X
    Categories: Color RusheverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Color Rush บทที่ 4 #นิยายวาย

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

ตอนที่ 4

 

ตอนลืมตาขึ้นมา ผมยังคงมองเห็นแสงที่ผมไม่เคยรู้จัก ผมจึงหลับตาลงเหมือนเดิม

“ชเวยอนอู”

ผมลืมตาขึ้นอีกเมื่อได้ยินเสียงเรียก ใครบางคนกำลังยืนพิงหน้าต่างอยู่ ขณะที่ผมกำลังจะมองหน้าเขา สีขาวของผ้าม่านก็สว่างจ้าขึ้นมา การกระตุ้นที่เหมือนนุ่นแลบออกมาจากหมอนเฉียดผ่านหางตาของผมไป ผมหลับตาลงอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าชุดนักเรียนของคนที่เรียกชื่อผมให้ความรู้สึกแข็งกระด้างเหมือนที่ผมรู้สึกในโรงอาหารเมื่อสักครู่นี้ คราวนี้ไม่ใช่แค่ปวดตาอย่างเดียว แต่ผมยังปวดหัวด้วย ผมรู้สึกว่ามีอะไรกรอบแกรบอยู่ในตา และรู้สึกเหมือนน้ำกำลังท่วมอยู่ในหัว

“ครูครับ เมื่อกี้คือคัลเลอร์มูฟวิ่ง เหรอครับ”

ผมได้ยินน้ำเสียงที่เรียกชื่อผมเมื่อกี้ แต่ก็ยังไม่อาจลืมตาได้อีกครั้ง แม้จะไม่ค่อยรู้สึกแห้งภายในลูกตาสักเท่าไหร่แล้ว แต่หัวก็ยังปวดอยู่เหมือนเดิม ปวดเหมือนมีใครทำให้ลูกโป่งน้ำแตกอยู่ข้างใน

“ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยอ่านแต่ในหนังสือ เพิ่งเจอของจริงเป็นครั้งแรก”

ผมได้ยินเสียงแหบๆ ของชายสูงวัย

สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับคัลเลอร์มูฟวิ่งที่คนคนนั้นถามก็คือ…เป็นอาการที่เมื่อโมโนเจอกับโพรบ รูม่านตาจะขยาย กล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ ดวงตาจะหดเกร็ง จากนั้นก็จะสามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ ที่เรียกว่าคัลเลอร์มูฟวิ่งก็เพราะลูกตาของโมโนจะขยับราวกับว่ากำลังแต่งแต้มสีสันให้แก่โลก แต่ความเป็นจริงก็คือเป็นอาการกระตุกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสมองรับรู้สีและส่งการตอบสนองไปยังเซลล์การมองเห็น

น่าขนลุกจริงๆ ผมไม่อยากเจอโพรบ ผมไม่อยากเป็นโมโนที่คอยเดินตามโพรบต้อยๆ และไม่ได้อยากทำงานที่มีสีเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าสิ่งที่ทำให้ผมปวดหัวและแสบตาจนลืมตาไม่ขึ้นคือสีล่ะก็…ผมคิดว่ามันก็ไม่จำเป็น รังแต่จะลำบากเอาเปล่าๆ

“มินแจบอกว่าเป็นคัลเลอร์มูฟวิ่งครับ ไม่ได้เป็นลมชัก”

“หมอนั่นรู้เยอะจังนะ รู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นซะด้วย อ้อ เดี๋ยวครูต้องออกไปทำธุระเรื่องรางวัลหนังสือเรียน* เธอดูเพื่อนอยู่ที่นี่นะ”

“ครับ”

“ถ้ามีนักเรียนมาก็ให้หยิบยาเอาเองจากกล่องยาได้เลยนะ แต่ถ้าเพื่อนมีอาการใกล้ตายหรือตาถลนก็โทรหาครูได้เลย เบอร์โทรอยู่บนโต๊ะ”

“ครับ”

หลังจากบทสนทนาของทั้งสองจบลง ผมก็ได้ยินเสียงปิดประตู และรู้สึกได้ว่ายังมีคนเหลืออยู่ในห้องอีกหนึ่งคน

“ชเวยอนอู ฉันใส่มาสก์แล้ว นายลืมตาได้”

ถ้าให้เดา คงจะเป็นโคยูฮันสินะ เพราะพอเขาถอดมาสก์ออกในโรงอาหาร ผมก็รู้สึกตาลายขึ้นมาทันที ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่แสงจากข้าวของต่างๆ ก็ปรากฏสู่สายตาของผมจนรู้สึกปวดตาไปหมด ผมจึงหลับตาลงอีกครั้งแล้วเอาหน้าซุกลงกับหมอน

“เอายาแก้ปวดหัวมั้ย”

“อืม”

คำตอบของผมทำให้คนตรงหน้าขยับตัว ผมได้ยินเสียงเปิดปิดลิ้นชักและเสียงกดน้ำจากตู้น้ำ หลังจากนั้นก็ได้ยินเหมือนเสียงอะไรบางอย่างถูกวางลงบนโต๊ะดังตุ้บ

“กินยาสิ เอ้า ลุกขึ้นมา”

“ลืมตาแล้วปวดหัว”

“เพราะมองเห็นสีเหรอ”

ถ้านี่คือสี สู้มองไม่เห็นน่าจะดีกว่า ผมปวดหัวและปวดตามาก

“เดี๋ยวบังไว้ให้ ลุกขึ้นมากินยาก่อน”

เขาพูดแบบนั้นพร้อมกับหาอะไรที่พอจะบังตาได้มาคลุมหัวของผมไว้ จากนั้นก็ดึงไหล่ของผมให้ลุกขึ้นมานั่ง ผมลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังหลับตาอยู่โดยนั่งอยู่ตรงขอบเตียง เมื่อรู้สึกว่าผ้าขนหนูหล่นมาอยู่ตรงข้างหัว ผมก็ลืมตาขึ้น ตอนนี้ผมมองเห็นแค่ผ้าขนหนูสีขาวและกางเกงนักเรียนของตัวเองเท่านั้น ถึงแม้ว่ากางเกงนักเรียนจะเปล่งแสงเลือนราง แต่ผมก็พอจะทนได้เพราะแสงไม่ได้จ้ามาก ส่วนเสื้อเชิ้ตแขนยาวนั้นมีสีขาวสว่างกว่าสีขาวที่ผมเคยเห็น แต่ผมก็ไม่กลัว เพราะเป็นสีขาวที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้ว

“ให้ปิดอีกหน่อยมั้ย”

ผมได้ยินเสียงดังมาจากอีกฟากของผ้าขนหนูสีขาว ถึงแม้ว่าจะเป็นเสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่เพราะเพิ่งเคยได้ยินวันนี้เป็นครั้งแรก แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาน่าจะเป็นโคยูฮันแน่ๆ แล้ว

“ไม่เป็นไร”

ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ผมก็ยกมือขวาขึ้นไปจับผ้าขนหนูที่อยู่บนหัวเอาไว้เพราะกลัวว่าผ้าจะหล่นลงมา ผมใช้มือซ้ายขยำกางเกงนักเรียนของตัวเองแล้วแบออก กางเกงย่นและคลี่ออกตามมือของผม มันบางต่างจากที่ตาเห็น

“อันนี้สีเขียวเปลือกแตงโม”

“สีเขียวเปลือกแตงโมเหรอ แตงโมที่กินตอนหน้าร้อนน่ะเหรอ”

ผมเสียใจที่ถามย้ำออกไปแบบนั้น ผมไม่ได้อยากรู้จักสีสักหน่อย

“ใช่ สีของเปลือกอันนั้นแหละ เห่ยสุดๆ เลยล่ะสิ ชุดนักเรียนของเราติดหนึ่งในสามชุดนักเรียนที่ไม่สวยที่สุดในแถบนี้เลยนะ”

สำหรับผมแล้วแตงโมก็คือผลไม้ที่มีเนื้อเป็นสีเทาเหมือนสีปูน ส่วนเปลือกมีลายเป็นสีเทาเงินและสีเทาเข้ม น่าแปลกใจมากที่ภายในสีเทาเหมือนสีปูนนั้นเต็มไปด้วยน้ำ ถ้าเป็นสีของเปลือกแตงโมล่ะก็ จะสีเหมือนลายที่เป็นสีเทาเงิน หรือเป็นส่วนที่สีเทาเข้มกันนะ สีมันดูเข้มๆ ก็น่าจะเป็นสีเทาเข้มนั่นแหละ

หลังจากจับกางเกงที่โคยูฮันบอกว่าเป็นสีเขียวเปลือกแตงโมอยู่หลายครั้ง ผมก็รู้ได้ว่ามือของผม…ก็มีสีเหมือนกัน ผมเคยคิดว่ามันเป็นสีเทาเงิน เพราะในสายตาของผม คนผิวขาว คนผิวเหลือง คนผิวดำ ก็ต่างกันแค่ความเข้มของสีผิวเท่านั้น ผมเคยสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่า ‘ผิวเหลือง’ ที่แท้ก็เพราะว่ามันมีสีนี่เอง

“สีมือของฉันเป็นสีอะไร”

“อืม…ผิวนายค่อนข้างจะขาว”

“ไม่ใช่สีขาวสักหน่อย”

“อืม ไม่ใช่สีขาว…เป็นสีเนื้อมั้ง”

“สีเนื้อเหรอ อย่าบอกนะว่าเพราะเป็นสีของเนื้อคนก็เลยเรียกว่าสีเนื้อน่ะ ตกลงมันสีอะไร”

“ฉันก็ไม่รู้ถึงขนาดนั้นหรอก”

“อ่อ…”

ตอนนั้นสีของกางเกงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ได้เปลี่ยนไปสิ สีมันค่อยๆ หายไป ถ้าโมโนไม่ถูกโพรบกระตุ้น ก็จะไม่รับรู้สีอยู่แล้วนี่นะ ถึงแม้ว่าการอยู่กับโพรบเป็นเวลานานจะทำให้สามารถมองเห็นสีได้นานขึ้น แต่ก็อาจจะมีกรณีที่ไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ สีที่เคยเห็นว่าเข้มต่างจากของจริงซึ่งเขาบอกว่าเป็นสีเขียวเปลือกแตงโมได้หายไปแล้ว ผมขยำกางเกงอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วผมก็เห็นสีที่เหมือนกับมือของผมจากผ้าม่าน จากผนังห้องพยาบาล และจากโคยูฮันที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผม

ผมสบตาเข้ากับโคยูฮันที่ใส่มาสก์เรียบร้อยแล้ว ผมเคยประหลาดใจกับดวงตากลมโตแต่มีเปลือกตาแค่ชั้นเดียวของเขา แต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกหนักใจจนต้องเบือนหน้าหนี แล้วผมก็รู้สึกถึงพลังงานอันนุ่มนวลซึ่งแผ่ออกมาจากหมอนที่เหมือนนุ่นจะทะลักออกมาเมื่อกี้นี้

“อันนั้นสีชมพู”

โคยูฮันบอกกับผมที่กำลังหันหน้าไปอีกทาง ผมชี้ไปที่หมอนเพราะไม่แน่ใจว่าเขาพูดถึงสีของหมอนหรือเปล่า ระหว่างนั้นสีที่ออกมาจากผนังห้องพยาบาลและจากมือของผมก็ค่อยๆ หายไปแล้ว ตอนนี้ผมมองเห็นแต่สีเทาจนเกือบขาวและสีเทาเงินที่ผมคุ้นเคย หมอนก็ค่อยๆ สูญเสียพลังงานและกลับไปเป็นสีเทาเงินเหมือนเดิม

นี่เป็นปรากฏการณ์ดีคัลเลอริ่งครั้งแรกของผม มันเป็นปรากฏการณ์ที่เมื่อไม่ได้รับการกระตุ้นจากโพรบ สีก็จะค่อยๆ หายไปและกลับไปเป็นโลกของโมโนเหมือนเดิม ซึ่งมันตรงกันข้ามกับคัลเลอร์รัช ผมลูบหมอนสีชมพูที่ตอนนี้ไม่ได้มีสีสันเหมือนเดิมแล้ว หมอนที่เคยรู้สึกเหมือนไส้นุ่นจะทะลักออกมาน่ะ

พอกลับมาสู่โลกสีเทาเหมือนเดิม ผมก็หายใจสะดวกขึ้น ก่อนหน้านั้นถ้าผมไม่ตั้งสติแล้วพยายามหายใจเข้าออก ผมก็คงจะหายใจไม่ออกราวกับปอดหดตัว ทันทีที่ผมดึงผ้าขนหนูสีขาวที่คลุมหัวออก โคยูฮันก็เอื้อมมือมาจัดผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงให้ ผมคิดว่าเขาทำบ้าอะไร จึงพยายามยกมือขึ้นปัดมือของเขาออก แต่อาจเป็นเพราะขนาดของร่างกาย หรือไม่ก็แรงที่แตกต่างกัน มือของเขาจึงไม่ขยับเลย

“เอ้า ฉันเห็นว่านายดูไม่ค่อยสดชื่น”

“อย่ามาแตะตัวคนอื่นตามอำเภอใจ”

“ตอนนี้เราไม่ใช่คนอื่นไกลแล้ว เราเป็นโมโนกับโพรบ ฉันเป็นโพรบของนายใช่มั้ยล่ะ”

เห็นได้ชัดว่าโหนกแก้มที่อยู่หลังมาสก์กำลังยกขึ้น แต่พอผมส่ายหน้า โหนกแก้มของโคยูฮันก็ตกลงมา

“ไม่ใช่หรอกเหรอ”

เขาถามซ้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้โง่ ผมไม่อยากเจอโพรบแล้วชีวิตต้องยุ่งเหยิง

“ขอโทษนะ แต่…”

“แต่สีหน้าดูเหมือนไม่อยากขอโทษสักเท่าไหร่นะ”

คำพูดนั้นทำผมเงยหน้าแล้วจ้องมองเขาเขม็ง แต่โคยูฮันกลับมองลงมาที่ผมโดยไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร ตอนแรกผมคิดว่าเก้าอี้หมุนที่โคยูฮันนั่งอยู่มันสูงกว่าเตียง แต่พอมองลงไปด้านล่างของเก้าอี้หมุนและเห็นขายาวๆ ของโคยูฮันแล้ว ผมก็รู้หมั่นไส้ขึ้นมา เพราะผมเอาเขามาเปรียบกับตัวเอง

“ฉันไม่ขอโทษก็ได้ แต่ฉันไม่อยากเจอโพรบ ไม่เคยคิดอยากเจอ และต่อไปก็จะไม่เจอด้วย”

“พูดแบบนี้เพราะว่าฉันเป็นโพรบเหรอ”

คำถามนั้นค่อนข้างที่จะแทงใจผมอยู่เหมือนกัน ถ้าโพรบไม่ใช่นักเรียนชายที่ตัวใหญ่กว่าผม แถมยังเอาแต่นอนโดยไม่รู้ไปทำอะไรมา ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าผมจะคิดแบบนี้หรือเปล่า แต่ถึงยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจอยู่ดี แค่ตามหาแม่ ชีวิตของผมก็เหนื่อยเกินพอแล้ว ผมคงรับมือไม่ไหวหรอก ถึงน้าจะห้ามไม่ให้ผมตามหาแม่ แต่ผมก็ไม่มีที่ว่างให้ใครแทรกตัวเข้ามาได้อยู่ดี

“ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นใครทั้งนั้นแหละ เพราะคติประจำใจของฉันคือความสงบสุข”

“มองฉันหน่อยสิ”

ถึงแม้ว่าโคยูฮันจะใส่มาสก์อยู่ แต่ผมก็ไม่อยากให้เกิดคัลเลอร์รัชแบบเมื่อครู่ขึ้นอีก ผมจึงเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ลูกตาของผมกลับกลอกไปมองเขาช้าๆ

“มองเหมือนว่าฉันจะจับนายกินอย่างนั้นแหละ”

“อะไรนะ”

“ฉันยังไม่จับกินหรอก ตอนนี้น่ะนะ”

โคยูฮันประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วหักนิ้วเสียงดังกร๊อบ ดูจากการที่โหนกแก้มยกสูงขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการหรี่ตาลงก็เดาได้ว่าเขาคงกำลังนึกสนุกอะไร นี่ผมกำลังเผชิญกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอยู่แท้ๆ

ผมตั้งใจจะลุกขึ้นจากเตียง แต่โคยูฮันดันไหล่ให้ผมกลับลงไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง เมื่อกี้ตอนปัดแขนของเขา ผมก็รู้สึกได้ว่าแรงของผมกับแรงของเขาค่อนข้างต่างกันมาก ท้องของผมก็ยังว่างอยู่ เพราะผมดันเป็นลมไปจากการเกิดคัลเลอร์รัช ตอนนี้ผมเลยรู้สึกเหมือนกรดกำลังไหลย้อนขึ้นมา

“นายต้องพักก่อนนะ”

“ปล่อย”

“อ้อ โมโหหิวนี่เอง อืมๆ เข้าใจแล้ว รอแป๊บนะ เดี๋ยวไปเอาของกินมาให้”

“ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องจับพลัดจับผลูมาข้องแวะกับโมโน”

“นี่สิถึงจะเป็นสีหน้าสำนึกผิด”

การได้มาเกี่ยวข้องกับโมโนมันไม่มีข้อดีเลย ถ้าโคยูฮันได้มาอยู่โลกเดียวกันกับผม ก็คงจะได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้น แต่ที่ต่างประเทศก็มีข่าวอาชญากรรมที่โมโนยึดติดกับโพรบมากจนเกินไป เมื่อไม่นานมานี้ผู้ร่วมรายการคนหนึ่งในรายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบันพูดว่าโมโนน่ากลัวกว่าผู้ป่วยจิตเภทเสียอีก จนเกิดเป็นประเด็นขึ้นมา ทั้งหมดทั้งมวลนี้แสดงให้เห็นว่าการข้องแวะกับโมโนมันไม่มีอะไรดีเลย

ทันทีที่ผมหลบตาเพราะไม่สามารถมองเขาต่อไปได้อีก โคยูฮันก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบหัวของผมตามอำเภอใจ คราวนี้ผมใช้ทั้งสองมือปัดมือของเขาออก เพราะใช้มือแค่ข้างเดียวคงจะไม่ได้ผล

“อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ว่าฉันไม่อยากเจอโพรบ ไม่มีโพรบ ฉันก็อยู่ได้สบายดี”

“ว่าแต่เมื่อกี้นายถามถึงสีทำไมล่ะ”

ผมไม่สามารถหาข้อแก้ตัวกับคำถามนี้ได้ จู่ๆ โคยูฮันก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากผ้าม่านที่กั้นอยู่ ผมได้ยินเหมือนเสียงเขากำลังหาอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับสามเอ็มโพสต์อิตที่ติดอยู่กับพลาสติกใส บนนั้นมีโพสต์อิตติดอยู่ทั้งหมดห้าชิ้น เขายื่นมันมาให้ผม เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ผมพอจะรู้ว่าแต่ละแผ่นมีสีต่างกัน แต่ดวงตาของผมเห็นแค่ว่าระดับความเข้มแตกต่างกันเฉยๆ

“ฟ้า เขียว แดง ส้ม เหลือง เรียงมาแบบนี้เลย”

“ไม่ต้องบอกก็ได้ ดีคัลเลอริ่งไปแล้วก็มองไม่เห็นอยู่ดี”

“ดีคัลเลอริ่งคืออะไร”

ผมคิดว่าจะตอบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบออกไป เพราะผมไม่อยากอธิบายยืดยาว

“มองไม่เห็นสีแล้วเหรอ”

พอเขาถามแบบนั้น สายตาของผมที่กำลังจดจ่ออยู่กับโพสต์อิตก็มองไปทางเขา เขาจับคางของผมให้เชยไปทางใบหน้าของตัวเขาเอง ซึ่งผมก็ไม่ขัดขืนเพราะกลัวว่าคอตัวเองอาจจะหัก เขาหรี่ตาลงแล้วมองมาที่ผมราวกับสงสาร จนผมรู้สึกอยากจะโหม่งจมูกของเขาเหมือนที่อยากทำตอนอยู่ในโรงอาหารเมื่อกี้

“ให้ฉันเปิดหน้ามั้ย ถ้าทำแบบนั้นนายก็จะมองเห็นสีนี่นา”

เขาพูดแบบนั้นพลางใช้นิ้วชี้ของมือซ้ายซึ่งเป็นมือข้างที่ไม่ได้จับคางผมเอาไว้เคาะไปที่แก้มของตัวเอง ช่างเป็นเด็กฝึกที่ทำตัวมุ้งมิ้งไม่สมกับขนาดของร่างกายเลย ผมรู้สึกเหมือนกรดกำลังไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะที่ว่างเปล่า

“ไม่จำเป็น นายอย่ามาข้องแวะกับโมโนจะดีกว่านะ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็เพราะว่า…”

ข่าวที่มีคนพยายามฆ่าตัวตายที่ผมได้ดูเมื่อเช้าแวบเข้ามาในหัว โมโนเองเมื่อข้องเกี่ยวกับโพรบแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนกัน

“มีคดีที่โมโนลักพาตัวโพรบ ไหนจะฆาตกรรมคนใกล้ตัวอีก และยังมีคดีฆ่าโพรบแล้วก็เอาเนื้อมากินด้วยนะ”

“อ้อ”

ผมกลั้นใจพูดถึงคดีที่ร้ายแรงที่สุด แต่โคยูฮันกลับยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขาตอบกลับมาแค่พอให้รู้ว่าเขากำลังฟังผมพูดอยู่เท่านั้น

“นายไม่รู้เหรอว่ามันร้ายแรงแค่ไหน”

“อืม เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันชอบคัลเลอร์มูฟวิ่งของนาย”

“…”

ผมปัดมือของโคยูฮันที่จับคางของผมออก คราวนี้ได้ผลในครั้งเดียวเพราะเขาไม่ได้จับแน่นมาก

“เพราะงั้นเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า ฉันจะสอนให้นายรู้จักสี ส่วนนายก็โชว์คัลเลอร์มูฟวิ่งให้ฉันดูเป็นการตอบแทน ดีมั้ย”

ผมตอบออกไปทันที

“ไม่เอา”

“ฉันจะสอนนายเป็นอย่างดี ไม่ผิดหวังแน่นอน”

 

ก่อนกลับไปที่ห้องเรียน ผมแวะร้านค้าแล้วซื้อขนมปังมาหนึ่งชิ้นโดยมีโคยูฮันเดินตามหลังต้อยๆ เมื่อกี้ที่โรงอาหารผมก็รู้สึกว่านักเรียนคนอื่นดูเกร็งๆ กับโคยูฮันด้วยเหมือนกัน แม้จะไม่เกร็งเท่าคังมินแจก็ตาม โคยูฮันชี้มาตรงขนมปังที่ผมกำลังจะเอาเข้าปาก

“ขนมปังเมลอนก็เป็นสีเมลอน”

เขาบอกในสิ่งที่ไร้สาระมาก ผมไม่ได้อยากรู้เลย ผมเคี้ยวขนมปังแข็งๆ ที่มีลายตารางหมากรุกนูนขึ้นมาเด่นชัดพลางเดินกลับไปที่ห้องเรียน

“กางเกงและเสื้อแจ็กเก็ตของโรงเรียนเราเป็นสีเขียวเปลือกแตงโม ใส่กับเสื้อเชิ้ตสีขาวทั่วไป พวกนักเรียนชอบล้อว่าถ้าไปแอบอยู่ในป่าก็คงจะหาไม่เจอ”

ไม่เห็นจะน่าสนใจเลยสักนิด ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ผมย้ายโรงเรียนมาวันแรก แต่ผมคงต้องขอให้น้าย้ายโรงเรียนอีกครั้งแล้วล่ะ น้าเองก็น่าจะรู้ว่าการเริ่มต้นใหม่น่าจะง่ายกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“ฉันจะสอนนายเป็นอย่างดี ไม่ผิดหวังแน่นอน”

“ไม่จำเป็น”

พอผมเปิดประตูหลังห้องเข้าไป เพื่อนๆ ก็พากันสะดุ้งทั้งที่ยังเห็นแค่ผม ไม่ได้เห็นโคยูฮันด้วยซ้ำ ชองจูแฮงยังคงตั้งใจทำแบบฝึกหัดอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าอยู่ๆ เสียงในห้องจะเงียบลงไปก็ตาม ส่วนคังมินแจนั้นเอาแต่มองเหม่อไปที่ท้ายทอยของชองจูแฮงที่กำลังทำแบบฝึกหัดอยู่ พอรู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกๆ ชองจูแฮงก็หันหลังมามองผม ตอนผมเดินมานั่งที่โต๊ะ ชองจูแฮงก็กระซิบกับผมเบาๆ โดยไม่ให้คนอื่นได้ยิน เบาเสียจนผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร

“พูดว่าอะไรนะ ไม่ได้ยิน”

“โอ๊ย”

เขาร้องออกมาก่อนจะฟุบลงไปบนโต๊ะ พอเห็นแบบนั้นผมก็ทำตาม เขาจึงกระเถิบเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราแทบจะชนกัน จากนั้นก็กระซิบออกมาเบาๆ

“นายเป็นโมโนเหรอ”

“ใช่”

“ก่อนอื่นเลยนะ ฉันบอกเพื่อนๆ ว่านายเป็นลมเพราะเห็นผี”

“หา?”

ผีโผล่มาได้ยังไงกัน ปฏิกิริยาของผมทำให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ หันมามอง จากนั้นก็หันกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองทำค้างเอา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าหูของพวกเขาก็กำลังเงี่ยฟังสิ่งที่พวกผมกำลังคุยกันอยู่

ชองจูแฮงกระดิกนิ้วเรียกผมที่ยกหน้าออกไปจากโต๊ะให้ก้มลงมาชิดโต๊ะอีกครั้ง

“คิดว่าถ้าบอกไปแบบนั้นน่าจะโอเคกว่าการบอกว่านายเป็นโมโนไง”

ก็แย่ทั้งคู่นั่นแหละ ขณะที่ผมกำลังงุนงงว่าผีเข้ามาเกี่ยวข้องได้ยังไง ผมก็หันไปเห็นคังมินแจที่นั่งอยู่ด้านหลังของชองจูแฮง อย่าบอกนะว่าคุณปู่ที่พูดกันคือผี

“อย่าบอกนะว่าคุณปู่ของคังมินแจ…”

ผมตั้งใจจะถามว่าเป็นผีเหรอ แต่ผมก็พูดออกไปอ้อมๆ เพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท

“เสียไปแล้วเหรอ”

“ใช่”

เด็กแปลกๆ ที่ครูประจำชั้นบอกก็คือคังมินแจนี่เอง นี่คือเหตุผลที่เพื่อนๆ ดูระแวดระวังคังมินแจมากกว่าโคยูฮันผู้แสนจะสะดุดตา เด็กเห็นผีไม่น่าอภิรมย์เสียยิ่งกว่าพวกอันธพาลในโรงเรียนเสียอีก เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง

“ปีที่แล้วหมอนั่นทำนายว่าพวกอันธพาลจะตาย แล้วก็ดันตายจริงๆ เพื่อนๆ ก็เลยแหยงๆ น่ะ แต่ว่าหมอนั่นเป็นคนดีนะ”

ใครเขาพูดแบบนั้นต่อหน้าเจ้าตัวกันล่ะ! โคยูฮันพูดแทรกเข้ามาในระหว่างที่ผมกำลังคุยกับชองจูแฮง คังมินแจเองก็ดูไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาเอาแต่มองไปยังประตูทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่นะ มันไม่มีใครอยู่ตรงนั้นจริงๆ พอเห็นว่าเขาจ้องประตูอยู่อย่างนั้น ผมก็เลยขนลุกขนพองขึ้นมา

“โคยูฮันมันไม่รู้หรอกว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด”

“ทำไมล่ะ ถ้ายอนอูจะอยู่กลุ่มเราก็ต้องรู้ไว้สิ”

“บอกว่าไม่ต้องพูดก็ได้ไง”

“ไม่ได้ ต้องพูดสิ”

ชองจูแฮงพยายามจะปิดปากโคยูฮัน อันที่จริงถ้าดูทางกายภาพ โคยูฮันก็ถูกมาสก์ปิดปากอยู่แล้วนะ แต่เอาเป็นว่าชองจูแฮงพยายามห้ามไม่ให้โคยูฮันพล่ามต่อไปอีก แต่ผมก็ยังถามต่อเพราะคิดว่าต้องหาเหตุผลที่ดีที่สุดเพื่อเอาไปบอกน้าเกี่ยวกับการย้ายโรงเรียน

ชองจูแฮงยกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วเอนตัวไปด้านหลัง ส่วนคังมินแจก็เอาแต่มองไปที่ประตูอันว่างเปล่าทั้งที่พวกเรากำลังพูดเรื่องของเขาอยู่ เขายังไหวอยู่มั้ยนะ

“คือว่าปีที่แล้วพวกอันธพาลมาหาเรื่องคังมินแจ คังมินแจก็เลยพูดออกไปว่า ‘นายห้ามขี่มอเตอร์ไซค์นะ’ จากนั้นก็พูดกับคนที่อยู่ข้างๆ และข้างหลังหมอนั่นว่า ‘นายห้ามนั่งซ้อนท้าย ส่วนนายห้ามมองไปที่ต้นไม้’ พวกนั้นยัวะมากก็เลยระรานคังมินแจหนักขึ้นไปอีก พอถึงช่วงสุดสัปดาห์นั้น สองคนในกลุ่มนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปชนกับรถบรรทุกตรงสี่แยก คนหนึ่งแบนอยู่ใต้ท้องรถบรรทุก ส่วนอีกคนหนึ่งหายไปไหนก็ไม่รู้ เพื่อนๆ ในแก๊งกับตำรวจหากันให้ควั่ก แล้วอยู่ๆ เพื่อนคนหนึ่งก็น้ำลายฟูมปากแล้วหมดสติไป เพราะเงยหน้าไปเห็นเพื่อนอีกคนที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ลอยขึ้นไปเสียบอยู่กับต้นไม้ ลิ้นงี้จุก…”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นโคยูฮันก็ทำท่าเหมือนจะถอดมาสก์ออก ผมจึงยกมือขึ้นไปทาบไว้กับมาสก์นั้นจนเขาต้องหยุดพูด เขาดึงมือของผมไว้แล้วจ้องมองมือนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ฝ่ามือนายก็ยังสวยเลย”

พอเขาพูดแบบนั้น ผมก็รีบดึงมือออกอย่างรวดเร็ว

“ก็บอกว่าไม่สวยไง”

คนเราก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ พูดอะไรแบบนั้นอยู่ได้ โชคดีที่ครูภาษาอังกฤษเดินเข้ามาพอดี บทสนทนาของเราจึงจบลงแค่นี้ อยากกลับบ้านเร็วๆ จัง

พอถึงช่วงพัก ผมจงใจใส่หูฟังไร้สายแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะ ซึ่งหมายความว่าผมไม่อยากคุยกับใคร ผมไม่ได้เปิดเพลงเสียงดังเพราะยังไงผมก็ไม่ได้ใส่เพื่อที่จะฟังเพลงอยู่แล้ว แต่จู่ๆ โคยูฮันก็มาสะกิดหลังของผม

“คุณโมโนครับ คุณจะไม่คุยกับโพรบหน่อยเหรอครับ”

พอเขาพูดแบบนี้ ชองจูแฮงก็ทำหน้าแขยงก่อนจะพูดจิกกัดว่า

“โคยูฮัน นายนี่ชอบละเลงหมึก ใส่เรื่องที่คนอื่นจัดการไว้ดีอยู่แล้วเรื่อยเลยนะ”

ผมรู้สึกดีขึ้นเพราะคิดว่าถึงยังไงชองจูแฮงก็ยังเป็นคนปกติ แต่โคยูฮันก็สะกิดหลังของผมอีกครั้ง

“ไม่สงสัยเหรอว่าหมึกมีสีอะไร”

เขาชวนคุย แต่ผมเมิน

“หมึกก็สีดำไง ไอ้บ้า”

ชองจูแฮงตอบแทนผม ซึ่งถ้าเขาไม่ได้ตอบแทนผมออกไปแบบนั้น ผมก็คงจะตอกกลับไปว่า ‘คิดว่าผมโง่หรือไงที่จะไม่รู้จักแม้กระทั่งสีดำ’ ผมรู้สึกได้ว่าโคยูฮันกำลังนั่งสั่นขาอยู่ทางด้านหลังของผม ถ้าผมหลับไปจริงๆ ก็คงจะดี แต่ตอนนี้ผมเอาแต่จดจ่ออยู่กับโคยูฮัน เหลืออีกแค่วิชาเดียวก็จะได้กลับบ้านแล้ว ทำไมเวลาพักมันถึงได้นานอย่างน่าแปลกประหลาดแบบนี้นะ

“นี่จูแฮง เมื่อวานระเบิดตกใส่โรงเรียนเราเหรอ”

“พูดหมาๆ อะไรอีกล่ะ”

“ก็หน้าตาเพื่อนๆ ดูประหลาดเอามากๆ”

“เฮ้อ”

เมื่อโคยูฮันพูดอะไรไร้สาระออกมา ชองจูแฮงก็เดาะลิ้นราวกับหมดคำจะพูด

“นายอยากจะพูดอะไรกันแน่”

“ทำไมขี้เหร่แบบนี้เนี่ย”

“นายอยากมีเรื่องกับฉันงั้นเหรอ”

ผมรู้สึกได้ว่าชองจูแฮงที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังเอนตัวไปด้านหลัง

“ฉันคิดว่าฉันหล่ออยู่คนเดียว แต่พอเห็นยอนอูก็พบว่าเขาสวย แล้วทำไมหน้าตาคนอื่นๆ…ถึงยังตามมีตามเกิดอยู่แบบนี้ล่ะ”

“นายอยากโดนปล่อยหมัดรัวๆ สินะ”

“เอ้า ก็เรื่องจริงนี่ ถ้าไม่โดนระเบิดถล่มใส่ แล้วทำไมเพื่อนๆ ถึงหน้าเป็นแบบนั้นล่ะ”

“ดูเหมือนนายจะคุ้นเคยกับใบหน้าของชเวยอนอูภายในวันเดียวสินะ ปกติแล้วนักเรียนชาย ม.ปลาย ก็หน้าตาแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”

“ไม่ใช่ซะหน่อย ฉันหล่อจะตาย”

“เฮ้อ เวรกรรม แล้วนี่ฉันมาต่อปากต่อคำกับนายทำไมนะ”

ผมหัวเราะออกมาเพราะปฏิกิริยาของชองจูแฮงช่างน่าขำ แต่ดูเหมือนว่าผมจะขำแรงเกินไป โคยูฮันก็เลยสะกิดหลังของผมอีกครั้ง

“ก๊อกๆ”

คราวนี้เขาทำเสียงแบบนั้นออกมาด้วย

“ยอนอู ขอฉันดูหน้านายหน่อยสิ นะๆ ถ้าให้ดูคัลเลอร์มูฟวิ่งก็ยิ่งดี”

“โคยูฮัน นี่นายโง่ใช่มั้ย”

“จูแฮง นายฉลาดเกิดไปต่างหาก”

“ใช่ จูแฮงเขาฉลาด”

จู่ๆ คังมินแจก็พูดเสริมขึ้นมา ผมลุกขึ้นเพราะรำคาญเรื่องไร้สาระที่สามทหารเสือพูดเต็มทนแล้ว แต่โคยูฮันกลับลุกตามขึ้นมา

“ไม่ต้องตามมานะ”

ผมห้าม แต่เขากลับทำท่าเอียงคอสงสัยแบบไม่ยี่หระ ผมจึงกดไหล่เขาให้นั่งลง ผมรู้สึกรำคาญที่ถึงแม้ว่าผมจะออกแรงตั้งเยอะ แต่ร่างของเขาก็แทบไม่ขยับเลย

“จะไปห้องน้ำ”

“ยอนอู”

โคยูฮันเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน จากนั้นก็เอามือทั้งสองประคองแก้มของตัวเองเอาไว้แล้วมองมาที่ผม ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์เอาซะเลย

“นอกจากหน้าแล้วก็จะให้ดูไอ้นั่นด้วยเหรอ”

“ถ้าตามมา ฉันจะฆ่านาย”

ผมพูดออกไปแบบนั้น ถึงจะมองไม่เห็น แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามุมปากของเขายกขึ้น นั่นเป็นเพราะตาของเขาหรี่จนหยี แล้วคำที่เขาพูดเสริมขึ้นมาตอนที่ผมกำลังออกไปจากห้องเรียนก็ทำเอาผมอยากจะฆ่าเขาจริงๆ ผมไม่ได้อยากฆ่าเพราะความยึดติดที่โมโนมีต่อโพรบ แต่อยากฆ่าแบบที่คนธรรมดาฆ่าคนธรรมดาด้วยกัน

“ทำเป็นขี้อายไปได้”

 

พอหมดคาบเรียนก็มีคาบแนะแนวก่อนกลับบ้าน โคยูฮันดูมองราวกับอยากจะเจาะรูที่ท้ายทอยของผมเสียเหลือเกิน ผมรู้สึกถึงสายตาของเขาที่เอาแต่จ้องมองมา จนผมอยากจะจิ้มเข้าไปตรงลูกตาที่อยู่เหนือมาสก์นั่น ก่อนหน้านี้เคยมีคนที่หาเรื่องผมทันทีที่เพิ่งเจอกัน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมอยากฆ่าคน แถมคนคนนั้นยังเป็นโพรบของผมอีกด้วย

เมื่อครูปล่อยกลับบ้าน ผมก็รีบลุกขึ้น โคยูฮันเองก็ลุกขึ้นตามเหมือนกัน แต่คราวนี้เขาไม่ยักชวนผมคุย ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเปลี่ยนแผน พอผมเดินออกจากประตูโรงเรียนและกำลังจะเลี้ยวเข้าไปในอพาร์ตเมนต์คอมเพล็กซ์ เขาก็คว้าแขนของผมจากทางด้านหลัง พอร่างของผมเซไปเซมาราวกับตุ๊กตากระดาษ เลือดก็ขึ้นหน้าผมทันที ไม่ใช่ว่าผมอ่อนแอนะ แต่เขาต่างหากที่แรงเยอะเกินไป และยิ่งตอนที่ผมต้องแหงนหน้าขึ้นไปเพื่อมองหน้าเขา ผมก็ยิ่งโมโห ผมคิดว่าผมสูงตามมาตรฐานปกติแล้วนะ

“นี่บ้านนายเหรอ”

“ใช่ เพราะงั้นปล่อยได้แล้ว”

“เฮ้อ ไม่มีความโรแมนติกระหว่างเดินกลับบ้านเลย”

โรแมนต่งโรแมนติกบ้าอะไร ฉันไม่ได้อยากกลับบ้านพร้อมนายสักหน่อย

“ฉันต้องขึ้นรถเมล์กลับ”

จะขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือกลับบ้านยังไง ผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น ในหัวผมคิดแค่ว่าจะต้องโน้มน้าวน้าทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ย้ายโรงเรียนอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะรู้หงุดหงิดที่ต้องย้ายออกจากโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านขนาดนี้ก็ตาม

“ชเวยอนอู”

โคยูฮันโน้มตัวลงมาสบตากับผม ผมรู้สึกอารมณ์เสียทั้งตอนที่ผมต้องแหงนหน้ามองขึ้นไปและตอนที่เขาโน้มตัวลงมา

“เดี๋ยวฉันจะทำให้นายรู้จักสีเอง นายแค่ให้ฉันดูหน้านายก็พอ นี่เป็นข้อตกลงที่ไม่เสียหายอะไรใช่มั้ยล่ะ”

“ขอพูดอีกครั้งนะว่าไม่จำเป็น”

“โธ่ ถ้านายรู้จักสี นายก็จะรับรู้อะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นนะ”

“ไม่จำเป็น”

พอผมพูดแบบนั้น โคยูฮันก็ปล่อยมือแล้วหันหลังกลับทันที

“เจอกันพรุ่งนี้นะ”

แล้วผมก็ได้ยินเสียงของโคยูฮันดังไล่หลังมา ผมเดินเข้าไปในอพาร์ตเมนต์คอมเพล็กซ์แล้วหันกลับไปมอง โคยูฮันเดินจากไปแล้ว มือของเขากำลังถอดมาสก์สีดำที่ใส่มาทั้งวันออก ขณะผมมองโคยูฮันที่กำลังหันหลังให้ ผมไม่มีอาการคัลเลอร์รัช

 

พอเข้ามาในบ้าน ผมก็โทรหาน้าในทันที แต่น้าไม่รับสาย ผมเลยส่งข้อความทิ้งไว้แล้วเข้าไปในคาเฟ่ ที่เป็นแหล่งรวมของครอบครัวผู้สูญหายอีกครั้ง แต่ไม่มีข่าวใหม่ๆ เลย ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าน้าจะต้องโกรธแน่ๆ ถ้าน้ารู้…แต่ผมก็หยิบใบปลิวตามหาคนหายที่ซ่อนเอาไว้ใต้สมุดแบบฝึกหัดเล่มล่างสุดออกมา มันเป็นใบปลิวที่มีรูปสองรูปอยู่ นั่นคือรูปถ่ายหน้าตรงของแม่และรูปตอนที่แม่กำลังยิ้ม ด้านล่างเขียนว่า ‘ยูอีรี’ ซึ่งเป็นชื่อของแม่ พร้อมเขียนอายุของแม่ในขณะที่หายตัวเอาไว้ด้วย ส่วนช่องทางติดต่อก็มีชื่อ ‘ยูอีรัง’ ซึ่งเป็นชื่อของน้า และมีเบอร์มือถือที่น้าตัดใจปิดไม่ลงเขียนกำกับเอาไว้ด้วย น้าห้ามไม่ให้ผมแจกใบปลิวนี้อีกตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากมีเรื่องที่โรงเรียนเมื่อคราวที่แล้ว แค่ผมทำท่าเหมือนจะตามหาแม่ น้าก็ว่าแล้ว

ผมมองรูปที่แม่กำลังยิ้ม คำพูดของโคยูฮันที่บอกว่า ‘นายก็จะรับรู้อะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้นนะ’ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม อะไรต่อมิอะไรงั้นเหรอ

เวลาดูรูปหรือคลิปก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องการแยกแยะใบหน้าของผู้คน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…ผมนั่งมองใบปลิวอยู่พักใหญ่ก่อนจะซ่อนมันไว้ที่ใต้สมุดอีกครั้ง น้าเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าวันไหนแม่กลับมาแล้วรู้ว่าผมมัวแต่ตามหาแม่จนไม่เป็นผู้เป็นคน แม่ก็จะโกรธ

มันก็ถูกของน้านะ แต่ความเสียดายและความรู้สึกผิดยังกดทับหนักอึ้งอยู่บนบ่าของผมเหมือนเดิม ถ้าผมคิดว่าแม่ทิ้งผมไปจริงๆ จนผมรู้สึกชิงชัง มันก็คงจะดี ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง…แล้วข่าวโมโนที่พยายามฆ่าตัวตายที่ผมได้ดูเมื่อเช้าก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง ผมเองก็เคยคิด เพราะผมเคยเห็นว่าแม่หมดอาลัยตายอยากขนาดไหนตอนที่แม่เสียพ่อไป ผมถอนหายใจออกมายาวๆ แต่นั่นกลับทำให้จุดจบของเรื่องที่ผมคิดขดตัวอันยาวเหยียดของมันอยู่ในร่างกายของผม

ผมเข้าไปดูรูปที่คนอัพโหลดเอาไว้ในโซเชียล รูปเหล่านั้นที่ถูกโปรแกรมคัดกรองใบหน้าครอว์ลิ่งออกมาโดยอัตโนมัติ น้าคิดว่าเอาคอมฯ ออกไปก็จบ แต่ใครบอกล่ะ สมัยนี้ทำงานในคลาวด์ ก็ได้ ง่ายจะตาย ถึงแม้ว่าค่าบริการจะจุกจนผมเอาเงินค่าขนมมาจ่ายค่าบริการแบบฟูลแพ็กเกจไม่ได้ก็เถอะ ผมโหลดส่วนของวันนี้และดูใบหน้าของคนในรูปที่ผมตั้งให้เป็นสไลด์โชว์แบบเลื่อนอัตโนมัติ แม้จะมีคนมากหน้าหลายตา แต่ผมก็ไม่เห็นใบหน้าของแม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้นเลย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 28 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: