ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
และการมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 6-1
ความรู้สึกเบื่อหน่ายที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับละอองฝุ่น ผมรู้สึกเซ็งทุกลมหายใจเข้าออก
“มนุษยชาติเข้าสู่ยุคสมัยที่ไม่สามารถผลักไสเครื่องจักรได้อีกต่อไป ในทางกลับกันนั้นเราก็ได้พยายามยอมรับมันเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราอย่างกลมกลืน ตรรกะของเครื่องจักรจึงได้กลายเป็นพื้นฐานตรรกะของการดีไซน์ ผลงานที่สะท้อนถึงแนวคิดนี้ได้ดีที่สุดคือผลงานจากเบาเฮาส์* ในช่วงปี ค.ศ. 1920…”
ตัวหนังสือแน่นขนัดเรียงกันเป็นพรืดบนสไลด์ที่ฉายอยู่บนจอโปรเจ็กเตอร์ อาจารย์อ่านบทความเป็นแถวๆ นั้นด้วยเสียงที่ฟังแล้วชวนให้หลับ
ผมเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของวิทยาเขตที่เปล่าเปลี่ยวฉายชัดอยู่ในกรอบสายตา ใบไม้ที่เคยหนาแน่นในช่วงฤดูร้อนและโน้มกิ่งลงมาที่หน้าต่างชั้นบนเวลานี้กลับผลัดใบร่วงหล่นไปจนหมดต้น สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงกิ่งก้านโล้นๆ ราวกับกระดูก
ระหว่างอาคารศิลปกรรมและอาคารวิทยาศาสตร์มีโซนสูบบุหรี่จัดสรรไว้ให้อยู่ กลุ่มคนที่สูบบุหรี่มักจะมายืนแออัดกันอยู่ในพื้นที่แคบๆ นี่ซึ่งมีขนาดไม่ถึงสองสามพย็อง** แถมยังมีคอนเดนเซอร์*** ติดตั้งอยู่ที่ผนังนอกตัวอาคารทำให้พื้นที่ยิ่งแคบลงไปอีก
นักศึกษาที่เรียนในห้องบรรยายติดกับโซนสูบบุหรี่จึงไม่ชอบนั่งริมหน้าต่าง เพราะถึงจะแง้มหน้าต่างไว้เพียงแค่เล็กน้อย แต่ควันบุหรี่ก็สามารถลอยขึ้นมาเตะจมูกได้ แถมยังต้องมาอารมณ์เสียที่ต้องเห็นพวกสิงห์นักสูบพ่นควันฟุ้งตลบลอยผ่านหน้าต่างกระจกตลอดคาบเรียน แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับชอบมัน เพราะในขณะที่คนอื่นต้องวุ่นวายกับการจองที่นั่งทิ้งไว้ล่วงหน้า แต่ที่นั่งริมหน้าต่างนี่จะว่างรอผมอยู่เสมอ
ผมทอดสายตามองลงไปข้างล่างอย่างไม่ได้ใส่ใจ ชายสองสามคนยืนรวมกลุ่มสูบบุหรี่กันอยู่ พวกนั้นพูดคุยกันอย่างออกรสเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความที่หน้าต่างปิดอยู่ ผมเลยไม่ได้ยินเสียงพูดของพวกเขา หนึ่งในนั้นสวมแจ็กเก็ตเบสบอล ตัวหนังสือที่ปักอยู่บนหลังเสื้อนั้นลอยเข้ามาในตาผม มันคือคำว่า ‘ภาควิชาบริหารธุรกิจ’
ช่างเป็นทัศนียภาพที่ซ้ำซากและน่าเบื่อ ไม่นานผมก็หมดความสนใจแล้วถอนสายตากลับมา ไม่สิ…เรียกว่าผมพยายามถอนสายตาออกมามากกว่า จนกระทั่งผมเห็นนักศึกษาที่ดูโดดเด่นสะดุดตาคนหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น
เขาสวมเสื้อไหมพรมกับกางเกงสแล็กส์ที่รีดเป็นระเบียบ แสงแดดในฤดูหนาวสาดส่องลงมาบนผมที่มีสีเหมือนกาแฟผสมนมเล็กน้อยราวกับสีของตะกอน เขายืนสูบบุหรี่ในชุดบางๆ ช่วงกลางฤดูหนาวข้างนอกคงเย็นจัดจนใบหูกับปลายจมูกชาและขึ้นสีแดงระเรื่อ ท่ามกลางนักศึกษาชายคนอื่นๆ ที่สวมรองเท้ากีฬาเลอะโคลนกับเสื้อนวมกันหนาวสีดำ มีเพียงเขาที่โดดเด่นออกมาจากภาพนั้น เขาเป็นเหมือนกับลูกแก้วที่ถูกโยนลงไปบนสนามก้อนกรวด
เหมือนมีใครบางคนปล่อยมุกตลก พวกนักศึกษาชายเลยระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน เด็กคนนั้นก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย เขาไหลตามคนพวกนั้นไปอย่างเป็นกันเองและมีส่วนร่วมในบทสนทนาแต่พอดี แถมยังหยอกล้อกับกลุ่มคนพวกนั้นด้วยการตบต้นแขนกับหลังของไอ้คนข้างๆ ด้วย
ผมรู้จักคนประเภทนั้น คนที่ทำตัวดีกับผู้คนที่พบเจอกันเป็นครั้งแรก คนที่หัวเราะแหะๆ และรู้จักวิธีที่จะเอาใจคนที่อยู่เหนือกว่า และวันๆ ก็มัววุ่นอยู่กับกิจกรรมในสาขา โปรเจ็กต์งานของทีม หรือชมรมอะไรเทือกนั้น
นั่นก็เป็นนิสัยที่ห่างไกลจากความเป็นผม และมันก็ดูขัดกับสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ เพราะแบบนั้นผมเลยอคติกับวิชาเอกอย่างภาควิชาบริหารธุรกิจ แน่นอนว่าทางนั้นเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน มีทั้งพวกที่ไม่ชอบขี้หน้าหรือตั้งแง่เป็นศัตรูทันทีที่เห็นผม แล้วก็พวกที่พยายามชวนผมคุยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ในทันที
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคนพวกนั้นมากนัก ถึงเวลานี้พวกเราอาจจะถูกมัดรวมกันอยู่ในกรอบที่ชื่อว่า ‘มหาวิทยาลัย’ แต่หลังจากเรียนจบแล้วก็จะกระจัดกระจายแยกจากกันไปในไม่ช้า สุดท้ายทุกคนต่างก็ต้องแยกกันไปใช้ชีวิตโดยไม่มีเรื่องที่จะต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกันอีกตลอดชีวิต
“…ในแง่นี้อาจกล่าวได้ว่าสุนทรียศาสตร์เชิงกลนั้นแตกต่างจากศิลปะบริสุทธิ์แบบดั้งเดิมอย่างมีนัย”
ผมเท้าคางมองไปข้างนอก ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง ในหน้าหนังสือที่กางออกตอนนี้มีเพียงแค่ภาพสเก็ตช์ของบุคคลนิรนามเป็นลายเส้นแทนลายมือที่ผมควรจะจดเลกเชอร์ลงไป การบรรยายเพิ่งจะผ่านไปได้ครึ่งคลาส น่าเบื่อชะมัดเลย
เสียงที่ระคายหูดังขึ้น ดูเหมือนว่ารูมเมตผมจะกลับมาถึงห้องแล้ว ผมปวดหัวตุบๆ เลยพลิกตัวหนีอย่างหงุดหงิด
เมื่อคืนก่อนผมถูกพวกคนคุ้นหน้าลากไปดื่มเหล้าจนดึกดื่นในย่านเริงรมย์ที่อยู่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัย โดยอ้างว่าเป็นปาร์ตี้วันเกิดของผมกับปาร์ตี้ที่เรียนเป็นวันสุดท้ายก่อนปิดเทอม แต่ความจริงแล้วพวกมันก็แค่อยากจะหาเรื่องเมากันเท่านั้น พวกมันกระดกเหล้าหมดแก้วแล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพากันพูดคุยเรื่องใต้สะดือพลางเหล่มองผู้หญิงรอบๆ ผมที่เหม็นเบื่อไอ้พวกนี้เลยได้แต่ซุกตัวอยู่ที่โซฟาราคาถูกแล้วนอนแผ่อยู่ตรงนั้น พวกที่รู้จักนิสัยขี้โมโหของผมดีเลยไม่ได้บังคับให้ผมเล่นเกมสัปดนของพวกมันด้วย
ควันบุหรี่ฟุ้งกระจายเป็นม่านหมอกใต้แสงไฟที่ชวนให้เวียนหัว ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม รุ่นพี่ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครเป็นคนจ่ายค่าเหล้าให้ เราติดรถยนต์ส่วนตัวของรุ่นพี่คนนั้นกลับมาถึงหอพักที่อยู่เชิงเขา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ช่วงรุ่งสางพอดี
เสียงครืดคราดบางอย่างดังขึ้นไม่หยุด คลานเป็นหมากลับมาตอนตะวันโด่งแบบนี้แล้วก็น่าจะต้องหลับเป็นตายอยู่ไม่ใช่หรือไง ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านขึ้นมา ผมจึงลืมตาแล้วเด้งตัวลุกขึ้น
“แม่งเอ๊ย ยังไม่เงียบอีก”
รูมเมตกำลังนอนอยู่บนเตียงในท่าที่หันหลังให้ผม ทว่ามีบางอย่างที่แปลกไป ผมได้ยินเสียงหายใจกระหืดกระหอบดังออกมา
“เฮ้ย”
ผมลองเอ่ยเรียกเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา นอกจากการที่ร่างกายของเขากระตุกนิดๆ
“เป็นไร ป่วยเหรอ”
“…”
เขายังคงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบดังเดิม สติของผมคืนกลับมาอีกหน่อยแล้ว ผมจึงเสยผมขึ้นอย่างรำคาญแล้วใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ ถึงผมจะไม่ได้มีน้ำใจถึงขั้นที่จะช่วยเฝ้าไข้เพื่อนอย่างเอาใจใส่ แต่อย่างน้อยผมก็พอจะมีน้ำใจไปซื้อยาที่ร้านสะดวกซื้อมาหย่อนไว้ให้ ไหนๆ ผมเองก็ตั้งใจจะไปซื้ออะไรมาดื่มอยู่แล้วด้วย เลยถือว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย
“ยาแก้หวัด? ยาแก้ปวด? จะให้ซื้ออะไร นายป่วยเป็นอะไร”
เตียงฝั่งตรงข้ามยังคงเงียบไร้ซึ่งการตอบรับ ไม่มีสติแม้แต่จะตอบเลยหรือไง นี่ผมคงไม่ต้องถึงขั้นโทรเรียกรถพยาบาลมาหรอกนะ? ผมเริ่มจริงจังขึ้นมาหน่อยๆ
“ถ้าไม่ตอบ ฉันซื้ออะไรมาก็…”
ในขณะที่กำลังรูดซิปเสื้อตัวนอกลงแล้วหันกลับไปมอง สิ่งที่พุ่งเข้ามาในสายตาของผมคือภาพของรูมเมตที่อ้าปากกว้างในท่าทางประหลาดๆ และกำลังกระโจนเข้ามาหาผม
ก่อนที่จะทันได้คิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ผมก็เอี้ยวตัวหลบโดยอัตโนมัติ ขาของผมกระแทกกับขอบเตียงอย่างแรง แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บ เขาจ้องผมด้วยแววตาที่มีเลือดคั่งแปลกๆ เส้นเลือดสีน้ำเงินบนแก้มสีขาวซีดนั้นปูดนูนออกมาราวกับใยแมงมุม
“นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นงี้ล่ะ”
ผมพูดได้เพียงเท่านั้นก็จำต้องหยุดกลางคันเมื่ออีกฝ่ายพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง เขาขยับแขนขาที่แข็งทื่อแล้วเข้าจู่โจมผมอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับเสียงครืดคราดในกล่องเสียงที่ฟังดูน่าขนลุก
“ตั้งสติหน่อยสิวะ ทำบ้าอะไรวะเนี่ย!”
เมื่อสังหรณ์ใจว่าเราคงจะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมจึงตัดสินใจหมุนตัวไปเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปที่โถงทางเดินก่อนจะถูกเขาตะครุบตัวไว้ได้ทัน ผมโถมน้ำหนักตัวเพื่อปิดประตูดังปัง แต่ประตูกลับปิดลงไม่สนิท เพราะมีมือของอีกฝ่ายขัดอยู่ระหว่างช่องว่างของประตู ทั้งที่ได้รับแผลฉกรรจ์ขนาดที่เนื้อขาดวิ่น แต่เลือดกลับไม่ไหลออกมา เนื้อที่โผล่ออกมาเป็นสีแดงเข้มจนเกือบดำดูน่าประหลาด
เขาข่วนวงกบประตูและพยายามออกแรงเพื่อที่จะออกมาหาผม มือ ต้นแขน และข้อศอกค่อยๆ ยื่นออกมาทีละส่วน ผมตัดสินใจปล่อยมือจากบานประตูแล้วผงะถอยหลังออกมา ในที่สุดเขาก็ออกมาที่โถงทางเดินจนได้ เขาจ้องมองผมด้วยแววตาเลื่อนลอยราวกับซากศพของสัตว์ที่ถูกสตัฟฟ์เอาไว้
“คึ่ก คึ่ก อึก…”
คอของเขาหักลงมาในองศาที่ผิดปกติจนผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“กรรร!”
รูมเมต ไม่สิ…ไอ้ตัวที่เคยเป็นรูมเมตของผมร้องเสียงประหลาดอย่างหิวกระหาย สัญชาตญาณของผมร้องเตือนถึงภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ผมวิ่งลงบันไดทั้งที่สติหลุดไปแล้วกว่าครึ่ง โดยที่มีอีกฝ่ายวิ่งตุปัดตุเป๋ไล่ตามมา เสียงกึ่งวิ่งกึ่งลากฝ่าเท้าดังตามหลังผมมาติดๆ
ผมเห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่โถงทางเดินชั้นล่างเลยรีบวิ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ผู้คนที่มองมาทางผมและไอ้ตัวที่กำลังวิ่งไล่กวดผมมาต่างก็กรีดร้องอย่างตกใจกลัว
“อ๊าก!”
เขาเสียสติไปแล้ว ผมเผ้าเขายุ่งเหยิง ตามตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แถมยังมีเลือดกระเซ็นไปติดที่เสื้อผ้าเป็นจุดๆ
“อะ…ไอ้ตัวที่อยู่โรงอาหาร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้…อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา!”
เขาพูดด้วยถ้อยคำที่ผมไม่เข้าใจพลางถอยหลังกรูดไปไกล จากนั้นก็หันหลังให้ผมแล้ววิ่งหนีเข้าไปในห้องและปิดประตูเสียงดังโครมทันที ผมยืนเหม่ออยู่กลางโถงทางเดิน ทันใดนั้นก็มีเสียงพุ่งผ่านอากาศดังขึ้นใกล้ตัว ผมพลันเอี้ยวตัวหลบอย่างรวดเร็วจนเกือบจะล้มลงไป
มันเข้ามาใกล้จากข้างหลังโดยที่ผมไม่ทันได้รู้สึกตัว นิ้วมือที่เลอะไปด้วยเลือดตวัดผ่านตรงตำแหน่งที่เคยเป็นหัวของผม ถ้าช้ากว่านี้อีกแค่นิดเดียว ผมคงได้ถูกคว้าเข้าที่ต้นคอแน่ๆ
“แฮกๆ ฮึบ”
ผมฝืนร่างกายที่ซวนเซให้ยืนขึ้นตรง ก่อนจะออกตัววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อทิ้งระยะห่าง
“โทษนะครับ! มีใครอยู่ไหมครับ!”
ผมตะโกนดังลั่นขณะวิ่งผ่านโถงทางเดิน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา ผมเลยไล่หมุนลูกบิดประตูห้องที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยที่ในหัวคิดว่าจะต้องเข้าไปในห้องไหนสักห้องให้ได้แล้วซ่อนตัวก่อน แต่ประตูกลับถูกล็อกอย่างแน่นหนา ผมหมุนลูกบิดประตูบานถัดไปและบานถัดไปอีก แต่ก็ไม่มีบานไหนเปิดออกเลยสักบาน ระหว่างนั้นตัวประหลาดก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเหงื่อที่ผุดซึมขึ้นมาเต็มฝ่ามือ
“โทษนะครับ!”
แกร๊ก…เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นจากห้องข้างๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ในห้องนั้น ผมรู้สึกราวกับว่าเสียงนั้นคือเสียงของเชือกป่านจากสวรรค์ที่หย่อนลงมาช่วยชีวิต ผมปรี่เข้าไปจับลูกบิดประตูอย่างรีบร้อนพลางรู้สึกขอบคุณคนที่ไม่รู้จักทั้งชื่อและหน้าตาอย่างสุดซึ้ง ทว่า…บานประตูนั้นกลับไม่ขยับ
“…”
ผมที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พยายามหมุนลูกบิดอีกสองสามครั้ง แต่ลูกบิดประตูยังคงถูกล็อกไว้ในตำแหน่งเดิม และแล้วผมก็เพิ่งจะมาตระหนักได้เอาทีหลัง คนที่อยู่ภายในห้องนั้นไม่ได้ปลดล็อกประตูให้ผม เสียงเมื่อครู่นั่นคือเสียงกดล็อกประตูต่างหาก คงเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าตัวเองจะต้องมาเสี่ยงอันตรายไปด้วยหากเปิดประตูออก เมื่อตระหนักได้ดังนั้น ร่างกายผมก็พลันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
“คึ่ก…คึ่ก”
ใครบางคนปรากฏตัวที่บันไดอีกฝั่งของโถงทางเดิน แขนขาและปากถูกกัดจนแหว่งวิ่นอย่างน่าสยดสยองโดยเหลือเพียงแค่รอยฟันทิ้งไว้ บาดแผลทั้งสองแห่งนั้นมีของเหลวปนกับเลือดไหลลงมาเป็นทาง มันคือตัวประหลาดอีกตัว ผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกตัวอัปลักษณ์ที่น่าขนหัวลุกราวกับฝันร้ายกำลังเพ่งมองมาที่ผมพร้อมกับเดินต้อนเข้ามาจากทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ไม่มีทางไหนให้หนีได้เลย
“ขอร้อง…เฮือก โธ่เว้ย ขอร้องล่ะ ใครก็ได้”
ผมโซเซถอยไปพิงประตูอีกบานพลางหายใจหอบแรงจนเจ็บปอดราวกับว่ามันจะระเบิด ผมหลับตาลงแน่น แล้วทันใดนั้นประตูที่ผมพิงหลังอยู่ก็เปิดผลัวะออก มือของใครบางคนคว้าผมหมับแล้วลากเข้าไปในห้องโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้ทำอะไร
ปัง!
ทันทีที่ผมเข้าไปได้ บานประตูก็ปิดกลับลงดังเดิม
“…”
“…”
ผมหอบหายใจถี่ขณะจ้องมองคนตรงหน้า ซึ่งคนตรงหน้าที่อยู่ในห้องก็กำลังจ้องมองผมเหมือนกัน เราสบสายตากันโดยมีอากาศคั่นกลาง
เขาเป็นคนดึงผมเข้ามาแท้ๆ แต่กลับทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป คงเป็นเพราะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ร่างกายเลยขยับไปเองโดยอัตโนมัติ รูม่านตาสีเฮเซลนัทสว่างใสหดเล็กลงด้วยอาการตกตะลึงและงุนงง ผมจำได้ทันทีว่าเขาคือเด็กคนนั้น
ไม่ทันไรสายตาที่ประสานกันก็ดูสับสน ก่อนที่เสียงดังสนั่นจะดังลั่นขึ้นจากด้านนอก มีบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามากระแทกประตูสุดแรง เวลาที่หยุดนิ่งไปเมื่อครู่พลันกลับมาเดินต่ออีกครั้ง
“คุณเป็นใครเหรอครับ แล้วข้างนอกนั่น…ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นแบบนั้น”
เขาถามด้วยใบหน้างุนงง ดูท่าเด็กนี่คงจะช่วยชีวิตผมไว้ตามสัญชาตญาณจริงๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าข้างนอกมีใครอยู่แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงได้กลายเป็นแบบนั้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ประตูเริ่มทานแรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงไม่ไหว ตัวล็อกเริ่มหลวมขึ้น บานประตูที่ทำจากแผ่นไม้อัดนี่ก็เก่าจนเกินเยียวยา เขาที่ยืนทำตัวไม่ถูกเริ่มขยับตัว ตู้เสื้อผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ สองตู้ตั้งอยู่แต่ละฝั่งในห้องพักสำหรับสองคน เขาพยายามออกแรงเพื่อเคลื่อนย้ายมัน
“ช่วยหน่อยครับ”
เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากผม คงเป็นเพราะใช้แรงคนเดียวผลักตู้นี่ไม่ไหว ผมจึงเดินเข้าไปจับอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนที่เราสองคนจะร่วมแรงกันดันตู้เสื้อผ้าไปขวางประตูทางเข้าแคบๆ นั้นอย่างทุลักทุเล ผมกลั้นหายใจระหว่างประคองไม่ให้ตู้เสื้อผ้านั้นโงนเงนจนล้มลงมา
พวกตัวที่อยู่ข้างนอกยังคงอาละวาดอย่างไม่ลดละ มันทุบประตูแรงๆ และใช้เล็บข่วนตะกุยเสียงดังครืดคราดจนผมรู้สึกเสียวไส้ ผมอยากปิดหูตัวเอง แต่มือไม่ว่างเพราะต้องคอยประคองตู้เสื้อผ้าอยู่
ช่วงเวลาที่เหมือนกับนรกผ่านพ้นไป พวกมันคงเลิกสนใจแล้วก็เลยล่าถอยไปจากบานประตู ในที่สุดเสียงเดินลากเท้าก็เงียบหายไปจากโถงทางเดินฟากตรงข้าม หลังจากนั้นเราต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมากันอยู่พักใหญ่ เพราะกลัวว่าพอส่งเสียงแล้วพวกมันจะกลับมาอีกรอบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ระบายออกมาไม่เป็นจังหวะเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ข้างหู
“เฮือก…ฮ่า…ฮ่า”
หลังจากแน่ใจว่าเสียงของพวกมันหายไปแล้ว เขาถึงได้ปล่อยมือที่ดันตู้เสื้อผ้าอยู่ออกแล้วไถลตัวทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น ผมเองก็หมดเรี่ยวแรงไม่ต่างกัน ผมยืนพิงตู้เสื้อผ้าอย่างลำบากโดยใช้มือค้ำยันหัวเข่าที่สั่นระริก
“ทำไมคนพวกนั้นถึงได้กลายเป็นแบบนั้นเหรอครับ พวกเขาดูไม่ปกติเลยสักนิด”
“ไม่รู้ครับ”
“งั้นเราต้องแจ้งตำรวจกันก่อนหรือเปล่าครับ รอเดี๋ยวนะครับ”
เขาผุดลุกขึ้นแล้วรีบรุดวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ ผมปรายตามองไปทางที่เขาวิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว ส่วนอื่นๆ ในห้องดูสะอาดสะอ้านดี เว้นแต่โต๊ะหนังสือที่รกราวกับมีระเบิดลง เขาคงกำลังอ่านหนังสือสอบอยู่สินะ
หนังสือเรียนวิชาเอกเล่มหนาๆ วางซ้อนทับกันเป็นตั้ง สมุดที่กางออกอัดแน่นไปด้วยลายมือที่ยึกยือเหมือนกับไส้เดือนเลื้อย ข้างกันนั้นเป็นพวกกระป๋องกาแฟและกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลังเปล่าๆ สุมรวมกันกองโต และสิ่งที่เตะตาผมเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือที่อุดหูสองอันที่ถูกถอดแล้วโยนทิ้งไว้ส่งๆ
“สวัสดีครับ สถานีตำรวจใช่ไหมครับ ผมโทรจากหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยแพกอิลนะครับ…”
เขาค้นเจอโทรศัพท์แล้วต่อสายหาเบอร์โทรศัพท์หมายเลข 112 ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันหายจากอาการช็อก แต่เขากลับกลับมาทำตัวเป็นปกติได้เร็วมาก ซึ่งมันก็คงจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ก็เขาไม่ได้เป็นคนที่เห็นรูปร่างของตัวประหลาดนั่นโดยตรงนี่ เขาเลยเข้าใจว่าไอ้ตัวพวกนั้นคือคนบ้าที่ไล่ตามผมมาแล้วก่อความวุ่นวายขึ้นก็เท่านั้น
“ว่าไงนะครับ โทรแกล้ง? ไม่ใช่นะครับ ฝ่ายที่กำลังแกล้งกันอยู่ไม่ใช่ฝ่ายคุณเหรอครับ สถานการณ์อย่างนี้ผมจะโทรมาแกล้งเพื่ออะไร เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งวางสายนะ…รอเดี๋ยวครับ!”
เขาเผลอตวาดเสียงดังใส่ปลายสาย ใบหน้าแดงก่ำเริ่มง้ำงอ ไอ้เราก็นึกว่าจะเก่งแต่หัวเราะแหะๆ ไปเรื่อยซะอีก แสดงสีหน้าแบบนี้ก็เป็นด้วยนี่นา ผมคิดขึ้นมาแบบนั้นระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เขาบอกว่าพวกนักศึกษาในหอพักชอบโทรมาป่วน เพราะงั้นเลยห้ามไม่ให้โทรไปอีกน่ะครับ ทำงานแบบไหนถึงได้ทำอย่างนี้กันนะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้เห็นคนที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมอย่างไม่เป็นธรรมออกมาประจานกันบ่อยๆ ตำรวจดีๆ คนอื่นเลยพลอยโดนด่าไปด้วย”
เขาบ่นอุบอิบทำนองว่าจะร้องเรียนไปที่เว็บไซต์ชินมุนโก* ก่อนจะลองต่อสายไปอีกครั้งพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิด
“ครับ มหาวิทยาลัยแพกอิลครับ พวกคนแปลกๆ ใช่ครับ พวกเขาแหกปากร้องแล้วก็วิ่งพุ่งเข้ามา ครับ? ไม่ครับ ที่นี่คือหอพักครับ ไม่ใช่แล็บทดลอง…คุณครับ คุณครับ?”
เขาชูโทรศัพท์ให้ผมดูข้อความที่แจ้งว่า ‘การสนทนาสิ้นสุดลงแล้ว’ ซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“ทางนั้นบอกว่ามีสายโทรเข้าเยอะเกินไปเลยเกิดความขัดข้องชั่วคราวแล้วก็ตัดสายไปเลยครับ”
“เพราะคนอื่นๆ เขาก็กระหน่ำโทรไปแจ้งเหมือนกันหรือเปล่า”
“ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
เขาปิดหน้าจอ ก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ผมถอนหายใจพรืดออกมาเมื่อเห็นตู้เสื้อผ้าที่ยังขวางทางเข้าอยู่
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมทำงานเสร็จแล้วกำลังจะนอนอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงปึงปังขึ้นมาเลยวิ่งออกไปดู…ผมว่าก่อนอื่นเราต้องไปบอกอาจารย์ผู้ดูแลหอพักก่อนนะครับ”
ผมได้แต่เหม่อมองเขานิ่ง เขาที่รับรู้ได้ถึงสายตาของผมหัวเราะแหะๆ ตามความเคยชิน เขายิ้มตาหยีจนตำหนิที่อยู่ใต้ขอบตาซ้ายเด่นขึ้นมา สถานการณ์แบบนี้ก็ยังจะอุตส่าห์ปั้นยิ้มได้อีกนะ คนแบบนี้นี่มันน่ารำคาญชะมัดเลยแฮะ
“อ้อ ผมชื่อชองโฮฮยอน ภาควิชาบริหารธุรกิจ รหัสนักศึกษา XXXXX ครับ”
หมอนี่เป็นรุ่นน้องจริงๆ ด้วยแฮะ ถ้างั้นอายุก็คงน้อยกว่าด้วยสินะ? ดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ดูจากแก้มที่ถ้าหากจิ้มแรงๆ แล้วน่าจะมีน้ำผลไม้สดไหลออกมา ไหนจะขนอ่อนๆ ที่ยังคงไม่หายไปจากใบหูและแก้ม ถ้าเกิดเขาบอกว่าแก่กว่าผมขึ้นมาล่ะก็ ผมคงช็อกน่าดู
“งั้นผมต้องเรียกคุณว่า ‘คุณรุ่นน้องชองโฮฮยอน’ สินะครับ?”
“คุณเป็นรุ่นพี่นี่เอง พูดแบบสบายๆ เถอะครับ”
“อืม โอเค”
ผมตอบกลับทันควันไปอย่างไม่นึกเกรงใจ สีหน้าของเขาดูฉงนไปพริบตาหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“รุ่นพี่ชื่ออะไรเหรอครับ”
“ฉัน?”
ผมมองเด็กนี่เงียบๆ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย
“ฉันยองวอน คียองวอน”
ทันทีที่ออกจากห้อง ผมก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณของความโกลาหลที่ดังแว่วมาแต่ไกล เสียงตะโกนลั่นกับเสียงวิ่งขึ้นบันไดดังปะปนกันยุ่งเหยิงและก้องกังวานไปทั่ว
“ฮึก เฮือก อ๊ากกก!”
ผู้คนกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีมาอย่างเอาเป็นเอาตาย คนที่หายใจหอบหนักจนใบหน้าแดงก่ำโบกมือรัวเร็ว
“หลบไป!”
ปั้ก!
เขาวิ่งชนไหล่ผมอย่างแรงจนร่างกายท่อนบนของผมซวนเซ แล้วก็วิ่งผ่านไปทั้งอย่างนั้น
“อา…แม่งเอ๊ย”
ผมจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความโมโห แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาโมโหอะไรแล้ว บางอย่างปรากฏตัวขึ้นตรงฝั่งที่ผู้คนเมื่อครู่วิ่งผ่านไป พวกมันคือพวกตัวประหลาดที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ และคราวนี้ก็ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองตัว พวกที่ลูกตาแหลกเละ คอพับ และแขนขาหักต่างพากันวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา
“รุ่นพี่ครับ อะ…ไอ้นั่นมันตัวอะไร”
ใบหน้าของชองโฮฮยอนซีดเผือด เขาเพิ่งจะเคยเห็นฉากน่าสยดสยองแบบนั้นเป็นครั้งแรก ก็ไม่แปลกหรอกที่จะตกตะลึงขนาดนั้น พวกตัวประหลาดใกล้เข้ามาทุกทีๆ จนได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่พวกมันเปล่งออกมาอย่างชัดเจน
“ไปกันเถอะครับ เร็วสิครับ”
เขาเอ่ยเร่งเร้า ผมหันหลังกลับไปแทนคำตอบ ก่อนที่เราจะรีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามหลังพวกที่นำหน้าไปก่อน ผมกับชองโฮฮยอนถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มคนที่หนีตาย เราต่างตาลีตาเหลือกสับเท้าก้าวลงบันไดกันจนแทบจะเรียกได้ว่ากลิ้ง
ไอ้พวกที่ไล่ตามหลังมาดูไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด ถึงเรี่ยวแรงดีให้ตายยังไง แต่ถ้าเกิดโดนวิ่งไล่ล่าไปจนสุดโถงทางเดินแล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องมีเหนื่อยมีหอบกันบ้าง นอกจากเสียงน่าขนลุกที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องหรือเสียงร้องโหยหวนนั่นแล้ว พวกมันก็ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีกแม้แต่เสียงลมหายใจ คิดได้ดังนั้นผมก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เราลงไปชั้นล่างแล้ววิ่งตัดผ่านโถงทางเดิน ก่อนจะพบเข้ากับกระเป๋าเดินทางที่ใครบางคนทิ้งไว้นอนคว่ำอยู่ตรงกลางโถงทางเดิน ข้าวของที่เคยอยู่ข้างในนั้นกระจัดกระจายไปทั่ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้มันก็เป็นได้แค่ของที่เกะกะขวางทางเท่านั้น
หนึ่งในคนที่วิ่งนำหน้าผลักกระเป๋าเดินทางออกไปเพื่อเปิดทาง ชองโฮฮยอนใช้เท้ารับมันแล้วเตะไปข้างหลังสุดแรง หนึ่งในตัวที่วิ่งตามมาสะดุดมันจนซวนเซเสียหลักล้ม
“นั่นพวกคุณจะไปไหนกันน่ะ”
“ออกไปข้างนอกน่ะสิครับ!”
“จะออกไปได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ชั้นหนึ่งสภาพเป็นยังไง”
“ถ้างั้นจะให้ทำยังไงเล่า!”
เสียงตะโกนโต้ตอบกันไปมาอย่างดุเดือด และในระหว่างที่ผมกำลังจดจ่ออยู่กับบทสนทนานั้น ใครคนหนึ่งก็สะดุดเท้าตัวเองล้ม
ตึง!
คนอื่นๆ พากันสะดุ้งโหยง แต่ทุกคนกำลังสับขาวิ่งกันอยู่เลยหยุดแล้วหันกลับไปมองไม่ได้
“อ๊ากกก!”
คนที่ล้มกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น สายตาของผู้ไล่ล่าต่างเพ่งมองเขากันเป็นตาเดียว ภาพที่ลูกตาซึ่งเหมือนไข่เน่าหลายดวงหันไปยังจุดหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกันนั้นชวนให้ขนลุกไปทั่วทั้งตัว พวกนั้นพุ่งเข้าไปหาคนที่ล้มทรุดอยู่กับพื้นราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ เราฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไป โดยไม่มีเวลาแม้แต่จะหันกลับไปมอง เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนคนนั้นบ้าง
“อะไรน่ะ…นี่บ้าไปแล้วหรือไง”
ใครบางคนพึมพำพลางหอบแฮกๆ คล้ายกับใกล้จะหมดลม ถึงจะไม่มีใครหันไปตอบเขา แต่ทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกัน พวกเรารีบเร่งฝีเท้าวิ่งกรูเข้าไปในห้องซักรีด นี่เป็นทางเลือกที่คงจะดีกว่าการไล่เปิดประตูทุกบานโดยไม่รู้ว่ามีบานไหนล็อกอยู่บ้าง
เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญหลายเครื่องตั้งเรียงชิดติดผนัง ข้างในเครื่องซักผ้าที่เปิดฝาแง้มๆ ไว้มีเสื้อผ้าเปียกกองทับถมและพันกันยุ่ง ใครบางคนที่ผมไม่รู้จักชื่อคงรีบวิ่งหนีไประหว่างที่กำลังซักผ้า
เสียงประตูปิดกระแทกดังขึ้นตามหลัง ใครคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบไปยกเก้าอี้สำหรับนั่งรอเครื่องซักผ้ามาวางซ้อนกันปิดทับหน้าประตูจนเสร็จก่อนจะพักหายใจ ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา แต่ละคนต่างก็หายใจหอบกันถ้วนหน้าพลางกระจัดกระจายกันไปนั่งอยู่ตามผนังและพื้น
“ผมได้ยินว่ามีคนตายที่ชั้นหนึ่งของหอพักน่ะครับ ตอนนี้แชตกลุ่มกับคอมมูนิตี้ของมหาวิทยาลัยเองก็วุ่นวายไปหมด”
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกเหรอ ฉันนึกว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล่าตลกๆ ซะอีก นี่มันจริงเหรอเนี่ย”
“เรื่องจริงครับ เห็นว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ตอนนี้ด้วยนะครับ”
“บ้าน่า นี่มันบ้าชัดๆ ไอ้เวรเมื่อกี้นี้คงเป็นคนร้ายอย่างนั้นสินะ?”
“ไม่รู้ครับ”
“จะบอกว่านี่คือคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแบบแรนดอมที่เกิดขึ้นเพราะตัวฆาตกรทนเครียดเรื่องเรียนไม่ไหวอย่างนั้นน่ะเหรอ แล้วทำไมพวกตำรวจถึงยังไม่มากัน ถึงจะอยู่ในหุบเขายังไง แต่ถ้ามีคดีแบบนี้ก็ต้องรีบระดมพลมาที่เกิดเหตุทันทีไม่ใช่เหรอ! เพราะตำรวจเป็นแบบนี้ไง พวกฆาตกรมันถึงได้ไล่ฆ่าทุกคน!”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ! ถ้ารู้แล้วผมจะมาอยู่ตรงนี้กับคุณเหรอ”
“ฉันถามในเรื่องที่ควรถามไม่ได้งั้นสิ? เพราะอึดอัดก็เลยถามไง! ทำไมแม่งน่ารำคาญจังวะ หงุดหงิดชะมัด”
“โอ๊ย เงียบกันหน่อยเถอะครับ! ผมปวดหัวไปหมดแล้ว”
พออันตรายตรงหน้าหายไป แต่ละคนก็เริ่มทะเลาะกันเอง ในระหว่างที่ทุกคนกำลังอารมณ์แปรปรวนเต็มที่ บทสนทนาก็เลยยิ่งทำให้ประสาทเสียหนักขึ้นไปอีก ผมขมวดคิ้วอย่างลืมตัว
“อือ ฮึก อ๊ะๆๆ เจ็บ”
คนที่นั่งอยู่ข้างผมส่งเสียงครางเบาๆ เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กร่างท้วมที่กำลังนั่งขดตัวกุมเข่าของตัวเองด้วยใบหน้าเหยเก โดยมีเลือดไหลซิบออกมาจากข้อเท้าที่เห็นแวบๆ ใต้ขากางเกง หมอนี่ล้มแล้วตัวดันไปครูดกับที่ไหนสักแห่งหรือเปล่านะ
เด็กคนนั้นค้นกระเป๋าสะพายข้างที่สะพายอยู่แล้วหยิบพลาสเตอร์แบบใช้แล้วทิ้งออกมา พอรู้สึกถึงสายตาของผม เขาก็พลันห่อไหล่สะดุ้งโหยง เขาแสดงปฏิกิริยาราวกับคิดว่าผมจะขู่ให้เอาพลาสเตอร์มา
“คุณครับ เอ่อ…คือว่า…อยากได้สักแผ่นไหมครับ”
เขายื่นแผ่นพลาสเตอร์มาให้ผม ผมสงสัยว่าทำไมเขาต้องเอาไอ้นี่มาให้ผมด้วย แต่แล้วผมก็เพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาทีหลังว่าตัวเองมีรอยข่วนเล็กๆ ที่หลังมือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปได้มันมาตอนไหน คงจะถูกขอบตู้เสื้อผ้าข่วนเอาระหว่างขยับตู้ล่ะมั้ง ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธของที่คนอื่นมอบให้เลยรับพลาสเตอร์มาติดที่หลังมือ เขาทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
“ช่วยดูแผลให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีติดเองมันลำบากน่ะครับ”
เขาถกขากางเกงขึ้นให้ผมดูที่ข้อเท้า บนนั้นมีบาดแผลอยู่เหนือเอ็นร้อยหวายที่ไม่รู้ว่าถูกอะไรบาดหรือแทงมา แต่มันดูเหมือนกับรอยฟันที่ถูกตัวอะไรบางอย่างกัดเข้าเสียมากกว่า
พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ความหงุดหงิดก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา ลำพังแค่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นยังไง และต้องติดอยู่ในห้องซักรีดนี่ก็เป็นอะไรที่บัดซบมากพออยู่แล้ว แต่การที่ไอ้เด็กกากนี่นั่งซึมแถมยังยื่นแผลน่าขยะแขยงมาให้ดูแม่งก็บัดซบไม่ต่างกัน
“ไม่”
“ครับ?”
“บอกว่าไม่ไง มีเหตุผลอะไร ทำไมฉันต้องทำด้วย”
คนอื่นที่ตั้งใจฟังบทสนทนาของเราเงียบๆ พากันนิ่งค้างตัวแข็งทื่อ บรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาในชั่วพริบตาราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่ ตอนนี้ผมหัวเสียหนักกว่าเดิม แถมยังปวดหัวตุบๆ เพราะอาการเมาค้างที่ยังคงหลงเหลืออยู่
“คะ…แค่นั้นน่าจะทำให้ได้ไม่ใช่เหรอครับ ทีผมยังให้พลาสเตอร์คุณเลย”
“ทำไงได้ล่ะ นายเป็นคนให้ฉันเองนี่”
“ไม่สิ นั่นมัน…”
“ถ้าจะถือเป็นบุญคุณก็เอาคืนไปซะ จะได้จบๆ”
“…”
“นั่งบื้ออะไรอยู่ล่ะ แม่งเอ๊ย เอาคืนไปดิ!”
ผมแกะพลาสเตอร์บนหลังมือออกแล้วโยนทิ้งไป พลาสเตอร์เปื้อนเลือดของผมถูกเหวี่ยงลงพื้นในสภาพที่ยับยู่ยี่ เด็กนั่นหน้าซีดเผือด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนอื่นเองก็เหมือนกัน มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่อ้าปากทำท่าจะประท้วง แต่พอผมเหลือบตาไปมองแล้วจ้องเขม็งเข้าหน่อย พวกนั้นก็พากันหุบปากลงฉับทันที
ชองโฮฮยอนที่นั่งพิงเครื่องซักผ้ามองมาทางผม สีหน้าของเขาที่ลอบมองผมนั้นดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นดวงตาของเขาหรี่แคบลงบ่งบอกว่าเขากำลังดูหมิ่นดูแคลนผม
เราสบสายตากันเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหันหน้าหนีไปด้วยใบหน้าราบเรียบราวกับไม่เคยแสดงสีหน้านั้นมาก่อน ทั้งยังส่งยิ้มอ่อนโยนและชวนคนข้างๆ คุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อารมณ์ที่เยือกเย็นข้างในของผมพลันเดือดปุดๆ ขึ้นมาพักใหญ่กว่าจะสงบลง เพราะแบบนี้แหละผมถึงไม่ชอบคนแบบหมอนี่
ผมนั่งพิงผนังพลางหลับตาแล้วกดหว่างคิ้วลง ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยกับผม มีเพียงความเงียบอันน่าอึดอัดที่ลอยอวลอยู่รอบๆ เสียงของคนรอบข้างดังทะลุโสตประสาทที่ไวต่อสิ่งเร้า ผมได้ยินเสียงเล็บกระทบกับหน้าจอมือถือดังไม่หยุด ใครบางคนคงพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือผ่านโทรศัพท์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเสียงของคนพวกนั้นที่หรี่เสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันแต่กับพวกตัวเอง
ในบรรดาเสียงทั้งหลายแหล่นั้น มีเสียงที่ระคายหูผมมากที่สุด นั่นคือเสียงร้องของไอ้เด็กที่เคยนั่งอยู่ข้างผม แค่เลือดไหลซิบจากข้อเท้าไม่รู้ว่ามันจะเจ็บอะไรขนาดนั้น ถึงได้ร้องครวญครางมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
“เฮ้ย ทำไมเด็กโน่นมันถึงเป็นงั้นล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันจะไปรู้เหรอ”
“ใครก็ได้ลองปลุกเขาหน่อยครับ”
เสียงกระซิบพูดโต้ตอบกันอย่างกังวลใจ ก่อนเสียงที่คุ้นหูจะพูดแทรกขึ้นมา มันคือเสียงของชองโฮฮยอน
“เดี๋ยวก่อนครับ เด็กคนนั้นเขาดูแปลกๆ นะครับ”
ผมลืมตาขึ้น คนอื่นๆ หันไปมองทางเดียวกันด้วยใบหน้าซีดเผือด เด็กชายที่ก่อนหน้านี้เพิ่งยื่นพลาสเตอร์ให้ผมนอนขดตัวอยู่บนพื้น แผ่นหลังของเขากระตุกถี่ ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าที่เห็นในแวบแรกเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
ผมปรายตามองไปที่ข้อเท้าของเขา ดูเหมือนว่าอาการจะแย่ลงกว่าก่อนหน้านี้ เส้นเลือดสีน้ำเงินเข้มปูดนูนขึ้นมาที่กลางแผล ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดีกับแผลที่แพร่กระจายคล้ายใยแมงมุมนั่น ซึ่งมันน่าแปลกเกินกว่าจะบอกว่าเป็นแค่รอยแผลหรือรอยฟกช้ำธรรมดาๆ
“ฮึก…เฮือก…”
จู่ๆ เด็กชายที่ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดก็ตัวอ่อนยวบแน่นิ่งไป ทุกคนพากันตื่นตกใจ ผมจ้องมองเด็กนั่นอยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็ยังคงนอนขดตัวนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นตามเดิม
“ฉันมีน้ำดื่มอยู่ค่ะ ลองเอาให้เขาดื่มหน่อยไหมคะ”
ใครคนหนึ่งลุกขึ้นยืนพลางหยิบขวดน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งขวดออกมาจากกระเป๋า ผมมองเธอที่กำลังเดินผ่ากลางห้องซักรีดไปหาเด็กนั่นก่อนจะนึกขึ้นได้ ผมนึกถึงรูมเมตที่ผมเคยเข้าใจว่ากำลังหลับอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามแล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาโจมตีผมอย่างกะทันหัน
สีหน้าของเขาย่ำแย่แบบผิดปกติ เส้นเลือดสีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาจากท้ายทอยขาวซีดลามไปถึงบริเวณแก้มและคาง ตรงลำคอเด็กนั่นจะมีบาดแผลคล้ายถูกอะไรกัดไหมนะ…
นักศึกษาหญิงถือขวดน้ำเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เด็กชายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“เอ่อ…ดื่มน้ำสักหน่อยไหมคะ”
“…”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหมคะ คุณเจ็บมากหรือเปล่าคะ”
ตัวของเด็กชายกระตุกเบาๆ พริบตานั้นผมเผลอเกร็งตามไปโดยไม่รู้ตัว ผมเห็นชองโฮฮยอนลุกพรวดขึ้นจากทางหางตา ภาพทุกสิ่งทุกอย่างดูช้าลงมาก
“กรรร!”
เด็กนั่นพุ่งเข้ามาราวกับสปริงที่ดีดผึง ก่อนจะคว้าต้นคอของนักศึกษาหญิงที่ไม่ได้ป้องกันตัวแล้วอ้าปากกว้างกัดเข้าเนื้อของเธอทันที
“อั่ก…”
คนที่ถูกกัดคอทรุดฮวบลงทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้กรีดร้อง เลือดไหลทะลักพุ่งออกมาจากตรงจุดที่เส้นเลือดแดงฉีกขาด
“อ๊ากกก!”
“กรรร!”
เสียงกรีดร้องของทุกคนดังลั่นจนบาดแก้วหู คนอื่นๆ ต่างก็ตกอยู่ในอาการตื่นกลัวและถอยกรูดกันอย่างสติแตก
เด็กนั่นส่งเสียงเคี้ยวหมุบหมับขณะกัดกินเนื้อแล้วเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเลือดที่เลอะอยู่เต็มขอบปาก นัยน์ตาที่มีเลือดคั่งกวาดตามองรอบๆ ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ตรงจุดหนึ่ง
“อ๊าก! อั่ก! ว้าก!”
ใครคนหนึ่งล้มพับแล้วโวยวายเสียงดังพลางยกมือขึ้นกุมหูแล้วหลับตาแน่น เขาเป็นผู้ชายคนที่บ่นพึมพำถึงเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแบบแรนดอมเมื่อครู่ หัวของเด็กชายหันขวับไปทางนั้น และทันใดนั้นปากของเขาก็อ้าฉีกออกเป็นทางยาวจนดูเหมือนกับกำลังแสยะยิ้ม
เลือดพุ่งออกมาอีกครั้งราวกับน้ำพุ ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นมีผู้รับเคราะห์ไปถึงสองคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามเขา ต่างคนต่างแนบตัวชิดเข้ากับผนังให้ได้มากที่สุดพลางภาวนาขอให้ตัวเองไม่ใช่เป้าหมายรายต่อไป
ผมกลืนน้ำลายดังอึกพร้อมกับก้าวถอยหลังจนส้นเท้าไปชนเข้ากับเครื่องอบแห้ง
กึก…
ส้นรองเท้ากระแทกกับเครื่องจักรที่แข็งแรงจนเกิดเสียงดังพอสมควร
“…”
เด็กนั่นหันมามองผมก่อนที่เราจะสบตากัน หัวใจของผมกระตุกวูบ คนอื่นๆ เพียงแค่จ้องมองมาทางนี้ด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ไม่มีใครกล้าขยับตัว ทว่าบางคนก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างลืมตัว ‘อา…โชคดีที่ไม่ใช่ฉัน ไอ้เวรที่เห็นแก่ตัวนั่นจะตายหรือไม่ตายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด’ สายตาของพวกเขามันฟ้องอย่างนั้น
ผมไม่มีทางให้วิ่งหนี เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากดูเด็กชายเหยียดเอวที่เคยโค้งงอขึ้นจนตั้งตรงแล้วเตรียมตัวพุ่งเข้ามา ทว่าในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนขยับตัวอยู่ข้างหลังเด็กนั่น เขาคนนั้นคือชองโฮฮยอน เขายกเก้าอี้ที่วางซ้อนอยู่หน้าประตูมาฟาดเด็กชายอย่างแรง
ปั้ก!
ร่างของเด็กชายพับลงจากการถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน สมองผมที่อยู่ในสภาวะตื่นตระหนกเข้าขั้นตึงเครียดกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ผมใช้จังหวะที่อีกฝ่ายหยุดชะงักเตะอัดช่องท้องของเขาสุดแรง ชองโฮฮยอนหันหน้าไปตะโกนใส่พวกคนที่เอาแต่ยืนดูอยู่ห่างๆ
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะครับ ไม่เห็นเหรอครับว่าผู้ชายคนนี้เขาเกือบถูกเล่นงานน่ะ”
ตอนนั้นเองทุกคนถึงเพิ่งจะได้เริ่มขยับตัว ใครบางคนยกเก้าอี้ที่กองอยู่หน้าประตูออกทีละตัว เก้าอี้พวกนั้นถูกวางซ้อนกันเพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก ไม่นึกเลยว่ามันจะกลายเป็นอุปสรรคที่ขวางการหลบหนีของคนที่อยู่ภายไปด้วย
“อึก…”
ผมดิ้นรนสุดตัวเพื่อหนีการโจมตีของเด็กชายที่พรวดพราดจู่โจมเข้ามา เด็กชายล้มหน้าคว่ำไปทางตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าไว้จนแน่น ผมจับทึ้งหัวของเด็กนี่ไว้แล้วกดซ้ำลงไปอย่างแรงอีกครั้งจนเขาหน้าทิ่มเข้ากองเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่แล้วล้มกลิ้งไป
หลังจากตะเกียกตะกายอย่างน่าเวทนาอยู่พักหนึ่ง เด็กชายก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แต่ก็เสียการทรงตัวจนเซไปกระแทกเข้ากับเครื่องซักผ้า มันเป็นเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่สำหรับซักผ้าห่ม ซึ่งดูท่าน่าจะยัดคนเข้าไปได้ง่ายๆ เช่นกัน
ความคิดบางอย่างผุดแวบขึ้นมา ผมจงใจเปิดฝาเครื่องซักผ้าทิ้งไว้เพื่อล่อให้อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาจู่โจม เมื่อเขาปรี่เข้ามาอีกครั้ง ผมเลยใช้โอกาสนี้วิ่งหลบไปอยู่ด้านข้างแทน
“คึ่ก แค่ก!”
ร่างกายท่อนบนของเขาพุ่งเข้าไปในเครื่องซักผ้า ผมขาดสติและกระหน่ำเตะเขารัวๆ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงแค่ใส่แรงเข้าไปไม่ยั้งอย่างเกรี้ยวกราดก็เท่านั้น
“เปิดประตูแล้วครับ รีบออกไปกันเร็ว!”
เสียงตวาดดังขึ้นอย่างร้อนรน ในที่สุดทางก็สะดวกแล้ว เรารีบวิ่งกรูกันออกไปที่ทางออก ตอนนี้ขอแค่ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนก็พอ
ผู้เคราะห์ร้ายที่นอนจมกองเลือดดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย เส้นเลือดแดงใหญ่ถูกกัดทึ้งอย่างโหดเหี้ยมจนเลือดไหลอาบท่วม อย่าว่าแต่จะเคลื่อนไหวเลย ชีวิตของพวกเขาตอนนี้น่าจะกำลังริบหรี่ลงทุกทีๆ แล้วด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขากลับค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นพร้อมกับข้อต่อแขนขาที่ลั่นดัง
ทุกคนไปออกันอยู่ที่หน้าประตู สำหรับพวกเขาแล้วบานประตูในตอนนี้ก็เปรียบเหมือนโชคที่หล่นทับ
“อ๊ากกก!”
ในห้องซักรีดกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญอันน่าสะพรึงกลัว ทุกคนต่างเมินเสียงกรีดร้องชวนขนหัวลุกข้างหลังแล้วพากันมุ่งตรงไปที่ประตู พวกเขาตะเกียกตะกายและแหกปากลั่นเพื่อที่จะเอาตัวรอด ก่อนจะหนีออกจากห้องซักรีดมาได้อย่างหวุดหวิด
ปัง!
เสียงประตูปิดดังตามหลังมา พวกเราเผ่นแน่บโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองข้างหลัง เลือดสีดำเน่าๆ ยังติดตาอยู่ตลอดเวลาที่วิ่งไปตามโถงทางเดิน ภาพการกระทำของผมเมื่อครู่นี้ยังคงไม่เลือนหายไปจากสมอง
ผมทำร้ายเด็กคนนั้นด้วยเจตนาที่หวังจะฆ่าให้ตาย คนที่ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่นาทียังมีชีวิตปกติดี แถมยังเป็นเด็กคนที่ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยื่นพลาสเตอร์มาให้ผม ผมขาดสติจากความคิดที่อยากจะมีชีวิตรอด ผมทั้งเตะและกระทืบเขาอย่างคลุ้มคลั่ง ผมนี่มันน่าขยะแขยงชะมัด
* เบาเฮาส์ (Bauhaus) คือชื่อโรงเรียนสอนเรื่องศิลปะและวิจิตรศิลป์ในประเทศเยอรมนี เปิดระหว่างปี ค.ศ. 1919 ถึง 1933
** พย็อง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของเกาหลี โดย 1 พย็องมีค่าเท่ากับ 3.3 ตารางเมตร
*** คอนเดนเซอร์ มีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยม ถูกติดตั้งอยู่ภายนอกอาคาร ทำหน้าที่ช่วยในการระบายความร้อนของสารทำความเย็นที่ไหลอยู่ในระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ส่วนประกอบที่สำคัญของคอนเดนเซอร์ ได้แก่ คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์พัดลม แผงคอยล์ร้อน และอุปกรณ์ทำความเย็นต่างๆ
* เว็บไซต์ชินมุนโก เป็นเว็บไซต์ของทางรัฐบาลเกาหลีที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งให้ผู้คนได้เข้าถึงการร้องเรียน แจ้งความ นำเสนอนโยบายหรือการรณรงค์ต่างๆ รวมไปถึงสามารถยื่นแบบคำร้องขอตรวจสอบงบประมาณของภาครัฐได้
Chapter 6-2
พวกเราวิ่งมาได้สักระยะจนถึงจุดที่มองไม่เห็นพวกตัวประหลาดอยู่ในระยะสายตา ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นตรงมุมหนึ่งของโถงทางเดินที่เปลี่ยวสงัดในสภาพที่ทุกคนแข้งขาอ่อนแรงไม่ต่างกัน
ระหว่างที่หลบหนีออกมาจากห้องซักรีด จำนวนคนก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากทีแรกที่มีอยู่เกือบสิบคน ตอนนี้เหลือแค่สี่คนเท่านั้น คนที่ยังมีชีวิตรอดต่างก็อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ทุกคนมีรอยช้ำและรอยถลอกทั่วตัว แถมยังมีรอยเลือดที่กระเซ็นมาติดเสื้อผ้าเต็มไปหมด
“…”
ผมรู้สึกปวดหัวและท้องไส้ปั่นป่วนเลยกัดฟันแน่น คนอื่นๆ ก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน ไม่มีใครที่ผ่านเรื่องแบบเมื่อครู่นี้มาแล้วยังจะรักษาสติไว้ให้สมประกอบเหมือนเดิมได้หรอก แม้แต่ชองโฮฮยอนที่ใจแข็งรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างแน่วแน่มาจนถึงตอนนี้ยังถึงกับซุกหน้าเข้ากับอุ้งมือของตัวเองเลย ลำคอขาวระหงที่ตั้งตรงใต้กลุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงนั้นดูขาวซีดลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะครับ ขืนอยู่ต่อไปมีหวังได้ตายกันหมดแน่ ออกไปข้างนอกกันเถอะนะครับ”
นักศึกษาชายที่ย้อมผมสีม่วงจัดและมีรอยสักเต็มตัวพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ เขาเป็นพวกที่จิตใจบอบบางต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาพูดก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด ถ้าคนที่ถูกตัวประหลาดกัดกลายร่างเป็นตัวประหลาด ยิ่งเวลาผ่านไปจำนวนผู้รอดชีวิตก็จะยิ่งลดน้อยลง ในขณะที่จำนวนศัตรูมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น การอยู่ในอาคารที่เป็นพื้นที่ปิดแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น แต่เราจะออกไปกันยังไงล่ะ
“รีบลงบันไดไปแล้ววิ่งออกทางประตูหน้าล็อบบี้ไม่ได้เหรอครับ”
“แต่ฉันได้ยินมาว่ามีคนตายอยู่ที่ชั้นหนึ่งนะคะ เราจะทำยังไงกันดี”
คนที่ฟังอยู่เงียบๆ สวนกลับไปทันที เธอเป็นนักศึกษาหญิงที่เกล้าผมเป็นมวยกลมๆ มวยผมของเธอหลุดลุ่ยไปกว่าครึ่ง อีกทั้งยังชี้โด่ชี้เด่อย่างยุ่งเหยิงจากการวิ่งกระหืดกระหอบมาอย่างหนัก
“นั่นมันที่โรงอาหารไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเราวิ่งตรงไปโดยไม่ออกนอกเส้นทางล่ะครับ พอจะหนีออกไปได้ไหม พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถูกจับได้น่ะครับ”
“แต่ถ้าเกิดว่ามีตัวพวกนั้นเดินยั้วเยี้ยดักรออยู่เต็มไปหมดล่ะคะ”
“งั้นก่อนอื่นเราลองไปสำรวจชั้นล่างก่อน ถ้าทางสะดวก…”
“เฮอะ ถ้าอย่างนั้นใครจะเป็นคนอาสาล่ะคะ ใครอยากจะเสี่ยงชีวิตตัวเองลงไปชั้นล่างกัน ไหนลองยกมือหน่อยสิคะ”
“…”
“คนที่พูดเรื่องนี้ก่อนควรต้องเป็นคนอาสาหรือเปล่าคะ คุณอยากออกไปจากที่นี่ แต่ไม่คิดจะออกไปเสี่ยงอันตรายอะไรเลยเนี่ยนะคะ? เห็นแก่ตัวดีนี่”
นักศึกษาชายผมม่วงมองผมด้วยสายตาราวกับขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา ผมจึงชักสีหน้าใส่เขา
“มองอะไร หลบตาไปซะ”
“…”
“ยังไม่หลบอีก?”
เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ บรรยากาศเริ่มคุกรุ่นจนควบคุมไม่อยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องรับรู้ ให้ผมลงไปดูที่ชั้นล่างเพื่อพวกแม่ง โดยที่ไม่รู้ว่าจะถูกไอ้ตัวห่าเหวนั่นจับแดกหรือเปล่าเนี่ยนะ? ถ้าอยากหนีไปคนเดียวนักก็ออกไปซะสิ จะหันมามองผมเพื่ออะไรกัน
ชองโฮฮยอนก้มหน้างุด ดูไม่มีทีท่าว่าอยากจะเสวนากับคนพวกนี้ ส่วนผมก็ได้แต่แผ่รังสีอำมหิตบอกเป็นนัยๆ ว่าผมจะฆ่าใครหน้าไหนก็ตามทุกตัวที่เข้ามาชวนคุย ชายผมม่วงคนนั้นเลยถอดใจที่จะโน้มน้าวเราสองคนแล้วหันไปเถียงกับนักศึกษาหญิงแทน
“ทางคุณเองก็เห็นแก่ตัวพอกันนั่นแหละ”
“ฉันเห็นแก่ตัวแล้วมันยังไง คุณมายุ่งอะไรด้วย ถ้างั้นแยกกันตรงนี้เลยไหมคะ จะเป็นหรือตายยังไงก็ต่างคนต่างรับผิดชอบตัวเองก็แล้วกัน!”
“พูดแรงอะไรขนาดนั้นครับ ผมก็แค่เพิ่มโอกาสที่เราจะอยู่รอดด้วยกันสักนิดก็ยังดี”
“แล้วคุณคิดว่าฉันอยากเป็นผู้เสียสละเหรอคะ ทุกคนที่นี่ต่างก็ไม่อยากเสียสละกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”
“หยุดเถอะครับ”
เสียงพึมพำเบาๆ ดังขึ้นข้างกายผม มันเป็นเสียงของชองโฮฮยอน ทว่าพวกนั้นกลับไม่ได้ฟังเขาเลยสักนิดเพราะมัวแต่เถียงกัน
“ทานโทษนะครับ สถานการณ์แบบนี้จำเป็นต้องพูดเชือดเฉือนกันขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าคนอื่นเขาชอบฟังหรือไงครับ”
“ถ้าไม่ชอบนักก็ทางใครทางมันค่ะ!”
วินาทีถัดมาชองโฮฮยอนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับตะคอกใส่
“บอกให้หยุดไง!”
“…”
“…”
ทั้งคู่ปิดปากฉับอย่างพร้อมเพรียงกัน ชองโฮฮยอนลูบหน้าอย่างว้าวุ่นใจราวกับรู้สึกว่าตัวเองได้เผลอแสดงสีหน้าออกไปแล้ว ถึงจะโอนอ่อนและยืดหยุ่นยังไง แต่ถ้าเกิดปรี๊ดแตกขึ้นมาก็จะแหกปากตวาดลั่นแบบนี้นี่เองสินะ เวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับอันตราย เขาก็ยังอุตส่าห์ออกหน้าช่วยผม ทั้งๆ ที่ในใจเกลียดกันขนาดนั้น ดูเหมือนว่าผมจะได้คำตอบแล้วสิ
“ผมจะไปชั้นล่างเองครับ ผมจะไปเอง เท่านี้พอใจกันแล้วใช่ไหมครับ ถ้างั้นก็ช่วยหุบปากกันสักทีเถอะครับ”
“ไม่สิ เอ่อ…คือว่า…”
เขาผุดลุกขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วก้าวฉับๆ ไปที่อีกฝั่งของโถงทางเดินโดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นห้ามปราม
ขนาดเกาะกลุ่มกันหลายคนยังรับประกันความเป็นความตายไม่ได้ แต่หมอนี่กลับจะไปที่ชั้นล่างคนเดียวเนี่ยนะ? ควรห้ามดีไหมนะ ถ้าเผื่อผมลงไปด้วยแล้วเกิดอะไรขึ้น…ไม่สิ ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ เขาอาสารับหน้าที่เสี่ยงตายด้วยตัวเองแทนให้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าชองโฮฮยอนรอดกลับมาก็ดี แต่ต่อให้จะไม่รอดกลับมา ผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่
ในหัวของผมสับสนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายผมก็ไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรเลยจนกระทั่งแผ่นหลังของชองโฮฮยอนหายลับไปจากสายตา เวลาผ่านไปพักใหญ่ มันนานมากขนาดที่ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็น่าจะไปกลับจากชั้นหนึ่งได้เกินสิบเที่ยวแล้ว
ทุกคนแกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรทั้งที่ในใจต่างก็กระวนกระวาย ชองโฮฮยอนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ คำพูดที่ว่าการไม่ได้รับข่าวคราวถือเป็นข่าวดีนั้นเป็นเรื่องจริง แต่มันไม่ได้เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้เลยสักนิด ถ้าเขาบังเอิญต้องหนีไปซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งแล้วกลับมาไม่ได้ก็นับว่าโชคดีไป แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาอาจจะ…
“เอ่อ…คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาหรอกนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้น…”
ชายผมม่วงมองผมกับนักศึกษาหญิงสลับกันพลางทำหน้างออย่างเริ่มใจเสีย ก่อนที่สุดท้ายจะเปิดปากพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์กับไอ้เด็กนี่ชะมัด ทำไมถึงมาแสร้งทำเหมือนว่าเป็นห่วงเอาป่านนี้วะ ทีตอนชองโฮฮยอนอาสาจะไปกลับนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก
ในจังหวะนั้นเองเสียงแตกๆ ได้ดังออกมาจากลำโพงตัวที่แขวนอยู่บนเพดาน ผมระแวดระวังตัวเต็มที่อยู่แล้วก็เลยได้ยินมันอย่างรวดเร็ว ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองข้างบนโดยอัตโนมัติ
“อา…อา…”
มันคือเสียงของชองโฮฮยอน ถึงจะเป็นแค่เสียงลองไมค์ธรรมดาๆ และมีเสียงรบกวนแทรกเพราะพูดผ่านลำโพงที่มีคุณภาพต่ำ แต่ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเขา
“ทุกคนที่อยู่ชั้นสี่ ได้ยินไหมครับ ประกาศจากห้องสำนักงานนะครับ”
ผมพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทำไมหมอนี่ถึงได้เลียนแบบการพูดประชาสัมพันธ์ในสถานการณ์แบบนี้กันนะ คิดจะล้อกันหรือไง
เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอ้หน้าโง่ที่คอยพะวักพะวนเป็นห่วงเขา ผมมัวแต่นึกตำหนิในใจจนไม่ทันได้สังเกตว่าน้ำเสียงของเขาดูอ่อนลงชอบกล
“…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามลงมาเด็ดขาดเลยนะครับ”
เขาทิ้งท้ายด้วยเสียงที่คล้ายกับลมหายใจ ก่อนจะตัดจบไปดื้อๆ โดยไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า
“อะไรนะคะ”
บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาในชั่วพริบตา คนอื่นๆ พากันส่งสายตากระวนกระวายหากัน
“ถ้างั้นก็หมายความว่าเราออกผ่านประตูชั้นหนึ่งไม่ได้งั้นเหรอครับ”
“ดีนะที่ไม่ลงไปก่อน เกือบซวยแล้วสิ”
“เห็นไหมล่ะครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ผมถึงได้ชวนให้ไปสำรวจชั้นล่างกันก่อนไง”
พอได้ยินคำพูดนั้น ภายในใจผมก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที ชองโฮฮยอนอุตส่าห์เสี่ยงตายลงไปถึงชั้นหนึ่งอย่างยากลำบากแล้วประกาศขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงขนาดนั้น เพื่อบอกให้เราได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่ชั้นหนึ่ง แต่พวกนั้นกลับไม่เห็นชองโฮฮยอนอยู่ในสายตาเลยสักนิด เอาแต่ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัยของตัวเองคนเดียว น่าสะอิดสะเอียนเป็นบ้า
ผมไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมจริยธรรมอะไร กลับกันแล้วผมน่ะตรงกันข้ามเลยต่างหาก ผมเองก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ผลักไสให้ชองโฮฮยอนต้องออกไปเผชิญหน้ากับอันตราย ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งจะมาสงสารชองโฮฮยอนเอาตอนนี้ เพราะถ้าผมคิดแบบนั้นจริง ผมก็คงห้ามปรามเขาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย ผมไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว แค่รู้สึกสิ้นหวังก็เท่านั้นเอง แต่พอเห็นพวกเศษเดนที่ทำตัวน่าสมเพชนี่แล้ว ความอดทนของผมก็หมดลงทันที ลำพังแค่เห็นชองโฮฮยอนที่แสร้งทำตัวเป็นคนมีจิตสำนึกต่อโลกอยู่คนเดียวก็ว่าน่ารำคาญแล้ว แต่พวกเวรนี่แม่งน่ารำคาญยิ่งกว่า
ผมลุกขึ้นจากพื้น ก่อนที่อีกสองคนจะเงยหน้าขึ้นมองผมพร้อมกัน ใจหนึ่งผมก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมหมอนั่นมันถึงได้ตัดสินใจทำเรื่องแบบนั้น ในขณะที่อีกใจหนึ่งผมก็คาดหวังว่าเขาอาจจะหาทางรอดให้กับพวกเราในตอนนี้ได้ ผมจิ๊ปากแล้วแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะถีบผนังอย่างแรง
ตึง!
เสียงหนักๆ ดังก้องสะเทือนไปทั่วโถงทางเดิน
“พูดมากฉิบหาย พวกเวรที่ดีแต่นั่งกลอกตาเลิ่กลั่กและปิดปากเงียบตอนชองโฮฮยอนบอกว่าจะลงไปเมื่อกี้ ฉันก็นึกว่าใบ้แดกขึ้นมากะทันหันซะอีก เห็นเมื่อกี้นี้แม่งเงียบสัด”
ผมยืนพิงผนังแล้วโน้มร่างกายท่อนบนลงไปหาพวกนั้น เงามืดทาบทับลงบนใบหน้าของทั้งคู่ พวกนั้นได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ด้วยความตกตะลึง
“ทีตอนนี้ล่ะพูดกันคล่องปากเชียวนะ ทำไม คงอยากรอดตายมากสินะ?”
“คุณเองก็…!”
“เออ ฉันมันชาติหมา ส่วนพวกแกน่ะเป็นไอ้ชาติหมาที่ไม่รู้ว่าตัวเองชาติหมา”
“ว่าไงนะ…”
“พวกคนที่นายเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือนี่แม่งมีแต่คนชาติหมาเหรอเนี่ย โถ ชองโฮฮยอนนี่น่าสงสารจริงๆ เลยนะ ว่าไหม”
ผมลบรอยยิ้มที่มุมปากออกไป ก่อนจะยืนตัวตรงแล้วหันหลังให้อย่างไร้เยื่อใย ถ้าต้องอยู่กับไอ้พวกบัดซบนั่นจนตาย สู้ไปอยู่กับคนที่บัดซบน้อยกว่านี้หน่อยยังจะดีซะกว่า
ไม่มีใครรั้งผมไว้นับตั้งแต่ตอนที่ผมเดินไปตามทางที่ชองโฮฮยอนเดินลงไปชั้นล่าง พวกนั้นไม่แม้แต่จะเดินตามมาด้วยซ้ำ มีเพียงความเงียบงันที่น่าหวาดหวั่นไหลผ่านอยู่เบื้องหลัง ระหว่างทางผมเห็นตู้เก็บอุปกรณ์ดับเพลิงสีแดง โดยมีขวานดับเพลิงแขวนอยู่เคียงข้างถังดับเพลิงที่เตรียมไว้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่สมองจะประมวลผล ร่างกายผมก็ขยับไปเองก่อนแล้ว ผมเปิดประตูตู้แล้วเอามือกำรอบด้ามจับหนักๆ นั่น ก่อนจะหยิบมันออกมา
ยิ่งเดินไปฝีเท้าก็ยิ่งเพิ่มความเร็วขึ้น และในวินาทีที่ใกล้จะถึงชั้นหนึ่ง ผมก็กระโดดข้ามบันไดไปทีละสองสามขั้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงด้วยความกระวนกระวาย
ล็อบบี้หินอ่อนกว้างขวางปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งที่คาดการณ์ไว้ว่าทั่วทั้งบริเวณคงเต็มไปด้วยเลือดและมีพวกศพนอนตายกันเกลื่อนกลาด ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น นอกจากกระถางต้นไม้ที่ล้มคว่ำจนแตกกับโซฟาที่ถูกผลักออกไปจากตำแหน่งเดิมก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากตอนปกติมากนัก ยกเว้นก็แต่…
ผมสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ในขณะที่กำขวานในมือแน่น กลิ่นเลือดจางๆ ลอยมากับอากาศ ผมกวาดตามองรอบโถงทางเดินที่ถูกแยกออกเป็นสองฝั่งของล็อบบี้ ซึ่งฝั่งหนึ่งเป็นสำนักงานและห้องอ่านหนังสือ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อกับโรงอาหาร
จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดที่ว่ามีคนตายในโรงอาหารขึ้นมาเลยปรายตาไปทางนั้น ด้านหลังประตูกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ นั้นเหมือนจะมีเงาสีดำสะท้อนอยู่ด้านใน นั่นมันคนเป็นหรือคนตายกันนะ ผมไม่อยากเข้าไปยืนยันใกล้ๆ เลยตัดสินใจเดินไปที่โถงทางเดินอีกฝั่งหนึ่งแทน
ช่วงที่เดินผ่านหน้าห้องน้ำก็มีเสียงคำรามดังไล่หลังมา ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะหันขวับไปมองข้างหลัง
“คึ่ก…คึ่ก…”
ร่างของชายที่เลือดท่วมกายค่อยๆ ก้าวออกมาผ่านบานประตูที่เปิดอยู่ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่คอคงขาด ศีรษะเลยพับหักลงมาในองศาที่ผิดปกติ ทุกครั้งที่เดินหัวของเขาจะโยกไปมา พอเห็นภาพนั้นเลือดในตัวผมก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ในเมื่อตั้งใจที่จะลงมาถึงชั้นหนึ่ง ผมจึงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกมันอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
เจ้านั่นเงยหน้าขึ้นมามองผม มันมีร่างกายที่แปลกประหลาดโดยจะว่าคนเป็นก็ไม่ใช่ คนตายก็ไม่เชิง แถมยังเน่าเฟะไปหมด วูบหนึ่งผมเผลอดีใจที่มันไม่ใช่ชองโฮฮยอน แต่แล้วผมก็กัดฟันแล้วเงื้อขวานในมือขึ้น ก่อนจะหลับตาลงแน่นแล้วสับขวานลงไป
เลือดเน่าๆ กระเซ็นมาติดบนแก้มผม มันเป็นความรู้สึกที่สะอิดสะเอียนเหนือคำบรรยาย ราวกับถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเศษอาหารเน่าเสียแตกออกมา ผมเหวี่ยงขวานจามลงไปไม่ยั้ง อีกฝ่ายพยายามใช้แขนขาตะเกียกตะกายพุ่งเข้ามาหา ผมเลยใช้เท้าถีบเพื่อผลักออก ก่อนจะกระหน่ำฟันอย่างต่อเนื่อง
ทว่ามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะตายเลยสักนิด ทั้งที่กระดูกซี่โครงแหลกละเอียด ช่วงอกถูกผ่าแยกออกจากกัน แถมตรงลำคอยังถูกตัดขาดไปกว่าครึ่ง แต่มันก็ยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อยู่ แขนที่กำด้ามขวานไว้เริ่มล้าขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือเองก็สั่นระริกไปหมด
ภาพตรงหน้าเล่นเอาผมพูดไม่ออก คนเราต่อให้จะอัดยาเสพติดเข้าไปหนักขนาดไหน หรือป่วยเป็นโรคร้ายแรงขนาดไหน แต่สภาพระดับนี้ไม่มีทางที่จะยังขยับตัวได้อยู่หรอก นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว พวกนี้มันเหมือนกับซอมบี้ที่โผล่มาในเกมแอ็กชั่นทุนต่ำเลยไม่ใช่หรือไง
…ซอมบี้?
ปัก!
ในที่สุดลำคอของอีกฝ่ายก็ขาดออกจากตัวจากการโถมแรงฟันเข้าไปในครั้งเดียว ร่างกายที่ขยับโงนเงนของมันล้มลงไปนอนนิ่ง ผมเฝ้ารอโดยที่ความตึงเครียดยังคงไม่คลายลง และสุดท้ายมันก็ไม่ขยับตัวอีกต่อไป
ผมรู้สึกพะอืดพะอมรวมถึงหน้ามืดตาลาย แต่ก็จำต้องกลั้นความรู้สึกที่อยากจะอาเจียนนั้นไว้พลางใช้หลังมือเช็ดแก้มอย่างลวกๆ แล้วดึงมาสก์ที่เกี่ยวไว้ใต้คางขึ้นมาสวมดังเดิม
ผมเดินมาจนถึงสำนักงานดูแลความปลอดภัย ก่อนจะเห็นด้านในสำนักงานผ่านหน้าต่างฝั่งที่ติดอยู่กับโถงทางเดิน ใครบางคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชายคนนั้นมีเรือนผมสีน้ำตาลที่ผมคุ้นตา และเขาคนนั้นก็คือชองโฮฮยอน
“ชองโฮฮยอน!”
ผมตะโกนเสียงดังลั่น แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง คงต้องโทษที่เจ้าตัวนั่งหันหลังให้ ผมเลยมองไม่เห็นใบหน้าของเขา นี่ผมคงมาสายเกินไปสินะ หัวใจของผมเหมือนหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ผมพยายามหมุนลูกบิดประตู แต่บานประตูกลับไม่เปิดออกเพราะมันถูกล็อกจากด้านใน ผมลองเรียกชื่อเขาอีกสองสามครั้ง ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ได้การแล้ว ผมจึงใช้สันขวานทุบลูกบิดด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ปึง! กึง!
ลูกบิดหลุดออกมาทั้งอันพร้อมกับเสียงที่ไม่น่าฟัง บนบานประตูถูกเจาะเป็นรูกลมๆ ตรงลูกบิดที่หลุดออก
ผมก้าวผ่านกรอบประตูเข้าไป ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ความกระวนกระวายใจของผมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พอระยะห่างระหว่างเราแคบลง ผมถึงได้เริ่มเห็นไหล่ของเขาที่ขยับเคลื่อนขึ้นลงเบาๆ เมื่อเห็นดังนั้นผมก็พรูลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาทันที
“รุ่นพี่…?”
เขาที่รู้สึกถึงการมาของผมค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาที่ปรือปรอยปิดลงมาครึ่งหนึ่งนั้นดูเลื่อนลอย เขาค่อยๆ ปรายตามองผม ก่อนจะเม้มริมฝีปากด้วยใบหน้าแข็งทื่อ และนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งมานึกได้ทีหลังว่าตอนนี้ตัวเองสารรูปเป็นยังไง เลือดกระเซ็นไปทั่วร่าง แถมมือข้างหนึ่งยังถือขวานเปื้อนเลือดอย่างกับฆาตกรต่อเนื่องที่โผล่ออกมาในหนังระทึกขวัญ
“นายดูอะไรอยู่”
ผมโน้มศีรษะไปทางที่เขาเพ่งมองก่อนหน้านี้ จอมอนิเตอร์ที่ดับอยู่นั้นมีเพียงกระดาษโพสต์อิตที่จดโน้ตเอาไว้ง่ายๆ หลายแผ่นติดอยู่รอบขอบจอ มีทั้งพวกปฏิทินกิจกรรมทางการศึกษา เบอร์โทรศัพท์ที่สำคัญๆ ในมหาวิทยาลัย รวมไปถึงรหัสผ่านระบบดิจิตอลดอร์ล็อกที่ห้องอาบน้ำชั้นบน
“นี่มันอะไรเนี่ย”
ผมอุตส่าห์นึกว่ามันจะเป็นข้อมูลสำคัญอะไรสักอย่าง ผมล่ะหมดคำจะพูด
“แอปเปิ้ลไงครับ…”
ผมขมวดคิ้วเบาๆ มองโพสต์อิตที่มีรูปร่างเหมือนแอปเปิ้ลสีแดงผลกลม มันเป็นรูปแอปเปิ้ลแล้วยังไงต่อ
“ผมชอบแอปเปิ้ลน่ะครับ คุณย่าผมทำสวนผลไม้อยู่ที่ชนบท…ทุกครั้งที่ไปบ้านคุณย่า ท่านจะเก็บแอปเปิ้ลลูกที่สวยที่สุดไว้ให้ผมเสมอเลยล่ะครับ ปิดเทอมคราวนี้ผมก็ตั้งใจไว้ว่าอยากจะกลับไปพบท่านอีก”
เขาพึมพำออกมาทีละคำอย่างเชื่องช้า พอได้ยินคำพูดที่ไม่เข้ากับสถานการณ์และไม่ลำดับเรื่องราวนี้แล้ว ผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ลมหายใจของเขาสั่นเครืออย่างน่าเป็นห่วง ลางสังหรณ์ร้ายพลันแล่นปราดขึ้นมาจากปลายเท้า ก่อนที่ผมจะพยายามบังคับคอที่แข็งทื่อให้ก้มลงไปมองข้างล่าง
เลือดเจิ่งนองเต็มพื้น มือข้างหนึ่งของชองโฮฮยอนเลื่อนตกลงมาใต้พนักแขนเก้าอี้ เลือดไหลออกมาจากมือนั้นไม่หยุด แอ่งเลือดสีแดงนั้นขยายพื้นที่กว้างออกมาเรื่อยๆ จนไหลมาถึงรองเท้าของผม
ในหัวของผมพลันขาวโพลน ผมหันเก้าอี้ที่ชองโฮฮยอนนั่งอยู่มาหาตัวเอง เขาเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด สีหน้าที่เห็นใต้ผมที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อนั้นดูแย่เอามากๆ
ผมยกข้อมือที่อาบเลือดนั้นขึ้นมา เลือดไหลออกมาเต็มมือเขาจนมองไม่เห็นสีผิวเดิม รอยกัดลึกมากจนน่าจะตัดเส้นเลือดแดงขาด
“รุ่นพี่มาทำไมครับ…ผมประกาศไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าลงมาข้างล่าง…”
“…”
“นึกว่าจะไม่มีใครมาแล้วซะอีก”
“…”
“ทั้งที่บอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าอย่ามา…แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นเอง อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะไม่มีใครมาจริงๆ”
ริมฝีปากซีดเผือดนั้นสั่นระริก หยาดน้ำตาไหลลงมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิทอย่างอ่อนแรงจนขนตาเปียกชุ่ม
“ผมกลัว…กลัวการตายอยู่ที่นี่คนเดียว…กะ…กลัวมากๆ การตายอย่างโดดเดี่ยวมันเจ็บปวดมากนะครับ”
ผมโยนขวานที่อยู่ในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ผมกุมข้อมือของเขาแล้วกดเอาไว้ทั้งๆ ที่มือสั่นระริกราวกับคนบ้าโดยไม่สนว่ามือกับแขนเสื้อของตัวเองจะเปียกเลือดไปด้วย
“เจ็บ…เฮือก ฮึก…ผมกลัวครับ ผมไม่อยากตาย…”
ชองโฮฮยอนที่ถูกผมจับมือข้างหนึ่งไว้ก้มหน้าลงมาพร้อมกับร้องไห้อย่างน่าสงสาร น้ำตาใสไหลรินหยดลงบนข้อมือที่โชกไปด้วยเลือด ก่อนเสียงสะอึกสะอื้นนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไป
“คุณรุ่นน้อง ตั้งสติหน่อย ได้ยินฉันไหม ตอบสิ”
“…”
“ฉันบอกให้ตอบไง!”
“…”
“โฮฮยอนอา…”
สติผมหลุดลอยไปพักหนึ่ง ผมนั่งคุกเข่าจมกองเลือดอยู่ในท่านั้นและจับข้อมือที่ชุ่มโชกโดยไม่คิดจะห้ามเลือด
หัวใจของเขากำลังจะหยุดเต้นโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า หลังจากแน่นิ่งไม่ไหวติงไปพักหนึ่ง เขาจะฟื้นคืนชีพกลับมาในร่างที่น่าสยดสยอง ไม่ต่างจากพวกคนที่ผมเคยเห็นในห้องซักรีด
ตอนนี้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ผมต้องเอาขวานจามลงกลางหัวเขา ก่อนที่เขาจะกลายร่างอย่างนั้นใช่ไหม หรือจริงๆ แล้วผมควรปล่อยเขาไว้แล้วรีบหนีไปดี ดูท่าอย่างหลังน่าจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ขืนนั่งนิ่งอยู่แบบนี้ มีหวังคงได้ถูกเขากัดตายแน่ๆ ทว่าร่างกายผมมันกลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เสียงปึงปังดังมาจากประตูที่ผมทุบลูกบิดเข้ามา ตามด้วยเสียงร้องประหลาดๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะตามมาเพราะได้ยินเสียงตอนผมทุบประตูแน่ๆ
“ฮึก…”
ภาพตรงหน้าถูกย้อมด้วยสีดำสนิท ผมรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เสียงของพวกนั้นที่ใกล้เข้ามาฟังดูห่างไกลราวกับดังก้องอยู่ท่ามกลางห้วงน้ำลึก
ผมกุมหน้าอกตัวเองพร้อมกับทรุดตัวแล้วซุกหน้าลงบนตักของชองโฮฮยอน มันเจ็บมากจนผมคิดอะไรไม่ออก ผมทำได้เพียงแค่หอบหายใจราวกับคนจมน้ำ นี่ผมคงถูกพวกตัวประหลาดที่อยู่ข้างนอกพุ่งเข้ามากัดสินะ…เอ หรือว่าผมจะถูกชองโฮฮยอนกัดเข้าก่อนกันแน่ สติของผมดับวูบไปอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ทันแยกออกว่าเป็นอย่างไหน
ผมหมดสติไปในสภาพนั้นนานแค่ไหนกันนะ ความเจ็บค่อยๆ ลดน้อยลงราวกับถูกชะล้างออกไป มันเจ็บถึงขั้นที่หายใจไม่ออก แต่ก็ยังพอมีชีวิตอยู่ต่อได้ ผมฝืนเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทขึ้นมาอย่างยากลำบาก
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาวสาดส่องเข้ามาในห้องมืดทึบที่ไม่ได้เปิดไฟไว้ แขนขาผมมีผ้าห่มคลุมไว้อยู่ เลขวันที่ปรากฏชัดเจนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จเอาไว้
‘25 ธันวาคม’
รูมเมตกำลังนอนหันหลังหลับอยู่ที่เตียงฝั่งตรงข้าม
นี่คือห้องของผมเอง
“…”
ผมหยัดตัวท่อนบนขึ้นพร้อมกับความรู้สึกขนลุกวูบที่แล่นปราดตั้งแต่ช่วงเอวด้านหลังขึ้นมา ก่อนหน้านี้ผมยังอยู่ในสำนักงานดูแลความปลอดภัยที่ชั้นหนึ่งอยู่เลย ผมกำลังซุกหน้าบนตักของชองโฮฮยอนที่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาไม่ได้แล้ว และจำได้ว่าพวกตัวประหลาดนั่นกำลังกรูกันเข้ามาใกล้ แต่ผมกลับมาอยู่ที่ห้องของตัวเองได้ยังไงกัน
นี่คงไม่ใช่ว่าผมฝันไปหรอกนะ ฝันร้ายที่แสนยาวนานและสมจริงเกินจำเป็นนั่นน่ะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นผมก็คงไม่สามารถหาอะไรมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อีกแล้ว พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก ผมเสยผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นไป ฉับพลันนั้นบางอย่างก็แวบผ่านสายตาเข้ามา ผมมองหลังมืออย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง มีรอยแผลจางๆ คล้ายเส้นด้ายอยู่บนหลังมือ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีมันมาก่อน
ระหว่างที่กำลังคิดว่าได้บาดแผลนี้มาจากไหน ภาพความทรงจำอันน่าขนลุกก็ผุดขึ้นมาในหัว ภาพห้องซักรีดที่มีคนเกาะกลุ่มรวมกัน ภาพเด็กชายที่ยื่นพลาสเตอร์ให้ผม ภาพผมที่ติดพลาสเตอร์ทับแผลที่หลังมือแล้วก็หัวร้อนขึ้นมา ภาพทั้งหมดที่ถูกคัดแยกเป็นฉากๆ ร้อยเรียงต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็นภาพเดียว
“เฮือก…”
รูมเมตที่นอนอยู่อีกเตียงหนึ่งร้องครางอย่างเจ็บปวดพลางบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ผมผงะอย่างแรงจนเกินเหตุ ก่อนจะรีบกวาดสายตาหาอาวุธโดยอัตโนมัติ
“อึก…กรรร…”
เขากระตุกน้อยๆ กล้ามเนื้อแข็งเกร็งขึ้นมา ผิวหนังเองก็ซีดเซียวไม่มีเส้นเลือดจนคล้ายกับซากศพ
รอยกัดสีแดงที่ต้นคอชุ่มเหงื่อนั้นปรากฏสู่สายตา ผมยังไม่ยอมละทิ้งความหวังที่คิดว่านี่คือความฝันมาจนถึงวินาทีนี้ แต่พอได้เห็นภาพตรงนี้แล้ว ในหัวผมก็พลันเย็นวาบขึ้นมาทันที ขุมนรกที่เคยคิดว่าเป็นภาพลวงตาเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งตรงหน้า
“เฮือก…”
รูมเมตส่งเสียงร้องออกมาอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว ความเงียบที่เป็นลางไม่ดีค่อยๆ ไหลผ่านไป ผมลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเว้นระยะห่างออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปทางด้านหลังโดยไม่ละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนจะหยิบมีดแกะสลักที่วางไว้มั่วๆ บนโต๊ะหนังสือขึ้นมากำไว้ในมือ
ในจังหวะนั้นเขาก็เริ่มกลับมาดิ้นพล่านอีกครั้ง และก่อนที่จะถูกเขาตะครุบตัวได้ ผมก็รีบชิงพุ่งเข้าใส่เขาเร็วกว่าจังหวะหนึ่ง โดยโถมตัวกดแผ่นหลังเขาเอาไว้กับเตียงแน่น ก่อนจะแทงมีดแกะสลักเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย
ถ้าเกิดว่านี่เป็นความฝันจริงๆ และหมอนั่นแค่ป่วยเฉยๆ แล้วผมจะทำยังไง ถ้าเกิดว่าผมกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ล่ะ ความคิดเหล่านั้นแล่นผ่านหัวไปในชั่วอึดใจเดียว
เลือดไม่ได้ไหลพุ่งออกมาจากตรงที่แทงมีดลงไป มีเพียงแค่ของเหลวหนืดข้นสีดำเท่านั้นที่ติดใบมีดออกมาด้วย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิต ความวิตกกังวลและความคาดหวังสุดท้ายของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“กรรร…กรรร!”
เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งทั้งๆ ที่ตรงลำคอถูกแทงจนเป็นรู ผมจับต้นคอของเขากดลงกับเตียงด้วยแรงที่ไม่ยั้งมือ ผมรู้สึกขยะแขยงแม้แต่สัมผัสของเนื้ออุ่นๆ ที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดตรงฝ่ามือ
ผมแทงเข้าไปตรงจุดเดิมซ้ำๆ เลือดเน่าสีดำเจิ่งนองตรงเนื้อที่ถูกแทงไม่ยั้ง ไอ้ตัวที่นอนแผ่อยู่ใต้ร่างผมตอนนี้ดูไม่เหมือนคน ไม่สิ…ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ ผมจดจ่ออยู่แต่กับความคิดที่จะต้องฆ่าเจ้านี่ให้ตาย
สุดท้ายเขาก็นอนแน่นิ่งไปบนเตียง ผมเสียบใบมีดเข้าไปแล้วตัดคอของอีกฝ่ายสุดแรงเผื่อว่าจะยังไม่ตายสนิทจนเขาไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป
“เฮ้อ…แฮก…แฮก…”
ผมก้าวถอยหลังอย่างทุลักทุเล มือไม้หมดเรี่ยวแรงจนมีดแกะสลักที่อาบไปด้วยเลือดเลื่อนหลุดลงจากมือ ผมเหม่อมองภาพน่าสยดสยองตรงหน้าพักหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองดูสารรูปของตัวเอง เลือดกระเซ็นเลอะเต็มตัว ตรงกางเกงจะเห็นร่องรอยน้อยหน่อยเพราะเนื้อผ้าเป็นสีดำ แต่เลือดที่เลอะอยู่บนร่างกายท่อนบนนั้นกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เลือด…เลือดที่ไหลนองเป็นทางย้อมภาพตรงหน้า และท่วมอาบเต็มพื้นไม่พอ มันยังไหลอาบมาถึงรองเท้าผมด้วย…
“…”
จู่ๆ ผมก็พลันหยุดชะงักไปทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองหลงลืมไป ผมต้องไปหาชองโฮฮยอนเดี๋ยวนี้ ผมต้องไปยืนยันเองกับตาว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันคืออะไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นผมคงได้บ้าขึ้นมาจริงๆ แน่
อา…จริงสิ ตอนนี้ทั้งตัวผมเต็มไปด้วยเลือด ผมต้องล้างเลือดออกก่อน ก็ชองโฮฮยอนเคยร้องไห้ฟูมฟายบอกว่ากลัวตายนี่ เพราะงั้นผมจะไปให้เขาเห็นผมในสภาพนี้แล้วช็อกตายอีกครั้งไม่ได้
ผมเช็ดไหล่กับแผ่นอกที่เต็มไปด้วยเลือด ทุกที่ที่มือลากผ่านทิ้งรอยสีดำแดงเอาไว้ ในใจผมว้าวุ่นไปหมด ทำไมกัน…ทำไมมันถึงเช็ดไม่ออก
ผมกวาดตามองรอบๆ ด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับเสื้อยืดสีดำที่พาดแบบส่งเดชอยู่บนพนักเก้าอี้ ผมหยิบมันขึ้นมาสวมลวกๆ และแล้วร่างกายท่อนบนที่เปื้อนเลือดก็ถูกคลุมทับด้วยเสื้อ
ผมเดินเซไปสวมรองเท้าแล้ววิ่งออกจากห้องไป ผมวิ่งไปทางห้องของหมอนั่นที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำผม โดยที่ไม่สนใจเลยว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้จะเป็นยังไง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.