ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
“ไม่ได้” สองคำที่เรียบเฉยลอยเข้ามาจากนอกหน้าต่าง
“นายดูสิ ฉันว่าแล้ว!” หวังลู่อันพูดอย่างได้ใจ
อวี้ฝานไม่สนใจเขา ลากเก้าอี้มาใหม่ กอดอกแล้วนั่งพิงไปข้างหลัง
จางเสียนจิ้งเบะปากอย่างเสียดาย “นายมีแฟนแล้ว?”
“เปล่า”
“งั้นทำไมไม่ได้ล่ะ นายไม่อยากมีแฟน หรือว่ามีคนที่ชอบแล้ว?” จางเสียนจิ้งมองชุดเครื่องแบบของเขาพลางคาดเดา “หรือว่านายไม่ชอบคนที่ผลการเรียนแย่?”
“เปล่า” เฉินจิ่งเซินว่า “ก็แค่ไม่ชอบเธอ”
จางเสียนจิ้ง “…”
หวังลู่อัน “…”
เขามองใบหน้าด้านข้างอันเย็นชาของอันดับหนึ่งของสายชั้น ความคิดที่จะให้อีกฝ่ายช่วยโกงดับมอดไปโดยสิ้นเชิง “เชี่ย เด็กท็อปคนนี้พูดจาตรงเกินไปแล้วมั้ง”
อวี้ฝานเล่นไฟเช็ก ไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด
ใบหน้ากวนโอ๊ยพูดคำพูดกวนโอ๊ยก็เหมาะทีเดียว
ความเศร้าสร้อยของจางเสียนจิ้งอยู่แค่สองวินาที “ฉันรู้ ไม่เป็นไร ก็แค่ไม่ชอบตอนนี้นี่นา พวกเรายังต้องอยู่ร่วมห้องกันอีกหนึ่งปี ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ฉันมีความอดทนมาก อันที่จริงตอนฉันอยู่ ม.ปลายปีหนึ่ง ก็เริ่มสนใจนายแล้ว ตอนงานกีฬาฉันยังเคยไปดูรายการแข่งของนายเลย ไม่คิดว่าเทอมนี้นายจะย้ายมาที่ห้องฉัน…”
ในที่สุดสีหน้าท่าทางของเฉินจิ่งเซินก็มีการเปลี่ยนแปลงเสี้ยวหนึ่ง เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย จ้องมองเธอสองวินาทีคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง
ผ่านไปสักพักเขาก็ถามว่า “พวกเราอยู่ห้องเดียวกัน?”
จางเสียนจิ้ง “…”
รอยยิ้มของจางเสียนจิ้งแข็งค้าง อธิบายว่า “ฉันนั่งอยู่ข้างหน้านายมาวันหนึ่งแล้วนะ”
เฉินจิ่งเซินคิดครู่หนึ่ง “ขอโทษด้วย จำไม่ได้”
นายเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้หรือไง ฉันหันไปจนหัวแทบขาดอยู่แล้ว นายบอกว่านายจำไม่ได้?
สีหน้าของจางเสียนจิ้งแทบจะดึงไว้ไม่อยู่ เธออ้าปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ถูกเสียงกริ่งเลิกเรียนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันขัดจังหวะเสียก่อน
เฉินจิ่งเซินเองก็ได้ยินแล้ว เขามองไปทางสนามหญ้าแวบหนึ่งแล้วหันหน้ากลับมา “ยังมีธุระอีกไหม”
“มี” จางเสียนจิ้งบอกตัวเองว่าต้องใจเย็นๆ “งั้นพวกเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม แอดวีแชตได้หรือเปล่า”
“ไม่มี”
“…อะไรนะ”
“ฉันไม่มีวีแชต”
เฉินจิ่งเซินเดินจากไปแล้ว จางเสียนจิ้งยืนนิ่งอยู่ที่เดิมนานสองนาน
หวังลู่อันดูจนพอใจแล้วหมายจะออกไปจากตรงนี้ ก็เห็นว่าจู่ๆ จางเสียนจิ้งหันหน้ามาแล้ววิ่งตรงมาทางพวกเขา
“หวังลู่อัน! นายพูดมาซิ!” จางเสียนจิ้งยืนอยู่นอกหน้าต่าง ยื่นมือเข้ามาคว้าเสื้อของหวังลู่อัน “ฉันสวยไหม”
“สวยสิสวย สวย!” หวังลู่อันยกไหล่ขึ้นมา
“งั้นทำไมเฉินจิ่งเซินถึงมีท่าทีอย่างนี้ล่ะ”
“นั่นสิ!” หวังลู่อันถาม “เธอรู้ได้ยังไงว่าพวกฉันอยู่ตรงนี้”
“เห็นตั้งนานแล้ว พวกนายสูบไปเท่าไหร่แล้ว เหม็นชะมัด” จางเสียนจิ้งปล่อยเขาแล้วมองไปยังอีกคนที่ไม่เปิดปากพูดมาโดยตลอด “อวี้ฝาน นายว่าฉันสวยไหม”
อวี้ฝานว่า “ช่างเถอะ”
จางเสียนจิ้งหัวเราะ มือข้างหนึ่งของเธอค้ำบนขอบหน้าต่าง “วันนี้ไม่ได้ดูให้ดีๆ บนหน้านายนี่ดูไม่จืดจริงๆ”
หวังลู่อันกล่าว “เธอไม่เข้าใจหรอก นี่เป็นเหรียญเกียรติยศของเพื่อนฉัน”
“เกียรติยศนี้ให้นายเอาไหม” อวี้ฝานถาม
“ไม่เอาๆ” หวังลู่อันหัวเราะแหะๆ ก่อนจะถามจางเสียนจิ้ง “เฮ้อ เธอชอบเฉินจิ่งเซินมาตั้งแต่ ม.ปลายปีหนึ่ง จริงๆ เหรอ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ถ้าชอบตั้งแต่ ม.ปลายปีหนึ่ง ฉันยังจะอดกลั้นจนถึงตอนนี้ได้เหรอ” จางเสียนจิ้งกล่าว “ก็พูดไปงั้น”
“…” หวังลู่อันงุนงง “งั้นนี่เป็นรักแรกพบของเธอ?”
