X
    Categories: everYทดลองอ่านโกลาหลกลกาล

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1 

ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 天地白驹

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม

อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 7

รถมาจอดแถวเขตชานเมืองหว่าน นอกไซต์ก่อสร้างที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน บรรยากาศเงียบสงัดไร้ผู้คน อีกทั้งยังมืดสนิทขนาดที่ยื่นมือออกไปแล้วมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า

เดิมทีตู้จิ่งคิดจะปล่อยให้โจวลั่วหยางหลับต่อในรถ ทว่าตอนที่ปิดประตูกลับปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา

โจวลั่วหยางหาวหวอด มองตู้จิ่งด้วยดวงตาหรี่ปรือง่วงงุน สายตาแฝงแววหงุดหงิดเล็กน้อย ตู้จิ่งจำต้องทำมือบอกให้ ‘เงียบไว้’ แล้วล้มเลิกความคิดที่จะบุกเดี่ยว จากนั้นจึงพาโจวลั่วหยางเดินอ้อมไซต์ก่อสร้างไป

“รู้ได้ยังไงว่าเป็นที่นี่” โจวลั่วหยางพบว่าตัวเองมีคำถามมากเกินไปแล้ว

ตู้จิ่งตอบ “จากข่าวน่ะ”

“นี่เป็นโครงการของบริษัทพวกนายเหรอ” โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งตอบ “ซื้อไหม เดี๋ยวลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

โจวลั่วหยางเอ่ย “ตึกร้างสร้างไม่เสร็จ แถมยังลดแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ทำไมไม่ปล้นกันเลยล่ะ”

ตู้จิ่งประหลาดใจเล็กน้อย “นายดูรู้ด้วย?”

โจวลั่วหยางตอบ “ดูจากสภาพรอบๆ น่ะ”

ห้องพักคนงานที่ดัดแปลงจากตู้คอนเทนเนอร์แต่ละแถวไม่ได้เปิดไฟ และมีรถเข็นจอดวางระเกะระกะอยู่ด้านข้าง

ตู้จิ่งไม่กล้าขึ้นลิฟต์ของไซต์ก่อสร้างเพราะเกรงว่าจะเกิดเสียงดังจนทำให้คนอื่นแตกตื่น ดังนั้นเขาจึงเดินขึ้นไปตามบันไดที่เทคอนกรีตแล้วในนั่งร้าน รอบข้างเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมพัดและฝนที่ตกลงมาปรอยๆ

“อวี๋เจี้ยนเฉียงมีหุ้นสิบหกเปอร์เซ็นต์ในอสังหาฯ ผืนงาม” ตู้จิ่งเล่าเสียงเบา “ฉันสงสัยว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมสองคดี…ทางนี้”

โจวลั่วหยางไม่ได้ซักไซ้ว่าทำไมตู้จิ่งถึงอยากสืบเรื่องของอวี๋เจี้ยนเฉียง ข้อมูลตอนนี้เพียงพอให้เขาตัดสินหลายๆ เรื่องได้แล้ว ตู้จิ่งอาจเป็นสายลับที่แฝงตัวอยู่ในบริษัทของอวี๋เจี้ยนเฉียงเพื่อรวบรวมข้อมูลสำคัญบางอย่างก็เป็นได้

“สองคดีไหน” โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งตอบ “คดีแรกคดีการฆ่าตัวตายของคู่ชีวิตเขา เมื่อสิบเก้าปีก่อนเขาร่ำรวยขึ้นโดยอาศัยทรัพย์สินของพ่อตาผ่านการแต่งงานกับลูกสาวเถ้าแก่ศูนย์รับซื้อขยะรีไซเคิล”

“เคยฟังเขาเล่าแล้ว” โจวลั่วหยางตอบกลับ “คือ ‘พี่ใหญ่’ ที่เขาเรียก”

“หลังแต่งงานได้เก้าปี เนื่องจากอดีตภรรยาของเขาเป็นโรคซึมเศร้าจึงฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด” ตู้จิ่งเล่า “ทรัพย์สินของสองสามีภรรยาเลยเป็นมรดกตกถึงเขา”

“อืม”

ตู้จิ่งยื่นมือมา เขาใช้มือซ้ายที่ไม่ได้สวมถุงมือจูงมือโจวลั่วหยางเดินขึ้นบันไดที่ไม่มีราวกั้นอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเงยหน้ามองหาร่องรอยของอวี๋เจี้ยนเฉียงโดยอาศัยแสงจากท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สลัวราง

“พอได้เงินทุนจากพ่อตาก็ค่อยๆ ร่ำรวยขึ้น เขาร่วมกับหุ้นส่วนอีกสองคนสร้างบริษัทอสังหาฯ ตามนโยบายสนับสนุนธุรกิจที่น่าจับตามอง บัญชีของบริษัทมีหลายส่วนที่มีพิรุธ ภายหลังเกิดปัญหาเงินทุนหมุนเวียนจึงเร่งจดทะเบียนบริษัทเพื่อระดมทุน แต่เป้าหมายในการระดมทุนเกิดขัดแย้งกับแนวคิดของหุ้นส่วนคนหนึ่งที่ชื่อหวังเค่อ หวังเค่อรู้ความลับหลายอย่างเกี่ยวกับรายการบัญชี อวี๋เจี้ยนเฉียงรู้เข้าเลยกลัว จึงชะลอการจดทะเบียนบริษัทไว้ก่อนอย่างรู้แกว”

“แต่หกเดือนหลังจากนั้น หรือก็คือช่วงต้นปีของปีกลายหวังเค่อเลี้ยงดูกิ๊กไว้คนหนึ่ง เช่าห้องให้อยู่แถวเขตตงซาน ต่อมาถูกแฟนหนุ่มของกิ๊กคนนั้นจับได้และมาหาถึงที่ สองฝ่ายต่อสู้กัน หลังจากนั้นหวังเค่อก็ถูกบีบคอจนตายคาที่”

โจวลั่วหยางเอ่ย “นายสงสัยว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นคนวางแผนเรื่องพวกนี้ทั้งหมด?”

ตู้จิ่งเลี่ยงไม่ตอบ “หลังจากหวังเค่อตาย อวี๋เจี้ยนเฉียงก็กลับมาดำเนินแผนการจดทะเบียนบริษัทเพื่อระดมทุนอีกครั้ง”

“นี่มันชั้นไหนแล้ว”

“ยังอีกไกล” ตู้จิ่งเงยหน้ามองยอดอาคารพลางตอบ “เหนื่อยก็พักสักเดี๋ยว ยังมีเวลาอีกมาก”

“คนร้ายล่ะ” โจวลั่วหยางถามขึ้นขณะยืนพิงเสาคอนกรีตทรงสี่เหลี่ยม

“หนีไปได้” ตู้จิ่งบอก “ข่าวที่ได้รับล่าสุดคือหนีไปปาปัวนิวกินี จับตัวไม่ได้ ศพถูกพวกเขายัดไว้ในตู้เย็นห้องเช่า ผ่านไปเดือนกว่าถึงมีคนมาพบ”

โจวลั่วหยางแย้ง “ไม่สมเหตุสมผลเลย ตำแหน่งสำคัญอย่างกรรมการบริหาร ทำไมถึงเพิ่งถูกพบหลังหายไปเป็นเดือน”

ตู้จิ่งเอานิ้วดึงด้ายสีเขียวหย่อมหนึ่งออกจากนั่งร้านพลางมองออกไป ก่อนจะตอบ “ช่วงหลังๆ หวังเค่อแทบไม่ได้จัดการเรื่องในบริษัทแล้ว เขาใช้เวลาส่วนมากทำตัวเป็นเถ้าแก่คอยชี้นิ้วสั่งการกับร่อนไปทั่ว มักติดต่อกับอวี๋เจี้ยนเฉียงแค่คนเดียว ส่วนกิ๊กคนนั้นใช้โทรศัพท์เขาคอยส่งข่าวให้ที่บริษัทและคนในครอบครัว ถ้าว่ากันตามทฤษฎีก็พอจะฝืนพูดได้ว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงไม่รู้ไม่เห็น แต่ในความเป็นจริงก็แล้วแต่ว่าใครจะมอง”

โจวลั่วหยางกล่าว “นายก็เลยสงสัยว่าเขาฆ่าภรรยาที่ร่วมผูกเงื่อนผม* กันมาก่อน แล้วค่อยฆ่าหุ้นส่วนคนหนึ่งสินะ”

