาสองมือซุกกระเป๋ากางเกง แล้วจ้องหน้าปกสมุดแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์
เฉินจิ่งเซินก้มหน้ากวาดตามองชุดเครื่องแบบของเขาแวบหนึ่ง “เจ็บไหม”
“ไม่เจ็บ นายไม่ต้องมาพูดกับฉัน” เสียงของอวี้ฝานนิ่งเรียบ “ตอนนี้ฉันพูดกับนายไม่ได้”
หูแดงอีกแล้ว
คนคนนี้ทำไมถึงได้น่าแกล้งขนาดนี้นะ
เฉินจิ่งเซินถาม “งั้นจะพูดกับฉันได้ตอนไหน”
อวี้ฝานประมาณการ “เรียนคาบที่สองเสร็จก็แล้วกัน”
หวังลู่อันคือคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ทำการบ้านคณิตศาสตร์
เขายืนถือหนังสือ ไม่มีแก่ใจจะเรียน จึงแอบฟังบทสนทนาของโต๊ะข้างๆ
แต่สองคนนี้คุยอะไรกันอยู่นะ ทำไมเขาฟังแล้วดูเหมือนเป็นการคุยรหัสลับ
เขาหันหน้าไป เห็นเฉินจิ่งเซินพูด ‘อ้อ’ อย่างเรียบๆ ก่อนหันหน้ากลับมาอีกครั้งและเงยหน้ามองกระดานดำพอดี
หวังลู่อันจ้องใบหน้าด้านข้างของเฉินจิ่งเซินก็ตะลึงงัน ยกมือตบคนข้างๆ โดยอัตโนมัติ ก่อนพูดเสียงเบา “เชี่ย เด็กท็อปกำลังยิ้มอยู่เหรอ”
กรรมการนักเรียนดันแว่นตาและไม่สนใจเขา เพียงแค่เปิดสมุดจดวินัยของตนเอง แล้วเขียนชื่อ ‘หวังลู่อัน’ ลงไปบนหน้าที่จดชื่อคนคุยในคาบหน้านั้นอย่างคล่องแคล่ว
วิชาคณิตศาสตร์สองคาบสิ้นสุดลง จวงฝ่างฉินวางข้อสอบลง เท้ามือข้างหนึ่งบนโพเดียมและเอ่ย “เอาล่ะ ก่อนเลิกคาบครูจะเปลี่ยนที่นั่งสักสองสามที่”
ท่านั่งเอื่อยเฉื่อยสบายๆ ในตอนแรกของอวี้ฝานพลันเครียดเกร็งโดยไม่รู้ตัว มองไปทางจวงฝ่างฉินที่อยู่บนโพเดียมโดยอัตโนมัติ
…ใช่แล้ว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าหลังจากสอบกลางภาคจะต้องเปลี่ยนที่นั่ง
เฉินจิ่งเซินเองก็น่าจะเปลี่ยนด้วยเหมือนกันสินะ
ถึงยังไงแม่ของเขาก็พูดซะขนาดนั้นแล้ว
อวี้ฝานพิงหลังบนเก้าอี้ มองจวงฝ่างฉินก้มหน้าเปิดผังที่นั่งใหม่ จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ความรู้สึกแบบนี้คล้ายกับตอนที่เขากลับบ้านแล้วเห็นว่าในบ้านไฟสว่าง ในความระอาใจเจือด้วยความต่อต้านเล็กน้อย
ผ่านไปไม่กี่วินาทีอวี้ฝานพลันได้สติกลับมาอีกครั้ง
เขามีอะไรให้หงุดหงิดกัน เฉินจิ่งเซินย้ายไปก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ต่อไปก็จะไม่มีคนคอยจ้องเขาเวลาเรียนอีก ไม่มีคนคอยอธิบายโจทย์ให้เขารำคาญทุกวันอีก เฉินจิ่งเซินเองก็จะได้ไม่ถูกจวงฝ่างฉินเรียกไปอบรมเพราะไม่ตั้งใจเรียนอีก
เสียงความเคลื่อนไหวดังสวบสาบมาจากด้านข้าง อวี้ฝานหันหน้าไป เห็นเฉินจิ่งเซินกำลังก้มตัวคุ้ยโต๊ะเรียน
?
จวงฝ่างฉินยังไม่ได้พูดเลย แทบอดใจรอไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือไง นี่คือท่าทีที่นายมีต่อการต้องนั่งแยกกับคนที่แอบชอบสินะ
ไปๆๆๆ รีบย้ายไปซะ จะได้ไม่ต้องพูดว่าชอบๆๆ ข้างหูทั้งวันไม่หยุดหย่อน น่ารำคาญจะตายชัก…
“ไช่อวิ๋นกับเซี่ยเอินเอินเปลี่ยนที่นั่งกัน หัวหน้าห้องกับโจวเสี่ยวเยี่ยเปลี่ยนที่นั่งกัน แล้วก็…” สายตาของจวงฝ่างฉินตกมาทางพวกเขา “อู๋ซือ เธอกับกรรมการนักเรียนเปลี่ยนที่นั่งกัน”
จวงฝ่างฉินปิดสมุด “เอาล่ะ ถือโอกาสตอนระหว่างพักคาบรีบเปลี่ยนที่นั่งเลย จะได้ไม่เสียเวลาคาบต่อไป”
จวงฝ่างฉินเพิ่งไป ในห้องเรียนก็มีเสียงย้ายโต๊ะเรียนดังขึ้นมาทันที การเปลี่ยนที่นั่งเล็กๆ แบบนี้คึกคักยิ่งกว่าตอนที่ทุกคนเปลี่ยนพร้อมกันเสียอีก
เขารู้สึกได้ถึงสายตาของคนข้างๆ เฉินจิ่งเซินจึงหันหน้าไป “พูดได้หรือยัง”
อวี้ฝานมองเขา “…ทำไมนายไม่ย้ายที่ไปซะล่ะ”
“ทำไมฉันต้องย้ายไปล่ะ”
“แม่…” อวี้ฝานชะงัก รั้งบังเหียนม้าที่หน้าผา* “แม่ง งั้นนายจะเก็บกระเป๋าทำไม”
เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้ว ก่อนจะอธิบายว่า “เลิกเรียนแล้วก็เก็บหนังสือเรียนสิ”
“…”
ในฐานะที่เป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในการเปลี่ยนที่นั่งครั้งนี้ หวังลู่อันจึงมีความสุขทั้งวันจริงๆ
เลิกเรียนคาบที่สองของช่วงบ่ายหวังลู่อันเดินไปที่ระเบียงทางเดิน ก่อนจะพิงข้างหน้าต่างตากแดดยามบ่ายอย่างอารมณ์ดี
จางเสียนจิ้งเท้าคางด้วยมือข้างเดียวพลางสยายเส้นผมยาวสลวย “ฉันว่ากรรมการนักเรียนนั่งโต๊ะแรก ทุกคาบต้องหันกลับมาจ้องนายสองสามรอบ”
“ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่เขาไม่จ้องฉันอยู่ข้างๆ ฉันก็พอ” หวังลู่อันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงยกมือทั้งสองข้างเท้าขอบหน้าต่าง “เด็กท็อป ประชุมผู้ปกครองเมื่อวานนี้ฉันเห็นรถบ้านนาย เจ๋งสุดๆ เลย”
เด็กหนุ่มไม่ได้อ่อนไหวในด้านนี้ขนาดนั้น หวังลู่อันชมว่ารถเจ๋งมาจากใจจริง แต่เขาคิดครู่หนึ่งแล้วยังเสริมไปอีกประโยค “แล้วก็เห็นแม่นายแล้วด้วย สวยจริงๆ”
เฉินจิ่งเซินโยนปากกาใส่กระเป๋าดินสอ กล่าวอย่างนิ่งเฉย “ขอบคุณ”
หวังลู่อัน “พอฉันเห็นก็รู้เลยว่านายได้พันธุกรรมมาจากเธอ โดยเฉพาะจมูกกับ…”
อวี้ฝานคว้าขวดน้ำโยนไปทางหน้าต่าง “หนวกหูชะมัด”
หวังลู่อันเอี้ยวตัวหลบ ยื่นมือไปรับขวดน้ำไว้อย่างมั่นคง สายตาเหลือบมองไปยังระเบียงทางเดินห้องข้างๆ
เขาวางขวดน้ำกลับไปที่โต๊ะของอวี้ฝานแล้วสะกิดแขนจั่วควน “จั่วควน ผู้หญิงห้องพวกนายคนนั้นเป็นอะไรไป กำลังจะเดินมา พอเห็นฉันก็หันกลับไปแล้ว แอบชอบฉันหรือเปล่าน่ะ”
จั่วควนหันกลับไปมองตามคำพูดของเขาแวบหนึ่ง “พอเถอะ จะถึงตานายเหรอ ก็คือคนนั้นที่ฉันพูดตอนกินข้าวครั้งที่แล้วไง เขามองอวี้ฝานต่างหาก”
คนที่ถูกเรียกชื่อนั่งเล่นมือถือไม่ขยับเขยื้อน ไม่แม้แต่จะหันศีรษะไป
อวี้ฝานเปิดเกมงูจอมเขมือบ กำลังจะเริ่มเกมใหม่ สายตาก็เหลือบไปเห็นแรงก์ของเพื่อนพอดี
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะใช้ศอกกระทุ้งคนข้างๆ “นายแซงสถิติของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
เฉินจิ่งเซินมองเขาแวบหนึ่ง “หลังจากวางสายวิดีโอคอลล์เมื่อคืน”
“…”
เสียงของพวกเขาเบามาก คนอื่นๆ ล้วนได้ยินไม่ชัด หวังลู่อันร้องอ้ออย่างไม่สนใจอะไรนัก “ทำไมคนแอบชอบอวี้ฝานเยอะขนาดนี้นะ แค่เพราะเขาหล่อหรือไง”
จั่วควน “ไม่งั้นล่ะ”
“ก็ไม่ทั้งหมดหรอก” จางเสียนจิ้งวิเคราะห์อย่างเหนื่อยหน่าย “หลักๆ คือตัวอวี้ฝานมีออร่าของหนุ่มแบดบอยอะไรแบบนั้น”
อวี้ฝานรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา “คุยเรื่องคนอื่นไป”
จั่วควนไม่ยอม ขมวดคิ้ว “ทำไม ฉันไม่ใช่แบดบอยหรือไง ฉันแม่งเลวจะตายอยู่แล้ว!”
อวี้ฝาน “…”
“นั่นไม่เหมือนกันสักหน่อย” จางเสียนจิ้งเริ่มวิเคราะห์ “อย่าว่าแต่อวี้ฝานหล่อกว่านายเลย เขายังพูดน้อย ตัวสูง แถมยังมีผมที่ยาวจนแทบจะปรกตาแบบนี้ด้วย…”
จั่วควนจับผมตัวเอง “ฉันยาวไม่พอเหรอ”
“ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใครมั้ง หน้าตาอย่างอวี้ฝาน ปกนิดปิดหน่อยก็ให้ความรู้สึกเศร้าๆ ประมาณนั้น นาย…นายอย่าไว้เลยดีกว่า มันเหมือนพวกเฉิ่มๆ โง่ๆ น่ะ”
จั่วควน “…”
หวังลู่อันค้อมตัวลงไปสำรวจเพื่อนของเขา “เชี่ย ฉันว่าแล้วทำไมอวี้ฝานไม่ชอบตัดผม ที่แท้เห็นนิ่งๆ ก็อยากจะเอาไว้อ่อยสาวนี่เอง”
เลิกคาบทบทวนด้วยตัวเอง เฉินจิ่งเซินเอาข้อสอบแข่งขันออกมาแผ่นหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นความเร็วในการเขียนคำนวณจึงช้าลงนิดหน่อย
ช้าจนถึงขนาดถูกอวี้ฝานจับได้
“หุบปากไปซะ” หัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ อวี้ฝานยกมือเสยผมด้านหน้าไปข้างหลังอย่างสะเปะสะปะ “เลิกเรียนฉันก็จะไปตัดแล้ว โกนไปเลย”
หวังลู่อัน “จริงเหรอ”
อวี้ฝาน “ถ้าหลอกนายว่ามีเงิน…”
“จบแล้วๆๆ!” จูซวี่วิ่งมาจากห้องข้างๆ อย่างเร่งรีบ ก่อนตบหน้าต่างของพวกเขาเต็มแรง “หูผางมาแล้ว! หนีเร็ว!”
หวังลู่อันตกใจ รีบทำท่าดับบุหรี่โดยจิตใต้สำนึก หลังจากทำเสร็จก็ได้สติกลับมา “แม่งเอ๊ย มาก็มาสิ เราไม่ได้สูบบุหรี่กันสักหน่อย จะหนีทำไม”
“ข้างหลังเขามีช่างตัดผมมาด้วยสองคน!” จูซวี่พูดต่อ “เขาเพิ่งตัดผมพวกเด็ก ม.ปลายปีหนึ่ง ที่ไม่ถูกระเบียบมา! ตอนนี้แม่งกำลังมาที่ตึกเรียนของพวกเราแล้ว!”
ฉิบหาย
ทั้งสองคนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาก็รู้สึกได้ถึงเสียง ‘ครืด’ ด้านข้าง เป็นเสียงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนอย่างฉับพลัน
อวี้ฝานหยิบหนังสือ ‘นกโง่’ ออกมาจากลิ้นชัก ก่อนม้วนขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นโยนมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืน
นึกถึงว่ายังมีการบ้านคณิตศาสตร์ของวันนี้อีก อวี้ฝานก็ก้มตัวลงและเริ่มค้นในลิ้นชักอีกครั้ง
หวังลู่อันถามอย่างงุนงง “นายทำอะไร”
“นายว่าไงล่ะ” อวี้ฝานว่า “นั่งรอให้หูผางมาตัดผมนาย?”
“อ้อๆๆ” หวังลู่อันได้สติกลับมา รีบเข้าไปหยิบข้าวของในห้องเรียนเตรียมจะวิ่งหนี
แต่เขาล้วงไปล้วงมาก็รู้สึกแปลกๆ จึงหันไปถาม “เดี๋ยวก่อน นายจะหนีทำไม นายอยากตัดผมอยู่พอดีไม่ใช่เหรอ”
“…”
อวี้ฝานพลันแข็งค้างอยู่ในท่าดึงข้อสอบ
“ใครจะไปรู้ว่าช่างตัดผมพวกนั้นที่เขาพามามีฝีมือระดับไหน” เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกไป
หวังลู่อัน “ยังไงซะนายก็จะโกนอยู่แล้วนี่ ต้องสนระดับอะไรของเขาด้วยเหรอ”
“…”
“ฉันโกนเสร็จยังจะเหลือตรงนี้ด้วย” อวี้ฝานชี้ที่หลังศีรษะด้านขวา “ทำเป็นอัลฟาเบต หูผางจะเหลือให้ฉันได้เหรอ”
หวังลู่อันคิดจะพูดว่านั่นแม่งเชยเกินไปหน่อยมั้ง แต่หลังจากเห็นเพื่อนตนทำหน้าตายแบบนั้นจึงหุบปาก “…น่าจะไม่ได้ งั้นเราหนีกันดีกว่า”
อวี้ฝานกำสมุดแบบฝึกหัด คิดจะถีบเก้าอี้ของคนข้างๆ ให้เขาหลีกทาง
คิดไม่ถึงว่าเฉินจิ่งเซินจะลุกขึ้นก่อนที่เขาจะยื่นขาไป แล้วหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายไว้บนบ่า
อวี้ฝานงุนงง “นายทำอะไรน่ะ”
“ไปกับพวกนายไง” เฉินจิ่งเซินว่า “ฉันก็ไม่อยากตัดผมเหมือนกัน”
อวี้ฝานพลอยมองผมของเฉินจิ่งเซิน…ยาวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น
ตอนนี้หวังลู่อันเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ไม่เป็นไรหรอกเด็กท็อป ผมนายยังโอเคดีอยู่ เดี๋ยวลูบๆ ขึ้นไปหน่อยหูผางไม่จับนายแน่นอน”
“เผื่อไว้น่ะ” เฉินจิ่งเซินถาม “พวกนายจะไปไหน”
หวังลู่อันงุนงง “หลายวันมานี้ประตูหลังเข้มงวดมาก ออกไปไม่ได้ คงจะเล่นบาสสักแป๊บหนึ่ง”
“เพิ่มคนได้ไหม”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้…”
สายกระเป๋าเป้ที่ห้อยลงของเฉินจิ่งเซินถูกคนดึงไว้ เขาจึงหันไปมอง
“จะมาร่วมวงสนุกอะไร” อวี้ฝานเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ไปตั้งใจเรียนเถอะนายน่ะ”
“ไม่อยากตัดจริงๆ” เฉินจิ่งเซินหลุบตาลงมองเขา “ยังไงซะก็เป็นคาบทบทวนด้วยตัวเอง พาฉันไปด้วยเถอะนะ”
คาบทบทวนด้วยตัวเองสองคาบช่วงบ่ายในวันศุกร์ของชั้นมัธยมปลายปีสอง สนามบาสเกตบอลแทบจะเป็นนักเรียนชายมัธยมปลายปีหนึ่งทั้งหมด
เพราะเป็นการโดดเรียนชั่วคราว จูซวี่จึงไปจับนักกีฬาที่ไม่ได้ฝึกซ้อมของมัธยมปลายปีหนึ่งมาไม่กี่คนเพื่อดวลห้าต่อห้ากับพวกเขา
ทั้งสองฝั่งเล่นโต้กันไปมา เงาร่างสูงชะลูดของเด็กหนุ่มกระโดดพุ่งขึ้นไปอยู่ในสนามบาสเกตบอล ไม่นานนักก็ดึงดูดคนมามุงดูไม่น้อย
สุดหล่อสองคนนั้นโดดเด่นเตะตาเป็นพิเศษ
นานมากแล้วที่เฉินจิ่งเซินไม่ได้เล่นบาสเกตบอลเต็มที่ขนาดนี้ นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลตอนมัธยมต้น จี้เหลียนอีก็บังคับให้หยุดทำกิจกรรมเกี่ยวกับบาสเกตบอลแทบจะทั้งหมด น้อยมากที่จะมีคนมาชวนเขาไปเล่นอีก และเขาก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมด้วยอย่างรู้ตัวเอง
ตอนที่คะแนนกำลังสูสีกันเฉินจิ่งเซินชู้ตลูกสามแต้มเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว พลิกกลับมานำได้สำเร็จ หวังลู่อันกับจั่วควนที่บุกอยู่ตรงแป้นของฝ่ายตรงข้ามต่างเข้ามาตบบ่าเขาด้วยความตื่นเต้นและบอกว่าเจ๋งมาก
อวี้ฝานกลับไปป้องกันหลังสุด ขณะเดินผ่านข้างตัวเขาก็ตบบ่าเขาทีหนึ่ง
“สวย”
ผ่านไปสักพักอวี้ฝานหมุนตัวสลัดฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนจนหลุดและดั๊งก์ลงห่วงอย่างสวยงาม
ได้ยินคู่แข่งอุทาน ‘เชี่ย’ ด้วยความเซอร์ไพรส์อย่างปิดไม่มิด อวี้ฝานอดยิ้มไม่ได้ หมุนตัวก้มหน้าแล้วเดินกลับไป เรือนผมก็ถูกคนกดทีหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว
อวี้ฝานมึนงง เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
เฉินจิ่งเซินปลดกระดุมตรงคอเสื้อสองเม็ดอย่างหาได้ยาก เหงื่อเปียกผมตรงหน้าผากเขา เผยให้เห็นเค้าโครงใบหน้าที่เรียวคม เขาหลุบตาลงแล้วยิ้มทีหนึ่งพร้อมพูด “สวย”
“…”
การแข่งขันเสร็จสิ้นไปหนึ่งแมตช์ ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากันหมด
การเล่นบาสเกตบอลในช่วงฤดูร้อนทั้งสะใจทั้งทรมานคน อากาศร้อนระอุ พวกผู้ชายถึงขั้นนอนพักหายใจอยู่ที่เดิม หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
อวี้ฝานเช็ดเหงื่อที่ปลายคาง หยิบขวดน้ำแร่ที่มีไอน้ำเกาะบนม้านั่งหิน แหงนหน้าแล้วกระดกทันทีจนน้ำในขวดลดลงไปครึ่งหนึ่ง
เขาหันหน้ากลับไป เห็นเฉินจิ่งเซินยืนอยู่ข้างหลัง
เฉินจิ่งเซินเองก็เหงื่อโชกไปทั้งตัว ชุดเครื่องแบบยุ่งเหยิงเหมือนกับพวกเขา แต่อาจเป็นเพราะหน้าตาของเขาเย็นชาเกินไป จึงดูแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกที่สกปรกมอมแมมเหมือนนักเรียนชายคนอื่นเลย
คนอื่นๆ ต่างก็กำลังยกน้ำดื่ม มีเพียงเฉินจิ่งเซินที่สองมือว่างเปล่า
น้ำเย็นๆ ไหลผ่านคอ รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย เมื่ออวี้ฝานพอใจแล้วก็ถามเขา “ไม่ดื่มน้ำ?”
“อยากดื่ม” เฉินจิ่งเซินว่า “กำลังรออยู่”
“รออะไร” คอยังคงแห้ง อวี้ฝานพูดเสร็จก็แหงนหน้ากรอกไปอีกอึกหนึ่ง
“น้ำ”
“…?”
เฉินจิ่งเซินหลุบตากวาดผ่านมือเขาไป “น้ำในมือนายเป็นของฉัน”
“…”
จะเป็นไปได้อย่างไร เขาดื่มไปแค่สองอึก ขวดอื่นบนม้านั่งหินล้วนว่างเปล่าหมดแล้ว…
สายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง อวี้ฝานก้มหน้า เห็นขวดน้ำแร่ที่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งขวดกลิ้งอยู่บนพื้น
“…”
ขวดน้ำแร่ที่อยู่ในมืออวี้ฝานถูกบีบจนเกิดเสียง ‘กรอบแกรบ’
ในปากเขายังอมน้ำอึกเล็กๆ อึกหนึ่งที่ยังไม่ได้กลืนลงไป
น้ำ…ที่เฉินจิ่งเซิน…เคยดื่ม
ความร้อนที่เพิ่งถูกน้ำเย็นๆ บรรเทาลงไปแล้วพุ่งกลับเข้ามาในหัวราวกับน้ำตก อวี้ฝานยืนอยู่ที่เดิม อมปากตัวเองเหมือนกับคนโง่
เฉินจิ่งเซิน “ดื่มเสร็จแล้ว?”
อวี้ฝานนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อน เปล่งเสียง ‘อืม’ เบามากทีหนึ่ง
“งั้น?”
อวี้ฝานยื่นน้ำออกไปราวกับหุ่นยนต์
กระทั่งมืออยู่กลางอากาศ อวี้ฝานถึงได้รู้สึกตัว จึงเบิกตากว้าง อมน้ำพลางพูด “เอี๋ยวอ่อน อวดอี๊อั๋นแอ้งอื่ม…”
เดี๋ยวก่อน ขวดนี้ฉันแม่งดื่มไปแล้ว นายรอก่อนฉันค่อยซื้อให้นายอีกขวด…
เฉินจิ่งเซินถือขวดน้ำ แหงนคอขึ้นเล็กน้อย ปากจรดปากขวดและดื่มน้ำที่เหลือ
ลูกกระเดือกที่นูนขึ้นมาของเขากลิ้งแต่ละครั้ง ใจของอวี้ฝานก็เต้นตามเป็นจังหวะ
ตึกตัก
อวี้ฝานกลืนน้ำในปากลงไป
เฉินจิ่งเซินวางขวดลง “ว่าไงนะ”
อวี้ฝาน “…”
ในปากรู้สึกชาไปหมด จิตใต้สำนึกของอวี้ฝานอยากจะเลียริมฝีปาก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเม้มปาก “ไม่มีอะไร”
เวลาพวกผู้ชายเล่นบาสเกตบอลมักจะวางขวดน้ำไว้ด้วยกันสิบกว่าขวด จะดื่มผิดก็เป็นเรื่องปกติมาก
เป็นผู้ชายกันทั้งนั้นมีอะไรร้ายแรง
พักเหนื่อยสักครู่ทุกคนก็เก็บข้าวของแล้วออกไป
นักเรียนชายด้านหลังยังคงคุยเรื่องการแข่งบาสเกตบอลเมื่อกี้นี้กันอย่างคึกคัก เฉินจิ่งเซินหันไปถาม “กินข้าวด้วยกันไหม”
อวี้ฝานส่ายหน้าโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ
เฉินจิ่งเซิน “เอาการบ้านมาด้วยไหม”
อวี้ฝานพยักหน้าโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แล้วเดินเร็วขึ้นนิดหน่อย
เฉินจิ่งเซินหันหน้าไปกวาดตามองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เดิมทีอวี้ฝานคิดจะเดินเร็วหน่อยเพื่อสลัดอีกฝ่ายให้หลุด ใครจะคาดคิดว่าจะชนกับช่วงพีคหลังเลิกเรียนพอดี ประตูทางเข้าคลาคล่ำไปด้วยนักเรียน อวี้ฝานได้แต่ลดความเร็วลง
เขากับเฉินจิ่งเซินเดินเคียงไหล่กัน จู่ๆ คนข้างๆ ก็เรียกเขา “อวี้ฝาน”
“ตอนนี้นาย…” เฉินจิ่งเซินกลั้นยิ้มไว้ “คุยกับฉันไม่ได้อีกแล้วเหรอ”
* รั้งบังเหียนม้าที่หน้าผา หมายถึงตั้งสติกลับมาได้ทันกาลก่อนจะเกิดอันตราย
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.