X
    Categories: DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตายeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.5 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2

ผู้เขียน : 아이제 (Aije)

แปลโดย : 04:00

ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

และการมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 6-5

 

ถึงจะร่วมทางกันอยู่แค่สองคน แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย บรรยากาศระหว่างเรายังคงเลวร้ายสุดๆ

หากไม่จำเป็น ผมกับชองโฮฮยอนก็จะไม่พูดคุยกันเลย ไม่สิ…แม้แต่เรื่องที่จำเป็นเราก็ยังไม่คุยกัน ลำพังแค่นั่งมองหน้าฟังเสียงกันก็สะอิดสะเอียนจนแทบอ้วกอยู่แล้ว ตลอดระยะเวลาที่หาทางเดินไปยังตึกมนุษยศาสตร์ เราต่างก็เว้นระยะห่างและเชิดใส่กัน โดยทำแค่สิ่งที่ตัวเองต้องทำเพียงเท่านั้น

หลังแยกตัวออกจากกลุ่ม สถานการณ์ก็ย่ำแย่ลงไปอีก ถึงเราจะมีเสบียงอาหารที่รวบรวมมากับคนอื่นเยอะมาก แต่ของพวกนั้นถือเป็นเสบียงกองกลาง พอถูกตัดออกจากกลุ่มมามือเปล่า เราเลยต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อหาเสบียงมาประทังชีวิต

การเฝ้ายามตอนกลางคืนเองก็เช่นกัน คนหนึ่งหลับ ส่วนอีกคนหนึ่งต้องถ่างตาอยู่เฝ้ายามทั้งคืน สภาพจิตใจที่เปราะบางมากพออยู่แล้ว ยิ่งอดนอนติดต่อกันอีกก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปใหญ่ พวกเราไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเถียงกันจึงเมินกันด้วยแววตาขุ่นเคือง

ชองโฮฮยอนมารู้สึกเสียใจเอาทีหลังและบ่นกระปอดกระแปดเป็นพักๆ

‘เฮ้อ ถึงจะอินกับหนังซูเปอร์ฮีโร่อะไรทำนองนั้นก็เหอะ แต่ทำไมฉันต้องไปช่วยพูดจาให้คนอย่างไอ้รุ่นพี่บ้านี่จนตัวเองต้องออกมาลำบากตามมันด้วยวะ’

ถึงเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่บนหน้าผากเขามันเขียนเอาไว้อย่างนั้น ผมรู้ดีว่าถ้าช่วงเวลานั้นมาถึงอีกครั้ง เขาจะตัดสินใจเลือกแบบเดิมทุกครั้ง

ผมเองก็เกลียดที่ถูกเขาเหม็นขี้หน้าใส่แบบนี้ทุกครั้งเหมือนกัน ลำพังแค่อดทนกับความอยากฆ่าชองโฮฮยอนให้ตายในแต่ละวันได้ก็เต็มกลืนแล้ว ทั้งๆ ที่เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสักกี่ครั้ง จุดจบแบบเดิมๆ ก็ได้ถูกวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้วอยู่ดี สถานการณ์ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีหวัง แต่ก็ทำได้เพียงแค่รอให้เกมดำเนินไปจนกว่าจะจบนั้นแม่งโคตรบัดซบ

ในที่สุดเราก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ระหว่างทางที่จะออกไปยังประตูทางเข้าออกของตึกมนุษยศาสตร์มีไอ้ตัวพวกนั้นอยู่เยอะกว่าที่คิด ผมเคยมาถึงจุดนี้แค่ไม่กี่ครั้งเลยนึกไม่ถึงว่าจำนวนพวกมันจะมีมากขนาดนี้

ผมกำมีดปอกผลไม้ในมือแน่น ผมเจอมันในตู้ใส่ของที่ห้องพักอาจารย์พร้อมกับของอย่างแก้วเซรามิก ถาด และจาน แล้วก็ได้ใช้ประโยชน์จากมันสารพัดมาจนถึงตอนนี้ ผมพันเทปรอบด้ามจับแน่นเพื่อกันไม่ให้มันลื่นหลุดออกจากมือ

ฉึก!

ผมแทงคอของไอ้ตัวที่พุ่งเข้ามาตรงหน้า ทั้งที่แทงอีกแค่สองสามทีก็จะสามารถบั่นคอมันให้หลุดออกจากบ่าจนมันล้มลงไปนอนแน่นิ่งได้อยู่แล้วแท้ๆ แต่ผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะทำแบบนั้น ผมรีบหันขวับกลับไป ก่อนจะเห็นตัวอื่นๆ ที่กำลังวิ่งพุ่งมาที่ตัวเองจากทางด้านหลัง

ครั้นจะมาหลบเอาตอนนี้มันก็ช้าไปเสียแล้ว ผมยกแขนขึ้นมากันไว้ก่อน ฟันของพวกมันเจาะทะลุเข้ามาไม่ได้ในทันทีเพราะผมสวมเสื้อหนาๆ แต่มันก็ยังตื๊อโดยไม่ยอมละออกจากแขนของผม ทั้งยังจ้องเขม็งและพุ่งตัวเข้ามาอย่างกับจะกัดกินเนื้อผมให้ได้อีก

ผมเฉือนปากมันด้วยมีดปอกผลไม้ ผิวหนังตรงแก้มทั้งสองข้างฉีกออกในแนวขวางจนเผยให้เห็นด้านในโพรงปากที่อ้าออก ตอนนี้ผมชินกับฉากแบบนั้นจนไม่ได้สนใจอะไรแล้ว

“ค่อก…!”

“มองห่าอะไร น่าหงุดหงิดฉิบหาย”

ผมสบถขณะแทงมีดใส่ปากของมัน ก่อนจะกระซวกเนื้อเน่าเฟะใต้ลิ้นแล้วใช้มีดกรีดตั้งแต่คางลากยาวลงไปจนถึงลำคอ

“รุ่นพี่ครับ!”

ชองโฮฮยอนตะโกนลั่น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ร่างกายของผมจึงขยับไปเองอัตโนมัติโดยไม่ทันได้คิด เขาหวดไม้เบสบอลโลหะที่ถืออยู่ลงบนหัวของไอ้ตัวที่ลอบเข้ามาทางด้านหลังของผม หากช้ากว่านี้อีกนิด ผมคงถูกกัดคอไปแล้วแน่ๆ

“อะ อึก…”

ไม้เบสบอลร่วงลงจากมือของเขา ข้อต่อตรงข้อมือที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีถูกใช้งานหนักเกินไปจนบวมแดง ดูท่าเอ็นที่ยึดกระดูกคงจะขาด รอยช้ำสีแดงเลยกระจายตามจุดที่บวม ชองโฮฮยอนยกไม้เบสบอลด้วยมือข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาเม้มปากพร้อมกับพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ก่อนจะใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ชุ่มอยู่บนหน้าผากออก มองแวบเดียวก็รู้ว่าอาการของเขานั้นแย่แค่ไหน

พวกหน้าใหม่กรูออกมาจากห้องบรรยายที่เรียงรายอยู่เต็มสองฝั่งโถงทางเดิน ถ้าไม่ใช่พวกนักศึกษาที่ยืมห้องบรรยายมาประชุมกันในชมรม ก็คงเป็นพวกนักศึกษาที่กำลังสอบนอกตารางกันอยู่

ผมกระชากแขนของชองโฮฮยอนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วออกตัววิ่ง เขากล้ำกลืนเสียงโอดครวญขณะวิ่งตามหลังผมมา เราวิ่งผ่านโถงทางเดินที่ทอดยาวออกไปเป็นทางตรงเพื่อทิ้งระยะห่างอย่างไม่คิดชีวิตจนมาถึงทางแยกที่เป็นรูปตัว T ขอแค่ผ่านตรงนี้ไปได้ เราก็จะเจอกับทางออกแล้ว ขอแค่ผ่านตรงนี้เท่านั้น…

“…”

แต่แล้วฝีเท้าของผมก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง เมื่อทางเดินเส้นอื่นๆ เบื้องหน้าที่ผมเห็นในอนาคตมีพวกตัวประหลาดเบียดเสียดกันอยู่เต็มไปหมด

ลำพังแค่ไล่ตามหลังมา เรายังพอมีโอกาสรอด ไอ้ตัวพวกนั้นมันสูญเสียสติปัญญาไป แต่กลับได้สมรรถภาพทางร่างกายที่ไร้ขีดจำกัดมาแทน ถ้าปั่นหัวมันโดยการขึ้นลงบันไดหรือเลี้ยวตรงหัวมุมหลายๆ ครั้งก็พอจะสลัดพวกมันหลุดไปได้ แต่ตอนนี้ทางแยกสองในสามได้ถูกพวกนั้นยึดครองเอาไว้หมดแล้ว ถ้าศัตรูเกิดล้อมเข้ามาจากอีกด้าน สถานการณ์ของเราตอนนี้มีหวังได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่ เราคงถูกพวกมันฆ่าก่อนที่จะตีฝ่าวงล้อมออกไปได้

พอเห็นทางเดินที่ยื่นออกไปสองฝั่งเป็นรูปตัว T ผมก็เพิ่งมานึกขึ้นได้ทีหลังว่าตอนมาที่ตึกคณะมนุษยศาสตร์รอบก่อน ตอนนั้นผมตายอยู่ที่นี่ ผมโคตรรู้สึกเวทนาตัวเองที่นึกไม่ได้มาจนถึงวินาทีนี้

ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่าครั้งนี้ผมคิดผิด ผมไม่ควรผลีผลามออกจากตึกมนุษยศาสตร์ตั้งแต่แรก ผมน่าจะวางแผนออกไปให้เป็นขั้นเป็นตอน หรือไม่ก็ควรพักรออยู่ที่ชั้นบนไปก่อน

ครั้งนี้คงจบลงแค่ตรงนี้สินะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าอยู่รอดมานานกว่าครั้งก่อนๆ ล่ะนะ เรี่ยวแรงที่มีพลันเหือดหายไปจนหมดสิ้น สุดท้ายผมคงต้องย้อนกลับไปในเช้าวันคริสต์มาส ตื่นขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง และแกล้งถามชื่อนามสกุลกับชองโฮฮยอนเหมือนกับตอนที่เจอกันเป็นครั้งแรก แค่คิดก็เหนื่อยมากแล้ว…เหนื่อยล้ามากจริงๆ

“พลาดแล้วล่ะ”

“ครับ?”

“ฉันพลาดแล้ว”

ผมก้มหน้าลงแล้วแค่นหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุม ชองโฮฮยอนหันมามองผม

“ไม่พลาดหรอกครับ”

“อีกเดี๋ยวเราก็ถูกพวกเวรนั่นกัดตายแล้ว ถ้าไม่พลาดแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก มันจบแล้วล่ะ”

“ยังไม่จบครับ! อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”

เขาตวาดดังลั่น ใบหน้าสดใสที่มักจะชอบพูดโพล่งอะไรออกมาเสมอเบ้เบะและเหยเกอย่างน่าสงสาร เขาฝืนทนกับความเจ็บปวดจนใบหน้าซีดเผือด แถมร่างกายยังเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายหลายแห่ง ทว่าสายตานั้นกลับยังคงลุกวาว

เขาดึงผมแล้วดันไปติดผนังตรงหัวมุมทางแยก ตอนนี้ยังไม่เห็นวี่แววของพวกที่ไล่ตามหลังมา ยังพอมีเวลาอยู่อีกเล็กน้อย ถึงแม้มันจะแค่อีกไม่กี่นาทีก็ตาม

“เข้าใจไหมครับ เราจะไม่ตาย ไม่สิ…รุ่นพี่จะไม่ตายครับ”

“หมายความว่ายังไง”

ชองโฮฮยอนหลับตาแน่น ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาที่สั่นไหวนั้นดูสุขุมขึ้นมาก

“วิ่งตรงไปตามทางนี้ครับ แล้วอย่าหันหลังกลับมา”

“ชองโฮฮยอน”

“แค่วิ่งจนกว่าจะเห็นทางออกตึกมนุษย์ฯ”

“แม่งเอ๊ย นี่นายกำลังพูดบ้าอะไรอยู่วะ!”

“รุ่นพี่มีโอกาสรอดสูงกว่าผมครับ ทั้งต่อสู้เก่ง แถมแขนขาก็ยังสมบูรณ์ดี ตอนนี้แขนผมมันมีสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้วครับ”

“…”

“ผมจะเดินไปทางฝั่งโน้นแล้วสกัดพวกมันไว้ให้ได้มากที่สุด ไอ้ตัวพวกนั้นน่ะ เวลาจดจ่ออยู่กับอะไรก็จะไม่สนใจอย่างอื่น ผมอยากให้รุ่นพี่ใช้โอกาสนั้นรีบหนีไปครับ”

ผมเข้าใจคำพูดของชองโฮฮยอนดีว่ามันหมายความว่ายังไง ฉับพลันร่างกายก็เย็นวาบไปทั่วทั้งตัวราวกับถูกโยนลงในห้วงน้ำเย็นที่ทั้งลึกและมืดมิด

“นาย…นายคิดจะซื้อเวลาด้วยการเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อเนี่ยนะ?”

“ถ้างั้นจะให้ทำยังไงล่ะครับ จะให้ยืนเหม่ออยู่ตรงนี้จนตายกันทั้งคู่เหรอครับ ถ้าผมเสียสละ อย่างน้อยๆ รุ่นพี่ก็รอดนะครับ เราไม่มีเวลาเหลือแล้วนะครับ!”

“นี่นายตั้งใจจะออกไปตายหรือไง”

ชองโฮฮยอนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะชูไม้เบสบอลที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่งให้ดู

“ผมไม่ได้จะออกไปตายสักหน่อย ผมมีอาวุธอยู่กับตัวนะครับ ผมจะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุดแล้วค่อยหาจังหวะเหมาะๆ หนีไปที่ทางออกด้วยครับ”

“แล้วนั่นมันต่างกับการตั้งใจออกไปตายยังไง”

‘นายจะทำเรื่องไร้สาระไปทำไม ถึงทำแบบนั้นไป ยังไงพอนายตาย ฉันก็ต้องตายตามไปด้วยอยู่ดี ทางเลือกที่นายเสียสละเพื่อให้ฉันรอดนั่นน่ะ มันไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกแล้ว’ ผมนึกอยากจะพูดออกไปอย่างนั้น และอยากจะหัวเราะเย้ยหยันชองโฮฮยอนที่โง่เขลา แต่ผมก็ทำไม่ลง

ผมปรายตาไปที่มือของชองโฮฮยอน เขากำลังตัวสั่นเทาจนน่าสงสาร ตัวเขาสั่นแรงมากจนไม้เบสบอลที่ถืออยู่ในมือสั่นตามเบาๆ

ผมหายใจไม่ออก เด็กนี่ยอมเสียสละตัวเองราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาเองก็กำลังหวาดกลัวความตายไม่ต่างกัน เขากลัวความตายมากจนอยากหนีออกไปตายมันซะเดี๋ยวนี้ แต่เพราะว่ามีผมอยู่ข้างๆ เขาเลยข่มความกลัวนั้นเอาไว้สุดชีวิตด้วยความคิดที่ว่าไหนๆ ตัวเองก็จะต้องตายอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงอยากช่วยให้ผมมีชีวิตรอดออกไปให้ได้

สมกับเป็นเขาจริงๆ ไม่ว่าจะเกลียดหรือไม่ชอบหน้าผมมากแค่ไหน แต่พอสถานการณ์แบบนี้กระชั้นชิดเข้ามา เขาก็เลือกที่จะเสียสละเพื่อช่วยชีวิตผมอย่างไม่ลังเล เขายึดมั่นในเส้นทางที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องโดยไม่เลือกปฏิบัติ นั่นคือชองโฮฮยอนที่ผมได้รู้จักมาจนถึงตอนนี้

ไม่รู้ว่าชองโฮฮยอนตีความปฏิกิริยาของผมยังไง เขาถึงได้หัวเราะออกมาเสียงแผ่วแบบนั้น เขาพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่เก็บซ่อนมุมปากที่สั่นระริกของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ

“ทำไมมองผมด้วยสีหน้าอย่างนั้นล่ะครับ ไม่สมกับเป็นรุ่นพี่เลย ทั้งที่ทุกครั้งรุ่นพี่มองผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันตลอดแท้ๆ แต่ทำไมเวลานี้ถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”

“…”

“รุ่นพี่ครับ ถ้าเกิดว่ารุ่นพี่หนีไปได้อย่างปลอดภัย ถ้าหากเป็นไปได้…ถึงตอนนั้นแล้วรุ่นพี่ช่วยมารับผมทีนะครับ”

ลำคอของเขาตีบตันจนปลายเสียงสั่นเครือไปหมด ชองโฮฮยอนไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ดวงตาของเขาเริ่มสั่นไหว ก่อนที่หยาดน้ำตาจะเอ่อล้นท่วมนัยน์ตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายนั้น

“ถึงตอนนั้นผมอาจจะจำอะไรไม่ได้แล้ว…แต่ยังไงรุ่นพี่ก็ช่วยจดจำมันไว้แทนผมด้วยนะครับ”

ผมยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา เขากำลังสวมกอดผมท่ามกลางความเงียบ

อ้อมกอดแรกของชองโฮฮยอนนั้นช่างอบอุ่น ผมรู้สึกได้ถึงชีพจรของเขาผ่านหน้าอกที่สัมผัสกัน หัวใจเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง มันเต้นแรงสุดชีวิตราวกับต้องการจะบอกว่าไม่อยากตาย…และยังอยากมีลมหายใจอยู่

ไออุ่นผละห่างออกไปโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้ซึมซับมันอย่างเต็มที่ เขามอบอ้อมกอดที่เบาและอ่อนโยนราวกับขนนกในช่วงเวลาอันแสนสั้น ก่อนจะหันหลังให้กับผม ผมตระหนักได้ในวินาทีนั้น ช่วงเวลาที่ผมกำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่ทั้งหนัง เกม หรือการ์ตูน ทั้งหมดมันคือเรื่องจริงสำหรับผม และสำหรับชองโฮฮยอนเองก็เช่นกัน

ชองโฮฮยอนไม่ใช่ตัวละครในหนังหรือคาแร็กเตอร์ในเกม ไม่ใช่บุคคลเสมือนจริงที่กดสวิตช์เพื่อฆ่าให้ตายแล้วฟื้นคืนชีพใหม่ได้ตามใจชอบ แต่เขาคือคนจริงๆ ที่มีไออุ่นแผ่ออกมาจากร่างกาย มีเลือดที่กำลังไหลเวียน และมีหัวใจที่กำลังเต้นอยู่

หลังจากคิดได้ดังนั้น คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ผมทำอะไรลงไปกับชองโฮฮยอน…

ความสะเทือนใจถาโถมเข้ามา ประสาทสัมผัสทั้งหมดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะรวมตัวกันใหม่ คลื่นรบกวนที่ผมเคยเห็นและได้ยินมาตลอดกำลังสั่นสะเทือน ภาพหลอนรูปหัวกะโหลกที่เลือนรางราวกับม่านหมอกพลันค่อยๆ จางหายไป

“ชองโฮฮยอน…โฮฮยอนอา”

ผมยื่นมือที่สั่นเทาไปจับมือเขาไว้แน่นจนมือนั้นขาวซีดพลางพูดจาวกไปวนมา

“อย่าไปนะ ถ้านายไปในสภาพแบบนี้ นายจะต้องตายแน่ๆ ฉันเคยผ่านมันมาแล้ว ฉันรู้ว่ามันฟังดูบ้า แต่ก่อนหน้านี้ฉันน่ะ…เคยจบชีวิตตรงนั้นมาแล้ว”

“…”

“ที่โถงทางเดินนั่นมีพวกมันเยอะเกินไป ฉันตายโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฉันขอโทษที่ไม่เคยบอกนายเลยทั้งในครั้งที่สิบเจ็ดหรือสิบแปด แล้วก็ครั้งที่สิบด้วย ฉันคิดว่าถ้านายตายๆ ไปซะก็คงจะดี ฉันขอโทษเรื่องนั้นด้วยนะ เพราะงั้นนายอย่าไปเลยนะ นะ? โฮฮยอนอา…ได้โปรด ฉันผิดไปแล้ว…ฉันขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ได้โปรด อย่าไปเลยนะ ถ้าไปนายจะตาย นายจะตายจริงๆ นะ”

เท้าของชองโฮฮยอนหยุดชะงักไป เขาหันกลับมาสบตาผมตรงๆ ใบหน้าของผมเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาไม่ต่างจากเขา เขาส่งยิ้มบางเบามาให้ ก่อนที่จะรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเค้นเสียงออกมาจนผมได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ

“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ครับ”

น้ำเสียงนั้นช่างนุ่มนวล ทว่าเขากลับกระชากมือของตัวเองกลับไปอย่างแรง มือที่ไร้ที่ยึดเหนี่ยวของผมลอยเคว้งอยู่กลางอากาศทั้งอย่างนั้น เขาวิ่งออกไปนอกหัวมุมโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แผ่นหลังนั้นไกลห่างออกไปโดยที่ผมไม่อาจทำอะไรได้เลย

ผมเอื้อมแขนออกไปกลางอากาศโดยไม่รู้ตัว แต่ลางสังหรณ์ได้บอกผมว่ามันสายไปแล้ว พวกมันที่เห็นเหยื่อปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุมของโถงทางเดินต่างพากันร้องโหยหวนราวกับดีใจ

“อือ อึก ฮึก…ฮึก…”

ร่างกายของผมอ่อนแรง ผมทรุดตัวและคุกเข่าลงตรงนั้น เอาหน้าผากแนบกับพื้นพลางร้องสะอึกสะอื้นราวกับสัตว์ที่ถูกเชือด หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาบนพื้นโถงทางเดินที่เย็นเฉียบไม่ขาดสาย

ลมหายใจของชองโฮฮยอนกำลังจะหมดลงในไม่ช้า หัวใจของเขาจะหยุดเต้นพร้อมกับความเจ็บปวดอันแสนสาหัส และหลังจากนั้นความมืดมิดที่เป็นดั่งเทวทัณฑ์ที่ลงโทษผมก็จะมาเยือน ทว่าก่อนที่มันจะถึงเวลานั้น…

ผมกำมีดปอกผลไม้ที่ก่อนหน้านี้ร่วงลงไปขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะปาดเช็ดคมมีดกับแขนเสื้อของตัวเอง เลือดที่แห้งกรังและจับตัวเป็นก้อนสีดำถูกเช็ดออกไป ภาพใบหน้าของผมสะท้อนอยู่บนคมมีดนั้น

พวกมันไม่ได้ตายง่ายๆ ต่อให้แขนขาถูกตัด ต่อให้ท้องถูกทะลวงเป็นรูใหญ่จนมองทะลุไปอีกฝั่ง หรือต่อให้ลำตัวถูกสับแยกออกเป็นสองท่อนจนเครื่องในทะลักออกมา แต่พวกมันก็จะยังมุมานะขยับตัวได้อยู่ ถ้าจะฆ่าให้ตายอย่างแน่นอนมีแต่ต้องตัดคอเท่านั้น แล้วถ้าเกิดว่าผมทำแบบนั้นกับตัวเองล่ะ ถ้าเกิดผมแทงมีดเข้าไปให้ลึกๆ แล้วกรีดสุดแรงด้วยความมุ่งมั่นที่จะตัดเส้นประสาทกับมัดกล้ามเนื้อทั้งหมดให้ขาดในคราวเดียว…ฝันร้ายที่กัดกินผมอยู่ในตอนนี้จะจบลงเหมือนกับชีวิตของไอ้ตัวพวกนั้นไหมนะ

ผมจับมีดปอกผลไม้กลับด้าน โดยชี้ปลายมีดไปที่ลูกกระเดือกของตัวเอง มือข้างหนึ่งกำแน่นอยู่ที่ด้าม ส่วนอีกข้างประคองตรงส่วนปลายเพื่อเพิ่มแรงให้ปาดได้ขาดในครั้งเดียว

ใบมีดสะท้อนแสงวาววับชวนขนลุกภายใต้แสงจากหลอดไฟนีออนสีขาว ผมไม่ลังเลเลยสักนิด ความรู้สึกตอนที่โลหะเย็นๆ กรีดเข้าเนื้อและตัดผ่านหลอดลมนั้นช่างชัดเจน

ทว่ามันก็ยังเจ็บน้อยกว่าที่ชองโฮฮยอนเจ็บตอนตายเสียด้วยซ้ำ

 

ผมนอนมองเพดานอย่างเหม่อลอยสักพักหนึ่ง ก่อนจะเห็นรอยเปื้อนจุดเล็กๆ ที่มุมหนึ่งของเพดาน มันเป็นรอยที่เกิดขึ้นตอนรูมเมตผมใช้หนังสือวิชาเอกตบยุงในหน้าร้อน หลังจากนั้นผมก็หันไปเห็นแผ่นหลังของรูมเมตที่กำลังนอนอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม

ผมขยับตัวไปโดยไม่ได้คิดอะไร โดยเริ่มจากเชือดคอของเขา แล้วเดินไปอาบน้ำล้างตัวที่เปื้อนเลือดใต้ฝักบัว เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่เคยทำ ก่อนจะเป่าผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผมที่มีติดอยู่ในห้อง

หลังจากนั้นความทรงจำของผมมันก็ช่างเลือนราง ดูเหมือนว่าผมจะหาขวานดับเพลิงมาถือไว้ในมือแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วหอพัก ผมแค่เดินไปเรื่อยโดยปล่อยให้เท้านำไปอย่างไร้จุดหมาย กว่าจะได้สติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ผมก็นั่งอยู่บนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ล้มนอนนิ่งอยู่กลางโถงทางเดินแล้ว

ทำไมผมถึงได้มาอยู่ที่นี่กันนะ แล้วนี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ภายในหัวว่างเปล่าและคิดอะไรไม่ออกเลยราวกับสายน้ำรุนแรงจากฝักบัวเมื่อครู่ได้ชะล้างความคิดของผมออกไปจนหมดเกลี้ยง

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบจากอีกฝั่งของโถงทางเดินเลยหันไปทางต้นเสียงนั้นอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเห็นภาพของคนที่คุ้นเคย ชองโฮฮยอนกำลังวิ่งเข้ามาหาผม โดยมีตัวเกะกะตัวหนึ่งพ่วงตามหลังมาด้วย ผมอยากเอ่ยทักทายเขา ทว่าสีหน้าของเขาตอนนี้ดูจะไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก พูดให้ชัดคือเป็นใบหน้าที่ดูตื่นกลัวจนแทบลืมหายใจ

ทั้งที่มีแค่ตัวเดียวแท้ๆ จะผวาอะไรขนาดนั้น ทำมาเป็นตาขาว ทีตอนยืนอยู่คนเดียวในโถงทางเดินที่มีไอ้ตัวพวกนั้นเป็นสิบๆ ยังใจนิ่งอยู่เลย ตลกชะมัดเลยเด็กนี่ ผมลุกขึ้นยืนเงียบๆ ก่อนจะเขวี้ยงขวานออกไปสับเข้าที่คอของไอ้ตัวที่วิ่งตามหลังชองโฮฮยอนมา

“คึ่ก…แค่ก”

ร่างมันกระตุกพร้อมกับเลือดสีดำที่ไหลเยิ้มออกมา ฟองเลือดข้นคลั่กหลั่งออกมาจากคอที่ถูกตัดครึ่ง หัวมันควรจะร่วงลงมาเรียบร้อยในการฟันครั้งเดียวสิ น่าเสียดาย

“อา…ไม่ตายแฮะ”

ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดคอมันได้ในครั้งที่สอง โชคดีที่ฝีมือสนิมยังไม่เกาะ ชองโฮฮยอนตัวแข็งทื่อตลอดเวลา เขาทำหน้าเหมือนกับเห็นปีศาจยังไงยังงั้น

“ไง คุณรุ่นน้อง มาได้แล้วเหรอ”

ผมเอ่ยทักทายก่อน แต่นอกจากชองโฮฮยอนจะไม่ทักตอบกลับมาแล้ว ยังสะดุ้งอย่างผวาๆ อีก

“ครับ?”

ทั้งที่เราสนิทสนมจนเห็นด้านดีด้านร้ายของกันและกันมาหมดแล้ว แต่ทำไมถึงได้ทำตัวห่างเหินกันขนาดนั้นนะ ผมมองเขาเงียบๆ พลางคิดว่าวันนี้เขาทำตัวแปลกไปมาก ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ในทันใด

อ๋อ จริงสิ ชองโฮฮยอนคนนั้นตายไปแล้วนี่ เขาวิ่งออกไปคนเดียวแล้วถูกกัดทึ้งเนื้อทั้งตัวจนตายเพื่อช่วยชีวิตผม ผมได้ยินกระทั่งเสียงตะกรุมตะกรามของไอ้พวกที่เจอเขา

“ยังอุตส่าห์รอดมาได้นะ”

แต่ว่านะ ทำไมนายถึงยังมีชีวิตรอดอยู่ล่ะ ทำไมนายถึงมีชีวิตอยู่ ทำไมล่ะ…ทำไม…

“ทำไมถึงยังรอดมาได้อีกนะ”

ชองโฮฮยอนขยับปากพูดอ้อมแอ้มด้วยสีหน้างุนงง ก่อนที่สุดท้ายจะเริ่มออกตัววิ่งหนีไป แผ่นหลังนั้นซ้อนทับกับภาพยามที่เขาสะบัดมือของผมที่กำลังอ้อนวอนขอร้องไม่ให้เขาไป ก่อนจะหันหลังให้อย่างหมายมั่น

ผมรู้สึกเคืองเขา แค่เห็นคนที่ตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่แบบสมบูรณ์ครบถ้วนเลยถามเพราะสงสัยว่าทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นเลยนี่ แถมเขายังแกล้งทำเป็นจำชื่อผมไม่ได้อีก

แต่อีกด้านหนึ่งผมก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะชองโฮฮยอนเกลียดผมแทบตายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมตัวเองยังต้องมาเสียสละชีวิตจนตายก็เพราะผม เขาจะเกลียดขี้หน้าผมก็คงไม่แปลกหรอก

จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ผมแค่เอ่ยทักทายเฉยๆ แต่เขาก็ดันตกใจกลัวไปก่อน…ตอนนั้นเขาพูดว่ายังไงนะ ‘ทำไมทำแบบนี้’ กับ ‘ผมจะแจ้งความ’ ใช่ไหมนะ เขาหวาดกลัวมากจนตัวสั่น และสุดท้ายก็ตกหน้าต่างตาย

เขาปกป้องผมถึงขนาดยอมถูกไล่ออกจากกลุ่ม แล้วจู่ๆ ก็มาทำเหมือนผมเป็นคนแปลกหน้าไปซะอย่างนั้น ไอ้คนที่สะบัดมือผมอย่างแรงแล้ววิ่งหน้าตั้งออกไปตายมันหายไปไหนซะแล้วล่ะ ทำไมตอนนี้ถึงได้กลับมามีชีวิตอีกรอบแล้ววิ่งหนีผมแทนแบบนี้ ผมทั้งเกลียด ทั้งน้อยใจ และรำคาญเขา มันเป็นความรู้สึกเหมือนเทียวไปกลับระหว่างสวรรค์กับนรก

“ขอโทษครับรุ่นพี่! ผมมันบังอาจมากที่จำรุ่นพี่ไม่ได้! พอดีผมแค่นึกไม่ออกไปแป๊บนึงน่ะครับ ไม่สิ เอ่อคือ…ผมแค่สับสนน่ะครับ”

ในที่สุดชองโฮฮยอนก็หยุดวิ่งหนี เขาค่อยๆ ถอยหนีพลางสาธยายแก้ตัวไปเรื่อยอย่างตะกุกตะกัก เวลาพูดหน้าตาตื่นแบบนี้แม่งโคตรน่ารัก…น่ารักจนผมคิดในใจว่าควรยกโทษให้ตอนนี้เลยดีไหม

ทันใดนั้นเองผมเห็นไอ้เวรตัวหนึ่งเดินอืดอาดเข้ามาใกล้จากทางด้านหลังของเขา มันคงจะได้ยินเสียงที่ผมกับเขาวิ่งไล่จับกันเลยเข้ามาหา นานๆ ทีชองโฮฮยอนของผมถึงจะทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้สักที แต่ไอ้เวรนี่ดันเข้ามาทำลายบรรยากาศเอาซะได้ น่าเสียดายชะมัด ผมเงื้อขวานสุดแรงแล้วฟันใส่มัน

“อ๊ากกก!”

ชองโฮฮยอนกรีดร้องพร้อมกับสติที่แตกกระเจิง เขาทรุดตัวลงตรงนั้น แปลกจังแฮะ ปฏิกิริยาของเด็กนี่แปลกไปมากๆ เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แค่ฆ่าตายตัวเดียว ทำไมต้องตื่นตระหนกอะไรขนาดนั้น ผมยกขวานขึ้นมาแล้วฟาดกบาลไอ้เวรนั่นสุดแรง

ผมครุ่นคิดอยู่ในใจขณะมองศพของไอ้เวรนั่นที่ล้มลงกับพื้นสลับกับมองชองโฮฮยอน หมอกที่ขุ่นมัวในหัวค่อยๆ จางหายไป ก่อนที่ผมจะเข้าใจสถานการณ์ ผมฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่แล้วหลังจากที่ปาดคอฆ่าตัวตายอย่างน่าสลด ความรู้สึกยามเลือดทะลักออกจากหลอดลมที่ถูกตัดยังคงแจ่มชัดอยู่ในสมอง

และครั้งนี้ผมถูกโชคชะตาลากกลับมายังเช้าวันคริสต์มาสอีกครั้ง…ลากผมกลับมาสู่ช่วงเวลาที่ชองโฮฮยอนไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผมหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่สักนิด

และนี่ก็คือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของผม

 

ทุกครั้งที่กลับมาผมจะแกล้งทำเหมือนกับว่าเพิ่งเคยเจอกับชองโฮฮยอนเป็นครั้งแรก อีกทั้งปิดบังความจริงเรื่องที่ผมรู้จักสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ยังไม่เคยไป และสุดท้ายหลังจากที่เขาจับสังเกตได้ เขาก็จะเริ่มหวาดระแวงและเกลียดผม ถึงขนาดที่เลือกความตายซะยังดีกว่าต้องคอยมีผมอยู่เคียงข้าง

ทว่าครั้งนี้ผมผิดพลาดมาตั้งแต่เริ่มต้น ผมสับสนระหว่างความทรงจำในอดีตกับปัจจุบัน ผมตามติดชองโฮฮยอนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังเอาแต่พูดคำพูดที่เขาไม่เข้าใจความหมายออกไป ความสับสน ความหวั่นวิตก และความหวาดกลัวปะปนอยู่ในดวงตาของเขาที่จ้องมองผม ถึงแม้จะมานึกในใจว่าไม่น่าเลย แต่มันก็สายไปแล้ว

นั่นสินะ…ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาคงคิดว่าไอ้เวรอย่างผมมันเสียสติ น่าขนลุก และจะเอาตัวเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้เด็ดขาด แต่ถึงเขาจะคิดแบบนั้นจริง ผมก็ไม่ได้โกรธอะไร ก็เขาไม่ได้พูดอะไรผิดนี่

ทุกอย่างจะจบลงอย่างว่างเปล่าอีกไหมนะ ผมจะต้องเผชิญกับความตายที่จำไม่ได้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แล้วก็ต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดยแบกรับความทรงจำกับรอยแผลเป็นทั้งหมดเพียงลำพังอย่างที่เคยเป็นมาตลอดอีกหรือเปล่า เพียงแค่คิดความอ่อนล้าก็กดทับไปทั่วร่างกายผม

ผมรู้สึกยอมแพ้มาตั้งนานแล้ว ในเมื่อยังไงเดี๋ยวก็ต้องตายอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ผมก็อยากระบายความโกรธออกมาก่อนตาย ผมพรั่งพรูทุกความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้ออกมารวดเดียว ระบายมันออกมาเป็นคำพูดที่ผมไม่เคยพูดมาตลอดจนถึงตอนนี้กับชองโฮฮยอนที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย โดยไม่สนใจว่าเขาจะคิดยังไงกับผม

ทว่ากลับมีบางอย่างที่แปลกไป

‘รุ่นพี่ครับ ผมขอโทษ’

เด็กนี่ขอโทษผม

‘ถึงผมจะไม่ได้เข้าใจที่รุ่นพี่พูดทุกอย่าง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมเห็นด้วย รุ่นพี่พูดถูกครับ ผมมันแย่เอง ที่ผ่านมาผมเอาแต่ซุกหัวหลบอยู่ข้างหลังรุ่นพี่แล้วทำตัวงี่เง่ามาจนถึงตอนนี้ เพราะผมไม่อยากแบกรับภาระเลยเอาแต่วิ่งหนี’

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่แล้วจู่ๆ ก็ถูกลากเข้ามาอยู่ในวังวนแห่งหายนะนี่ เพราะแบบนั้นเขาเองก็คงจะกำลังรู้สึกสับสนและหวาดกลัวไม่ต่างจากผม…ราวกับว่าเข้าใจความเจ็บปวดของผม

‘แต่ผมก็ไม่เคยเข้าใจเลยครับว่ารุ่นพี่ต้องการอะไรจากผม ทำไมถึงโกรธผมขนาดนั้น ว่ากันตามตรงแม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ผมคงจะเคยทำผิดกับรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัวสินะครับ ยังไงผมก็ขอโทษสำหรับเรื่องนั้นด้วยนะครับ’

ผมจับมือชองโฮฮยอนแน่นพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเพื่อสำรวจความคิดในใจของเขา เขาไม่ได้ต่อต้านและผลักไสผมออกไปด้วยความกลัว ไม่ได้แพนิกจนถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายหนี แล้วก็ไม่ได้สลัดมือของผมออกเหมือนตอนนั้น แต่เขาทำเพียงแค่จ้องมองผมเงียบๆ

แปลกแฮะ เด็กนี่เกลียดผมไม่ใช่หรือไง เขาไม่เคยสนใจความคิดหรือความรู้สึกของผม ต่อให้ผมจะเผชิญหน้ากับเช้าวันคริสต์มาสและได้พบกับชองโฮฮยอนมาหลายครั้งหลายคราจนนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังคงเกลียดผมและไม่เคยสนใจความรู้สึกของผมเหมือนเดิมในทุกๆ ครั้ง

หัวใจที่กำลังถูกแช่แข็งอย่างช้าๆ เริ่มเต้นถี่ระรัวขึ้นมาด้วยความหวัง ครั้งนี้จะต่างไปจากครั้งก่อนๆ หรือเปล่านะ ผมเริ่มมีความหวังเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่เคยผ่านความตายมานับสิบๆ หน

วงโคจรของวังวนนี้เริ่มบิดเบี้ยวไป สิ่งต่างๆ ที่ผมรู้ดีมาตลอดเองก็เริ่มผิดแปลกไปจากเดิมทีละน้อย

‘หัวใจของพวกมันไม่เต้นเพราะพวกมันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ของนายมันยังเต้นอยู่นะ เพราะนายยังมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ เพราะงั้นวางใจเถอะ’

ชองโฮฮยอนที่เคยหวาดระแวงผมขนาดนั้นกลับสวมกอดผมอย่างอ่อนโยน ร่างกายที่ดึงเข้ามากอดยังคงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย…เหมือนกับตอนที่เรากอดกันในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น ก่อนที่จะจากกันตรงทางแยก สิ่งที่ต่างออกไปมีเพียงแค่หัวใจของผมในตอนนี้ที่เต้นเป็นจังหวะอย่างสงบต่างจากตอนนั้น ผมไม่อยากปล่อยเขาไปเลย

‘จริงสิ รุ่นพี่ครับ ถ้าออกไปจากที่นี่ได้ รุ่นพี่มีสิ่งที่อยากทำไหมครับ’

เขาอยากรู้เกี่ยวกับตัวผมเป็นครั้งแรก ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่เขาแค่ถามไถ่ชื่อกับอายุของผมตามมารยาท แล้วหลังจากนั้นก็ตัดผมออกไปจากสารบบ

‘ผมชอบ’

ชองโฮฮยอนเคยพูดอย่างนั้นหลังจากเราทิ้งหอพักที่ไฟลุกท่วมไว้เบื้องหลังแล้วหนีมาที่หอสมุดกลาง เขาพูดมันทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า ถ้าผมไม่ได้จูบเขา ผมก็คงจะทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจูบคราวนี้มันอาจจะทำให้ชองโฮฮยอนเกลียดกลัวผมเหมือนกับครั้งก่อนๆ ก็ตาม

ทว่าคราวนี้เขากลับไม่ปฏิเสธ เขาเผยอปากเพื่อรับจูบผมที่พุ่งตัวเข้าไปอย่างกระหาย แขนของเขาโอบกอดผม จังหวะหัวใจเราสอดประสานกันและเต้นถี่ระรัว จนผมรู้สึกว่าต่อให้ตายไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร

ไม่สิ ไม่เอาดีกว่า ผมยังไม่อยากตาย ผมไม่อยากสูญเสียชองโฮฮยอนคนนี้ที่ไม่ได้เกลียดผมไป ผมยังอยากเห็นชองโฮฮยอนที่ยืนพูดคุยสัพเพเหระกับเพื่อนที่โซนสูบบุหรี่หน้าตึกสังคมศาสตร์ ผมยังอยากเห็นชองโฮฮยอนที่หัวเราะและพูดคุยอย่างเฮฮาสดใสตามปกติอีกครั้ง ผมยังอยากดิ้นรนใช้ชีวิตจนกว่าจะถึงที่สุด

และแล้วในตอนนั้นเอง…

‘รุ่นพี่เคยเห็นผมตายมาก่อนสินะครับ’

ชองโฮฮยอนได้พบกับคำตอบ เขาถามเข้าเป้าในครั้งเดียวด้วยสายตาที่สงบนิ่งไร้ซึ่งความลังเล

คลื่นรบกวนที่เคยปรากฏอยู่ในสายตามาจนถึงตอนนี้พลันเลือนหายไปในพริบตา ภาพหลอนทั้งหมดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และมลายหายไป ตะกอนที่ลอยล่องอยู่ในหัวจมดิ่งลงไปจนไร้ร่องรอย ก่อนที่แสงสว่างจะสาดส่องเข้ามาในโลกที่ติดอยู่ในความมืดมิด ผมมองไปที่เขาโดยไม่พูดอะไรออกไป วินาทีนั้นผมหลงลืมแม้กระทั่งวิธีหายใจ

‘…อืม’

ผมกล้ำกลืนตอบกลับไปราวกับกำลังสารภาพบาป

‘เคยเห็นมากี่ครั้งแล้วครับ’

ความลับที่เก็บงำเอาไว้ตัวคนเดียวมาโดยตลอด เรื่องเพ้อเจ้อที่คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ…ในที่สุดผมก็ได้พูดมันออกไป

‘นับมาจนถึงครั้งที่ยี่สิบ…หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้จำมันอีกแล้ว’

รู้ตัวอีกทีเวลากลางคืนและเช้ามืดก็ได้ผ่านพ้นไป พร้อมกับเช้าวันใหม่ที่กำลังใกล้จะมาเยือน ผมเห็นความมืดที่เริ่มสว่างรำไรผ่านประตูกระจกบานใหญ่ของอาคารที่ระลึกครบรอบเจ็ดสิบปี

ผมพูดเพ้อเจ้อวกไปวนมาไม่หยุด หลังจากเผชิญหน้ากับความตายอันน่าเศร้าสลดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนความทรงจำทับซ้อนกันสับสนยุ่งเหยิงไปหมด มีทั้งส่วนที่ไม่ปะติดปะต่อกัน และส่วนที่เลือนรางจนนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นชองโฮฮยอนกลับใส่ใจที่จะฟังผม เขาตั้งใจฟังเรื่องราวเพ้อเจ้อที่ใครๆ ก็คงคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันของคนบ้าโดยไม่พูดอะไร ทั้งยังไม่ตั้งคำถามหรือโต้แย้งอะไรเลย

“รุ่นพี่ครับ พวกเรา…”

ในที่สุดชองโฮฮยอนก็เปิดปากพูด เขาเว้นช่วงไว้พลางหันหน้าออกไปมองข้างนอก ผมเผลอมองตามสายตาของเขาโดยไม่รู้ตัว

ค่ำคืนอันยาวนานได้ผ่านพ้นไป พระอาทิตย์ของวันใหม่กำลังจะโผล่ขึ้นมานอกหน้าต่างนั้น แดดสาดส่องลงมาที่พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ แสงแดดอ่อนๆ ของฤดูหนาวสาดลงมาจากทางด้านหลังของเขา ผมเห็นนัยน์ตาสีเดียวกันกับอเมริกาโนที่เจือจางนั้นวาววับเป็นสีทองอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง แม้แต่ขนอ่อนบนแก้มกับใบหูเองก็กระทบกับแสงจนเห็นเป็นสีขาว

“พวกเราจะต้องรอดตายแล้วหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอนครับ”

เขาพูดอย่างมุ่งมั่นโดยปราศจากความลังเล ผมตั้งใจฟังคำพูดของเขาราวกับตกอยู่ในภวังค์

“มันจะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้วครับ…ผมสัญญาว่าจะไม่ยอมให้รุ่นพี่ย้อนกลับไปเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว”

 

เหลือเวลาอีกประมาณห้านาทีก่อนที่จะจบการบรรยาย แต่อาจารย์ก็ยังคงอ่านบทความที่ปรากฏอยู่บนโปรเจ็กเตอร์ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะเลิกก่อนเวลา น่าเบื่อชะมัด ผมเคาะปลายปากกาเล่นบนหน้าหนังสือ จุดสีดำจิ้มลงบนกระดาษอย่างสะเปะสะปะ ทันใดนั้นจู่ๆ ผมก็นึกถึงเด็กคนหนึ่งขึ้นมาได้…เด็กคนที่ชอบมายืนอยู่นอกหน้าต่าง

ป่านนี้เด็กนั่นคงพูดคุยไปเรื่อยและสูบบุหรี่จนหมดมวนแล้วมั้ง คนอื่นๆ เริ่มแยกย้ายไปทีละคน แต่เขากลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น เขาโบกมือและโค้งตัวผงกหัวให้คนที่เดินห่างออกไป

ไม่นานนักที่ตรงนั้นก็เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว รอยยิ้มอัธยาศัยดีที่ประดับอยู่บนมุมปากค่อยๆ เลือนหายไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ผมสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าสะท้อนอยู่บนใบหน้าที่เบื่อหน่ายนั่น ทีแรกผมนึกว่าเขาจะชอบพูดคุยเฮฮากับคนอื่นมาก แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น

เขาเอนหลังพิงผนังอิฐสีแดงพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าในฤดูหนาวที่เวิ้งว้าง ก่อนจะหยิบกล่องบุหรี่ที่ยัดเก็บเข้าไปเมื่อครู่ออกมา เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งแล้วจุดบุหรี่สูบ กลุ่มควันที่เหมือนกับลมหายใจถูกพ่นออกมาผ่านริมฝีปากของเขา

“เอาล่ะ มาดูสไลด์ถัดไปกันครับ นักศึกษาเคยได้ยินศัพท์เฉพาะคำว่า ‘เดดแมน สวิตช์’ กันไหมครับ อาจารย์ว่ามันน่าจะเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่ไม่น้อยเลยสำหรับนักศึกษาที่ฟังบรรยายคลาสนี้ เรามาลองยกตัวอย่างง่ายๆ กันไหมครับ ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าผมตายไป ผมก็อยากให้ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูลโดยอัตโนมัติ แล้วก็อยากให้ประวัติการใช้งานในโซเชียลเน็ตเวิร์กถูกลบออกไปเองโดยอัตโนมัติด้วย ทุกคนก็คงจะเคยคิดแบบนั้นกันใช่ไหมครับ หากพิจารณาจากตัวอย่างดังกล่าวแล้ว นั่นก็เรียกได้ว่าเป็นเดดแมน สวิตช์อย่างหนึ่งครับ”

อาจารย์ที่อยู่ด้านหน้าห้องบรรยายยังคงทำการสอนต่อไป เสียงหัวเราะดังขึ้นประปรายจากรอบห้อง แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของผมก็ยังคงไม่ละไปจากเขา

“ตามเคทีเอ็กซ์* หรือรถไฟฟ้าใต้ดินเองก็มีอุปกรณ์ตรวจจับความผิดปกติของพนักงานขับรถไฟเพื่อหยุดตัวรถโดยอัตโนมัติด้วยครับ นั่นเป็นเพราะว่าอุบัติเหตุร้ายแรงอาจเกิดขึ้นได้หากคนขับหมดสติระหว่างปฏิบัติหน้าที่”

ตอนนี้เด็กนั่นกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ อา…คงจะเหนื่อยกับการประจบประแจงรุ่นพี่พวกนั้นอยู่ล่ะสิท่า นายกำลังคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหม หรือว่านายจะกำลังโอดครวญอยู่ในใจเพราะเหนื่อยกับคลาสเรียนในมหาวิทยาลัย? ไม่สิ…ความจริงแล้วนายอาจจะไม่ได้คิดอะไรอยู่เลยก็ได้

พอไม่มีใครอยู่ข้างตัว เขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลง คิ้วที่ขมวดน้อยๆ ดูผ่อนคลายลง เด็กนี่แปลกคนชะมัด

ถึงผมจะไม่สูบบุหรี่ แต่รอบกายก็มักจะรายล้อมไปด้วยคนที่สูบบุหรี่ ระหว่างที่หมกตัวอยู่ในชั้นใต้ดินของตึกศิลปกรรมศาสตร์และทำงานจนดึกดื่น ผมก็มักจะเดินออกมารับลมข้างนอก รอบด้านเต็มไปด้วยควันโขมง ต่างคนต่างพ่นควันออกมาด้วยใบหน้าเหมือนคนใกล้ตาย พอมองไอ้พวกนั้นแล้ว ผมก็รู้สึกรำคาญตาขึ้นมา แต่พอมองเด็กนั่นแล้ว ผมกลับรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาแปลกๆ ซะงั้น

ผมเคยได้ยินมาจากใครคนหนึ่งที่ผมจำไม่ได้ว่าความรู้สึกตอนสูบบุหรี่กับความรู้สึกค้างหลังจากได้ปลดปล่อยยามมีเซ็กซ์นั้นมีส่วนที่คล้ายกันอยู่

เด็กนั่นมีแฟนหรือยังนะ แล้วจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ดูจากลักษณะหน้าตาที่เหมือนกับเป็นเครื่องยืนยันว่าคงจะไม่เคยทำอะไรผิดแปลกแหวกค่านิยมหลักของสังคมแล้ว เขาน่าจะคบแต่กับผู้หญิงอย่างเดียว

หลังจากล้มลุกปลุกปล้ำและมีเซ็กซ์กันอย่างร้อนแรงบนเตียงแล้ว เด็กนั่นจะทำสีหน้ายังไงกันนะ ใบหน้าขาวเนียนนั่นจะบิดเบี้ยวและเหยเกแค่ไหนตอนถึงจุดสุดยอด แล้วได้สูบบุหรี่โดยที่เนื้อตัวยังล่อนจ้อนหลังจากมีเซ็กซ์ด้วยหรือเปล่า ผมนั่งเอียงคอเท้าคางพลางจินตนาการเรื่องลามกพวกนั้นด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย

“หลังจากที่ได้เรียนกันไปแล้ว นักเรียนคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับกับยุคสมัยของสุนทรียศาสตร์เชิงกลที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ ถึงมันจะไม่ได้ประณีตบรรจงและพิถีพิถันเหมือนอย่างในยุคปัจจุบัน แต่ในยุคระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง กล่าวคือช่วงปี ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1930 เองก็มีอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนที่คล้ายคลึงกับในยุคปัจจุบันอยู่เหมือนกัน หากลองดูรูปภาพทางด้านขวาของสไลด์…”

เนื้อหาในคลาสเรียนตอนนี้ไม่ได้ทะลุผ่านเข้าหูผมอีกต่อไป ผมจ้องมองนอกหน้าต่างกระทั่งเขาสูบบุหรี่เสร็จแล้วเดินจากไป

ถึงเราจะไม่เคยพบกัน แต่ผมรู้จักเขา…รู้จักทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนเป็นนิสัยและใบหน้าเรียบนิ่งที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เพียงแค่คิดผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นชองโฮฮยอน

 

* เคทีเอ็กซ์ (Korea Train Express) คือชื่อบริการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของประเทศเกาหลีใต้

 

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: