X
    Categories: everYทดลองอ่านโกลาหลกลกาล

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 13-15 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1 

ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 天地白驹

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม

อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 13

โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งเข้าไปในห้องซาวน่า แสงไฟในห้องถูกปรับให้สลัวลง จนถึงตอนนี้อู๋ซิงผิงก็ยังไม่ปรากฏตัว

โจวลั่วหยางไม่รู้ว่ามีคนคอยจับตามองพวกเขาอยู่

“ถ้าเขาไม่มาล่ะ” โจวลั่วหยางถามอย่างหวั่นใจ

ตู้จิ่งเอาผ้าขนหนูวางแปะตรงช่วงเอว เขาถอนหายใจแล้วพูด “ถ้าอย่างนั้นอบตัวเสร็จก็กลับไปนอน”

ทำงานในที่แบบนี้น่าสนใจจริงๆ โจวลั่วหยางคิดก่อนจะหันไปมองตู้จิ่ง “เล่อเหยาเพิ่งเข้าเรียน ฉันไม่อยากพาเขาย้ายโรงเรียนอีก”

“ถึงยังไงเขาก็ต้องเรียนและใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดี” ตู้จิ่งเตือนสติ “ไม่อย่างนั้นนายจะให้เขามีความรักมีครอบครัวได้ยังไง จะทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ยังไง ตอนฉันอายุสิบสองขวบก็ออกจากบ้านไปอยู่โรงเรียนประจำแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การพยายามหาใครมาดูแลไปตลอดชีวิต แต่เป็นการที่นายปฏิบัติกับเขาอย่างคนธรรมดาๆ ที่ร่างกายแข็งแรงต่างหาก”

“นายไม่เหมือนกันนี่นา” โจวลั่วหยางท่าทางหงุดหงิด อย่างน้อยตู้จิ่งก็ไม่มีอุปสรรคอะไรทางด้านร่างกาย

ตู้จิ่งจึงว่า “เฮอะ ฉันไม่มีพี่ชายที่ยินดีดูแลฉันไปตลอดชีวิตนี่นา”

โจวลั่วหยางกำลังจะบอกว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย แต่ตู้จิ่งกลับมองไปยังทางเข้าห้องซาวน่าเสียก่อน ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ มีรอยสักทั่วแผ่นหลังคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมทั้งมองดูพวกเขา

“มาหาอู๋ซิงผิงมีธุระอะไร” ชายร่างสูงใหญ่เปลือยล่อนจ้อน แต่ก็ไม่ได้ทำท่าหลบเลี่ยงพวกเขา

ตู้จิ่งตอบ “เอาเงินมาให้น่ะสิ”

ชายร่างสูงใหญ่กำยำ เอวหนา บ่ากว้าง ขนาดตัวแตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เขาพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า ภายใต้สภาพที่พบกันอย่างเปิดเผยในห้องซาวน่า แถมยังมาขวางประตูเอาไว้ โจวลั่วหยางพลันรู้สึกว่าประหลาดสิ้นดี

“อ้อ” ชายร่างสูงใหญ่รับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เชิญที่ชั้นสี่ ให้พวกนายค่อยๆ คุยกัน”

โจวลั่วหยางสงสัยว่าเขากำลังพบกับหัวหน้าตัวจริง โดยมีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่หมอนี่จะเป็นหัวหน้าของคนร้ายที่แบล็กเมล์ อู๋ซิงผิง รวมถึงคนอื่นๆ ด้วย

ตู้จิ่งลุกขึ้นทันที ชายร่างสูงใหญ่พูดอย่างสบายๆ “แกก็คือ…ไอ้ NBA อะไรนั่นที่เพิ่งกลับมาจีน? คนของชังอี้?”

ตอนที่ได้ยินเช่นนี้ ฉับพลันโจวลั่วหยางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของตู้จิ่ง แม้เขาจะยืนเปลือยอยู่อย่างนี้ก็ตาม ราวกับเสือชีต้าที่เผยแววคุกคามของมันออกมาก่อนล่าเหยื่อ

ชายร่างสูงใหญ่นั่งลงในห้องซาวน่า แล้วดึงผ้าขนหนูที่พาดบนบ่ามาวางไว้ที่ช่วงเอว ก่อนจะสบสายตากับตู้จิ่งพลางยิ้มอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง

“ไปสิ” ตู้จิ่งบอกเสียงเย็นชา

ตอนออกจากห้องซาวน่า ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนในชุดคลุมอาบน้ำบางๆ ที่ยืนอยู่ข้างนอกต่างหันมามองพวกเขาทั้งสองคน

ตู้จิ่งไปอาบน้ำก่อน โดยใช้ฝักบัวคนละอันกับโจวลั่วหยาง

“นายเคยแข่ง NBA ด้วย?” โจวลั่วหยางทำท่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ดูท่าประสบการณ์ในสามปีที่ผ่านมานี้ของนายคงเยอะน่าดู”

ตู้จิ่งไม่ตอบ น้ำไหลลงไปตามแผ่นหลังและไหล่ของเขา โจวลั่วหยางคิดแล้วยิ้มก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันเดาว่าเขาอยากจะพูดคำอื่น แต่จำไม่ได้ใช่หรือเปล่า”

โจวลั่วหยางกดยาสระผมสองสามครั้ง เสียงน้ำจากห้องข้างๆ หยุดไปแล้ว ตู้จิ่งเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อช่วยสระผม จากนั้นตู้จิ่งก็คลำไปที่หลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณลำคอของโจวลั่วหยางแล้วบีบเบาๆ

“นายบีบคนจนตายด้วยท่านี้ได้หรือเปล่า” โจวลั่วหยางถาม “ฉันสงสัยมาตลอดว่าในหนังแค่บีบคอก็ตายได้เพราะอะไร”

“หลอดเลือดแดงใหญ่ตรงคอไง” ตู้จิ่งใช้นิ้วที่ทั้งเรียวยาวและแข็งแรงโอบรอบคอของโจวลั่วหยาง น้ำเสียงแฝงความอันตราย “ต้องบีบไว้สักพักถึงจะได้ผล แนะนำให้หักคอเลยจะง่ายกว่า เหมือนหักก้านแดนดิไลออนเลย”

จากนั้นตู้จิ่งก็ล็อกคอโจวลั่วหยางไว้แล้วใช้มืออีกข้างจับคาง ก่อนจะบังคับให้เขาหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ฝ่ามือร้อนกับความรู้สึกบีบคั้นที่ยากจะต้านทานทำเอาโจวลั่วหยางหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันใด

ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตรงกระดูกสันหลังส่วนคอมีเสียงดังขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นก็หายใจสะดวกขึ้นมาก ทั่วทั้งร่างถึงกับผ่อนคลายลงฉับพลัน

โจวลั่วหยางยื่นมือไปดึงสายรัดข้อมือยางที่ข้อมือของตู้จิ่งแล้วปล่อย สายรัดข้อมือจึงดีดใส่เขาดังแปะ

“ของขวัญที่ฉันได้งานล่ะ” ตู้จิ่งถามกลับ

“ซ่อมเสร็จแล้วจะให้นาย” โจวลั่วหยางบอก “ยังไม่ทันพานายไปดื่มเลย”

ตู้จิ่งปิดน้ำแล้วเดินออกจากห้องอาบน้ำ พนักงานส่งกางเกงขายาวสีกรมท่ากับเสื้อคลุมอาบน้ำสไตล์จีนให้เขา พร้อมกับวางรองเท้าแตะเอาไว้

“ชั้นสี่ ขึ้นไปทางนั้น” มีคนบอกทางให้โจวลั่วหยาง

“ขอบคุณครับ” โจวลั่วหยางรับคำอย่างมีมารยาท ในใจคิดว่า ขอบคุณฟ้าดิน ไม่ต้องพูดคุยกันทั้งที่ยังเปลือยกาย ดีจริงๆ

อู๋ซิงผิงกำลังรออยู่ในห้องรับรอง โดยเถ้าแก่ได้เตรียมชาและของว่างไว้ให้เป็นพิเศษ โจวลั่วหยางก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมและดื่มน้ำผลไม้ ส่วนตู้จิ่งก็มองดูอู๋ซิงผิง ก่อนที่คนรอบตัวเขาจะเดินออกไปเองโดยอัตโนมัติ

อู๋ซิงผิงเบ้าตาลึกโหล ขอบตาดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ดูแล้วคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน

“แกมาทำอะไร” อู๋ซิงผิงเสียงสั่นเล็กน้อย “ฉันไม่รู้อะไรเลย แกตามหาฉันเจอก็ไร้ประโยชน์”

โจวลั่วหยางมองประเมินอีกฝ่าย คืนนั้นบนดาดฟ้ามืดไปหมดเลยเห็นหน้าอู๋ซิงผิงไม่ชัด จึงไม่อาจตัดสินได้ว่าคนตรงหน้าใช่อู๋ซิงผิงหรือไม่ แต่ในเมื่อตู้จิ่งไม่มีคำถามนั่นก็แสดงว่าเขาคงมีวิธีของเขา และต้องไม่จำคนผิดอย่างแน่นอน

“ฉันมาช่วยชีวิตนายต่างหาก” นิ้วทั้งสิบของตู้จิ่งประสานกัน เขาไม่ได้มองไปที่อู๋ซิงผิง ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งแล้วบอก “อวี๋เจี้ยนเฉียงให้นายหนีไปตอนนี้ ถ้านายยอมบอกเรื่องที่รู้ออกมา เขาจะให้นายอีกสี่แสน”

“บอกให้มันไสหัวไปซะ!” จู่ๆ อู๋ซิงผิงก็โกรธจัดขึ้นมา เขาตะคอก “มันฆ่าพี่ใหญ่กู!”

โจวลั่วหยางตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาอดที่จะมองประเมินอู๋ซิงผิงอย่างจริงจังไม่ได้ อีกฝ่ายดูหนุ่มมาก ดูท่าอายุคงจะยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่งตัวเหมือนพวกคนในสังคมไคว่โส่ว* ที่เรียนจบมัธยมปลายแล้วก็ออกมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่นึกเลยว่าการตายของ ‘พี่ใหญ่’ จะกระทบกระเทือนอู๋ซิงผิงมากถึงเพียงนี้

ตู้จิ่งกล่าว “พวกแกฆ่าอวี๋เจี้ยนเฉียงไม่สำเร็จซ้ำยังกลับเป็นฝ่ายโดนฆ่า ยังคิดจะทำอะไรอีก ทุกคนต่างก็อาศัยความสามารถกันทั้งนั้น”

อู๋ซิงผิงหอบหายใจไม่หยุด ดวงตาแฝงความหวาดหวั่น ตู้จิ่งมองเขาเช่นนี้คล้ายสามารถมองทะลุความคิดของเขาได้ ไอคิวของอู๋ซิงผิงไม่นับว่าสูงนัก อย่างไรเสียคนที่ฉลาดก็คงเอาดีอย่างอื่นได้และไม่เลือกมาทำงานแบบนี้ เกรงว่าแม้แต่โจวลั่วหยางเองก็มองความพยายามดิ้นรนของอู๋ซิงผิงทะลุปรุโปร่งแล้วเช่นกัน

อู๋ซิงผิงยอมแพ้ในที่สุด “ให้ฉันหนี? จะหนีไปไหนล่ะ พี่มู่ไม่ปล่อยฉันไปหรอก ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาฉันจะทำให้เขาเดือดร้อน”

โจวลั่วหยางนึกถึงชายร่างสูงใหญ่มีรอยสักในห้องอบซาวน่าขึ้นมาทันทีพลางคิด ‘พี่มู่’ ที่ว่าหมายถึงเขาเหรอ

ตู้จิ่งเอ่ย “เขาจะปล่อยนายไป เพราะถ้าไม่ปล่อยเขาจะเดือดร้อนยิ่งกว่า”

สุดท้ายอู๋ซิงผิงจึงพูดขึ้น “ถ้าเขาให้ฉันหนี ฉันก็จะไป”

“ตอนนี้นายลองไปถามเขาดูสิ” ตู้จิ่งบอก

อู๋ซิงผิงยังคลางแคลงใจ เขาพูดขึ้นมาอีก “พวกหมาต๋ากำลังค้นหาจับกุมตัวฉันไปทั่ว พวกมันสงสัยว่าฉันฆ่าพี่ใหญ่ นายต้องคุ้มกันฉันให้หนีไป ไม่อย่างนั้นถ้าฉันถูกพวกหมาต๋าจับได้ก็จะลากพวกนายให้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย”

ตู้จิ่งบอก “นายไม่กลัวฉันฆ่าปิดปากระหว่างทางเหรอ”

โจวลั่วหยางพูด “อย่าขู่เขาสิ”

ตู้จิ่งกล่าว “ไม่แน่ถ้าฉันอยากตัดความยุ่งยาก อาจจะทำอย่างนี้จริงๆ ก็ได้”

เมื่ออู๋ซิงผิงถูกเตือนเช่นนี้แววตาก็ดูหวาดกลัวขึ้นมาในทันที ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก จากนั้นชายหนุ่มสวมแว่นตาคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทนั้นมีไว้สำหรับตู้จิ่ง

อู๋ซิงผิงกำลังจะลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับพูดอย่างสุภาพ “เถ้าแก่บอกมาว่าคุณไปได้” แล้วหันไปพยักหน้าให้ตู้จิ่งกับโจวลั่วหยาง “ต้อนรับได้ไม่ดี ต้องขอโทษด้วยครับ”

ตู้จิ่งผายมือ ทำท่าว่าไม่มีปัญหา

“นายจะใช้ความลับที่ตัวเองรู้มาข่มขู่เขาก็ได้นี่” โจวลั่วหยางพูดกับอู๋ซิงผิง “อีกทั้งในชั่วขณะสุดท้ายทำไมจู่ๆ ถึงคิดจะลงมือฆ่าอวี๋เจี้ยนเฉียง ข้อมูลพวกนั้นมาจากไหน นายน่าจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่มากนี่ ใช่หรือเปล่าล่ะ นายให้เขาพาไปส่งถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยแล้วค่อยบอกเขาอย่างละเอียด ทำอย่างนี้ก็เรียบร้อยแล้ว”

อู๋ซิงผิง “…”

ตู้จิ่งพูด “เดิมทีฉันไม่อยากลงมือ แต่พอนายพูดอย่างนี้ ฉันคงต้องฆ่าเขาแล้ว”

โจวลั่วหยางกล่าว “ไอศกรีมนี่อร่อยดีนะ”

ชั่วขณะหนึ่งอู๋ซิงผิงไม่เข้าใจว่าโจวลั่วหยางกำลังเข้าคู่กับตู้จิ่งหรือกำลังหยอกเขาเล่นกันแน่ เวลานี้สมองของเขาเละเป็นโจ๊กไปหมดแล้ว จึงไม่อาจทำความเข้าใจอะไรได้ทั้งนั้น

“ฉันจะให้โอกาสนายกลับบ้านไปเก็บข้าวของและบอกลาเพื่อนฝูงก็แล้วกัน” ตู้จิ่งพูดขึ้นในตอนท้าย “อย่าถูกจับในคืนนี้ล่ะ เจ็ดโมงเช้าวันพรุ่งนี้ฉันจะมารับนาย”

อู๋ซิงผิงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่นั่งเงียบๆ เท่านั้น จากนั้นตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางก็ลงมาที่ชั้นล่างเพื่อกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

ตู้จิ่งถาม “นายกำลังช่วยฝ่ายไหนกันแน่”

“นายไม่ฆ่าเขาหรอก” โจวลั่วหยางมั่นใจ “ฉันไม่เชื่อว่านายจะฆ่าคนได้”

“ถ้าเมื่อก่อนฉันเคยฆ่าคนมาก่อนล่ะ” ตู้จิ่งเดินลงบันไดด้วยสีหน้าเยือกเย็นแล้วตอบกลับมา

โจวลั่วหยางบอก “ขอแค่นายอย่าบรรยายออกมาอย่างละเอียดก็พอ ฉันก็จะทำเหมือนไม่รู้เรื่องในอดีตพวกนั้น นายยังคงเป็นนาย”

ตู้จิ่งจึงว่า “คนคนหนึ่งต้องมีอะไรถึงจะกลายเป็นคนที่สมบูรณ์ คำพูดนี้นายพูดเองนะ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตยังไงล่ะ”

โจวลั่วหยางพลันหยุดเดิน ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาขวางตู้จิ่งเอาไว้ ตอนที่ทั้งสองมาถึงชั้นสองและเพิ่งจะเปิดตู้ล็อกเกอร์ โจวลั่วหยางก็สังเกตเห็นสิ่งไม่ชอบมาพากลในทันใด จึงถอยห่างออกมาเล็กน้อย

ที่ชั้นสองมีชายสามคนกำลังสอบถามพนักงานอยู่ ตู้จิ่งเหลือบมองแล้วถอยออกมาพร้อมโจวลั่วหยาง ก่อนจะกลับไปหลบหลังตู้ล็อกเกอร์

“ตำรวจนอกเครื่องแบบใช่ไหม”

“…”

“เป็นนักกีฬา NBA แต่กลับละเลยรายละเอียดแบบนี้ไปซะได้ ไม่น่าเลยนะ ถ้าฉันไม่ขวางตัวนายไว้ ไม่แน่นายอาจจะเดินไปชนกับตำรวจนอกเครื่องแบบแล้วก็ได้”

“โดนนายป่วนความคิดน่ะสิ”

ตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางหยิบเสื้อผ้าได้แล้วแต่ไม่มีเวลาเปลี่ยน พวกเขาพากันเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสี่ ตู้จิ่งเดินเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนโจวลั่วหยางแทบตามไม่ทัน

“อู๋ซิงผิงอยู่ที่ไหน” โจวลั่วหยางดึงคนคนหนึ่งมาถาม

“นายเหมาะจะเข้า NBA ยิ่งกว่าฉันซะอีก” ตู้จิ่งเร่งฝีเท้า “เร็วหน่อย! พวกเขาจะขึ้นมาแล้ว!”

เมื่อตำรวจนอกเครื่องแบบสามนายขึ้นมาถึงชั้นสองก็เริ่มเดินตามหาคนแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาตามหาอู๋ซิงผิง โจวลั่วหยางวิ่งไปที่หน้าต่างตรงทางเดินชั้นสองแล้วชะโงกออกไปดู ก่อนจะเห็นว่าไม่มีรถตำรวจ

โจวลั่วหยางพุ่งกลับขึ้นไปที่ชั้นสี่ เฉียดไหล่ชายหนุ่มสวมแว่นตาคนนั้นพอดี ชายหนุ่มบอกว่า “เขาอยู่ที่ชั้นห้า ใช้ทางหนีไฟหนีไปซะ เขารู้ทาง” ก่อนจะรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง

ชายหนุ่มรีบไปรับหน้าตำรวจ ส่วนทางด้านตู้จิ่งก็ถีบประตูห้องล้างเท้าที่ชั้นห้า แล้วเห็นว่าอู๋ซิงผิงกำลังคุยกับพนักงานสาวที่ช่วยล้างเท้าคนหนึ่ง

“หนี หมาต๋ามาแล้ว” โจวลั่วหยางรีบบอก

ขอบตาของอู๋ซิงผิงยังคงแดงก่ำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สับสนลนลานขึ้นมาทันที โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งประกบเขาคนละข้าง เรียกได้ว่าแทบจะหิ้วตัวเขาออกไป

“รีบบอกทางสิ!” โจวลั่วหยางตะคอกอย่างไม่พอใจ “ต้องออกตรงทางหนีไฟ เอาบัตรประชาชนมาไหม”

อู๋ซิงผิงพยักหน้าหงึกๆ ดูออกว่ากำลังลนลาน โจวลั่วหยางถาม “นายติดตามพี่ใหญ่ของพวกนายมากี่ปีแล้ว ไม่เคยโดนจับเลยหรือไง”

“อย่าคุยเล่นกับเขา” ตู้จิ่งเอนตัวไปพิงราวบันได ก่อนจะไถลตัวลงไปผลักเปิดประตูชั้นหนึ่ง เหนือศีรษะมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น บ่งบอกว่าตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังไล่ตามมาแล้ว

ตู้จิ่งเงยหน้ามอง โจวลั่วหยางรีบบอก “เฮ้! ห้ามทำร้ายเจ้าหน้าที่นะ!”

ตู้จิ่งกล่าว “ควบคุมจัดการยิ่งกว่าเจ้านายฉันซะอีก”

สถานการณ์ชวนตื่นเต้นเกินไปจริงๆ โจวลั่วหยางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ตัวเองได้ประสบกับเหตุการณ์ตำรวจไล่จับผู้ร้ายที่หลบหนีเหมือนในภาพยนตร์ และที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือตัวเขาเองกับตู้จิ่งยังกลายเป็นผู้ร้าย! แถมยังช่วยคุ้มกันพยานฝ่ายโจทก์ให้หลบหนีอีกต่างหาก!

“นี่มันอาชญากรรมชัดๆ” โจวลั่วหยางโอดครวญ

“ยังไม่โดนจับก็ไม่นับหรอก” ตู้จิ่งสวน “เร็วเข้า!”

“ใส่รองเท้าแตะนี่นา!” โจวลั่วหยางหงุดหงิด “วิ่งเร็วได้ที่ไหน!”

โจวลั่วหยางสวมเสื้อคลุมอาบน้ำทั้งยังสวมรองเท้าแตะ จะถอดรองเท้าแตะทิ้งก็ไม่ได้เพราะห้ามทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ให้ตำรวจนอกเครื่องแบบตามเจอเด็ดขาด แม้จะเป็นรองเท้าข้างเดียวก็ตาม

“หยุดนะ!” ที่ฝั่งตรงข้ามของถนนด้านนอกมีตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้าอยู่ตามคาด ทันทีที่เห็นคนทั้งสามเปิดประตูออกมาก็วิ่งไล่ตามพลางตะคอกถาม “ใครน่ะ!”

“จะมากวาดล้างพวกค้ากามก็ไปกวาดล้างข้างบนสิ!” โจวลั่วหยางตะคอกกลับ

ตู้จิ่ง “…”

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ตำรวจนอกเครื่องแบบรีบใช้วิทยุสื่อสารแจ้งข่าวพรรคพวกที่อยู่บนอาคาร ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สามนายที่ไล่ตามมาด้านหลังก็ตะโกน “พบเป้าหมายแล้ว! ตรงทางออกประตูหนีไฟชั้นล่าง!”

สถานการณ์ตอนนี้กำลังย่ำแย่ ในขณะที่โจวลั่วหยางกำลังคิดว่าจะหนีไปทางไหนดี ตู้จิ่งกลับคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำของเขาไว้แน่นแล้วดึงจนเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวๆ ของโจวลั่วหยาง

“มีคนทำอนาจารผม! คุณตำรวจช่วยด้วย!”

“ทางนี้!” บางครั้งตู้จิ่งก็โกรธความคิดแบบสมองกลับทาง* ของโจวลั่วหยางไม่ลงจริงๆ

จวงลี่กำลังเล่นเกมมือถืออย่างเซ็งๆ บนที่นั่งฝั่งคนขับ ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางวิ่งพรวดพราดมาทางรถ อีกทั้งด้านหลังยังมีคนตามมาอีกคน

โจวลั่วหยางเปิดประตูรถแล้วมุดเข้ามาเป็นคนแรก ก่อนที่ตู้จิ่งจะตามมาติดๆ ส่วนอู๋ซิงผิงก็มองดูและทำได้เพียงนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ

จวงลี่ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบหมุนพวงมาลัยกลับรถตามที่เคยฝึกมาเป็นอย่างดีทันที ตำรวจนอกเครื่องแบบตามมาจนถึงลานจอดรถแล้วหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมา จากนั้นแสงแฟลชก็สว่างวาบ เป็นอันว่าถ่ายรูปรถยนต์ไว้ได้

โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ในทันทีว่าป้ายทะเบียนรถจะเผยฐานะของพวกเขา “ป้ายทะเบียนรถพวกนายจดไว้ในชื่อใคร”

“เอาผ้าดำคลุมป้ายทะเบียนไว้แล้วครับ” จวงลี่บอก “อย่าห่วงไปเลย มาที่โรงอาบน้ำแห่งนี้ต้องปิดแผ่นป้ายทะเบียนอยู่แล้ว”

อู๋ซิงผิงยังตกใจกลัวไม่หายอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ จวงลี่เตือน “คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยสิ”

โจวลั่วหยางที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังเอนพิงพนักพลางหอบหายใจ “ระทึกใจเกินไปแล้ว”

“นี่นับว่าระทึกอะไรกัน” ตู้จิ่งสวนกลับอย่างเย็นชาก่อนจะปลดกระดุมเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้วดึงคอเสื้อเพื่อถอดออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อผอมบางของลำตัวท่อนบนอันสมบูรณ์แบบ

“ไปที่ไหนครับ” จวงลี่ขับรถขึ้นทางยกระดับแล้วขับลง อ้อมผ่านถนนหลายสายก่อนจะจอดที่ข้างทาง แล้วรีบเดินลงไปปลดผ้าดำที่ปิดป้ายทะเบียนรถออก โจวลั่วหยางเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เบาะหลัง และด้วยความที่พื้นที่ตรงนี้แคบมาก บางครั้งจึงสัมผัสผิวเปลือยเปล่าของกันและกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตู้จิ่งสวมกางเกงสูทก่อน จากนั้นก็คาดเข็มขัดหนังแล้วค่อยสวมเสื้อเชิ้ต ส่วนโจวลั่วหยางก็เปลี่ยนกลับมาสวมชุดลำลองด้วยความรวดเร็วแล้วพูดขึ้น

“ไปห้องฉันไหม ที่ห้องไม่มีใครอยู่”

“เอ่อ…” จวงลี่เหลือบมองตู้จิ่งผ่านกระจกมองหลัง

ตู้จิ่งบอก “ไปสถานีรถไฟความเร็วสูง ซื้อตั๋วของคืนนี้สองใบ ไปไหนก็ได้”

เมื่ออู๋ซิงผิงได้ยินเขาสั่งถึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

“สามใบ” โจวลั่วหยางแก้

ตู้จิ่งไม่คัดค้าน พอติดกระดุมคอเสร็จก็สวมเสื้อสูททับ และแล้วเขาก็กลับมามีท่าทางไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้อีกครั้ง

“บริษัทไม่จ่ายค่าตั๋วให้คนในครอบครัว” ตู้จิ่งพูดเรียบๆ “ต้องออกเงินเองนะ”

โจวลั่วหยางตอบกลับ “ไม่เป็นไร นายมีเงินนี่”

 

ในสถานีรถไฟความเร็วสูง จวงลี่ซื้อตั๋วแบบส่งๆ เพื่อที่จะพาพวกเขาเข้าไปส่งในสถานี

โจวลั่วหยางพูดอย่างสบายๆ “ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดคิดจริงๆ”

“ให้ผมไปซื้อของว่างให้พวกคุณไหม” จวงลี่ถาม “ขึ้นรถเวลานี้คงไม่มีอะไรกินหรอกครับ”

“ไม่กินของว่างหรอก” ตู้จิ่งบอก “เขาก็ไม่กิน”

“แต่ฉันกิน บริษัทพวกนายยังรับสมัครพนักงานหรือเปล่า” โจวลั่วหยางถาม “ฉันก็เป็นผู้ช่วยได้นะ”

จวงลี่จึงคะยั้นคะยอ “ถ้าเกิดหิวบนรถขึ้นมาล่ะครับ ไปซื้อของกินสักหน่อยเถอะ”

ตู้จิ่งหยิบกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยเงินสดออกมาจากกระโปรงหลังรถ ก่อนจะหันไปพูดกับจวงลี่ที่เดินกลับมาจากการซื้อของกินเล่นอย่างรวดเร็ว “เอากลับไปไว้ที่ห้อง ห้ามแตะต้อง”

 

ตั๋วตู้นอนสามใบ ตู้หนึ่งอยู่ได้สองคนโดยมีเตียงบนกับเตียงล่าง โต๊ะเล็กๆ และโซฟาอย่างละตัว

รถไฟออกเดินทาง โจวลั่วหยางยังคงมองไปที่ชานชาลานอกหน้าต่าง…ตำรวจนอกเครื่องแบบไม่ได้ตามมา ตอนที่ชานชาลาเคลื่อนห่างจนลับสายตาไปท่ามกลางแสงไฟสลัวอย่างช้าๆ โจวลั่วหยางก็รู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด

ตู้จิ่งลุกขึ้น เดินไปเคาะประตูแล้วดึงตัวอู๋ซิงผิงเข้ามา ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งจะเหยียบลงบนขอบโซฟา เขาก้มลงผูกเชือกรองเท้าหนังแล้วพูดโดยไม่เงยหน้า

“ในห้องนาย เงินสี่แสนที่อยู่ใต้เตียงนอนยกให้นาย ตอนนี้เล่ามาได้แล้ว”

“นี่คือรถไปหังโจวหรือเปล่า” อู๋ซิงผิงถาม “ระหว่างทางฉันจะเลือกลงที่สถานีหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะโทรมาบอกนาย”

ตู้จิ่งเงยหน้ามองอู๋ซิงผิงแวบหนึ่ง ทำเอาอู๋ซิงผิงที่นั่งอยู่บนโซฟาอดที่จะเอนไปด้านหลังเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวไม่ได้

โจวลั่วหยางแกะถุงขนมที่จวงลี่ซื้อมาแล้วบอก “ถ้าอยากฆ่าปิดปากนายจริงๆ จะเอาเงินมากมายขนาดนี้ออกมาทำไม มันจะไม่ยุ่งยากเกินไปหน่อยเหรอ”

“พวกนายสองคน คนหนึ่งเล่นบทตัวร้าย อีกคนเล่นบทตัวดี” อู๋ซิงผิงยังคงไม่ขยับเขยื้อน “ตกลงกันได้ดี”

โจวลั่วหยางยื่นขวดเครื่องดื่มให้ตู้จิ่ง อีกฝ่ายรับไปบิดเกลียวเปิดฝาแล้วส่งคืน

“ให้นายดื่มต่างหาก” โจวลั่วหยางบอก “อาบน้ำเสร็จไม่หิวน้ำหรือไง”

“เดี๋ยวก่อน” ตู้จิ่งหักข้อนิ้ว อู๋ซิงผิงคิดว่าเขาจะเข้ามาทุบตีจึงรีบบอก “ฉันยอมเล่าแล้ว!”

ตู้จิ่งหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะล้วงเอาเครื่องบันทึกเสียงออกมาวางบนโต๊ะ เขารับเครื่องดื่มมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะเช็ดที่มุมปากแล้วจ้องมองอู๋ซิงผิง จากนั้นก็เลิกคิ้วทีหนึ่งเป็นสัญญาณว่า ‘อย่าบีบให้ฉันต้องลงมือนะ’

อู๋ซิงผิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นจึงหันกลับมามองตู้จิ่งอีกครั้ง

“พี่ใหญ่ของฉัน เขา…พวกนายรู้ชื่อของเขาหรือเปล่า”

“ฉันไม่สนชื่อของคนตายไปแล้วหรอก” ตู้จิ่งบอก “ใครให้พวกนายไปแบล็กเมล์อวี๋เจี้ยนเฉียง”

“ฉันไม่รู้” อู๋ซิงผิงตอบ “คนที่อยู่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาเป็นผู้แจ้งเบาะแสของเหยื่อที่เป็นเหมือนตู้เอทีเอ็ม เขาบอกพวกเราว่ามีคนที่เราจะขู่…ขู่เอาเงินได้…ได้เงินมาแล้วค่อยแบ่งกันสามส่วนเจ็ดส่วน”

“อธิบายให้ชัดๆ หน่อย” ตู้จิ่งสำทับ

โจวลั่วหยางแทบไม่เคยสัมผัสเรื่องอาชญากรรมมาก่อน เมื่อได้ยินอู๋ซิงผิงอธิบายเรื่องในแวดวงของพวกเขาก็รู้สึกตกใจ อู๋ซิงผิงถูกพี่ใหญ่ของเขาพาเข้าวงการ โดยพี่ใหญ่ที่ว่านี้เป็นหัวหน้ากลุ่มกลุ่มเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของมู่เหยี่ยเจ้าของกิจการโรงอาบน้ำอีกที มู่เหยี่ยมีลูกน้องในสังกัดหกคน กิจการโรงอาบน้ำแห่งนี้เน้นทำธุรกิจอาชญากรรมไซเบอร์ ในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจอาชญากรรมไซเบอร์ที่ว่าตกต่ำลงมากเพราะนโยบายของรัฐบาล ขอบเขตของการทำธุรกิจหลักๆ จึงเป็นการทวงหนี้จากสินเชื่อออนไลน์กับเงินกู้นอกระบบ

โจวลั่วหยางสนใจใคร่รู้เรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยโหด อย่างไรเสียช่วงก่อนหน้านี้เขาก็ไม่มีเงินจริงๆ จนเคยคิดจะยืมเงินกู้ที่หักดอกเบี้ย* แต่เมื่อมาคิดดูดีๆ แล้วเขาก็ยังไม่อยากรนหาที่

อู๋ซิงผิงไม่ได้อธิบายอะไรมากนักเกี่ยวกับธุรกิจทวงหนี้ แต่อธิบายถึงอาชีพหนึ่งที่ได้เงินไวนอกเหนือจากงานทวงหนี้อย่างละเอียด นั่นคืองานแบล็กเมล์

ทุกๆ ปีในประเทศจีนจะมีผู้ต้องโทษคดีทางเศรษฐกิจหลบหนีไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน คนจำนวนไม่น้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในสหรัฐฯ เม็กซิโก และที่อื่นๆ จึงไม่อาจถูกส่งตัวข้ามแดนกลับมาได้ หลังจากมีการหลบหนีไปต่างประเทศบ่อยครั้งเข้า ทางการจีนจึงจำต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากล พอนานวันผ่านไปก็จำเป็นต้องพักคดีไว้ก่อนชั่วคราว

ผู้ต้องโทษคดีทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วกุมเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีของผู้สมรู้ร่วมคิด ทั้งการสมคบกับพ่อค้าข้าราชการ การยักยอกทรัพย์ กระทั่งคดีฆาตกรรมที่เกิดจากความขัดแย้งบางคดีก็ด้วย ทั้งนี้ผู้ต้องโทษที่หลบหนีไปยังต่างประเทศมักคุ้นชินกับการใช้ชีวิตและใช้จ่ายเหมือนตอนยังอยู่ในประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงมีไม่น้อยที่หลังจากออกนอกประเทศไปแล้วติดการพนัน ไม่ก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเหมือนน้ำไหล ไม่ช้าก็ใช้เงินที่นำออกไปด้วยจนหมดเกลี้ยง

เพื่อให้ได้เงินมาพวกเขาจึงนำความผิดที่ยังไม่ถูกตรวจสอบของอดีตผู้สมรู้ร่วมคิดไปมอบให้ผู้แจ้งเบาะแสในพื้นที่ เพื่อเอาไปใช้แบล็กเมล์อดีตผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีที่ยังอยู่ในประเทศ

เมื่อผู้แจ้งเบาะแสได้หลักฐานมาแล้วก็จะส่งข้อมูลให้คนอย่างพี่ใหญ่ของอู๋ซิงผิงที่อยู่ในจีนรับหน้าที่ไปจัดการ โดยให้พวกเขาดำเนินแผนการแบล็กเมล์ตามใจตัวเอง ควบคุมจนเป้าหมายไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ แล้วยอมควักเงินออกมาไกล่เกลี่ยเพื่อให้เรื่องเงียบ

พอได้เงินมาแล้วคนที่รับหน้าจัดการก็จะแบ่งให้พวกอู๋ซิงผิงสามส่วน และที่เหลืออีกเจ็ดส่วนก็จะทำการโอนไปยังต่างประเทศโดยผ่านธนาคารใต้ดิน ทั้งนี้ผู้แจ้งเบาะแสจะได้ไปทั้งสิ้นสี่ส่วน จากนั้นสามส่วนที่เหลือจึงค่อยมอบให้กับคนที่ให้เบาะแส

กรณีของอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่าง เขาถูกหมายตาให้เป็นตู้เอทีเอ็ม ส่วนคนให้เบาะแสก็คือคู่รักที่หลบหนีออกนอกประเทศไปหลังจากบีบคอหวังเค่อจนตายในตอนนั้น พวกเขามีชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศอย่างยากลำบากและสิ้นหวัง จึงพยายามตามหาแก๊งอันธพาลชาวจีนในสหรัฐฯ จนพบ แล้วนำบันทึกมากมายของหวังเค่อในตอนที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ไปมอบให้ รวมทั้งสัญญาระหว่างบริษัทส่วนหนึ่งเพื่อใช้แบล็กเมล์อวี๋เจี้ยนเฉียง

และเพื่อปกป้องทุกสิ่งของตัวเองในตอนนี้ อวี๋เจี้ยนเฉียงจึงยอมมอบเงินให้แต่โดยดี และภายในช่วงเวลาสามเดือนเขาก็ถูก ‘ขอ’ เงินไปแล้วสองล้าน

อู๋ซิงผิงพูดว่า “ก็…คล้ายๆ กับวิธีโรมานซ์สแกม** ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นแหละ”

“รูปแบบสมบูรณ์มาก” นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางได้รับรู้เรื่องนี้ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ นั่นคือเงินก็เอาไปแล้ว แล้วทำไมยังต้องฆ่าคนด้วย

ส่วนตู้จิ่งนั้นรู้เกี่ยวกับห่วงโซ่ของธุรกิจนี้นานแล้ว เรื่องเดียวที่เขาสนใจก็คือคำตอบของอู๋ซิงผิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างหาก

 

* ไคว่โส่ว เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับคลิปวิดีโอสั้นๆ นิยมใช้ในประเทศจีน คล้ายแอพพลิเคชั่น TikTok

* สมองกลับทาง เป็นคำสแลง หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมและความคิดแตกต่างจากคนส่วนใหญ่

* หักดอกเบี้ย หมายถึงเงินส่วนหนึ่งที่ถูกหักออกจากเงินต้นก่อนจะปล่อยกู้ให้ผู้กู้ยืม มีเฉพาะในเงินกู้ดอกเบี้ยโหดหรือเงินกู้ใต้ดิน

** โรมานซ์สแกม (Romance Scam) คือวิธีที่กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงเหยื่อผ่านทางโลกออนไลน์ โดยจะหลอกให้เหยื่อหลงรักหรือเชื่อใจ แล้วสุดท้ายก็หลอกเอาทรัพย์สินของเหยื่อ หรือหลอกใช้ให้เหยื่อกระทำความผิดเพื่อตัวเอง

บทที่ 14

คำตอบของอู๋ซิงผิงเหมือนอย่างที่โจวลั่วหยางคิดเอาไว้ทีเดียว

“พี่ใหญ่คบค้ากับผู้แจ้งเบาะแส เถ้าแก่มู่เคยเตือนว่าเลิกรับงานเอทีเอ็มได้แล้ว เพราะน่ากลัวว่าพอตู้เอทีเอ็มถูกบีบคั้นมากเข้าจะพลอยทำให้ทุกคนถูกปราบปรามกวาดล้างไปด้วย พี่ใหญ่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร บอกแค่ฉัน พอทำสำเร็จก็ได้เงินมาสิบล้าน ฉันกับเขาแบ่งกัน…สองส่วนกับแปดส่วน”

ตู้จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะ

“ฉันไม่ได้โกหกนะ” อู๋ซิงผิงโอด

ตู้จิ่งกล่าว “นายรู้ไหมว่าคืนนั้นจะไปฆ่าอวี๋เจี้ยนเฉียง”

อู๋ซิงผิงรีบโต้ “ไม่รู้ พี่ใหญ่บอกแค่ว่าจะไปสั่งสอนเขาสักหน่อย”

อู๋ซิงผิงมีสีหน้าสลดอย่างยิ่ง เงินสิบล้านสำหรับเขานั้นช่างเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เงินก้อนนี้ไม่ว่าเขาจะหาอีกสักกี่ชาติก็คงหาไม่ได้ หรือต่อให้เก็บหอมรอมริบอย่างไรก็คงไม่ได้มากเท่านี้ มันมากพอจะทำให้คนมากมายยอมเสี่ยง

“นายแน่ใจได้ยังไงว่าอีกฝ่ายจะเอาเงินก้อนนั้นให้นาย” โจวลั่วหยางพูดถึงอีกจุดหนึ่งที่ยังสงสัย

อู๋ซิงผิงติดตามพี่ใหญ่มานานแล้ว จะมากจะน้อยย่อมรู้เรื่องนี้ จึงบอกว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อก่อนก็พูดคำไหนคำนั้นทุกครั้ง เอาเงินมาให้ทุกที”

ตู้จิ่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ อู๋ซิงผิงไม่เข้าใจความนัยของเขา

“มือถือ” ตู้จิ่งบอก

อู๋ซิงผิงจึงล้วงเอามือถือออกมาวางบนโต๊ะ ตู้จิ่งพูดต่อ “รหัส”

อู๋ซิงผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยยอมบอกรหัส

ตู้จิ่งถาม “สองวันมานี้มีคนเพิ่มชื่อนายเป็นเพื่อนไหม”

อู๋ซิงผิงจึงว่า “ฉัน…ปิดมือถือน่ะ พี่จงเตือนฉันเป็นพิเศษ กลัวจะมีคนระบุตำแหน่งฉันได้”

“พี่จงเป็นใคร”

“คนที่สวมแว่นตา” อู๋ซิงผิงตอบ “เขาเป็นกุนซือของเถ้าแก่”

“ซิม” ตู้จิ่งสั่ง

อู๋ซิงผิงนิ่งเงียบไปนาน ตู้จิ่งจึงบอก “ฉันต้องใช้วีแชตของนาย เงินสี่แสนเป็นของนายแล้ว พอฟ้าสางจะลงสถานีไหนก็เชิญ”

อู๋ซิงผิงไม่อิดออดอีกต่อไป ก่อนจะนำซิมออกมาให้เขา แถมยังส่งเข็มจิ้มถาดซิมมาให้ด้วย

“ปล่อยเขาไปเถอะ” โจวลั่วหยางเอ่ย

“ไปซะ” ตู้จิ่งพูดขึ้นในที่สุด

 

รถไฟวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด โจวลั่วหยางมองซิมกับเข็มจิ้มถาดซิมที่วางไว้บนโต๊ะ นิ้วเรียวยาวของตู้จิ่งหยิบเข็มขึ้นมาลองเสียบเข้าไป โจวลั่วหยางที่นั่งอยู่บนโซฟารับมาแล้วช่วยเขาใส่ซิมมือถือของอู๋ซิงผิงลงในถาดใส่ซิมที่ดีดออกมา

ตู้จิ่งขยับนู่นนี่สักพักก่อนกดปุ่มเปิดเครื่องแล้วปลดล็อก เขาเข้าสู่ระบบวีแชตของอู๋ซิงผิงเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงไล่ดูรายชื่อผู้ติดต่อใหม่ แล้วก็พบว่ามีสองคนที่เพิ่มอู๋ซิงผิงเป็นเพื่อน

ตู้จิ่งใช้มือถือตัวเองถ่ายภาพหน้าจอของผู้ติดต่อสองคนนั้นแล้วปิดมือถืออีกครั้ง ก่อนจะเก็บทั้งมือถือและซิมของอู๋ซิงผิงเอาไว้

เมื่อเห็นโจวลั่วหยางหาวหวอด ตู้จิ่งจึงถาม “ง่วงแล้ว?” ตอนนี้ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว โจวลั่วหยางเหนื่อยล้ามาก ตู้จิ่งจึงบอก “บอกแล้วว่าอย่าตามมาทำงาน”

โจวลั่วหยางแย้ง “ฉันเป็นคนจิตใจดี ไม่อยากให้นายออกมาทำงานคนเดียว แบบนั้นมันน่าเบื่อเกินไป”

ตู้จิ่งตอบกลับ “ถ้านายไม่มาด้วย ฉันก็ลงรถไฟสถานีหน้า ซื้อตั๋วสักใบเดินทางกลับไปแล้ว”

“แต่นายทำงานล่วงเวลามาเกินกว่าครึ่งแล้วนะ ครึ่งคืนเข้าไปแล้วยังไม่เรียบร้อย แถมยังต้องวิ่งแจ้นออกมาทำงานนอกสถานที่อีก นายต้องไม่พอใจมากๆ แน่ บางทีนายอาจลงไม้ลงมือกับน้องชายคนนั้นไปแล้วก็ได้”

“ฆาตกรไม่มีค่าให้เห็นใจหรอก”

“เขาไม่ได้ฆ่าใคร เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่เดินทางผิด แล้วหาทางเอาตัวให้รอดอย่างหนักก็เท่านั้นเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืนนั้นจะต้องตามลูกพี่ไปฆ่าคน เขาไม่ได้ฉลาดนัก คนส่วนใหญ่บนโลกก็เป็นแบบนี้ เป็นแค่คนธรรมดาสามัญ มีคนที่ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองทำผิดตรงไหนด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือ ละทิ้งการศึกษา เลยไม่มีโอกาสจะเดินไปในหนทางที่ดี”

แสงไฟนอกหน้าต่างสว่างวาบกวาดผ่านใบหน้าด้านข้างของตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางไปอย่างรวดเร็ว

“นายเป็นอย่างนี้เสมอเลยนะ” ตู้จิ่งกล่าว “นายเป็นคนอ่อนโยน ฉันขอคืนคำ นายไม่เปลี่ยนไปเลย”

ตู้จิ่งยื่นมือออกมาเหมือนอยากจะลูบใบหน้าของโจวลั่วหยาง ทั้งยังเหมือนอยากจะลูบศีรษะด้วย แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะหดมือกลับไปวางบนโต๊ะ

“เอายามาด้วยกี่วัน” โจวลั่วหยางถาม

“สามวัน พอน่า” ตู้จิ่งบอก “ไม่อยากทรมาน ไว้ตื่นแล้วค่อยคุย นอนกันเถอะ”

โจวลั่วหยางพูดขึ้น “ฉันอยากล้างหน้าบ้วนปาก”

“บอกแล้วว่าอย่ากินขนม”

ตู้จิ่งจำต้องลุกขึ้นไปที่ตู้เสบียง แล้วตามหาพนักงานที่อยู่ตรงแผนกขายของ ก่อนจะซื้อยาสีฟัน แปรงสีฟัน และผ้าเช็ดตัวมาให้โจวลั่วหยาง หลังโจวลั่วหยางจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็สบายตัวขึ้นมาก ที่ผ่านมาเขาปรับตัวใช้ชีวิตแบบคนทางเหนือไม่ค่อยได้ แต่พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่เลว ต่อไปคงได้ไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำกับตู้จิ่งบ้างเป็นครั้งคราว

เขานอนเตียงบน ส่วนตู้จิ่งนอนเตียงล่าง โจวลั่วหยางชะโงกหน้าออกมาดู อยากบอกเขาว่าราตรีสวัสดิ์ แต่กลับเห็นว่าตู้จิ่งยังลืมตาอยู่ เขาไม่ได้ห่มผ้า ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ต ท่อนล่างสวมกางเกงสูท และเป็นเพราะที่นอนสั้นเกินไปสองขาเลยต้องขดอยู่อย่างไม่ค่อยสบายนัก

“นอนไม่หลับเหรอ” โจวลั่วหยางถาม

“กำลังคิดเรื่องเมื่อก่อนอยู่น่ะ” ตู้จิ่งตอบ

“ให้นาย”

โจวลั่วหยางยื่นของสิ่งหนึ่งลงมาจากเตียงด้านบน ตู้จิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“เร็วขนาดนี้เชียว?”

สิ่งนั้นคือนาฬิกาข้อมือที่โจวลั่วหยางรับปากว่าจะยกให้หลังจากที่ใส่สายแล้ว และโจวลั่วหยางก็ได้จัดการใส่สายโลหะให้เรียบร้อยแล้ว

“ยินดีด้วยที่นายได้งาน” โจวลั่วหยางตอบอย่างผ่อนคลาย “นายหางานที่น่าสนใจทำได้ ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นายเข้าไปทำงานสายนี้ แต่ฉันว่าจะต้องมีอุดมการณ์ของนายอยู่ด้วยอย่างแน่นอน”

ตู้จิ่งยื่นมือไปกุมนิ้วมือของอีกฝ่าย นาฬิกาเรือนนั้นจึงลื่นลงจากมือของโจวลั่วหยางมาสวมบนข้อมือของเขาพอดี โจวลั่วหยางกดล็อกที่สายโดยไม่ต้องมองด้วยซ้ำ มีเสียงคลิกดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณว่าสายนาฬิกาเข้าที่แล้ว

สายนาฬิกาคาดได้พอดิบพอดี ราวกับทำมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ

“แลกกันสิ” โจวลั่วหยางทวง เขาใช้นิ้วเกี่ยวสายรัดข้อมือยางบนข้อมือของตู้จิ่งแล้วทำท่าจะดึงออก

“รอเดี๋ยว…” ตู้จิ่งหดมือกลับ แต่โจวลั่วหยางกลับไม่ยอมปล่อย สายรัดจึงโดนดึงจนขาด

ทั้งสองเงียบงันกันอยู่นาน ก่อนที่ตู้จิ่งจะพูดขึ้นในความมืด “กระเด็นไปตรงไหนแล้ว”

“ไม่ต้องหาแล้ว” โจวลั่วหยางห้าม “ไม่เอาแล้ว ถือว่าหายกัน”

ตู้จิ่งเองก็ไม่ดึงดัน เขาขยับให้หน้าปัดนาฬิกาข้อมือหันเข้าหาตัวเอง ก่อนจะมองชื่นชมหน้าปัดโดยอาศัยแสงสลัว ในสิบสองมุม เหลี่ยมมุมของแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสามชิ้นซ่อนเหลื่อมกันพลางเดินไปอย่างเชื่องช้า พวกมันทั้งสามเคลื่อนที่ไปอย่างไร้ระเบียบในหนึ่งวัน หลังผ่านการหมุนวนอันยาวนานแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมทั้งสามชิ้นก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมในช่วงเวลาพิเศษสองครั้งคือเที่ยงคืนและเที่ยงวัน ดูคล้ายกุหลาบงามสีครามที่แบ่งบาน

ตู้จิ่งตอบกลับ “ขอบคุณนะ ฉันจะอุทิศตัวเพื่ออุดมการณ์นี้ไปชั่วชีวิต”

“ ‘อุดมการณ์’ บางครั้งก็เดิน บางครั้งก็หยุด” เสียงของโจวลั่วหยางดังมาจากเตียงด้านบน “อายุของมันยาวนานเกินไป ฉันไม่กล้าไปยุ่มย่ามกับมัน บางครั้งฉันก็อาจต้องใช้พลังกับเรื่องที่ว่านี้มากหน่อย”

ตู้จิ่งตอบ “เลือกแล้วก็ต้องลงแรงด้วยสิ โลกใบนี้คึกคักวุ่นวาย ใครบ้างไม่ต้องลงแรง”

ในความมืดตู้จิ่งจ้องมองเวลาบนหน้าปัดไหลเลื่อนไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว

โจวลั่วหยางพูดขึ้นอีก “ชอบของขวัญชิ้นนี้ไหม ไม่ต้องดูแล้ว อยากให้นอนเป็นเพื่อนหรือเปล่าล่ะ”

ตู้จิ่งขยับไปด้านข้างอย่างไม่คล่องตัวนัก “เบียดเกินไป ไม่อยากฝืน”

โจวลั่วหยางจึงลงจากเตียงบน ถ้านับเวลาตั้งแต่คืนวาน ตู้จิ่งน่าจะไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว

ที่นอนในรถไฟแคบมาก ตู้จิ่งคนเดียวยังแทบนอนไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอนเบียดกับโจวลั่วหยางเลย ดังนั้นแล้วตู้จิ่งจึงต้องแนบร่างเบียดโจวลั่วหยางทางด้านหลังเพื่อที่จะได้ไม่ตกเตียง

“นานแล้วเนอะที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น” โจวลั่วหยางรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของตู้จิ่งจึงถามขึ้น

“ลืมไปแล้ว” ตู้จิ่งบอก “เอาแต่นอนหลับไม่สนิท”

รถไฟชะลอความเร็วและหยุดลงที่สถานี โจวลั่วหยางถูกผลักไปทางตู้จิ่งเบาๆ ด้วยแรงเฉื่อย ตู้จิ่งโอบแขนไว้ตรงเอวเขาแล้วกอดเขาไว้

“ตัวนายดูเป็นเพศไหนก็ได้” ตู้จิ่งบอก “มีปฏิกิริยาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ คนที่กอดแพะแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองยังมีเลย”

โจวลั่วหยางตอบกลับอย่างจนใจ “ก็ฉันกลัวว่าอีกสักพักเดี๋ยวนายจะหลับ เกิดไม่ระวังกางเกงมันจะ…ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องซักชุดสูทจะไม่สะดวกนะ”

ตู้จิ่งพูดความจริง “ตั้งแต่หกวันก่อน ยังเก็บไว้ได้อีกหลายวัน ที่นายกังวลก็มีเหตุผล ถ้าจำเป็นงั้นฉันถอดกางเกงดีไหม”

โจวลั่วหยางคิดในใจ ทำอย่างนั้นยิ่งประดักประเดิดเข้าไปใหญ่ จึงตอบไปว่า “อย่าเลย นอนเถอะ”

ตู้จิ่งอยากลุกขึ้นมานั่ง ด้วยไม่อยากนอนแล้ว แต่โจวลั่วหยางกลับกดมือลงบนหลังมือของตู้จิ่งที่วางอยู่บนเอวของตัวเองอีกที ตู้จิ่งจึงเลิกดึงดันแล้วหลับตาลง และในไม่ช้าก็หลับไป

 

โจวลั่วหยางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของตู้จิ่งที่อยู่ด้านหลัง ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอมากเวลานอนหลับ อีกทั้งไม่เคยนอนกรน เกรงว่าการออกแรงเมื่อตอนกลางวันคงจะทำให้เขาเหนื่อยมาก ตกกลางคืนจึงนอนหลับสนิท และดูเหมือนว่าเขาจะพยายามระวังตัว ด้วยกลัวจะกระทบสิ่งแวดล้อมรอบด้าน

ท่านอนของเขาเรียบร้อยมาโดยตลอด ส่วนโจวลั่วหยางนั้นดิ้นได้จากหัวเตียงถึงปลายเตียง ดิ้นจากฝั่งซ้ายไปถึงฝั่งขวา บางครั้งก็ตกเตียงเลยทีเดียว

โจวลั่วหยางหวนนึกถึงร่างกายของตู้จิ่งตอนอยู่ในโรงอาบน้ำ…ความรู้สึกตื่นเต้นที่เลือนหายไปก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง

ครั้งแรกที่ได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของตู้จิ่งคือที่หอพัก ก่อนหน้านั้นโจวลั่วหยางไม่ได้รู้สึกว่าการเห็นร่างกายของเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วน อย่างไรเสียเขาก็ไม่เคยเกิดอารมณ์กับเพศเดียวกันอยู่แล้ว

วันนั้นตู้จิ่งกำลังอาบน้ำ แต่อาบไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็ตะโกนเรียกเขาจากในห้องน้ำ ‘ลั่วหยาง! ลั่วหยาง!’

โจวลั่วหยางกำลังฟังเพลง ตู้จิ่งจึงต้องตะโกนอยู่หลายครั้งกว่าเขาจะได้ยิน จากนั้นโจวลั่วหยางก็ไปเคาะประตูห้องน้ำพลางถาม ‘เป็นอะไรไป’

ตู้จิ่งไม่ตอบ โจวลั่วหยางกลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงเปิดประตูเข้าไป ประตูไม่ได้ล็อก ปกติพวกเขาไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำอยู่แล้ว เพราะอย่างไรในห้องก็มีกันแค่สองคน

ตู้จิ่งยืนอยู่ใต้ฝักบัว สบู่เหลวผสมกับน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ไหลลงมาตามกล้ามเนื้ออันผอมเพรียวของเขา ศีรษะเต็มไปด้วยฟองยาสระผม เขามองโจวลั่วหยางด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วบอก ‘น้ำไม่ไหล’

ปฏิกิริยาแรกของตู้จิ่งเมื่อพบว่าน้ำไม่ไหลคือเรียกโจวลั่วหยาง แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าทำอย่างนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ด้วยโจวลั่วหยางไม่สามารถทำให้น้ำกลับมาไหลได้ เขาจึงเงียบไปอย่างรวดเร็ว

แต่โจวลั่วหยางเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นการโจมตีทางทัศนวิสัยที่มาจากเรือนร่างของรูมเมต ประกอบกับตู้จิ่งที่ท่าทางยังสระผมไม่เสร็จดี โจวลั่วหยางก็หัวเราะลั่นขึ้นมา ตู้จิ่งโมโหมาก เขาบิดฝักบัวหลายหน จากนั้นก็พลอยหัวเราะไปด้วยอย่างเก้อๆ

โจวลั่วหยางรู้ตัวทันทีว่าไม่ควรหัวเราะ แต่ก็ประหลาดใจที่ได้เห็นตู้จิ่งหัวเราะเป็นครั้งแรก

‘ฉันจะไปเอาน้ำร้อนให้นายสักหน่อยก็แล้วกัน’ โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ว่าในห้องพักมีถังใส่น้ำดื่มอยู่

‘ไม่ต้องยุ่งยากหรอก’ ตู้จิ่งห้าม ‘น้ำเย็นก็ได้ ฉันจะล้างผมสักหน่อย’

โจวลั่วหยางยกถังน้ำดื่มเทใส่ถังน้ำแล้วเทน้ำร้อนผสมลงไป ก่อนจะบอกให้ตู้จิ่งนั่งลง

‘ฉันจะล้างผมให้ น้ำเย็นหน่อยนะ’

ตู้จิ่งจึงนั่งบนม้านั่ง จากนั้นโจวลั่วหยางก็ราดน้ำล้างฟองบนตัวเขาแล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้

‘ขอบคุณนะ’ ตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางสบตากัน โดยที่โจวลั่วหยางทอดสายตามองเขานานหน่อย ตู้จิ่งเลยมองตามสายตาของโจวลั่วหยาง แล้วก้มลงมองร่างกายของตัวเอง

โจวลั่วหยางบอก ‘นายหุ่นดีจริงๆ’

เขามองตรงบริเวณเอวและต้นขาของตู้จิ่งซึ่งมีรอยแผลเป็นเด่นชัดอยู่สองแห่ง ทว่าเรือนร่างของอีกฝ่ายนั้นงดงามจริงๆ นับว่าได้สัดส่วน ถึงผอมสูงแต่ก็มีกล้ามเนื้อ อีกทั้งกล้ามนั้นมีขนาดไม่เล็กเลย ดูแล้วสมเป็นชาย เวลาปกติทุกคนสวมเสื้อผ้า โจวลั่วหยางจึงไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าหุ่นของตู้จิ่งจะดีขนาดนี้

เขาไม่ได้จ้องมองตู้จิ่ง ถึงแม้จะจ้องมองร่างกายของเพศเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มาจากความชื่นชมในสิ่งสวยงามโดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับอารมณ์พรรค์นั้น เหมือนตอนเห็นคนเพศเดียวกันที่ออกกำลังกายจนหุ่นดีในยิม บางครั้งโจวลั่วหยางก็จะมองนานหน่อย

‘มีแผลเป็นเยอะ’ ตู้จิ่งพูด ‘ไม่ตกใจเหรอ’

โจวลั่วหยางจึงว่า ‘เมื่อกี้ฉันเห็นนายหัวเราะ นายหัวเราะแล้วดูดี น่าจะหัวเราะบ่อยๆ’

ว่าแล้วโจวลั่วหยางก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำ

‘สรรหาวิธีมาชมฉันทุกวัน’ ตู้จิ่งสวมกางเกงขายาว เช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู แล้วออกมานั่ง ‘ฉันไม่ได้ดีขนาดนั้นอย่างที่นายว่า ไม่ต้องหาเรื่องมายกยอฉันแล้ว’

‘ก็รูปร่างนายเซ็กซี่จริงๆ นี่ ผิวขาว ไหล่กว้าง ช่วงเอวสวย มีวีไลน์ด้วย’ โจวลั่วหยางหันไปมองตู้จิ่งพลางอธิบาย ‘ไม่ได้ยกยอนายซะหน่อย บางครั้งที่ฉันดูหนังก็สนใจร่างกายนักแสดงชาย มีอะไรต้องเขินเล่า’

ตู้จิ่งพลันโมโหขึ้นมา ‘ฉันไม่หล่อ อย่ามายกยอฉันอีก ฉันไม่ชอบ! เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว!’

‘โอเค ขะ…ขอโทษแล้วกัน…’ โจวลั่วหยางไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นนี้ เขาเลยจำต้องบอกอย่างกระอักกระอ่วน ‘ฉันก็แค่…เอ่อ…อิจฉานายนิดหน่อยน่ะ’

‘นายลองฝึกยิงธนูสิ’ ตู้จิ่งเปลี่ยนเรื่องพูด ‘ไปเข้าชมรมยิงธนู บ่าจะได้ขยาย นายก็หุ่นดี มีความเป็นเพศไหนก็ได้ เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง ออกกำลังกายอีกหน่อยก็ได้แล้ว แต่อย่าหักโหมมากไปก็พอ’

โจวลั่วหยางพยักหน้าแล้วเลิกคุยเรื่องนี้ แต่พอผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงตู้จิ่งก็พูดขึ้นมา

‘ขอโทษด้วยนะ ลั่วหยาง’

โจวลั่วหยาง ‘…?’

ตู้จิ่งอธิบาย ‘เมื่อกี้ฉันพูดไม่ค่อยดีใช่ไหม’

โจวลั่วหยางรีบบอก ‘เปล่าๆ ฉันต่างหากชอบพูดไม่คิด’

ตู้จิ่งจึงว่า ‘บางครั้งฉันก็ชอบน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองและอ่อนไหวง่าย ลั่วหยาง นายไม่ได้พูดอย่างนั้นเพราะสงสารฉันใช่ไหม’

‘จะเป็นไปได้ยังไง’ โจวลั่วหยางดันโต๊ะเขียนหนังสือแล้วหันหลังมาโดยยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน เขาหันหน้าไปทางตู้จิ่งก่อนจะพูดอย่างจริงจัง ‘ไม่มีทางอะ ทำไมนายคิดอย่างนี้’

ถึงตอนที่พูดโจวลั่วหยางจะจริงใจแค่ไหน แต่ก็ยังมีความประหม่าอยู่บ้าง

‘นายเป็นคนดีมากๆ’ ตู้จิ่งถอนหายใจก่อนตอบกลับ ‘นายคิดถึงความรู้สึกฉัน ชอบพาฉันออกไปเที่ยวเล่นเป็นพิเศษ ฉันรู้ดี ทุกครั้งที่ฉันบอกว่าฉันจะไปเป็นเพื่อนนาย ฉันเข้าใจแล้วว่านายต่างหากที่ออกไปเที่ยวเป็นเพื่อนฉัน นายอยากให้ฉันออกไปผ่อนคลายบ้าง’

โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ‘ใครไปเป็นเพื่อนใครมันสำคัญมากเหรอ ตู้จิ่ง ทุกครั้งที่ฉันบอกว่าจะไปข้างนอกเพราะฉันอยากออกไปจริงๆ วันๆ เอาแต่อยู่ในมหา’ลัยฉันก็ต้องเบื่ออยู่แล้ว’

ตู้จิ่งเงยหน้าขึ้นมองโจวลั่วหยาง ชั่วขณะนั้นโจวลั่วหยางคล้ายกับรับรู้ได้ว่าตู้จิ่งอาจมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอก อาจจะเกี่ยวกับอาการป่วย หรือเกี่ยวกับรอยแผลเป็นนั่นก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงลังเล

โจวลั่วหยางตัดบทอาการลังเลที่ว่านี้ด้วยการยิ้มแล้วบอก ‘นายเห็นห้องพักห้องอื่นไหม พวกเขาก็เหมือนกัน มีอะไรต่างกันล่ะ เรียนมหา’ลัยก็ต้องมีเวลาออกไปเที่ยวเล่นบ้าง ไม่อย่างนั้นวันๆ เอาแต่เรียนหนังสือด้วยตัวเอง ชีวิตจะน่าเบื่อแค่ไหนกัน’

ทันทีที่สิ้นเสียงโจวลั่วหยางก็หันกลับไปหน้าโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อปิดบังความประหม่า ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ‘พูดถึงเรื่องนี้ พรุ่งนี้ไปดูหนังกันไหม’

‘ไปสิ’ จู่ๆ สีหน้าของตู้จิ่งก็ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ‘ฉันซื้อตั๋วก่อนแล้วกัน’

หางตาของโจวลั่วหยางเห็นสีหน้าของตู้จิ่งแวบๆ ผ่านกระจกแต่งตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้ขึ้นมา เขาหวังจริงๆ ว่าตัวเองจะสามารถดูแลตู้จิ่งและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้ ต่อให้ตู้จิ่งยังต้องกินยาทุกวัน ต่อให้บางครั้งตู้จิ่งจะเงียบงันอย่างไม่มีความหมาย โจวลั่วหยางก็ยังหวังว่าอย่างน้อยช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เขาจะทำให้ตู้จิ่งมีความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตู้จิ่งเองก็ดีกับเขาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตู้จิ่งรับรู้ถึงความห่วงใยของโจวลั่วหยางแล้ว ในช่วงสั้นๆ ครึ่งปีมานี้ทุกครั้งที่พวกเขาออกไปเดินเล่นด้วยกัน ไม่ว่าตู้จิ่งจะซื้ออะไรก็จะซื้อให้โจวลั่วหยางด้วยอีกชิ้น

บางครั้งโจวลั่วหยางตื่นไม่ไหวในตอนเช้า เดิมทีคิดจะไปขอยืมสมุดเลกเชอร์ของเพื่อนร่วมชั้นที่เข้าเรียน แต่ตู้จิ่งกลับเข้าเรียนแทนเขา ทั้งยังจดแนวข้อสอบให้เรียบร้อย หลังผ่านช่วงเวลาครึ่งปีที่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาทั้งสองก็พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจนแข็งแกร่ง ส่วนมากเวลาที่โจวลั่วหยางเสนอความคิดเห็น ตู้จิ่งแทบจะไม่เคยเห็นต่างและทำตามเขาแทบทุกเรื่อง

ตอนแรกโจวลั่วหยางจะถามความเห็นของตู้จิ่ง แต่คำตอบของตู้จิ่งมักเป็น ‘ฉันไม่มีที่ที่อยากไป นายล่ะ’ ดังนั้นโจวลั่วหยางจึงรับหน้าที่เป็นคนตัดสินใจสำหรับพวกเขาทั้งสองคน บางครั้งเขาจะอ่านแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่งเพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีความเห็นอย่างไรกับกิจกรรมที่ตัวเองเสนอให้ทำ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่พบว่าตู้จิ่งมีความคิดเห็นอื่นใด

ทุกครั้งที่ตู้จิ่งระบายความรู้สึกไม่สบายใจของตัวเองลงในเวยป๋อ โจวลั่วหยางจะคิดหาวิธีมาทำให้เขาสนุกเบิกบาน ทำลายความสนใจจดจ่อของเขา เช่นออกไปข้างนอกด้วยกัน หรือไปทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อ นับตั้งแต่ช่วงนี้เขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทำแล้วประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คืองานปั้นดินโพลีเมอร์ ในร้านปั้นดินโพลีเมอร์ของศูนย์การค้า ผู้ชายสองคนสามารถนั่งปั้นดินกันได้ตลอดทั้งช่วงบ่ายเลยทีเดียว

ทั้งได้ทำหัวให้โล่ง ทั้งได้เพ่งสมาธิ จึงไม่มีโอกาสให้เขาได้ฟุ้งซ่าน ซึ่งอาจช่วยบรรเทาความรู้สึกหดหู่ของตู้จิ่งได้

 

สองชั่วโมงให้หลัง

‘ช่วงนี้ยังนอนไม่หลับเหรอ’ โจวลั่วหยางถาม

‘ดีขึ้นมากแล้ว’ ตู้จิ่งตอบ

โจวลั่วหยางจึงว่า ‘เพราะมีคนอยู่ข้างๆ นายถึงนอนหลับได้ดีใช่ไหม’

ตู้จิ่งยอมรับด้วยการตอบว่า ‘ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ’

โจวลั่วหยางกล่าว ‘ดันเตียงนายมาก็ได้นะ เอามาชิดกัน หน้าต่างด้านนายปิดไม่สนิท ตอนฤดูหนาวหนาวมากเลย’

ฤดูหนาวมาถึงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หน้าต่างบานนี้ตั้งแต่ฤดูร้อนจนถึงฤดูใบไม้ร่วง จนล่วงเข้าฤดูหนาวแล้วก็ยังไม่มีใครมาซ่อม โจวลั่วหยางเอาเทปกาวไปแปะไว้แต่ก็ยังไม่แน่นหนาพอ ยังคงมีลมหนาวพัดเข้ามาได้เล็กน้อย ขณะเดินเข้าออกระเบียงหรือดึงหน้าต่างก็มักสัมผัสถูกเทปกาวที่แปะไว้ดีแล้วอย่างง่ายดาย ทำให้โจวลั่วหยางหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว

ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไร โจวลั่วหยางจึงถามอีก ‘นายกลับบ้านตอนปีใหม่หรือเปล่า’

ตู้จิ่งส่ายหน้า โจวลั่วหยางจึงว่า ‘ฉันก็ไม่กลับ นายวางแผนอะไรไว้บ้าง’

‘ไม่มี’ ตู้จิ่งถามกลับ ‘นายล่ะ’

โจวลั่วหยางได้รับคำตอบที่คาดไว้แล้ว จึงบอกว่า ‘ถ้างั้นให้ฉันวางแผนเองเถอะ’

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสอง เรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงก็ได้เกิดขึ้นเหมือนพายุโหมสายฝนกระหน่ำ เล่นเอาโจวลั่วหยางตั้งตัวไม่ติด

อาการป่วยของตู้จิ่งถูกเปิดเผยออกมาในชั้นเรียนเพราะเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง

บทที่ 15

ต้นเหตุมาจากกลางดึกคืนหนึ่ง

โจวลั่วหยางพบว่าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้วที่แอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่งไม่มีการโพสต์อะไรเลย นี่เป็นเรื่องดีหรือแย่เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

หรือว่าตู้จิ่งจะจับได้แล้วว่าเขาแอบอ่าน?

โจวลั่วหยางรู้ดีว่าการทำแบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย อย่างไรเสียการแอบอ่านข้อความบรรยายชีวิตในแต่ละวันที่เป็นเหมือนไดอารี่ของรูมเมตตัวเองก็น่าสงสัยว่าจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว เขาคิดจะเลิกเปิดหน้าเพจนั้นอยู่หลายครั้ง แต่บางครั้งที่เห็นตู้จิ่งนั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ

ตั้งแต่เด็กโจวลั่วหยางไม่ได้เป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็น ตอนที่พบแอ็กหลุมนี้ก็ไม่ได้กระหายใคร่รู้ในเรื่องราวใดๆ เลยแม้แต่สักนิด แต่เขาแค่ตกใจที่อ่านเจอประโยคที่ว่า ‘นับวันยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่’ ก็เท่านั้น

หลังเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ พื้นที่ทางภาคตะวันออกของจีนเผชิญกับอุณหภูมิที่ลดฮวบ อาจเพราะได้รับผลกระทบจากฤดูกาล พฤติกรรมของตู้จิ่งจึงไม่ค่อยปกติ ราวกับอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วได้แช่แข็งคำพูดและความคิดของเขาไปพร้อมกัน คืนนี้โจวลั่วหยางไม่ได้อ่านเวยป๋อของตู้จิ่ง พอถึงเวลาห้าทุ่มโจวลั่วหยางก็เปิดไฟทิ้งไว้ให้ตู้จิ่งดวงหนึ่งด้วยความเคยชิน ก่อนจะสวมผ้าปิดตาแล้วเข้านอน

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจนปลุกให้โจวลั่วหยางตกใจตื่น

‘ใครน่ะ’ โจวลั่วหยางตกใจตื่นจากฝัน หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาทางลำคอ

‘ฉันเอง!’ เป็นเสียงหัวหน้าสาขาของโจวลั่วหยาง ‘โจวลั่วหยาง นายหลับแล้วเหรอ’

โจวลั่วหยางมีสีหน้างุนงง เขาพบว่าโคมไฟในห้องพักถูกปิดไปแล้ว ส่วนผ้าปิดตาก็ไม่รู้ว่าถูกใครถอดไปตั้งแต่เมื่อไหร่

‘ตู้จิ่ง’ โจวลั่วหยางเรียก

บนเตียงอีกหลังไม่มีใคร โจวลั่วหยางชักรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ เป็นดังคาดเตียงของตู้จิ่งว่างเปล่า เขาจึงเปิดประตูให้หัวหน้าสาขาเข้ามา

‘พวกเขากลับมาจากร้านอินเตอร์เน็ต เจอรูมเมตของนายริมทะเลสาบ ชื่อตู้จิ่ง…’

ทันทีที่โจวลั่วหยางได้ยินคำพูดนี้ในหัวสมองก็มีเสียงตู้มดังขึ้น แต่ยังดีที่ประโยคต่อมาของหัวหน้าสาขายังพอที่จะดึงสติของเขาเอาไว้ได้

‘…เขานั่งอยู่ริมทะเลสาบ ไม่พูดคุยกับใคร ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม หรือพวกนายทะเลาะกัน? นายไปให้กำลังใจเขาหน่อยดีไหม คงไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นหรอกนะ หรือว่าปลงไม่ตก?’

โจวลั่วหยางรีบสวมเสื้อผ้า ก่อนจะเดินตามหัวหน้าสาขาลงจากตึกไป เขาขอโทษผู้ดูแลหอพักพลางคิดในใจว่าตู้จิ่งออกไปได้อย่างไร ปีนลงมาจากชั้นสองหรือ ออกไปเมื่อไหร่ แล้วไปทำอะไรที่ริมทะเลสาบคนเดียวกลางดึกกลางดื่นกัน

เวลาตีสองลมพัดแรงในหังโจวท่ามกลางค่ำคืนของฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ริมทะเลสาบมืดสนิท ระหว่างที่นักศึกษาชายคณะวิศวะฯ เครื่องกลเดินกลับมหาวิทยาลัยก็บังเอิญเห็นเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ริมทะเลสาบ เขาพลันตกใจไม่น้อย และพอเดินเข้าไปถามก็พบว่าเป็นตู้จิ่งคนที่ไม่เคยพูดเคยจา

ตู้จิ่งเพียงพยักหน้าให้อย่างเย็นชาแล้วกลับไปนิ่งเงียบอีกครั้ง เขาเป็นเช่นนี้มาตลอดไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน แต่ในสายตาของเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ มันช่างแปลกประหลาดอย่างที่สุด

พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี จึงได้แต่ไปเคาะห้องของหัวหน้าสาขาแล้วแจ้งให้ทราบ หัวหน้าสาขาโทรหาโจวลั่วหยางแต่เขาไม่ได้รับสายเลยต้องมาหาถึงห้อง เพื่อที่จะให้โจวลั่วหยางไปช่วยแก้ไขสถานการณ์

ตอนที่โจวลั่วหยางไปถึง เขาก็เห็นเพื่อนนักศึกษาชายคนหนึ่งช่วยเฝ้าอยู่ไม่ไกล

พวกเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ กับตู้จิ่ง แต่ส่วนใหญ่เห็นแก่หน้าโจวลั่วหยางจึงช่วยเขา แน่นอนว่าคนทั้งคน ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงปล่อยให้ตายไปโดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้

โจวลั่วหยางกระซิบบอกขอบคุณ แล้วทำท่าบอกว่าเขาจะเข้าไปดูเอง ให้พวกเขากลับไปนอนได้แล้ว อากาศข้างนอกหนาวมาก แค่กางเกงกีฬากับเสื้อคลุมบางๆ ไม่เพียงพอที่จะกันลมได้ ทำให้เขาหนาวจนฟันกระทบกันดังกึกๆ

‘ตู้จิ่ง?’ โจวลั่วหยางไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป

พอตู้จิ่งได้ยินเสียงโจวลั่วหยางก็หันขวับไปทันที ในความมืดทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด

‘ลั่วหยาง?’ ตู้จิ่งเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นจึงเดินเข้ามาหาเขา

โจวลั่วหยางเห็นการตอบสนองอย่างนี้ก็วางใจขึ้นไม่น้อย เขาถาม ‘ทำไมนายไม่นอน’

ตู้จิ่งฟังออกว่าเสียงของโจวลั่วหยางสั่นจึงรีบถอดเสื้อคลุมให้เขาสวม ‘หนาวจะตาย! รีบกลับไปสิ!’

‘ฉันเห็นนายไม่อยู่ที่เตียง…’ โจวลั่วหยางบอก ‘ดึกป่านนี้นายมาทำอะไรริมทะเลสาบคนเดียว’

 

โจวลั่วหยางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อกลับมาถึงด้านล่างของหอพัก มือทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำจากอากาศที่หนาวจัด มือข้างหนึ่งของตู้จิ่งกุมมือเขาเอาไว้ แล้วจับจูงให้เดินไปโดยไม่ยอมพูดอะไร ส่วนมืออีกข้างนั้นถือขวดแก้วที่บรรจุโคลนไว้เต็มขวด นั่นเป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางจับมือกับผู้ชาย ฝ่ามือของตู้จิ่งอุ่นมาก จนทำให้ความกังวลของเขาหายไปจนหมดสิ้น

โจวลั่วหยางมองขวดใส่โคลนในมือของตู้จิ่งพลางถาม ‘นายลงจากตึกตอนตีสองเพื่อไปขุดไอ้นี่เนี่ยนะ’

ตู้จิ่งตอบรับหนึ่งเสียงแล้วกล่าว ‘เพิ่งนึกขึ้นได้น่ะ ไหนๆ ก็นอนไม่หลับเลยมานั่งริมทะเลสาบสักพัก’

‘นอนไม่หลับอีกแล้ว’ โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ‘ค่อยไปตอนกลางวันไม่ได้เหรอ’

ทั้งสองคนกลับเข้าห้องพัก โจวลั่วหยางแจ้งข่าวกลับไปยังหัวหน้าสาขา บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว เป็นแค่เรื่องตื่นตกใจกันไปเอง ตู้จิ่งเทโคลนแฉะๆ ลงไปในตู้ควบคุมอุณหภูมิสำหรับเลี้ยงเต่า จากนั้นก็เกลี่ยให้เรียบแล้วจึงค่อยไปล้างมือ เต่าบึงตัวนี้พวกเขาเก็บได้ตรงริมทางเดินนอกเจดีย์เหลยเฟิง

ตอนนั้นเจ้าเต่าน้อยกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วพลางไต่ข้ามราวกั้นออกมา น่ากลัวว่าจะถูกคนเหยียบเข้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเต่าที่คนซื้อมาปล่อย แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงหนีออกมาได้ตัวหนึ่ง

โจวลั่วหยางเก็บมันขึ้นมาแล้วหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อ เขาคิดที่จะโยนมันกลับเข้าไปในสระแต่ตู้จิ่งห้ามไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่าในสระมีเต่าแก้มแดงอยู่มาก ถ้าปล่อยกลับไปกลัวว่ามันจะถูกรังแก

โจวลั่วหยางจึงนำสัตว์ไม่มีเจ้าของตัวนี้กลับมาที่ห้องพัก แล้วซื้อตู้ควบคุมอุณหภูมิจากอินเตอร์เน็ตมา แต่มันไม่ค่อยกินอาหาร อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อม ตู้จิ่งจึงบอกว่า ‘ฉันจะลองหาทางดู’

วิธีที่เขาคิดได้คือสร้างสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติขนาดเล็กให้มันโดยการเอาพืชมาปลูก ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้เจ้าเต่าน้อยไม่รู้สึกหวาดกลัวกับโลกที่ไม่คุ้นเคยจนเกินไป

หลังเก็บของอย่างลวกๆ เสร็จทั้งสองก็เข้านอนอีกครั้ง โจวลั่วหยางเห็นว่าบนเตียงของตู้จิ่งยังมีแสงสว่างจากหน้าจอมือถือ แสงนั้นสะท้อนใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา

‘นอนหลับไหม นอนเถอะ’ โจวลั่วหยางชวน

‘ก็ได้’ ตู้จิ่งกดโพสต์เวยป๋อแล้วปิดมือถือ

ก่อนนอนโจวลั่วหยางก็อดที่จะอ่านไม่ได้ โดยครึ่งเดือนที่ผ่านมาตู้จิ่งโพสต์ไว้ในแอ็กหลุมเวยป๋อแค่โพสต์เดียวเท่านั้น

 

[หวังว่าเจ้าตัวน้อยจะแข็งใจมีชีวิตต่อไปเหมือนฉัน]

 

กระทั่งเช้าวันถัดมาโจวลั่วหยางยังคงครุ่นคิดถึงความหมายของโพสต์นั้นในเวยป๋อ รวมถึงสภาพจิตใจของตู้จิ่งที่ไปนั่งตากลมหนาวริมทะเลสาบตามลำพังดึกๆ ดื่นๆ ที่แท้เขาเป็นพวกรักอิสระสุดๆ หรือป่วยจนควบคุมตัวเองไม่ได้กันแน่

‘เฮ้ ลั่วหยาง’

ในชั้นเรียนวิชาเฉพาะเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งนั่งลงข้างเขาแล้วถาม ‘เมื่อคืนรูมเมตนายไม่เป็นไรใช่ไหม’

โจวลั่วหยางรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่เห็นตู้จิ่งนั่งอยู่ริมทะเลสาบคนเดียวเมื่อคืน จึงพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจพร้อมบอก ‘เดี๋ยวมื้อเที่ยงฉันเลี้ยงข้าวพวกนายเอง เมื่อคืนตู้จิ่งแค่…’

เพื่อนนักศึกษาคนนั้นมองที่แท่นบรรยาย อาจารย์กำลังเขียนบรรยายประเด็นข้อสอบปลายเทอม นี่เป็นคาบสุดท้ายก่อนวันหยุดปีใหม่ ส่วนตู้จิ่งนั้นไปร่วมกิจกรรมกับชมรมยิงธนู โดยสมาชิกชมรมจะกินมื้อเที่ยงร่วมกัน และในตอนเย็นโจวลั่วหยางได้นัดเขาไปเคานต์ดาวน์ด้วยกัน

‘นายเห็นนี่ยัง’

โจวลั่วหยางถูกตัดบท อีกฝ่ายส่งกระทู้ในเว็บบอร์ดมาให้ทางมือถือ

 

‘อาการป่วยทางจิตหนักขนาดนี้ อนุญาตให้เรียนมหา’ลัยได้ไง’

 

ทันใดนั้นโจวลั่วหยางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร เลยได้แต่มองเพื่อนนักศึกษา เพื่อนคนนั้นทำท่าให้เขาอ่านต่อไป

ปฏิกิริยาแรกของโจวลั่วหยางคือ ตู้จิ่งเป็นคนโพสต์บทความนี้เหรอ แต่พอไล่อ่านแล้ว โชคดีที่ไม่ใช่

คนโพสต์เป็นนักศึกษาทั่วไปที่ไม่ลงชื่อ เขียนบรรยายถึง ‘ผู้ป่วยทางจิต’ คนหนึ่งในชั้นเรียน

 

‘ตอนฝึกทหารก็รู้สึกแล้วว่าเขาดูแปลกๆ เพราะเอาแต่ล้างขวดน้ำหนึ่งใบซ้ำๆ ต้องล้างขวดเกือบยี่สิบนาทีทุกวัน แถมยังมีเพื่อนนักศึกษาบังเอิญเห็นเขาต้องกินยาเป็นกำทุกวันด้วย

ตอนเข้าเรียนหลังเปิดเทอมคนคนนี้มักจะนั่งแถวหลังสุด ใครคุยด้วยก็ไม่ยอมตอบ พลิกเปิดหนังสือจากหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายด้วยความรวดเร็ว แล้วเปิดกลับไปที่หน้าแรก ชอบเอานิ้วนางกับนิ้วก้อยคีบยางลบไว้ก้อนหนึ่ง สายตาทั้งเย็นชาและน่ากลัว ตอนมาเข้าเรียนเขาก็แต่งตัวเรียบร้อย แต่ต้องมีเสื้อคลุมติดมือมาด้วย มีคนสังเกตว่าเขาแค่เอาเสื้อคลุมมาในชั้นเรียนเท่านั้น แล้วถือกลับโดยไม่ได้สวมสักนิด

ในชั้นเรียนวิชาเฉพาะที่นั่งประจำของเขาอยู่แถวหลังสุดริมหน้าต่าง และในลิ้นชักที่นั่งของเขามีกระป๋องเครื่องดื่มใส่ไว้เต็มไปหมด

พอกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ไม่ว่าอาจารย์จะพูดจบหรือไม่ เขาจะเก็บหนังสือแล้วเดินออกไปเป็นคนแรก โดยเดินออกไปทางประตูหน้าห้องต่อหน้าทุกคนขณะที่ประตูเพิ่งเปิดได้บานเดียว

นอกจากเข้าเรียนก็กลับห้องพัก ไม่มากินอาหารร่วมกับใคร ส่งวีแชตไปไม่ตอบ เมื่อก่อนยังเห็นเขามาเรียนวิชาศึกษาทั่วไปพร้อมกับรูมเมต แต่ตอนหลังก็ไม่เข้าเรียนทั้งสองคน

ต่อมามีคนเห็นว่าดึกดื่นเขาไม่หลับไม่นอนอยู่หลายครั้ง เดินกลับไปกลับมาอย่างไร้จุดหมายที่ชั้นล่างของหอพักตอนตีสามกว่าๆ บางครั้งก็คุยกับต้นไม้ตอนตีสามตีสี่

บางครั้งตอนเวลาตีสามในฤดูหนาวก็จะมานั่งหลังตรงแหน็วบนม้านั่งยาวริมทะเลสาบ

ได้ยินว่าตอนเขาเข้าเรียน บันทึกในระเบียนระบุว่าเขาเป็นผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ไบโพลาร์’ ถ้าอาการป่วยกำเริบขึ้นมาจะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าคนได้หรือเปล่า น่ากลัวเกินไปแล้ว’

 

โจวลั่วหยางรู้ว่าคนที่บรรยายมานี้ต้องเป็นตู้จิ่งแน่ และคนโพสต์ก็น่าจะเป็นเพื่อนนักศึกษาในชั้นเรียนเดียวกันกับเขา

ด้านล่างมีคอมเมนต์ของฝ่ายกิจการนักศึกษา

 

ฝ่ายกิจการนักศึกษา : สิ่งที่นักศึกษาแจ้งมาเป็นที่เข้าใจได้ จะดำเนินการตรวจสอบและให้คำตอบที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วที่สุด

 

คอมเมนต์ด้านล่างต่อจากนั้นเป็นคอมเมนต์นิรนาม

 

คอมเมนต์นิรนาม : ฉันรู้จักคนที่คุณพูดถึง ฉันก็รู้สึกว่าเขามีปัญหาอยู่บ้าง ออกมาเดินตามถนนกลางดึก น่าตกใจจริงๆ นั่นแหละ

คอมเมนต์นิรนาม : สาขาอัตโนมัติละมั้ง ฉันก็รู้จัก คงจะเดินละเมอ?

คอมเมนต์นิรนาม : ใช่คนที่หน้าบากรึเปล่า

คอมเมนต์นิรนาม : (ข้อความนี้ถูกลบแล้วโดยผู้ดูแล)

คอมเมนต์นิรนาม : (ข้อความนี้ถูกลบแล้วโดยผู้ดูแล)

 

โจวลั่วหยาง ‘…’

ตอนที่โจวลั่วหยางอ่านจนถึงบรรทัดท้ายๆ เขารู้สึกโกรธมากจริงๆ จนถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

‘คอมเมนต์สุดท้ายถามว่าใช่ตู้จิ่งหรือเปล่า’ เพื่อนคนนั้นบอก ‘เขียนชื่อนามสกุลจริง แต่ถูกแอดมินลบไปแล้ว แต่ก็มีคนถามกันเยอะว่ากลางดึกเมื่อคืนวานเขาติดไม่ตกใช่ไหมว่าไปทำอะไร’

ชั่วขณะหนึ่งโจวลั่วหยางไม่รู้จะตอบอย่างไร เลยได้แต่บอกไปว่า ‘เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอื่นสักหน่อย ทำไมต้องไปซุบซิบนินทาในเว็บบอร์ดด้วย’

‘ฉันรู้’ เพื่อนคนนั้นว่า ‘ฉันไม่ใช่คนโพสต์กระทู้ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา ฉันเป็นห่วงนาย จริงไหมเรื่องที่เขากินยา แล้วเขาป่วยเป็นอะไรแน่’

ตอนแรกโจวลั่วหยางอยากบอกไปว่า ‘ฉันไม่รู้หรอก เขาไม่เคยบอก’ แต่พอมาคิดๆ ดูจึงเปลี่ยนคำพูด ‘ฉันไม่เคยถามเขา ไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวคนอื่น’

‘เขาไม่ได้ทำอะไรนายใช่ไหม’ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่คุยเล่นกันจนสนิทสนมกับโจวลั่วหยาง ‘เทอมหน้าอยากเปลี่ยนห้องพักไหม’

โจวลั่วหยางตอบเสียงแข็ง ‘ไม่เปลี่ยน เขาปกติดี’

คนคนนั้นตบบ่าโจวลั่วหยางอย่างเห็นใจแล้วพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก โจวลั่วหยางโกรธจนล็อกอินเข้าบัญชีตัวเองก่อนจะกดรายงานทุกข้อความ เหตุผลคือละเมิดความเป็นส่วนตัวของนักศึกษา ทั้งยังเขียน ‘เหตุผลอื่นๆ ที่รายงาน’ ยาวเหยียด สุดท้ายพอมาคิดๆ ดูแล้วก็ลบทิ้งทั้งหมด ทว่าแม้จะผ่านไปห้านาทีแล้วแต่ก็ยังโกรธไม่หาย เขาจึงกดรายงานอีกครั้งแล้วคอมเมนต์ตอบท้ายกระทู้นั้น โดยหลังจากที่กดรายงานไปห้าหกครั้งเขาถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

อีกคาบสองคาบหลังจากนี้โจวลั่วหยางตัดสินใจว่าจะไม่เรียนแล้ว ขณะที่ทุกคนนั่งพักผ่อนกับที่ เขาก็หอบหนังสือแล้วพรวดพราดออกไปทางประตูหน้าห้อง

 

‘เพื่อนในคลาสเดียวกับนายเป็นคนโพสต์หรือเปล่า’ โจวลั่วหยางถือมือถือมาถึงหน้าห้องเรียนสาขาอัตโนมัติ ก่อนจะยื่นให้หัวหน้าสาขาดู

วันนี้หลายชั้นเรียนบอกแนวข้อสอบปลายภาค หัวหน้าสาขาถูกขวางโดยไม่ทันตั้งตัว เขารับมือถือมาดูแค่แวบเดียว ไม่ได้อธิบายและไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว เพียงแค่ตอบมาว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าใครโพสต์’

ชัดเจนว่าพวกเขาได้อ่านกระทู้นั่นแล้ว โจวลั่วหยางพูดอย่างเดือดจัด ‘ใครโพสต์ เรียกมาคุยหน่อย’

หัวหน้าสาขาจึงบอก ‘ทำไมวันนี้ตู้จิ่งไม่มาเรียน เมื่อคืนเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม’

‘เขายังนอนหลับอยู่ที่ห้องพัก’

โจวลั่วหยางเดินผ่านหัวหน้าสาขาไป เมื่อเห็นนักศึกษาสาขาอัตโนมัติคนหนึ่งที่ตัวเองรู้จักก็ถามขึ้น

‘นายรู้ไหมว่าใครโพสต์กระทู้นี้’

นักศึกษาคนนั้นเผยสีหน้างุนงง เขาเหลือบมองแค่แวบเดียวเหมือนกันแล้วมองโจวลั่วหยาง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า แล้วทำท่าบอกโจวลั่วหยางว่าอาจารย์ยังบรรยายอยู่บนแท่นบรรยาย

‘ยังมีเรียนอีกสองคาบ’ คนคนนั้นบอก ‘อีกเดี๋ยวไว้นายค่อยไปถามหัวหน้าสาขาไหม’

‘เขาบอกแล้วว่าไม่รู้’ โจวลั่วหยางพูดเสียงดัง ‘เดี๋ยวฉันจะไล่ถามรายคนเลย เก่งแต่โพสต์แบบไม่ระบุตัวตนแต่ไม่กล้ารับใช่ไหม’

โจวลั่วหยางกวาดตามองทุกคน นี่เป็นชั้นเรียนขนาดใหญ่ โดยมีสาขาอัตโนมัติสองชั้นเรียนเรียนรวมกัน และเมื่อทุกคนได้ยินเสียงของโจวลั่วหยางก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองเขา

อาจารย์พูดขึ้น ‘โจวลั่วหยาง มีเรื่องอะไร เลิกเรียนค่อยถามได้ไหม’

หัวหน้าสาขาเดินเข้ามาบอกว่า ‘ลั่วหยาง อาจารย์ที่ปรึกษามีเรื่องจะคุยกับนาย ให้ไปพบที่ห้องพักอาจารย์ นายไปเถอะ’

 

อาจารย์ที่ปรึกษา รองคณบดี และอาจารย์อาวุโสที่ปู่ของโจวลั่วหยางรู้จักอยู่กันพร้อมหน้าในห้องประชุม โจวลั่วหยางเดินเข้าไปแล้วพยักหน้าให้อาจารย์อาวุโสพร้อมกับพูดว่า ‘ปู่ฉี’

‘ลั่วหยาง สวัสดี ปู่ของเธอสบายดีหรือเปล่า’ อาจารย์อาวุโสแซ่ฉีไต่ถาม

‘สบายดีครับ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘หลังเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่อสองปีก่อนก็พยายามฟื้นฟูร่างกายมาตลอด ตอนนี้พอจะเดินได้บ้าง แต่ยังเดินลงบันไดไม่ได้ครับ’

โจวลั่วหยางกับอาจารย์ฉีไม่นับว่าสนิทกันสักเท่าไหร่ ตอนเด็กๆ ก็เคยพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง พอมาเรียนแล้วก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ถึงบ้าน เพราะอาจารย์ฉีไม่ชอบให้ใครไปที่บ้านของเขา

สำหรับโจวลั่วหยางสิ่งเดียวที่รู้ก็คือเรื่องที่ปู่กับอาจารย์ฉีเคยต้องซุกอยู่ในคอกวัว* ด้วยกันมาก่อน แต่คุณสมบัติและประสบการณ์ของอาจารย์ที่เกษียณอายุท่านนี้ค่อนข้างอาวุโสในมหาวิทยาลัย ปกติหากไม่มีเรื่องอะไรก็แทบจะไม่เชิญเขามา ดังนั้นมีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือวันนี้พวกเขาวางแผนหารือเรื่องตู้จิ่งกันจริงๆ ส่วนที่โจวลั่วหยางถูกเรียกตัวมานั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ

‘ในเมื่อพวกเขาคุยกันแล้ว’ อาจารย์ที่ปรึกษาเปิดฉาก ‘เลยเรียกตัวเธอมาด้วยเสียเลย’

อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิศวกรรมเฉพาะทาง ภาพลักษณ์เองก็ดูเป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขารับผิดชอบนักศึกษาวิศวะฯ เครื่องกลสองชั้นเรียน วิศวะฯ อัตโนมัติสองชั้นเรียน ทั้งสี่ชั้นเรียนมีนักศึกษารวมกันสี่สิบกว่าคน โจวลั่วหยางได้รับการดูแลเป็นพิเศษจึงได้อยู่ตึกทิงเป้า เลยแทบไม่มีโอกาสได้พบหน้าเขา ด้วยปกติไม่ค่อยได้ติดต่ออะไรกับทางคณะและค่อนข้างอยู่อย่างอิสระ

ส่วนรองคณบดีเป็นอาจารย์หญิงวัยกลางคนที่ดูค่อนข้างดุ เธอถามเขาว่า ‘ลั่วหยาง เมื่อครู่นี้เธอทำอะไร’

โจวลั่วหยางเคยพบเธอในงานประชุมใหญ่ของคณะเท่านั้น อีกทั้งไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แต่รองคณบดีเรียกเขาว่า ‘ลั่วหยาง’ เห็นได้ชัดว่าพยายามไม่ทำตัวห่างเหินกับเขาต่อหน้าอาจารย์ฉี

อาจารย์ที่ปรึกษาใคร่ครวญแล้วถาม ‘อาการของตู้จิ่งในช่วงนี้ทำให้เธอเป็นกังวลบ้างไหม’

โจวลั่วหยางกำลังครุ่นคิด แต่อาจารย์ฉีกลับพูดขึ้น ‘เมื่อก่อนคุณยายของตู้จิ่งเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง ตอนหลังอาศัยอยู่เมืองนอกอยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาแม่ของเขาติดต่อฉันผ่านคนอื่นๆ ด้วยหวังว่าฉันจะช่วยดูแลเขาแทนสักพัก เด็กคนนี้ลึกๆ เป็นคนหัวรั้น’

‘…’

‘ฉันให้ทางหัวหน้าของคณะจัดให้พวกเธออยู่ด้วยกัน’ อาจารย์ฉีออกตัว ‘แต่ไม่ได้บอกเธอถึงความเจ็บปวดทรมานของเขา เรื่องนี้ต้องขอให้เธอยกโทษให้ฉันด้วย ลั่วหยาง ตั้งแต่เด็กเธอเป็นเด็กจิตใจดี โดยพื้นฐานแล้วฉันเชื่อมั่นว่าเธอจะเป็นเพื่อนกับตู้จิ่งได้’

โจวลั่วหยางตอบ ‘ผมแค่ไม่ค่อยเข้าใจครับ เขาไม่ได้ทำตัวมีปัญหากับใคร ทำไมถึงมีคนตั้งกระทู้บนเว็บบอร์ดและร้องเรียนเขากับเจ้าหน้าที่มหา’ลัยด้วย ไม่ชอบทำกิจกรรมกลุ่มก็แค่ไม่เข้า ทำไมต้องบังคับให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ทำแล้วมีความสุขเหรอครับ นี่มันยุคไหนแล้ว อุตส่าห์กดรายงานไปหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ทำไมผู้ดูแลเว็บบอร์ดถึงไม่ยอมลบกระทู้นี้ทิ้งเสียทีล่ะครับ’

‘ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย’ อาจารย์ที่ปรึกษาแก้ ‘เธอเข้าใจผิดแล้ว โจวลั่วหยาง เขามีความผิดปกติทางจิตระดับหนึ่งเลย เขาเคยบอกเธอเรื่องอาการป่วยบ้างหรือเปล่า’

โจวลั่วหยางตอบ ‘ผมไม่ได้ถาม’

รองคณบดีกล่าว ‘เขาป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง แต่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเรา ฉันได้อ่านเวชระเบียนเขาแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตส่วนใหญ่’

อาจารย์ฉีพูดขึ้นอีก ‘โรคไบโพลาร์กับพันธุกรรมมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก การวิจัยโรคนี้ทั้งในและนอกประเทศยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่นับเป็นโรคจิตเภท จุดนี้เธอวางใจได้’

‘ผมไม่ได้ไม่วางใจ’ โจวลั่วหยางท้วง ‘เขากินยาทุกวัน ต้องกินยาตั้งเยอะ ไม่เคยสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์และไม่เคยทำร้ายใครด้วย’

อาจารย์ที่ปรึกษาเปรย ‘อืม ใช่แล้ว จากที่ฉันอ่านเวชระเบียนของเขา ตอนนี้อยู่ในช่วงติดตามดูอาการ ยังต้องรับการรักษาอยู่ แต่พฤติกรรมการออกไปข้างนอกกลางดึกกลางดื่นแบบนั้นมันออกจะ…’

‘เจี้ยนหลัน’ อาจารย์ฉีหันไปพูดกับรองคณบดี

รองคณบดีพยักหน้า ‘อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลค่ะ’

‘เขานอนไม่หลับเป็นประจำ’ โจวลั่วหยางบอก ‘เลยมักจะไม่ได้นอนทั้งคืน ผมจะคอยเตือนไม่ให้เขาออกไปข้างนอก ถ้าเพื่อนนักศึกษารู้สึกว่าตัวเองได้รับผลกระทบ ผมจะเสนอว่าให้เขากับผมออกไปเช่าห้องอยู่ข้างนอกครับ’

‘ร้ายแรงถึงขั้นนั้นเชียว?’ วิชาเอกของอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ใช่สาขาจิตวิทยา เมื่อได้ยินก็ตกใจมาก

‘โรคไบโพลาร์เป็นโรคที่มีอาการอารมณ์ดีกว่าปกติกับอาการซึมเศร้าร่วมกัน’ รองคณบดีหลี่เจี้ยนหลันอธิบาย ‘ต้องควบคุมไว้ด้วยยา ดูจากระดับการรักษาในปัจจุบันก็ไม่ผิดคาดที่เขาต้องกินยาไปตลอดชีวิต สถานการณ์ของเขาค่อนข้างจัดการยากทีเดียว เมื่ออยู่ในช่วงอาการทั้งสองแสดงออกมาพร้อมกัน’

‘ไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการนะครับ’ โจวลั่วหยางแย้ง ‘แค่แสดงออกว่าไม่ค่อยอยากพูดคุยกับใครเท่านั้น’

‘ตัวเขาเองน่าจะระวังไว้มาก’ อาจารย์ฉีถอดแว่นตา รองคณบดีจึงรีบส่งผ้าเช็ดแว่นให้เขาเช็ด

‘ปกติตอนอยู่ในห้องพักพวกเธอสองคนคุยกันบ้างไหม’ อาจารย์ที่ปรึกษาถามอีก ‘เขามีแนวโน้มว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม อย่างเช่น…’

‘คุยครับ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘คุยกันบ่อยๆ’

โจวลั่วหยางไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องโพสต์ในแอ็กหลุมเวยป๋อ และไม่ได้พูดชี้แจง ‘อาการปกติ’ ของตู้จิ่งให้มากความอีก อย่างไรเสียอาจารย์ทั้งสามท่านตรงหน้าก็เป็นผู้มากประสบการณ์ หากเน้นย้ำซ้ำซากมากเกินไปกลับจะยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของตัวเองเสียเปล่าๆ

รองคณบดีเอ่ย ‘ฉันก็เคยคิดว่าจะให้ตู้จิ่งพักคนเดียวดีหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเป็นเวลานานอาจจะ…’

‘เป็นอย่างนี้ดีแล้วครับ’ โจวลั่วหยางไม่รู้สึกโกรธสักนิดที่พวกอาจารย์ปิดบังเขาเรื่องอาการป่วยของตู้จิ่ง กลับกันถ้าให้ตัวเขาเป็นคนเลือก หลังจากได้รู้จักพฤติกรรมของตู้จิ่งแล้วเขาก็คงเลือกที่จะอยู่กับอีกฝ่ายอยู่ดี

อาจารย์ที่ปรึกษาหันไปพูดกับรองคณบดีและอาจารย์ฉี ‘หรือไม่อย่างนั้นก็ให้เขาย้ายมาอยู่กับผม แล้วเปลี่ยนหอพักให้โจวลั่วหยาง’

‘ไม่ต้องหรอกครับ’ โจวลั่วหยางค้าน ‘ผมชอบเขามาก ชอบมากเลยล่ะครับ’

 

 

* คอกวัว คือสถานที่ที่กลุ่มยุวชนแดงหรือเรดการ์ดสร้างขึ้นเพื่อกักขังชนชั้นปัญญาชนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งมีบันทึกไว้ว่าผู้ที่ถูกกักขังใน ‘คอกวัว’ ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ทั้งด่าทอ ทุบตี และประจานให้อับอาย

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน โกลาหลกลกาล เล่ม 1

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: