ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 8

ตอนเล่อเหยาเห็นพี่ชายของตัวเองพาตู้จิ่งมากินมื้อเช้าด้วยกันก็ถึงกับตกใจจนสะดุ้งโหยง

“ไปทำอะไรมา” เล่อเหยาถาม “ทำไมตัวเปื้อนขนาดนี้”

โจวลั่วหยางจึงว่า “บอกให้นายนอนไปก่อนแล้วนี่ ทำไมยังตื่นอยู่”

ตู้จิ่งวางเสื้อสูทเปื้อนโคลนลงบนพื้นข้างชั้นวางรองเท้า ก่อนจะหันไปพยักหน้าทักทายเล่อเหยา

“ฉันไม่วางใจนี่” เล่อเหยาตอบอย่างดื้อรั้น ก่อนจะหมุนล้อรถเข็นตามโจวลั่วหยางจากโถงหน้าประตูเข้าไปในห้องครัว โจวลั่วหยางเปิดตู้เย็น จากนั้นก็เปิดกระป๋องน้ำผลไม้ รินออกมาครึ่งหนึ่งแล้วส่งให้ตู้จิ่ง

ตู้จิ่งพยายามที่จะไม่ทำให้ห้องของโจวลั่วหยางเลอะเทอะ จึงถอดถุงเท้าเปรอะโคลนออกแล้วยืนเท้าเปล่าดื่มน้ำผลไม้

โจวลั่วหยางถอดเสื้อออกก่อน จากนั้นจึงเข็นรถเข็นพาน้องชายเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ

“ไม่ได้มีอะไรใช่ไหม” เล่อเหยาถามอย่างเป็นห่วง “ตอนบ่ายที่กลับมาก็เห็นพี่ดูแปลกๆ”

โจวลั่วหยางค่อยได้สติแล้วดึงม่านอาบน้ำ “ไม่มีอะไรหรอก คนนั้นคือตู้จิ่ง เป็นรูมเมตพี่สมัยเรียนมหา’ ลัย”

เล่อเหยาถาม “ที่ออกไปเมื่อวานก็คือไปเจอเขาใช่ไหม”

ตู้จิ่งเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาในสภาพเปลือยอก เขาโยนเสื้อเชิ้ตลงในตะกร้าผ้า ปลดเข็มขัดออกแล้วเริ่มถ่ายเบา

“ใช่แล้ว” ตู้จิ่งพูดขณะปลดทุกข์ “เราสองคนเตรียมจะร่วมหุ้นกันเปิดร้านของคุณปู่ของนายขึ้นมาใหม่ไงล่ะ”

เล่อเหยามีม่านอาบน้ำกั้นไว้ เดิมทีโจวลั่วหยางอยากเตือนตู้จิ่ง แต่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้ที่หอพัก ในขณะที่เขาอาบน้ำในห้องอาบน้ำ ตู้จิ่งก็มักเข้ามาทำธุระในห้องน้ำด้วยโดยไม่เคยหลบเลี่ยงเขา

เล่อเหยาบอก “วันนี้มีคนโทรมาที่…”

โจวลั่วหยางจึงว่า “คราวหน้าวางสายไปเลยก็ได้”

เล่อเหยาหลุดขำ ไม่นึกว่าพี่ชายจะเดาออกว่าเขาจะพูดอะไร ทันใดนั้นตู้จิ่งก็ผิวปากแล้วหันไปถามเล่อเหยา

“โชว์เบอร์ที่โทรเข้าหรือเปล่า”

เล่อเหยาไม่ตอบ เขายังไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดีกับเพื่อนใหม่ที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต

ตู้จิ่งพูดขึ้น “ใช้ผ้าเช็ดตัวกับมีดโกนหนวดของนายนะ”

“ใช้ไปเถอะ” โจวลั่วหยางตอบกลับ “ผืนที่เป็นสีกาแฟนะ มีแปรงสีฟันใหม่อยู่ในตู้เก็บของ ว่าแต่นายไม่อาบน้ำเหรอ”

ตู้จิ่งโกนหนวดและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาบอก “ถ้านายช่วยถูหลังให้ฉันก็จะอาบ”

โจวลั่วหยางไม่รับปาก ตู้จิ่งจึงออกจากห้องน้ำก่อนจะไปตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาที่ห้องของโจวลั่วหยาง

“พวกพี่สนิทกันมากเหรอ” เล่อเหยาถาม

“อืม” โจวลั่วหยางตอบรับ “อยู่ด้วยกันสองปีในหอพักมหาวิทยาลัย เคยคุยกันได้ทุกเรื่อง”

เล่อเหยาถามอีก “มองออกแหละ แต่สนิทกว่าฟางโจวด้วยเหรอ”

ฟางโจวคือเพื่อนสนิทของโจวลั่วหยาง

จู่ๆ โจวลั่วหยางก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้จึงหัวเราะออกมา

เล่อเหยาถามอย่างงุนงง “พี่หัวเราะอะไรอะ”

“ไม่มีอะไร สนิทยิ่งกว่าเขาอีก” เรื่องที่โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้คือเรื่องที่ฟางโจวเคยถามว่า ‘นายกับตู้จิ่งสนิทกันแค่ไหน’ ซึ่งโจวลั่วหยางตอบกลับไปแบบขำๆ ว่า ‘สนิทขนาดช่วยเขาขัดจรวดนั่นแหละ’

เล่อเหยาชะโงกหน้าออกมามองไปนอกม่านอาบน้ำ

“มีอีเมลจากโรงเรียนล่ะมั้ง” โจวลั่วหยางบอก “อีกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวพี่ค่อยตอบกลับ”

“อืม” เล่อเหยาหาวหวอด เห็นได้ชัดว่าเขาง่วงแล้ว

โจวลั่วหยางเช็ดผมให้เล่อเหยาจนแห้ง พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็อุ้มเขาออกไปที่โต๊ะอาหาร ส่วนตู้จิ่งก็เข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“ฉันอาบก่อน” โจวลั่วหยางเข้าไป “นายไปอยู่เป็นเพื่อนเล่อเหยาไป”

“อาบด้วยกันไหมล่ะ” ตู้จิ่งเงยหน้ามองฝักบัวพลางหมุนสองสามที

“อย่าซน” โจวลั่วหยางดุ

ตู้จิ่งจึงออกไปนั่งเป็นเพื่อนเล่อเหยา พอโจวลั่วหยางอาบน้ำเสร็จแล้วก็เห็นคนทั้งสองคุยกันอย่างออกรสเหมือนคราวก่อน จึงไล่ตู้จิ่งไปอาบน้ำก่อนจะค้นเสื้อยืดของตัวเองให้เขาเปลี่ยน เสื้อไซส์เล็กไปหน่อย แต่ให้เขาฝืนใส่แก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน

ก่อนมื้อเช้าตู้จิ่งรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง เขาเทยาหลายเม็ดออกมาจากกล่องยา ก่อนจะกลืนลงไปทีละเม็ดภายใต้การจ้องมองของเล่อเหยา

“ป่วยเหรอ” เล่อเหยาถาม

“อืม” ตู้จิ่งตอบโดยไม่ปิดบังเขาเช่นกัน

 

หลังจากทั้งสามคนกินมื้อเช้าเสร็จ ขณะที่โจวลั่วหยางเก็บข้าวของก็ได้ยินตู้จิ่งพูดกับเล่อเหยา

“ฉันอุ้มนายพาไปนอนแล้วกัน ห้องนายคือห้องไหน”

“ผมไปเองได้” เล่อเหยาทำท่าจะขยับตัวไปขึ้นรถเข็น

ทว่าตู้จิ่งกลับเข้ามาอุ้มเขา เล่อเหยาเลยต้องบอกว่า “ขอบคุณครับ”

โจวลั่วหยางเก็บขยะ ได้ยินตู้จิ่งพูดตอนที่อุ้มเล่อเหยาเดินไปว่า “น้องชายของลั่วหยางก็คือน้องชายของฉันด้วย ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

เขาหยุดนิ่งอยู่ในห้องครัว โดยเงียบงันอยู่พักใหญ่พลางบีบสันจมูกตัวเองเบาๆ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าจวนจะไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

ตอนเข้าไปในห้องตู้จิ่งก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว เขามองดูโจวลั่วหยางหยิบของในลิ้นชักออกมา มันเป็นรูปคู่ของทั้งสองคนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย

โจวลั่วหยางเดินมาหาแล้วเตะปิดลิ้นชักจนเกิดเสียงดังทึบๆ ชั่วพริบตานั้นตู้จิ่งชักมือออกทันทีจึงไม่ถูกหนีบ

ตู้จิ่ง “…”

โจวลั่วหยางมองดูตู้จิ่ง อีกฝ่ายเขยิบเว้นที่ไว้ให้ ก่อนจะทำท่าบอกให้เขาเข้าไปนอนด้านใน

“เข้าไปนอนสิ” โจวลั่วหยางบอก

“นายสินอนด้านใน” ตู้จิ่งตอบกลับ “เมื่อก่อนก็นอนอย่างนี้ที่หอพัก อย่าดื้อ”

โจวลั่วหยางจำต้องปีนข้ามตัวของตู้จิ่งไป จากนั้นตู้จิ่งก็ยื่นแขนมาบอกโจวลั่วหยางเป็นนัยๆ

“ไม่ได้” โจวลั่วหยางรู้ว่านี่มีความหมายว่าเขาจะหนุนแขนหรือไม่ เขาตอบกลับไป “นอนเถอะ นายคงเหนื่อยมาก”

เสียงของตู้จิ่งฟังดูเหนื่อยล้า อีกฝ่ายตอบกลับว่า “ใช่สิ สามปีมานี้ไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักครั้ง”

โจวลั่วหยางปัดหน้าจอมือถือพลางตอบกลับว่า “ให้รูมเมตน้อยๆ ของนายนอนเป็นเพื่อนสิ”

ทว่าตู้จิ่งไม่ได้ยินคำพูดนี้เพราะหลับไปแล้ว

กลับกลายโจวลั่วหยางเสียเองที่นอนไม่หลับ แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้นอนมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน แต่การปรากฏตัวอีกครั้งของตู้จิ่ง รวมทั้งความลับมากมายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่ายนั้นราวกับบดขยี้โลกทั้งใบของเขาในชั่วพริบตาเหมือนพายุฝนอันบ้าคลั่ง

เช่นเดียวกับพายุไต้ฝุ่นที่พัดมาในวันนั้น…วันที่พวกเขาได้พบกัน

เขาทำอะไรอยู่กันแน่ ตำรวจสากล? นักสืบ? สายลับ? หรือสันติบาลพิเศษขององค์กรระดับประเทศ? สามปีนี้เขาไปที่ไหนมากันแน่ แล้วเกิดอะไรขึ้น

โจวลั่วหยางยังจำได้ว่าพวกเขาเคยคุยกันถึงอนาคตหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยว่าอยากจะทำอะไร นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ได้คุยและมีแค่ครั้งนั้นเท่านั้น

คำตอบของตู้จิ่งคือ ‘ยังไม่ได้คิดเลย นายล่ะอยากทำอะไร’

‘ฉันไม่รู้’

ในวันนั้นโจวลั่วหยางคุมตัวตู้จิ่งให้ไปเข้าเรียนวิชาจิตวิทยา ซึ่งหัวข้อที่เรียนนั้นเกี่ยวกับการตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเองในชีวิต

วันนั้นฝนตก ด้านนอกของกระจกบานยาวจรดพื้นของห้องเรียนอเนกประสงค์ขนาดใหญ่มีน้ำฝนไหลคดเคี้ยวลงมาช้าๆ ก่อนจะรวมตัวเป็นสายน้ำตัดสลับกัน เหมือนวงโคจรของโชคชะตาระหว่างคนสองคนท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวเหยียด ซึ่งบางครั้งก็ไหลมารวมกันเป็นสายเดียว แต่เมื่อพบเจอสิ่งกีดขวางก็กลับแยกกันไปคนละทิศละทาง

เหมือนวันฝนตกที่ได้พบตู้จิ่งอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี โจวลั่วหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองในอนาคตจะต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียบิดาและการที่น้องชายต้องมาเป็นอัมพาตครึ่งท่อนติดต่อกัน เรียกได้ว่าชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นฟ้าคว่ำผืนดินในชั่วข้ามคืน

‘ปู่ของฉันมีร้านอยู่ร้านหนึ่ง’ โจวลั่วหยางพูดขึ้น ‘ปู่อยากให้ฉันรับช่วงต่อร้านนั้นมาตลอด แต่ฉันไม่อยากเป็นเถ้าแก่’

ตู้จิ่งถาม ‘ร้านอะไร’

‘ร้านนาฬิกาโบราณ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘แต่ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมาย ฉันอาจจะกลับไปเป็นเถ้าแก่ร้านก็ได้ ยังไงซะคนเราก็ต้องมีงานทำ’

ตู้จิ่งแทบไม่ได้พูดเรื่องของตัวเองเลย ซึ่งโจวลั่วหยางเองก็ไม่ถาม พวกเขาเหมือนรูมเมตธรรมดาส่วนใหญ่ นัดกันไปกินมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นที่โรงอาหาร นั่งเรียนวิชาพื้นฐานด้วยกัน ตกกลางคืนก็กลับไปทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ฟังเพลง หรือไม่ก็อ่านหนังสือสักพัก พอโจวลั่วหยางง่วงนอนเมื่อไหร่ก็จะหันไปถามความเห็นจากตู้จิ่ง และทุกครั้งตู้จิ่งก็จะพยักหน้าแล้วปิดไฟเข้านอนโดยไม่เคยขัดใจ

การอยู่กับตู้จิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เข้ากันได้ดีจริงๆ ตอนแรกโจวลั่วหยางแอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบขรึมไปบ้าง แต่การได้พบกับรูมเมตคนนี้ช่างเป็นการจัดการที่ชาญฉลาดของโชคชะตาเสียจริง พวกเขาไม่ชอบโต้รุ่ง ไม่ทะเลาะกันเรื่องทำความสะอาด ไม่ส่งเสียงรบกวนเวลาอีกฝ่ายเข้านอน สามารถเข้าใจและปรับตัวเข้าหากันได้ในกิจวัตรประจำวันของกันและกัน และต่างก็เป็นนักศึกษาชายที่ค่อนข้างรักความสะอาด

กระทั่งม่านกั้นเตียงนอนก็ไม่ต้องใช้ อยากจะเปิดแอร์ก็เปิด อีกทั้งยังไม่ขัดแย้งกันด้วยเรื่องของค่าน้ำค่าไฟ

ไม่มีใครเล่นเกมส่งเสียงดังเอะอะ ทั้งคู่ไม่มีแฟน ไม่ได้การวิดีโอคอลล์หรือคุยโทรศัพท์ยาวนานไม่รู้จบ เวลาว่างจะอ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง หรือไม่ก็ดูภาพยนตร์

นี่คือรูมเมตที่เคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอย่างที่สุดซึ่งโจวลั่วหยางได้พบเจอ อีกทั้งตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเลยสักนิด เหมือนว่าทั้งสองต่างก็มีโลกใบเล็กๆ เป็นของตัวเองในห้องพัก

โจวลั่วหยางรู้ว่าตู้จิ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นนิสัย พื้นเพทางบ้าน หรือรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขา

ทุกคาบเรียนวิชาเฉพาะทางตู้จิ่งมักนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในแถวสุดท้ายของห้องเรียนตามลำพัง เขาพยายามรักษาระยะห่างจากเพื่อนร่วมห้องอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งไม่เคยไปร่วมกินอาหารด้วยนอกจากจะมีเรื่องจำเป็น และน้อยครั้งที่เขาจะพูดคุยกับใคร

เขาไม่ค่อยชอบติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งโจวลั่วหยางเข้าใจนิสัยเช่นนี้ได้ บางคนมีนิยามของความเป็นเพื่อนในขอบเขตที่เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก รองรับคนได้ไม่มาก มีแต่คนที่ถูกยอมรับเท่านั้นถึงจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

เพียงแค่สามวันโจวลั่วหยางก็ยอมรับตู้จิ่งแล้ว แต่ตู้จิ่งกลับใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะยอมรับโจวลั่วหยาง

ที่ผ่านมาโจวลั่วหยางรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ค่อยชอบการที่จะต้องติดต่อพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตาเหมือนกัน เพราะการทำอย่างนั้นมันเหน็ดเหนื่อยมาก ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตทุกคนล้วนบอกเขาว่าการเข้าสังคมเป็นเรื่องจำเป็น และชีวิตที่ไร้ซึ่งการเข้าสังคมนั้นเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นี่จึงทำให้เขาฝืนทำตัวมีชีวิตชีวาอยู่หลายปี แต่หลังจากได้รู้จักกับตู้จิ่ง เขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่าถึงแม้จะลดการมีปฏิสัมพันธ์ลงก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้ กระทั่งทำให้ตัวเองเป็นอิสระขึ้นมาระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงต้องไม่ยินดีที่จะทำอย่างนั้นล่ะ

ดังนั้นเขาจึงเลียนแบบตู้จิ่ง พยายามลดขอบเขตวงสังคม แล้วเอาพลังงานไปใช้กับเรื่องที่ตัวเองสนใจจริงๆ เท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากทีเดียว

‘ฉันอยากทำงานที่ท้าทายหน่อย’ ตู้จิ่งบอก

โจวลั่วหยางถาม ‘เช่นอะไรล่ะ ไปสำรวจดาวอังคาร?’

ตู้จิ่งไม่ตอบ บนแท่นบรรยายศาสตราจารย์กำลังพูดถึงเรื่องของความรักและครอบครัว โดยพยายามถ่ายทอดมุมมองความรักและมุมมองชีวิตที่ ‘ถูกต้อง’ ให้กับเหล่านักศึกษา

‘นายเคยมีแฟนผู้หญิงไหม’ โจวลั่วหยางใคร่รู้

‘ไม่เคยหรอก’ ตู้จิ่งตื่นจากภวังค์ เขาถามกลับ ‘นายล่ะ’

พวกเขามักคุยกันอย่างมีมารยาท มีมารยาทมากจนเกือบจะเรียกได้ว่ามีพิธีรีตอง แต่โจวลั่วหยางรู้ว่านี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของตู้จิ่ง

‘มีสิ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรหรอกนะ’

ตู้จิ่งพยักหน้า โจวลั่วหยางยิ้มแล้วกล่าว ‘ทุกคนบอกว่าฉันเหมือนระบบปรับอากาศจากส่วนกลาง*

โจวลั่วหยางเคยมีความรักกับแฟนผู้หญิงมาไม่น้อย เขาปฏิบัติกับผู้คนอย่างอบอุ่นตั้งแต่เด็กและชอบดูแลคนอื่นจึงมีเพื่อนสมัยมัธยมเยอะ และด้วยสาเหตุนี้จึงก่อให้เกิดเสียงต่อว่าตามมามากมาย

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางพูดคุยกับตู้จิ่งเรื่องความรัก บางครั้งโจวลั่วหยางก็นึกสงสัยว่าตู้จิ่งไม่เคยดูหนังโป๊บ้างเลยหรือ อย่างน้อยในช่วงเดือนกว่าๆ ที่อยู่ด้วยกันโจวลั่วหยางก็ไม่เคยได้ยินตู้จิ่งเปิดดูคลิปวิดีโออะไรทำนองนี้มาก่อน แน่นอนว่าถึงแม้ในโน้ตบุ๊กของเขาเองจะมีคลิปวิดีโอไม่มาก แต่นักศึกษาชายก็ต้องมีอยู่บ้างถึงจะถูก

‘นายดูอันนี้ไหม’ โจวลั่วหยางแบ่งให้ตู้จิ่งดู พอตู้จิ่งดูตามมารยาทสักพักแล้วก็พยักหน้า

โจวลั่วหยาง ‘…???’

ปฏิกิริยาอย่างนี้ไม่เหมือนกับที่คนอื่นๆ เป็นกันอย่างเห็นได้ชัด

‘ให้ฉันส่งให้ไหม’ โจวลั่วหยางหยั่งเชิง

‘เอาสิ’ ตู้จิ่งตอบ

‘นาย…’ โจวลั่วหยางเหลือบมองตรงนั้นของตู้จิ่ง แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร ‘ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ’

‘กำลังเรียนอยู่นะ’ ตู้จิ่งเตือน ‘นายอยากจะทำอะไรตรงหลังห้องงั้นเหรอ ให้ฉันช่วยบังไหม’

โจวลั่วหยางพลันทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

 

หลังเลิกเรียนพวกเขากินมื้อเที่ยงกันในโรงอาหารของอาจารย์ โรงอาหารเล็กๆ แห่งนี้อยู่ใกล้กับหอพักและไม่ค่อยมีนักศึกษามาใช้บริการ โจวลั่วหยางเดินไปเอาอาหารแล้วกลับมาพร้อมกับขวดน้ำ

สองสามวันมานี้ตู้จิ่งดูอ่อนเพลีย ไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไหร่ ตอนที่นั่งรอโจวลั่วหยางก็ไม่รู้ว่าเขาใจลอยไปถึงไหนแล้ว

‘วันนี้นายยังไม่ได้กินยาใช่ไหม’ โจวลั่วหยางเตือน

ตู้จิ่งนิ่งอึ้ง เมื่อเช้าก่อนออกจากห้องมาโจวลั่วหยางก็เตือนแล้วแต่เขาดันลืม พอเวลาผ่านไปนานเข้า บางครั้งโจวลั่วหยางก็จะคอยดูให้เขากินยาตอนเช้า แต่ไม่เคยถามว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร และตู้จิ่งเองก็ไม่เคยบอก

‘ไม่ได้เอากล่องยามาด้วย’ ตู้จิ่งพูดละล่ำละลัก ‘กลับไปค่อยว่ากัน’

โจวลั่วหยางหยิบกล่องยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาหยิบมาให้ตู้จิ่งตั้งแต่ก่อนออกจากห้องเมื่อเช้าแล้วแต่ลืมไปชั่วขณะ ตอนนี้ถึงค่อยมานึกขึ้นได้

ตู้จิ่งพยักหน้าแล้วกินยา จากนั้นทั้งสองก็กินข้าวกันเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

‘นายป่วยเป็นอะไร’ ในที่สุดโจวลั่วหยางก็ถามออกมา

ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางทีหนึ่ง โจวลั่วหยางจึงรีบอธิบายทันที ‘ฉันไม่ได้สอดรู้สอดเห็นหรอก เพียงแต่รู้สึกว่า…อืม ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราสองคนอยู่ด้วยกันทุกวัน เกิดมีเรื่องต้องไปหาหมอแล้วถูกถามขึ้นมา ฉันจะได้ช่วยตอบให้ ถ้านายเชื่อใจก็บอกฉันได้ แบบนี้จะได้ช่วยๆ กันรับมือถ้ามีอะไรไง’

อันที่จริงสิ่งที่โจวลั่วหยางพูดมาก็เป็นความจริง เขารู้ว่าตู้จิ่งไม่อยากบอก แต่ถ้ารูมเมตเกิดป่วยเป็นโรคหัวใจหรือมีประวัติเป็นโรคทางพันธุกรรมอะไร ตอนที่มีอาการเขาจำเป็นต้องรีบพาตู้จิ่งไปหาหมอ ถ้าคนป่วยเกิดหมดสติ แล้วตัวเขาที่เป็นรูมเมตถูกถามอะไรแต่ก็ไม่รู้สักอย่าง แบบนั้นคงไม่ได้เรื่องแน่

‘คงไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรแบบที่นายคิดอยู่หรอก’ ตู้จิ่งตอบเช่นนี้

ถึงโจวลั่วหยางจะไม่วางใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับรู้ ‘งั้นก็ดีแล้ว’

 

แต่หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ไม่คาดคิดเหตุการณ์หนึ่งก็ได้เปิดเผยความลับของตู้จิ่งออกมาอย่างหมดเปลือกต่อหน้าโจวลั่วหยางโดยไม่ทันตั้งตัว…เหตุเพราะตู้จิ่งยังใช้แอปเปิ้ลไอดีของโจวลั่วหยางอยู่

เมื่อเกือบสองเดือนก่อนโจวลั่วหยางบอกบัญชีของตัวเองกับตู้จิ่ง ตู้จิ่งจึงใช้บัญชีนี้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นกลับลืมออกจากระบบ แล้วใช้อุปกรณ์อื่นโดยใช้บัญชีเดียวกัน และใช้สัญญาณไวไฟสัญญาณเดียวกัน จึงเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าเป็นคนคนเดียวกัน พอใช้มือถือเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์ซาฟารีแล้วเปลี่ยนมาใช้โน้ตบุ๊ก หน้าเว็บที่กำลังใช้อยู่ก็จะเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

วันนั้นตู้จิ่งไปเรียน ส่วนมือถือก็ชาร์จแบตฯ ไว้ที่ห้องพัก ขณะที่โจวลั่วหยางกำลังจะเสิร์ชหาข้อมูล บนหน้าจอก็พลันมีหน้าเพจเพจหนึ่งเด้งขึ้นมา โดยหน้าเพจที่ว่านั้นคือแอ็กหลุม* ของเวยป๋อ**

โจวลั่วหยางยังคิดว่าเป็นหน้าเพจของตัวเอง จึงคลิกดู และภาพแรกที่เห็นก็คือ

 

[นับวันยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะฆ่าตัวตายในหอพักแล้วจะทำให้เขาเดือดร้อน คงใช้วิธีแก้ไขปัญหาใหญ่ปัญหาเดียวเพื่อให้อีกร้อยปัญหายุติไปแล้ว ไม่รู้จะทนไปได้อีกนานแค่ไหน]

 

โจวลั่วหยาง ‘…!!!’

โจวลั่วหยางตกใจแทบแย่ นี่มันเวยป๋อของใคร เมื่อคืนฉันละเมอลุกขึ้นมาโพสต์เวยป๋อเหรอ

เวลาโพสต์คือกลางดึกเมื่อวาน…ตีสี่สี่สิบเจ็ดนาที

สองนิ้วของโจวลั่วหยางแตะลงบนทัชแพด พอเลื่อนลงเบาๆ ก็เห็นโพสต์ที่สอง

 

[บางครั้งก็เหมือนราชาของโลก บางครั้งกลับเหมือนยาจก วันนี้คุยกับเขาไม่ถึงสิบประโยค มองออกเลยว่าเขาไม่ค่อยชอบที่ถูกฉันรบกวน อยากจะอ่านหนังสือเงียบๆ แค่นั้น]

 

เวลาโพสต์ของโพสต์ที่สองคือเมื่อวานซืนตอนตีสามกว่าๆ

โจวลั่วหยาง ‘…’

 

โพสต์ที่สาม [วันนี้ไปดูหนัง หนังห่วยมาก แต่ป็อปคอร์นรสชาติพอใช้ได้ ทำให้กำจัดความคิดในหัวไปได้หลายเรื่อง หนังเรื่องนี้ตรรกะไม่สมเหตุสมผลมาก เขาไม่รู้สึกเหรอ หรือว่ารู้สึกแต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวจะทำให้หมดสนุก]

 

โพสต์ที่สี่ [วุ่นวายใจชะมัด กระสับกระส่ายไปหมด คงเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ตั้งแต่นี้ไปต้องเริ่มควบคุมตัวเองให้ได้]

[ใช้เวลาแค่หนึ่งปีก็เรียนจนจบเนื้อหา แต่ยังต้องตั้งใจเข้าเรียนทุกวัน น่าเบื่อโคตร แต่ถ้าไม่เข้าเรียนแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ]

[อนาคต? ไม่มีหรอกอนาคต ไม่มีอดีตด้วย มีความรักก็รังแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง คนเราต้องมีงานทำ พูดถูกนะ บางทีเขาอาจไม่เข้าใจไปตลอดกาล นอนไม่หลับมาเจ็ดวัน นอนไม่หลับทั้งคืน นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ…ควบคุมตัวเองหน่อย ห้ามเปิดไฟรบกวนจนเขาตื่น]

โจวลั่วหยางเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ๊กก่อนจะหันไปมองที่โต๊ะเขียนหนังสือของตู้จิ่ง ดวงตาที่ตกตะลึงและสับสนของเขาสะท้อนอยู่ในกระจกแต่งตัวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง มือถือของตู้จิ่งวางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบสงบ โจวลั่วหยางเข้าใจแล้ว

นี่คือแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่ง

 

* ระบบปรับอากาศจากส่วนกลาง เป็นคำอุปมา หมายถึงคนที่ชอบหว่านเสน่ห์ ให้ความรักและความอบอุ่นกับเพศตรงข้ามพร้อมกันหลายๆ คน

* แอ็กหลุม เป็นบัญชีลับหรือบัญชีสำรองที่ลงทะเบียนเพิ่มเติมจากบัญชีหลักของสังคมออนไลน์ต่างๆ ส่วนมากมักเป็นบัญชีที่ไม่ระบุตัวตน

** เวยป๋อ เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นแพลตฟอร์มที่คนจีนนิยมเล่น รูปแบบการใช้งานคล้ายเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 3

บทที่ 3 ความผิดพลาด+ใต้แสงจันทร์ แม้สิ่งที่ไทเฮากล่าวจะเป็นประโยคคำถาม แต่ซูโม่อี้ก็รู้ว่านางไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเขาเ...

community.jamsai.com