ตู้จิ่งว่า “หุ้นส่วนสองคนนี้เป็นลูกหลานของพ่อตาเขา จะว่าไปแล้วนี่เป็นเรื่องที่เขาทำได้จริงๆ”

“ทำไมถึงรับทำคดีนี้” โจวลั่วหยางถาม “เพราะอดีตภรรยาของเขาที่เป็นโรคซึมเศร้าเมื่อสิบกว่าปีก่อนเหรอ”

ตู้จิ่งไม่ตอบคำถาม แต่ในความมืดโจวลั่วหยางรับรู้ได้ว่าเขากำลังลังเล

“พักพอแล้ว เดินต่อกันเถอะ” สุดท้ายตู้จิ่งก็พูดขึ้น

ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จไม่มีหลังคา น้ำฝนจึงตกปรอยๆ ลงมา ขณะที่โจวลั่วหยางเพิ่งเดินขึ้นมาถึงชั้นที่ยี่สิบหกด้วยอาการหอบเหนื่อยก็ถูกมือของตู้จิ่งดึงไป ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ใต้บันไดระหว่างชั้นที่ยี่สิบหกกับยี่สิบเจ็ด

อวี๋เจี้ยนเฉียงมาถึงแล้ว

โจวลั่วหยางมองลอดผ่านรอยแยกแผ่นไม้กระดานขึ้นไปด้านบน ตู้จิ่งโบกมือช้าๆ

“ไม่ต้องทำอะไร” ตู้จิ่งกระซิบก่อนคุกเข่าลงหนึ่งข้าง แขนข้างหนึ่งของเขาโอบไหล่โจวลั่วหยาง จากนั้นก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาเปิด

โจวลั่วหยางนั่งขัดสมาธิกับพื้น

“ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” ตู้จิ่งกระซิบที่ข้างหูโจวลั่วหยาง ลมหายใจใกล้มากทีเดียว

โจวลั่วหยางทำท่าบอกว่า ‘นายกำลังอัดเสียงไม่ใช่เหรอ’ ตู้จิ่งตอบ “กลับไปฉันค่อยลบทิ้งได้”

โจวลั่วหยางโบกมือเบาๆ เขายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากถาม และรู้ว่าตู้จิ่งไม่ได้อยากจะปิดบังเขา ที่จริงการได้มาพบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันหลายปีก็ทำให้โจวลั่วหยางดีใจมากแล้ว ผ่านไปสามปีตู้จิ่งเก็บงำความรู้สึกมากกว่าแต่ก่อน เหตุเพราะไม่มีเขา ความคิดของตู้จิ่งไวต่อสิ่งกระตุ้นเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกโจวลั่วหยางกลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจจนหนีไป

“ฉันจะหลับแล้ว” ตู้จิ่งเอ่ย “พูดอะไรหน่อยสิ จะได้ตื่นตัวหน่อย”

โจวลั่วหยางพูดเพียงประโยคเดียว “กลับมาคราวนี้จะจากไปอีกไหม”

คำถามนี้ทำให้อีกฝ่ายตื่นตัวได้จริงๆ โจวลั่วหยางถึงกับรู้สึกได้ว่ามือของตู้จิ่งที่โอบไหล่เกร็งขึ้นอย่างชัดเจน

“นายหวังว่าฉันจะไม่จากไป?” ตู้จิ่งถาม

“ฉันหวังอย่างนั้นมาตลอดนะ” โจวลั่วหยางตอบ

ทว่าตู้จิ่งยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ในที่สุดคนที่แบล็กเมล์ก็มาแล้ว

ตู้จิ่งกดไหล่โจวลั่วหยางทีหนึ่ง แล้วรีบหลบไปอยู่ที่หลังเสาอีกต้น มีผู้ชายมาสองคนและไม่เห็นว่ามีผู้ติดตาม ทั้งสองค่อยๆ เดินตามกันขึ้นไปบนขั้นบันไดที่อยู่เหนือศีรษะของโจวลั่วหยาง กระทั่งเดินขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุด

ขณะนั้นมีสายโทรเข้ามาหาโจวลั่วหยาง พอเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นเล่อเหยาที่โทรมา เขากดวางสายด้วยรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก

ตู้จิ่งเก็บเครื่องบันทึกเสียง ซ่อนตัวในเงามืด ก่อนจะขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้นยี่สิบเจ็ดที่ยังไม่ได้ติดตั้งหลังคา

“ก้อนนี้ก้อนสุดท้ายแล้วนะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงดึงฮู้ดขึ้นมาสวมเพื่อปิดบังใบหน้า เขาวางกระเป๋ากีฬาไว้ข้างเท้า ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาท่ามกลางฝนที่โปรยปราย “ของล่ะ”

ชายที่เป็นหัวหน้าหยิบจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง อวี๋เจี้ยนเฉียงรับไป เขาเปิดซองจดหมายแล้วหยิบธัมป์ไดรฟ์ออกมาดู

“เงินอยู่ในกระเป๋า” อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก แต่ในขณะที่กำลังจะหันหลังเดินลงไป ชายอีกคนกลับมาขวางทางลงบันไดเอาไว้

ชายคนแรกบอก “อย่าเพิ่งรีบไปสิ บอสอวี๋อยู่คุยกันก่อนไม่ได้เหรอ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “กลับไปบอกเจ้านายของพวกแก ถ้ายังอยากได้อีกทุกคนคงต้องสู้จนถึงที่สุดให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”

“ดูตัวนายซะก่อน” ชายคนนั้นยิ้ม “มีราศีอย่างประธานบริษัทในตลาดหุ้นซะที่ไหน พวกเราเองก็ได้รับคำสั่งให้มาทำงานเหมือนกัน สูบสักมวนไหม”

ว่าแล้วชายคนนั้นก็หยิบบุหรี่ออกมายื่นให้อวี๋เจี้ยนเฉียง อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่ได้สูบบุหรี่มานานแล้วแต่ก็ยังรับไป

ทว่าชายคนนั้นกลับไม่สูบ เพียงแค่โยนซองบุหรี่เปล่ากับก้านไม้ขีดทิ้งลงบนพื้นแบบส่งๆ

อวี๋เจี้ยนเฉียงสูบไปสองทีก่อนจะเอ่ย “ฉันไม่ได้ฆ่าหวังเค่อจริงๆ นะ”

“พริตตี้คนนั้นนายเป็นคนแนะนำให้รู้จักนี่นา” ชายคนนั้นบอก “นายเลยรู้ตั้งนานแล้วว่าเขาตายแล้ว”

อวี๋เจี้ยนเฉียงระวังตัวแจไม่ยอมหลุดปาก “ฉันไม่รู้จริงๆ”

ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าอย่างนั้นทำไมนายไม่แจ้งตำรวจ”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่รู้!” อวี๋เจี้ยนเฉียงโกรธจัด “ฉันกับเขาเกี่ยวข้องกันยังไง ฉันถึงต้องทำผิดอย่างนั้น”

ชายคนนั้นเดินมาอยู่ข้างๆ พลางลูบศีรษะของเขา ก่อนจะพูดอย่างครุ่นคิด “นอกจากบันทึกส่วนนี้เขายังเคยคุยเรื่องของนายกับคนอื่นๆ ด้วย อยากอ่านไหมล่ะ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ชายคนนั้นยิ้มพลางกล่าว “อย่าเครียดไปเลย ไม่ต้องใช้เงิน ที่ผ่านมาพวกเราพูดคำไหนคำนั้น ได้อะไรๆ จากมือนายมาไม่น้อย บันทึกนี้ถือว่าเป็นของแถมก็แล้วกัน”

ว่าแล้วชายคนนั้นก็หยิบแฟ้มเอกสารพลาสติกชุดหนึ่งออกมาให้อวี๋เจี้ยนเฉียงดู

อวี๋เจี้ยนเฉียงถามอย่างระแวง “กับใคร”

“กับเมียเก่านาย” ชายคนนั้นบอก “เมื่อสิบปีก่อน”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”

ชายคนนั้นดูสนุกอย่างมาก เขาพูดต่ออีกว่า “พี่ชาย งานอดิเรกที่ให้ใครรู้ไม่ได้ของนายนี่เกี่ยวข้องเป็นวงกว้างมากจริงๆ แม้แต่พี่น้องที่ก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกันก็ยังไม่เว้น”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเดินเข้าไปหาชายคนนั้นแล้วยื่นมือออกไป คนที่ยืนขวางทางลงบันไดพลันเดินปรี่เข้ามาเพื่อกันไม่ให้อวี๋เจี้ยนเฉียงเข้ามายื้อแย่ง แต่ชายคนนั้นกลับโบกมือบอกว่าไม่เป็นไรแล้วพูดขึ้น

“ทางเราต้องเก็บบันทึกไว้ เผื่อว่าอาจจะต้องใช้”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเกือบจะบันดาลโทสะ นับตั้งแต่ถูกคนพวกนี้จับตามอง เขาก็ถูกแบล็กเมล์ไม่หยุดหย่อน เดิมทีเขาคิดว่าทุกอย่างคงจบสิ้นลงวันนี้ ไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องตามมาอีก! หวังเค่อมองมาที่เขาราวกับกลายเป็นวิญญาณสักดวงที่คอยติดตามไม่ห่าง

“ฉันไม่ได้ฆ่าเขา” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูดอย่างฉุนเฉียว แล้วฉวยเอาแฟ้มเอกสารนั้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ชายคนนั้นทำเป็นหยิบมือถือออกมาช่วยส่องไฟให้เขาอย่างมีมารยาท หลังอวี๋เจี้ยนเฉียงได้อ่านเอกสารสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที…นั่นเป็นเนื้อหาของข้อความ SMS เมื่อสิบปีก่อน แม้แต่สิ่งนี้ก็ยังหาจนเจออย่างนั้นเหรอ

“หวังเค่อคงไม่ได้ใส่ร้ายนายหรอกมั้ง” ชายคนนั้นพูดอย่างจริงจัง “ได้ยินว่าวันนี้นายหาแฟนหนุ่มคนหนึ่ง?”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเงยหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ครู่ต่อมาชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะ เป็นอันว่ายืนยันแล้ว”

เพิ่งขาดคำอวี๋เจี้ยนเฉียงก็พลันรู้สึกถึงอันตรายได้ในทันที อาจเพราะความต้องการสังหารที่เผยออกมาจากดวงตาของชายคนนั้น หรืออาจเป็นลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายก็เป็นได้

เขารีบถอยกรูดทันที แต่กลับชนเข้ากับชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง จากนั้นชายคนนั้นก็ล็อกแขนเขาไว้แน่น ก่อนจะดันให้เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงกดบ่าเขาลงแล้วลากไปที่ขอบของดาดฟ้า!

อวี๋เจี้ยนเฉียง “ช่วย…”

“บ๊ายบาย” ชายคนนั้นบอกลาอย่างคล่องปาก

รูม่านตาของอวี๋เจี้ยนเฉียงเบิกกว้างทันที ร่างกายครึ่งหนึ่งเอียงออกไปนอกดาดฟ้า หันหน้าเผชิญกับพื้นคอนกรีตที่อยู่ต่ำลงไปยี่สิบเจ็ดชั้น

พอโจวลั่วหยางได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตัวเองก็คอยระวัง แต่ไม่นึกว่าเหตุพลิกผันจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้!

แต่การตอบสนองของตู้จิ่งไวกว่าโจวลั่วหยาง ตู้จิ่งปรากฏตัวออกมาจากทางด้านหลังห้องคอนกรีตบนดาดฟ้าอย่างกะทันหัน เขาวิ่งย่ำน้ำฝนแล้วไถลเท้ายื่นขาออกไปเกี่ยวสกัดสองคนนั้น ชายทั้งสองเสียหลักทันทีด้วยนึกไม่ถึงว่าตรงนี้จะยังมีคนอยู่ด้วย!

อวี๋เจี้ยนเฉียงพลิกตัวกลับ เขาเกือบจะร่วงลงไปแต่ยังคว้าจับขอบปูนไว้แน่นแล้วพลิกตัวกลับมาได้อีกครั้ง

ชายคนหนึ่งรีบตะโกนบอก “ยังมีอีกคน!”

“ไปเร็ว!” ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนสั่ง

ตู้จิ่งใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นก่อนจะพุ่งตัวไปถีบคนที่เป็นหัวหน้าจนกระเด็น ส่วนอวี๋เจี้ยนเฉียงโผเข้าไปรวบตัวคนคนนั้นไว้จากทางด้านหลังแล้วผลักเขาออกไป จากนั้นก็พุ่งเข้าไปคว้าตัวอีกคนเอาไว้แล้วถีบ!

โจวลั่วหยางวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า ตู้จิ่งรีบบอก “กลับไป!”

“ตู้จิ่ง?!” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจ

อวี๋เจี้ยนเฉียงวิ่งเข้าหาแล้วยกกระเป๋ากวัดแกว่ง กระเป๋ากีฬาที่บรรจุเงินสดหกแสนเหวี่ยงออกไป โจวลั่วหยางเพิ่งมาถึงชั้นดาดฟ้าก็ได้ยินเสียงหวีดร้อง ยังไม่ทันเห็นชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นคนคนนั้นก็ถูกอวี๋เจี้ยนเฉียงใช้ไหล่กระแทกกระเด็นออกไปนอกดาดฟ้า พร้อมทั้งส่งเสียงร้องโหยหวนเพราะหวาดกลัว

เสี้ยวนาทีนั้นเลือดในตัวโจวลั่วหยางราวกับจับตัวแข็ง ตู้จิ่งรีบดึงตัวโจวลั่วหยางมาอยู่ข้างๆ

อวี๋เจี้ยนเฉียงเดินโซเซไปคว้ากระเป๋าใส่เงินสดไว้แน่น จากนั้นมีเสียงพลั่กดังมาจากด้านล่าง

โจวลั่วหยาง “…”

คนทั้งสี่บนดาดฟ้าพากันเงียบกริบ ชายอีกคนที่มาด้วยกันค่อยๆ ถอยหลัง จากนั้นก็วิ่งโซซัดโซเซลงจากตึกแล้วหนีไป

ทั้งสามไม่ได้ไล่ตาม เพราะถึงตามไปแล้วจะทำอะไรได้

เสียงของอวี๋เจี้ยนเฉียงสั่นเทา “เขา…ตกตึกตายแล้ว?”

ตู้จิ่งไม่ตอบ เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ท่าทางราวกับปีศาจ ส่วนโจวลั่วหยางหลบอยู่ข้างหลังตู้จิ่ง ในหัวมีแต่คำถามที่ว่า มีคนตาย?! จะทำยังไงดี

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเห็นเหตุฆาตกรรมกับตาตัวเอง ความเย็นยะเยือกปกคลุมทั่วร่างในชั่วพริบตา ทุกรูขุมขน ทุกตารางนิ้วของผิวหนังรับรู้ได้ถึงการโจมตีของความพรั่นพรึงที่มาถึงก่อนความตาย น้ำฝนเย็นเฉียบซึมลึกไปถึงกระดูก ไหลลงมาตามคอเสื้อของโจวลั่วหยาง ทำให้เขาสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

“เมื่อกี้…ใครผลักเขา” เสียงของอวี๋เจี้ยนเฉียงสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

“คุณไงล่ะ” ตู้จิ่งเก็บแฟ้มเอกสารพลาสติกขึ้นจากพื้น แล้วเอามันไปยัดใส่อกอวี๋เจี้ยนเฉียงก่อนจะตบบ่าเบาๆ แล้วตอบ “คุณเป็นคนผลักเขาออกไป”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “เมื่อกี้เขายืนตรงริม ฉัน…ไม่ได้ตั้งใจชนเขา” ว่าแล้วก็มีการตอบสนองทันที “นั่นใคร คนที่อยู่ข้างหลังน่ะ แกเป็นใคร ออกมาให้ฉันดูหน่อย ตู้จิ่ง นายมาได้ยังไง”

“ถ้าผมไม่มาคุณคงตายไปแล้ว” ตู้จิ่งตอบกลับอย่างเย็นชา “ไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อกี้สองคนนั้นจะผลักคุณให้ตกลงไป”

ในที่สุดอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ได้สติ เขาหอบหายใจพลางพูด “นายตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้ นาย…นายเป็นใครกันแน่”

โจวลั่วหยางตอบ “ผม…”

ตู้จิ่งเหลือบมองโจวลั่วหยาง ครุ่นคิดแล้วบอก “เขาทำนายได้ว่าคืนนี้คุณจะมีเคราะห์ เลยให้ผมกลับไปดูคุณที่บริษัท”

โจวลั่วหยางถึงกับร้องในใจ เฮ้ย! จริงจังหน่อยจะได้ไหม

ในชั่วพริบตาที่อวี๋เจี้ยนเฉียงเห็นโจวลั่วหยาง ร่างทั้งร่างก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น เส้นผมของเขาเปียกโชก

ตู้จิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเราเพิ่งมา ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และไม่ได้ยินอะไรด้วย ไปกันเถอะ”

“เสี่ยวตู้” อวี๋เจี้ยนเฉียงเรียก “ระ…รอด้วย”

“เดี๋ยวน้ำฝนจะไหลลงไปตามบันได ชะรอยเท้าจนเลือนหายไปเอง” ตู้จิ่งบอก “ไม่ต้องเดินกลับทางบันไดแล้ว ใช้ลิฟต์ลงไปแทนเถอะ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ตู้จิ่งมองซองบุหรี่เปล่ากับกล่องไม้ขีดบนพื้น เขาใช้มือขวาที่สวมถุงมือกดปุ่มลิฟต์ของไซต์ก่อสร้าง ก่อนจะถอดเสื้อสูทออกมาปูบนพื้น แล้วขึ้นไปยืนบนนั้นกับโจวลั่วหยาง

อวี๋เจี้ยนเฉียงมองประเมินตู้จิ่ง ตู้จิ่งยังคงทำหน้าเฉยชา ส่วนโจวลั่วหยางก็มองอวี๋เจี้ยนเฉียงแล้วหันไปมองตู้จิ่ง

ลิฟต์เคลื่อนลงไปไม่หยุด

“บอสอวี๋” ตู้จิ่งบอก “พรุ่งนี้ผมขอลางานหนึ่งวัน”

“ได้สิ” อวี๋เจี้ยนเฉียงอนุญาต “นาย…พักผ่อนที่บ้านสักสองสามวันแล้วกัน จะให้ฉันจัดการส่งนายไปเมืองนอกไหม”

“ไม่ต้องครับ” ตู้จิ่งพูดอย่างไม่แยแส “ผมไม่ใช่คนผลักเขาลงไปซะหน่อย”

“ฉันจะรีบคิดหาทางแก้ไขก็แล้วกัน” อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก

อวี๋เจี้ยนเฉียงมีความคิดมากมาย ในหัวมีแต่เรื่องที่กลุ่มคนที่แบล็กเมล์เขาทำไว้จนไม่ทันได้สังเกตว่าตู้จิ่งนั้นดูเยือกเย็นผิดปกติ แตกต่างจากตอนเป็นผู้ช่วยเขาอย่างที่เคยเป็นมา

“ไปดูหน่อยไหม” โจวลั่วหยางถาม

ลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง พื้นมีแต่โคลน รอบๆ มีรอยเท้าของคนงานเต็มไปหมด คนที่ตกลงมาตายอยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตร

“ไม่” ตู้จิ่งจูงมือโจวลั่วหยางไว้ตลอดเวลาแล้วบอก “มีเลือดบนพื้น เดินเข้าไปจะทำให้เกิดรอยเท้าได้ง่ายๆ”

คำพูดนี้ย่อมพูดให้อวี๋เจี้ยนเฉียงฟัง แต่ตู้จิ่งคงคิดมากเกินไป เพราะต่อให้ตอนนี้อวี๋เจี้ยนเฉียงเกิดใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมาก็คงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปดูอย่างไม่ระวัง

อวี๋เจี้ยนเฉียงรีบหยิบแฟ้มเอกสารพลาสติกขึ้นมาแล้วถาม “ขับรถมาหรือเปล่า”

“จอดไว้นอกไซต์ก่อสร้าง ห่างจากที่นี่มากครับ” ตู้จิ่งถามอย่างนอบน้อม “บอสอวี๋ล่ะครับ”

“จะนั่งรถของฉันกลับเหรอ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงกลายเป็นนกขี้ตื่นไปแล้ว เขาทำราวกับว่าเวลานี้ตู้จิ่งกลายเป็นเจ้านาย ส่วนตัวเองเป็นแค่ผู้ติดตามไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องหรอกครับ” ตู้จิ่งบอก “ราตรีสวัสดิ์ครับบอสอวี๋”

พวกเขาเดินผ่านถนนสองสาย ทันทีที่โจวลั่วหยางขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับก็หอบขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ตกใจเหรอ” ตู้จิ่งสตาร์ตรถแล้วเบนหัวรถออก จากนั้นก็มองโจวลั่วหยาง ก่อนจะถอดถุงมือเพื่อเปลี่ยนเกียร์ แล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเขา

“ไปแจ้งตำรวจไหม” พออาการหอบของโจวลั่วหยางสงบลงแล้ว เขาก็หันไปถาม

“ไม่ไป” ตู้จิ่งบอกพลางส่งข้อความ “ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าเขาสักหน่อย”

โจวลั่วหยางจึงว่า “มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกันยังไงล่ะ!”

ตู้จิ่งก้มหน้าส่งข้อความแล้วกล่าว “เดี๋ยวจะมีคนไปจัดการให้”

โจวลั่วหยางหันมองหน้าจอมือถือของตู้จิ่งที่กำลังสว่าง แล้วก็เห็นผู้ติดต่อที่กำลังคุยอยู่ใช้ชื่อว่า ‘เหล่าต้า’* โดยตู้จิ่งส่งข้อความไปถามอีกฝ่ายแค่สองคำ

 

ตู้จิ่ง หลับแล้ว?

 

โจวลั่วหยางคิด ตู้จิ่งจะต้องมีองค์กรสังกัดแน่ๆ

“แต่ตอนนั้นมีแค่พวกเราสามคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุนะ!” โจวลั่วหยางท้วง “มีหลักฐานไหม ให้ฉันไปเป็นพยานก็ไร้ประโยชน์”

ตู้จิ่งล้วงเอาเครื่องบันทึกเสียงออกมาแสดงให้โจวลั่วหยางดูพลางเลิกคิ้ว

โจวลั่วหยาง “…”

ตู้จิ่งปิดเครื่องบันทึกเสียงแล้วว่า “อวี๋เจี้ยนเฉียงสารภาพออกมาเองกับปาก”

โจวลั่วหยางยังคลางแคลงใจไม่หาย เขาจึงพลันหันไปถาม “นายเคยฆ่าคนเหรอ”

“ไม่เคย” ตู้จิ่งพูดเรียบๆ ขณะขับรถออกนอกเขตชานเมือง “จำไว้นะ คืนนี้เราสองคนไม่ได้ฆ่าใคร”

“ทำไมนายใจเย็นได้ขนาดนี้” โจวลั่วหยางพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับว่าเขาได้ทำความรู้จักตู้จิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้วตู้จิ่งในตอนนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นคนแบบนี้

ตู้จิ่งจดจ่อกับการขับรถ โจวลั่วหยางจึงพูดขึ้น “ลายนิ้วมือ รอยเท้า…นายจัดการที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังจริงๆ ทั้งยังใจเย็นจน…”

เดิมทีโจวลั่วหยางอยากจะบอกว่านายใจเย็นจนทำให้ฉันกลัวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ทว่าก็ได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป

“มีนายอยู่ข้างๆ” ตู้จิ่งพูด “ไม่ใจเย็นไม่ได้หรอก”

โจวลั่วหยางถาม “ไปเรียนมาจากไหน”

ตู้จิ่งตอบด้วยท่าทางสบายๆ “จากหลักสูตรฝึกอบรมหลักสูตรหนึ่งน่ะ เรียนได้แค่สามเดือนก็ได้งัดออกมาใช้ทันที น่าหัวเราะแล้ว”

โจวลั่วหยาง “…”

เวลานี้จู่ๆ ในรถก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตู้จิ่งทำท่าบอกโจวลั่วหยางว่าอย่าพูด ก่อนจะเปิดลำโพงบลูทูธ เสียงชายวัยกลางคนฟังดูสุขุมหนักแน่นดังมาจากปลายสาย

“เป็นยังไงบ้าง” ชายคนนั้นถาม

ตู้จิ่งบอก “ได้ของจากตู้เซฟมาแล้ว อวี๋เจี้ยนเฉียงฆ่าคนที่ไซต์ก่อสร้าง”

“เล่ามาหน่อย”

ตู้จิ่งขับรถพลางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การเล่าเป็นระเบียบและมีลำดับอย่างยิ่ง คนคนนั้นฟังได้ครึ่งหนึ่งก็ตัดบท

“ในรถมีแค่นาย?”

ตู้จิ่งตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ครับ” จากนั้นก็เล่าเรื่องต่อจนจบโดยเริ่มตั้งแต่ตอนซุ่มรออวี๋เจี้ยนเฉียง

ทางนั้นตอบกลับ “รู้แล้ว”

ตู้จิ่งเอ่ย “ไปรับของที่เก่า รบกวนช่วยจัดการเรื่องคดีฆาตกรรมด้วย พรุ่งนี้ผมจะขอลางาน”

“ลาไปทำอะไร” ปลายสายถาม “กลับไปเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของอวี๋เจี้ยนเฉียงสิ”

“นอนน่ะครับ” ตู้จิ่งบอก “ไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว”

ทางด้านนั้นไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ววางสายไป โจวลั่วหยางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ตอนนั้นเองรถก็ขับเข้าเขตเมือง ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ตีห้ายี่สิบนาที ฝนหยุดตกแล้ว ตู้จิ่งลดหน้าต่างรถลง ระหว่างขับรถก็โยนซองเอกสารที่หยิบออกมาจากตู้เซฟออกไป ซองเอกสารตกลงไปในถังขยะข้างทางใบหนึ่งอย่างแม่นยำ

“ตอนนี้ล่ะ” โจวลั่วหยางถาม

“ส่งนายกลับบ้าน” ตู้จิ่งตอบ

โจวลั่วหยางกล่าว “มาห้องฉันสิ จะได้นอนเป็นเพื่อนนายสักพัก”

ตู้จิ่งไม่ตอบ โจวลั่วหยางจึงถามอีก “นายพักที่ไหน”

“ห้องพักที่บริษัทจัดให้” ตู้จิ่งตอบไปส่งๆ

“อยู่คนเดียว?”

“มีรูมเมตน่ะ เป็นนักศึกษาชาย”

โจวลั่วหยางไม่ได้ซักไซ้ต่อ ตู้จิ่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็พูดขึ้นอีก “เหมือนนายสมัยก่อนนิดหน่อย” ว่าแล้วก็ทำท่าประกอบแล้วพูดเสริม “นิดเดียวเท่านั้น แบบนิดเดียวแค่นี้”

“ตรงไหนล่ะ”

“ตรงที่มักจะเงินไม่พอใช้ตอนปลายเดือนน่ะสิ”

 

* ร่วมผูกเงื่อนผม เป็นธรรมเนียมโบราณในคืนวันแต่งงานของชาวจีนเชื้อสายฮั่น โดยบ่าวสาวจะตัดผมปอยหนึ่งของตัวเองมาผูกเข้าไว้ด้วยกัน เป็นความหมายว่าจะครองคู่กันตลอดไป โดยจะผูกผมร่วมกับภรรยาคนแรกเท่านั้น

* เหล่าต้า เป็นคำเรียกในภาษาจีนสำหรับผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกลุ่ม ความหมายเป็นได้ตั้งแต่ ‘พี่ใหญ่’ ‘หัวหน้า’ หรือ ‘เจ้านาย’ คล้ายกับคำเรียกในภาษาไทยว่า ‘ลูกพี่’

 

บทที่ 8

ตอนเล่อเหยาเห็นพี่ชายของตัวเองพาตู้จิ่งมากินมื้อเช้าด้วยกันก็ถึงกับตกใจจนสะดุ้งโหยง

“ไปทำอะไรมา” เล่อเหยาถาม “ทำไมตัวเปื้อนขนาดนี้”

โจวลั่วหยางจึงว่า “บอกให้นายนอนไปก่อนแล้วนี่ ทำไมยังตื่นอยู่”

ตู้จิ่งวางเสื้อสูทเปื้อนโคลนลงบนพื้นข้างชั้นวางรองเท้า ก่อนจะหันไปพยักหน้าทักทายเล่อเหยา

“ฉันไม่วางใจนี่” เล่อเหยาตอบอย่างดื้อรั้น ก่อนจะหมุนล้อรถเข็นตามโจวลั่วหยางจากโถงหน้าประตูเข้าไปในห้องครัว โจวลั่วหยางเปิดตู้เย็น จากนั้นก็เปิดกระป๋องน้ำผลไม้ รินออกมาครึ่งหนึ่งแล้วส่งให้ตู้จิ่ง

ตู้จิ่งพยายามที่จะไม่ทำให้ห้องของโจวลั่วหยางเลอะเทอะ จึงถอดถุงเท้าเปรอะโคลนออกแล้วยืนเท้าเปล่าดื่มน้ำผลไม้

โจวลั่วหยางถอดเสื้อออกก่อน จากนั้นจึงเข็นรถเข็นพาน้องชายเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ

“ไม่ได้มีอะไรใช่ไหม” เล่อเหยาถามอย่างเป็นห่วง “ตอนบ่ายที่กลับมาก็เห็นพี่ดูแปลกๆ”

โจวลั่วหยางค่อยได้สติแล้วดึงม่านอาบน้ำ “ไม่มีอะไรหรอก คนนั้นคือตู้จิ่ง เป็นรูมเมตพี่สมัยเรียนมหา’ ลัย”

เล่อเหยาถาม “ที่ออกไปเมื่อวานก็คือไปเจอเขาใช่ไหม”

ตู้จิ่งเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาในสภาพเปลือยอก เขาโยนเสื้อเชิ้ตลงในตะกร้าผ้า ปลดเข็มขัดออกแล้วเริ่มถ่ายเบา

“ใช่แล้ว” ตู้จิ่งพูดขณะปลดทุกข์ “เราสองคนเตรียมจะร่วมหุ้นกันเปิดร้านของคุณปู่ของนายขึ้นมาใหม่ไงล่ะ”

เล่อเหยามีม่านอาบน้ำกั้นไว้ เดิมทีโจวลั่วหยางอยากเตือนตู้จิ่ง แต่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้ที่หอพัก ในขณะที่เขาอาบน้ำในห้องอาบน้ำ ตู้จิ่งก็มักเข้ามาทำธุระในห้องน้ำด้วยโดยไม่เคยหลบเลี่ยงเขา

เล่อเหยาบอก “วันนี้มีคนโทรมาที่…”

โจวลั่วหยางจึงว่า “คราวหน้าวางสายไปเลยก็ได้”

เล่อเหยาหลุดขำ ไม่นึกว่าพี่ชายจะเดาออกว่าเขาจะพูดอะไร ทันใดนั้นตู้จิ่งก็ผิวปากแล้วหันไปถามเล่อเหยา

“โชว์เบอร์ที่โทรเข้าหรือเปล่า”

เล่อเหยาไม่ตอบ เขายังไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดีกับเพื่อนใหม่ที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต

ตู้จิ่งพูดขึ้น “ใช้ผ้าเช็ดตัวกับมีดโกนหนวดของนายนะ”

“ใช้ไปเถอะ” โจวลั่วหยางตอบกลับ “ผืนที่เป็นสีกาแฟนะ มีแปรงสีฟันใหม่อยู่ในตู้เก็บของ ว่าแต่นายไม่อาบน้ำเหรอ”

ตู้จิ่งโกนหนวดและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาบอก “ถ้านายช่วยถูหลังให้ฉันก็จะอาบ”

โจวลั่วหยางไม่รับปาก ตู้จิ่งจึงออกจากห้องน้ำก่อนจะไปตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาที่ห้องของโจวลั่วหยาง

“พวกพี่สนิทกันมากเหรอ” เล่อเหยาถาม

“อืม” โจวลั่วหยางตอบรับ “อยู่ด้วยกันสองปีในหอพักมหาวิทยาลัย เคยคุยกันได้ทุกเรื่อง”

เล่อเหยาถามอีก “มองออกแหละ แต่สนิทกว่าฟางโจวด้วยเหรอ”

ฟางโจวคือเพื่อนสนิทของโจวลั่วหยาง

จู่ๆ โจวลั่วหยางก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้จึงหัวเราะออกมา

เล่อเหยาถามอย่างงุนงง “พี่หัวเราะอะไรอะ”

“ไม่มีอะไร สนิทยิ่งกว่าเขาอีก” เรื่องที่โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้คือเรื่องที่ฟางโจวเคยถามว่า ‘นายกับตู้จิ่งสนิทกันแค่ไหน’ ซึ่งโจวลั่วหยางตอบกลับไปแบบขำๆ ว่า ‘สนิทขนาดช่วยเขาขัดจรวดนั่นแหละ’

เล่อเหยาชะโงกหน้าออกมามองไปนอกม่านอาบน้ำ

“มีอีเมลจากโรงเรียนล่ะมั้ง” โจวลั่วหยางบอก “อีกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวพี่ค่อยตอบกลับ”

“อืม” เล่อเหยาหาวหวอด เห็นได้ชัดว่าเขาง่วงแล้ว

โจวลั่วหยางเช็ดผมให้เล่อเหยาจนแห้ง พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็อุ้มเขาออกไปที่โต๊ะอาหาร ส่วนตู้จิ่งก็เข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“ฉันอาบก่อน” โจวลั่วหยางเข้าไป “นายไปอยู่เป็นเพื่อนเล่อเหยาไป”

“อาบด้วยกันไหมล่ะ” ตู้จิ่งเงยหน้ามองฝักบัวพลางหมุนสองสามที

“อย่าซน” โจวลั่วหยางดุ

ตู้จิ่งจึงออกไปนั่งเป็นเพื่อนเล่อเหยา พอโจวลั่วหยางอาบน้ำเสร็จแล้วก็เห็นคนทั้งสองคุยกันอย่างออกรสเหมือนคราวก่อน จึงไล่ตู้จิ่งไปอาบน้ำก่อนจะค้นเสื้อยืดของตัวเองให้เขาเปลี่ยน เสื้อไซส์เล็กไปหน่อย แต่ให้เขาฝืนใส่แก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน

ก่อนมื้อเช้าตู้จิ่งรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง เขาเทยาหลายเม็ดออกมาจากกล่องยา ก่อนจะกลืนลงไปทีละเม็ดภายใต้การจ้องมองของเล่อเหยา

“ป่วยเหรอ” เล่อเหยาถาม

“อืม” ตู้จิ่งตอบโดยไม่ปิดบังเขาเช่นกัน

 

หลังจากทั้งสามคนกินมื้อเช้าเสร็จ ขณะที่โจวลั่วหยางเก็บข้าวของก็ได้ยินตู้จิ่งพูดกับเล่อเหยา

“ฉันอุ้มนายพาไปนอนแล้วกัน ห้องนายคือห้องไหน”

“ผมไปเองได้” เล่อเหยาทำท่าจะขยับตัวไปขึ้นรถเข็น

ทว่าตู้จิ่งกลับเข้ามาอุ้มเขา เล่อเหยาเลยต้องบอกว่า “ขอบคุณครับ”

โจวลั่วหยางเก็บขยะ ได้ยินตู้จิ่งพูดตอนที่อุ้มเล่อเหยาเดินไปว่า “น้องชายของลั่วหยางก็คือน้องชายของฉันด้วย ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

เขาหยุดนิ่งอยู่ในห้องครัว โดยเงียบงันอยู่พักใหญ่พลางบีบสันจมูกตัวเองเบาๆ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าจวนจะไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ตอนเข้าไปในห้องตู้จิ่งก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว เขามองดูโจวลั่วหยางหยิบของในลิ้นชักออกมา มันเป็นรูปคู่ของทั้งสองคนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย

โจวลั่วหยางเดินมาหาแล้วเตะปิดลิ้นชักจนเกิดเสียงดังทึบๆ ชั่วพริบตานั้นตู้จิ่งชักมือออกทันทีจึงไม่ถูกหนีบ

ตู้จิ่ง “…”

โจวลั่วหยางมองดูตู้จิ่ง อีกฝ่ายเขยิบเว้นที่ไว้ให้ ก่อนจะทำท่าบอกให้เขาเข้าไปนอนด้านใน

“เข้าไปนอนสิ” โจวลั่วหยางบอก

“นายสินอนด้านใน” ตู้จิ่งตอบกลับ “เมื่อก่อนก็นอนอย่างนี้ที่หอพัก อย่าดื้อ”

โจวลั่วหยางจำต้องปีนข้ามตัวของตู้จิ่งไป จากนั้นตู้จิ่งก็ยื่นแขนมาบอกโจวลั่วหยางเป็นนัยๆ

“ไม่ได้” โจวลั่วหยางรู้ว่านี่มีความหมายว่าเขาจะหนุนแขนหรือไม่ เขาตอบกลับไป “นอนเถอะ นายคงเหนื่อยมาก”

เสียงของตู้จิ่งฟังดูเหนื่อยล้า อีกฝ่ายตอบกลับว่า “ใช่สิ สามปีมานี้ไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักครั้ง”

โจวลั่วหยางปัดหน้าจอมือถือพลางตอบกลับว่า “ให้รูมเมตน้อยๆ ของนายนอนเป็นเพื่อนสิ”

ทว่าตู้จิ่งไม่ได้ยินคำพูดนี้เพราะหลับไปแล้ว

กลับกลายโจวลั่วหยางเสียเองที่นอนไม่หลับ แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้นอนมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน แต่การปรากฏตัวอีกครั้งของตู้จิ่ง รวมทั้งความลับมากมายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่ายนั้นราวกับบดขยี้โลกทั้งใบของเขาในชั่วพริบตาเหมือนพายุฝนอันบ้าคลั่ง

เช่นเดียวกับพายุไต้ฝุ่นที่พัดมาในวันนั้น…วันที่พวกเขาได้พบกัน

เขาทำอะไรอยู่กันแน่ ตำรวจสากล? นักสืบ? สายลับ? หรือสันติบาลพิเศษขององค์กรระดับประเทศ? สามปีนี้เขาไปที่ไหนมากันแน่ แล้วเกิดอะไรขึ้น

โจวลั่วหยางยังจำได้ว่าพวกเขาเคยคุยกันถึงอนาคตหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยว่าอยากจะทำอะไร นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ได้คุยและมีแค่ครั้งนั้นเท่านั้น

คำตอบของตู้จิ่งคือ ‘ยังไม่ได้คิดเลย นายล่ะอยากทำอะไร’

‘ฉันไม่รู้’

ในวันนั้นโจวลั่วหยางคุมตัวตู้จิ่งให้ไปเข้าเรียนวิชาจิตวิทยา ซึ่งหัวข้อที่เรียนนั้นเกี่ยวกับการตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเองในชีวิต

วันนั้นฝนตก ด้านนอกของกระจกบานยาวจรดพื้นของห้องเรียนอเนกประสงค์ขนาดใหญ่มีน้ำฝนไหลคดเคี้ยวลงมาช้าๆ ก่อนจะรวมตัวเป็นสายน้ำตัดสลับกัน เหมือนวงโคจรของโชคชะตาระหว่างคนสองคนท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวเหยียด ซึ่งบางครั้งก็ไหลมารวมกันเป็นสายเดียว แต่เมื่อพบเจอสิ่งกีดขวางก็กลับแยกกันไปคนละทิศละทาง

เหมือนวันฝนตกที่ได้พบตู้จิ่งอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี โจวลั่วหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองในอนาคตจะต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียบิดาและการที่น้องชายต้องมาเป็นอัมพาตครึ่งท่อนติดต่อกัน เรียกได้ว่าชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นฟ้าคว่ำผืนดินในชั่วข้ามคืน

‘ปู่ของฉันมีร้านอยู่ร้านหนึ่ง’ โจวลั่วหยางพูดขึ้น ‘ปู่อยากให้ฉันรับช่วงต่อร้านนั้นมาตลอด แต่ฉันไม่อยากเป็นเถ้าแก่’

ตู้จิ่งถาม ‘ร้านอะไร’

‘ร้านนาฬิกาโบราณ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘แต่ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมาย ฉันอาจจะกลับไปเป็นเถ้าแก่ร้านก็ได้ ยังไงซะคนเราก็ต้องมีงานทำ’

ตู้จิ่งแทบไม่ได้พูดเรื่องของตัวเองเลย ซึ่งโจวลั่วหยางเองก็ไม่ถาม พวกเขาเหมือนรูมเมตธรรมดาส่วนใหญ่ นัดกันไปกินมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นที่โรงอาหาร นั่งเรียนวิชาพื้นฐานด้วยกัน ตกกลางคืนก็กลับไปทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ฟังเพลง หรือไม่ก็อ่านหนังสือสักพัก พอโจวลั่วหยางง่วงนอนเมื่อไหร่ก็จะหันไปถามความเห็นจากตู้จิ่ง และทุกครั้งตู้จิ่งก็จะพยักหน้าแล้วปิดไฟเข้านอนโดยไม่เคยขัดใจ

การอยู่กับตู้จิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เข้ากันได้ดีจริงๆ ตอนแรกโจวลั่วหยางแอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบขรึมไปบ้าง แต่การได้พบกับรูมเมตคนนี้ช่างเป็นการจัดการที่ชาญฉลาดของโชคชะตาเสียจริง พวกเขาไม่ชอบโต้รุ่ง ไม่ทะเลาะกันเรื่องทำความสะอาด ไม่ส่งเสียงรบกวนเวลาอีกฝ่ายเข้านอน สามารถเข้าใจและปรับตัวเข้าหากันได้ในกิจวัตรประจำวันของกันและกัน และต่างก็เป็นนักศึกษาชายที่ค่อนข้างรักความสะอาด

กระทั่งม่านกั้นเตียงนอนก็ไม่ต้องใช้ อยากจะเปิดแอร์ก็เปิด อีกทั้งยังไม่ขัดแย้งกันด้วยเรื่องของค่าน้ำค่าไฟ

ไม่มีใครเล่นเกมส่งเสียงดังเอะอะ ทั้งคู่ไม่มีแฟน ไม่ได้การวิดีโอคอลล์หรือคุยโทรศัพท์ยาวนานไม่รู้จบ เวลาว่างจะอ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง หรือไม่ก็ดูภาพยนตร์

นี่คือรูมเมตที่เคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอย่างที่สุดซึ่งโจวลั่วหยางได้พบเจอ อีกทั้งตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเลยสักนิด เหมือนว่าทั้งสองต่างก็มีโลกใบเล็กๆ เป็นของตัวเองในห้องพัก

โจวลั่วหยางรู้ว่าตู้จิ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นนิสัย พื้นเพทางบ้าน หรือรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขา

ทุกคาบเรียนวิชาเฉพาะทางตู้จิ่งมักนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในแถวสุดท้ายของห้องเรียนตามลำพัง เขาพยายามรักษาระยะห่างจากเพื่อนร่วมห้องอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งไม่เคยไปร่วมกินอาหารด้วยนอกจากจะมีเรื่องจำเป็น และน้อยครั้งที่เขาจะพูดคุยกับใคร

เขาไม่ค่อยชอบติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งโจวลั่วหยางเข้าใจนิสัยเช่นนี้ได้ บางคนมีนิยามของความเป็นเพื่อนในขอบเขตที่เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก รองรับคนได้ไม่มาก มีแต่คนที่ถูกยอมรับเท่านั้นถึงจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

เพียงแค่สามวันโจวลั่วหยางก็ยอมรับตู้จิ่งแล้ว แต่ตู้จิ่งกลับใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะยอมรับโจวลั่วหยาง

ที่ผ่านมาโจวลั่วหยางรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ค่อยชอบการที่จะต้องติดต่อพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตาเหมือนกัน เพราะการทำอย่างนั้นมันเหน็ดเหนื่อยมาก ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตทุกคนล้วนบอกเขาว่าการเข้าสังคมเป็นเรื่องจำเป็น และชีวิตที่ไร้ซึ่งการเข้าสังคมนั้นเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นี่จึงทำให้เขาฝืนทำตัวมีชีวิตชีวาอยู่หลายปี แต่หลังจากได้รู้จักกับตู้จิ่ง เขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่าถึงแม้จะลดการมีปฏิสัมพันธ์ลงก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้ กระทั่งทำให้ตัวเองเป็นอิสระขึ้นมาระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงต้องไม่ยินดีที่จะทำอย่างนั้นล่ะ

ดังนั้นเขาจึงเลียนแบบตู้จิ่ง พยายามลดขอบเขตวงสังคม แล้วเอาพลังงานไปใช้กับเรื่องที่ตัวเองสนใจจริงๆ เท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากทีเดียว

‘ฉันอยากทำงานที่ท้าทายหน่อย’ ตู้จิ่งบอก

โจวลั่วหยางถาม ‘เช่นอะไรล่ะ ไปสำรวจดาวอังคาร?’

ตู้จิ่งไม่ตอบ บนแท่นบรรยายศาสตราจารย์กำลังพูดถึงเรื่องของความรักและครอบครัว โดยพยายามถ่ายทอดมุมมองความรักและมุมมองชีวิตที่ ‘ถูกต้อง’ ให้กับเหล่านักศึกษา

‘นายเคยมีแฟนผู้หญิงไหม’ โจวลั่วหยางใคร่รู้

‘ไม่เคยหรอก’ ตู้จิ่งตื่นจากภวังค์ เขาถามกลับ ‘นายล่ะ’

พวกเขามักคุยกันอย่างมีมารยาท มีมารยาทมากจนเกือบจะเรียกได้ว่ามีพิธีรีตอง แต่โจวลั่วหยางรู้ว่านี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของตู้จิ่ง

‘มีสิ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรหรอกนะ’

ตู้จิ่งพยักหน้า โจวลั่วหยางยิ้มแล้วกล่าว ‘ทุกคนบอกว่าฉันเหมือนระบบปรับอากาศจากส่วนกลาง*

โจวลั่วหยางเคยมีความรักกับแฟนผู้หญิงมาไม่น้อย เขาปฏิบัติกับผู้คนอย่างอบอุ่นตั้งแต่เด็กและชอบดูแลคนอื่นจึงมีเพื่อนสมัยมัธยมเยอะ และด้วยสาเหตุนี้จึงก่อให้เกิดเสียงต่อว่าตามมามากมาย

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางพูดคุยกับตู้จิ่งเรื่องความรัก บางครั้งโจวลั่วหยางก็นึกสงสัยว่าตู้จิ่งไม่เคยดูหนังโป๊บ้างเลยหรือ อย่างน้อยในช่วงเดือนกว่าๆ ที่อยู่ด้วยกันโจวลั่วหยางก็ไม่เคยได้ยินตู้จิ่งเปิดดูคลิปวิดีโออะไรทำนองนี้มาก่อน แน่นอนว่าถึงแม้ในโน้ตบุ๊กของเขาเองจะมีคลิปวิดีโอไม่มาก แต่นักศึกษาชายก็ต้องมีอยู่บ้างถึงจะถูก

‘นายดูอันนี้ไหม’ โจวลั่วหยางแบ่งให้ตู้จิ่งดู พอตู้จิ่งดูตามมารยาทสักพักแล้วก็พยักหน้า

โจวลั่วหยาง ‘…???’

ปฏิกิริยาอย่างนี้ไม่เหมือนกับที่คนอื่นๆ เป็นกันอย่างเห็นได้ชัด

‘ให้ฉันส่งให้ไหม’ โจวลั่วหยางหยั่งเชิง

‘เอาสิ’ ตู้จิ่งตอบ

‘นาย…’ โจวลั่วหยางเหลือบมองตรงนั้นของตู้จิ่ง แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร ‘ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ’

‘กำลังเรียนอยู่นะ’ ตู้จิ่งเตือน ‘นายอยากจะทำอะไรตรงหลังห้องงั้นเหรอ ให้ฉันช่วยบังไหม’

โจวลั่วหยางพลันทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

 

หลังเลิกเรียนพวกเขากินมื้อเที่ยงกันในโรงอาหารของอาจารย์ โรงอาหารเล็กๆ แห่งนี้อยู่ใกล้กับหอพักและไม่ค่อยมีนักศึกษามาใช้บริการ โจวลั่วหยางเดินไปเอาอาหารแล้วกลับมาพร้อมกับขวดน้ำ

สองสามวันมานี้ตู้จิ่งดูอ่อนเพลีย ไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไหร่ ตอนที่นั่งรอโจวลั่วหยางก็ไม่รู้ว่าเขาใจลอยไปถึงไหนแล้ว

‘วันนี้นายยังไม่ได้กินยาใช่ไหม’ โจวลั่วหยางเตือน

ตู้จิ่งนิ่งอึ้ง เมื่อเช้าก่อนออกจากห้องมาโจวลั่วหยางก็เตือนแล้วแต่เขาดันลืม พอเวลาผ่านไปนานเข้า บางครั้งโจวลั่วหยางก็จะคอยดูให้เขากินยาตอนเช้า แต่ไม่เคยถามว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร และตู้จิ่งเองก็ไม่เคยบอก

‘ไม่ได้เอากล่องยามาด้วย’ ตู้จิ่งพูดละล่ำละลัก ‘กลับไปค่อยว่ากัน’

โจวลั่วหยางหยิบกล่องยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาหยิบมาให้ตู้จิ่งตั้งแต่ก่อนออกจากห้องเมื่อเช้าแล้วแต่ลืมไปชั่วขณะ ตอนนี้ถึงค่อยมานึกขึ้นได้

ตู้จิ่งพยักหน้าแล้วกินยา จากนั้นทั้งสองก็กินข้าวกันเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

‘นายป่วยเป็นอะไร’ ในที่สุดโจวลั่วหยางก็ถามออกมา

ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางทีหนึ่ง โจวลั่วหยางจึงรีบอธิบายทันที ‘ฉันไม่ได้สอดรู้สอดเห็นหรอก เพียงแต่รู้สึกว่า…อืม ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราสองคนอยู่ด้วยกันทุกวัน เกิดมีเรื่องต้องไปหาหมอแล้วถูกถามขึ้นมา ฉันจะได้ช่วยตอบให้ ถ้านายเชื่อใจก็บอกฉันได้ แบบนี้จะได้ช่วยๆ กันรับมือถ้ามีอะไรไง’

อันที่จริงสิ่งที่โจวลั่วหยางพูดมาก็เป็นความจริง เขารู้ว่าตู้จิ่งไม่อยากบอก แต่ถ้ารูมเมตเกิดป่วยเป็นโรคหัวใจหรือมีประวัติเป็นโรคทางพันธุกรรมอะไร ตอนที่มีอาการเขาจำเป็นต้องรีบพาตู้จิ่งไปหาหมอ ถ้าคนป่วยเกิดหมดสติ แล้วตัวเขาที่เป็นรูมเมตถูกถามอะไรแต่ก็ไม่รู้สักอย่าง แบบนั้นคงไม่ได้เรื่องแน่

‘คงไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรแบบที่นายคิดอยู่หรอก’ ตู้จิ่งตอบเช่นนี้

ถึงโจวลั่วหยางจะไม่วางใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับรู้ ‘งั้นก็ดีแล้ว’

 

แต่หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ไม่คาดคิดเหตุการณ์หนึ่งก็ได้เปิดเผยความลับของตู้จิ่งออกมาอย่างหมดเปลือกต่อหน้าโจวลั่วหยางโดยไม่ทันตั้งตัว…เหตุเพราะตู้จิ่งยังใช้แอปเปิ้ลไอดีของโจวลั่วหยางอยู่

เมื่อเกือบสองเดือนก่อนโจวลั่วหยางบอกบัญชีของตัวเองกับตู้จิ่ง ตู้จิ่งจึงใช้บัญชีนี้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นกลับลืมออกจากระบบ แล้วใช้อุปกรณ์อื่นโดยใช้บัญชีเดียวกัน และใช้สัญญาณไวไฟสัญญาณเดียวกัน จึงเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าเป็นคนคนเดียวกัน พอใช้มือถือเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์ซาฟารีแล้วเปลี่ยนมาใช้โน้ตบุ๊ก หน้าเว็บที่กำลังใช้อยู่ก็จะเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

วันนั้นตู้จิ่งไปเรียน ส่วนมือถือก็ชาร์จแบตฯ ไว้ที่ห้องพัก ขณะที่โจวลั่วหยางกำลังจะเสิร์ชหาข้อมูล บนหน้าจอก็พลันมีหน้าเพจเพจหนึ่งเด้งขึ้นมา โดยหน้าเพจที่ว่านั้นคือแอ็กหลุม* ของเวยป๋อ**

โจวลั่วหยางยังคิดว่าเป็นหน้าเพจของตัวเอง จึงคลิกดู และภาพแรกที่เห็นก็คือ

 

[นับวันยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะฆ่าตัวตายในหอพักแล้วจะทำให้เขาเดือดร้อน คงใช้วิธีแก้ไขปัญหาใหญ่ปัญหาเดียวเพื่อให้อีกร้อยปัญหายุติไปแล้ว ไม่รู้จะทนไปได้อีกนานแค่ไหน]

 

โจวลั่วหยาง ‘…!!!’

โจวลั่วหยางตกใจแทบแย่ นี่มันเวยป๋อของใคร เมื่อคืนฉันละเมอลุกขึ้นมาโพสต์เวยป๋อเหรอ

เวลาโพสต์คือกลางดึกเมื่อวาน…ตีสี่สี่สิบเจ็ดนาที

สองนิ้วของโจวลั่วหยางแตะลงบนทัชแพด พอเลื่อนลงเบาๆ ก็เห็นโพสต์ที่สอง

 

[บางครั้งก็เหมือนราชาของโลก บางครั้งกลับเหมือนยาจก วันนี้คุยกับเขาไม่ถึงสิบประโยค มองออกเลยว่าเขาไม่ค่อยชอบที่ถูกฉันรบกวน อยากจะอ่านหนังสือเงียบๆ แค่นั้น]

 

เวลาโพสต์ของโพสต์ที่สองคือเมื่อวานซืนตอนตีสามกว่าๆ

โจวลั่วหยาง ‘…’

 

โพสต์ที่สาม [วันนี้ไปดูหนัง หนังห่วยมาก แต่ป็อปคอร์นรสชาติพอใช้ได้ ทำให้กำจัดความคิดในหัวไปได้หลายเรื่อง หนังเรื่องนี้ตรรกะไม่สมเหตุสมผลมาก เขาไม่รู้สึกเหรอ หรือว่ารู้สึกแต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวจะทำให้หมดสนุก]

 

โพสต์ที่สี่ [วุ่นวายใจชะมัด กระสับกระส่ายไปหมด คงเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ตั้งแต่นี้ไปต้องเริ่มควบคุมตัวเองให้ได้]

[ใช้เวลาแค่หนึ่งปีก็เรียนจนจบเนื้อหา แต่ยังต้องตั้งใจเข้าเรียนทุกวัน น่าเบื่อโคตร แต่ถ้าไม่เข้าเรียนแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ]

[อนาคต? ไม่มีหรอกอนาคต ไม่มีอดีตด้วย มีความรักก็รังแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง คนเราต้องมีงานทำ พูดถูกนะ บางทีเขาอาจไม่เข้าใจไปตลอดกาล นอนไม่หลับมาเจ็ดวัน นอนไม่หลับทั้งคืน นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ…ควบคุมตัวเองหน่อย ห้ามเปิดไฟรบกวนจนเขาตื่น]

โจวลั่วหยางเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ๊กก่อนจะหันไปมองที่โต๊ะเขียนหนังสือของตู้จิ่ง ดวงตาที่ตกตะลึงและสับสนของเขาสะท้อนอยู่ในกระจกแต่งตัวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง มือถือของตู้จิ่งวางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบสงบ โจวลั่วหยางเข้าใจแล้ว

นี่คือแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่ง

 

* ระบบปรับอากาศจากส่วนกลาง เป็นคำอุปมา หมายถึงคนที่ชอบหว่านเสน่ห์ ให้ความรักและความอบอุ่นกับเพศตรงข้ามพร้อมกันหลายๆ คน

* แอ็กหลุม เป็นบัญชีลับหรือบัญชีสำรองที่ลงทะเบียนเพิ่มเติมจากบัญชีหลักของสังคมออนไลน์ต่างๆ ส่วนมากมักเป็นบัญชีที่ไม่ระบุตัวตน

** เวยป๋อ เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นแพลตฟอร์มที่คนจีนนิยมเล่น รูปแบบการใช้งานคล้ายเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: