everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
บทที่ 8
ตอนเล่อเหยาเห็นพี่ชายของตัวเองพาตู้จิ่งมากินมื้อเช้าด้วยกันก็ถึงกับตกใจจนสะดุ้งโหยง
“ไปทำอะไรมา” เล่อเหยาถาม “ทำไมตัวเปื้อนขนาดนี้”
โจวลั่วหยางจึงว่า “บอกให้นายนอนไปก่อนแล้วนี่ ทำไมยังตื่นอยู่”
ตู้จิ่งวางเสื้อสูทเปื้อนโคลนลงบนพื้นข้างชั้นวางรองเท้า ก่อนจะหันไปพยักหน้าทักทายเล่อเหยา
“ฉันไม่วางใจนี่” เล่อเหยาตอบอย่างดื้อรั้น ก่อนจะหมุนล้อรถเข็นตามโจวลั่วหยางจากโถงหน้าประตูเข้าไปในห้องครัว โจวลั่วหยางเปิดตู้เย็น จากนั้นก็เปิดกระป๋องน้ำผลไม้ รินออกมาครึ่งหนึ่งแล้วส่งให้ตู้จิ่ง
ตู้จิ่งพยายามที่จะไม่ทำให้ห้องของโจวลั่วหยางเลอะเทอะ จึงถอดถุงเท้าเปรอะโคลนออกแล้วยืนเท้าเปล่าดื่มน้ำผลไม้
โจวลั่วหยางถอดเสื้อออกก่อน จากนั้นจึงเข็นรถเข็นพาน้องชายเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
“ไม่ได้มีอะไรใช่ไหม” เล่อเหยาถามอย่างเป็นห่วง “ตอนบ่ายที่กลับมาก็เห็นพี่ดูแปลกๆ”
โจวลั่วหยางค่อยได้สติแล้วดึงม่านอาบน้ำ “ไม่มีอะไรหรอก คนนั้นคือตู้จิ่ง เป็นรูมเมตพี่สมัยเรียนมหา’ ลัย”
เล่อเหยาถาม “ที่ออกไปเมื่อวานก็คือไปเจอเขาใช่ไหม”
ตู้จิ่งเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาในสภาพเปลือยอก เขาโยนเสื้อเชิ้ตลงในตะกร้าผ้า ปลดเข็มขัดออกแล้วเริ่มถ่ายเบา
“ใช่แล้ว” ตู้จิ่งพูดขณะปลดทุกข์ “เราสองคนเตรียมจะร่วมหุ้นกันเปิดร้านของคุณปู่ของนายขึ้นมาใหม่ไงล่ะ”
เล่อเหยามีม่านอาบน้ำกั้นไว้ เดิมทีโจวลั่วหยางอยากเตือนตู้จิ่ง แต่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้ที่หอพัก ในขณะที่เขาอาบน้ำในห้องอาบน้ำ ตู้จิ่งก็มักเข้ามาทำธุระในห้องน้ำด้วยโดยไม่เคยหลบเลี่ยงเขา
เล่อเหยาบอก “วันนี้มีคนโทรมาที่…”
โจวลั่วหยางจึงว่า “คราวหน้าวางสายไปเลยก็ได้”
เล่อเหยาหลุดขำ ไม่นึกว่าพี่ชายจะเดาออกว่าเขาจะพูดอะไร ทันใดนั้นตู้จิ่งก็ผิวปากแล้วหันไปถามเล่อเหยา
“โชว์เบอร์ที่โทรเข้าหรือเปล่า”
เล่อเหยาไม่ตอบ เขายังไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดีกับเพื่อนใหม่ที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต
ตู้จิ่งพูดขึ้น “ใช้ผ้าเช็ดตัวกับมีดโกนหนวดของนายนะ”
“ใช้ไปเถอะ” โจวลั่วหยางตอบกลับ “ผืนที่เป็นสีกาแฟนะ มีแปรงสีฟันใหม่อยู่ในตู้เก็บของ ว่าแต่นายไม่อาบน้ำเหรอ”
ตู้จิ่งโกนหนวดและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาบอก “ถ้านายช่วยถูหลังให้ฉันก็จะอาบ”
โจวลั่วหยางไม่รับปาก ตู้จิ่งจึงออกจากห้องน้ำก่อนจะไปตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาที่ห้องของโจวลั่วหยาง
“พวกพี่สนิทกันมากเหรอ” เล่อเหยาถาม
“อืม” โจวลั่วหยางตอบรับ “อยู่ด้วยกันสองปีในหอพักมหาวิทยาลัย เคยคุยกันได้ทุกเรื่อง”
เล่อเหยาถามอีก “มองออกแหละ แต่สนิทกว่าฟางโจวด้วยเหรอ”
ฟางโจวคือเพื่อนสนิทของโจวลั่วหยาง
จู่ๆ โจวลั่วหยางก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้จึงหัวเราะออกมา
เล่อเหยาถามอย่างงุนงง “พี่หัวเราะอะไรอะ”
“ไม่มีอะไร สนิทยิ่งกว่าเขาอีก” เรื่องที่โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้คือเรื่องที่ฟางโจวเคยถามว่า ‘นายกับตู้จิ่งสนิทกันแค่ไหน’ ซึ่งโจวลั่วหยางตอบกลับไปแบบขำๆ ว่า ‘สนิทขนาดช่วยเขาขัดจรวดนั่นแหละ’
เล่อเหยาชะโงกหน้าออกมามองไปนอกม่านอาบน้ำ
“มีอีเมลจากโรงเรียนล่ะมั้ง” โจวลั่วหยางบอก “อีกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวพี่ค่อยตอบกลับ”
“อืม” เล่อเหยาหาวหวอด เห็นได้ชัดว่าเขาง่วงแล้ว
โจวลั่วหยางเช็ดผมให้เล่อเหยาจนแห้ง พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็อุ้มเขาออกไปที่โต๊ะอาหาร ส่วนตู้จิ่งก็เข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“ฉันอาบก่อน” โจวลั่วหยางเข้าไป “นายไปอยู่เป็นเพื่อนเล่อเหยาไป”
“อาบด้วยกันไหมล่ะ” ตู้จิ่งเงยหน้ามองฝักบัวพลางหมุนสองสามที
“อย่าซน” โจวลั่วหยางดุ
ตู้จิ่งจึงออกไปนั่งเป็นเพื่อนเล่อเหยา พอโจวลั่วหยางอาบน้ำเสร็จแล้วก็เห็นคนทั้งสองคุยกันอย่างออกรสเหมือนคราวก่อน จึงไล่ตู้จิ่งไปอาบน้ำก่อนจะค้นเสื้อยืดของตัวเองให้เขาเปลี่ยน เสื้อไซส์เล็กไปหน่อย แต่ให้เขาฝืนใส่แก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน
ก่อนมื้อเช้าตู้จิ่งรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง เขาเทยาหลายเม็ดออกมาจากกล่องยา ก่อนจะกลืนลงไปทีละเม็ดภายใต้การจ้องมองของเล่อเหยา
“ป่วยเหรอ” เล่อเหยาถาม
“อืม” ตู้จิ่งตอบโดยไม่ปิดบังเขาเช่นกัน
หลังจากทั้งสามคนกินมื้อเช้าเสร็จ ขณะที่โจวลั่วหยางเก็บข้าวของก็ได้ยินตู้จิ่งพูดกับเล่อเหยา
“ฉันอุ้มนายพาไปนอนแล้วกัน ห้องนายคือห้องไหน”
“ผมไปเองได้” เล่อเหยาทำท่าจะขยับตัวไปขึ้นรถเข็น
ทว่าตู้จิ่งกลับเข้ามาอุ้มเขา เล่อเหยาเลยต้องบอกว่า “ขอบคุณครับ”
โจวลั่วหยางเก็บขยะ ได้ยินตู้จิ่งพูดตอนที่อุ้มเล่อเหยาเดินไปว่า “น้องชายของลั่วหยางก็คือน้องชายของฉันด้วย ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
เขาหยุดนิ่งอยู่ในห้องครัว โดยเงียบงันอยู่พักใหญ่พลางบีบสันจมูกตัวเองเบาๆ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าจวนจะไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ตอนเข้าไปในห้องตู้จิ่งก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว เขามองดูโจวลั่วหยางหยิบของในลิ้นชักออกมา มันเป็นรูปคู่ของทั้งสองคนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย
โจวลั่วหยางเดินมาหาแล้วเตะปิดลิ้นชักจนเกิดเสียงดังทึบๆ ชั่วพริบตานั้นตู้จิ่งชักมือออกทันทีจึงไม่ถูกหนีบ
ตู้จิ่ง “…”
โจวลั่วหยางมองดูตู้จิ่ง อีกฝ่ายเขยิบเว้นที่ไว้ให้ ก่อนจะทำท่าบอกให้เขาเข้าไปนอนด้านใน
“เข้าไปนอนสิ” โจวลั่วหยางบอก
“นายสินอนด้านใน” ตู้จิ่งตอบกลับ “เมื่อก่อนก็นอนอย่างนี้ที่หอพัก อย่าดื้อ”
โจวลั่วหยางจำต้องปีนข้ามตัวของตู้จิ่งไป จากนั้นตู้จิ่งก็ยื่นแขนมาบอกโจวลั่วหยางเป็นนัยๆ
“ไม่ได้” โจวลั่วหยางรู้ว่านี่มีความหมายว่าเขาจะหนุนแขนหรือไม่ เขาตอบกลับไป “นอนเถอะ นายคงเหนื่อยมาก”
เสียงของตู้จิ่งฟังดูเหนื่อยล้า อีกฝ่ายตอบกลับว่า “ใช่สิ สามปีมานี้ไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักครั้ง”
โจวลั่วหยางปัดหน้าจอมือถือพลางตอบกลับว่า “ให้รูมเมตน้อยๆ ของนายนอนเป็นเพื่อนสิ”
ทว่าตู้จิ่งไม่ได้ยินคำพูดนี้เพราะหลับไปแล้ว
กลับกลายโจวลั่วหยางเสียเองที่นอนไม่หลับ แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้นอนมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน แต่การปรากฏตัวอีกครั้งของตู้จิ่ง รวมทั้งความลับมากมายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่ายนั้นราวกับบดขยี้โลกทั้งใบของเขาในชั่วพริบตาเหมือนพายุฝนอันบ้าคลั่ง
เช่นเดียวกับพายุไต้ฝุ่นที่พัดมาในวันนั้น…วันที่พวกเขาได้พบกัน
เขาทำอะไรอยู่กันแน่ ตำรวจสากล? นักสืบ? สายลับ? หรือสันติบาลพิเศษขององค์กรระดับประเทศ? สามปีนี้เขาไปที่ไหนมากันแน่ แล้วเกิดอะไรขึ้น
โจวลั่วหยางยังจำได้ว่าพวกเขาเคยคุยกันถึงอนาคตหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยว่าอยากจะทำอะไร นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ได้คุยและมีแค่ครั้งนั้นเท่านั้น
คำตอบของตู้จิ่งคือ ‘ยังไม่ได้คิดเลย นายล่ะอยากทำอะไร’
‘ฉันไม่รู้’
ในวันนั้นโจวลั่วหยางคุมตัวตู้จิ่งให้ไปเข้าเรียนวิชาจิตวิทยา ซึ่งหัวข้อที่เรียนนั้นเกี่ยวกับการตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเองในชีวิต
วันนั้นฝนตก ด้านนอกของกระจกบานยาวจรดพื้นของห้องเรียนอเนกประสงค์ขนาดใหญ่มีน้ำฝนไหลคดเคี้ยวลงมาช้าๆ ก่อนจะรวมตัวเป็นสายน้ำตัดสลับกัน เหมือนวงโคจรของโชคชะตาระหว่างคนสองคนท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวเหยียด ซึ่งบางครั้งก็ไหลมารวมกันเป็นสายเดียว แต่เมื่อพบเจอสิ่งกีดขวางก็กลับแยกกันไปคนละทิศละทาง
เหมือนวันฝนตกที่ได้พบตู้จิ่งอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี โจวลั่วหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองในอนาคตจะต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียบิดาและการที่น้องชายต้องมาเป็นอัมพาตครึ่งท่อนติดต่อกัน เรียกได้ว่าชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นฟ้าคว่ำผืนดินในชั่วข้ามคืน
‘ปู่ของฉันมีร้านอยู่ร้านหนึ่ง’ โจวลั่วหยางพูดขึ้น ‘ปู่อยากให้ฉันรับช่วงต่อร้านนั้นมาตลอด แต่ฉันไม่อยากเป็นเถ้าแก่’
ตู้จิ่งถาม ‘ร้านอะไร’
‘ร้านนาฬิกาโบราณ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘แต่ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมาย ฉันอาจจะกลับไปเป็นเถ้าแก่ร้านก็ได้ ยังไงซะคนเราก็ต้องมีงานทำ’
ตู้จิ่งแทบไม่ได้พูดเรื่องของตัวเองเลย ซึ่งโจวลั่วหยางเองก็ไม่ถาม พวกเขาเหมือนรูมเมตธรรมดาส่วนใหญ่ นัดกันไปกินมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นที่โรงอาหาร นั่งเรียนวิชาพื้นฐานด้วยกัน ตกกลางคืนก็กลับไปทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ฟังเพลง หรือไม่ก็อ่านหนังสือสักพัก พอโจวลั่วหยางง่วงนอนเมื่อไหร่ก็จะหันไปถามความเห็นจากตู้จิ่ง และทุกครั้งตู้จิ่งก็จะพยักหน้าแล้วปิดไฟเข้านอนโดยไม่เคยขัดใจ
การอยู่กับตู้จิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เข้ากันได้ดีจริงๆ ตอนแรกโจวลั่วหยางแอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบขรึมไปบ้าง แต่การได้พบกับรูมเมตคนนี้ช่างเป็นการจัดการที่ชาญฉลาดของโชคชะตาเสียจริง พวกเขาไม่ชอบโต้รุ่ง ไม่ทะเลาะกันเรื่องทำความสะอาด ไม่ส่งเสียงรบกวนเวลาอีกฝ่ายเข้านอน สามารถเข้าใจและปรับตัวเข้าหากันได้ในกิจวัตรประจำวันของกันและกัน และต่างก็เป็นนักศึกษาชายที่ค่อนข้างรักความสะอาด
กระทั่งม่านกั้นเตียงนอนก็ไม่ต้องใช้ อยากจะเปิดแอร์ก็เปิด อีกทั้งยังไม่ขัดแย้งกันด้วยเรื่องของค่าน้ำค่าไฟ
ไม่มีใครเล่นเกมส่งเสียงดังเอะอะ ทั้งคู่ไม่มีแฟน ไม่ได้การวิดีโอคอลล์หรือคุยโทรศัพท์ยาวนานไม่รู้จบ เวลาว่างจะอ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง หรือไม่ก็ดูภาพยนตร์
นี่คือรูมเมตที่เคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอย่างที่สุดซึ่งโจวลั่วหยางได้พบเจอ อีกทั้งตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเลยสักนิด เหมือนว่าทั้งสองต่างก็มีโลกใบเล็กๆ เป็นของตัวเองในห้องพัก
โจวลั่วหยางรู้ว่าตู้จิ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นนิสัย พื้นเพทางบ้าน หรือรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขา
ทุกคาบเรียนวิชาเฉพาะทางตู้จิ่งมักนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในแถวสุดท้ายของห้องเรียนตามลำพัง เขาพยายามรักษาระยะห่างจากเพื่อนร่วมห้องอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งไม่เคยไปร่วมกินอาหารด้วยนอกจากจะมีเรื่องจำเป็น และน้อยครั้งที่เขาจะพูดคุยกับใคร
เขาไม่ค่อยชอบติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งโจวลั่วหยางเข้าใจนิสัยเช่นนี้ได้ บางคนมีนิยามของความเป็นเพื่อนในขอบเขตที่เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก รองรับคนได้ไม่มาก มีแต่คนที่ถูกยอมรับเท่านั้นถึงจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา
เพียงแค่สามวันโจวลั่วหยางก็ยอมรับตู้จิ่งแล้ว แต่ตู้จิ่งกลับใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะยอมรับโจวลั่วหยาง
ที่ผ่านมาโจวลั่วหยางรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ค่อยชอบการที่จะต้องติดต่อพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตาเหมือนกัน เพราะการทำอย่างนั้นมันเหน็ดเหนื่อยมาก ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตทุกคนล้วนบอกเขาว่าการเข้าสังคมเป็นเรื่องจำเป็น และชีวิตที่ไร้ซึ่งการเข้าสังคมนั้นเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นี่จึงทำให้เขาฝืนทำตัวมีชีวิตชีวาอยู่หลายปี แต่หลังจากได้รู้จักกับตู้จิ่ง เขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่าถึงแม้จะลดการมีปฏิสัมพันธ์ลงก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้ กระทั่งทำให้ตัวเองเป็นอิสระขึ้นมาระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงต้องไม่ยินดีที่จะทำอย่างนั้นล่ะ
ดังนั้นเขาจึงเลียนแบบตู้จิ่ง พยายามลดขอบเขตวงสังคม แล้วเอาพลังงานไปใช้กับเรื่องที่ตัวเองสนใจจริงๆ เท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากทีเดียว
‘ฉันอยากทำงานที่ท้าทายหน่อย’ ตู้จิ่งบอก
โจวลั่วหยางถาม ‘เช่นอะไรล่ะ ไปสำรวจดาวอังคาร?’
ตู้จิ่งไม่ตอบ บนแท่นบรรยายศาสตราจารย์กำลังพูดถึงเรื่องของความรักและครอบครัว โดยพยายามถ่ายทอดมุมมองความรักและมุมมองชีวิตที่ ‘ถูกต้อง’ ให้กับเหล่านักศึกษา
‘นายเคยมีแฟนผู้หญิงไหม’ โจวลั่วหยางใคร่รู้
‘ไม่เคยหรอก’ ตู้จิ่งตื่นจากภวังค์ เขาถามกลับ ‘นายล่ะ’
พวกเขามักคุยกันอย่างมีมารยาท มีมารยาทมากจนเกือบจะเรียกได้ว่ามีพิธีรีตอง แต่โจวลั่วหยางรู้ว่านี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของตู้จิ่ง
‘มีสิ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรหรอกนะ’
ตู้จิ่งพยักหน้า โจวลั่วหยางยิ้มแล้วกล่าว ‘ทุกคนบอกว่าฉันเหมือนระบบปรับอากาศจากส่วนกลาง*’
โจวลั่วหยางเคยมีความรักกับแฟนผู้หญิงมาไม่น้อย เขาปฏิบัติกับผู้คนอย่างอบอุ่นตั้งแต่เด็กและชอบดูแลคนอื่นจึงมีเพื่อนสมัยมัธยมเยอะ และด้วยสาเหตุนี้จึงก่อให้เกิดเสียงต่อว่าตามมามากมาย
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางพูดคุยกับตู้จิ่งเรื่องความรัก บางครั้งโจวลั่วหยางก็นึกสงสัยว่าตู้จิ่งไม่เคยดูหนังโป๊บ้างเลยหรือ อย่างน้อยในช่วงเดือนกว่าๆ ที่อยู่ด้วยกันโจวลั่วหยางก็ไม่เคยได้ยินตู้จิ่งเปิดดูคลิปวิดีโออะไรทำนองนี้มาก่อน แน่นอนว่าถึงแม้ในโน้ตบุ๊กของเขาเองจะมีคลิปวิดีโอไม่มาก แต่นักศึกษาชายก็ต้องมีอยู่บ้างถึงจะถูก
‘นายดูอันนี้ไหม’ โจวลั่วหยางแบ่งให้ตู้จิ่งดู พอตู้จิ่งดูตามมารยาทสักพักแล้วก็พยักหน้า
โจวลั่วหยาง ‘…???’
ปฏิกิริยาอย่างนี้ไม่เหมือนกับที่คนอื่นๆ เป็นกันอย่างเห็นได้ชัด
‘ให้ฉันส่งให้ไหม’ โจวลั่วหยางหยั่งเชิง
‘เอาสิ’ ตู้จิ่งตอบ
‘นาย…’ โจวลั่วหยางเหลือบมองตรงนั้นของตู้จิ่ง แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร ‘ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ’
‘กำลังเรียนอยู่นะ’ ตู้จิ่งเตือน ‘นายอยากจะทำอะไรตรงหลังห้องงั้นเหรอ ให้ฉันช่วยบังไหม’
โจวลั่วหยางพลันทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หลังเลิกเรียนพวกเขากินมื้อเที่ยงกันในโรงอาหารของอาจารย์ โรงอาหารเล็กๆ แห่งนี้อยู่ใกล้กับหอพักและไม่ค่อยมีนักศึกษามาใช้บริการ โจวลั่วหยางเดินไปเอาอาหารแล้วกลับมาพร้อมกับขวดน้ำ
สองสามวันมานี้ตู้จิ่งดูอ่อนเพลีย ไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไหร่ ตอนที่นั่งรอโจวลั่วหยางก็ไม่รู้ว่าเขาใจลอยไปถึงไหนแล้ว
‘วันนี้นายยังไม่ได้กินยาใช่ไหม’ โจวลั่วหยางเตือน
ตู้จิ่งนิ่งอึ้ง เมื่อเช้าก่อนออกจากห้องมาโจวลั่วหยางก็เตือนแล้วแต่เขาดันลืม พอเวลาผ่านไปนานเข้า บางครั้งโจวลั่วหยางก็จะคอยดูให้เขากินยาตอนเช้า แต่ไม่เคยถามว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร และตู้จิ่งเองก็ไม่เคยบอก
‘ไม่ได้เอากล่องยามาด้วย’ ตู้จิ่งพูดละล่ำละลัก ‘กลับไปค่อยว่ากัน’
โจวลั่วหยางหยิบกล่องยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาหยิบมาให้ตู้จิ่งตั้งแต่ก่อนออกจากห้องเมื่อเช้าแล้วแต่ลืมไปชั่วขณะ ตอนนี้ถึงค่อยมานึกขึ้นได้
ตู้จิ่งพยักหน้าแล้วกินยา จากนั้นทั้งสองก็กินข้าวกันเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘นายป่วยเป็นอะไร’ ในที่สุดโจวลั่วหยางก็ถามออกมา
ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางทีหนึ่ง โจวลั่วหยางจึงรีบอธิบายทันที ‘ฉันไม่ได้สอดรู้สอดเห็นหรอก เพียงแต่รู้สึกว่า…อืม ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราสองคนอยู่ด้วยกันทุกวัน เกิดมีเรื่องต้องไปหาหมอแล้วถูกถามขึ้นมา ฉันจะได้ช่วยตอบให้ ถ้านายเชื่อใจก็บอกฉันได้ แบบนี้จะได้ช่วยๆ กันรับมือถ้ามีอะไรไง’
อันที่จริงสิ่งที่โจวลั่วหยางพูดมาก็เป็นความจริง เขารู้ว่าตู้จิ่งไม่อยากบอก แต่ถ้ารูมเมตเกิดป่วยเป็นโรคหัวใจหรือมีประวัติเป็นโรคทางพันธุกรรมอะไร ตอนที่มีอาการเขาจำเป็นต้องรีบพาตู้จิ่งไปหาหมอ ถ้าคนป่วยเกิดหมดสติ แล้วตัวเขาที่เป็นรูมเมตถูกถามอะไรแต่ก็ไม่รู้สักอย่าง แบบนั้นคงไม่ได้เรื่องแน่
‘คงไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรแบบที่นายคิดอยู่หรอก’ ตู้จิ่งตอบเช่นนี้
ถึงโจวลั่วหยางจะไม่วางใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับรู้ ‘งั้นก็ดีแล้ว’
แต่หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ไม่คาดคิดเหตุการณ์หนึ่งก็ได้เปิดเผยความลับของตู้จิ่งออกมาอย่างหมดเปลือกต่อหน้าโจวลั่วหยางโดยไม่ทันตั้งตัว…เหตุเพราะตู้จิ่งยังใช้แอปเปิ้ลไอดีของโจวลั่วหยางอยู่
เมื่อเกือบสองเดือนก่อนโจวลั่วหยางบอกบัญชีของตัวเองกับตู้จิ่ง ตู้จิ่งจึงใช้บัญชีนี้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นกลับลืมออกจากระบบ แล้วใช้อุปกรณ์อื่นโดยใช้บัญชีเดียวกัน และใช้สัญญาณไวไฟสัญญาณเดียวกัน จึงเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าเป็นคนคนเดียวกัน พอใช้มือถือเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์ซาฟารีแล้วเปลี่ยนมาใช้โน้ตบุ๊ก หน้าเว็บที่กำลังใช้อยู่ก็จะเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
วันนั้นตู้จิ่งไปเรียน ส่วนมือถือก็ชาร์จแบตฯ ไว้ที่ห้องพัก ขณะที่โจวลั่วหยางกำลังจะเสิร์ชหาข้อมูล บนหน้าจอก็พลันมีหน้าเพจเพจหนึ่งเด้งขึ้นมา โดยหน้าเพจที่ว่านั้นคือแอ็กหลุม* ของเวยป๋อ**
โจวลั่วหยางยังคิดว่าเป็นหน้าเพจของตัวเอง จึงคลิกดู และภาพแรกที่เห็นก็คือ
[นับวันยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะฆ่าตัวตายในหอพักแล้วจะทำให้เขาเดือดร้อน คงใช้วิธีแก้ไขปัญหาใหญ่ปัญหาเดียวเพื่อให้อีกร้อยปัญหายุติไปแล้ว ไม่รู้จะทนไปได้อีกนานแค่ไหน]
โจวลั่วหยาง ‘…!!!’
โจวลั่วหยางตกใจแทบแย่ นี่มันเวยป๋อของใคร เมื่อคืนฉันละเมอลุกขึ้นมาโพสต์เวยป๋อเหรอ
เวลาโพสต์คือกลางดึกเมื่อวาน…ตีสี่สี่สิบเจ็ดนาที
สองนิ้วของโจวลั่วหยางแตะลงบนทัชแพด พอเลื่อนลงเบาๆ ก็เห็นโพสต์ที่สอง
[บางครั้งก็เหมือนราชาของโลก บางครั้งกลับเหมือนยาจก วันนี้คุยกับเขาไม่ถึงสิบประโยค มองออกเลยว่าเขาไม่ค่อยชอบที่ถูกฉันรบกวน อยากจะอ่านหนังสือเงียบๆ แค่นั้น]
เวลาโพสต์ของโพสต์ที่สองคือเมื่อวานซืนตอนตีสามกว่าๆ
โจวลั่วหยาง ‘…’
โพสต์ที่สาม [วันนี้ไปดูหนัง หนังห่วยมาก แต่ป็อปคอร์นรสชาติพอใช้ได้ ทำให้กำจัดความคิดในหัวไปได้หลายเรื่อง หนังเรื่องนี้ตรรกะไม่สมเหตุสมผลมาก เขาไม่รู้สึกเหรอ หรือว่ารู้สึกแต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวจะทำให้หมดสนุก]
โพสต์ที่สี่ [วุ่นวายใจชะมัด กระสับกระส่ายไปหมด คงเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ตั้งแต่นี้ไปต้องเริ่มควบคุมตัวเองให้ได้]
…
[ใช้เวลาแค่หนึ่งปีก็เรียนจนจบเนื้อหา แต่ยังต้องตั้งใจเข้าเรียนทุกวัน น่าเบื่อโคตร แต่ถ้าไม่เข้าเรียนแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ]
…
[อนาคต? ไม่มีหรอกอนาคต ไม่มีอดีตด้วย มีความรักก็รังแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง คนเราต้องมีงานทำ พูดถูกนะ บางทีเขาอาจไม่เข้าใจไปตลอดกาล นอนไม่หลับมาเจ็ดวัน นอนไม่หลับทั้งคืน นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ…ควบคุมตัวเองหน่อย ห้ามเปิดไฟรบกวนจนเขาตื่น]
…
โจวลั่วหยางเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ๊กก่อนจะหันไปมองที่โต๊ะเขียนหนังสือของตู้จิ่ง ดวงตาที่ตกตะลึงและสับสนของเขาสะท้อนอยู่ในกระจกแต่งตัวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง มือถือของตู้จิ่งวางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบสงบ โจวลั่วหยางเข้าใจแล้ว
นี่คือแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่ง
* ระบบปรับอากาศจากส่วนกลาง เป็นคำอุปมา หมายถึงคนที่ชอบหว่านเสน่ห์ ให้ความรักและความอบอุ่นกับเพศตรงข้ามพร้อมกันหลายๆ คน
* แอ็กหลุม เป็นบัญชีลับหรือบัญชีสำรองที่ลงทะเบียนเพิ่มเติมจากบัญชีหลักของสังคมออนไลน์ต่างๆ ส่วนมากมักเป็นบัญชีที่ไม่ระบุตัวตน
** เวยป๋อ เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นแพลตฟอร์มที่คนจีนนิยมเล่น รูปแบบการใช้งานคล้ายเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
โปรดติดตามตอนต่อไป…