ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 2
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของเด็กและสัตว์
มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 39 ทังกู่
หลังจากนำเครื่องเทศและเมล็ดพันธุ์กลับบ้าน ลู่ชิงจิ่วก็นำเรื่องนี้มาพูดคุยกับอิ่นสวิน อิ่นสวินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจหลังจากที่ได้ฟัง ทั้งยังบอกว่าคำบรรยายของเขาน่ากลัวเกินไป เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน ผู้หญิงคนนั้นสามารถวางคางบนไหล่ผังจื่อฉีได้แล้ว หากรอให้ผ่านไปอีกสักพัก…เธอจะไม่รวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับผังจื่อฉีเลยงั้นเหรอ
ลู่ชิงจิ่วว่า “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” เขานำเนื้อวัวและส่วนผสมอื่นๆ หมักเข้ากับเครื่องเทศสำหรับตุ๋น หลังจากเปิดแก๊สก็เคี่ยวช้าๆ เครื่องในไก่และเป็ดเหมาะสำหรับการตุ๋นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกึ๋นไก่ที่มีความกรอบอร่อย เหมาะที่จะกินแกล้มเหล้า ลู่ชิงจิ่วพูดต่อ “แต่ดูแล้วสิ่งสิ่งนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดมากจริงๆ”
อิ่นสวินไม่ได้สนใจเรื่องของผังจื่อฉีมากนัก เขาสนใจเนื้อวัวในหม้อมากกว่า ทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง ไม่นานก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้ และให้ความสำคัญกับอาหารค่ำวันนี้แทน
ลู่ชิงจิ่วขอให้อิ่นสวินช่วยเก็บต้นหอมสดจากสวน รอจนเนื้อตุ๋นในหม้อได้ที่ก็นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วราดด้วยซอสพริกปรุงรสสูตรพิเศษของลู่ชิงจิ่วเพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น
หลังอาหารมื้อเย็น คืนนั้นลู่ชิงจิ่วนำเนื้อที่ตุ๋นแล้วไปที่ลานบ้าน รินไวน์องุ่นที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ไปสองสามแก้ว ไวน์ที่หมักเองไม่ได้มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง หากแต่รสชาติจัดว่าไม่เลวเลยทีเดียว ใช้เป็นเครื่องดื่มยามว่างได้ดี
เนื้อตุ๋นก็อร่อยมาก เนื้อสดแน่นและเหนียวนุ่ม ยิ่งเคี้ยวในปากก็ยิ่งมีรสดี พอปรุงกับพริกสูตรเฉพาะ เนื้อก็มีรสเผ็ดผสมไปด้วย แต่พริกสูตรนี้ไม่เพียงแต่ให้รสเผ็ด ยังผสมมากับถั่วลิสงคั่วและงา ผัดคลุกนิดหน่อยพริกก็จะมีกลิ่นหอม ทำให้คนไม่อาจต้านทานได้
ทั้งสามจิบไวน์และทานอาหารอย่างสำราญ เมื่อไป๋เยวี่ยหูจัดการเนื้อวัวชิ้นสุดท้ายเรียบร้อย ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว อิ่นสวินหาวหวอดพลางบอกว่าจะกลับบ้าน ลู่ชิงจิ่วจึงบอกให้เขากลับบ้านดีๆ เมื่อส่งเขาจนหายลับไปในถนนสายเล็กๆ ลู่ชิงจิ่วก็หมุนตัวเข้าบ้านไปอาบน้ำ เปิดแอร์ ล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหลับไป
เช้าวันต่อมา ลู่ชิงจิ่วตื่นนอนอย่างสดชื่น ก่อนทำอาหารเช้าเขาเปิดโทรทัศน์ให้เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยและเจ้าจิ้งจอกน้อยดู ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุคราวก่อน ลู่ชิงจิ่วก็เคยชินกับการดูข่าวท้องถิ่น โดยเฉพาะข่าวท้องถิ่นช่วงเจ็ดโมงเช้าของทุกวันซึ่งเป็นข่าวที่น่าสนใจมากที่สุด
ข่าวของช่องเล็กๆ นี้ต่างจากข่าวของสถานีใหญ่ๆ ส่วนมากจะพูดถึงเรื่องประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น ป้าหลี่แอบขโมยไข่ของบ้านป้าเฉิง บ้านเรือนที่อาศัยอยู่ชั้นบนชอบทิ้งขยะลงข้างล่างทำให้เกิดความขัดแย้งกัน คุณหลิวใช้เงินจำนวนมากไปกับการศัลยกรรม แต่ผลที่ได้คือหน้าพัง ต้องไปร้องเรียนกับสถาบันความงาม…ลู่ชิงจิ่วเพิ่มเสียง ฟังข่าวพลางทำอาหารเช้า
ของกินวันนี้คือเส้นหมี่ที่ทำเอง ตัวแป้งที่ใช้เป็นข้าวเจ้าที่ซื้อจากเพื่อนบ้าน เมื่อผัดจนหอมก็นำเข้าไปทำผงแป้งในเมือง จากนั้นก็เติมแป้งมันฝรั่งแล้วนำไปนวด นวดเป็นก้อนกลมๆ ก่อนจะทำให้แบนแล้วตัดเป็นเส้น เส้นหมี่ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ เส้นหมี่ที่ทำเองอร่อยกว่าซื้อจากข้างนอกมาก ไม่มีสารปรุงแต่ง และไม่มีทางกัดไม่ขาด ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือความหนาอาจไม่เท่ากัน แต่ตราบใดที่รสชาติอร่อย อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ
เส้นก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่หลายชาม ลู่ชิงจิ่วใส่เนื้อวัวตุ๋นที่ตั้งใจเก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ลงไปในแต่ละชามปริมาณหนึ่งช้อน โรยด้วยต้นหอมสีเขียวมรกต เส้นหมี่เนื้อแสนอร่อยก็เป็นอันเสร็จ
ขณะที่เขาถือชามออกจากห้องครัว ก็ได้ยินข่าวท้องถิ่นที่ออกอากาศในโทรทัศน์เข้าพอดี ข่าวว่าเมื่อเช้าตรู่มีอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์ที่สะพานในเมือง แม้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่สัญจรไปมา ทว่าคนขับรถได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล
อิ่นสวินที่เดินมาช่วยรับชามในมือลู่ชิงจิ่วเห็นข่าวนี้แล้วก็เอ่ยว่า “เฮ้ รถที่เกิดเหตุเป็นรถตำรวจล่ะ”
“รถตำรวจ?” ลู่ชิงจิ่วชะงัก พลันนึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน “เป็นไปได้มั้ยว่า…”
เขาและอิ่นสวินสบตากัน มองเห็นการคาดเดาไปในทิศทางเดียวกันในดวงตาของอีกฝ่าย
“ฉันจะโทรไปถาม” ลู่ชิงจิ่วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที ต่อสายไปที่เบอร์ของหูซู่
หลังจากรับสาย หูซู่ก็เอ่ยถามว่า [ชิงจิ่ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า]
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “หูซู่ รถตำรวจที่เกิดอุบัติเหตุใช่รถจากสถานีของคุณหรือเปล่า”
หูซู่ตอบ [ใช่…] เหมือนเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง [ชิงจิ่ว นายรู้อะไรใช่มั้ย] เขาจำได้ว่าตอนที่ลู่ชิงจิ่วพูดคุยกับเขาก่อนหน้านี้ได้พูดถึงอะไรแปลกๆ ที่ตามผังจื่อฉีอยู่ ตอนนั้นเขาไม่ได้จริงจัง เมื่อคุยกับผังจื่อฉีแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้เขาคิดว่าลู่ชิงจิ่วอาจเห็นอะไรบางอย่างเข้าจริงๆ
ลู่ชิงจิ่วลังเล บอกกล่าวเรื่องนี้ให้หูซู่ฟังอย่างระมัดระวัง แม้ว่าผังจื่อฉีจะนิสัยไม่ดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นตำรวจ และไม่น่าจะเคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อน “ใช่ครับ วันนั้นผมเห็นผู้หญิงชุดสีฟ้าอมเขียวตามอยู่ข้างหลังเขาตลอด”
หูซู่เอ่ยเสียงเอื่อย [ผู้หญิง?]
“ครับ ผู้หญิงกางร่มคนหนึ่ง” ลู่ชิงจิ่วพูด “ผมถามเพื่อนแล้ว เขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากๆ แต่จริงๆ คืออะไรกันแน่ ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
หูซู่ตกอยู่ในความเงียบ ราวกับกำลังครุ่นคิด
ลู่ชิงจิ่วพูด “เป็นไงบ้างครับ คุณคิดออกหรือยัง”
หูซู่ตอบ [เฮ้อ…ที่จริงฉันไม่ควรพูด ปกติเขาเป็นคนทำงานเก่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรยั่วโมโหเขา แต่ได้ยินมาว่าก่อนเขาจะมาอยู่ที่นี่ เหมือนเขาจะไปสุสานโบราณ ฉันก็ฟังไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า]
ลู่ชิงจิ่วรับฟัง ที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก การที่เขาพูดคุยเรื่องนี้กับหูซู่ถือเป็นการตักเตือนกันเท่านั้น
หลังจากวางสาย ลู่ชิงจิ่วกับอิ่นสวินก็พากันกินก๋วยเตี๋ยวต่อไป
“เจ้าผังจื่อฉีนั่นจะตายมั้ย” อิ่นสวินเอ่ยถามหลังจากซดน้ำซุปคำสุดท้าย
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ลู่ชิงจิ่วตอบอย่างช่วยไม่ได้ “นายเป็นเทพภูเขา คำถามแบบนี้ฉันควรเป็นคนถามนายมากกว่ามั้ย”
อิ่นสวินส่ายศีรษะ “ฉันไม่รู้นี่นา สิ่งนั้นน่ะร้ายกาจมาก ฉันเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง ถึงยังไงฉันก็ถูกสร้างมาจากน้ำ”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขานึกถึงที่อิ่นสวินเคยถูกกัดมือเมื่อตอนนั้น แล้วมือกลับสู่สภาพเดิม เขาถึงรู้ว่าอิ่นสวินถูกสร้างมาจากน้ำจริงๆ…
บรรดาลูกไก่ทั้งหลายเติบโตกันหมดแล้ว ทั้งลานบ้านถือเป็นอาณาเขตของพวกมัน นอกจากท่าทีเป็นมิตรกับคนที่มันคุ้นเคยแล้ว พวกมันจะก้าวร้าวและตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้บุกรุก พวกมันเคยเกือบจะทำร้ายสุนัขของเพื่อนบ้านแล้ว โชคดีที่ลู่ชิงจิ่วห้ามไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นสุนัขนั่นอาจโดนไก่บ้านเขาโจมตีจนอันตรายถึงชีวิต
หลังจากลู่ชิงจิ่วทำความสะอาดเสร็จแล้ว ตั้งท่าจะเข้าห้องครัวไปทำอาหาร อิ่นสวินกลับดึงแขนเขาไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก เขาเอ่ย “จิ่ว…จิ่วอ่า”
ลู่ชิงจิ่วมองกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่า “หือ?”
อิ่นสวิน “บนหลังนายคืออะไรน่ะ…”
ลู่ชิงจิ่วถึงกับพูดไม่ถูก “บนหลัง?” เขาเอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังของตัวเอง แต่กลับไม่เจออะไร “นายหมายความว่ายังไง”
อิ่นสวินรีบดึงลู่ชิงจิ่วไปยังห้องน้ำที่มีกระจก ให้เขามองแผ่นหลังของตนเอง
ทันทีที่เห็นลู่ชิงจิ่วก็ต้องตกตะลึง กลุ่มเงาสีดำปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา เงานี้ดูเหมือนผู้หญิงถือร่มคนนั้น ถึงแม้จะมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ขณะที่มองเงานี้ ลู่ชิงจิ่วพลันก็นึกถึงตอนที่มันเกยคางวางลงบนไหล่ของผังจื่อฉีขึ้นมาทันที ไหนจะดวงตาที่มองมาอย่างมาดร้ายคู่นั้นอีก…
“บ้าเอ๊ย” ลู่ชิงจิ่วอดสบถออกมาไม่ได้
“ทำไมไอ้นี่ถึงมาอยู่บนหลังของนายได้” อิ่นสวินก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาลองพยายามยื่นมือไปแตะเงาสีดำ แต่มือกลับทะลุผ่านเลยไป “จิ่วเอ๋อร์อ่า นายทำอะไรลงไป”
ลู่ชิงจิ่ว “…ในฝูงชนฉันก็แค่เหลือบมองเธออยู่พักหนึ่ง”
อิ่นสวินร้อง “แล้วเธอก็ไม่ลืมหน้านายอีกเลย?”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ลู่ชิงจิ่วกับผังจื่อฉีเคยเจอกันแค่สองครั้ง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงตกเป็นเป้าหมายของสิ่งนั้นได้ หรือมันจะรู้ว่าเขาคือเสาหลักของครอบครัว…ถ้าไม่มีเขา เด็กๆ ทั้งสองในบ้านคงมีชีวิตอย่างยากลำบากอีกครั้ง ไม่สามารถกินได้กระทั่งเสี่ยวหลงเปา
ไม่ ลู่ชิงจิ่วผู้อยู่ในฐานะพ่อจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น!
“จิ่วเอ๋อร์ นายคิดอะไรอยู่” อิ่นสวินเห็นสีหน้าของลู่ชิงจิ่วดูคาดเดาไม่ได้ เขาจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความลังเล
“ฉันคิดว่า…” ลู่ชิงจิ่วดึงสติตัวเองกลับมา “พวกเราไปหาผังจื่อฉีที่โรงพยาบาลกันเถอะ”
อิ่นสวิน “…ทำไม”
ลู่ชิงจิ่วลูบแผ่นหลังของตัวเอง “ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว คนต่อไปน่าจะเป็นฉัน…” เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้จะติดต่อถึงกันได้
อิ่นสวิน “…”
ใช่ว่าจะไปหาผังจื่อฉีที่โรงพยาบาลไม่ได้ เพียงแต่ลู่ชิงจิ่วต้องปรึกษาถามความคิดเห็นของปีศาจจิ้งจอกบ้านตัวเองก่อนไป
เทียบกับเพื่อนเทพภูเขาผู้ไม่ได้ความคนนี้แล้ว ไป๋เยวี่ยหูรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อไป๋เยวี่ยหูผู้สวมรองเท้าบูต ใส่หมวกถือตะกร้ากลับมาถึง แล้วเห็นสมาชิกครอบครัวสองคนนั่งอยู่ในลานบ้านพลางมองมาที่ตนเองด้วยแววตากระตือรือร้น ชายหนุ่มจึงหยุดการกระทำแล้วเอ่ยถาม “เป็นอะไร”
ลู่ชิงจิ่วลุกขึ้นยืน หมุนกายเผยแผ่นหลังของตน “เยวี่ยหู เหมือนหลังของฉันจะมีอะไรบางอย่างเพิ่มมาน่ะ…”
ไป๋เยวี่ยหูเหลือบมองแผ่นหลังลู่ชิงจิ่วก็เห็นเงาสีดำ
“ไอ้นี่มันคืออะไรกันแน่” ลู่ชิงจิ่วเล่าเรื่องผังจื่อฉีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ควบคู่ไปด้วย “มันติดต่อกันได้ด้วยเหรอ”
ไป๋เยวี่ยหูเดินมาข้างกายลู่ชิงจิ่ว ก่อนจะก้มศีรษะลงนิดๆ พลางใช้จมูกสูดดม “มันค่อนข้างยุ่งยาก”
ยุ่งยากงั้นเหรอ ลู่ชิงจิ่วได้ยินคำนี้ก็ประหม่าขึ้นมาทันที เขาเคยเห็นความสามารถของไป๋เยวี่ยหูมาแล้ว ถ้าขนาดอีกฝ่ายยังพูดว่ายุ่งยากล่ะก็ เรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เขาเอ่ย “มีวิธีไหนพอจะกำจัดมันได้บ้างมั้ย”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “จะว่ามีมันก็มี”
ลู่ชิงจิ่ว “ต้องทำยังไง”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “คนก่อนหน้าที่ถูกตามน่าจะไปแตะต้องอะไรที่ไม่ควรเข้า ให้เขาจัดการมันซะก็น่าจะไม่เป็นไร”
พูดถึงสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง ลู่ชิงจิ่วพลันนึกถึงที่หูซู่บอกว่าผังจื่อฉีเคยไปสุสาน ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับการปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้หรือไม่
“ถ้าเกิดว่าหาของสิ่งนั้นไม่เจอล่ะ” ลู่ชิงจิ่วไม่ลืมที่จะหาทางออกให้ตัวเอง
“หาไม่เจอ?” ไป๋เยวี่ยหูทวน “ถ้าหาไม่เจอก็ช่างมัน ฉันจัดการเอง ยังไงก็ไม่ยอมให้นายตายหรอกน่า” ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเบาๆ ลู่ชิงจิ่วคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาจึงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากจริงๆ
ความจริงแล้วการที่เขาประสบพบเจอกับเรื่องนี้เข้าถือเป็นเคราะห์ภัยที่ไม่คาดฝัน เพียงแค่มองดูสิ่งนั้นมากไปหน่อยก็เข้าไปพัวพันด้วยเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาที่โรงพยาบาล” ลู่ชิงจิ่วตัดสินใจ “ลองดูว่าเขาจะรู้หรือเปล่าว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร”
อิ่นสวินเอ่ย “ฉันไปกับนายดีกว่า”
ลู่ชิงจิ่วขัดขึ้น “ช่างเถอะ อย่าไปด้วยกันเลย ถ้านายโดนไปด้วยจะยิ่งลำบากกว่าเดิม”
ไป๋เยวี่ยหูนั่งอยู่ข้างๆ พวกเขา ใบหน้าไม่มีอาการวิตกกังวลใดๆ เขาพูด “ไปเถอะ ถ้าจัดการไม่ไหวก็กลับมา ฉันจะช่วยนายจัดการเอง”
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้ารับ ความรู้สึกขอบคุณลึกซึ้งต่อปีศาจจิ้งจอกผุดขึ้นในใจ แม้ไป๋เยวี่ยหูจะพูดว่ามันยากลำบาก แต่เขาก็ไม่ได้ถอนตัว ช่างเป็นปีศาจจิ้งจอกที่มีจิตใจงดงามซะจริง
เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องด่วน ลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าผังจื่อฉีจะเกิดเรื่องอีกเมื่อไร ดังนั้นเขาจึงรีบเข้าเมืองไปโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น
อิ่นสวินยืนกรานจะเดินทางไปกับลู่ชิงจิ่ว เดิมทีลู่ชิงจิ่วอยากปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มพูดว่าดีที่ตัวเขาเป็นเทพภูเขา ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ล่ะก็…
ลู่ชิงจิ่วทวน “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ล่ะ?”
อิ่นสวิน “อย่างน้อยฉันก็ช่วยนายโทรหาไป๋เยวี่ยหูได้น่า”
ลู่ชิงจิ่ว “…” ขอบคุณจริงๆ เพื่อนผู้ไร้ประโยชน์ของฉัน
พูดถึงการโทรศัพท์ ไป๋เยวี่ยหูอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานานขนาดนี้ กลับไม่เคยใช้มือถือเลย ลู่ชิงจิ่วคิดว่าถ้าเรื่องนี้จบลง ตนจะซื้อโทรศัพท์ให้ไป๋เยวี่ยหู เพื่อจบปัญหาติดต่อเขาไม่ได้หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มไม่อาจส่งเสียงจากระยะทางไกลเป็นพันลี้ ก่อนหน้านี้ตนคิดว่าไป๋เยวี่ยหูไม่ใช้โทรศัพท์เพราะไม่ชอบของเล่นประเภทนี้ของโลกมนุษย์ ตอนนี้มาคิดดูดีๆ ที่เขาไม่ใช้มือถืออาจเป็นเพราะไม่มีเงินซื้อ…
ทั้งสองคนนั่งรถกระบะคันเล็กมาถึงโรงพยาบาลในเมืองตามจุดประสงค์ หลังจากติดต่อหูซู่ที่เฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาล ก็ได้พบกับผังจื่อฉีที่เพิ่งตื่นและได้สติอยู่ในห้องผู้ป่วย
พูดตามจริง ลู่ชิงจิ่วเตรียมใจก่อนมาที่นี่แล้ว ทว่าเมื่อมองเห็นผังจื่อฉี หัวใจของเขาก็ยังเต้นรัวแรง ผังจื่อฉีนอนอยู่บนเตียง หญิงสาวคนนั้นนอนทับบนร่างกายเขาโดยมีร่มปกคลุมศีรษะทั้งสองคน ใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของเธอหันมองมา และจ้องลู่ชิงจิ่วกับอิ่นสวินที่มาเยี่ยมด้วยแววตาอึมครึม
ลู่ชิงจิ่วและอิ่นสวินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ตอนนี้ผังจื่อฉีตื่นและได้สติคืนมาแล้ว แม้เขาจะนอนอยู่บนเตียงโดยไม่สามารถขยับได้ แต่เขาสามารถพูดคุยได้
“นายมองเห็นอะไร” ผังจื่อฉีพูดด้วยความยากลำบาก “นาย…นายบอกหูซู่ว่านายเห็นอะไร”
ลู่ชิงจิ่วตอบ “ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตามหลังนายอยู่ตลอดเวลา”
“ผู้หญิงท่าทางแบบไหน” ผังจื่อฉีถามต่อ
“สวมชุดกระโปรงสีฟ้าอมเขียว ในมือถือร่ม มีงูสีเขียวกับสีแดงห้อยจากใบหู” พอมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม ลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนว่าจะพูดมากเกินไป “ดวงตาของเธอไม่มีรูม่านตา แต่นอกเหนือจากนี้แล้วเธอดูดีมาก”
ทุกคน “…” ลู่ชิงจิ่วนายอยากมีชีวิตรอดมากจริงๆ สินะ
ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นแล้วเสริมว่า “ผมไม่ได้พูดถึงคุณในทางไม่ดีนะ”
หญิงสาว “…”
ผังจื่อฉีฟังคำอธิบายของลู่ชิงจิ่วแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ เขาเอ่ยว่า “ฉันรู้แล้ว ขอบคุณ”
ลู่ชิงจิ่วพูด “เอ่อ เพื่อนฉันบอกว่าถ้าไม่จัดการกับมัน ไม่นานนายจะถูกเธอทำร้ายจนถึงชีวิต ถ้านายไม่รีบล่ะก็ นายคงไม่มีชีวิตรอดจริงๆ”
ผังจื่อฉีพึมพำ “ฉันคงรีบจัดการไม่ได้หรอก”
ลู่ชิงจิ่วตกใจ “ทำไมนายพูดอย่างนั้น”
ผังจื่อฉีถาม “นายรู้จักสนมเทพสายฝนมั้ย”
“สนมเทพสายฝน?” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยทวน “นั่นไม่ใช่ปีศาจในคัมภีร์ซานไห่จิงเหรอ” เขาพลันนึกถึงคำอธิบายเกี่ยวกับสนมเทพสายฝนในคัมภีร์ซานไห่จิง ลำตัวสีดำ ฝ่ามือทั้งสองข้างมีงูอยู่ในนั้น หูข้างซ้ายมีงูสีเขียว ส่วนหูข้างขวามีงูสีแดง ไม่ต่างไปจากหญิงสาวตรงหน้าที่นอนอยู่บนกายผังจื่อฉี
เหตุที่เรียกว่าสนมเทพสายฝนก็เพราะในตำนานกล่าวว่าเธอคือนางสนมของผิงอี้เทพสายฝน แต่สิ่งที่แตกต่างจากผิงอี้ก็คือเธอดูแลพลังงานของดวงอาทิตย์
“ใช่” ผังจื่อฉีพูด “เมื่อสามเดือนก่อนมีการค้นพบสุสานแห่งหนึ่งที่ซานตง”
ลู่ชิงจิ่วพูด “ซานตง? พวกนายเจอทังกู่แล้วงั้นสิ”
ผังจื่อฉียิ้มขื่น “อาจจะ”
ในตำนานทังกู่คือสถานที่สำหรับพระอาทิตย์ขึ้น ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่ผู้สักการะซีเหอให้สำหรับบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ในโบราณกาล ซีเหอเป็นเทพดวงอาทิตย์ ตำนานเล่าว่าเธอให้กำเนิดดวงอาทิตย์ถึงสิบดวง
เรื่องนี้ยิ่งปะติดปะต่อก็ยิ่งเกี่ยวข้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ลู่ชิงจิ่วหาเก้าอี้มานั่งข้างผังจื่อฉี “นายบอกมาเร็วๆ เถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“แค่สุสานนั่นเปิดออกก็เกิดเรื่องทันที” ผังจื่อฉีเอ่ย “มีคนตายสามสี่คน จากนั้นฝนก็เริ่มตกหนัก เป็นอย่างนั้นอยู่หนึ่งสัปดาห์ เบื้องบนพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเลยส่งพวกเราไปที่นั่น”
ลู่ชิงจิ่วไม่ได้พูดตอบ หากแต่กำลังฟังอย่างตั้งใจ
“ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นแค่สุสานโบราณที่มีประวัติยาวนาน แต่หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้วพบว่าอายุของสุสานไม่ถูกต้อง แถมมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ” ผังจื่อฉีเล่า “หลังจากพวกเราตรวจสอบ ก็เจอภาพจิตรกรรมฝาผนัง ของใช้สำหรับงานศพบางส่วน แล้วก็โลงศพขนาดมหึมาโลงหนึ่งอยู่ในสุสาน”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “พวกนายคงไม่ได้เปิดโลงศพหรอกใช่มั้ย” เขามีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก
ผังจื่อฉีพูด “ตอนนั้นฉันไม่อยากเปิด แต่หัวหน้าฉันบอกว่าไหนๆ ก็มาแล้ว…”
ลู่ชิงจิ่ว “…” พี่ชาย นายคิดว่าไปเที่ยวเล่นกันเหรอ ถึงพูดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาต่อให้ผังจื่อฉีไม่เล่า ลู่ชิงจิ่วก็สามารถเดาได้ ผังจื่อฉีเปิดฝาโลงศพ พบร่างไร้วิญญาณที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีอยู่ภายใน ทันทีที่ฝาโลงเปิดออก กลไกก็เริ่มทำงาน ศพนั้นถูกพัดพาจมไปกับกระแสน้ำ แถมยังเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ทั่วทั้งสุสาน โชคดีที่พวกเขาหนีออกมาได้ทันเวลา หลังออกมาจากสุสาน ผังจื่อฉีก็คิดว่าเรื่องราวจะจบลงเพียงเท่านี้ ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ผังจื่อฉีเล่าเรื่องราวด้วยสีหน้าอึมครึม ขณะที่อิ่นสวินและลู่ชิงจิ่วที่อยู่ข้างๆ นั้นฟังอย่างเพลิดเพลิน
“ว้าว พวกนายไปสุสานบ่อยใช่มั้ย” อิ่นสวินเอ่ย “น่าตื่นเต้นจริงๆ”
ผังจื่อฉี “…”
ลู่ชิงจิ่วว่า “อาการบาดเจ็บเพราะคำสาปของนายถือเป็นการบาดเจ็บจากการทำงานหรือเปล่า เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าไหร่”
ผังจื่อฉี “…”
หูซู่เอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “พวกนายนอกเรื่องหรือเปล่า”
ลู่ชิงจิ่วกระแอมกระไอ นึกได้ว่าตนเองเหมือนจะผิดประเด็น จึงรีบดึงกลับเข้าเรื่อง “นายได้สัมผัสอะไรแปลกๆ บ้างมั้ย ถ้านายยังอยากมีชีวิตอยู่ ต้องหาสิ่งนั้นให้เจอ”
ผังจื่อฉีพูด “ที่จริงฉันสัมผัสของแปลกๆ มาไม่น้อย แต่ถ้าจะให้พูดถึงของที่แปลกที่สุด…” เขาถอนหายใจ “ก็คงเป็นศพของสนมเทพสายฝน”
ลู่ชิงจิ่วร้อง “นายสัมผัสไปแล้ว?”
ผังจื่อฉีพยักหน้า “พอน้ำท่วมโลงศพ พวกเราเลยคิดจะเอาศพออกมา แต่ว่าศพหนักมากจนพวกเรายกออกมาไม่ได้”
ลู่ชิงจิ่วถาม “แสดงว่าตอนนี้ศพหายไปแล้ว?”
ผังจื่อฉีเอ่ยอย่างอับจนหนทาง “ต่อให้ศพจะยังอยู่ที่นั่น แต่จะให้ฉันทำลายชิ้นส่วนงานวิจัยอันล้ำค่ามันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ถ้าให้ฉันทำลายศพนั่น นักวิจัยคงได้ฉีกฉันทั้งเป็น”
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเขาพูดถูก
“งั้นก็ได้แต่รอความตาย?” อิ่นสวินเอ่ยแทรกจากทางด้านข้าง
“เฮ้อ ให้ถึงตายก็เกินไป” ผังจื่อฉีว่า “ฉันส่งข่าวไปที่แผนกแล้ว พวกเขาจะส่งคนมาทันที ฉันก็แค่ต้องทนอีกสักสองสามวัน…” คำพูดของเขาชะงักลง หน้าต่างที่เดิมทีอยู่ในสภาพดีกลับส่งเสียงดัง กระจกหล่นกระทบพื้นราวกับโดนอะไรบางอย่างทุบ
หูซู่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างทันที ทว่ากลับไม่พบอะไร มีเพียงลู่ชิงจิ่วคนเดียวที่สังเกตเห็น ขณะที่หน้าต่างแตกร้าว หญิงสาวที่นอนทับอยู่บนร่างผังจื่อฉีก็เอื้อมมือออกมาโอบลำคอของชายหนุ่ม…คล้ายกับว่าเธอต้องการหลอมรวมร่างกับเขา
“ฝนตกแล้ว” หูซู่ตัวสั่นเพราะสายลมที่ลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง
เดิมทีอุณหภูมิอยู่ประมาณสามสิบหกถึงสามสิบเจ็ดองศา แต่ภายในห้องพักผู้ป่วยกลับเย็นยะเยือกจนน่าตกใจ ไม่รู้ว่าฝนเริ่มตกที่นอกหน้าต่างตั้งแต่เมื่อไหร่ เม็ดฝนสาดเข้ามาในห้องตามสายลมที่พัดพา
พยาบาลได้ยินเสียงจึงเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อย เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นกระจกแตกก่อนจะเอ่ยถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น หูซู่ได้แต่ตอบว่าลมพัดหน้าต่างจนแตก
แม้นางพยาบาลจะไม่เชื่อ แต่เธอเห็นว่าหูซู่เป็นตำรวจจึงไม่คิดจะสืบสาวให้มากความ เธอหมุนตัวกลับเตรียมจัดห้องอีกห้องให้ผังจื่อฉี
ผังจื่อฉียิ้มขื่น “ไม่รู้ว่าฉันจะต้านทานได้จนคนของเบื้องบนมาถึงหรือเปล่า”
ลู่ชิงจิ่วพูด “เรื่องนี้ร้ายแรงมากนะ นายไม่ใช่คนเดียวที่สัมผัสศพหรอกใช่มั้ย”
ผังจื่อฉีผงกศีรษะ “แต่พวกเขาเก่งกว่าฉัน เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญหาก่อนใครเพื่อนก็คือฉันนี่ไงล่ะ”
ลู่ชิงจิ่ว “งั้น…นายรู้มั้ยว่าของสิ่งนี้มันแพร่ติดต่อกันได้”
ผังจื่อฉี “ติดต่อ?”
ลู่ชิงจิ่วหมุนกาย ให้ผังจื่อฉีมองข้างหลังเขา “นายมองเห็นหรือเปล่า”
ผังจื่อฉีขมวดคิ้วจ้องมองอยู่สักพักแล้วส่ายศีรษะ “มองไม่เห็น นายพูดเรื่องอะไร”
ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เล่าเรื่องราวว่าหลังจากที่เขากับผู้หญิงคนนั้นสบตากันก็มีเงาสีดำตามอยู่ข้างหลังให้ผังจื่อฉีฟัง จริงสิ ถ้าผังจื่อฉีสามารถมองเห็นเงาสีดำได้ เขาก็ต้องมองเห็นผู้หญิงคนนั้น หลังจากเกิดเรื่องก็ต้องรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“สามารถแพร่ติดต่อกันได้?” ผังจื่อฉีเริ่มวิตก “ถ้าอย่างนั้นหลังจากฉันตายก็จะถึงตานาย?”
“ก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น” ลู่ชิงจิ่วพูด “แล้วพอฉันตาย ก็จะย้ายไปอยู่บนร่างของคนอื่น ดังนั้นถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข มันก็จะไม่สิ้นสุด นายเข้าใจมั้ย”
ใบหน้าของผังจื่อฉีเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ถ้าตัวเขาต้องตายก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะเขาแตะต้องสิ่งที่ไม่ควรเข้า แต่หากการตายของเขาไม่ใช่จุดสิ้นสุด ทว่าเป็นจุดเริ่มต้น เห็นทีเรื่องนี้คงไม่ง่ายเสียแล้ว
ลู่ชิงจิ่วและคนอื่นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย แต่กลับต้องเกิดเรื่องก็เพราะเขา ผังจื่อฉีไม่มีทางยอมรับได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายกับได้ตัดสินใจอะไรสักอย่าง แววตาที่มองมาทางลู่ชิงจิ่วมีประกายบางอย่าง เขาพูด “ฉันรู้ ฉันต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
ลู่ชิงจิ่วพูด “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น จริงสิ…” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา “นายอยากรู้มั้ยว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน”
ผังจื่อฉี “…เธอยังอยู่ข้างๆ ฉันมั้ย”
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ “เธอกำลังนอนทับอยู่บนตัวนาย แค่นายหันนิดเดียวก็จูบเธอได้เลย นายอยากทักทายเธอสักหน่อยมั้ย”
ผังจื่อฉีสีหน้าบิดเบี้ยวทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาอดกลั้นอยู่นานก่อนจะกัดฟันพ่นออกมาคำหนึ่ง “บ้าชิบ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 21 ก.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.