X
    Categories: everYทดลองอ่านผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1

ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 11

ตอนเที่ยงวันนี้ลู่เหยียนยืมรถมอเตอร์ไซค์ของพี่เว่ยออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาด เขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาจะทั้งสัปดาห์จนเกือบจะกลายร่างเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่แล้ว

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ต่างพักผ่อนกันอยู่ที่ตึก ถึงพี่เว่ยจะแสดงออกว่า ‘เข้าใจถึงความจำเป็น’ ทว่าก็ยัง ‘ไม่อยากให้ยืม’ รถมอเตอร์ไซค์ไปซื้อกับข้าวที่ตลาด แต่เพราะทนลูกตื๊อด้วยไม้อ่อนและไม้แข็งของลู่เหยียนไม่ไหว สุดท้ายเลยโยนกุญแจรถลงมาให้เขาจากหน้าต่างชั้นสาม

“พี่เว่ยเป็นพี่ชายที่ดีของผมตลอดกาล”

“รีบไสหัวไปเลย” พี่เว่ยผมทรงรังนกยืนตะโกนอยู่ที่หน้าต่าง

 

ลู่เหยียนไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ถึงเขาจะไปตลาดไม่บ่อยแต่ก็ถือว่าพอมีชื่อเสียงอยู่ที่นั่น…ในฐานะนักต่อราคา

พอลู่เหยียนซื้อกับข้าวเสร็จแล้วกลับมาจากตลาด เขาก็เห็นรถที่ดูน่าสงสัยคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูซากอาคารโซนเจ็ด เมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็เห็นเครื่องหมายสีเงินบนตัวรถ รวมไปถึงปีกท้ายรถคู่ที่ดูคุ้นตา

นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เห็นรถแต่งที่ดูไม่เข้าพวกคันนี้

ลู่เหยียนปล่อยคันเร่ง ค่อยๆ ชะลอไปจอดที่ข้างรถแต่งพอดี

เขาใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบพื้น เอียงตัวไปด้านข้างเพื่อเคาะหน้าต่างรถคันนั้น แล้วผิวปาก “มาแล้วเหรอ”

หน้าต่างรถเลื่อนลงช้าๆ

สิ่งแรกที่ลู่เหยียนสังเกตเห็นไม่ใช่คุณชายใหญ่ แต่เป็นศีรษะน้อยๆ ที่หันไปหันมาอยู่ในวงแขนของคุณชายใหญ่

ลู่เหยียนเห็นดวงตากลมโตมันขลับหนึ่งคู่

เด็กทารก

เด็กทารกที่ยังไม่หย่านมหนึ่งคน

เด็กน้อยกินนมไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็หยุดเหมือนกดสวิตช์

เซียวหังทำเสียงอืมเป็นการตอบรับคำทักทายของลู่เหยียน เขาตบหลังทารกด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติอย่างมาก สักพักเด็กน้อยก็กะพริบตาแล้วเรอ “เอิ๊ก” ออกมาทางปากแบบเด็กๆ

นี่เป็นภาพที่ดูพิลึกเล็กน้อย

อย่างแรกคือคนอย่างเซียวหังดูไม่น่าจะมีความอดทนในการเลี้ยงเด็ก เขาเป็นคนประเภทที่ชวนให้รู้สึกว่าถ้าพูดจาไม่ถูกหูก็พร้อมตีเด็กมากกว่า

ท่าทางบ้องแบ๊วตอนเรอทำให้ลู่เหยียนอยากยื่นมือไปหยิกแก้มเขา และลู่เหยียนก็ทำแบบนั้นจริงๆ พอนิ้วแตะโดนแก้มป่องๆ ของเด็กน้อย ลู่เหยียนก็เอ่ยถาม “ลูกคุณเหรอ”

“…”

เซียวหังช้อนตาขึ้นมองเขา “นายรู้สึกว่ามันเป็นไปได้หรือไง”

ลู่เหยียน “ว่าไม่ได้”

“ไม่ใช่” ถึงเซียวหังจะไม่อยากอธิบายเอามากๆ แต่เขายังคงบอก “เขาเป็นน้องชายฉัน”

ลู่เหยียนเลยอดหยิกแก้มเด็กน้อยอีกสองทีไม่ได้

“ตามปกติเขาไม่ชอบให้ใครถูกตัว”

ไม่ใช่แค่ไม่ยอมให้ใครถูกตัว แต่ต่อให้หิวเจียนตาย เขาก็ไม่ยอมกินนมที่คนรับใช้ป้อนให้แม้แต่อึกเดียว

เซียวหังกลัวเด็กจะร้องไห้ให้ต้องปลอบกันวุ่นวาย แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะพอเขาพูดจบก็เห็นเด็กน้อยใช้อุ้งมืออ้วนๆ จับนิ้วหนึ่งของลู่เหยียน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากให้เขา

ลู่เหยียนงอนิ้วชี้ที่ถูกจับ ลดเสียงลงเพื่อหยอกเขาไม่ว่าเด็กน้อยจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม “เจ้าหนู ดูท่าหน่วยก้านดี แถมมีวาสนากับฉัน พี่ชายจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้นะ”

เซียวหังพูดเสียงเย็น “ถ้าเป็นกีตาร์ก็ผ่านเถอะ”

“…” ลู่เหยียน “เรื่องนี้มันผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

เซียวหังอุ้มเด็กลงจากรถ ส่วนลู่เหยียนเอารถมอเตอร์ไซค์ไปจอดในเพิง ถึงจะบอกว่าเป็นเพิงจอดรถ แต่ความจริงเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ ที่พี่เว่ยเอาผ้าพลาสติกขาดๆ มากางไว้ที่ข้างอาคารเท่านั้น

ในความเรียบง่ายมีกลิ่นอายของความยากจนข้นแค้น

“นี่มันอะไร” เซียวหังมองผ้าผืนนั้นสองครั้ง “เพิงกันฝนเหรอ”

“โรงรถ”

ลู่เหยียนดึงกุญแจมอเตอร์ไซค์ออก หิ้วถุงสองใบที่แขวนไว้กับแฮนด์รถลงพลางแนะนำว่า “ความอัตคัดทำให้คนต้องรู้จักใช้สมอง โรงรถนี่กันฝนได้ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจอพายุไต้ฝุ่นก็ไม่ไหว ต้องแบกรถเข้าไปในห้อง”

ตอนที่เซียวหังมาคราวก่อนเขาไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก เนื่องจากวันนั้นเขาเพิ่งรู้เรื่องที่เซียวฉี่ซานมีลูกนอกสมรส โดยพ่อของเขาจะให้เงินผู้หญิงคนนั้นหนึ่งก้อนแล้วไล่เธอไป ส่วนเด็กไว้ทำเรื่องเสร็จเมื่อไหร่เซียวฉี่ซานจะส่งไปต่างประเทศ

ถ้ามีข่าวเรื่องลูกนอกสมรสแพร่ออกไปย่อมไม่ดี หลังส่งเด็กไปต่างประเทศแล้วก็ทำเป็นว่าไม่เคยมีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นได้

เซียวหังมีปากเสียงกับเซียวฉี่ซานหนึ่งยก

พอหนีออกมาเลยอารมณ์เสีย

 

ลู่เหยียนเดินนำขึ้นไปบนตึก พอไปถึงชั้นสามเขาก็เอากุญแจมอเตอร์ไซค์คืนให้พี่เว่ย “พี่เว่ยครับ อยากกินมะเขือเทศไหม ผมให้”

“ไอ้นี่ เหนียวให้มันน้อยๆ หน่อย” พี่เว่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากช่องว่างของประตู ต่อมาเขากลับเปิดประตู “เดี๋ยวนะ น้องชายคนนี้หน้าคุ้นๆ ใช่คนที่โดนนายจับผิดตัวคราวก่อนหรือเปล่า”

การพูดถึงเรื่องจับผิดตัวตอนนี้ยังคงทำให้ลู่เหยียนวางตัวไม่ถูก

ลู่เหยียนกับเซียวหังต่างก็อยากข้ามหัวข้อนี้ไปทั้งคู่

แต่พี่เว่ยมองพวกเขาแล้วบอก “ไม่ตีกันก็ไม่รู้จัก ในวงการการได้เจอกันคือวาสนา…เอ๋ เจ้าหนูนี่หน้าตาน่ารักดี”

พี่เว่ยเป็นคนห้าใหญ่สามหนา* สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการทวงหนี้คือออร่าความน่าเกรงขามบนตัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกล้าม เวลายิ้มก็หน้ายิ้มแต่ตาไม่ยิ้มด้วย พี่เว่ยยื่นหน้าเข้าไปหาเด็กน้อยเพื่อหยอกเขา แต่เด็กน้อยกลับร้องไห้จ้าออกมาทันที

“…”

วันนี้พวกเขามาไม่ได้จังหวะ สาวห้องหกศูนย์หนึ่งกลับช้ากว่าทุกวัน เคาะประตูก็ไม่มีคนตอบรับ

“อีกเดี๋ยวคงกลับ คุณเข้ามานั่งก่อนสิ” ลู่เหยียนเปิดประตู ชี้ไปที่เด็กในอ้อมแขนของเซียวหัง “ปล่อยให้เขาร้องแบบนี้ไม่ดีเลย”

อันที่จริงเซียวหังปลอบเด็กไม่เก่ง อย่างมากก็แค่ตบก้นสองครั้ง

พอเด็กน้อยที่ตามปกติเฉลียวฉลาดว่าง่ายร้องไห้ขึ้นมาก็กลายเป็นมารร้ายมาจุติทันที

เขาร้องจนคนสมองแยกได้

ลู่เหยียนเอากับข้าวไปวางไว้ในครัว เห็นเซียวหังทำหน้าเย็นชาพูดกับเด็กว่า “หยุดร้อง”

“บอกให้หยุดร้องไง ไม่เข้าใจเหรอ”

ลู่เหยียนทนดูต่อไปไม่ไหว “คุณกลัวว่าเขาจะร้องไม่หนักพอเหรอ”

เซียวหังพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “หรือนายจะจัดการ?”

ลู่เหยียนพบว่าเขากับคุณชายคนนี้เจอกันทีไรเป็นต้องเกิดปฏิกิริยาทางเคมีแปลกๆ ตัวอย่างเช่นคุยกันไม่ถึงสองประโยคก็สะอึกแล้ว

“ผมเองๆ”

ลู่เหยียน “ผมจะทำให้คุณได้เห็นว่าอะไรคือการปลอบประโลมจิตใจที่ได้รับความเจ็บช้ำของเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยนอย่างแท้จริง”

ถึงจะพูดออกไปแบบนี้ แต่ลู่เหยียนก็ไม่เคยปลอบเด็กมาก่อน อาจเพราะท่าอุ้มไม่ถูกต้อง พอเด็กมาถึงมือเขาเลยร้องไห้หนักกว่าเดิม

ลู่เหยียนจัดท่าใหม่แต่เด็กก็ยังร้องอีก

ลู่เหยียนคิดวิธีรับมือไม่ออกจริงๆ เขาเป็นหนุ่มหล่อยุคใหม่ที่ปรับตัวเก่งจึงเปลี่ยนคำพูด “…ผมว่าคุณปลอบดีกว่านะ”

สิ่งที่ตอบเขากลับมาคือเสียงหัวเราะเย็นของเซียวหัง

เซียวหังพิงผนัง จับประตูมองลู่เหยียน “นายเก่งนักไม่ใช่หรือไง”

ดูถูกใครฮะ

เลิกใช้คำพูดเยาะหยันคนอื่นแบบนี้ได้หรือเปล่า

ไม่ดูหน่อยหรือว่าตอนนี้อยู่ในที่ของใคร

ลู่เหยียนตบหลังเด็กน้อย เขามีความรู้สึกว่าจะต้องกอบกู้เกียรติยศศักดิ์ศรีคืนมาให้จงได้

ในสมองของลู่เหยียนมีไอเดียที่สามารถทำได้ผ่านเข้ามาหนึ่งไอเดีย เขาจึงเคลียร์คอเพื่อลองร้องเพลงดู

ในฐานะนักร้องนำของวง เขามีคลังเพลงอยู่เยอะ ถ้าเอาทุกแนวมานับดูก็พอจะนับเป็นเพลงแปดภาษาได้ แต่มีเพลงเด็กอยู่ไม่มาก ลู่เหยียนคิดไปคิดมาแล้วนึกออกแค่เพลงเดียว แถมยังจำเนื้อได้ไม่หมดด้วย เขาเลยเลือกเพลงที่นึกออกเพลงนั้นมาแล้วก็เริ่มร้อง

ลู่เหยียนเป็นคนที่มีเรนจ์เสียงกว้าง สามารถร้องได้ดีทั้งเสียงสูงและเสียงต่ำ โดยเฉพาะเวลาร้องเสียงต่ำ เสียงจะกดลงเล็กน้อยและแหบนิดๆ เสียงไม่ถือว่านุ่ม

เหมือนฟองเบียร์เนื้อละเอียดและเร่าร้อน

แต่ตอนนี้เสียงนี้กำลังร้องว่า “…ลูกกบอารมณ์ดีแหกกฎ”

“ลูกกบอารมณ์ดี”

“ลูกกบ”

“อ๊บๆๆ”

เซียวหัง “…”

เด็กน้อยร้องไห้อีกนิดหน่อย ตอนลู่เหยียนร้อง ‘อ๊บๆๆ’ เขาสะอื้นก่อนที่เสียงร้องจะค่อยๆ หยุดลง

“เห็นหรือยัง” ลู่เหยียนร้องเพลงจบก็เลิกคิ้วพูดกับเซียวหัง “กลับไปฝึกเพลงนี้ให้ดีๆ นะ”

เนื่องจากลู่เหยียนไม่ต้องไปเข้าเรียนแทนเซียวหังที่มหาวิทยาลัยแล้ว เขาเลยเปลี่ยนกลับไปแต่งตัวแบบเดิม หมุดคิ้วที่ใส่วันนี้เป็นห่วงกลมอันจิ๋วชุบทอง เวลาเลิกคิ้วหางคิ้วจะยกสูงขึ้นเล็กน้อย

เท่มาก

แน่นอนว่าถ้าเพลงที่ร้องไม่ใช่ ‘อ๊บๆๆ’ จะดูเท่กว่านี้

รอบก่อนเซียวหังไม่ได้เข้ามาในห้องของลู่เหยียน แต่ครั้งนี้กลับจับพลัดจับผลูได้เข้ามาข้างใน เขาเลยลอบสำรวจห้องนี้แบบเนียนๆ ถึงพื้นที่จะเล็กแต่ได้รับการจัดเก็บจนสะอาดสะอ้าน ถึงลู่เหยียนจะเล่นกีตาร์ได้แย่มาก แต่เฉพาะแค่กีตาร์ในห้องเขาก็มีไม่ต่ำกว่าสามตัว และหนึ่งในนั้นเป็นรูปโพรไฟล์ในวีแชตของลู่เหยียนด้วย

สายตาของเซียวหังเหลือบไปเห็นแผ่นซีดีหนึ่งกองที่อยู่บนหลังตู้

เนื่องจากพื้นที่เล็ก ห้องนอนกับห้องรับแขกเลยไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน เขาเห็นว่าบนเตียงของลู่เหยียนมีกางเกงยีนโยนไว้หนึ่งตัว และบนผนังฝั่งตรงกันข้ามกับเตียงมีโปสเตอร์…วง VENT

บนเวที นักร้องนำผมยาวถือไมค์ ขาเหยียบอยู่บนลำโพง ทำท่าทางแบบฉันน่ะเก่งที่สุด

รอบด้านคือความมืดสนิท

ไฟสีแดงแบบแปลกๆ สาดลงมากระทบร่างเขา

“นั่นนายเหรอ”

“อ๋อ” ลู่เหยียนมองตามสายตาของเซียวหังไป “ใช่ เมื่อปีที่แล้ว”

“ใช่วงที่สมาชิกออกไปสองคนหรือเปล่า”

“มีปัญหาเหรอ”

“เปล่า”

“นี่” ลู่เหยียนสังเกตเห็นว่าเด็กร้องจนเลิกร้องแล้ว แต่พอได้หลับตาก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก หยาดน้ำตาเกาะอยู่บนขนตาของเด็กน้อย “เขาหลับแล้วเหรอ”

เซียวหังกำลังจะเอ่ยปากบอกว่า ‘ส่งเขามาให้ฉัน’ แต่กลับได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังมาจากด้านนอกกับมีเสียงไขกุญแจดังแกร๊กๆ

ผู้หญิงที่อยู่ห้องหกศูนย์หนึ่งยังคงแต่งตัวเหมือนเดิม กระโปรงสั้น แต่งหน้าหนา กลิ่นเหล้าเต็มตัว

เธอคงดื่มมาเยอะมาก เพราะขณะไขกุญแจเธอพยายามเสียบกุญแจเข้าช่องอยู่หลายครั้งแต่ก็เสียบไม่เข้า สุดท้ายจึงเตะประตูไปหนึ่งครั้งก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลง หยิบบุหรี่ซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือ เธอนั่งเอาหลังพิงประตู สูบบุหรี่เพื่อเรียกสติ

หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นที่ข้างหู “ลูกเธอ จะเอาหรือไม่เอา”

มือที่จุดบุหรี่ของหญิงสาวสั่น จนกระทั่งไฟลวกนิ้ว

 

ก่อนเซียวหังมา เขาไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้คิดยังไง แม้แต่ชื่อจริงของผู้หญิงคนนี้เขาก็ยังสืบไม่ได้ ที่ไนต์คลับเรียกเธอว่าเสี่ยวเหลียน แต่พอไปอีกร้านหนึ่งก็เปลี่ยนชื่อเป็นหนานหนาน

เซียวหังตามหาอยู่หลายที่กว่าจะเจอที่อยู่ที่แน่นอน

พอคลอดเด็กแล้วก็ส่งไปที่บ้านของพวกเขา นอกจากรับเงินที่เซียวฉี่ซานให้ สาวห้องหกศูนย์หนึ่งก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น ไม่เหมือนคนอื่นที่หาเรื่องแบบไม่รู้จักจบสิ้น เงียบจนผิดปกติ

ลู่เหยียนอุ้มเด็กยืนอยู่ที่ประตู เขาไม่อยากโดนดึงเข้าไปในเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่นาทีนั้นจะเดินเข้าไปก็ไม่ดี จะถอยหลังก็ไม่ได้ แต่ลู่เหยียนสัมผัสได้ว่าสายตาของสาวห้องหกศูนย์หนึ่งวนเวียนอยู่ที่เด็กทารก

ลู่เหยียนคิดว่าถ้าเจ้าหนูนี่เป็นน้องชายของเซียวหัง

และผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเจ้าหนู

ผู้หญิงคนนี้ก็เป็น…

ไม่ได้สิ อายุอานามไม่เหมาะ

 

“ลูกอะไร” สาวห้องหกศูนย์หนึ่งดึงสายตากลับ ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ พลางบอกว่า “ฉันไม่มีลูก”

“พวกเธอมาหาผิดคนแล้ว”

น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้นิ่งมาก เธอจุดบุหรี่ เวลาที่เธอสูบมันเข้าไปเธอจะหรี่ตาลง ดวงตาที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนเข้มทำให้มองไม่เห็นรูปตาซ่อนอยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ตลบอบอวล

บทที่ 12

ลู่เหยียนได้ยินเซียวหังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เซียวฉี่ซานไม่มีทางเก็บลูกนอกสมรสไว้ข้างตัว เดือนหน้าเขาจะถูกส่งไปเมืองนอก ถ้าเธอไม่แคร์ก็โอเค”

เซียวฉี่ซาน

น่าจะเป็นพ่อของเซียวหังหรือเปล่า

คราวนี้สาวห้องหกศูนย์หนึ่งไม่ได้ปฏิเสธในทันที เธอเอาแต่ทำท่าไม่สนใจ เมื่อคุยกันได้ครึ่งทาง เธอก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันได้เงิน…ยกเด็กให้พวกเธอ เราคุยกันเคลียร์แล้ว”

“อย่ามาหาฉันอีก” เธอพูดทิ้งท้าย

นับตั้งแต่หญิงสาวปรากฏตัว ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าท่าทางของเซียวหังผิดปกติ

เหมือนเขากำลังแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่งออกมาแบบเงียบๆ แต่รุนแรงว่าในเมื่อไม่อยากได้ แล้วทำไมถึงมีเขา

ในเมื่อไม่คิดจะเลี้ยงดูเขา

แล้วทำไมถึงคลอดเด็กคนนี้ออกมา

เหมือนเขาอยากพูดประโยคเหล่านี้ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นปิดประตู

ความสัมพันธ์นี้วุ่นวายมาก

ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังคิด ทารกในอ้อมแขนก็นอนไม่เป็นสุข พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวตรงทางเดิน เด็กน้อยก็ลืมตา เด็กน้อยนอนมองแบบงงๆ น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสอง ท่าทางอยากเสาะหาคนคุ้นเคยท่ามกลางคนแปลกหน้าตามสัญชาตญาณ

ลู่เหยียน “เขาตื่นแล้ว ท่าทางเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ”

เซียวหังกำลังจะอุ้มเด็กมาจากมือของลู่เหยียน แต่ช้าไปหนึ่งก้าว เพราะพอเขาแตะโดนเสื้อกล้ามตัวน้อยบนตัวของทารก เด็กน้อยก็ร้องจ้า “อุแว้…”

เด็กน้อยยังคาบจุกนมไว้ ขนาดร้องไห้ก็ยังไม่ลืมดูดจุกนม พอร้องๆ แล้วเหนื่อยก็หยุดดูดสองครั้ง

เซียวหังทำอะไรไม่ถูก “เมื่อกี้นายร้องเพลงอะไร”

ลู่เหยียน “วงดนตรีกบ กบตัวน้อยกระโดด”

เซียวหัง “…”

ยังไม่ต้องพูดว่าเป็นวงอะไร ตอนที่เซียวหังได้ยินคำว่าวงเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมในคลังเพลงของลู่เหยียนถึงได้มีเพลงแบบนี้

ในระหว่างที่คุยกันเด็กน้อยดูดจุกนมแก้มป่องเหมือนอมอะไรไว้ในปาก สุดท้ายเด็กน้อยก็อ้าปากปล่อยจุกนม กำหมัดเล็กๆ แน่นเหมือนสะสมกำลังไว้สำหรับการร้องไห้รอบสองได้มากพอแล้ว

ผู้ชายโสดที่ไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กสองคนทำได้เพียงร้องเพลงวงดนตรีกบเพื่อกล่อมเด็ก

แต่ครั้งนี้ไม่ว่าลู่เหยียนจะร้องอ๊บๆ แบบไหนก็ไม่มีประโยชน์

ลู่เหยียนได้ไอเดีย “เขาอาจชอบฟังคุณร้องมากกว่า”

เซียวหังเกือบแปะคำว่า ‘ไม่มีทาง’ ไว้บนหน้าผาก “เขาไม่ชอบหรอก”

ลู่เหยียน “ลองดูก่อน”

เซียวหัง “ฉันก็ลองพ่อ…”

เซียวหังสบถคำหยาบแค่ครึ่งเดียวแล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก

“เนื้อเพลงง่ายมาก ฟังรอบเดียวก็ร้องได้แล้ว”

ลู่เหยียนบอกทำนองเขาโดยใช้คำว่า ‘ลา’ แทนเนื้อเพลง

เซียวหังถูกเขาวอแวจนทนไม่ไหว ยังคงเอาแต่ตบหลังเด็กน้อยพลางร้อง ‘ลา’ ตามทำนองของลู่เหยียนสองเสียง

ลู่เหยียนทำวงดนตรีมานานเลยมีความสามารถในการสังเกตเสียงทุกรูปแบบได้อย่างฉับไว และมีนิสัยชอบบันทึกเสียงอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

ตามปกติเขาจะติดพกปากกาบันทึกเสียง เวลานึกครึ้มก็บันทึกเสียงต่างๆ ตัวอย่างเช่น เสียงตอนฝนตก เสียงล้อรถลุยแอ่งน้ำ เสียงโหวกเหวกของแผงขายผักที่สุดแสนอึกทึก

ถึงเซียวหังจะร้องเพี้ยนแต่เสียงก็เหมือนกับตัวเขาคือเย็นชาและเกียจคร้าน

ลู่เหยียนคันยุบยิบในใจ

อยากอัดเอาไว้

ทั้งสองคนร้องเพลงโดยใช้คำว่าลาแทนเนื้อเพลงอยู่ที่ระเบียงนานมาก แต่เด็กน้อยยังคงร้องไห้ แถมร้องหนักขึ้นด้วย เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่รุนแรงนี้ทำให้พวกเขาสองคนก็เหมือนคนเซ่อซ่าไปเลย “…”

เซียวหังบอกด้วยน้ำเสียงอดทน “ยังจะลาอีกไหม”

“ไม่ลาแล้ว…ไม่ลาแล้ว” ลู่เหยียนยอมแพ้ “ปกติเขาร้องเพราะอะไร”

เซียวหังนิ่วหน้าก่อนสรุปว่า “หิว ง่วง อารมณ์ไม่ดี…”

จังหวะนี้เองเด็กน้อยที่ร้องรอบสองเสร็จแล้วก็เริ่มดูดจุกนม กำปั้นเล็กๆ วางอยู่บนหน้าอก

เมื่อเอาความเป็นไปได้ต่างๆ ที่เซียวหังพูดมาโยงเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนจึงหันไปจ้องห่วงดึงบนจุกนมพร้อมกัน “หิวเหรอ”

เด็กน้อยกะพริบตา ทำเสียงแอ๊ะๆ เหมือนกำลังรับคำ

ก่อนเซียวหังจะออกจากบ้าน เขาป้อนนมให้เด็กน้อยหนึ่งครั้ง คิดว่าทั้งไปและกลับจะใช้ระยะเวลาไม่เกินสองชั่วโมง โดยไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ แบบที่จะทำให้เด็กตื่นแล้วอาละวาด

ถ้าเด็กหิวจริง ระยะทางจากเขตซย่าเฉิงเข้าไปที่ใจกลางเมืองก็ไม่ใกล้ คงปล่อยให้เด็กร้องไห้ไปตลอดทางไม่ได้

ลู่เหยียนถาม “คุณเอานมมาด้วยหรือเปล่า”

“อยู่ในรถ”

 

ช่วงที่เซียวหังลงจากตึกไปเอาขวดนม ลู่เหยียนยังคงอยู่บนห้อง อุ้มเด็กไว้ขณะที่ตัวเองต้มน้ำร้อน

ไม่ว่าอย่างไรลู่เหยียนก็คิดไม่ถึงว่าค่าชดเชยเรื่องไปเข้าเรียนแทนจะกลายมาเป็นการที่มีเด็กน้อยปากดูดจุกนมหนึ่งคนมาอยู่ในอ้อมแขน เขาถอนหายใจ ตบหลังเด็กน้อยเบาๆ “อย่าร้องนะ เดี๋ยวพี่นายก็กลับมา”

ถึงทักษะการโอ๋เด็กของพี่ชายเจ้าหนูจะแย่มาก แต่ก็ยังดีที่เขายังถือว่าเป็นมือโปรด้านการชงนม ฝีไม้ลายมือคล่องแคล่ว โดยเฉพาะตอนทดสอบอุณหภูมิที่หลังมือ เหมือนภาพในโฆษณานมผงเป๊ะ

แต่ในระหว่างที่เซียวหังกำลังชงนมผงเดี๋ยวๆ ก็ทำท่ารำคาญ เดี๋ยวๆ ก็ทำท่าอดทน ดูพิกลมาก ดูออกเลยว่า ‘เหล่าจือไม่ได้อยากทำเรื่องพรรค์นี้’ แต่มือไม้ยังคงว่องไว

ลู่เหยียนรินน้ำที่เหลือออกมา “ทักษะการโอ๋เด็กแย่ แต่ชงนมใช้ได้ ที่บ้านคุณไม่มีคนดูแลเขาเหรอ”

เซียวหัง “มีคนรับใช้”

สำหรับคนเขตซย่าเฉิงอย่างลู่เหยียน คำว่าคนรับใช้ถือเป็นอะไรที่อยู่ไกลกันมาก

เขาย่อมคาดไม่ถึงว่าต่อให้มีคนรับใช้ แต่คนรับใช้ไม่มีทางเอาใจใส่ลูกนอกสมรสที่ไม่มีใครต้องการคนหนึ่ง อย่างก่อนหน้านี้ที่เด็กน้อยดื่มนมผงธรรมดาจนเป็นภูมิแพ้ตั้งหลายวันก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น

ลู่เหยียนมองเซียวหังดึงห่วงเอาจุกนมออกจากปากเด็กแล้วยื่นขวดนมไปให้แทน

เด็กน้อยคลายหมัดเล็กๆ ก่อนจะกอดขวดนมแล้วเริ่มดูด

ถ้าเป็นตอนอยู่ข้างล่างเมื่อกี้ ลู่เหยียนอาจจะหัวเราะและแหย่เซียวหังเล่น แต่พอมีเรื่องกับสาวห้องหกศูนย์หนึ่งเมื่อครู่ เมื่อเขามองเด็กแล้วก็รู้สึกทอดถอนใจ เด็กเพิ่งจะอายุกี่เดือนเอง จะบอกไม่เอาก็ไม่เอา

“นี่ นายพั้งก์”

ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังสะท้อนใจ เขาก็ได้ยินเซียวหังเรียก

ถึงแม้การที่เรื่องเละเทะในบ้านเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นจะส่งผลให้เขาวางตัวไม่ถูกนิดหน่อย แต่เซียวหังยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องในวันนี้ขอบคุณนะ”

ต้องขอบคุณเขาแหละ

“เดี๋ยวนะ”

ลู่เหยียนส่งสัญญาณให้เซียวหังหยุด “ย้อนคำพูดหน่อยซิ คุณเรียกผมว่าอะไรนะ พั้งก์อะไร”

ลู่เหยียนสงสัยว่าเซียวหังคงจะไม่ได้ฟังการแนะนำตัวของเขาคราวก่อน ด้วยนิสัยของคุณชายคนนี้แค่เขาสังเกตเห็นคำว่าเร่ร่อนว่างงานในประโยคที่บอกว่า ‘คนเร่ร่อนว่างงาน ลู่เหยียน’ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

เป็นจริงตามคาด

คุณชายเจ้าอารมณ์ “นายชื่ออะไร”

“ลู่เหยียน” ลู่เหยียนโกรธจนขำ “ลู่ที่มาจากคำว่าเส้นทาง เหยียนที่มาจากคำว่ายาวนาน”

เซียวหังชงนมเสร็จก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน ลู่เหยียนผลักหน้าต่างข้างตัวให้เปิดออกแล้วมองรถแต่งคันนั้นแล่นออกจากโซนเจ็ดไป

 

พอเห็นว่าเซียวหังจากไปแล้ว พี่เว่ยถึงค่อยขึ้นมานั่งเม้าท์กับลู่เหยียนที่ห้อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ฉันได้ยินพวกนายทะเลาะกับสาวห้องหกศูนย์หนึ่งเหรอ”

“ไม่ได้ทะเลาะ” ลู่เหยียนบอก “สาวห้องหกศูนย์หนึ่งเขามีลูก…”

เขาพูดเรื่องของคนอื่นมากไม่ได้

ลู่เหยียนเบือนหน้าหนี เลิกพูด “พี่เลิกถามเถอะ”

“แต่ฉันอยากรู้นี่นา ยิ่งนายไม่บอกฉันยิ่งอึดอัด”

“งั้นก็อึดอัดไปนะ” ลู่เหยียนกล่าว

“…” พี่เว่ยโมโห “ไอ้นี่ ทีตอนยืมรถฉันไม่เห็นทำท่าแบบนี้เลย!”

“ก็มันคนละเรื่องกัน”

ลู่เหยียนล้างผักเสร็จก็หยิบมีดมาเริ่มหั่นมะเขือเทศ

พี่เว่ยหยิบแอปเปิ้ลบนโต๊ะของลู่เหยียนขึ้นมากัดหนึ่งคำ “แต่พูดถึงลูก คนที่ทำอาชีพนี้ไม่มีคนไหนยอมมีหรอก ต่อให้เผลอมีขึ้นมาก็ยอมร้องไห้แล้วเอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านคนอื่นมากกว่า ไม่มีทางเลี้ยงเอง”

มีดที่อยู่ในมือของลู่เหยียนชะงักค้าง “ทำไมล่ะ”

พี่เว่ยส่ายหน้า ถอนหายใจ “พวกนายไม่เข้าใจ สภาพแบบนั้นจะเลี้ยงลูกได้ยังไง”

“กะหรี่ไง! นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ากะหรี่ทำอะไร”

“นั่นมันไม่ใช่ข่าวลือนะ เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปเก็บหนี้ แม่มันเถอะ…เจ้าลูกกระต่าย* นั่นติดหนี้แต่ดันไปเที่ยวไนต์คลับแล้วโดนฉันจับได้ ฉันเจอห้องหกศูนย์หนึ่งอยู่ที่ไนต์คลับนั่น คนทำอาชีพนี้ถ้าไม่เน่าถึงกระดูกก็อยากนอนเพื่อหาเงินให้ได้เร็วๆ…บางคนไม่มีทางอื่นถึงต้องมาทำงานนี้ แล้วพอเข้ามาทำ ถ้าไม่ตายก็ไม่มีทางหนีออกไปได้”

“ต่อให้อยากเลี้ยงก็เลี้ยงไม่ได้ ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด แล้วยังจะให้ชีวิตลูกต้องมาพังไปอีกคนหรือไง”

ลู่เหยียนฟังมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงตอนที่เซียวหังถามผู้หญิงคนนั้นว่า ‘ลูกเธอ จะเอาหรือไม่เอา’ แล้วก็อยากรู้เหลือเกินว่าตอนที่ผู้หญิงคนนั้นสูบบุหรี่เธอทำหน้าอย่างไรตอนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มควัน

“พี่เว่ย” ลู่เหยียนตัดบทเขา “ช่วยหน่อยสิ พี่พอจะช่วยสืบเรื่องของห้องหกศูนย์หนึ่งให้ผมได้หรือเปล่า”

 

เซียวหังกลับถึงบ้านได้ไม่นาน ประตูใหญ่ที่มีลวดลายอยู่ด้านนอกก็เปิดดังแอ๊ด ตามมาด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เคลื่อนเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แล่นตรงไปยังโรงรถ

คนรับใช้วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากครัวไปโค้งตัวเปิดประตูเพื่อคอยรับใช้ที่ประตูก่อน

เมื่อชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก คนรับใช้ก็รับเสื้อของเขามา ก้มศีรษะลง “คุณเซียว…”

อายุของชายคนนี้ไม่เกินสี่สิบปี สวมชุดสูท ท่วงท่ากิริยามีความน่าเกรงขามราวกับออกมาจากกระดูก ปราศจากความอบอุ่น เขาไม่มองคนรับใช้ข้างตัวสักนิด เดินตรงไปที่ห้องรับแขกด้วยท่าทางแบบคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง คุ้นชินกับการมีคนรองมือรองเท้ามานานแสนนาน

ชายคนนั้นพูดเสียงหนัก “เซียวหังกลับมาแล้วหรือยัง”

คนรับใช้ “กลับมาแล้วค่ะ วันนี้คุณชายออกไปข้างนอกรอบหนึ่งแล้วตรงกลับบ้านเลย”

 

เซียวหังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาไม่แม้แต่จะขยับตัว จนเซียวฉี่ซานเดินจากโถงด้านหน้ามาที่ห้องรับแขกแล้ว เขาถึงค่อยหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปลี่ยนช่องอย่างไม่ใส่ใจ

เหมือนอย่างที่เซียวฉี่ซานไม่มองคนรับใช้ เซียวหังเองก็ไม่มองเซียวฉี่ซานเหมือนกัน

เซียวฉี่ซานเดินมาตรงหน้าเซียวหัง บังจอพอดี สายตาของเซียวหังหลุบมองกระดุมแสนสวยหนึ่งเม็ดตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าเซียวฉี่ซาน

“หลายวันมานี้แกไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย”

นอกจากความไม่พอใจแล้ว บนใบหน้าของเซียวฉี่ซานก็ไม่มีอารมณ์อื่นอีก น้ำเสียงของเขาฉุนเฉียว “วันๆ เอาแต่คลุกคลีทำเรื่องไร้สาระอยู่กับเด็กไม่เอาไหนแซ่ตี๋กับแซ่ชิว คนหนึ่งบ้านเปิดไนต์คลับ อีกคนบ้านเปิดบ่อนพนัน มีแต่คนประเภทนั้น อับอายขายหน้า รู้หรือเปล่าว่าคนข้างนอกเขาพูดถึงพวกแกยังไง…กลุ่มขยะ!”

“ฉันอุตส่าห์ใช้เส้นเพื่อให้แกได้เข้ามหาวิทยาลัย C แกไม่ไปฟังเลกเชอร์ยังพอว่า…แต่แกต้องสัญญาว่าจะไปเรียน เอาใบปริญญามาให้ฉันให้ได้”

“…”

เซียวหังเห็นชัดว่าเซียวฉี่ซานนิ่วหน้า สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ เมื่อเทียบกับเรื่องลูกชายไม่เอาไหน สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมากกว่าคือการที่ลูกชายไม่เอาไหนคนนี้ไปทำเขาเสียหน้าอยู่ข้างนอก

“ผมไม่เหมือนพ่อ แม้แต่ลูกยังทำออกมาเล่นๆ ได้”

เซียวหังเอนตัวไปด้านหลัง เสื้อเชิ้ตบนตัวเขาถูกปลดกระดุมออกหลายเม็ด ท่าทางเกียจคร้าน พร้อมทั้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “…พ่อเนี่ยสุดๆ ไปเลย”

เพียะ!

ฝ่ามือฟาดลงมา ดวงตาของเซียวหังไม่กะพริบเลยสักนิด เขารับฝ่ามือนั้นไปเต็มๆ

ชายหนุ่มใช้นิ้วเช็ดมุมปาก เขาถามเซียวฉี่ซาน “สะใจไหม”

เซียวฉี่ซานมองท่าทางของลูกชายอย่างเดือดดาลแต่หาที่ระบายออกไม่ได้ เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในใจเขามีความเกรงลูกชายคนนี้อยู่นิดๆ และไม่รู้ด้วยว่าความกลัวนี้มันเกิดขึ้นมาจากไหน “คืนนี้ประธานหวังของเหิงเจี้ยนกรุ๊ปจะจัดงานเลี้ยง แกต้องไปกับฉัน”

เขาเสริมอีกหนึ่งประโยค “แม่แกก็มา”

 

เซียวหังตอบรับคำสั่งของเซียวฉี่ซาน ด้านนอกของงานเลี้ยงแม่ที่เขาไม่ได้ติดต่อมาครึ่งปีก้าวลงจากรถเบนซ์

เธอสวมชุดราตรีหางปลาสีดำ ควงแขนเซียวฉี่ซาน

รอบๆ มีแต่เสียงชื่นชม “คุณเซียวกับคุณนายเซียวรักกันดีจริงๆ ขนาดผ่านมาตั้งหลายปี ยังสวีตหวานกันอยู่เลย”

“จริงด้วย รักกันดีจริงๆ”

“…”

 

สถานที่จัดงานหรูหราอลังการ

เป็นงานเลี้ยงดินเนอร์ของไฮโซ

ไฟที่ส่องลงมาจากมุมโถงจัดงานทั้งสี่ด้านสาดไปที่ชุดราตรีประดับเพชรหลากหลายรูปแบบรอบตัวกับเครื่องประดับเพชร เปล่งแสงระยับจนหายใจไม่ออกและชวนให้ตาลาย

เมื่อมองไปที่จอมือถือ เซียวหังก็เห็นว่าคนที่ถูกเซ็ตชื่อไว้บนมือถือว่า ‘นายพั้งก์’ ส่งข้อความมากมายมาให้เขา

 

[นายพั้งก์] มีข่าวดีหนึ่งข่าว กับข่าวร้ายหนึ่งข่าว อยากฟังอันไหนก่อน

[นายพั้งก์] ช่างเถอะ เลิกอ้อมค้อมกับคุณแล้ว

[นายพั้งก์] 601…

 

เวลานี้เซียวหังไม่สนใจหกศูนย์หนึ่งอะไรนั่นแล้ว

หกศูนย์หนึ่งจะเป็นยังไงก็ช่างสิ

เขาแค่อยากออกไปจากที่นี่ ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ยิ่งดี

ที่ด้านหน้า ห่างออกไปห้าสิบเมตร

เซียวฉี่ซานจัดผ้าคลุมไหล่ให้ภรรยาของตน ทั้งสองคนมองตาและยิ้มให้กัน เขาพูดคุยกับคนรอบตัวพลางมองมาทางเซียวหังเป็นการบอกให้เขารีบไปหา

แกอยู่ไหน

มาหาฉัน

เซียวหังพิมพ์ข้อความสองอันเสร็จก็ส่งยิ้มมุมปากให้เซียวฉี่ซาน และในจังหวะที่เซียวฉี่ซานเข้าใจว่าเขากำลังจะเดินไปหา…ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปจากงานท่ามกลางสายตาผู้คน

 

* ห้าใหญ่สามหนา เป็นคำเปรียบเปรยถึงคนที่รูปร่างเทอะทะ อ้วนท้วน ห้าใหญ่ ได้แก่ มือสองข้าง เท้าสองข้าง และศีรษะ สามหนาคือขา เอว และคอ

* ลูกกระต่าย เป็นคำด่า หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมไร้มารยาท ต่ำทราม ชอบก่อปัญหา

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 7 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: