ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 42 – 43 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 42 – 43 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 43

 

อวี้ฝานใช้มือข้างหนึ่งเท้าข้างแก้มเพื่อตัดสายตาของเขากับเฉินจิ่งเซินออกไป

เขาจ้องตัวหนังสือบนหนังสือเรียน ยังคงไม่หันหน้า “เปล่า ใครโมโห ฉันไม่ได้โมโห”

เฉินจิ่งเซินว่า “งั้นทำไมไม่สนใจฉัน”

“ง่วง ไม่อยากพูด”

อวี้ฝานรู้สึกได้ว่าเฉินจิ่งเซินมองเขาเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นสายตาที่ตกอยู่บนร่างก็หายไปแล้ว คนข้างๆ ท่องบทเรียนพร้อมกับตัวแทนวิชาภาษาจีนด้วยเสียงแผ่วเบา

อวี้ฝานคลายการป้องกันโดยไม่รู้ตัว ใช้มือขยี้หน้าแรงๆ สองสามที

เขาไม่ได้โมโหจริงๆ เรื่องที่ฝันนี้โทษเฉินจิ่งเซินไม่ได้หรอก จะโทษก็ต้องโทษจูซวี่ แอบมีแฟนแล้วยังจูบกันที่ทางเดินห้องเรียนอีก แม่งสมควรถูกจับจริงๆ ครั้งหน้าขืนยังให้เขาเจออีกล่ะก็ เขาจะโทรหาหูผางทันที

ท่องตำรารอบเช้าสิ้นสุดลง สองคาบแรกของวันนี้คือวิชาคณิตศาสตร์ จวงฝ่างฉินยังไม่มา หัวหน้ากลุ่มของแต่ละกลุ่มล้วนถือโอกาสนี้เก็บการบ้าน

เคอถิงลุกขึ้นเก็บจากแถวหน้าไปข้างหลัง เมื่อถึงอวี้ฝาน เธอก็ถามอย่างระมัดระวัง “อวี้ฝาน นายจะส่งการบ้านคณิตไหม ครูจวงบอกว่าถ้าวันนี้ไม่ส่งการบ้าน คณิตสองคาบต้องยืนเรียนนะ”

อวี้ฝานพิงเก้าอี้ก้มลงหาหนังสือเรียน ก่อนพูดโดยไม่เงยหน้า “ไม่ได้ทำ ไม่…”

“ของฉันกับของเขา” เฉินจิ่งเซินหยิบกระดาษข้อสอบคณิตศาสตร์สองแผ่นออกมาจากใต้โต๊ะแล้ววางไว้ตรงหน้าเคอถิง

อวี้ฝานตะลึงงัน ดูลิ้นชักของตนก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเงยหน้ามองกระดาษข้อสอบสองแผ่นนั้นที่เคอถิงเพิ่งรับไปอยู่ในมือ “นายหยิบไปตอนไหน”

“ตอนนายไปห้องน้ำ”

“…นายเลียนแบบตัวหนังสือฉันไม่ได้ ยังอยากยืนด้วยกันอีกสองคาบหรือไง”

เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ครั้งนี้น่าจะได้”

อวี้ฝานไม่เชื่อ จึงลุกขึ้นยืนแล้วคว้ากระดาษข้อสอบในมือเคอถิงไป “เอามาให้ฉันดูซิ”

เมื่อเห็นตัวหนังสือบนข้อสอบเขาก็ขมวดคิ้วจนกลายเป็นเชือกถักจีน ปฏิกิริยาเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน “นี่มันอะไร นี่มันเหมือนตัวหนังสือของฉัน?”

ขณะพูดประโยคหลังเขาเงยหน้าหาคนยืนยันโดยจิตใต้สำนึก

เคอถิงที่ถูกเขาจ้องได้แต่ก้มหน้าดูข้อสอบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “คะ…ค่อนข้างเหมือนนะ”

“…”

อวี้ฝานอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ เอวก็ถูกคนแตะ เขาพลันรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิบนมือของอีกฝ่ายโดยมีชุดเครื่องแบบฤดูร้อนบางๆ กั้น

เฉินจิ่งเซินมองร่างที่อยู่นอกประตู “ฝ่างฉินมา…”

โครม!

อวี้ฝานสะท้าน หลบไปด้านข้างทั้งตัว จนชนเข้ากับโต๊ะและเก้าอี้ของตน ทำเอาโต๊ะของเขากับเก้าอี้ของเคอถิงที่อยู่ข้างหน้าขยับตำแหน่งไปด้วยกันหมด

โต๊ะและเก้าอี้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาคนทั้งห้องหันมาดู

เฉินจิ่งเซินยังอยู่ในท่ายกมือ หันไปมองคนที่สะดุ้งจนดีดออกไปพร้อมกับทุกคน

“อวี้ฝาน!” จวงฝ่างฉินเหยียบเข้ามาในห้อง ยืนตะโกนตั้งแต่หน้าประตู “ไม่นั่งที่ให้ดีๆ ชนโต๊ะเหมือนชนเครื่องกระเบื้องสินะ อยากไปยืนเรียนข้างหลังใช่ไหม”

พูดตามตรง อวี้ฝานอยากมาก

ทว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของเขายื่นมืออันล้ำค่าออกไป แล้วดึงเก้าอี้กับโต๊ะของเขากลับมาใหม่ ดังนั้นอวี้ฝานจึงได้แต่ทิ้งท้ายไว้ว่า “เปล่าครับ” ก่อนจะนั่งกลับลงไปใหม่อย่างทึ่มทื่อ

จวงฝ่างฉินมองค้อนเขาทีหนึ่ง ก่อนเดินไปยังโพเดียมพลางถามบรรดาหัวหน้ากลุ่มว่ามีใครไม่ส่งการบ้านบ้าง

หลังจากนั่งลงอวี้ฝานก็เอาสองมือซุกกระเป๋ากางเกง แล้วจ้องหน้าปกสมุดแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์

เฉินจิ่งเซินก้มหน้ากวาดตามองชุดเครื่องแบบของเขาแวบหนึ่ง “เจ็บไหม”

“ไม่เจ็บ นายไม่ต้องมาพูดกับฉัน” เสียงของอวี้ฝานนิ่งเรียบ “ตอนนี้ฉันพูดกับนายไม่ได้”

หูแดงอีกแล้ว

คนคนนี้ทำไมถึงได้น่าแกล้งขนาดนี้นะ

เฉินจิ่งเซินถาม “งั้นจะพูดกับฉันได้ตอนไหน”

อวี้ฝานประมาณการ “เรียนคาบที่สองเสร็จก็แล้วกัน”

หวังลู่อันคือคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ทำการบ้านคณิตศาสตร์

เขายืนถือหนังสือ ไม่มีแก่ใจจะเรียน จึงแอบฟังบทสนทนาของโต๊ะข้างๆ

แต่สองคนนี้คุยอะไรกันอยู่นะ ทำไมเขาฟังแล้วดูเหมือนเป็นการคุยรหัสลับ

เขาหันหน้าไป เห็นเฉินจิ่งเซินพูด ‘อ้อ’ อย่างเรียบๆ ก่อนหันหน้ากลับมาอีกครั้งและเงยหน้ามองกระดานดำพอดี

หวังลู่อันจ้องใบหน้าด้านข้างของเฉินจิ่งเซินก็ตะลึงงัน ยกมือตบคนข้างๆ โดยอัตโนมัติ ก่อนพูดเสียงเบา “เชี่ย เด็กท็อปกำลังยิ้มอยู่เหรอ”

กรรมการนักเรียนดันแว่นตาและไม่สนใจเขา เพียงแค่เปิดสมุดจดวินัยของตนเอง แล้วเขียนชื่อ ‘หวังลู่อัน’ ลงไปบนหน้าที่จดชื่อคนคุยในคาบหน้านั้นอย่างคล่องแคล่ว

วิชาคณิตศาสตร์สองคาบสิ้นสุดลง จวงฝ่างฉินวางข้อสอบลง เท้ามือข้างหนึ่งบนโพเดียมและเอ่ย “เอาล่ะ ก่อนเลิกคาบครูจะเปลี่ยนที่นั่งสักสองสามที่”

ท่านั่งเอื่อยเฉื่อยสบายๆ ในตอนแรกของอวี้ฝานพลันเครียดเกร็งโดยไม่รู้ตัว มองไปทางจวงฝ่างฉินที่อยู่บนโพเดียมโดยอัตโนมัติ

…ใช่แล้ว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าหลังจากสอบกลางภาคจะต้องเปลี่ยนที่นั่ง

เฉินจิ่งเซินเองก็น่าจะเปลี่ยนด้วยเหมือนกันสินะ

ถึงยังไงแม่ของเขาก็พูดซะขนาดนั้นแล้ว

อวี้ฝานพิงหลังบนเก้าอี้ มองจวงฝ่างฉินก้มหน้าเปิดผังที่นั่งใหม่ จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ความรู้สึกแบบนี้คล้ายกับตอนที่เขากลับบ้านแล้วเห็นว่าในบ้านไฟสว่าง ในความระอาใจเจือด้วยความต่อต้านเล็กน้อย

ผ่านไปไม่กี่วินาทีอวี้ฝานพลันได้สติกลับมาอีกครั้ง

เขามีอะไรให้หงุดหงิดกัน เฉินจิ่งเซินย้ายไปก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ต่อไปก็จะไม่มีคนคอยจ้องเขาเวลาเรียนอีก ไม่มีคนคอยอธิบายโจทย์ให้เขารำคาญทุกวันอีก เฉินจิ่งเซินเองก็จะได้ไม่ถูกจวงฝ่างฉินเรียกไปอบรมเพราะไม่ตั้งใจเรียนอีก

เสียงความเคลื่อนไหวดังสวบสาบมาจากด้านข้าง อวี้ฝานหันหน้าไป เห็นเฉินจิ่งเซินกำลังก้มตัวคุ้ยโต๊ะเรียน

?

จวงฝ่างฉินยังไม่ได้พูดเลย แทบอดใจรอไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือไง นี่คือท่าทีที่นายมีต่อการต้องนั่งแยกกับคนที่แอบชอบสินะ

ไปๆๆๆ รีบย้ายไปซะ จะได้ไม่ต้องพูดว่าชอบๆๆ ข้างหูทั้งวันไม่หยุดหย่อน น่ารำคาญจะตายชัก…

“ไช่อวิ๋นกับเซี่ยเอินเอินเปลี่ยนที่นั่งกัน หัวหน้าห้องกับโจวเสี่ยวเยี่ยเปลี่ยนที่นั่งกัน แล้วก็…” สายตาของจวงฝ่างฉินตกมาทางพวกเขา “อู๋ซือ เธอกับกรรมการนักเรียนเปลี่ยนที่นั่งกัน”

จวงฝ่างฉินปิดสมุด “เอาล่ะ ถือโอกาสตอนระหว่างพักคาบรีบเปลี่ยนที่นั่งเลย จะได้ไม่เสียเวลาคาบต่อไป”

จวงฝ่างฉินเพิ่งไป ในห้องเรียนก็มีเสียงย้ายโต๊ะเรียนดังขึ้นมาทันที การเปลี่ยนที่นั่งเล็กๆ แบบนี้คึกคักยิ่งกว่าตอนที่ทุกคนเปลี่ยนพร้อมกันเสียอีก

เขารู้สึกได้ถึงสายตาของคนข้างๆ เฉินจิ่งเซินจึงหันหน้าไป “พูดได้หรือยัง”

อวี้ฝานมองเขา “…ทำไมนายไม่ย้ายที่ไปซะล่ะ”

“ทำไมฉันต้องย้ายไปล่ะ”

“แม่…” อวี้ฝานชะงัก รั้งบังเหียนม้าที่หน้าผา* “แม่ง งั้นนายจะเก็บกระเป๋าทำไม”

เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้ว ก่อนจะอธิบายว่า “เลิกเรียนแล้วก็เก็บหนังสือเรียนสิ”

“…”

 

ในฐานะที่เป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในการเปลี่ยนที่นั่งครั้งนี้ หวังลู่อันจึงมีความสุขทั้งวันจริงๆ

เลิกเรียนคาบที่สองของช่วงบ่ายหวังลู่อันเดินไปที่ระเบียงทางเดิน ก่อนจะพิงข้างหน้าต่างตากแดดยามบ่ายอย่างอารมณ์ดี

จางเสียนจิ้งเท้าคางด้วยมือข้างเดียวพลางสยายเส้นผมยาวสลวย “ฉันว่ากรรมการนักเรียนนั่งโต๊ะแรก ทุกคาบต้องหันกลับมาจ้องนายสองสามรอบ”

“ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่เขาไม่จ้องฉันอยู่ข้างๆ ฉันก็พอ” หวังลู่อันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงยกมือทั้งสองข้างเท้าขอบหน้าต่าง “เด็กท็อป ประชุมผู้ปกครองเมื่อวานนี้ฉันเห็นรถบ้านนาย เจ๋งสุดๆ เลย”

เด็กหนุ่มไม่ได้อ่อนไหวในด้านนี้ขนาดนั้น หวังลู่อันชมว่ารถเจ๋งมาจากใจจริง แต่เขาคิดครู่หนึ่งแล้วยังเสริมไปอีกประโยค “แล้วก็เห็นแม่นายแล้วด้วย สวยจริงๆ”

เฉินจิ่งเซินโยนปากกาใส่กระเป๋าดินสอ กล่าวอย่างนิ่งเฉย “ขอบคุณ”

หวังลู่อัน “พอฉันเห็นก็รู้เลยว่านายได้พันธุกรรมมาจากเธอ โดยเฉพาะจมูกกับ…”

อวี้ฝานคว้าขวดน้ำโยนไปทางหน้าต่าง “หนวกหูชะมัด”

หวังลู่อันเอี้ยวตัวหลบ ยื่นมือไปรับขวดน้ำไว้อย่างมั่นคง สายตาเหลือบมองไปยังระเบียงทางเดินห้องข้างๆ

เขาวางขวดน้ำกลับไปที่โต๊ะของอวี้ฝานแล้วสะกิดแขนจั่วควน “จั่วควน ผู้หญิงห้องพวกนายคนนั้นเป็นอะไรไป กำลังจะเดินมา พอเห็นฉันก็หันกลับไปแล้ว แอบชอบฉันหรือเปล่าน่ะ”

จั่วควนหันกลับไปมองตามคำพูดของเขาแวบหนึ่ง “พอเถอะ จะถึงตานายเหรอ ก็คือคนนั้นที่ฉันพูดตอนกินข้าวครั้งที่แล้วไง เขามองอวี้ฝานต่างหาก”

คนที่ถูกเรียกชื่อนั่งเล่นมือถือไม่ขยับเขยื้อน ไม่แม้แต่จะหันศีรษะไป

อวี้ฝานเปิดเกมงูจอมเขมือบ กำลังจะเริ่มเกมใหม่ สายตาก็เหลือบไปเห็นแรงก์ของเพื่อนพอดี

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะใช้ศอกกระทุ้งคนข้างๆ “นายแซงสถิติของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

เฉินจิ่งเซินมองเขาแวบหนึ่ง “หลังจากวางสายวิดีโอคอลล์เมื่อคืน”

“…”

เสียงของพวกเขาเบามาก คนอื่นๆ ล้วนได้ยินไม่ชัด หวังลู่อันร้องอ้ออย่างไม่สนใจอะไรนัก “ทำไมคนแอบชอบอวี้ฝานเยอะขนาดนี้นะ แค่เพราะเขาหล่อหรือไง”

จั่วควน “ไม่งั้นล่ะ”

“ก็ไม่ทั้งหมดหรอก” จางเสียนจิ้งวิเคราะห์อย่างเหนื่อยหน่าย “หลักๆ คือตัวอวี้ฝานมีออร่าของหนุ่มแบดบอยอะไรแบบนั้น”

อวี้ฝานรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา “คุยเรื่องคนอื่นไป”

จั่วควนไม่ยอม ขมวดคิ้ว “ทำไม ฉันไม่ใช่แบดบอยหรือไง ฉันแม่งเลวจะตายอยู่แล้ว!”

อวี้ฝาน “…”

“นั่นไม่เหมือนกันสักหน่อย” จางเสียนจิ้งเริ่มวิเคราะห์ “อย่าว่าแต่อวี้ฝานหล่อกว่านายเลย เขายังพูดน้อย ตัวสูง แถมยังมีผมที่ยาวจนแทบจะปรกตาแบบนี้ด้วย…”

จั่วควนจับผมตัวเอง “ฉันยาวไม่พอเหรอ”

“ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใครมั้ง หน้าตาอย่างอวี้ฝาน ปกนิดปิดหน่อยก็ให้ความรู้สึกเศร้าๆ ประมาณนั้น นาย…นายอย่าไว้เลยดีกว่า มันเหมือนพวกเฉิ่มๆ โง่ๆ น่ะ”

จั่วควน “…”

หวังลู่อันค้อมตัวลงไปสำรวจเพื่อนของเขา “เชี่ย ฉันว่าแล้วทำไมอวี้ฝานไม่ชอบตัดผม ที่แท้เห็นนิ่งๆ ก็อยากจะเอาไว้อ่อยสาวนี่เอง”

เลิกคาบทบทวนด้วยตัวเอง เฉินจิ่งเซินเอาข้อสอบแข่งขันออกมาแผ่นหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นความเร็วในการเขียนคำนวณจึงช้าลงนิดหน่อย

ช้าจนถึงขนาดถูกอวี้ฝานจับได้

“หุบปากไปซะ” หัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ อวี้ฝานยกมือเสยผมด้านหน้าไปข้างหลังอย่างสะเปะสะปะ “เลิกเรียนฉันก็จะไปตัดแล้ว โกนไปเลย”

หวังลู่อัน “จริงเหรอ”

อวี้ฝาน “ถ้าหลอกนายว่ามีเงิน…”

“จบแล้วๆๆ!” จูซวี่วิ่งมาจากห้องข้างๆ อย่างเร่งรีบ ก่อนตบหน้าต่างของพวกเขาเต็มแรง “หูผางมาแล้ว! หนีเร็ว!”

หวังลู่อันตกใจ รีบทำท่าดับบุหรี่โดยจิตใต้สำนึก หลังจากทำเสร็จก็ได้สติกลับมา “แม่งเอ๊ย มาก็มาสิ เราไม่ได้สูบบุหรี่กันสักหน่อย จะหนีทำไม”

“ข้างหลังเขามีช่างตัดผมมาด้วยสองคน!” จูซวี่พูดต่อ “เขาเพิ่งตัดผมพวกเด็ก ม.ปลายปีหนึ่ง ที่ไม่ถูกระเบียบมา! ตอนนี้แม่งกำลังมาที่ตึกเรียนของพวกเราแล้ว!”

ฉิบหาย

ทั้งสองคนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาก็รู้สึกได้ถึงเสียง ‘ครืด’ ด้านข้าง เป็นเสียงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนอย่างฉับพลัน

อวี้ฝานหยิบหนังสือ ‘นกโง่’ ออกมาจากลิ้นชัก ก่อนม้วนขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นโยนมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืน

นึกถึงว่ายังมีการบ้านคณิตศาสตร์ของวันนี้อีก อวี้ฝานก็ก้มตัวลงและเริ่มค้นในลิ้นชักอีกครั้ง

หวังลู่อันถามอย่างงุนงง “นายทำอะไร”

“นายว่าไงล่ะ” อวี้ฝานว่า “นั่งรอให้หูผางมาตัดผมนาย?”

“อ้อๆๆ” หวังลู่อันได้สติกลับมา รีบเข้าไปหยิบข้าวของในห้องเรียนเตรียมจะวิ่งหนี

แต่เขาล้วงไปล้วงมาก็รู้สึกแปลกๆ จึงหันไปถาม “เดี๋ยวก่อน นายจะหนีทำไม นายอยากตัดผมอยู่พอดีไม่ใช่เหรอ”

“…”

อวี้ฝานพลันแข็งค้างอยู่ในท่าดึงข้อสอบ

“ใครจะไปรู้ว่าช่างตัดผมพวกนั้นที่เขาพามามีฝีมือระดับไหน” เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกไป

หวังลู่อัน “ยังไงซะนายก็จะโกนอยู่แล้วนี่ ต้องสนระดับอะไรของเขาด้วยเหรอ”

“…”

“ฉันโกนเสร็จยังจะเหลือตรงนี้ด้วย” อวี้ฝานชี้ที่หลังศีรษะด้านขวา “ทำเป็นอัลฟาเบต หูผางจะเหลือให้ฉันได้เหรอ”

หวังลู่อันคิดจะพูดว่านั่นแม่งเชยเกินไปหน่อยมั้ง แต่หลังจากเห็นเพื่อนตนทำหน้าตายแบบนั้นจึงหุบปาก “…น่าจะไม่ได้ งั้นเราหนีกันดีกว่า”

อวี้ฝานกำสมุดแบบฝึกหัด คิดจะถีบเก้าอี้ของคนข้างๆ ให้เขาหลีกทาง

คิดไม่ถึงว่าเฉินจิ่งเซินจะลุกขึ้นก่อนที่เขาจะยื่นขาไป แล้วหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายไว้บนบ่า

อวี้ฝานงุนงง “นายทำอะไรน่ะ”

“ไปกับพวกนายไง” เฉินจิ่งเซินว่า “ฉันก็ไม่อยากตัดผมเหมือนกัน”

อวี้ฝานพลอยมองผมของเฉินจิ่งเซิน…ยาวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น

ตอนนี้หวังลู่อันเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ไม่เป็นไรหรอกเด็กท็อป ผมนายยังโอเคดีอยู่ เดี๋ยวลูบๆ ขึ้นไปหน่อยหูผางไม่จับนายแน่นอน”

“เผื่อไว้น่ะ” เฉินจิ่งเซินถาม “พวกนายจะไปไหน”

หวังลู่อันงุนงง “หลายวันมานี้ประตูหลังเข้มงวดมาก ออกไปไม่ได้ คงจะเล่นบาสสักแป๊บหนึ่ง”

“เพิ่มคนได้ไหม”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้…”

สายกระเป๋าเป้ที่ห้อยลงของเฉินจิ่งเซินถูกคนดึงไว้ เขาจึงหันไปมอง

“จะมาร่วมวงสนุกอะไร” อวี้ฝานเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ไปตั้งใจเรียนเถอะนายน่ะ”

“ไม่อยากตัดจริงๆ” เฉินจิ่งเซินหลุบตาลงมองเขา “ยังไงซะก็เป็นคาบทบทวนด้วยตัวเอง พาฉันไปด้วยเถอะนะ”

 

คาบทบทวนด้วยตัวเองสองคาบช่วงบ่ายในวันศุกร์ของชั้นมัธยมปลายปีสอง สนามบาสเกตบอลแทบจะเป็นนักเรียนชายมัธยมปลายปีหนึ่งทั้งหมด

เพราะเป็นการโดดเรียนชั่วคราว จูซวี่จึงไปจับนักกีฬาที่ไม่ได้ฝึกซ้อมของมัธยมปลายปีหนึ่งมาไม่กี่คนเพื่อดวลห้าต่อห้ากับพวกเขา

ทั้งสองฝั่งเล่นโต้กันไปมา เงาร่างสูงชะลูดของเด็กหนุ่มกระโดดพุ่งขึ้นไปอยู่ในสนามบาสเกตบอล ไม่นานนักก็ดึงดูดคนมามุงดูไม่น้อย

สุดหล่อสองคนนั้นโดดเด่นเตะตาเป็นพิเศษ

นานมากแล้วที่เฉินจิ่งเซินไม่ได้เล่นบาสเกตบอลเต็มที่ขนาดนี้ นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลตอนมัธยมต้น จี้เหลียนอีก็บังคับให้หยุดทำกิจกรรมเกี่ยวกับบาสเกตบอลแทบจะทั้งหมด น้อยมากที่จะมีคนมาชวนเขาไปเล่นอีก และเขาก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมด้วยอย่างรู้ตัวเอง

ตอนที่คะแนนกำลังสูสีกันเฉินจิ่งเซินชู้ตลูกสามแต้มเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว พลิกกลับมานำได้สำเร็จ หวังลู่อันกับจั่วควนที่บุกอยู่ตรงแป้นของฝ่ายตรงข้ามต่างเข้ามาตบบ่าเขาด้วยความตื่นเต้นและบอกว่าเจ๋งมาก

อวี้ฝานกลับไปป้องกันหลังสุด ขณะเดินผ่านข้างตัวเขาก็ตบบ่าเขาทีหนึ่ง

“สวย”

ผ่านไปสักพักอวี้ฝานหมุนตัวสลัดฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนจนหลุดและดั๊งก์ลงห่วงอย่างสวยงาม

ได้ยินคู่แข่งอุทาน ‘เชี่ย’ ด้วยความเซอร์ไพรส์อย่างปิดไม่มิด อวี้ฝานอดยิ้มไม่ได้ หมุนตัวก้มหน้าแล้วเดินกลับไป เรือนผมก็ถูกคนกดทีหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว

อวี้ฝานมึนงง เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

เฉินจิ่งเซินปลดกระดุมตรงคอเสื้อสองเม็ดอย่างหาได้ยาก เหงื่อเปียกผมตรงหน้าผากเขา เผยให้เห็นเค้าโครงใบหน้าที่เรียวคม เขาหลุบตาลงแล้วยิ้มทีหนึ่งพร้อมพูด “สวย”

“…”

การแข่งขันเสร็จสิ้นไปหนึ่งแมตช์ ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากันหมด

การเล่นบาสเกตบอลในช่วงฤดูร้อนทั้งสะใจทั้งทรมานคน อากาศร้อนระอุ พวกผู้ชายถึงขั้นนอนพักหายใจอยู่ที่เดิม หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง

อวี้ฝานเช็ดเหงื่อที่ปลายคาง หยิบขวดน้ำแร่ที่มีไอน้ำเกาะบนม้านั่งหิน แหงนหน้าแล้วกระดกทันทีจนน้ำในขวดลดลงไปครึ่งหนึ่ง

เขาหันหน้ากลับไป เห็นเฉินจิ่งเซินยืนอยู่ข้างหลัง

เฉินจิ่งเซินเองก็เหงื่อโชกไปทั้งตัว ชุดเครื่องแบบยุ่งเหยิงเหมือนกับพวกเขา แต่อาจเป็นเพราะหน้าตาของเขาเย็นชาเกินไป จึงดูแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกที่สกปรกมอมแมมเหมือนนักเรียนชายคนอื่นเลย

คนอื่นๆ ต่างก็กำลังยกน้ำดื่ม มีเพียงเฉินจิ่งเซินที่สองมือว่างเปล่า

น้ำเย็นๆ ไหลผ่านคอ รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย เมื่ออวี้ฝานพอใจแล้วก็ถามเขา “ไม่ดื่มน้ำ?”

“อยากดื่ม” เฉินจิ่งเซินว่า “กำลังรออยู่”

“รออะไร” คอยังคงแห้ง อวี้ฝานพูดเสร็จก็แหงนหน้ากรอกไปอีกอึกหนึ่ง

“น้ำ”

“…?”

เฉินจิ่งเซินหลุบตากวาดผ่านมือเขาไป “น้ำในมือนายเป็นของฉัน”

“…”

จะเป็นไปได้อย่างไร เขาดื่มไปแค่สองอึก ขวดอื่นบนม้านั่งหินล้วนว่างเปล่าหมดแล้ว…

สายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง อวี้ฝานก้มหน้า เห็นขวดน้ำแร่ที่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งขวดกลิ้งอยู่บนพื้น

“…”

ขวดน้ำแร่ที่อยู่ในมืออวี้ฝานถูกบีบจนเกิดเสียง ‘กรอบแกรบ’

ในปากเขายังอมน้ำอึกเล็กๆ อึกหนึ่งที่ยังไม่ได้กลืนลงไป

น้ำ…ที่เฉินจิ่งเซิน…เคยดื่ม

ความร้อนที่เพิ่งถูกน้ำเย็นๆ บรรเทาลงไปแล้วพุ่งกลับเข้ามาในหัวราวกับน้ำตก อวี้ฝานยืนอยู่ที่เดิม อมปากตัวเองเหมือนกับคนโง่

เฉินจิ่งเซิน “ดื่มเสร็จแล้ว?”

อวี้ฝานนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อน เปล่งเสียง ‘อืม’ เบามากทีหนึ่ง

“งั้น?”

อวี้ฝานยื่นน้ำออกไปราวกับหุ่นยนต์

กระทั่งมืออยู่กลางอากาศ อวี้ฝานถึงได้รู้สึกตัว จึงเบิกตากว้าง อมน้ำพลางพูด “เอี๋ยวอ่อน อวดอี๊อั๋นแอ้งอื่ม…”

เดี๋ยวก่อน ขวดนี้ฉันแม่งดื่มไปแล้ว นายรอก่อนฉันค่อยซื้อให้นายอีกขวด…

เฉินจิ่งเซินถือขวดน้ำ แหงนคอขึ้นเล็กน้อย ปากจรดปากขวดและดื่มน้ำที่เหลือ

ลูกกระเดือกที่นูนขึ้นมาของเขากลิ้งแต่ละครั้ง ใจของอวี้ฝานก็เต้นตามเป็นจังหวะ

ตึกตัก

อวี้ฝานกลืนน้ำในปากลงไป

เฉินจิ่งเซินวางขวดลง “ว่าไงนะ”

อวี้ฝาน “…”

ในปากรู้สึกชาไปหมด จิตใต้สำนึกของอวี้ฝานอยากจะเลียริมฝีปาก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเม้มปาก “ไม่มีอะไร”

เวลาพวกผู้ชายเล่นบาสเกตบอลมักจะวางขวดน้ำไว้ด้วยกันสิบกว่าขวด จะดื่มผิดก็เป็นเรื่องปกติมาก

เป็นผู้ชายกันทั้งนั้นมีอะไรร้ายแรง

พักเหนื่อยสักครู่ทุกคนก็เก็บข้าวของแล้วออกไป

นักเรียนชายด้านหลังยังคงคุยเรื่องการแข่งบาสเกตบอลเมื่อกี้นี้กันอย่างคึกคัก เฉินจิ่งเซินหันไปถาม “กินข้าวด้วยกันไหม”

อวี้ฝานส่ายหน้าโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ

เฉินจิ่งเซิน “เอาการบ้านมาด้วยไหม”

อวี้ฝานพยักหน้าโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แล้วเดินเร็วขึ้นนิดหน่อย

เฉินจิ่งเซินหันหน้าไปกวาดตามองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เดิมทีอวี้ฝานคิดจะเดินเร็วหน่อยเพื่อสลัดอีกฝ่ายให้หลุด ใครจะคาดคิดว่าจะชนกับช่วงพีคหลังเลิกเรียนพอดี ประตูทางเข้าคลาคล่ำไปด้วยนักเรียน อวี้ฝานได้แต่ลดความเร็วลง

เขากับเฉินจิ่งเซินเดินเคียงไหล่กัน จู่ๆ คนข้างๆ ก็เรียกเขา “อวี้ฝาน”

“ตอนนี้นาย…” เฉินจิ่งเซินกลั้นยิ้มไว้ “คุยกับฉันไม่ได้อีกแล้วเหรอ”

 

* รั้งบังเหียนม้าที่หน้าผา หมายถึงตั้งสติกลับมาได้ทันกาลก่อนจะเกิดอันตราย

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.1

บทที่ 7.1 วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและ...

community.jamsai.com