“ก็ไม่เชิง”
จางเสียนจิ้งทึ้งผมครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาอยู่ในท่าทางสวยสง่าอย่างเคย
“ฉันรู้สึกว่าเขาหน้าตาหล่อไม่ใช่หรือไง เรียนก็ดี ถ้าคบกับคนแบบนี้ได้จริงๆ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการบ้านเรื่องสอบแล้ว” จางเสียนจิ้งคิดอย่างนี้ก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย “พวกนายว่าฉันยังมีโอกาสหรือเปล่า”
อวี้ฝานไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไม่มี”
“ฉันเองก็คิดว่า…” หวังลู่อันพูดไปได้ครึ่งเดียว เมื่อสบเข้ากับสายตาเชิงข่มขู่ของจางเสียนจิ้งก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ที่สำคัญน่ะ เทสต์ของเด็กท็อปพวกนี้ต่างก็พิเศษ แล้วถ้าเกิดเฉินจิ่งเซินไม่ชอบคนแบบเธอล่ะ”
“งั้นเขาชอบคนแบบไหนล่ะ”
หวังลู่อันยิ่งพูดยิ่งคึก วาดไม้วาดมือ “ก็ประเภทที่รวบผมทั้งหมดไว้ข้างหลัง ตาเล็กๆ ริมฝีปากอวบอิ่ม ใส่แว่นหนาเตอะ ค่าสายตาแปดร้อย วันๆ เอาแต่เรียน บนหน้าเล็กๆ ซูบผอมยังมีสิวอีกหลายเม็ด…”
“เหลวไหล” จางเสียนจิ้งชะงักครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “งั้นตอนนี้ฉันไปตัดแว่นมาสักอันยังทันไหม”
อวี้ฝานฟังจนรำคาญแล้ว จึงลุกขึ้นพรวดแล้วเดินออกไปข้างนอก
แขนเสื้อของหวังลู่อันยังอยู่ในมือจางเสียนจิ้ง เห็นดังนั้นแล้วจึงรีบเอ่ยถาม “นายจะไปไหน”
“กลับบ้าน” อวี้ฝานตอบ “พวกนายก็ค่อยๆ เล่นกันนะ”
“ใครแม่งกำลังเล่นกับเธอกัน รอฉันด้วย เราไปด้วยกันเถอะ ถ้านายถูกดักอีกล่ะก็…เฮ้ยๆๆ สาวน้อย เสื้อฉันถูกเธอดึงขาดหมดแล้ว…”
จางเสียนจิ้งไม่ปล่อยมือ เธอนึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดกับแผ่นหลังนั้น “อวี้ฝาน เรื่องเมื่อกี้อย่าเอาไปพูดข้างนอกล่ะ! ไม่งั้นฉันจะเอาเรื่องที่นายตีกับโรงเรียนข้างๆ ไปบอกฝ่างฉิน…”
“แล้วแต่เธอ” อวี้ฝานซุกสองมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เดินเลี้ยวขึ้นอาคารไป ประโยคหนึ่งดังก้องอยู่ในโถงทางเดิน “อย่าลืมบอกว่าฉันตีชนะด้วยล่ะ เธอจะได้ไม่ขายหน้า”
“…”
“เด็กท็อป นายเอามือถือมาโรงเรียนด้วยใช่ไหม” อู๋ซือเห็นคนที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้องเรียนก็เอ่ยถาม
เพราะจวงฝ่างฉินติดนิสัยแปลกๆ คือหนึ่งเทอมจะปรับเปลี่ยนที่นั่งสองครั้ง ตอนนี้ที่นั่งในห้องจึงเป็นพวกนักเรียนเลือกนั่งกันเองมั่วๆ
อู๋ซือในฐานะนักเรียนที่ย้ายห้องมาย่อมนั่งด้วยกันกับนักเรียนที่ย้ายห้องมาอีกคนหนึ่ง
ตอนพวกเขาอยู่ห้องหนึ่งล้วนนั่งเรียงตามผลการเรียน ก่อนย้ายห้องอู๋ซือไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีวันที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินจิ่งเซิน
เฉินจิ่งเซินนั่งลง ก้มหน้าเก็บข้าวของ “อืม”
“เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงสั่นตั้งหลายที” อู๋ซือว่า “ในกระเป๋าเป้ของนาย”
เฉินจิ่งเซินหยิบมือถือออกมา หน้าจอแสดงข้อความที่ยังไม่ได้อ่านห้าข้อความ
เขาจ้องชื่อผู้ส่งสักพักถึงได้กดนิ้วลงบนหน้าจอ
อู๋ซือไม่ได้มีความคิดที่จะแอบดู แต่ที่นั่งใกล้กันมาก พอเขากลอกตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นหน้าจอมือถือของเฉินจิ่งเซินพอดี
เป็นหน้าต่างข้อความ เห็นแวบๆ ไม่กี่คำ เช่น ‘แม่’ ‘ช่วยลูกย้ายห้อง’ ‘กลับบ้านเร็วหน่อย’
แม้จะเห็นไม่ชัดทั้งหมด แต่เมื่อจับมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันก็เข้าใจได้ง่ายมาก…ผู้ปกครองของนักเรียนตัวท็อปไม่ค่อยพอใจการแบ่งห้องในครั้งนี้และอยากให้เฉินจิ่งเซินย้ายห้อง
นี่เป็นเรื่องปกติมาก พ่อแม่เขาเองก็อยากให้เขาย้ายห้องเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ครอบครัวเขาไม่ได้เลิศเลอเท่าครอบครัวเฉินจิ่งเซิน ไม่สามารถบอกว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
อู๋ซือกำลังทอดถอนใจว่าตนเองยังได้ประโยชน์จากเด็กท็อปไม่เท่าไหร่ก็จะย้ายไปแล้ว เขาเห็นเฉินจิ่งเซินโยนโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเป้อีกครั้ง แล้วฉวยดึงหนังสือตะลุยโจทย์ออกมาเล่มหนึ่ง ก่อนก้มหน้าก้มตาทำโจทย์เงียบๆ
เขาตะลึงงัน “เด็กท็อป เลิกเรียนแล้วนายยังไม่กลับบ้านเหรอ”
“อืม”
เนิ่นนานจนเฉินจิ่งเซินรู้สึกได้ถึงสายตาที่แผดเผาจากข้างกาย จึงหันหน้าไป “มีธุระ?”
อู๋ซือหัวเราะ รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย “ไม่มีอะไร ก็แค่มีโจทย์…ที่ฉันแก้ไม่ได้ ฉันเพิ่งไปที่ออฟฟิศมา ครูก็ไม่อยู่ เลยอยากถามนายว่าช่วยดูให้ฉันหน่อยได้ไหม แน่นอนว่าถ้านายยุ่งก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูด…”
“เอามาสิ”
“ฮะ?” อู๋ซือนิ่งงันก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว สองมือยื่นหนังสือตะลุยโจทย์ของตัวเอง “อ้อๆๆ เชิญนายเลย”
อู๋ซือถามจนกระจ่างแล้ว
เขาหอบกระเป๋าเป้จากไปด้วยความพอใจ ห้องเรียนจึงเหลือเพียงเฉินจิ่งเซินคนเดียว
มือถือในกระเป๋าเป้สั่นอีกครั้ง
เฉินจิ่งเซินแกว่งปากกาทำโจทย์ต่อคล้ายกับว่าไม่ได้ยิน
แสงสายัณห์ยามตะวันตกดินฉาบทั่วทั้งโรงเรียนเป็นประกายสีทอง
เฉินจิ่งเซินทำโจทย์เสร็จหน้าหนึ่งก็หมุนข้อมือ มองหมึกที่เปื้อนอยู่ข้างฝ่ามือก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางห้องน้ำ
เมื่อล้างมือเสร็จแล้วกลับมา สายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่อยู่ชั้นล่างของอาคารฝั่งตรงข้าม เฉินจิ่งเซินชะงักฝีเท้า หยุดอยู่ตรงที่เดิม
ที่หน้าประตูออฟฟิศของหัวหน้าครู เป็นอวี้ฝานที่ยืนพิงผนัง มือข้างหนึ่งซุกกระเป๋าเสื้อด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขาถูกหัวหน้าครูหิ้วไว้ในมือแล้วส่งมาอังที่จมูกของตน
“ครูไม่รู้สึกเหรอครับว่าตัวเองเหมือนโรคจิต” อวี้ฝานถาม
“พูดเหลวไหลอะไร!” หูผางจับมือของเขาแล้วสอบสวน “เธอบอกว่าเธอไม่ได้สูบบุหรี่ งั้นกลิ่นบุหรี่ที่อยู่บนมือนี่ได้มายังไง!”
อวี้ฝานโคลงศีรษะไปอีกด้าน ไม่ปริปาก
ต้องขอบคุณคำสาปแช่งก่อนลากันของหวังลู่อันนั่น อวี้ฝานยังไม่ทันออกจากโรงเรียนก็ถูกดักไว้แล้ว
เขาเจอกับเสืออ้วนที่เพิ่งกลับมาจากประชุมพอดี อีกฝ่ายอยู่ห่างไปสิบเมตรก็ยืนกรานว่าบนตัวเขามีกลิ่นบุหรี่
จมูกสุนัขยังไม่ไวขนาดนี้เลย
“ไม่แถแล้ว?” หูผางปล่อยเขา “พรุ่งนี้เรียกผู้ปกครองของเธอมาด้วย!”
ชั่วพริบตาเดียวอวี้ฝานก็เผยท่าทางหงุดหงิดและรังเกียจที่ยากจะปกปิดออกมา
และด้วยความรวดเร็วสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง “เรียกไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไม ต้องให้ฉันบอกครูจวงโทรแจ้งผู้ปกครองที่บ้านเธอหรือไง”
“โทรไปก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน”
“หมายความว่าอะไร”
“ที่บ้านไม่มีใครหรอกครับ”
“…”
“ผมไม่มีแม่” อวี้ฝานหันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้เขา “ส่วนอีกคนก็ตายไปนานแล้ว”
“…”
หูผางมองรอยยิ้มของเขา แล้วยืนอยู่ที่เดิมอย่างตะลึงงัน เนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา
“เธอ…” เขายังคงอยู่ในอาการตกตะลึง “ทำไมฉันไม่เคยได้ยินครูจวงพูดถึง…”
อวี้ฝานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อาจเพราะอยากช่วยผมเก็บเป็นความลับมั้งครับ”
หูผางนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะลูบศีรษะโล้นๆ ของตนอย่างทำตัวไม่ถูก “นี่ ฉันไม่รู้จริงๆ…งั้นตอนนี้เธอใช้ชีวิตอยู่คนเดียว?”
“ประมาณนั้นครับ” อวี้ฝานมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง “ผมไม่ต้องเรียกผู้ปกครองแล้วสินะ”
ใครยังจะกล้าเรียกล่ะ
หูผางกระแอมทีหนึ่ง “ไม่ต้องแล้ว”
อวี้ฝานยืนตัวตรง กำลังจะบอกลาเสืออ้วนก็ถูกเขาบีบบ่าเอาไว้
“แต่เธอทำผิดกฎระเบียบของโรงเรียน ต้องถูกลงโทษอยู่ดี” หูผางตบบ่าเขาคล้ายเป็นการปลอบ “เอาอย่างนี้ เธอขึ้นไปเขียนคำสำนึกผิดสองพันคำมาสองฉบับตอนนี้เลย ทำพอเป็นพิธี ส่งแล้วค่อยกลับบ้าน”
“…”
“ฉันจะเดินหมากที่หน้าประตูโรงเรียน เขียนเสร็จก็เอามาส่งฉันด้วย”
อวี้ฝานเดินไปถึงระเบียงทางเดินของห้องเรียนอย่างเชื่องช้า ก้มหน้ามองไปทางหน้าประตูโรงเรียน
จากนั้นก็สบตากับหูผางที่จับจ้องเขาเดินขึ้นอาคารอยู่ตลอด
หูผางจัดวางโต๊ะหมากล้อมกับ รปภ. เฒ่าของโรงเรียนตรงป้อม รปภ. เห็นเขาก็รีบโบกมือ ใช้รูปปากพูดเร่งว่า…‘รีบไปเขียนซะ!’
อวี้ฝานจิ๊ปากทีหนึ่งแล้วหันหน้าเดินเข้าไปในห้องเรียน
เขาไม่คิดว่าเวลานี้ในห้องเรียนจะยังมีคนอยู่
เฉินจิ่งเซินนั่งอยู่ท่ามกลางอาทิตย์สายัณห์ ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่เงยหน้า ทั้งห้องเรียนมีเพียงเสียงสากๆ ที่ออกมาจากปลายปากกาของเขาซึ่งจรดลงบนกระดาษ
สายตาของอวี้ฝานกวาดผ่านโต๊ะของเฉินจิ่งเซินโดยจิตใต้สำนึก เห็นเพียงกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งที่เหมือนกระดาษทด
ทั้งสองคนไม่ว่าใครก็ไม่คิดจะสนทนากับอีกฝ่าย อวี้ฝานเดินไปยังที่นั่งของตัวเองเหมือนรอบข้างไม่มีใคร ใช้เท้าลากเก้าอี้ออกมานั่ง ล้วงเอามือถือออกมาเล่นฆ่าเวลา
ในนั้นมีวีแชตที่ยังไม่ได้อ่านหลายข้อความ
หวังลู่อัน นายถูกเสืออ้วนจับได้?
หวังลู่อัน เฮ้อ ทำไมนายกลับไปที่ห้องเรียนอีกแล้ว ฉันรอกลับพร้อมนายอยู่ที่ประตูโรงเรียนนะ
– สั่งให้ฉันเขียนคำสำนึกผิดสองพันคำ
หวังลู่อัน …งั้นเอาไง นายต้องเขียนนานแค่ไหน หรือไม่หาลอกในเน็ตส่งๆ ไปเถอะ
– ไม่เขียน ขี้เกียจลอก
– นายกลับไปเถอะ ค่ำๆ หน่อยฉันจะปีนกำแพงจากประตูหลัง
ประตูหลังของโรงเรียนนอกจากเลิกเรียนวันศุกร์แล้วปกติจะไม่เปิด แต่ต้องรอให้เสืออ้วนเล่นหมากจนติดลมบน เขาถึงจะสามารถแอบเดินไปที่ประตูหลังผ่านด้านหลังอีกฝ่ายได้
อวี้ฝานตอบข้อความแล้วก็กดเปิดเกมงูจอมเขมือบที่มีมากับมือถือ เล่นด้วยท่าทางตั้งใจยิ่งกว่าตอนเข้าเรียนปกติเป็นร้อยเท่า
รอบๆ เงียบอย่างยิ่งเพราะไม่มีสิ่งรบกวน ตานี้เขามือขึ้นมาก ถึงโค้งสุดท้ายแล้ว งูจอมเขมือบยาวจนแทบจะเต็มหน้าจอ มุมบนขวาของโทรศัพท์มือถือก็เด้งไม่หยุด ขาดคะแนนอีกนิดเดียวเขาก็จะทำลายสถิติได้แล้ว
เสียงเสียดหูของขาเก้าอี้ที่เสียดสีพื้นทำลายความเงียบในห้องเรียน
อวี้ฝานไม่ได้ใส่ใจนัก นิ้วเรียวยาวยังคงปัดไปปัดมาบนหน้าจอ
เขาได้ยินอีกคนที่อยู่ในห้องเรียนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เป็นเสียงพลิกกระดาษ
ในที่สุดก็จะไปแล้วเหรอ
ขณะอวี้ฝานกำลังคิดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนจะเดินมาทางเขา
ไม่ไปทางประตูหน้าห้อง จะไปทางประตูหลังเหรอ
เพราะในห้องเรียนไม่มีคน ท่านั่งของอวี้ฝานจึงค่อนข้างสบายๆ…ตัวของเขากว่าครึ่งโผล่ออกไปนอกโต๊ะ กางขาสบายๆ ขวางทางไว้
อวี้ฝานรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้ามาใกล้ จึงหุบขากลับมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
หลังจากนั้นสองวินาทีอีกฝ่ายก็หยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะของเขา
“นักเรียนอวี้” เสียงของเฉินจิ่งเซินดังมาจากเหนือศีรษะ น้ำเสียงเย็นชา ไม่ต่างอะไรกับที่เขาได้ยินตอนสูบบุหรี่
เกมดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญ ขาดอีกแค่สามร้อยคะแนนก็จะทำลายสถิติแล้ว
อวี้ฝานจ้องหน้าจอมือถืออย่างใจจดใจจ่อ ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย
ผ่านไปราวๆ ครึ่งนาทีถึงได้รู้ว่าคนคนนั้นยังยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของตน อวี้ฝานขมวดคิ้ว โยนประโยคหนึ่งออกไปด้วยความเคยชิน “ฉันไม่ส่งการบ้าน”
คนอื่นๆ ในห้องคุยกับเขาแต่ละครั้ง แปดเก้าส่วนล้วนทวงการบ้าน
“ฉันไม่ได้เก็บการบ้าน”
“งั้นนายจะทำอะไร”
เฉินจิ่งเซินจ้องขวัญผมตื้นๆ ของอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นไปด้วยมือเดียว
ชั่วพริบตาที่ของยื่นมา อวี้ฝานจึงเงยหน้าขึ้นคล้ายกับปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ
อวี้ฝานรู้สึกว่าตนเองอาจจะเสียสมาธิไปหนึ่งวินาที กระทั่งของสิ่งนั้นคืออะไรเขาก็ไม่ได้ดูให้ชัด เขารีบกลับไปมองเกมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว…
หลังจากนั้นเขาก็เห็นงูจอมเขมือบขนาดใหญ่ยักษ์ทะลุจักรวาลที่ตนเองลำบากลำบนเล่นมาสิบกว่านาทีชนเข้ากับกำแพง…เกมโอเวอร์
ห่างจากสถิติสูงสุดอีกแค่ 77 คะแนนเท่านั้น
แม่งเอ๊ย
อวี้ฝานโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนอย่างสุดจะทน “วอนโดนตี? แม่งไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังยุ่ง”
เขาเหลือบมองซองจดหมายสีชมพูที่เฉินจิ่งเซินส่งมาแวบหนึ่งแล้วเงยหน้าถาม “หมายความว่าอะไร จดหมายท้าดวล…”
?
เดี๋ยวก่อน
ซองจดหมายสีอะไรนะ
เสียงของอวี้ฝานหยุดชะงัก เขายังคงอยู่ในท่าทีอยากจะต่อยคน ก่อนจะก้มหน้าดูอย่างละเอียด
นิ้วมือของเฉินจิ่งเซินเรียวยาว กระดูกข้อมือนูนออกมา เล็บมือตัดอย่างสะอาดสะอ้าน ตอนนี้กำลังหนีบซองจดหมายสีชมพูเรียบๆ ที่ถูกปิดผนึกด้วยรูปหัวใจอันคุ้นตาฉบับหนึ่ง
“นักเรียนอวี้”
อวี้ฝานเงยหน้าอย่างแข็งทื่อ
เฉินจิ่งเซินสะพายกระเป๋าเป้ไว้บนไหล่ข้างเดียว กดซองจดหมายลงบนโต๊ะแล้วดันไปข้างหน้า “ได้โปรดรับจดหมายรักของฉันไว้ด้วย”
บทที่ 6
“…”
ความเงียบอันแสนอ้างว้าง
ลมเย็นๆ พัดผ่านม่านหน้าต่างจนเลิกขึ้น โทรศัพท์มือถือที่โยนไว้บนโต๊ะดังติ๊งๆ ขึ้นมาสองที ถึงได้กระชากอวี้ฝานออกมาจากความตื่นตะลึง
เขาจ้องเฉินจิ่งเซินอยู่นานมาก
สีหน้าของเฉินจิ่งเซินไม่กระเพื่อมไหวเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะจดหมายรักงี่เง่าฉบับนั้นยังคงถูกทับไว้ใต้นิ้วมือเขา อวี้ฝานคงยังนึกสงสัยว่าเมื่อกี้ตัวเองหูฝาด
อวี้ฝานแข็งค้างอย่างไร้ซึ่งคำพูดอยู่พักหนึ่ง เขากำหมัดแน่นแล้วคลายออก หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาหลายทีเขาก็กลับลงไปนั่งอีกครั้ง
เสียงมือถือดังหนวกหูจนรู้สึกปวดหัว เขายกมือถือในมือขึ้นมาตั้งค่าเป็นโหมดเงียบ กว่าจะหาเสียงเจอ “…นายบ้าหรือเปล่า ฉันเป็นผู้ชายนะ”
เฉินจิ่งเซินทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วยืนตัวตรง “ฉันรู้”
“รู้แล้วนายยัง…” อวี้ฝานชะงัก “นายเป็นเกย์?”
เฉินจิ่งเซินหลุบตาลงแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงอันเย็นเยียบก็เปล่งออกมาจากลำคอ “อืม”
“…”
เฉินจิ่งเซินถาม “นายเกลียดเกย์?”
“…ก็ไม่เชิง” เนิ่นนานกว่าอวี้ฝานจะส่งเสียง เขามองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าวอย่างรวดเร็ว “แต่ฉันไม่ใช่ ฉันชอบผู้หญิง”
“นายมีผู้หญิงที่ชอบ?”
เป็นครั้งแรกที่อวี้ฝานถูกผู้ชายสารภาพรัก สมองจึงมึนงงเล็กน้อย เมื่อได้ยินแบบนั้นก็หลุดปากตอบไปว่า “เปล่า”
พูดจบเขาก็พลันได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง กำลังจะบอกว่าเกี่ยวอะไรกับนายด้วย…
“งั้นนายรู้ได้ยังไงว่านายชอบผู้หญิง”
“…?”
นี่มันตรรกะบ้าอะไรของนายเนี่ย
“สรุปว่าฉันไม่ใช่เกย์ และก็ไม่มีทางคบกับนาย…” สองคำสุดท้ายอวี้ฝานไม่ได้พูดออกไป มันออกจะประหลาดไปหน่อย
เขาหยิบจดหมายรักที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วยื่นไปตรงหน้าเฉินจิ่งเซินเหมือนหิ้วลูกระเบิด “อันนี้ รีบเอาไปซะ”
เฉินจิ่งเซินไม่รับ
อวี้ฝานถือจดหมายที่แสลงมือฉบับนั้นไว้สิบกว่าวินาที รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับคนโง่ “นายจะเอาไม่เอา ถ้าไม่เอาฉันจะฉีกแล้ว”
เฉินจิ่งเซินจ้องใบหูเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ฉีกสิ”
อย่างไรเสียฉบับนี้เขาก็ลบๆ แก้ๆ เขียนออกมาไม่ได้พอใจเท่าไหร่อยู่แล้ว
อวี้ฝานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อดทนไว้ไม่ให้วู่วามต่อยคน ก้มหน้าหากระเป๋ากางเกงของเฉินจิ่งเซิน คิดจะยัดกลับไป…
“อวี้ฝาน!” เสียงอันคุ้นเคยดังก้องไปทั่วทั้งทางเดินชั้นสาม
อวี้ฝานยังไม่ทันได้แตะต้องเสื้อผ้าของเฉินจิ่งเซิน แค่ได้ยินเสียงก็มือสั่นแล้ว เขาชะงักค้างอยู่กลางอากาศชั่วขณะ
ตาเห็นเงาร่างที่อยู่ข้างนอกกำลังจะเข้าประตูมา อวี้ฝานก็เก็บจดหมายกลับมาทันที เขายัดมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองอย่างลนลาน
ขณะเดียวกันหวังลู่อันก็เข้ามาจากนอกประตู “อวี้ฝาน ฉันส่งข้อความให้นายทำไมนายไม่ตอบ…”
เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านในชัดเจน หวังลู่อันก็ตะลึงงัน “ทำอะไรกันน่ะ”
“ทำไมนายกลับมาอีก” อวี้ฝานหันหน้าไปแล้วถามอย่างร้อนรน
“ทำการบ้านตกที่ห้องเรียน ตอนกลับมาเห็นเสืออ้วนไปเข้าห้องน้ำพอดี ก็เลยอยากให้นายช่วยฉันหยิบมาแล้ววิ่ง…” หวังลู่อันจ้องเขาพักหนึ่ง ถามอย่างตกตะลึง “ทำไมนายหูแดงขนาดนี้”
“…?” อวี้ฝานกุมใบหูพลางขมวดคิ้ว “นายดูผิดแล้ว”
“จริงๆ นะ!” จู่ๆ หวังลู่อันก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเองเห็นตอนเข้าประตูมา ท่าทางของทั้งสองคนแปลกๆ และก็อยู่ใกล้กันมาก มองแล้วเหมือนกับว่ากำลังจะต่อยกัน…
เขามองไปทางเฉินจิ่งเซิน ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายบิดหูเพื่อนฉัน?”
อวี้ฝานอยากจะควักเอาของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาอุดปากหวังลู่อันเสียจริง
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ในสายตาของหวังลู่อัน นี่เป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เขากำลังจะถามต่อก็ถูกอวี้ฝานคว้าเสื้อแล้วดึงไปข้างหลัง
มือถือในกระเป๋าเป้เริ่มสั่นต่อเรื่อยๆ หนแล้วหนเล่า ครั้งนี้เป็นสายโทรเข้า
เฉินจิ่งเซินไม่สนใจ เขาใช้นิ้วชั่งน้ำหนักกระเป๋าเป้ครู่หนึ่งและกล่าวต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฉันเริ่มสนใจนายมาตั้งแต่ตอน ม.ปลายปีหนึ่ง แล้ว”
อวี้ฝาน “…”
หวังลู่อัน “…?”
“ตอนงานกีฬา ฉันเคยดูการแข่งขันของนาย”
อวี้ฝาน “…?”
หวังลู่อัน “…???”
“ฉันจริงจังนะ” เฉินจิ่งเซินปล่อยมือไว้ข้างลำตัว “หวังว่านายจะคิดให้ดี”
รอบนี้เสืออ้วนไปเข้าห้องน้ำนานมาก สุดท้ายอวี้ฝานจึงได้ออกทางประตูหลักของโรงเรียนอย่างโจ่งแจ้ง
เขาอารมณ์ไม่ดี นักเรียนที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วต่างก็หลีกไปด้านข้างสองก้าวโดยสัญชาตญาณ
หวังลู่อันมองเขาไม่รู้กี่ที ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก “นายรู้สึกไหมว่าคำพูดที่เฉินจิ่งเซินพูดเมื่อกี้มันคุ้นหูอยู่หน่อยๆ…”
“ไม่รู้สึก”
“เหรอ” หวังลู่อันเกาศีรษะ “เขามาหานายทำไมน่ะ”
สีหน้าของอวี้ฝานยิ่งบูดบึ้ง เขาเม้มปาก นานสองนานกว่าจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง “…นัดต่อย”
“…?”
หวังลู่อันงุนงง “งั้นที่เขาบอกว่าสนใจนายตั้งแต่ ม.ปลายปีหนึ่ง…”
“ก็ไม่ถูกชะตาฉันตั้งแต่ ม.ปลายปีหนึ่ง ไง”
“เขายังเคยไปดูการแข่งขันของนายตอนงานกีฬา…”
“อยากดูว่าฉันเจ๋งแค่ไหนไงล่ะ”
“สุดท้ายเขาบอกให้นายคิดดีๆ…”
“คิดเรื่องที่จะตีกับเขาสักยก”
หวังลู่อัน “…”
แปลกๆ แต่ก็มีเหตุผล ถึงอย่างไรเขาเองก็ไม่คิดว่าระหว่างสองคนนี้จะยังมีเรื่องอะไรอย่างอื่นได้อีก
หวังลู่อันถามไปส่งๆ “งั้นสุดท้ายพวกนายคุยกันได้เรื่องหรือเปล่า”
“คุยกับผีน่ะสิ!”
“…”
พวกเขาผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต หวังลู่อันนึกขึ้นได้ว่าขนมที่ซ่อนไว้ในบ้านใกล้จะกินหมดแล้ว จึงอยากซื้อของเข้าบ้านไปสักหน่อย
อวี้ฝานยืนรออยู่ข้างนอก
ตอนเย็นอากาศเย็นมาก คู่รักคู่หนึ่งเดินผ่านหน้าเขาไป มือของผู้หญิงซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อของผู้ชาย
อวี้ฝานขยำจดหมายที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง จู่ๆ ก็อยากสูบบุหรี่ขึ้นมาอีก
อันที่จริงเขาตั้งใจจะเลิกบุหรี่ ช่วงนี้รักษาระยะสูบเป็นสามวันสูบมวนหนึ่งก็ได้ผลนิดหน่อย
ซึ่งจะถูกทำลายในเงื้อมมือของเฉินจิ่งเซินไม่ได้
คิดๆ อยู่อวี้ฝานก็หันหน้าไปพ่นลมหายใจ สายตาเหลือบไปเห็นถังขยะตรงมุม
เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วเดินไปข้างถังขยะ นิ้วมือสองนิ้วหนีบจดหมายฉบับนั้นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ห้อยอยู่เหนือถังขยะ
ลมพัดมา ซองจดหมายก็ไหวตามไปด้วย
หลังจากนั้นสองวินาทีเขาก็ ‘จิ๊’ เบาๆ ทีหนึ่ง แล้วเก็บมือกลับมา…
“เชี่ย! จดหมายรัก?”
อวี้ฝานเคลื่อนไหวเร็วมาก ตอนหวังลู่อันพุ่งเข้ามา ของสิ่งนั้นก็กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาอีกครั้งแล้ว
หวังลู่อันหิ้วถุงพลาสติก “ใครให้นายน่ะ เมื่อกี้? ทำไมฉันไม่เห็น”
อวี้ฝานเดินไปข้างหน้า “นายดูผิดแล้ว”
“ไม่มีทาง ฉันค่าสายตา 5.2!” หวังลู่อันเข้าใจในทันที “ฉันรู้แล้ว ต้องเป็นตอนนั้นที่นายกลับไปเขียนคำสำนึกผิดแน่เลย…มิน่าล่ะนายถึงได้หูแดงขนาดนี้”
หวังลู่อันเล่นด้วยกันกับเขามาตั้งแต่ตอนมัธยมต้นปีสอง
คนอย่างอวี้ฝาน สู้หนึ่งต่อห้าไม่สะทกสะท้าน ยืนอ่านคำสำนึกผิดต่อหน้าคนหลายพันคนก็ไม่ตื่นสนามเลยแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรเขาก็มีท่าทางห้าวๆ ตลอด ทำให้คนคิดว่าเขาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน…
กระทั่งขึ้นมัธยมปลาย มีนักเรียนหญิงมาสารภาพรักกับอวี้ฝาน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอวี้ฝานหน้าแดง
เขาก้มหน้าแม้ปกติจะต่อยตีตาไม่กะพริบ ใบหูแดงก่ำ กล่าวขอโทษผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูงร้อยห้าสิบนิดๆ ถึงขั้นไม่กล้ามองอีกฝ่าย
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็รู้ว่าเพื่อนยากที่ดูท่าทางหยิ่งของเขาคนนี้ เบื้องหลังก็แค่นักเรียนมัธยมที่ไร้เดียงสาสุดๆ
“จะจบไม่จบ?” มาถึงทางแยกพอดีอวี้ฝานหมุนตัวหนีไปอีกทางโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา “ไปแล้วนะ”
อวี้ฝานกลับบ้านแล้วพุ่งไปอาบน้ำทันที ตอนออกมาชั้นบนยังคงส่งเสียงดังตึงๆ ตังๆ ไม่หยุด
การที่ห้องพักราคาถูกไม่เก็บเสียงนี้เขาคุ้นชินจนเป็นปกติ ก่อนจะไปส่องที่หน้ากระจก
แผลบนใบหน้าจางลงนิดหน่อย คิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงหายดีแล้ว
ก็แค่น่าเกลียด
อวี้ฝานใช้ผ้าขนหนูออกแรงขยี้หน้า กระทั่งรู้สึกเจ็บที่แผลถึงได้หยุด
เขาเดินลากรองเท้าสลิปเปอร์ออกมาจากห้องน้ำ ฉวยหยิบเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาด้วย เพิ่งจะแกะห่อ จู่ๆ ก็มีเสียง ‘ก๊อกๆ’ ดังที่ประตูสองที
เสียงนี้ราวกับเคาะที่ขมับของเขา
การเคลื่อนไหวของอวี้ฝานหยุดชะงัก ขณะเงยหน้า ท่าทางเอื่อยเฉื่อยบนใบหน้าก็หายไปหมดสิ้น ในก้นบึ้งดวงตาปรากฏความเย็นชาและระแวดระวังออกมาหลายส่วน
เขาจ้องที่รอยแยกของประตู
อวี้ฝานปล่อยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วหมุนตัวไปเปิดประตู
เขาจับลูกบิดประตู หมุนเปิดอย่างไม่ค่อยนุ่มนวลเท่าไรนัก ขึงตามองไปนอกประตูก็ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง
อวี้ฝานขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะปิดประตู สายตาก็เหลือบไปเห็นศีรษะเล็กๆ ที่ดำสนิท
เขาค่อยๆ ก้มหน้า สบตากับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า
เธอเป็นเด็กน้อยของครอบครัวที่เพิ่งย้ายเข้ามาครอบครัวนั้น เคยเจอกันเมื่อวานที่ชั้นล่าง อีกฝ่ายถักเปียสองข้าง ใบหน้าจ้ำม่ำ
ท่าทางของอวี้ฝานดุดันเกินไป เด็กหญิงจึงหางลู่หูตก หวาดกลัวอยู่บ้าง
คนตัวโตกับคนตัวเล็กประจันหน้ากันครู่หนึ่ง
“ทำอะไรน่ะ” อวี้ฝานเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน เขายังไม่ได้ขจัดอารมณ์เมื่อครู่ออกไปทั้งหมด น้ำเสียงยังคงตึงๆ
เด็กหญิงตัวสั่นพักหนึ่ง
สั่นจริงๆ
อวี้ฝาน “…”
อวี้ฝานถอนหายใจ ก่อนนั่งยองๆ ลงให้ระดับสายตาเท่ากับเธอ “พูดสิ”
ในมือเด็กหญิงถือถุงหิ้วที่ขนาดใหญ่กว่าหน้าของเธอ เด็กหญิงรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ย “หม่าม้าบอกว่าเมื่อวานหม่าม้าเก็บกวาดห้อง เสียงดังมาก คืนนี้จะไม่ทำแล้ว เลยให้หนูเอาเกี๊ยวมาให้พี่…พี่ชายอย่าโกรธเลยนะ”
“รู้แล้ว” อวี้ฝานมองถุงแวบหนึ่ง “เธอเอากลับไปเถอะ ฉันไม่เอา”
เด็กหญิงยืนนิ่งไม่ขยับ มองเขาตาปริบๆ
อวี้ฝานย่นคิ้ว “ฟังไม่เข้าใจ?”
เด็กหญิงกอดเกี๊ยวเอาไว้แล้วตัวสั่นอีกครั้ง
“…”
สักพักอวี้ฝานก็หิ้วถุงพลาสติกกลับเข้าไปในห้อง เอาเกี๊ยวทั้งหมดยัดใส่ตู้เย็นแล้วกลับไปต้มบะหมี่
คนที่อยู่ชั้นบนพูดคำไหนคำนั้น ตอนกลางคืนไม่ได้ส่งเสียงอีกเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่จนถึงตีสองอวี้ฝานก็ยังนอนไม่หลับ หลายวันมานี้การนอนของเขาแย่มาก ไม่รู้ว่าเป็นผลพวงมาจากการเปิดภาคเรียนหรือเปล่า
เขาขยุ้มผมตัวเอง ตัดสินใจเลิกดิ้นแล้วลุกขึ้นจากเตียงไปดื่มน้ำที่ห้องรับแขก
ขณะกำลังรินน้ำ อวี้ฝานก็เห็นของที่อยู่ข้างเหยือกน้ำ จึงชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนอาบน้ำเขามักจะโยนของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทั้งหมดไว้ที่โต๊ะกินข้าวตามความเคยชิน ตอนนี้มีกุญแจพวงหนึ่ง บัตรซื้ออาหารของโรงเรียน เศษเงินจำนวนหนึ่ง และซองจดหมายสีชมพูฉบับหนึ่งวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ
อวี้ฝานจ้องของเหล่านั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบแก้วน้ำแล้วเดินจากไป
สักพักเขาก็เอี้ยวตัวกลับมาหน้าตาเฉย แล้วดึงซองจดหมายออกมาจากข้าวของในกองนั้นและหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
ก่อนหน้านี้อวี้ฝานก็เคยได้รับจดหมายรักของผู้หญิงหน้าบาง หลังจากเขาปฏิเสธก็ล่าถอยกลับไปทันที นี่เป็นครั้งแรกที่รับไว้แล้วเอากลับบ้านมาด้วย
เขานอนจ้องซองจดหมายในมืออยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็นึกถึงเครื่องแบบที่ถูกระเบียบเกินไปของเฉินจิ่งเซิน และท่าทางไม่ไว้ไมตรีของอีกฝ่ายขณะปฏิเสธจางเสียนจิ้ง
เขาอยากดูสักหน่อยว่าคนแบบนี้จะเขียนอะไรออกมาได้
มือข้างหนึ่งของอวี้ฝานวางไว้ที่ท้ายทอย เขานอนหงายอย่างเกียจคร้าน พลิกนิ้วไปตามอารมณ์แล้วแกะปากซองจดหมาย
ซองและผนึกของจดหมายรักฉบับนี้ล้วนเป็นสีสันสดใส แต่ข้างในกลับเป็นเพียงกระดาษจดหมายธรรมดาๆ แผ่นหนึ่ง…เป็นกระดาษที่เฉินจิ่งเซินเขียนในห้องเรียนหลังเลิกเรียนแผ่นนั้น
“…”
ถ้ารู้แต่แรกตอนนั้นก็คงหนีไปแล้ว
ลายมือของเฉินจิ่งเซินเล็กบาง ในความบรรจงก็มีความหวัดอยู่หลายส่วน ราวกับเคยฝึกมาก่อน
อวี้ฝานหนีบกระดาษจดหมายแผ่นนั้น เริ่มอ่านตั้งแต่ต้น…
‘นักเรียนอวี้มัธยมปลายปีสองห้องเจ็ด :
สวัสดี
ฉันคือเฉินจิ่งเซินมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ด’
ในจดหมายมีลายมือสองแบบทั้งเข้มและอ่อน สีเข้มน่าจะเขียนเพิ่มตอนเลิกเรียน
เลข ‘เจ็ด’ ใน ‘มัธยมปลายปีสองห้องเจ็ด’ ที่อยู่ข้างหลังเดิมทีน่าจะเป็น ‘หนึ่ง’ รอยหมึกสีเข้มเติมขีดไว้ด้านบนขีดหนึ่ง กลายเป็น ‘เจ็ด’
‘ไม่รู้ว่านายจำฉันได้หรือเปล่า พวกเราเคยเจอกันหลายครั้งตรงแถวเคารพธงชาติ
มัธยมปลายปีหนึ่งตอนเคารพธงชาติครั้งแรก นายพูดจาฉะฉานอยู่บนโพเดียม ร่างที่อ่านคำสำนึกผิดอย่างไหลลื่นสลักลึกอยู่ในห้วงสมองของฉัน
และก็เป็นตั้งแต่ตอนนั้นแหละที่ฉันเริ่มสนใจนาย
ฉันเริ่มจับตาดูส่วนท้ายตารางอันดับผลคะแนนของชั้นปี เดินผ่านห้องเจ็ดเป็นครั้งคราวก็จะมองท้ายทอยตอนนายหลับแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ตอนเข้าเรียนก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างตอนที่นายถูกครูลงโทษให้วิ่งที่สนามกีฬา
เอาแต่จับตาดูนายมาตลอดหนึ่งปีโดยไม่รู้ตัว
สอบใหญ่ครั้งหนึ่งฉันพบว่าอันดับผลคะแนนของนายขยับขึ้นมาหนึ่งอันดับ ฉันรู้สึกมีความสุขและยินดีกับนายจากใจจริง และก็ตระหนักได้ถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อนาย
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงความจริงใจของฉันที่มีต่อนาย’
หลังจากนี้ล้วนเป็นหมึกสีเข้ม
‘แม้ตอนสอบปลายภาคเทอมที่แล้วนายจะกลับไปอยู่อันดับท้ายสุดอีกแล้ว แต่ฉันเชื่อว่านายมีพรสวรรค์ในการเรียน โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ถึงยังไงผลสอบเก้าคะแนนนี้คนปกติก็ใช่ว่าจะสอบได้มา
เพราะฉะนั้นขอแค่นายยอมขยัน จะต้องได้ผลคะแนนที่ดีขึ้นแน่นอน
ข้างล่างเป็นหนังสือติวกับตะลุยโจทย์ที่ฉันจะแนะนำให้นาย
วิถีมือใหม่เรียนคณิตศาสตร์, นกโง่บินก่อน 2017, สรุปหน่วยความรู้คณิตศาสตร์ ม.ต้น
ขอให้การสอบราบรื่น การเรียนก้าวหน้า
เฉินจิ่งเซิน’
อวี้ฝาน “…?”
อวี้ฝาน “…”
เชี่ยอะไรเนี่ย
สมควรแล้วที่ภาษาจีนของนายได้ 110 คะแนน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.