Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
ตอนที่ 8
มีคำว่าความยืดหยุ่นทางจิตใจ คนเราสามารถกลับสู่สภาวะเดิมได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ผมคิดว่าความยืดหยุ่นทางจิตใจของผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอเทียบกับน้าแล้ว น้าสามารถทำมันได้ดีกว่า แม้ว่าเพิ่งจะเจอเหตุการณ์เลวร้าย น้าก็สามารถกินข้าวได้ทันที บางครั้งผมก็คิดว่าน้าเป็นคนที่เกิดมาเพื่อกิน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน้าก็ไม่สามารถอดข้าวได้
พอถึงโรงเรียน ผมเห็นโคยูฮันนอนฟุบอยู่ ผมทักทายชองจูแฮงและคังมินแจ ผมคิดว่าควรจะปลุกโคยูฮันดีมั้ย แต่ก็ตัดสินใจไม่ปลุก ชองจูแฮงมองผมกับโคยูฮันสลับกันไปมา
“เฮ้อ”
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วตบไหล่ของผมเบาๆ ผมมองเห็นสายตาของชองจูแฮงผ่านเลนส์แว่นหนาเตอะ
“ฉันเป็นเพื่อนหมอนั่นมาตั้งแต่ประถม ฉันขอโทษแทนหมอนั่นด้วยนะ”
“นายขอโทษแทนเขาทำไม”
“เพราะหมอนั่นมันไร้หัวคิด”
“ทำไมฉันถึงไร้หัวคิดล่ะ”
โคยูฮันที่ผมคิดว่ากำลังนอนหลับพูดแทรกชองจูแฮงขึ้นมา
“แล้วในหัวนายคิดอะไรอยู่ล่ะ”
“ชเวยอนอูเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาหารเที่ยงสิบเปอร์เซ็นต์”
“เฮ้อ”
ชองจูแฮงส่ายหัวไปมา ผมรู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินเสียงของโคยูฮัน ผมค่อยๆ หันไปมองเขา ก็เห็นว่าเขากำลังใส่มาสก์อยู่ เมื่อวานผมกังวลว่าเขาน้อยใจก็เลยไม่กลับมาที่ห้องเรียน แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขากำลังยิ้มอยู่
“ยอนอูของฉันผิดหวังที่ฉันคิดถึงของกินตั้งสิบเปอร์เซ็นต์เหรอ”
นอกจากน้าแล้ว โคยูฮันก็มีความยืดหยุ่นทางจิตใจที่ดีเหมือนกัน ทันทีที่เขาสบตาผม เขาก็หรี่ตาลง แล้วโหนกแก้มของเขาก็ยกสูงขึ้น
“วันนี้ก็ยังสวยเหมือนเดิม”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง”
วันนี้เขายังคงพูดแหย่ว่าผมสวย เขาน่าจะไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ผมไม่เห็นสมุดแถบสีที่กวนใจผมเมื่อวานนี้ แต่เห็นเอกสารที่ดูเหมือนว่าเขาพริ้นต์อะไรออกมา
โคยูฮันเปิดเอกสารพริ้นต์แล้วยื่นมาจ่อตรงหน้าผม ในนั้นมีรูปกล่องสี่เหลี่ยมที่ภายในถูกระบายสีเอาไว้ ด้านข้างมีป้ายอะไรสักอย่าง ส่วนด้านล่างของกล่องที่ถูกระบายสีมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘สีชมพูดอกซากุระ สีชมพูคาร์เนชั่น สีทับทิม (คริมสัน)’ เป็นต้น
“ยอนอูคนสวยของฉันชอบทำภาคปฏิบัติมากกว่าภาคทฤษฎีก็ไม่บอก”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง”
“ยอนอูของฉัน อันนี้โอเคมั้ย”
“ไม่ อันนั้นก็ไม่ชอบ”
“ทั้งสวยและน่ารัก”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง แล้วก็ไม่ได้น่ารักด้วย”
เมื่อวานเป็นสมุดแถบสี วันนี้เป็นอะไรอีกล่ะ ดูจากการต่อปากต่อคำกับดวงตาที่ยกยิ้มอยู่แบบนั้น เหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเมื่อวานสักเท่าไหร่ ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ
“อันนี้เรียกว่าสีที่ใช้บ่อยๆ เป็นสีที่ใช้กันทั่วไป แต่ก็ยังมีมาตรฐานอยู่นะ มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดสี”
เขาพลิกกระดาษแผ่นต่อไป
“ฉันเองก็ต้องเรียนรู้ก่อนเหมือนกัน เอาไว้รู้แล้วจะมาสอนนะ”
“โคยูฮัน นายพูดว่าตัวเองต้องเรียนรู้งั้นเหรอ”
ชองจูแฮงมองโคยูฮันด้วยความสงสัย ส่วนโคยูฮันก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับกระดาษพริ้นต์
“เมื่อวานฉันบอกให้ลุงพริ้นต์ตามสีของต้นฉบับจริงเลย พอลุงถามว่าจะเอากี่ชุด ฉันก็ให้พริ้นต์ออกมาหลายชุด แต่มันหนักเลยถือมาแค่ชุดเดียว ถ้าอยากได้ก็บอกนะ เดี๋ยวฉันเอามาให้”
“ไม่อะ ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเขียนลงไปในแผนการเรียนได้เลย”
พอชองจูแฮงปฏิเสธ คังมินแจที่นั่งเงียบอยู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นโคยูฮันก็นั่งเงียบๆ และจดจ่ออยู่กับกระดาษพริ้นต์ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากสอนเรื่องสีให้ผมถึงขนาดนั้น ผมตัดสินใจว่าไม่ต้องไปสนใจเขา ทนอีกแค่หนึ่งเดือนก็ค่อยย้ายโรงเรียน และตอนนี้ในหัวของผมก็เอาแต่คิดเรื่องที่จะโทรไปหาโมโนวาอีพือ ผมจินตนาการว่าพอโทรไปแล้วคนคนนั้นจะตอบมาว่าอะไรและจะมีปฏิกิริยายังไง แล้วไม่นานครูประจำชั้นก็เข้ามาเช็กชื่อ
“โคยูฮัน ล้มเลิกที่จะเดบิวต์แล้วเหรอ”
“ครูครับผมอ่านหนังสืออยู่”
“เออ”
ครูพยายามยุ่งกับเรื่องของโคยูฮัน แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เท่าที่ผมเห็นตลอดสองวันที่ผ่านมาโคยูฮันเอาแต่นอนในคาบเรียน ดังนั้นวันนี้พอครูของแต่ละวิชาเข้ามาเห็นเขากำลังตื่นอยู่ ครูก็จะมองหรือไม่ก็ถามด้วยความสงสัย
อาหารกลางวันของวันนี้คือซุปชีเรกี และเกี๊ยวทอด ความจริงมีไข่ตุ๋นด้วย แต่ผมไม่ค่อยอยากกินสักเท่าไหร่ โคยูฮันมานั่งข้างๆ ผม ก่อนที่จะถอดมาสก์ออก เขาหันมาจ้องผมเขม็งแล้วบ่นพึมพำคนเดียวราวกับมีเรื่องไม่พอใจ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจให้ผมได้ยินหรือเปล่า แต่ผมก็ได้ยินทุกคำ
“อยากเห็นคัลเลอร์มูฟวิ่งจัง”
บอกว่าอยากเห็นคัลเลอร์มูฟวิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการสั่งให้ผมเป็นลมน่ะสิ ผมกินต่อโดยไม่สนใจเขา พอกินเสร็จ โคยูฮันก็ไม่ได้ตามผมมา ผมจึงตามชองจูแฮงกับคังมินแจมาที่ห้องสมุด พอถึงห้องสมุดที่เงียบกว่าห้องเรียน ชองจูแฮงก็จับจองที่นั่งเพื่อนั่งอ่านหนังสือ คังมินแจหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วนั่งลงข้างๆ ชองจูแฮง ดูๆ ไปแล้วกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มที่ไร้สาระไปวันๆ
“ออกกำลังกายทันทีหลังกินข้าวเสร็จ ท้องก็จะอืด”
ผมก็นึกอยู่ว่าโคยูฮันหายไปไหน ที่แท้เขาก็ไปหยิบเอกสารซึ่งพริ้นต์สีที่ใช้บ่อยๆ ไว้มาจากห้องเรียนนี่เอง เขานั่งลงข้างๆ ผม ผมอยากหยิบหนังสือมาอ่าน แต่เขากลับนำกล่องกระดาษแถบสีที่ผมเห็นเมื่อวานมาวางตรงหน้าผม ผมอยากบอกออกไปว่าไม่อยากดู แต่ห้องสมุดเงียบมาก ผมจึงไม่ได้พูดออกไป ผมได้ยินเสียงโคยูฮันพลิกเอกสารพริ้นต์ เสียงมันดังเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระดาษหรือเปล่า
‘คู่มือสีมาตรฐานสำหรับการออกแบบในพื้นที่สาธารณะ’
บนหน้าปกเขียนไว้แบบนั้น พอโคยูฮันเห็นว่าผมมอง เขาก็จ้องหน้าผม ผมจึงแกล้งทำเป็นหลับ แต่ก็รู้สึกได้ว่าโคยูฮันกำลังขยับตัว
“สีเนื้อที่พูดถึงคราวก่อน เขาเรียกว่าสีเนื้อเฉยๆ”
แล้วผมก็ได้ยินเสียงนิ้วที่สัมผัสและพลิกหน้ากระดาษอีกครั้ง
“ต่อไปเป็นสีมุก”
เขากระซิบกระซาบที่ข้างหูคนอื่นแล้วหัวเราะเบาๆ แต่ทันทีที่มีเสียงคนจงใจกระแอม “อะแฮ่ม” ดังมาจากฝั่งตรงข้ามผมก็รู้สึกว่าโคยูฮันค่อยๆ ถอยห่างออกไป หูผมรู้สึกร้อนผ่าวอย่างประหลาด ผมอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าสีมุกเป็นสีแบบไหน นั่นแหละคือปัญหา โคยูฮันพยายามดึงความสนใจของผมอยู่ ในหัวของผมตอนนี้ไม่มีเรื่องอื่นเลย มีแต่เรื่องสีเต็มไปหมด
ดูเหมือนว่าชื่อของโพรบจะเข้ามารุกรานและเข้ามาเกาะติดอยู่ในสมองของผม
ตามประวัติศาสตร์ ตอนที่โรคประสาทไม่รับรู้สีถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ทุกคนคิดว่าเป็นอาการฮิสทีเรีย แบบชั่วคราว แต่มันแตกต่างจากคนตาบอดสีที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์รูปกรวย ในกรณีของคนที่เป็นโรคตาบอดสีทุกสี โดยมากจะพบอาการแพ้แสงอย่างรุนแรง อาจพบการกระตุกของลูกตา การมองเห็นจึงแย่มาก แต่ในกรณีของโรคประสาทไม่รับรู้สีนั้นจะไม่พบความผิดปกติเกี่ยวกับสายตาและไม่ได้มีปฏิกิริยาอ่อนไหวกับแสงเช่นนั้นด้วย
ตามทฤษฎีแล้วถ้าเซลล์รูปกรวยที่ทำหน้าที่รับรู้สีไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ เซลล์รูปแท่งที่ทำหน้าที่รับรู้ความมืดและความสว่างก็จะอ่อนไหวกับแสง เมื่อเป็นเช่นนั้น หากมองไม่เห็นสีก็จะอ่อนไหวต่อแสงอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าโรคประสาทไม่รับรู้สีนั้นต่างออกไป เพราะเพียงแค่มองไม่เห็นสีเท่านั้น คนที่ตาบอดสีทุกสีถูกเรียกว่า Monochromat หรือไม่ก็ Achromat แต่คนที่ประสาทไม่รับรู้สีจะถูกเรียกว่า Mono-nerve-chromat โดยในตอนแรกคำว่า ‘โมโน’ เป็นคำที่ใช้เรียกทั้งคนที่ตาบอดสีทุกสีและคนที่ประสาทไม่รับรู้สี แต่ต่อมาถูกใช้เรียกเฉพาะคนที่ประสาทไม่รับรู้สีเท่านั้น นั่นเป็นเพราะการได้พบกับโพรบ
นักวิชาการเข้าใจว่าปัญหาของโรคประสาทไม่รับรู้สีเป็นปัญหาทางสมอง พวกเขาประเมินว่าสาเหตุเป็นเพราะสมองไม่รับรู้จักษุสัมผัส เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าหากกระตุ้นสมองบางส่วนก็จะสามารถรับรู้สีได้ ข้อสันนิษฐานนั้นเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงลงไปอย่างชัดเจน นั่นก็เพราะว่าส่วนของสมองที่เคยคิดกันว่าถูกกระตุ้นนั้นเป็นส่วนที่แปลกประหลาด มันเป็นส่วนของสมองที่ใช้ยามรับรู้ใบหน้าของบุคคล ไม่ใช่ส่วนของสมองที่ใช้รับรู้สีโดยทั่วไป
จุดเริ่มต้นคือความยึดติดที่โมโนมีต่อโพรบ ชายคนหนึ่งฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ใส่ฟอร์มาลินในศพของผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะนำศพของเธอไปไว้ที่บ้านของตัวเองแล้วอยู่ร่วมกันทั้งวันทั้งคืน และสิ่งที่ฆาตกรชี้ให้เห็นในเหตุการณ์อันน่าสะอิดสะเอียนนี้ก็มีเพียงอย่างเดียว ‘ถ้ามีเธอ ก็จะสามารถมองเห็นสวรรค์ได้’
ในตอนนั้นทุกคนคิดว่าเป็นพฤติกรรมของคนบ้าคนหนึ่ง แต่ในการทดลองหนึ่ง เมื่อกระตุ้นสมองส่วนที่รับรู้ใบหน้าของบุคคลด้วย Electro probe โมโนก็สามารถมองเห็นสีได้ แน่นอนว่าผู้ถูกทดลองสลบไปทันทีเพราะคัลเลอร์รัช
หลังจากนั้นจึงเรียกการกระตุ้นที่ทำให้โมโนมองเห็นสีว่า ‘โพรบ’ แล้วชื่อนั้นก็ถูกนำไปเรียกบุคคลผู้มีใบหน้าที่ทำให้โมโนสามารถมองเห็นสีได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่า ทั้งที่โคยูฮันไม่ได้ถอดมาสก์ออก แต่ผมกลับรู้สึกมึนหัวอยู่ตลอด และทั้งที่ผมมีสิ่งที่จะต้องทำตอนกลับถึงบ้าน แต่ผมกลับเอาแต่คิดถึงสีต่างๆ ที่โคยูฮันนำมาให้ดู สีต่างๆ เหล่านั้นที่ผมยากจะจินตนาการ และในหัวของผมก็เต็มไปด้วยเรื่องของสีมุกที่เขาพูดถึงเมื่อกี้ แย่แล้วสิ
บ่ายวันนี้ช่างแสนสงบตามสภาพของมัน
โคยูฮันยกเอกสารพริ้นต์ขึ้นมาตีจมูกของตัวเอง เขาส่งเสียง “เฮ้อ” ก่อนจะมานั่งข้างๆ ผม จากนั้นเขาก็เอาคางไปเกยกับโต๊ะเรียน แล้วจ้องหน้าผมราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว
“อยากเห็นคัลเลอร์มูฟวิ่งจัง”
เขาพึมพำอยู่ใต้มาสก์โดยจงใจให้ผมได้ยิน ช่างเป็นคนที่ยากจะเข้าใจจริงๆ เขาเกยคางอยู่บนโต๊ะของคนอื่นสักพัก ก่อนจะเอียงคอแล้วเอาแก้มแนบลงไปกับโต๊ะ จากนั้นก็กะพริบตาปริบๆ
“มองแบบนี้ก็ยังสวย”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง”
ผมพูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นคนชอบกวนประสาทคนอื่น
แม้ในระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็ยังคงตามผมต้อยๆ พอถึงทางเข้าอพาร์ตเมนต์ เขาก็จ้องมองผมแล้วกล่าวคำล่ำลาอันน่าสยอง
“เจอกันพรุ่งนี้นะ อย่าลืมฝันถึงฉันล่ะ”
ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมชองจูแฮงถึงขอโทษแทนโคยูฮัน ก็เพราะเขาเป็นคนเลวที่ทำให้ความฝันของคนอื่นแห้งเหือด พอถึงบ้าน ผมก็ส่งข้อความไปบอกน้าว่าถึงบ้านแล้ว ระหว่างนั้นผมก็เห็นโน้ตที่น้าเขียนทิ้งเอาไว้ในห้องแชตของผมกับน้า ผมไม่รู้ว่าน้าไปทำข่าวอะไร แต่น้าถ่ายรูปสถานที่ที่ดูเหมือนบ่อเลี้ยงปลาเยอะแยะเต็มไปหมด
ผมทำใจให้ผ่อนคลายแล้วกดเบอร์มือถือของโมโนวาอีพือ หลังจากได้ยินเสียงรอสายดังประมาณห้าครั้งก็มีคนรับสาย
[ฮัลโหล]
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังมาจากปลายสาย แม้จะไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่ผมก็ยืดหลังตรงโดยอัตโนมัติ
“สวัสดีครับ ผมชื่อชเวยอนอู เรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย ปีสอง โรงเรียน xx สะดวกคุยกับผมสักครู่มั้ยครับ”
ผมพูดตามที่น้าเคยพูดเวลาคุยโทรศัพท์ ปกติน้าจะพูดว่า ‘ยูอีรังพีดีจากรายการตามล่าหาความจริง xxx ค่ะ สะดวกคุยสักครู่มั้ยคะ’
[ม.ปลาย เหรอคะ]
“ครับ คือว่าแม่ของผมชื่อยูอีรีครับ”
[อ๋อ]
เธอทำเสียงเหมือนรู้อะไรบางอย่างแต่แล้วก็หยุดไป จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะ ตามด้วยเสียงประกาศของรถไฟใต้ดิน และหลังจากมีเสียงกุกกักดังขึ้น เสียงรบกวนเหล่านั้นก็ค่อยๆ เบาลง
[พี่ยูอีรี]
เธอเรียกชื่อแม่แบบนั้น แล้วเสียงเอะอะก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
[ขอโทษด้วยนะคะ ฉันได้คุยโทรศัพท์กับยูอีรังพีดีแล้ว คงจะบอกอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยจริงๆ]
เธอตอบกลับมาแบบนั้นแล้วตัดสายไป ถ้าเคยคุยโทรศัพท์กับน้าก็แสดงว่าน้าน่าจะรู้ทุกอย่าง และขณะที่ผมกำลังเขียนข้อความยาวเหยียด น้าก็โทรเข้ามา
“ว่า?”
[แก…แก…ชเวยอนอู!]
เสียงน้าดังแว้ดออกมาจนผมต้องเอามือถือออกห่างจากหูโดยอัตโนมัติ
[แกรู้เบอร์คุณคิมฮยอนจูได้ยังไง!]
ผู้หญิงวัยกลางคนที่มีนิกเนมว่าโมโนวาอีพือที่ผมคุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อกี้มีชื่อว่าคิมฮยอนจูสินะ แถมยังสนิทกับน้าถึงขนาดที่พอวางสายจากผมปุ๊บ ก็โทรหาน้าปั๊บ
[ฉันบอกให้แกหยุดตามหาพี่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันบอกให้เลิกแล้วไม่ใช่เหรอ]
ถ้ามีเรื่องที่คนไม่สามารถทำได้ ก็ย่อมมีเรื่องที่คนไม่สามารถหยุดทำได้เช่นกัน เวลาจะทำอะไรใหม่ๆ ยังต้องอาศัยพลังเลย การจะหยุดทำอะไรก็ต้องอาศัยพลังเหมือนกัน ผมเรียนแค่ฟิสิกส์หนึ่งยังรู้เลย แต่น้ากลับเอาแต่บอกให้หยุดอย่างเดียว
“ก็น้าไม่ยอมบอกผม”
[น้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะบอกเอง ขอให้มันเรียบร้อยก่อน!]
“แล้วจะจัดการเสร็จตอนไหนล่ะ”
[แกนี่นะ ถ้าน้าไม่ได้อยู่บนเกาะล่ะก็จะรีบไปถอดออกให้หมดเลย แกอยากโดนระงับใช้มือถือด้วยมั้ย]
“ผมมีอะไรต้องเสียล่ะ แต่ถ้าติดต่อผมไม่ได้ คนที่เสียก็จะเป็นน้านะ”
[…]
พอผมตอบแบบนั้นน้าก็เงียบไป เมื่อกี้ตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับโมโนวาอีพือนั้นเสียงรอบข้างดังมาก แต่ตอนคุยกับน้าแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงหายใจของน้า
[ทำไมแกถึงได้เหมือนแม่แกขนาดนี้นะ]
“ใช่ ผมเหมือนแม่”
[ชอบเอาความรู้สึกของคนที่รักตัวเองมาขู่]
น้าพูดย้ำแต่ละคำ
[เหมือน-กัน-เลย]
แล้วน้าก็ตัดสายไป หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเสียใจที่ทำลงไปแบบนั้น ถ้าน้ากับผมติดต่อกันไม่ได้ก็ต้องร้อนใจและเป็นห่วงกันอยู่แล้ว น้าคงกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนวันที่แม่หายไป วันนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่าง สุดท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถส่งข้อความยาวเหยียดไปหาน้า ข้อความที่อธิบายว่าผมขอความช่วยเหลือจากโมโนวาอีพือ ผมจึงบันทึกข้อความนั้นเก็บเอาไว้แล้วเขียนข้อความขอโทษน้าแทน
‘น้า ผมขอโทษนะ ผมแค่เอาเรื่องการโทรหากันมาต่อรองกับน้าเฉยๆ ผมทำไปเพราะยังเด็ก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมขอโทษจริงๆ ผมรู้ว่าเวลาที่น้าติดต่อผมไม่ได้ น้าจะเป็นห่วงผมมาก ผมสติหลุดก็เลยแตะเรื่องที่ไม่ควรแตะ
กระดาษที่เขียนไอดีกับนิกเนมเอาไว้มันอยู่ใต้คีย์บอร์ด ผมไปเจอคาเฟ่ของโมโนที่ชื่อ Gray Scale ผมคิดว่าแม่อาจจะไปร่วมงานที่จัดขึ้นเมื่อหกปีก่อนก็เลยลองหาดูเผื่อได้ข้อมูลอะไรบ้าง…ตอนที่แม่หายไป น้าก็หาเบอร์แล้วโทรไปหาทั้งคนที่รู้จักแม่ตั้งแต่สมัยประถม ม.ต้น ม.ปลาย ไปจนถึงมหาวิทยาลัย น้าบอกว่าผมยังเด็ก พอโทรเสร็จน้าก็ขีดฆ่ารายชื่อทิ้ง ผมเองก็อยากมีส่วนช่วยบ้าง จนกลายเป็นความปรารถนาที่จะทำ ผมขอโทษนะครับ’
ผมส่งข้อความนี้ไป น้าอ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับมา
‘ถ้าโอเคก็ตอบ O ถ้าไม่โอเคก็ตอบ N’
พอน้าไม่ตอบกลับมา ผมก็เลยส่งไปบอกให้น้าตอบกลับมาสั้นๆ แล้วน้าก็ตอบข้อความที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกกลับมา
‘ㅗ’
***
ผมรู้สึกไม่สบายใจจนถึงตอนเช้าที่ต้องไปโรงเรียน เมื่อคืนน้าไม่ได้ติดต่อกลับมาอีก ผมเข้าไปค้นในกลุ่ม Gray Scale แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม รูปที่ครอว์ลิ่งมาจากโซเชียลก็ไม่พบร่องรอยของแม่เลย
แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่ก็ยังหนาวอยู่ ผมเปิดประตูห้องเรียนเข้าไปด้วยความรู้สึกเหมือนสำลีเปียกน้ำ และในตอนนั้นเองผมก็สบตาเข้ากับใครคนหนึ่ง ก็คงเป็นโคยูฮันนั่นแหละ เพราะถ้าไม่ใช่โคยูฮัน ก็คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรแบบนี้
บนโต๊ะเรียนสว่างวาบไปด้วยแสงที่หยาบและกรุ่นไปด้วยกลิ่นของดิน บนชุดนักเรียนของเพื่อนๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกระดาษทราย ซึ่งไม่มีทางที่แสงจากสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ทุกทิศทุกทางจะแยงเข้ามาในลูกตาของผมได้ตามใจ
ปกติโคยูฮันใส่มาสก์ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงมาทำให้ผมต้องเป็นลมทันทีที่เปิดประตูห้องเรียนมาแต่เช้าแบบนี้
คนเราเป็นสัตว์ที่รู้จักปรับตัว ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมไม่ค่อยปวดหัวมากสักเท่าไหร่เพราะว่านี่เป็นคัลเลอร์รัชครั้งที่สาม ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำอยู่เต็มหัวและลูกตาก็เหมือนจะหลุดออกมาจากเบ้า แต่ตอนนี้ปวดเหมือนมีน้ำกระเพื่อมอยู่ในหัวประมาณครึ่งหนึ่ง
พอลืมตาขึ้นมาผมก็อยู่บนเตียงที่คุ้นเคยในห้องพยาบาล ผมเริ่มชินกับหมอนสีชมพูในห้องนี้แล้ว และผมก็เห็นโคยูฮันในชุดนักเรียนพร้อมกับใส่มาสก์เรียบร้อยแล้ว
“สีชมพูคาร์เนชั่น”
โคยูฮันพูดพลางชี้มายังหมอนที่ผมกำลังขยุ้มอยู่
“สีนี้คล้ายกับสีชมพูคาร์เนชั่นมากกว่าชมพูธรรมดา”
“ชื่อของสีเหรอ”
โคยูฮันตอบคำถามของผมด้วยการกะพริบตา ตอนนี้ผมเริ่มมองเห็นแล้วว่าตาของโคยูฮันไม่ใช่สีเทาเข้ม แต่สีคล้ายๆ กับแสงที่พุ่งออกมาจากโต๊ะเมื่อกี้ จะต่างนิดหน่อยก็ตรงที่มีแสงวิบวับออกมาจากน้ำในตาของเขาด้วย
“เมื่อเช้าฉันไม่ได้กินข้าวมาจากบ้าน แล้วยอนอูก็ดันเดินเข้ามาตอนที่ฉันกำลังกินอะไรอยู่พอดี”
“จะบอกว่าเป็นความผิดของฉันงั้นสิ”
ผมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วตอบแขวะออกไป ผมเองก็รู้ว่าตัวเองนิสัยไม่ดีเลย ทั้งหมดเป็นเพราะน้าปิดบังร่องรอยของแม่ทั้งที่มันอยู่ตรงหน้า และเป็นความผิดที่ผมยังเด็กอยู่ ผมรู้ว่าที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผมยังไม่โตพอ แต่ผมก็ไม่ควรที่จะไปพาลใส่โคยูฮันทั้งที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“อ๋อ กระฟัดกระเฟียดเพราะฉันไม่แบ่งของกินให้เหรอ ยอนอูของฉัน”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมโคยูฮันถึงคิดว่าผมโกรธที่เขาไม่แบ่งของกินให้ ผมขยุ้มหมอนที่เขาบอกว่าเป็นสีชมพูคาร์เนชั่น แม้จะไม่ค่อยปวดหัวแล้วแต่การเกิดคัลเลอร์รัชแต่เช้าก็ไม่โอเคสักเท่าไหร่ แถมผมยังรู้สึกคุ้นเคยกับสีชมพูคาร์เนชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ อีก
ยิ่งไปกว่านั้นคือโคยูฮันยังมองมาอย่างนึกสนุกทั้งที่เห็นผมกำลังขยุ้มหมอนอยู่
“ขนาดงอแงเพราะหิวก็ยังสวย”
“ก็บอกว่าไม่สวยไง แล้วก็ไม่ได้งอแงด้วย”
“อ๊ะ ชุดนักเรียนของเราเป็นสีเขียวเปลือกแตงโมจริงๆ ด้วย ในสีที่ใช้ทั่วไปมีสีเขียวเปลือกแตงโมอยู่ด้วยนะ”
“พูดถึงกางเกงเหรอ”
“ใช่ ส่วนกางเกงชุดฤดูร้อนจะเป็นสีเขียวใบสน”
ผมยังไม่เคยเห็นกางเกงฤดูร้อน ก็เลยไม่แน่ใจว่าสีของมันเป็นเช่นไร
“ต่างกันมากมั้ย”
“แทบจะไม่ต่างกันเลย ต้องเอามาเทียบแล้วจับเนื้อผ้าดูถึงจะรู้ว่าอันไหนชุดฤดูร้อน อันไหนชุดฤดูหนาว”
“สีเขียวใบสนนี่มันเป็นเขียวแบบไหนเหรอ”
“วันนี้คังมินแจใส่กางเกงฤดูร้อนมา ให้ยืมมาดูมั้ย”
ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงถึงอาสาจะยืมกางเกงที่คนอื่นใส่อยู่มาให้ผมดู ทันทีที่ผมเริ่มชวนคุย เขาก็ดูเหมือนสนุกมาก เสียดายที่เขายิ้มจนตาหยีผมก็เลยเห็นตาของเขาไม่ชัด พอผมยื่นมือไปใกล้มัน เขาก็หลับตาปี๋
“กลัวเหรอ”
“ก็นี่เป็นครั้งแรกที่นายจะจับตัวฉันนี่”
จับซะที่ไหน ผมจะยื่นมือไปชก ไม่สิ ผมยื่นมือออกไปเพราะอยากให้เขาลืมตากว้างขึ้นเฉยๆ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองยื่นมือไปทำไม คัลเลอร์รัชครั้งก่อนผมก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสมุดแถบสี คราวนี้ผมก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตาของโคยูฮัน และตอนนั้นเองผมก็เห็นว่าแสงจากสิ่งของต่างๆ เริ่มอ่อนลง มันคือการดีคัลเลอริ่ง ผมจึงรู้สึกร้อนใจ
พอผมชักมือที่ยื่นออกไปกลับมา ตาหยีๆ ของโคยูฮันก็เบิกกว้างขึ้น
“สีของตานาย”
“วิบๆ วับๆ”
โคยูฮันพูดพลางกะพริบตาถี่ๆ พวกเด็กฝึกนี่เป็นบ้ากันทุกคนหรือเปล่านะ หรือเป็นบ้าเฉพาะโคยูฮัน ทำไมเขาถึงทำเสียงพร้อมทำท่าทางแบบนั้นออกมาได้
“สีอะไร”
“อยากรู้เหรอ อยากรู้ล่ะสิ อยากจะรู้ใช่มั้ย ในที่สุดยอนอูของฉันก็สนใจฉันแล้ว”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
“ไม่อยากรู้เหรอ”
“ก็อยาก”
ผมไม่ได้สนใจโคยูฮัน แต่สีของตาเขาไม่ใช่สีเทาเข้ม ผมเห็นสีตาของเขาสว่างกว่าสีเทาเข้มมาก มันเป็น…สีสว่างเท่าๆ กับสีเทา และคล้ายสีจากโต๊ะที่เห็นเมื่อกี้ แต่ปัญหาก็คือมันเป็นสีที่ไม่มีในสมุดแถบสีที่เขาเอาให้ผมดูเมื่อคราวก่อน สีม่วงอมแดงก็ไม่ใช่ สีกรมท่าก็ไม่ใช่ สีแดงก็ไม่ใช่ สรุปแล้วมันเป็นสีอะไรกันแน่
“ยอนอูของฉัน ในที่สุดก็เริ่มสนใจฉันแล้วสินะ”
“บอกมาเร็วๆ”
มือของผมยื่นออกไป ยังดีที่ผมไม่ได้จับคอเสื้อของเขา แต่จับบริเวณหน้าอกแทน ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่แล้วไม่นานก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม ผมสังเกตเห็นว่าโหนกแก้มของเขายกขึ้นเล็กน้อย เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นจับมาสก์แล้วเอียงหัวมาทางที่ผมกำลังนอนอยู่ จึงทำให้ผมเห็นเขาเต็มสองตา เขาค่อยๆ ดึงมาสก์ลง ผมสีดำของเขาหล่นลงมาปรกหน้า ตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากดวงตาทั้งสองของเขา
โลกที่กำลังสูญเสียแสงเพราะปรากฏการณ์ดีคัลเลอริ่งกลับมาระยิบระยับอีกครั้งเหมือนกับดวงตาของโคยูฮัน ผมอยากมองต่ออีกหน่อย แต่ผมก็รู้สึกเหมือนน้ำกำลังท่วมอยู่ภายในหัวและเหมือนว่าลูกตากำลังถูกเผาไหม้ ผมจึงต้องหลับตาลง เสียงของโคยูฮันที่ไม่มีมาสก์ปิดกั้นดังมากระทบหู จากนั้นก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวของผมราวกับสายน้ำที่กำลังไหลริน
“สีคาราเมล”
อ๋อ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งที่ดวงตาของโคยูฮันจับจ้องมาที่ผม ผมถึงละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย และทำไมผมถึงกระวนกระวายเวลาอยู่ตรงหน้าสายตาคู่นั้น
ลูกอมทรงสี่เหลี่ยมด้านขนานที่ห่อด้วยพลาสติกใส อืม…เมื่อก่อนผมกินบ่อยมาก แต่พอรู้ว่าตาของโคยูฮันเป็นสีนี้ ผมคงจะกินไม่ลงแล้วล่ะ พอนึกถึงคาราเมล น้ำที่กำลังจะท่วมหัวก็กลายเป็นฟูกนุ่มนิ่ม ความร้อนที่เหมือนจะเผาลูกตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความอบอุ่นที่เหมาะกับการนอนกลางวัน
ครั้งนี้เป็นคัลเลอร์รัชที่รู้สึกดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมา
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Color Rush (2 เล่มจบ)
แบบรูปเล่มวางจำหน่ายที่ร้าน JamClub, เว็บไซต์ Jamsai Store และร้านหนังสือทั่วไป
แบบอีบุ๊กวางจำหน่ายที่ Meb, OOKBEE, Fictionlog, Naiin App, SE-ED, Hytexts, และ comico
Comments
comments
No tags for this post.