X
    Categories: Color RusheverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Color Rush บทที่ 6 #นิยายวาย

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

ตอนที่ 6

 

อาหารกลางวันของวันนี้คือหมูผัดซอส ผมกินข้าวโดยตั้งใจไม่หันไปมองโคยูฮันที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ฉันจะถอดมาสก์กินข้าวนะ ฉันไม่ใช่คนอาหรับก็เลยไม่รู้วิธีกินข้าวทั้งที่ยังใส่ผ้าปิดปากอยู่”

“ถ้าพูดถึงบูร์กา ล่ะก็ มันมีช่องอยู่บริเวณปากเพื่อเอาไว้กินข้าว”

“โอ้ ชองจูแฮง ฉลาดจริงๆ”

“ถ้าเข้าคณะแพทยฯ ไม่ได้ก็จะใช้สมัครเข้าโควตาผู้เผยแผ่ศาสนา”

วินาทีนั้นผมสงสัยขึ้นมาทันทีว่ามีโควตาแบบนั้นด้วยเหรอ ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่ามันเป็นมุก แต่ดูจากสีหน้าจริงจังของเขาแล้ว ผมคิดว่าเขาน่าจะยอมเปลี่ยนศาสนาเพื่อเข้าคณะแพทยศาสตร์

โคยูฮันนั่งอยู่ทางขวา ผมก็เลยเอาแต่ระแวงเขาจนกินข้าวไม่ค่อยลงสักเท่าไหร่

“ฉันกินหมดแล้ว นายค่อยๆ กินไปละกัน”

ขณะที่ผมกำลังนั่งอมข้าวอยู่ โคยูฮันก็พูดแบบนั้นก่อนจะหันหน้าไปอีกทางแล้วหยิบมาสก์ขึ้นมาใส่ เพราะอย่างนั้นผมจึงสามารถยืดหลังและนั่งกินได้อย่างสบาย เมื่อวานผมเกิดอาการคัลเลอร์รัชแล้วเป็นลมไป ก็เลยไม่รู้ว่าชองจูแฮงเป็นคนที่กินข้าวช้ามากทั้งที่ปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบการเสียเวลา ส่วนโคยูฮันกินข้าว เครื่องเคียง และสิ่งที่อยู่ในน้ำซุปจนเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว เหลือเพียงน้ำซุปเอาไว้นิดหน่อย แต่ในทางกลับกันคังมินแจเอาแต่ซดน้ำซุป ชองจูแฮงเคี้ยวข้าวช้าๆ เหมือนเด็ก ส่วนผมก็เลือกกินเฉพาะเครื่องเคียงที่ผมชอบเท่านั้น

“ยอนอูของฉันสวยแม้ในเวลากินข้าว”

“ก็บอกว่าไม่สวยไง”

“เคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนกระต่ายเลย”

โคยูฮันแกว่งปากหาเท้า จนความอยากอาหารของผมหล่นวูบ และดูเหมือนคนที่กินข้าวไม่ลงจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ชองจูแฮงหยิบช้อนขึ้นมาและทำท่าจะฟาดใส่ แต่พอโคยูฮันขยิบตาให้ผม เขาก็เลยใช้มือที่ถือช้อนอยู่ไปปิดตาของตัวเอง ในที่สุดผมเลยเหลือข้าวบานเบอะ แต่อย่างน้อยชองจูแฮงก็ยังกินหมด ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกจากโรงอาหาร โคยูฮันก็มายืนขวางทางผมเอาไว้ ทำตาหยีๆ แบบนั้นก็คงไม่พ้นที่จะพูดจาไร้สาระอีกแล้วสินะ

“ทำไมเห็นฉันแล้วนายทำหน้ามุ่ยอยู่เรื่อย”

“ฮะ?”

จะไม่ให้หน้ามุ่ยได้ยังไง ก็เล่นสนุกแกล้งผมตั้งแต่เมื่อกี้ แถมยังพูดจาไร้สาระ ขยิบตาใส่ แล้วก็ทำตัวมุ้งมิ้งอีก

“ยอนอู แปรงฟันเสร็จแล้วไปห้องพยาบาลกันเถอะ”

“ไปทำไม”

“อ๊ะ ฉันแปรงให้ยอนอูก็ได้นะ เอายาสีฟันรสสตรอเบอรี่มั้ย”

“โคยูฮัน ฉันกับนายอายุเท่ากันนะ อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็ก”

“ฉันเพิ่งเจอยอนอูของฉันได้สองวัน แต่รู้สึกเหมือนนายเป็นเด็กแรกเกิดเลย”

“เฮ้อ เวร”

ชองจูแฮงมองแล้วสบถออกมาพร้อมกับส่ายหน้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นศิลปะการพูดแบบไหน

“ส่วนจูแฮงก็…”

โคยูฮันเลิกหยีตาแล้วหรี่ตาลงมาแทน ชองจูแฮงจึงขมวดคิ้วแล้วจ้องโคยูฮัน พอมองผ่านเลนส์แว่นหนาๆ ตาตี่ๆ ของชองจูแฮงก็ยิ่งดูเล็กลงมากขึ้นไปอีก

“ไม่เกี่ยวหรอกมั้ง เพราะหมาพันธุ์เล็กอายุได้ปีนึงก็เรียกหมาโตแล้ว”

“ไอ้นี่เรียกเพื่อนว่าหมาเหรอ”

ชองจูแฮงทำหน้าเหมือนคำพูดมันจุกอยู่ที่คอก่อนจะโต้ตอบออกไปแบบนั้น ชองจูแฮงกับคังมินแจบอกว่าจะไปเดินเล่นย่อยอาหาร ส่วนผมก็กำลังเดินกลับห้องเรียนเพื่อไปแปรงฟันโดยมีโคยูฮันเดินตามหลังมาต้อยๆ

“อ๊ะ อยากแปรงฟันกับยอนอูของฉันจังเลย แต่ไม่แปรงก็ได้ เพราะถ้าถอดมาสก์เดี๋ยวยอนอูก็เป็นลมอีก”

“อยากให้ข่าวกระจายไปทั่วโรงเรียนใช่มั้ย”

“ไม่ได้นะ เดี๋ยวจูแฮงดุเอา จูแฮงพยายามปิดเรื่องที่ยอนอูของฉันเป็นโมโนแทบตาย”

“ถ้างั้นก็อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย”

ผมบีบยาสีฟันลงบนแปรง แต่ออกแรงมากเกินไปหน่อย ยาสีฟันก็เลยทะลักออกมา เฮ้อ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยสักอย่าง หลังจากนั้นผมก็เดินมาแปรงฟันที่ห้องน้ำโดยมีโคยูฮันมองผมแปรงฟันผ่านกระจก

“ยอนอูของฉันเนี่ย ขนาดตอนแปรงฟันก็ยังสวย”

ผมอยากตอบกลับไปว่าไม่สวย แต่ผมกำลังแปรงฟันอยู่ก็เลยโต้ตอบออกไปไม่ได้ในทันที โคยูฮันทำท่าจิ้มไปตรงแก้มของผมที่สะท้อนอยู่บนกระจก ผมรู้สึกรำคาญก็เลยรีบแปรงฟันให้เร็วขึ้น

“สวยเผื่อแผ่ใครกันน้า”

“ไม่ใช่นายก็แล้วกัน”

ผมบ้วนฟองทิ้งแล้วตอบกลับไปพร้อมเขม่นมองเขาผ่านกระจก เขาน่าจะกำลังสนุกกับปฏิกิริยาของผมแน่ๆ

“จะสวยไปให้ใครดูเนี่ย ฉันหรือเปล่าน้า”

ดูเหมือนผมจะรู้แล้วว่าทำไมชองจูแฮงถึงชอบด่าโคยูฮัน ผมเองก็อยากด่าเขาเหมือนกัน ผมรีบบ้วนปากแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่คราวนี้เขาไม่ยักตามมา ผมจึงค่อยรู้สึกหายใจสะดวกหน่อยแม้จะแค่ประเดี๋ยวเดียวก็เถอะ พอกลับมาถึงห้องเรียน ผมก็เห็นสมุดแถบสีที่วางอยู่บนโต๊ะของโคยูฮัน ผมคิดในใจว่าต้องไม่สนใจมัน แต่ผมกลับละสายตาจากสมุดแถบสีเล่มนั้นไม่ได้เลย ในเมื่อโคยูฮันไม่ได้ตามกลับมาในทันที มือของผมก็เลยค่อยๆ เอื้อมไปหาสมุดแถบสีเล่มนั้นโดยอัตโนมัติ

โมโนอธิบายความสว่างที่เห็นได้หลากหลาย สำหรับผมนั้น ผมใช้ตระกูลสีเทาสิบสีตามที่แม่เคยสอน

สีขาว สีเทาจนเกือบขาว สีเทาเงิน สีเงิน สีเทา สีเทาเหมือนสีปูน สีเทาเข้ม สีเทาขนหนู สีเทาดำ สีดำ

ผมเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าคนที่มองเห็นสีปกติก็จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของสีเหมือนกัน ผมยังคงแยกกระดาษแผ่นที่สามและแผ่นที่สี่ไม่ออกสักเท่าไหร่ ด้านหลังมีตัวอักษรเขียนเว้นวรรคเท่าๆ กันว่า ‘3/Y’ และ ‘4/GY’ ตามลำดับ ดูเหมือนว่าจะเขียนเอาไว้เพื่อใช้แยกแยะทั้งสองสีนี้

“เดี๋ยวฉันสอนให้”

อยู่ๆ เสียงของโคยูฮันก็ดังมาจากข้างหลัง ผมคงจะจดจ่อกับการดูสีมากเกินไปจนไม่รู้ว่ามีคนมา โคยูฮันยื่นมือมาจากด้านหลังแล้วชี้ไปที่ตัวอักษร

“เลขสามหมายถึงกระดาษแผ่นนี้อยู่ลำดับที่สามของสมุดแถบสี ส่วน Y คือ Yellow ซึ่งก็คือสีเหลือง และ GY คือ Green Yellow สีเขียวอ่อน”

ผมรู้ว่าผมไม่สามารถแยกสีเหลืองกับสีเขียวได้ เหลืองกับเขียวอ่อน นั่นคือชื่อของสองสีที่ผมแยกไม่ได้

“ก็ไม่ได้อยากรู้นี่”

ผมพูดออกไปต่างจากที่ใจคิด และพอผมจะวางสมุดแถบสีลง โคยูฮันก็เอาคางมาเกยไว้ที่ไหล่ของผม จากนั้นก็ยื่นมือมาจับสมุดแถบสีที่ผมถืออยู่ แล้วประกบมือของตัวเองลงบนมือของผม ก่อนจะเปิดสมุดแถบสีทีละแผ่น เขาอธิบายตัวย่อของภาษาอังกฤษที่เขียนไว้ด้านหลังเหมือนเมื่อครู่ที่ข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“R คือ Red สีแดง YR คือ Yellow Red สีส้ม G คือ Green สีเขียว BG คือ Blue Green สีน้ำเงินเขียว B คือ Blue สีน้ำเงิน PB คือ Purple Blue สีน้ำเงินม่วง P คือ Purple สีม่วง และ RP คือ Red Purple สีม่วงแดง”

เหงื่อเริ่มไหลออกมาตามมือของผมที่ถูกโคยูฮันจับเอาไว้ ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของโคยูฮันที่อยู่ข้างหลัง ผมจึงพยายามจะเอาตัวออกมา ผมยัดสมุดแถบสีใส่มือของโคยูฮันแล้วขยับออก และเมื่อหันหลังกลับไป ผมก็รู้สึกเหมือนมีแสงพุ่งออกมาจากด้านหลังของโคยูฮัน

คราวนี้ต่างแค่สถานที่ แต่มันก็คล้ายกับคัลเลอร์รัชที่เกิดขึ้นในโรงอาหาร ตู้เก็บของที่เรียงรายอยู่หลังห้องเรียนกำลังให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก สีของมันคล้ายกับสีเทาที่ผมรู้จัก แต่ผมรู้สึกถึงความเย็นของโลหะมากขึ้นกว่าเดิม แสงที่เหมือนจะเข้าไปกระตุ้นภายในลูกตาฉายออกมาจากผ้าใยสังเคราะห์ที่หุ้มผนังด้านหลังห้อง ผมเห็นริมฝีปากของโคยูฮันยกขึ้นแม้สายตาจะยังหาโฟกัสไม่เจอ

เข็มทิศที่อยู่ในหัวของผมหมุนติ้ว แสงพวยพุ่งออกมาจากในลูกตา รู้สึกเหมือนน้ำท่วมเต็มหัว ขณะที่ผมกำลังคุมสติไม่อยู่ ผมก็รู้สึกได้ว่าโคยูฮันจับที่แขนของผม คัลเลอร์รัชครั้งที่สอง ไอ้โคยูฮัน

 

ผมลืมตาขึ้นมาในสถานที่เดียวกันกับคราวก่อน แสงสีขาวของผ้าม่านสว่างจ้าราวกับหลอดนีออน ผมมองเห็นหมอนที่ผมเรียนรู้มาว่าเป็นสีชมพู และเห็นโคยูฮันในชุดกางเกงสีเขียวเปลือกแตงโม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว สวมมาสก์สีดำ กำลังยืนถือสมุดแถบสีอยู่ฝั่งตรงข้าม ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือผมเห็นว่าบริเวณด้านข้างของสมุดแถบสีมีสีหลายสีปรากฏอยู่ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่าด่างๆ ดวงๆ หรือเปล่านะ

“ยอนอูของฉันฟื้นแล้วเหรอ”

“จู่โจมด้วยใบหน้างั้นเหรอ ขี้ขลาดชะมัด”

“เปล่านะ ตอนนั้นฉันกำลังจะใส่มาสก์ แต่นายดันหันมาเร็วเกินไป”

ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังยิ้มอยู่ใต้มาสก์ เพราะจำมุมปากที่ยกขึ้นก่อนจะเป็นลมได้ โคยูฮันขยับตัวเข้ามาใกล้ผมที่กำลังนอนอยู่ แล้วยื่นสมุดแถบสีมาจ่อตรงหน้า คราวนี้เขาให้ดูด้านหน้าไม่ใช่ด้านหลังแบบเมื่อกี้ เขาพลิกหน้าปกและค่อยๆ เปิดต่อไปทีละหน้า

“อันนี้สีแดง”

ผมตกใจเพราะสีมันเข้มมาก สีแดงที่ผมรู้จักก็คือแอปเปิ้ลสีแดง ผมสงสัยว่านี่ใช่สีแอปเปิ้ลจริงหรือเปล่า นอกจากนั้น ตอนเกิดคัลเลอร์รัชครั้งก่อน สีของลายเส้นบนผนังที่ผมเห็นในโรงอาหารก็เหมือนจะเป็นสีตระกูลนี้ คล้ายกันมาก มันเป็นสีที่ดูเหมือนจะทิ่มเข้ามาในตาและเป็นสีที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น

โคยูฮันพลิกหน้าที่เป็นสีแดงไปด้านหลังเพื่อเปิดหน้าใหม่ให้ดู

“สีส้ม”

มันเป็นสีที่ดูสดใสแปลกๆ ผมจึงเริ่มรู้สึกไม่ชอบแครอตเพราะมันเป็นสีส้ม แครอตเนี่ยนะสดใส…

“ยิ้มอะไร”

“ฉันยิ้มอยู่เหรอ”

โคยูฮันถามด้วยน้ำเสียงขำๆ พอถูกถามจี้ ผมก็รู้สึกถึงมุมปากที่ยกขึ้นโดยอัตโนมัติ ผมปวดหัวจนลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคัลเลอร์รัชหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากสมุดแถบสีที่โคยูฮันยื่นมาให้ดูได้เลย

สีส้มดูสดใสและหยอกเย้า ดังนั้นผมก็เลยยังนึกภาพไม่ออกว่าแครอตสีส้มเป็นยังไง แครอตที่สุกแล้วก็เป็นสีส้มด้วยหรือเปล่านะ

“สีเหลือง”

ผมเคยแยกสีนี้ไม่ออก แต่ทันทีที่ได้เห็น มันก็สว่างเสียจนผมไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมผมถึงแยกมันออกจากสีอื่นไม่ได้ ถ้าสีส้มดูสดใส สีนี้คงจะดูบ้าคลั่ง สีมันแยงตาจนตาผมแทบจะระเบิดเลยทีเดียว ผมน่าจะรู้แล้วว่าสีเหลืองของรูปดอกทานตะวันที่แวน โก๊ะห์วาดเป็นแบบไหน และผมยังได้ยินมาอีกว่าสีพื้นหลังของป้ายเตือนอันตรายต่างๆ ก็เป็นสีเหลืองเช่นกัน

“สีเขียวอ่อน”

ผมอยากดูสีเหลืองต่ออีกนิด แต่โคยูฮันก็ข้ามไปที่สีอื่นเสียแล้ว และเมื่อผมได้มองสีเขียวที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากสีเหลืองเมื่อกี้ ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ว่าทำไมโมโนถึงแยกสองสีนี้ไม่ได้ ถ้าสีเหลืองเป็นสีตัวแทนคนบ้าคลั่ง สีเขียวอ่อนก็เป็นสีแทนนักปราชญ์ ถึงแม้จะสว่างแต่ก็ให้ความรู้สึกสบาย ตั้งแต่ดูมาจนถึงตอนนี้ผมชอบสีเขียวอ่อนมากกว่าสีแดง ส้ม และเหลือง เพราะมันไม่ค่อยปวดตาสักเท่าไหร่

“สีเขียว”

ถ้าเพิ่มความเข้มลงไปในสีเขียวอ่อนก็น่าจะออกมาเป็นสีนี้นะ เมื่อวานน้าบอกว่าขวดโซจูเป็นสีเขียว ผมคิดว่าผมน่าจะรู้แล้วว่าทำไม ถ้ากินน้ำอะไรก็ตามที่อยู่ในขวดแบบนี้ก็คงไม่ต่างกับการกินยาพิษ แต่ความรุนแรงขนาดนั้นกลับทำให้ผมคิดถึงรสชาติขมมากๆ บวกกับความรู้สึกโล่งจมูกเวลาสูดการบูร

“สีน้ำเงินเขียว”

สีนี้ต่างกับสีเขียวแค่ความเข้ม ถ้าเขียวอ่อนและสีเขียวต่างกันสิบเลเวล สีเขียวและสีน้ำเงินเขียวก็เหมือนจะต่างกันแค่สองเลเวล แต่เพราะสีดูมีน้ำหนักก็เลยให้ความรู้สึกมั่นคงมากกว่าสีเขียวเมื่อกี้ แถมยังให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดไปพร้อมๆ กับความรู้สึกไม่แน่ไม่นอนของสีเขียวด้วย

“น้ำเงิน”

“นี่สีน้ำเงินเหรอ”

“อืม”

ผมไม่เข้าใจ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสีที่สุดโต่งมากกว่านี้เสียอีก แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกับสีน้ำเงินเขียวเมื่อครู่ เพิ่มเติมคือมันดูเย็นกว่านิดหน่อย ผมพอจะรู้แล้วทำไมเวลาคนวาดรูปน้ำจากที่กดน้ำถึงใช้เป็นสีน้ำเงิน

“อันนี้ดูไม่เหมือนสีน้ำเงินใช่มั้ยล่ะ ฉันก็เห็นว่าสีกรมท่ากับสีน้ำเงินดูคล้ายๆ กัน อันนี้สีกรมท่า”

เขาเอาสีน้ำเงินและสีกรมท่ามาเทียบให้ดู ผมรู้สึกอึดอัด และในที่สุดผมก็ยื่นมือออกไป แล้วผมก็เห็นสีน้ำเงินเขียว สีเขียว และสีเขียวอ่อนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมๆ กัน

พอได้ดูสีห้าสี เขียวอ่อน เขียว น้ำเงินเขียว น้ำเงิน กรมท่าพร้อมๆ กันก็พอจะแยกออกจากกันได้ แต่สำหรับผม มันก็ยังคล้ายกันอยู่ดี

“หน้าสวยๆ มุ่ยหมดแล้ว”

“ก็บอกว่าไม่สวยไง”

พอโคยูฮันเอามือมากดที่หว่างคิ้วของผม คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออก ถ้าเอามาเทียบกันและตั้งใจดูก็พอจะแยกออก แต่ถ้าดูผ่านๆ ก็คงสับสนอยู่ สำหรับผมแล้วสีกรมท่าดูใกล้เคียงกับสีน้ำเงินที่ผมเคยได้ยินมา สีที่เยือกเย็นและเย็นตา

“ประเทศเรามองว่าสีฟ้าสีน้ำเงินเป็นสีโทนเดียวกันหมด”

“ดูคล้ายกันไปหมด”

“เดี๋ยวก็ชิน ถ้าได้เห็นบ่อยๆ” แล้วโคยูฮันก็พลิกแผ่นสี เปิดสีอื่นให้ดู “สีม่วง”

ผมไม่รู้ว่าคำแบบนี้เหมาะกับสีหรือเปล่า แต่มันดูแพงมาก ถ้าได้เห็นคนใส่เสื้อสีนี้ผมคงรู้สึกหงอขึ้นมาโดยอัตโนมัติแน่ๆ แต่อีกมุมหนึ่งก็ดูมีความไม่แน่ไม่นอนแฝงอยู่ มันไม่ใช่สีสว่างหรือสีที่ดูรุนแรงเหมือนสีที่เห็นมาก่อนหน้า และไม่ใช่สีในตระกูลสีน้ำเงินเขียว แต่คำว่า ‘Purple’ ก็ฟังดูคล้ายกับมีอะไรบางอย่างแตกสลายในความรู้สึก เหมือนอะไรสักอย่างสลายเพราะต้องออกเสียงตัว P ซึ่งเป็นเสียงระเบิดในปากถึงสองครั้ง ทั้งที่มันไม่ใช่สีที่เตะตาเลย

“สีม่วงแดง”

“ชื่อภาษาอังกฤษล่ะ”

“Red Purple”

เป็นสีที่มีพลังทำลายล้างของสีม่วงหลงเหลืออยู่ ถ้าสีม่วงทำลายล้างทุกอย่างที่อยู่บนพื้นหลังออกไปหมดแล้ว สีนี้ก็คงจะเป็นสีที่ยังเหลืออยู่จากการถูกสีม่วงทำลายล้าง พลังของสีแดงที่ผมได้เห็นเป็นครั้งแรกเมื่อครู่ยังคงติดตาผมอยู่หรือไงนะ

โคยูฮันกางสีทั้งสิบที่ให้ผมดูเมื่อกี้ราวกับกางพัด ผมอยากเห็นสีที่อยู่ด้านหลังสมุดแถบสีนี้ด้วย อยากเห็นมากเสียจนยากที่จะโกหกว่าไม่อยากรู้เรื่องสี ขนาดดูแค่สิบสีตรงหน้าผมยังปลื้มปริ่มขนาดนี้ ผมอยากรู้จักสีอื่นๆ และอยากเห็นสีที่อยู่ตรงหน้าตลอดไป ทั้งสองเรื่องนี้เป็นความจริง

ผมรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ หลงใหลไปกับการเรียนรู้สี สีที่หายไปก่อนคือสีม่วงและสีม่วงแดง สีทั้งสองค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีที่คล้ายกับสีเทาดำ แล้วสีเขียวและสีน้ำเงินเขียวที่ผมสงสัยว่าผมจะแยกมันออกมั้ยก็หายไปตาม จากนั้นสีเขียวอ่อนก็ค่อยๆ จางลง ต่อด้วยสีน้ำเงินกับสีกรมท่า และเมื่อเหลือแต่สีอันบ้าคลั่งที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ผมก็เริ่มหวั่นใจ ผมอยากเห็นให้นานกว่านี้อีกหน่อย

“โคยูฮัน ถอดมาสก์ออก!”

“ให้ถอดเหรอ”

“ใช่”

ต่อให้เกิดคัลเลอร์รัช ต่อให้ผมต้องเป็นลมไปอีกครั้ง ผมก็ไม่เกี่ยง ผมจับสมุดแถบสีที่โคยูฮันเอาให้ดูเมื่อกี้ เพราะถ้าเป็นลมไป ผมก็จะได้ตื่นขึ้นมาเห็นมันอีกครั้ง

“ผมจะถอดถ้าคุณสั่งให้ถอดครับ”

โคยูฮันพูดเล่นพลางพับสมุดแถบสีเก็บ สีส้มและสีเหลืองค่อยๆ หายไป เหลือแค่สีแดงที่แยงตา แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถูกหน้าปกบัง เมื่อเป็นเช่นนั้นผมจึงเงยหน้ามองโคยูฮัน เขากำลังใช้นิ้วชี้จับด้านบนของมาสก์เอาไว้ จากนั้นก็หรี่ตาลงพร้อมดึงสมุดแถบสีออกจากมือของผม แล้วเขาก็ปล่อยมือออกจากมาสก์

“เอาไว้คราวหลังนะ”

“เปิดหน้าให้ดูเดี๋ยวนี้เลย!”

ผมกระวนกระวายใจเพราะกำลังเกิดดีคัลเลอริ่ง แต่โคยูฮันกลับลุกขึ้น แถมยังเอาสมุดแถบสีซ่อนไว้ข้างหลังอีกด้วย ผมใช้เวลาสักพักกว่าจะลุกขึ้นจากเตียงได้เพราะยังมึนหัวอยู่ ผมอยากเห็นสีที่หายไปอีกครั้ง ผมไม่จำเป็นต้องรู้จักพวกมัน…จนกระทั่งมาถึงตอนนี้

“การทดลองเรียนพิเศษจบลงแค่นี้ เป็นไง อยากเรียนต่อมั้ย”

คำถามนั้นทำให้ผมได้รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง

ผมเคยพูดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโพรบ และจะไม่สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองต้องเข้าไปข้องแวะกับโพรบด้วย แต่การทำตามอำเภอใจของโคยูฮันทำให้ผมลืมตัวไปเสียสนิท เขาเป็นโพรบ ส่วนผมเป็นโมโน แม้ตอนนี้ผมกำลังหลงใหลไปกับการเห็นสีจากการมองหน้าของโคยูฮัน แต่หลังจากนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยึดติดกับโคยูฮันหรือเปล่า ดีคัลเลอริ่งทำให้มึนหัวอยู่บ้าง แต่มันก็จะค่อยๆ หายเอง ผมหลับตาลง ภายในเปลือกตาไม่ได้เป็นสีดำ แต่เป็นสีเทาเงินและสีเทาลอยอยู่เต็มไปหมด

“ฉันจะกลับไปที่ห้องเรียน ส่วนนายก็ไม่ต้องเอาสมุดแถบสีนั่นมาให้ฉันดูอีก”

“ทำไมล่ะ”

“สมุดแถบสีก็คือสมุดที่จงใจสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงสี เพราะงั้นฉันถึงได้สับสนแบบนี้ไงล่ะ”

“พวกแม่สีค่อนข้างแสบตาก็จริง แต่มันก็ไม่เสมอไปนะ”

“ฉันไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ก็ได้ เพราะสีทั่วไปมันไม่ได้จัดจ้านแบบนั้น”

ผมเขม่นมองโคยูฮันที่กำลังใส่มาสก์อยู่ ดวงตาที่เคยยิ้มของเขากำลังกะพริบอย่างแรง สีเหลือง อยากเห็นสีเหลืองอีกครั้งจัง แต่ผมก็ทนได้ ถึงผมจะรู้ว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดี แต่ผมก็อยากเห็นอีก ผมหลับตาลงอีกครั้ง ถึงยังไงก็ไม่มีทางมองเห็นสีเหลืองได้อีก

“ยอนอูของฉัน แม้แต่ตอนโกรธ หน้าก็ยังสวย”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่สวย!”

เมื่อกี้ผมแทบไม่ทันได้สังเกต แต่พอผมตะโกนออกไป ผมก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบริเวณม่านด้านหลัง ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเฉียดโคยูฮันออกไปนอกห้องพยาบาลโดยจงใจไม่มองหน้าเขา จากนั้นก็รีบตรงไปยังห้องเรียน ผมจะหลงใหลสีพวกนั้นมากไปกว่านี้ไม่ได้

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 30 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: