Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
ตอนที่ 5
ขณะกำลังนอนอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงกุกกัก พอออกมาจากห้องมาดูก็เห็นน้าเอาโต๊ะญี่ปุ่นออกมากางพร้อมกับเก้าอี้สำหรับนั่งพื้น และกำลังนั่งกินอะไรบางอย่างอยู่ บนโต๊ะมีโซจูหนึ่งขวด มีแก้วที่มีน้ำใสๆ ใส่อยู่ราวๆ หนึ่งส่วนสามของแก้ว ดมจากกลิ่นแล้วก็รู้ได้ว่าข้างในแก้วคือโซจู
“ยอนอูของน้าตื่นแล้วเหรอ”
“กินเหล้าทั้งๆ ที่ท้องยังว่างอีกแล้วเหรอ”
“กินโซจูทั้งทีก็ต้องมีปัญหาชีวิตเป็นกับแกล้มสิ”
“ท้องไส้พังหมด”
ผมเปิดตู้เย็นแล้วหยิบกิมจิออกมา จากนั้นก็หั่นกิมจิให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่น้ำมันให้ทั่วกระทะ แล้วเอากิมจิที่หั่นไว้ลงไปผัด กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัวและลอยออกไปถึงห้องรับแขก น้าจึงพูดออกมาว่า “แหม ยอนอูรู้จักตอบแทนบุญคุณนะเนี่ย!” น้าเพิ่งอายุสามสิบกว่าเอง จะต้องให้หลานมาตอบแทนอะไรกัน ผมหยิบเต้าหู้ออกมาหั่น แล้วตักกิมจิที่ผัดเสร็จแล้ววางลงไปบนนั้น น้าเป็นคนที่ถ้าดื่มโซจูโดยไม่มีอะไรรองท้อง วันต่อมาก็จะมานั่งโอดครวญบ่นปวดท้อง
“ถ้ารู้ว่าจะกลับช้าก็ช่วยบอกกันบ้างสิ”
“โอ้โห ยอนอูทำเต้าหู้กิมจิให้น้าเหรอ แต่น้าอยากกินผัดมักกะโรนีใส่มายองเนสมากกว่าอะ”
“เคยทำให้กินก่อนหน้านี้ก็บ่นว่าอ้วนอย่างนั้นอย่างนี้”
“พูดว่าไรนะ”
“เปล่านี่”
การพูดอะไรยืดยาวกับคนขี้เมานั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร น้ายกแก้วโซจูขึ้นกระดก และพยายามจะกินเต้าหู้กิมจิแต่กลับไม่สามารถจับตะเกียบคีบมันขึ้นมาได้ พอเห็นว่าน้าสบถออกมาหลังจากทำตะเกียบหล่นจากมือถึงสามครั้ง ผมก็เลยยื่นช้อนให้ น้าจึงใช้ช้อนกับตะเกียบโดยเขี่ยเต้าหู้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนช้อนอย่างทุลักทุเล แล้วเต้าหู้ชิ้นนั้นก็หายเข้าไปในปากของน้า
“ยอนอู ขวดโซจูมีสีเขียวแหละ”
“รู้น่า”
เมาทีไรก็พูดแต่เรื่องนี้ ตั้งแต่พ่อตายไป น้าคงรู้สึกกดดันว่าต่อไปนี้มีแค่ตัวเองที่จะสอนให้ผมรู้จักสี เวลาดื่มเหล้า น้าจึงคอยบอกอย่างไม่เข้าท่าว่าอันนี้มีสีอะไร อันโน้นมีสีอะไร แต่ถึงบอกไปผมก็แยกสีเหลืองกับสีเขียวไม่ออกหรอก
“สงสัยเป็นสีเขียวก็เพราะต้องการจะบอกว่ากินให้จุกตายไปเลย ฮ่าๆๆ”
“ดื่มพอดีๆ ไม่ต้องถึงตายหรอก”
“อันนี้กิมจิ มันมีสีแดง!”
“อืม ส่วนเต้าหู้มีสีขาว”
“โอ้ ดูเหมือนว่ายอนอูของน้าจะเป็นอัจฉริยะนะ”
ผมโตแล้ว แต่น้าก็ยังทำเหมือนผมเป็นเด็กอนุบาลอยู่ ผมพูดประโยคต่อไปเพราะอยากจะรีบๆ รับฟังน้าบ่นแล้วรีบๆ ส่งน้าเข้านอน ลองถามอะไรออกไปเดี๋ยวก็จ้อออกมาเอง
“วันนี้มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“น้าคิดแล้วคิดอีกว่าจะพูดกับแกดีมั้ย หืม คิดแล้วคิดอีก…เรื่องที่แกเที่ยวไปค้นซือซึนของคนอื่นอีกแล้วน่ะ”
“ซือซึนคืออะไร”
“SNS ซือซึน”
ผมตกใจมากที่น้าออกเสียงเรียกสื่อโซเชียลเป็นแบบนั้นไปได้ ไม่สิ ถ้าคิดดีๆ แล้วนั่นต้องออกเสียงว่าซึนซือ มากกว่า คนเมาเป็นกันแบบนี้เหรอ ว่าแต่น้ารู้ได้ยังไงว่าผมครอว์ลิ่งหารูปบนสื่อโซเชียล
“เวลาแกใช้บัตรเดบิต มันขึ้นแจ้งเตือนมาที่น้านะรู้มั้ย”
“อ๊ะ!”
จบสิ้นแล้ว เหมือนน้าจะจับได้แล้วว่าผมใช้คลาวด์ ผมประหลาดใจที่น้ารู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่จากเรื่องนั้น แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจมากเพราะในทีมน้าก็มีผู้เชี่ยวชาญเยอะแยะไปหมด
“ซื้อกระทั่งโปรแกรม SNS ครอว์ลิ่ง”
“มันไม่ใช่โปรแกรมนะ แต่ผมซื้อ API มาปะติดปะต่อเอา ผมดึงมาแต่รูปที่เปิดเป็นสาธารณะ”
“ยอนอูของน้าเป็นอัจฉริยะหรือเปล่าเนี่ย”
ที่ถูกจับได้ไม่ใช่คลาวด์ แต่เป็น Open source donation ที่ใช้บัตรรูดไปก่อนหน้า ผมบริจาคไปแค่หนึ่งดอลลาร์เท่านั้นเอง จับได้เพราะอันนั้นเนี่ยนะ
“เด็กอัจฉริยะไม่ต้องตามหาแม่แล้วนะ วันนี้น้าไปสถานีตำรวจมา…”
“อะไรนะ ไปไหนมานะ”
น้าหยุดพูดไป จากนั้นน้ำตาก็คลออยู่ในดวงตากลมโต น้าสูดน้ำมูกที่ตันอยู่เต็มจมูกดังฟืดฟาดเพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
“ขอโทษนะยอนอู”
“พูดต่อสิน้า ไปสถานีตำรวจมาแล้วยังไงต่อ”
“ขอโทษนะยอนอู”
“ก็บอกว่าทำใจให้เย็นๆ แล้วพูดออกมาไง!”
ผมจับไหล่ของน้าที่เริ่มงุ้มลงและดันให้น้านั่งตัวตรง พอเห็นว่ามือของตัวเองที่จับไหล่ของน้ากำลังสั่น ผมเลยจงใจกะพริบตา แต่สุดท้ายแล้วผมก็รู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังไหลอาบแก้มของตัวเอง
“ขอโทษนะยอนอู ฮือ…”
ในที่สุดน้าก็ยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไป แล้วเสียงอาเจียนก็ดังผ่านประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ผมไม่เข้าใจว่าเมื่อกี้น้าหมายถึงอะไรกันแน่ ผ่านไปสักพักน้าก็ยังไม่ออกมา พอผมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปดูก็เห็นว่าน้ากำลังนั่งหลับอยู่ ดูเหมือนว่าจะอาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุงแล้ว ผมกดชักโครกแล้วประคองน้าเข้าไปนอนในห้อง จากนั้นผมก็กลับเข้าห้องของตัวเอง แต่กว่าจะนอนหลับได้ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน
***
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ส่วนน้ายังสลบอยู่เหมือนเดิม ผมหยิบมือถือของน้าขึ้นมาใส่รหัสโดยวาดเป็นรูปตัว Z แล้วเปิดดูกลุ่มที่น้าคุยทิ้งไว้ เมื่อคืนก่อนที่จะดื่มโซจู น้าส่งข้อความว่าพรุ่งนี้ขอลาหยุดนะคะ พอเห็นแบบนั้นแล้วผมก็หายห่วงทันที เพราะเมื่อกี้ผมก็ห่วงอยู่ว่าน้าจะขาดงานโดยไม่ได้ลา
ผมกังวลว่าสิ่งที่น้าพยายามจะบอกเมื่อคืนคืออะไร สงสัยว่าอะไรคือตอนจบ แล้วทำไมน้าถึงไปสถานีตำรวจคนเดียว
หลังจากครุ่นคิดสักพักว่าจะไปโรงเรียนมั้ย ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้น เพราะผมยังไม่ได้คุยเรื่องย้ายโรงเรียนกับน้าเลย ถ้าไม่ไปก็ถือเป็นการขาดเรียน
พอมาถึงห้องเรียน ผมก็เห็นแต่ชองจูแฮงและคังมินแจ
“หวัดดี”
ชองจูแฮงทักทายผมอย่างเรียบง่ายก่อนจะเบนสายตากลับไปยังหนังสือแบบฝึกหัดอีกครั้ง
“หวัดดียอนอู”
คังมินแจทักทายผมอย่างเนิบนาบ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมเองก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อเหมือนกัน แล้วผมก็หันไปสนใจโต๊ะของโคยูฮันที่ว่างเปล่า ครูประจำชั้นเข้ามาโฮมรูม พอเขาเรียกชองจูแฮงว่า “อิมชี” ชองจูแฮงก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ทั้งหมดตรง ทำความเคารพ”
พอชองจูแฮงพูดจบ ทุกคนก็กล่าวทักทายตามธรรมเนียมของทหารอันแสนเชย จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่คนในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดจะต้องทำจริงๆ เหรอ ถึงยังไงพวกเราก็ต้องไปเป็นทหารอยู่แล้ว ไม่รู้จะสั่งให้ทำแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไปทำไม
ครูประจำชั้นเหลือบมองไปที่โต๊ะของโคยูฮัน แล้วถามชองจูแฮงว่า
“ในที่สุดหมอนั่นก็ไปเดบิวต์แล้วเหรอ”
ชองจูแฮงถอนหายใจก่อนจะตอบกลับไปว่า
“เขาบอกว่าวันนี้มาสายหน่อยเพราะมีของที่จะต้องซื้อครับ”
ผมตกใจกับคำตอบที่แสนจะตรงไปตรงมา แต่ครูประจำชั้นกลับใช้นิ้วนับจำนวนนักเรียนที่เหลืออยู่ในห้องอย่างไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร
“ซื้ออะไรเหรอ”
พอผมถาม ชองจูแฮงก็ยักไหล่พลางตอบว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คราวนี้เขาไม่ได้หยิบหนังสือแบบฝึกหัด แต่หยิบหนังสือชื่อ ‘King Lear’ ซึ่งเป็นหนึ่งในซีรี่ส์วรรณกรรมรอบโลกขึ้นมา จากนั้นเขาก็กลอกสายตาอ่านอย่างว่องไว
“ทำไมจู่ๆ ถึงอ่าน King Lear ล่ะ”
“ต้องรีวิววรรณกรรมเอกหนึ่งร้อยเรื่องเพื่อเป็นเอกสารแนบไปกับแผนการเรียนน่ะ”
ดูเหมือนเขาจะต้องเขียนแผนการเรียนเอาไว้สำหรับยื่นตอนเข้ามหาวิทยาลัย ผมเคยได้ยินชื่อหนังสือ King Lear บ่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร พอเหลือบตามองผ่านๆ ก็พบว่าหนังสือนั้นเป็นบทพูด
“บทละครน่ะ เป็นหนึ่งในสี่นิยายโศกนาฏกรรมเรื่องเอกที่เชกสเปียร์เขียน ความรู้สึกเท่าที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นั้น…”
แล้วชองจูแฮงก็อ่านส่วนของคำอธิบายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“ถึงแม้จะมีมรดก แต่ก็ไม่มีผู้สืบทอด”
“นี่คือความรู้สึกหลังอ่านวรรณกรรมเอกจบเหรอ”
“ถ้าเขียนอะไรที่คนรู้อยู่แล้ว กรรมการที่คัดเลือกคนเข้าเรียนก็คงไม่ชอบหรอก คนพวกนั้นมักให้ความสำคัญกับความรู้สึกสดใหม่ของนักเรียน ม.ปลาย ที่สร้างตามความพึงพอใจของตัวเอง”
จากนั้นชองจูแฮงก็หยิบสมุดออกมาหนึ่งเล่ม ในสมุดเล่มนั้นเต็มไปด้วยรายชื่อผลงานต่างๆ ที่คุ้นเคย ด้านบนของ King Lear มีชื่อของหนังสือ The Picture of Dorian Gray เขียนเอาไว้ ซึ่งชองจูแฮงได้เขียนรีวิวเอาไว้ดังนี้
‘เป็นเพื่อนกับคนหล่อตั้งแต่ชั้นประถม เพื่อนคนนั้นใช้ชีวิตอย่างเอ้อระเหยเพราะรู้ว่าตัวเองหน้าตาดี เขาคิดว่าแค่หล่อก็เพียงพอแล้ว ตัวละครเอกจะรอดูว่าเพื่อนคนนั้นจะไปได้ไกลถึงแค่ไหนด้วยหน้าตาเพียงอย่างเดียว เพราะเพื่อนคนนั้นไม่ใช่ GRAY และเขาก็ไม่มีกระจก’
ผมไม่แน่ใจว่ากรรมการที่คัดเลือกผู้ผ่านเข้าเรียนจะชอบรีวิวแบบนี้จริงหรือเปล่า และไม่รู้ว่าพวกเขาจะอ่านรีวิววรรณกรรมเอกหนึ่งร้อยเรื่องในเอกสารที่แนบมามั้ย แต่ชองจูแฮงก็ดูตั้งอกตั้งใจทำมันจริงๆ
โคยูฮันค่อยๆ ย่องเข้ามาทางประตูหลังในระหว่างคาบเรียนที่หนึ่ง ทันทีที่ครูพูดขึ้นมาว่า “หมอนี่ใช้ชีวิตตามใจดีเนอะ คงคิดว่าตัวเองหน้าตาดีมากสินะ” เขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนทุกคน แต่ผมตั้งใจไม่หันไปมองเขา เพราะถ้าผมเป็นลมไปอีกเพราะคัลเลอร์รัช ผมก็จะลำบาก ความประหม่าทำให้ผมรู้สึกได้ถึงการขยับตัวของโคยูฮันที่นั่งอยู่ข้างหลังผมทุกกระเบียด ขณะกำลังคิดว่าจะออกไปจากห้องในช่วงพักดีมั้ย ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่หนักและแข็งกำลังสะกิดหลังของผม ซึ่งไม่น่าจะใช่นิ้วมือ
“ยอนอู ฉันมาแล้ว”
“มาสก์ล่ะ”
“ใส่แล้ว”
คำตอบนั้นทำให้ผมหันหลังไปมอง โคยูฮันกำลังถือกล่องกระดาษหกเหลี่ยมอยู่ น่าจะเป็นสิ่งของที่เขาใช้สะกิดหลังผมเมื่อกี้
“ร้านขายอุปกรณ์วาดรูปปิดเร็วมาก วันนี้ก็เลยต้องรีบแวะไปแต่เช้า”
“ไปร้านขายอุปกรณ์วาดรูปทำไม”
ผมตั้งใจจะไม่ถามอยู่แล้ว แต่ชองจูแฮงกลับถามขึ้นมาก่อน คราวนี้หนังสือในมือเขาเปลี่ยนเป็นหนังสือ Macbeth ซึ่งบางพอๆ กับ King Lear ชองจูแฮงเลือกหนังสือจากความบางเป็นหลักหรือเปล่านะ
“ไปซื้อนี่มา พอลองคิดๆ ดูแล้ว ก่อนจะเรียนพิเศษยังมีการทดลองเรียนเลย ฉันเสนอตัวสอนให้นายรู้จักสี แต่ฉันกลับยังไม่ได้ทดลองสอนนายเลยนี่”
บนกล่องกระดาษสีเทาดำมีตัวอักษรสีขาวเขียนไว้ว่า ‘155a’ พอเปิดกล่องออก กลิ่นสีที่คล้ายกลิ่นยางก็ฟุ้งออกมา ภายในกล่องมีแผ่นยางหนึ่งผืนและกระดาษหนึ่งปึกที่ด้านหนึ่งถูกยึดไว้ด้วยหมุด
“แถ่นแท้น!”
โคยูฮันหยิบกระดาษออกมาแล้วคลี่เหมือนพัด กระดาษปึกหนาที่มีความสว่างต่างกันออกไปถูกคลี่ออก และมีตัวอักษรเขียนบนหน้าปกว่า
‘C&D colors สีมาตรฐาน KS รุ่น 155a’
“เรียกอีกอย่างว่าสมุดแถบสี”
โคยูฮันจับไหล่ของผมแล้วหมุนให้ผมหันไปทางเขา จากนั้นก็นำกระดาษที่เรียกว่าสมุดแถบสีวางบนมือของผม เป็นแค่ปึกกระดาษแท้ๆ แต่กลับหนักว่าที่คิด แถมยังมีกลิ่นแปลกๆ อีกด้วย
โคยูฮันหยิบกระดาษสีขาวแผ่นบางออกมาจากกล่อง กระดาษสีขาวนี้บางกว่ากระดาษของสมุดแถบสีพอประมาณ เขาเปิดมันออกไปแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็อ่านข้อความที่เขียนอยู่ในนั้น
“สีมาตรฐาน KS C&D 155 คือกระดาษเทียบสีสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ผลิตตามมาตรฐาน KS A 0011 ที่บัญญัติขึ้นใหม่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 เพื่อให้ระบุและสื่อสารเกี่ยวกับสีได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น…”
“เอามาให้ฉันทำไม”
เขากำลังทดสอบอยู่เหรอว่าผมมองไม่เห็นสีจริงหรือเปล่า ถ้าจะทำแบบนั้นใช้แผ่นทดสอบตาบอดสีก็พอแล้ว แค่เข้าอินเตอร์เน็ตและเสิร์ชหาคำว่า ‘Ishihara checklist’ ก็ได้แล้ว พอผมถามออกไปแบบนั้น โคยูฮันก็ยิ้มและตอบกลับว่า
“ฉันกลุ้มใจว่าจะสอนให้นายรู้จักสียังไงดี แล้วฉันก็ไปรู้มาว่าประเทศเรามีมาตรฐานที่เรียกว่า KS A 0011 อยู่”
“แล้วไงต่อ”
“ในนั้นจะมีสีที่ถูกกำหนดให้เป็นสีมาตรฐาน แป๊บนะ!”
เขาพูดพร้อมพลิกหน้ากระดาษสีขาวที่อ่านค้างไว้เมื่อกี้
“สีพื้นฐานมีสิบสี แดง ส้ม เหลือง เขียวอ่อน เขียว น้ำเงินเขียว น้ำเงิน กรมท่า ม่วง และม่วงแดง สีพวกนี้ถูกกำหนดให้เป็นสีพื้นฐาน ดังนั้นเราต้องเริ่มจากพื้นฐาน”
โหนกแก้มที่อยู่หลังมาสก์ของเขายกขึ้นสูง แล้วเขาก็เคาะๆ สมุดแถบสีที่อยู่ในมือผมเบาๆ
“เป็นไง อยากเรียนมั้ย”
“ไม่”
“แม้แต่ตอนปฏิเสธ ทำหน้าเหวอก็ยังสวย”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง!”
ผมวางสมุดแถบสีของโคยูฮันลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางกระดาน จากนั้นก็ใส่หูฟังไร้สายแล้วเปิดเพลง แม้โคยูฮันจะสะกิดหลัง แต่ผมก็ไม่สนใจ พอฟังจบไปหนึ่งเพลง คาบเรียนที่สองก็เริ่มพอดี
โคยูฮันเอาแต่เสนอจนกลายไปเป็นการเซ้าซี้ตลอดแม้กระทั่งในเวลาพัก
“อันนี้สีแดง”
เท่าที่ตาของผมมองเห็น กระดาษที่เขาคลี่ดูกับกระดาษแผ่นอื่นๆ ก็มีสีเหมือนๆ กัน โดยเฉพาะแผ่นที่สามและแผ่นที่สี่นั้นเหมือนกันมากๆ
“อันนี้สีเหลือง อันนี้ก็เขียวอ่อน”
“อ๋อ…”
แย่ละ ผมชักสีหน้าเพราะเผลอเออออออกไป ไหนว่ากันว่าผู้ป่วยตาบอดสีแยกสีเขียวอ่อนกับสีเหลืองไม่ค่อยออกไง
“สงสัยล่ะสิ สงสัยใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่สงสัย”
“มองฉันหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันกำลังใส่มาสก์น่าอึดอัดแบบนี้อยู่นะ”
โคยูฮันพูดราวกับรู้ว่าผมจงใจไม่มองหน้าเขา ซึ่งผมก็รู้สึกผิดกับเรื่องนั้นอยู่เล็กน้อย
“ทนเอาหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฉันก็ย้ายโรงเรียนแล้ว”
“จะย้ายโรงเรียนเหรอ มินแจ ยอนอูบอกว่าจะย้ายโรงเรียน จริงเหรอ”
ทำไมเวลาแบบนี้ชองจูแฮงที่คอยห้ามถึงไม่อยู่กันนะ เมื่อกี้หลังจากหมดคาบเรียนที่สองก็พอสงบสุขอยู่บ้าง เพราะถ้าโคยูฮันเริ่มเซ้าซี้ขึ้นมาอีกครั้ง ชองจูแฮงก็จะอุดปากเขาด้วยการพูดว่า ‘โอ๊ย ไอ้บ้า หนวกหู’ แต่พอถึงคาบเรียนที่สาม ครูประจำชั้นก็เรียกชองจูแฮงไปพบ จึงไม่มีใครคอยห้ามปราบโคยูฮัน
“นายย้ายโรงเรียนไม่ได้หรอก”
คังมินแจพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ใครได้ยินเข้าคงคิดว่าคังมินแจห้ามไม่ให้ผมย้ายโรงเรียน นอกจากนี้ปกติเขายังดูหงิมๆ เพราะหนังตาที่ตกของเขา แต่เมื่อกี้ตอนที่เขาพูดออกมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างและกลอกไปมา หรือนั่นคือใบหน้าของเขาเวลาที่คุณปู่ประทับร่างอย่างนั้นเหรอ
“แล้วอีกอย่าง คงจะไม่ได้เห็นนายในงานวันจบการศึกษา”
“คังมินแจ”
พอผมเรียกชื่อเขา ดวงตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อก็คลายความกระด้างลง แต่ดูเหมือนว่าสาเหตุเป็นเพราะชองจูแฮงเดินกลับมา ไม่ใช่เป็นเพราะผมเรียกชื่อเขา คังมินแจมองชองจูแฮงแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นสีหน้าแบบที่เห็นเมื่อวาน ไม่สิ เป็นสีหน้าแบบที่เห็นก่อนหน้านี้
“คุณปู่บอกว่าอย่างนั้น อย่ามาถามอะไรฉัน”
“ใช่ ถ้าคุณปู่พูดแบบนั้นนายก็หมดสิทธิ์ย้ายโรงเรียนแล้วล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว นายมาเรียนรู้เรื่องสีกับฉันเถอะ นะๆ”
โคยูฮันพูดพลางขยิบตาให้ผม ผมจึงยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาแล้วทำท่าเหมือนจะจิ้มตาเขา แต่เขากลับหลบแล้วยื่นมือมาจับมือของผมเอาไว้ จากนั้นก็ดึงตัวของผมเข้าหาตัวเอง สีหน้าของเขาตอนนี้กับดวงตาที่หรี่ลงนั้นดูไม่เหมือนว่ากำลังยิ้ม แต่ดูทะเล้นมากกว่า
“ยอนอูของฉันแพ้อะไรแบบนี้สินะ”
“อย่าเรียกว่ายอนอูของฉันนะ”
“แพ้จริงๆ สินะ แหม ฉันดันทำอะไรแบบนี้เก่งซะด้วย”
เขาพูดพลางชูสองนิ้วเป็นรูปตัว V ก่อนจะขยับสองนิ้วนั้นไปไว้ที่หางตาแล้วขยิบตาอีกครั้ง มีใครเขาอยากเห็นผู้ชายตัวโตทำตัวมุ้งมิ้งแบบนั้นกัน
“เฮ้อ ไอ้บ้า ฉันว่านายต้องโดนอัดบ้างแล้วล่ะ”
โชคดีที่ชองจูแฮงมีปฏิกิริยาต่อต้านท่าทางมุ้งมิ้งของโคยูฮัน มันจึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าผมไม่ได้พูดผิดไป แต่ถึงอย่างนั้น พอโคยูฮันเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของผม เขาก็ทำหน้าอิ่มอกอิ่มใจ แล้วเอนหลังนั่งพิงพนักเก้าอี้พร้อมฮัมเพลงออกมา
“หน้าตอนไม่พอใจก็ยังสวย”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง”
“ไม่นะ สวยมาก เพราะงั้นนายก็ให้ฉันมองหน้านาย แล้วฉันก็จะสอนให้นายรู้จักสี แบบนี้ดีจะตาย โอเคมั้ย”
“ไม่จำเป็น”
“หัวใจของผมก็เปรียบเสมือนทะเลสาบที่ซึ่งเก็บน้ำฝนที่ชื่อว่ายอนอู”
โอ้ คำพูดนี้ช่างน่าขนลุกจริงๆ ผมไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจเปลี่ยนกลยุทธ์หรือตั้งใจพูดเพื่อให้คนฟังอ้วกกันแน่ เขาเอาแต่พูดอะไรไร้สาระออกมาจนผมเกือบจะด่าเขาออกไป แต่ผมไม่ได้มีนิสัยด่าคนที่เพิ่งเจอกันแค่สองวัน
“ถ้าปรมาจารย์ด้านการแต่งกลอนมาได้ยินเข้าคงตีนายด้วยไม้พาย”
“จูแฮง ฉันแต่งได้ตั้งขนาดนี้ก็ถือว่าเลิศเลอแล้วนะ”
“อย่ามาตลก ให้ฉันแต่งกลอนสามวรรค ก็น่าจะแต่งได้ดีกว่ากลอนของนายอีก”
ชองจูแฮงตอกกลับใส่ความมั่นใจแบบไม่มีที่มาที่ไปของโคยูฮัน จากนั้นชองจูแฮงก็หันไปพูดกับคังมินแจที่นั่งอยู่เฉยๆ ว่า
“ขึ้นต้นวรรคให้หน่อยสิ เอาจากคำว่าชเวยอนอูนะ”
เอาชื่อของคนอื่นไปเริ่มแข่งต่อกลอน ให้ตายสิ ผมเคยเหนื่อยเวลาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สับสนว่าชื่อของผมคือ ‘ยอนอู’ หรือ ‘ฮยอนอู’ แต่ผมไม่เคยถูกใครแกล้งในรูปแบบนี้
“ชเว”
คังมินแจขึ้นต้นกลอนตามที่ชองจูแฮงสั่ง เฮ้ย คังมินแจ…นอกจากเรื่องเข้าทรงแล้วนายก็เป็นคนปกติไม่ใช่เหรอ
“ชเวยอนอูเอ ฮวันชีมึล ซารอ (เพื่อเอาชนะใจชเวยอนอู)”
“ยอน”
“ยอนอูรึล พีเอ อึนยูฮาดานี (ก็เลยเปรียบยอนอูเป็นฝน)”
“อู”
ชองจูแฮงชูกำปั้นขึ้น แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมานิ้วเดียวก่อนจะพลิกมันกลับหัวลง จากนั้นก็ห่อปากให้เล็กมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วพูดใส่โคยูฮันว่า
“อู…อูยยยยยยย”
ผมถูกใจที่มันเต็มไปด้วยการเกทับ ถ้าไม่ได้ใช้ชื่อของผมมาแต่งกลอนล่ะก็ ผมคงจะช่วยโห่ใส่โคยูฮันไปแล้ว แต่โคยูฮันกลับยกมือทั้งสองขึ้นมารองใต้คางตัวเองเพื่อทำท่าดอกไม้แล้วจ้องมองมาทางผม ท่าเท้าคางกับโต๊ะใช้สำหรับทำเวลาฟังเรื่องผี แต่พอผู้ชายทำท่านี้ มันกลับกลายเป็นท่าที่ทำลายสายตาดีๆ นี่เอง
“อูรี ยอนอู คือแรโด แน ชีกา นัดจี อาน้า (เป็นไงยอนอู กลอนของเราดีกว่าใช่มั้ย)”
“คังมินแจ นายลองบ้างสิ นายน่าจะทำได้ดีกว่าโคยูฮันนะ”
คังมินแจส่งเสียง “อืม” ก่อนจะกะพริบตาสองสามครั้งแล้วพูดว่า “ชเวโกโร ยอนฮัน โซโกกี (เนื้อวัวที่นุ่มที่สุด)”
“…”
หมดคำจะพูดจริงๆ บางทีผมก็สงสัยว่าทำไมรอบตัวผมถึงได้มีแต่คนแปลกๆ ผมไม่ได้แค่อยากย้ายโรงเรียนแล้ว แต่ผมอยากหนีออกไปจากที่นี่มากกว่า
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 ม.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.