X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 67-68 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 67 บาดแผลและหาง

 

เพราะไป๋เยวี่ยหูกำลังรออยู่ ลู่ชิงจิ่วจึงไม่กล้าทำอาหารที่ยุ่งยากเกินไป และเลือกวิธีทำอาหารที่ง่ายที่สุด เขาใช้หม้ออบแรงดันเคี่ยวเนื้อวัวตุ๋นหม้อใหญ่ เมื่อทำเสร็จแล้วก็นำเข้าไปให้ในห้องนอน

กลิ่นเนื้อวัวอบอวลไปทั่วบ้าน ไป๋เยวี่ยหูที่เพิ่งสลบไปเมื่อครู่ลืมตาขึ้น หลังตื่นขึ้นมาชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบและกินอาหารทั้งหมดที่ลู่ชิงจิ่วเตรียมไว้อย่างรวดเร็ว

“จะเพิ่มอีกมั้ย” ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเขาคงไม่อิ่มแน่นอน

ไป๋เยวี่ยหูส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าเขาอยากจะนอนต่ออีกสักพัก พรุ่งนี้เช้าค่อยเติมอาหาร

ลู่ชิงจิ่วมองรอยเลือดบนร่างกายของเขาแล้วรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายนอนเถอะ ฉันจะใช้ผ้าขนหนูร้อนๆทำความสะอาดร่างกายให้”

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า ปิดเปลือกตาลงและหลับไปอีกครั้ง เขายังสวมชุดคลุมสีดำ บนเสื้อคลุมมีเลือดที่เกาะตัวจนแข็ง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายรุนแรง

ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมสีดำของไป๋เยวี่ยหูออกมาอย่างเบามือ เห็นบาดแผลจากการต่อสู้บนร่างกายของไป๋เยวี่ยหู เมื่อเทียบกับบาดแผลของครั้งที่แล้ว คราวนี้ดูจะรุนแรงกว่าเดิม บาดแผลแทบจะเต็มทั่วร่างกายของชายหนุ่ม โชคดีที่เหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงและเลือดก็หยุดไหลแล้ว

ลู่ชิงจิ่วหยิบน้ำร้อนและผ้าขนหนูมาช่วยไป๋เยวี่ยหูทำความสะอาดบาดแผล พร้อมพันแผลด้วยผ้าก๊อซ แต่ลู่ชิงจิ่วไม่กล้าใส่ยาบนร่างกายของไป๋เยวี่ยหูมากเกินไป เพราะกลัวว่ามันจะทำลายความสามารถในการรักษาตัวเองของเขา

เมื่อเห็นบาดแผลกระจัดกระจายบนร่างกายอันสวยงามของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกปวดใจเป็นพิเศษ พยายามเคลื่อนไหวมือให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยกลัวว่าจะทำให้ไป๋เยวี่ยหูตื่น เมื่อจัดการบาดแผลเรียบร้อย ลู่ชิงจิ่วก็ให้ไป๋เยวี่ยหูนอนบนเตียงนุ่มๆ ก่อนจะห่มผ้าให้เขาและปิดไฟ แล้วถึงได้ออกมา

“พี่ลู่ คุณไป๋เป็นอย่างไรบ้าง” เจียงปู้ฮ่วนที่ยืนอยู่ตรงประตูเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นบาดแผลของไป๋เยวี่ยหู แต่เขาก็สามารถเดาได้ว่าไป๋เยวี่ยหูต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน อย่างไรเสียนั่นก็คือสิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารสองตัวกำลังต่อสู้กัน กรงเล็บฟาดลงหนหนึ่งก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองกำลังหลับอยู่ แต่หลังจากทบทวนดูแล้ว ก็ชัดเจนว่าเขาหมดสติไป

“หลับแล้ว” ลู่ชิงจิ่วพูด “มีบาดแผลตามร่างกาย แต่น่าจะไม่เป็นอะไรมาก คุณเห็นมั้ยว่าสุดท้ายใครชนะ”

“ไม่เห็นครับ” เจียงปู้ฮ่วนพูดตามความจริง “ผมดูได้ครึ่งหนึ่งก็สลบไป”

ลู่ชิงจิ่วทวน “สลบไป?”

“อืม” เจียงปู้ฮ่วนตอบ “การต่อสู้ของพวกเขายิ่งใหญ่เกินไป ผมทนรับมันไม่ไหว” เขาเพิ่งทำความสะอาดเลือดบนใบหน้าของตัวเองจนสะอาด

“โอ้ คุณไปพักผ่อนเถอะ” ลู่ชิงจิ่วพูด “ผมเฝ้าเขาเอง”

เจียงปู้ฮ่วนพยักหน้าแล้วกลับไปนอน

อิ่นสวินจำต้องกลับบ้าน เจียงปู้ฮ่วนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ตัดสินใจว่าจะเฝ้าไป๋เยวี่ยหูตลอดทั้งคืน เผื่อไป๋เยวี่ยหูตื่นขึ้นมากลางดึกอยากกินอะไรแล้วไม่มีใครทำให้ ไป๋เยวี่ยหูยังคงหลับอยู่ แต่ท่าทางขมวดคิ้วน้อยๆ นั่นทำให้ดูออกว่าเขาไม่ได้หลับสนิทนัก

ลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ด้านข้าง โดยเปิดไฟดวงเล็กๆ พร้อมอ่านหนังสือไปเงียบๆ แม้ไป๋เยวี่ยหูจะเป็นผู้เช่ามาเกือบปี แต่ห้องก็ยังว่างเปล่า นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่สวมใส่เป็นประจำแล้ว ก็มีเพียงของใช้อื่นๆ อย่างเรียบง่ายที่สุดเท่านั้น นอกจากนี้ยังมองไม่เห็นร่องรอยการใช้ชีวิตอื่นใด หากว่าไม่ได้เจอหน้า ก็ดูเหมือนจะมีแค่เวลาที่หมุนแปรเปลี่ยนไป

หนังสือในมือของลู่ชิงจิ่วมีชื่อว่า ‘จื่อปู้อวี่’* ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานพื้นบ้าน หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับด้านที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ของโลกใบนี้ เป้าหมายการอ่านของเขาก็กลายเป็นหนังสือโบราณเกี่ยวกับวิญญาณ เทพ และอสูร ยิ่งอ่านมากขึ้นเท่าไหร่ ความสนใจต่อโลกอีกใบหนึ่งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เวลาดึกสงัด หลังจากพระจันทร์ขึ้น สายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่าง ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่เขาระงับความง่วงด้วยการจิบชาตรงหน้าที่ใกล้จะเย็นเต็มแก่ ไป๋เยวี่ยหูส่งเสียงครางเบาๆ มาจากข้างหลัง ลู่ชิงจิ่วได้ยินก็คิดว่าไป๋เยวี่ยหูตื่นแล้ว จึงรีบหันไปดู แต่กลับเห็นไป๋เยวี่ยหูยังคงหลับตานอนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เสียงร้องเบาๆ นี้ดูเหมือนจะเป็นเพราะเขาพลิกตัวไปโดนบาดแผล ลู่ชิงจิ่วเห็นดังนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ค่อยๆ เอื้อมมือออกไปช่วยไป๋เยวี่ยหูปรับท่านอน คิ้วที่ขมวดมุ่นของไป๋เยวี่ยหูถึงได้คลายลง

พรุ่งนี้เช้าจะทำอะไรให้เขากินดีล่ะ มีบาดแผลมากมาย ต้องเสียเลือดไปมากแน่ๆ ลู่ชิงจิ่วคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะต้มไข่อีกหลายๆ ฟองให้ไป๋เยวี่ยหูเป็นการบำรุงสุขภาพ

ลู่ชิงจิ่วนั่งลงข้างเตียง และอยู่อย่างนั้นกระทั่งแสงอรุณปรากฏที่ขอบฟ้า ครึ่งหลังของคืนนั้นเขาขับไล่ความเหนื่อยล้าด้วยการเติมชาเข้มข้นอีกหลายแก้ว ทั้งดื่มและรออยู่อย่างนี้จนพระอาทิตย์ขึ้น ผ่านจุดที่ง่วงมากมาจนรู้สึกไม่ง่วงแล้ว

ลู่ชิงจิ่วเดาว่าไป๋เยวี่ยหูใกล้ตื่นแล้ว จึงเข้าห้องครัวไปต้มน้ำเตรียมตัวทำอาหาร เขารู้ว่าไป๋เยวี่ยหูชอบกินพวกเนื้อจึงตุ๋นซุปไก่หนึ่งหม้อ แม้ว่าจะค่อนข้างแปลกที่ดื่มซุปไก่ตอนเช้า แต่ไป๋เยวี่ยหูก็น่าจะชอบ

ปกติไป๋เยวี่ยหูจะนอนหลับไม่ลึก แต่คราวนี้เขาหลับสนิทมาก เพราะชายหนุ่มรู้ว่าลู่ชิงจิ่วอยู่เคียงข้าง นั่งห่างจากเขาอยู่ไม่ไกล

สิ่งนี้ทำให้ไป๋เยวี่ยหูลดการระแวดระวังตัว ปล่อยให้ร่างกายจมลงสู่ที่นอนนุ่มๆ เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆของชา กลิ่นหอมที่อบอวลในห้องทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

เรื่องต่อจากนั้นไป๋เยวี่ยหูจำไม่ค่อยได้ เพราะเขาผล็อยหลับไปจริงๆ

ลู่ชิงจิ่วทำอาหารเช้าเสร็จก็กลับไปห้องนอนของไป๋เยวี่ยหูอีกครั้ง ไป๋เยวี่ยหูตื่นแล้ว เขานั่งหลับตาอยู่บนเตียง ลู่ชิงจิ่วรีบเอ่ย “เยวี่ยหู หิวมั้ย ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้นาย”

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า

ลู่ชิงจิ่วรีบนำอาหารที่ทำเสร็จแล้วจากในครัวมาเสิร์ฟ มันคือไก่ตุ๋นหนึ่งหม้อใหญ่และบะหมี่ซุปไก่ชามใหญ่หนึ่งชาม อาหารทั้งหมดรสชาติเจือจาง เหมาะสำหรับไป๋เยวี่ยหูที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย

ไป๋เยวี่ยหูตักอาหารขึ้นมาแต่ยังไม่ได้กิน เขาถามว่า “เจียงปู้ฮ่วนล่ะ”

ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเขากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเจียงปู้ฮ่วน “เขาได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ดูเหมือนไม่มีอะไรร้ายแรง ตอนนี้กำลังหลับอยู่ นายอยากให้ฉันปลุกเขามั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้ว “ทำไมเขายังไม่ไปอีก”

ลู่ชิงจิ่วแทบจะสำลักกับคำพูดนี้ ชายหนุ่มทำหน้าปั้นยากพลางถามว่า “เขาไปได้แล้วเหรอ”

“แน่นอนว่าไปได้แล้วสิ ไม่งั้นฉันจะเปลืองวิทยายุทธ์ไปเพื่ออะไรล่ะ” แค่คิดว่าเจียงปู้ฮ่วนต้องกินข้าวเช้าที่บ้าน ไป๋เยวี่ยหูก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว “ให้เขาไปซะ เร็วๆ เข้าล่ะ”

ลู่ชิงจิ่วยิ้มก่อนตอบตกลง

พูดจบไป๋เยวี่ยหูถึงได้ค่อยๆ เริ่มกินอาหารตรงหน้า

ลู่ชิงจิ่วมองไป๋เยวี่ยหูกินบะหมี่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน อิ่นสวินเข้ามาหา เขาได้กลิ่นซุปไก่จึงเดินมาถึงประตูห้องนอนของไป๋เยวี่ยหูแต่ไม่กล้าเข้า ได้แต่ชะโงกมองเข้าไปข้างใน มองเห็นแววตาดั่งคุณพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มของลู่ชิงจิ่ว

อิ่นสวิน “…” เอาล่ะ ครอบครัวมีลูกชายเพิ่มมาอีกคน ตอบสนองนโยบายลูกคนที่สองของประเทศพอดี

หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ไป๋เยวี่ยหูก็กลับไปนอนต่อ ลู่ชิงจิ่วที่เก็บกวาดเสร็จแล้วก็รู้สึกง่วงเช่นกัน พอออกจากประตูห้องไปก็เห็นอิ่นสวินกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่

“นายมองอะไรอยู่” ลู่ชิงจิ่วเอื้อมมือไปตบศีรษะเขา

“ฉันไม่ได้ดูความสัมพันธ์พ่อลูกอันลึกซึ้งของพวกนาย…อ๊ะ ดูมิตรภาพอันยาวนานของพวกนายหรอกน่า” อิ่นสวินว่า “นายเฝ้าอยู่ทั้งคืนเลยเหรอ”

ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “อืม กินข้าวเช้ามั้ย ฉันจะทำข้าวต้มซุปไก่”

อิ่นสวินตอบ “กินๆ กินเสร็จนายก็ไปนอนสักพักเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วเย้า “นายจะมาเฝ้า?”

อิ่นสวินเกาศีรษะ “เฝ้าก็ได้ แต่นายต้องบอกกับไป๋เยวี่ยหูก่อน อย่าให้เขาลงมือกับเนื้ออันบอบบางของฉัน…” ถ้าโดนกินลงไปแล้ว เขาคาดว่าคงไม่มีโอกาสได้เกิดอีก

ลู่ชิงจิ่วทำท่าอับจนหนทาง ได้แต่ตอบรับว่าตกลง

ลู่ชิงจิ่วไปหยิบผักดองมาบางส่วนแล้วผสมเข้ากับน้ำมันงา จากนั้นนำผักดองมากินกับข้าวต้มไก่ร้อนๆกับอิ่นสวินสองคน เพิ่งจะกินเสร็จ เจียงปู้ฮ่วนก็ตื่นขึ้นมาพอดี เมื่อคืนเขาคงจะนอนไม่ค่อยหลับ ใต้ตาถึงได้เป็นวงกลมคล้ำ

“อรุณสวัสดิ์” เขาทักทายลู่ชิงจิ่ว

“อรุณสวัสดิ์” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “มากินอาหารเช้าด้วยกันสิ”

เจียงปู้ฮ่วนพยักหน้าด้วยความดีใจ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขาที่นี่คืออาหารสามมื้อต่อวัน ข้าวสวยนุ่มเพราะซุปไก่ โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักดองก็สดอร่อย ใส่น้ำมันงาและพริกลงไป เมื่อเคี้ยวในปากจะช่วยลดความเลี่ยนของซุปไก่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เจียงปู้ฮ่วนกินอย่างมีความสุข ได้ยินลู่ชิงจิ่วพูดขึ้นว่า “ไป๋เยวี่ยหูบอกว่าสิ่งที่ต้องการฆ่าคุณได้ถูกจัดการไปแล้ว คุณสามารถออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ได้แล้วล่ะ”

“ถูกจัดการแล้ว?” เจียงปู้ฮ่วนได้ยินคำเหล่านี้ก็รู้สึกใจหายอย่างไม่คาดฝัน

“อืม” ลู่ชิงจิ่วตอบ “เขาว่าอย่างนั้น น่าจะไม่เป็นไรแล้ว”

เจียงปู้ฮ่วนตอบ “งั้น…งั้นก็ดีล่ะ”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ยว่า “คุณซื้อตั๋วรถไฟของช่วงบ่ายก็ได้นะ ผมนอนสักพัก ตื่นแล้วจะไปส่งคุณในเมือง” เขาคิดว่าเจียงปู้ฮ่วนน่าจะอยากกลับไปจะแย่แล้ว เพราะหมู่บ้านสุ่ยฝู่ที่ทั้งห่างไกลและแสนล้าหลังน่ะเหมาะสำหรับคนที่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่

“โอเค” ในเมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย เจียงปู้ฮ่วนก็ไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขากินข้าวซุปไก่ตรงหน้าอย่างไม่ค่อยรู้รส แล้วถามเสียงแผ่วว่า “ถ้าอย่างนั้น…วันหลังผมกลับมาที่นี่ได้มั้ย”

ลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าประหลาดใจ

“ผมหมายความว่าหลังจากนี้ช่วงวันหยุดจะมาเที่ยวเล่น” เจียงปู้ฮ่วนอธิบายอย่างรวดเร็ว “จะจ่ายค่าที่พัก แล้วก็จะไม่รบกวนพวกนายมากเกินไป…”

“ได้สิ” ลู่ชิงจิ่วหัวเราะขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเจียงปู้ฮ่วนจะชอบหมู่บ้านสุ่ยฝู่จริงๆ “ยินดีต้อนรับ” แต่คนดังมักจะยุ่งอยู่เสมอ เกรงว่าเจียงปู้ฮ่วนจะไม่มีเวลามากพอที่จะใช้วันหยุดมาหมู่บ้านสุ่ยฝู่หรอก

“เยี่ยมไปเลย” เจียงปู้ฮ่วนพูด “พวกคุณช่วยผมแก้ไขปัญหามากมายจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี”

“ไม่จำเป็นหรอก” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณเองด้วย” ถ้าคำพูดของไป๋เยวี่ยหูเป็นความจริง อย่างนั้นเจียงปู้ฮ่วนก็เป็นเพียงคนน่าสงสารคนหนึ่งที่ถูกดึงเข้ามาพัวพันเท่านั้น เป้าหมายสูงสุดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือหมู่บ้านสุ่ยฝู่และไป๋เยวี่ยหู เขาต้องการใช้การตายของเจียงปู้ฮ่วนทำให้ไป๋เยวี่ยหูแปดเปื้อน เพียงแต่ก็ไม่รู้ว่ามลทินประเภทนี้หมายถึงอะไร…

เจียงปู้ฮ่วนดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ เมื่อเห็นว่าลู่ชิงจิ่วไม่คิดจะอธิบาย จึงคิดว่าไม่ควรถามต่อ

หลังจากอดนอนมาตลอดทั้งคืน ลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกง่วงเล็กน้อย กินข้าวเสร็จจึงไปนอนพักครู่หนึ่ง นอนจนถึงช่วงบ่ายถึงค่อยลุกจากเตียง จากนั้นเขาก็ไปตรวจสอบอาการของไป๋เยวี่ยหู…ไม่สิ ไปยืนยันว่าอิ่นสวินยังมีชีวิตอยู่

“วู้ววว ฉันกลัวชะมัด” อยู่ในห้องกับไป๋เยวี่ยหูตามลำพัง อิ่นสวินที่ประหม่าจนแทะมือไปครึ่งหนึ่งเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นฉันไปส่งเจียงปู้ฮ่วนละกัน นายอยู่เฝ้าเขาดีมั้ย”

ลู่ชิงจิ่ว “เขาตื่นขึ้นมาบ้างมั้ย”

อิ่นสวิน “ตื่นแล้ว เขาตื่นมามองฉัน แล้วก็ถามหาลู่ชิงจิ่ว ฉันบอกว่านายกำลังนอนอยู่ เขาบอกให้ฉันอยู่ห่างๆ ไม่อย่างนั้นนอนละเมอมากินฉันจะไม่รับผิดชอบ”

ลู่ชิงจิ่ว “…” ทำไมเขาถึงคิดว่าไป๋เยวี่ยหูกำลังรังเกียจอิ่นสวิน

อิ่นสวินพูดเศร้าๆ “ฉันเป็นแค่เทพภูเขาที่น่าสงสาร อ่อนแอ แถมยังช่วยเหลือใครก็ไม่ได้ ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้”

สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ต้องยอมรับข้อเสนอของอิ่นสวินอย่างไม่มีทางเลือก ให้เขาขับรถกระบะคันเล็กไปส่งเจียงปู้ฮ่วน มือของอิ่นสวินถูกกัดแทะไปกว่าครึ่งเพราะความประหม่า ยิ่งกัดลงไปอีกแบบนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อไรถึงจะงอกออกมา กินมือตัวเองช่างเป็นคำคุณศัพท์เปรียบเปรยที่น่ารักน่าชังเสียจริง แต่ลูกชายที่โง่เขลาของเขาดันใช้ปากกินจริงๆ

ดังนั้นอิ่นสวินจึงรับหน้าที่ไปส่งเจียงปู้ฮ่วนอย่างมีความสุข โดยเปลี่ยนให้ลู่ชิงจิ่วอยู่เฝ้าไป๋เยวี่ยหูที่กำลังหลับใหลอยู่ที่บ้าน

สัตว์อื่นๆ ค่อนข้างกลัวเกรงไป๋เยวี่ยหู แต่ที่แปลกก็คือตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วแทบไม่มีความรู้สึกกลัวเกิดขึ้นในใจเลย ในสายตาเขาไป๋เยวี่ยหูเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกสุดแสนธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากลัว

นอนหลับถึงประมาณบ่ายสามหรือสี่โมงเย็น ในที่สุดไป๋เยวี่ยหูก็ตื่น ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นก็เห็นลู่ชิงจิ่วกำลังเอนกายพิงหน้าต่างอ่านหนังสือ แสงแดดอันอบอุ่นส่องลงที่แก้มของชายหนุ่ม ทำให้ผิวและเส้นผมสีดำเคลือบด้วยสีทองที่มัวๆ อยู่หนึ่งชั้น เส้นแสงทำให้ลู่ชิงจิ่วดูพร่าเลือน ราวกับว่าเขากำลังจะหายไปพร้อมกับแสงนั้น

“ลู่ชิงจิ่ว” ไป๋เยวี่ยหูเรียกชื่อเขาราวกับร่ายมนตร์เรียกให้เขากลับมา

ลู่ชิงจิ่วขยับร่างกาย เงยหน้าขึ้นมองไป๋เยวี่ยหู เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนโยนตามปกติก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม “นายตื่นแล้ว”

“อืม” ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วเดินมาถึงหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดูตัวของไป๋เยวี่ยหูที่อยู่ตรงข้ามกับแสง บริเวณหน้าอกพองฟูขึ้นมาราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะไหลออกมาจากมัน เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ กลัวว่าจะเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึก

“หิวมั้ย” มีเรื่องที่ลู่ชิงจิ่วสามารถทำให้ไป๋เยวี่ยหูได้ไม่มากนัก ดีที่หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูต้องการมากที่สุด

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า การต่อสู้เมื่อวานกินพละกำลังของเขามากเกินไป จึงต้องใช้เวลานานในการเติมเต็มและฟื้นฟู

“ฉันจะไปทำให้” ลู่ชิงจิ่วพูด “อยากกินอะไร”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อะไรก็ได้”

ลู่ชิงจิ่วพึมพำ “งั้นทำขาหมูให้นายสักสองสามชิ้น แล้วก็ข้าวผัด”

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “ก็ได้”

ลู่ชิงจิ่วหมุนตัวไปที่ห้องครัว ของพวกนี้เป็นของที่พร้อมทานทั้งหมด เขาเตรียมมันไว้ก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าไป๋เยวี่ยหูตื่นมาจะไม่มีอะไรกิน หลังจากที่เขาทำด้วยความว่องไว ก็ตรงกลับมาที่ห้องนอนของไป๋เยวี่ยหู แต่กลับพบว่าในห้องนอนนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของไป๋เยวี่ยหู

“เยวี่ยหู?” ลู่ชิงจิ่วร้องอย่างร้อนรน

“ฉันอยู่นี่” เสียงของไป๋เยวี่ยหูดังออกมาจากลานบ้าน

ลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปที่ลานบ้าน เห็นไป๋เยวี่ยหูนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกอีกครั้ง เขาเอ่ย “อยากอาบแดด”

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายิ้มแล้วเดินไปข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะวางอาหารลงบนโต๊ะหิน “กินเถอะ”

ไป๋เยวี่ยหูยกมือขึ้น เริ่มกินช้าๆ

แสงแดดในฤดูใบไม้ผลินั้นดีที่สุด ลมเย็นพัดไม่รู้ว่าพากลีบดอกท้อกระจัดกระจายมาจากไหน บ้างก็ตกลงบนดินโคลนในสวน บ้างก็ตกลงบนกลุ่มผมสีดำของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วพลันลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหลังของไป๋เยวี่ยหู ก้มศีรษะลง เอาผมของไป๋เยวี่ยหูรวบไว้ด้านหลังแล้วมัดเข้าด้วยกัน

“พวกเขาจะมาอีกมั้ย” ลู่ชิงจิ่วถาม

“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ที่ใดมีแสงที่นั่นย่อมมีเงา ตราบใดที่แสงยังอยู่ เงาก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป”

ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พวกนายทำมาหลายชั่วอายุคน?”

ไป๋เยวี่ยหู “ใช่”

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจเบาๆ

ไป๋เยวี่ยหูพูดขึ้นว่า “จริงสิ ฉันมีอะไรอยากให้นายดู”

ลู่ชิงจิ่ว “อะไร”

ตอนแรกเขาคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เห็นไป๋เยวี่ยหูยืนขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปที่ก้นตัวเองด้วยสีหน้าจริงจังให้ลู่ชิงจิ่วดู ลู่ชิงจิ่วยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ก่อนจะเห็นหางที่มีขนยาวสีขาวเก้าหางโผล่ออกมาจากตำแหน่งหางของไป๋เยวี่ยหู และมีเสียงของไป๋เยวี่ยหูเอ่ยว่า “นายดูสิ มันงอกออกมาแล้ว”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “ฉันบอกแล้วว่ามันงอกในฤดูใบไม้ผลิ”

ลู่ชิงจิ่วไหล่สั่น เขาพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นหัวเราะ แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ชายหนุ่มหัวเราะตัวงอน้ำตาไหล

ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วอย่างสงสัย “นายหัวเราะอะไร”

“ไม่…ไม่มีอะไร” ลู่ชิงจิ่วคิดว่าปีศาจจิ้งจอกบ้านตนช่างน่ารัก เขาทนไม่ไหว ยื่นมือออกไปกอดหางจิ้งจอกปุกปุยทั้งเก้าหางทันที รู้สึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มที่เหลืออยู่หลังจากหางพาดผ่านแก้ม “ฉันชอบนายมากเลย”

ไป๋เยวี่ยหู “ชอบฉัน?”

ลู่ชิงจิ่วจุมพิตที่หางอย่างไม่ปรานี “แน่นอนสิ”

ไป๋เยวี่ยหูมองไปที่ลู่ชิงจิ่วอย่างระแวดระวัง เขาหันศีรษะกลับมาพึมพำเบาๆ ลู่ชิงจิ่วยืนอยู่ข้างหลังแน่นอนว่าได้ยินคำบ่นเล็กๆ น้อยๆ ของไป๋เยวี่ยหูอย่างแจ่มชัด สิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูเอ่ยก็คือ “นายชอบสิ่งของขนปุยชัดๆ”

“ซะที่ไหนล่ะ” ลู่ชิงจิ่วแก้ตัว “ใครบอกนายว่าฉันชอบของที่มีขนปุย”

ไป๋เยวี่ยหู “มนุษย์ก็ชอบมันทั้งนั้น” หางของเขาสั่นไปมา “ถ้าไม่ชอบนายจะจับไว้ทำไม”

ลู่ชิงจิ่วตอบว่า “ฉันชอบหางนายเพราะว่ามันเป็นของนาย ถ้าเป็นของคนอื่นฉันอาจจะไม่ชอบก็ได้”

ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของลู่ชิงจิ่ว เหอะ มนุษย์มักจะพูดโกหกได้ง่ายๆ ปากพูดอย่างนี้ ไว้รอถึงตอนเห็นร่างเดิมของฉันจริงๆ คงได้วิ่งหนี ไม่อย่างนั้นสุภาษิตเยี่ยกงชอบมังกรจะมีได้ยังไง

ลู่ชิงจิ่วเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “นายก็เห็นนี่นาว่าฉันไม่ได้อยากจับหางของพ่อซูซี”

ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วทะลุปรุโปร่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “นั่นเป็นเพราะเขาไม่เอาออกมา”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาปฏิเสธไม่ได้เลย

“แต่ตอนนี้เขามีแค่หางโล้นๆ เท่านั้นแหละ” ไป๋เยวี่ยหูพูด “เพราะขนส่วนเกินของเขาเอามาให้ฉันทำเสื้อโค้ตหมดแล้ว อุ่นมั้ยล่ะ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “อุ่น”

ไป๋เยวี่ยหู “ดี”

ลู่ชิงจิ่วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาต้องการอธิบายให้ไป๋เยวี่ยหูฟังว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับขนปุกปุยขนาดนั้น แต่รู้สึกว่ามือสองข้างที่จับหางอยู่ทำให้ดูไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเลย สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจ ลูบหางยาวใหญ่ขนปุยอีกครั้งพลางเอ่ยว่า “ถึงฉันจะชอบขนนุ่มฟู แต่ฉันชอบนายมากกว่า”

ไป๋เยวี่ยหูเลิกคิ้ว “เป็นเพราะขนมันไม่น่าจับแล้ว หรือเสื้อโค้ตมันไม่น่าใส่ล่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหูโกรธแบบไม่มีเหตุผล “ฉันก็แค่ขนปุกปุย”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เอาเถอะ เขาคิดว่าควรข้ามหัวข้อนี้ไปดีกว่า

ไป๋เยวี่ยหูกลับไปนั่งที่เก้าอี้โยกของตัวเอง แล้วยื่นหางให้ลู่ชิงจิ่วจับอย่างภาคภูมิใจ สัมผัสของหางนี้เหมือนกันกับของจริง ไม่เพียงแต่มีอุณหภูมิสมจริงแต่ยังเคลื่อนไหวได้อีกด้วย หางที่พันรอบเอวลู่ชิงจิ่วยิ่งทำให้ชอบอกชอบใจเข้าไปใหญ่ ทว่าคำถามก็คือหางนี้ปรากฏขึ้นมาได้ยังไงกัน ไป๋เยวี่ยหูใช้เสื้อโค้ตท้าพนันเหรอ หรือ…เขากินแล้วเหลือ

ลู่ชิงจิ่วค่อนข้างสับสน เทียบกับเมื่อก่อนแล้วขนที่หางดกหนาและเรียบลื่นมากกว่าเดิม จับแล้วเหมือนกับตุ๊กตาตัวใหญ่ สบายมือสุดๆ และสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือมันสามารถพันรอบตัวคนได้ ลู่ชิงจิ่วเอนตัวพิงมันราวกับพิงเบาะ ประกอบกับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ ไม่ช้าชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

กระทั่งเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ก็เปลี่ยนมาอยู่ทางทิศตะวันตกแล้ว เขาลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าด้านข้างของไป๋เยวี่ยหู กลีบดอกท้อกลีบหนึ่งร่วงลงบนปลายจมูกของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วเหยียดนิ้วออกไปหยิบกลีบดอกท้อนั่นเบาๆ

ไป๋เยวี่ยหูถูกปลุกให้ตื่น ชายหนุ่มลืมตาแต่นัยน์ตายังมีอาการง่วงงุนอยู่ เขาหันศีรษะและส่งเสียงฮึมฮัมเบาๆ พลางดึงลู่ชิงจิ่วมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง

นี่อาจเป็นผลที่หลงเหลือหลังจากนอนด้วยกันในช่วงฤดูหนาว ช่วงนั้นขณะที่ลู่ชิงจิ่วกำลังหลับอยู่ ท่วงท่าในการนอนของทั้งสองคนก็ยังปกติดี แต่เกือบทุกเช้าเขากลับตื่นขึ้นมาอ้อมแขนของไป๋เยวี่ยหูซะอย่างนั้น

“อืม…” ลู่ชิงจิ่วคราง “ตื่นแล้ว ยังไม่ได้ทำอาหารเย็นเลย”

ไป๋เยวี่ยหูว่า “ไม่กินแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เอาน่า อย่าเรื่องมาก นายเพิ่งได้รับบาดเจ็บ จะไม่กินได้ยังไง”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ก็ไม่ได้หิวมาก”

แม้ไป๋เยวี่ยหูจะพูดว่าตนไม่หิว แต่ลู่ชิงจิ่วยังคงพยายามคลานออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก เขามองดูเวลา ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว แต่อิ่นสวินที่ไปส่งเจียงปู้ฮ่วนยังไม่กลับมาเลย

คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ ลู่ชิงจิ่วกังวลใจเล็กน้อย รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาอิ่นสวิน

หลังจากต่อสายติด เสียงของอิ่นสวินก็ดังมาจากปลายสายอีกด้าน เขาเอ่ย [จิ่วเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นห่วงน่า ฉันน่าจะกลับดึกหน่อย]

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย

อิ่นสวินตอบ [ไอ้หยา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่หลังจากส่งเจียงปู้ฮ่วน ฉันถึงเห็นว่าก้นขึ้นผื่นแดงก็เลยไปคลินิกรับยาหน่อย หมอบอกว่าฉันเป็นภูมิแพ้ ให้ฉันฉีดยาก่อนกลับ]

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขานึกขึ้นมาได้ว่าอิ่นสวินเหมือนจะแพ้ทาก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ร้ายแรงอะไร ทำไมวันนี้ถึงล้มป่วย

อิ่นสวินอธิบายอย่างละเอียด [ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน หมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดโรคสูง…]

ลู่ชิงจิ่ว “เอาเถอะ นายกลับมาเร็วๆ ละกัน”

อิ่นสวินวางสายโทรศัพท์เงียบๆ แอบร้องไห้มองหน้าจอโทรศัพท์ เขาเองอยากจะกลับ แต่บ่ายวันนี้มีคนส่งข้อความมาหา บอกว่าไม่อนุญาตให้ปรากฏตัวต่อหน้าตนก่อนหกโมงเย็น ไม่เช่นนั้นจะถูกฆ่าเอาเนื้อมากิน เขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแค่เกาศีรษะแล้วให้รถกระบะคันเล็กแบกคนที่ไม่มีประโยชน์คนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข้อความจากไป๋เยวี่ยหู ตอนที่ได้รับข้อความเขายังคิดอยู่เลยว่าไป๋เยวี่ยหูนิสัยเปลี่ยนหรือไงถึงได้ส่งข้อความหาเขาอย่างไม่คาดฝัน ใครจะรู้ว่าทันทีที่เปิดข้อความจะเห็นว่าไป๋เยวี่ยหูดันต้องการชีวิตน้อยๆ ของเขา

“วู้ว จิ่วเอ๋อร์ อยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆ นะ” อิ่นสวินปาดน้ำตาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก “อย่าให้ฉันกลับไปเห็นไป๋เยวี่ยหูกำลังเคี้ยวนายที่เหลือแต่กระดูกเลย……” ลู่ชิงจิ่วไม่เหมือนเขาที่ถูกกินก็ยังสามารถงอกใหม่ได้ แต่พูดไปพูดมา ตกลงมันคือการกินแบบไหนกันล่ะ คงต้องมาถกกันต่อไป

บทที่ 68 กรงชำรุด

 

เมื่อลู่ชิงจิ่วได้งีบหลับตอนกลางวันก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าได้หายไปจากร่างกาย ท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปทำอาหารเย็น

อิ่นสวินกลับมาดึก เขามีสีหน้าอมทุกข์ตอนที่กลับมา ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเป็นเพราะโดนฉีดยาจึงไม่คิดอะไรมาก ไม่รู้เลยว่าลูกชายตัวน้อยที่น่าสงสารของเขาถูกคุกคามถึงชีวิตอย่างไรบ้าง

หลังจากที่เจียงปู้ฮ่วนจากไป พวกเขาก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามปกติ งานเกษตรกรรมของครอบครัวยังคงมีให้ทำไม่จบไม่สิ้น ยังมีหมูขาวสองตัวที่เลี้ยงจนโตเป็นหมูตัวใหญ่ ซึ่งเจ้าลูกหมูสีขาวนี่เขาซื้อมาพร้อมกับเสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮย เพียงแต่เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยยังมีลักษณะอย่างลูกหมูเช่นเดิม ลูกหมูสีขาวกลายเป็นหมูตัวใหญ่แล้ว เพื่อทำให้พวกมันมีชีวิตรอดในฤดูหนาว ลู่ชิงจิ่วไม่ลืมที่จะให้อิ่นสวินจุดไฟที่เตาถ่านทุกวัน ทำอาหารหมูร้อนๆ ให้ อย่างที่อิ่นสวินบอกว่าเขาเลี้ยงหมูสองตัวนี้มาด้วยความยากลำบาก

“ตอนนี้นายอยากบอกอะไรพวกเขามั้ย” ลู่ชิงจิ่วถามอิ่นสวิน หมูขาวตัวใหญ่เลี้ยงมาหนึ่งปีเกือบจะโตเต็มวัยแล้ว ถ้าเลี้ยงต่อไปเนื้ออาจจะเหนียว เขาเลยตั้งใจจะหาเวลาเหมาะๆ ฆ่าหมูมาทำอาหาร

“ฉันอยากบอกว่า…” อิ่นสวินเอ่ย “หวังว่าเนื้อของพวกเขาจะอร่อยนะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาคงนึกถึงเสี่ยวฮวาที่ตายไปตั้งแต่ตอนเด็ก

ในเมื่อตัดสินใจจะกินเนื้อหมู หน้าที่ฆ่าหมูจึงอยู่ในมือพวกเขา หมู่บ้านเล็กๆ นี้ไม่มีคนฆ่าหมูเลย พวกชาวบ้านที่เลี้ยงหมูต่างฆ่าพวกมันด้วยตัวเอง แม้ว่าลู่ชิงจิ่วจะเคยฆ่าไก่ แต่เขาก็ไม่เคยฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่เท่าหมูมาก่อน หลังจากสอบถามเพื่อนบ้านเกี่ยวกับขั้นตอนการทำ เขาก็รู้สึกสิ้นหวัง

“เหมือนจะต้องเอาหมูมาผูกไว้บนเก้าอี้แล้วเอามีดแทงลงไป” อิ่นสวินถือมีดฆ่าหมูที่ยืมมาอย่างเริงร่าอยู่ด้านข้าง “แล้วเลือดก็พุ่งทะลักไหลลงมา…”

ลู่ชิงจิ่ว “…นายทำมั้ย ฉันช่วยนายกดดีมั้ย”

อิ่นสวินตอบเสียงเบา “แต่ฉันไม่เคยฆ่านะ หมูนี่ตัวหนักกว่าฉันอีก”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เพ่งสายตามองไปที่เดียวกัน…ไป๋เยวี่ยหูที่นั่งอยู่ในลานบ้าน

ลู่ชิงจิ่วถือมีดฆ่าหมู ค่อยๆ เดินไปข้างกายไป๋เยวี่ยหู “หูเอ๋อร์อ่า”

ไป๋เยวี่ยหูลืมตา “ฆ่าหมู?” เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนเมื่อครู่นี้

ลู่ชิงจิ่ว “อ๊ะ…อื้ม”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ได้” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอื้อมมือหยิบมีดในมือของลู่ชิงจิ่ว แล้วหมุนตัวเดินไปทางคอกหมู เห็นดังนั้นลู่ชิงจิ่วก็รีบหยิบกะละมังเดินตามหลังเขาไป เลือดหมูนับว่าเป็นของดี หากนำมาทำไส้กรอกเลือดก็จะอร่อยมาก

ไป๋เยวี่ยหูมาถึงคอกหมูด้วยท่าทางเย็นชา เอื้อมมือไปดึงหมูออกมา เวลาบ้านคนอื่นๆ ฆ่าหมูจะต้องใช้ชายร่างใหญ่หลายคนมาจับหมูกดเอาไว้ แต่สำหรับเขาไม่จำเป็นเลย พอหมูตัวใหญ่หนักหลายร้อยจินอยู่ในมือของเขาก็เหมือนกับสัตว์เล็กที่ไม่มีแรงจะต่อสู้ มีดสะอาดถูกแทงเข้าไปก่อนจะถอนออกมาเป็นมีดสีแดง ท่าทางเด็ดเดี่ยวและเย็นชานั่นทำเอาอิ่นสวินที่มองอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าคอของเขาเย็นเฉียบขึ้นมาดื้อๆ เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ

ไป๋เยวี่ยหูเป็นนักฆ่าหมูมือฉมัง ฆ่าเสร็จแล้วยังไม่ลืมที่จะแบ่งส่วนของเนื้อหมูอย่างดี เนื้อหมูในมือของเขาถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้นใหญ่อย่างรวดเร็ว ลู่ชิงจิ่วนำขาหมูไปให้บ้านของหลี่เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ส่วนเนื้อที่เหลือตั้งใจว่าจะใช้ทำอาหารชุดใหญ่

เนื้อหมูนี้แตกต่างจากที่ซื้อในเมือง เนื้อหมูของพวกเขามีคุณภาพดีและมีกลิ่นหอมมาก ลู่ชิงจิ่วเอาหมูสามชั้นออกมาผัดเป็นเมนูหมูสามชั้นกลับกระทะ แล้วก็ตุ๋นเป็นขาหมูหนึ่งหม้อ จากนั้นก็เอาขาและหูหมูมาหมัก ส่วนเนื้อตรงหัวหมูนำมาปรุงแบบเย็น โดยรวมแล้วทุกส่วนของร่างกายหมูต้องได้รับการใช้ประโยชน์สูงสุด

หมูที่เลี้ยงด้วยธัญพืชมีไขมันน้อยกว่าหมูที่เลี้ยงด้วยอาหารสัตว์มาก ทั้งยังมีกลิ่นหอมเมื่อนำใส่หม้อเพื่อกลั่นน้ำมัน ส่วนกากน้ำมันหมูที่เหลือนั้นโรยด้วยน้ำตาลจะกลายเป็นเครื่องเคียงอีกชนิดหนึ่ง

หลังจากฆ่าหมูที่บ้านไปแล้วก็มีความสุขเหมือนได้ฉลองปีใหม่ กระทั่งเสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยก็ได้กระดูกหมูชิ้นโตที่ต้มแล้วด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เคี้ยวกินอย่างเพลิดเพลิน

เดือนเมษายนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นทีละน้อย เสื้อผ้าก็เริ่มใส่น้อยชิ้นลงเรื่อยๆ ในตอนกลางคืนลู่ชิงจิ่วได้นำหูหมูและขาหมูที่หมักไว้ตอนกลางวันไปที่ลานบ้านพร้อมเบียร์เย็นๆ สองสามขวด ทั้งสามคนกินไปคุยไป ขาและหูหมูถูกน้ำที่ใช้หมักเปลี่ยนให้นุ่มหนืด รสชาติเข้าเนื้อ หากชอบรสเผ็ดก็จิ้มกับงาและพริกป่นคั่วหอมๆ

วันนี้อากาศดีมาก พระจันทร์กลมโต บรรยากาศภายในลานบ้านดีสุดๆ ไป๋เยวี่ยหูไม่ชอบดื่มของมึนเมา แต่ก็ยังสนใจเนื้อหมูหมักอยู่มาก อิ่นสวินที่อยู่ข้างๆ กำลังพูดถึงสิ่งแปลกๆ ที่เขาพบเจอหลังจากกลายเป็นเทพภูเขา เช่น พ่อแม่ที่ไม่ต้องการมีลูกจงใจพาเด็กไปที่ภูเขาแล้วปล่อยทิ้ง และเป็นตัวเขาเองที่ช่วยเด็กหาทางลงเขาอย่างปลอดภัย

ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน กำลังจะพูดว่าทำไมถึงมีพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากขอบฟ้า เสียงนี้เหมือนกับภูเขาถล่มอย่างไรอย่างนั้น ลู่ชิงจิ่วหูอื้อ สีหน้าเรียบสงบของไป๋เยวี่ยหูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกเปลี่ยนไปกะทันหัน เขาพูดว่า “พวกนายอยู่ในบ้านนะ อย่าไปไหน”

“เกิดเรื่องอะไรเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างเร่งรีบ

ไป๋เยวี่ยหูส่ายศีรษะ “ยังไม่รู้ ฉันจะไปดูก่อน” เขาลุกขึ้นยืน หมอกสีดำปรากฏขึ้นรอบกายเขา ก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วไม่เคยเห็นไป๋เยวี่ยหูมีท่าทางเคร่งขรึมมาก่อน ชายหนุ่มเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ”

อิ่นสวินพูดอย่างทึ่มทื่อ “อย่างกับท้องฟ้าถูกทำลายเลย…”

ลู่ชิงจิ่ว “ท้องฟ้าถูกทำลาย?” เขามองไปทางที่อิ่นสวินมองก็พบว่าท้องฟ้าราวกับถูกทำลายจริงๆ กลางท้องฟ้าที่เดิมทีกำลังมืดลงกลับปรากฏแสงสีแดงเส้นยาวเส้นหนึ่ง แสงนั้นส่องทะลุฟ้า ทิ้งร่องรอยระยิบระยับไว้บนนั้น ดูเหมือนมีเมฆสีดำเคลื่อนไหวในแสงนั้น คล้ายกับมีอะไรบางอย่างต้องการพุ่งตัวออกมา ทำให้คนมองรู้สึกไม่สบายใจ

ลู่ชิงจิ่วและอิ่นสวินมองดูด้วยกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าแสงที่เปล่งออกมานั้นหมายถึงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี เมฆสีดำล้นทะลักออกจากข้างในลำแสงอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้าทั้งผืนดูเหมือนจะรั่วไหลอย่างไรอย่างนั้น

ความรู้สึกวิตกกังวลในใจของอิ่นสวินเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาพูด “ชิงจิ่ว พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “โอเค”

ทั้งสองคนออกจากลานบ้าน กลับเข้าไปในบ้านพร้อมปิดประตูและหน้าต่าง

แสงสีแดงค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ลู่ชิงจิ่วมองเห็นได้จากระยะไกลและรอดูการเปลี่ยนแปลงของมัน อิ่นสวินอ่อนไหวมากกว่าลู่ชิงจิ่ว ตอนนี้เขาไม่กล้ามองออกไปข้างนอกอีก เอาแต่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ลู่ชิงจิ่วมองดูท่าทางของเขาแล้วเอ่ยอย่างกังวล “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย อิ่นสวิน?”

“ไม่…ไม่เป็นไร” อิ่นสวินตอบเสียงสั่น “ชิงจิ่ว นาย…นายรู้มั้ย ปีที่พ่อแม่ของนายประสบอุบัติเหตุ บนท้องฟ้าก็มีแสงเจิดจ้าแบบนี้”

ลู่ชิงจิ่วชะงัก

“แล้วฝนก็ตกหนักต่อเนื่อง” อิ่นสวินก้มศีรษะลง “ฉันไม่รู้สึกถึงอะไรเลย” เขาเป็นเทพภูเขา ทั้งต้นไม้ต้นหญ้าบนภูเขา ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเขาสามารถรับรู้ได้ในใจ แต่ทันทีที่แสงส่องออกมา การรับรู้ของเขาบนภูเขากลับดูเหมือนจะถูกปิดกั้นด้วยพลังประหลาด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความว่างเปล่า

ลู่ชิงจิ่วคิดถึงการตายของพ่อแม่ ตลอดมาเขาคิดอยู่เสมอว่าการตายของพ่อแม่เป็นอุบัติเหตุ แม้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเหล่าซู่ เขาถึงกลับมาที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่พร้อมความสงสัยในใจ แต่ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งวันเกิดเขาที่ได้เปิดกล่องไม้ซึ่งคุณยายทิ้งไว้ ถึงรู้ว่าการตายของพ่อแม่ไม่ใช่อุบัติเหตุ

ภายนอกหมู่บ้านสุ่ยฝู่ล้วนเป็นที่ต่างแดน ซึ่งที่ต่างแดนนี้หมายถึงอะไรกันแน่ หมายถึงโลกที่ไป๋เยวี่ยหูพาเขาไป หรือหมายถึงสถานที่อื่น

ท้องฟ้าควรจะมืด ทว่าลำแสงกลับส่องสว่างไปครึ่งค่อนฟ้า ท่ามกลางปรากฏการณ์เช่นนี้ทั้งหมู่บ้านสุ่ยฝู่ตกอยู่ในความเงียบ เหมือนว่าไม่มีชาวบ้านคนไหนสนใจความแปลกประหลาดบนท้องฟ้านี้ ประตูบ้านทุกหลังถูกปิดแน่นเหมือนสุสานร้าง

แม้จะไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสัญชาตญาณอิ่นสวินจึงตกอยู่ในความกลัวที่ไม่อาจบรรยายได้ เขากลัวลำแสงนั่น พูดตรงๆ ก็คือเขาหวาดกลัวสิ่งที่ล้นทะลักออกมาจากในลำแสง

ลู่ชิงจิ่วดีกว่าอิ่นสวินนิดหน่อย เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างจ้องมองที่แสงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ขอบเขตของลำแสงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมฆสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากข้างในก็มากขึ้นไปด้วย ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้าใกล้แสงนั่น แล้วใช้ร่างกายของมันปิดกั้นรอยแตกไว้

และเพราะลำแสงข้างหลังนั่นทำให้ลู่ชิงจิ่วไม่สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามันคือตัวอะไร แต่ดูจากรูปร่างแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมังกร

ลู่ชิงจิ่วจ้องมองไปที่ท้องฟ้า คาดเดาตัวตนที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมังกรนั่น…เห็นได้ชัดว่ามันคือผู้เช่าจอมขี้เกียจของเขา ไป๋เยวี่ยหู

อีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ แสงนั่นหมายความว่าอะไร ความกังวลในใจของลู่ชิงจิ่วเพิ่มมากขึ้น เขารู้ว่าอาการบาดเจ็บของไป๋เยวี่ยหูยังไม่หายดี ถ้าต้องต่อสู้อีกครั้ง ร่างกายของไป๋เยวี่ยหูจะรับไหวจริงๆ หรือ ลู่ชิงจิ่วเป็นกังวล แต่เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา สิ่งที่เขาสามารถทำได้มีน้อยเกินไป กระทั่งไป๋เยวี่ยหูก็ยังต้องแบ่งความสนใจมาปกป้องเขา

ไม่รู้ไป๋เยวี่ยหูทำอะไรกันแน่ ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ลำแสงที่ขอบฟ้าเริ่มหรี่แสงลง ท้องฟ้าค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพสงบตามปกติ

เป็นไปตามที่อิ่นสวินคาด ฝนเม็ดใหญ่เริ่มโปรยปรายลงมา สาดกระเซ็นจนกลายเป็นม่านฝนขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งโลก ฝนตกหนักมากจนลู่ชิงจิ่วไม่ได้ยินแม้แต่เสียงพึมพำของอิ่นสวิน และมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับลำแสงสีแดงหลังกลุ่มเมฆดำเช่นกัน

อิ่นสวินที่ขดตัวอยู่มุมห้องพลันยืดตัวขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ไป๋เยวี่ยหูกลับมาแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะกลับมาเร็วขนาดนี้ เมื่อมองออกไปข้างนอกอีกครั้งก็เห็นร่างของไป๋เยวี่ยหูภายใต้ม่านฝน

ไป๋เยวี่ยหูยืนอยู่นอกประตู โบกมือให้ลู่ชิงจิ่วอย่างนุ่มนวลเป็นเชิงให้เขาออกไป

“นายจะออกไปข้างนอกเหรอ” อิ่นสวินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “ข้างนอก…มันดูอันตรายมากเลยนะ”

“ไม่เป็นไร” ลู่ชิงจิ่วพูด “มีไป๋เยวี่ยหูอยู่”

อิ่นสวินได้ยินดังนั้นก็ทำท่าเหมือนจะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ลู่ชิงจิ่วผลักประตูเปิดออก ที่ลู่ชิงจิ่วพูดจริงๆ ก็มีเหตุผล ถ้ามีคนต้องการทำร้ายลู่ชิงจิ่วจริงๆ ก็มีแค่ไป๋เยวี่ยหูเท่านั้นที่สามารถปกป้องเขาได้

ส่วนตัวเขาเป็นเพียงเทพภูเขาผู้อ่อนแอ

เขามองลู่ชิงจิ่วออกจากประตูไป แล้วอิ่นสวินก็เผยรอยยิ้มขมขื่น

ลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปในลานบ้าน บนท้องฟ้ายังคงมีฝนตกอยู่ เพียงแต่เมื่อฝนจะตกลงมาบนร่างของลู่ชิงจิ่ว ก็จะกระเด็นออกไปด้วยแรงที่มองไม่เห็น ไป๋เยวี่ยหูยืนอยู่ที่หน้าประตูลานบ้าน นัยน์ตาสีดำกลืนไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้คนมองเห็นไม่ค่อยชัด เขามองฝีเท้าของลู่ชิงจิ่วที่หยุดลงตรงหน้าตัวเอง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาลู่ชิงจิ่ว “มากับฉัน”

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า กระชับฝ่ามือไป๋เยวี่ยหู

จากนั้นภาพรอบข้างก็หมุนวน ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังโบยบินไปกับไป๋เยวี่ยหู รอจนไป๋เยวี่ยหูหยุดลงอีกครั้ง ฉากอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา…หลุมลึกขนาดมโหฬาร

หลุมลึกแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไป๋เยวี่ยหูเคยพาลู่ชิงจิ่วและอิ่นสวินมาเพื่อเล่าเรื่องสยองขวัญ แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วหลุมลึกที่อยู่ข้างหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

บริเวณขอบของหลุมลึกถูกกระแทกออกเป็นรูขนาดใหญ่ มังกรตัวยักษ์ที่ติดอยู่ข้างในหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือแค่เพียงแอ่งตะกอนที่ส่งกลิ่นเหม็น

“เขาหนีไปแล้ว” ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “อาจมาหานาย”

“หาฉัน?” ลู่ชิงจิ่วตกใจ “เขามาหาฉันเพื่ออะไร เขาก็อยากกินฉันด้วย?” แม้ไป๋เยวี่ยหูจะเคยบอกว่ามังกรตัวนี้ไม่ได้กินพ่อแม่ของเขา แม้สุดท้ายแล้วมันจะเป็นคำพูดจากไป๋เยวี่ยหูเองก็ตาม แต่หากฝ่ายนั้นไม่ได้ทำเรื่องนี้ ทำไมถึงต้องถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ได้แก้ตัวด้วยล่ะ

ฝนยังคงตกอยู่รอบบริเวณ เสียงฝนที่โปรยปรายทำให้เสียงของไป๋เยวี่ยหูแผ่วจางลง ไม่รู้ว่าลู่ชิงจิ่วรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขาสัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจจากน้ำเสียงของไป๋เยวี่ยหู “ฉันเดาว่า…หลังจากนั้น…”

ลู่ชิงจิ่วพูด “หลังจากอะไรนะ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ไม่มีอะไร”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าไป๋เยวี่ยหูกำลังปิดบังอะไรบางสิ่งจากตน เขาเอ่ย “เยวี่ยหู นายมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วและยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “อืม” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบ “ฉันไม่รู้ว่าจะบอกนายยังไง”

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ “มังกรตัวนี้มีพลังมากใช่มั้ย” ถูกขังอยู่ในหลุม แถมยังถูกควักดวงตาออกทั้งสองข้าง แต่เขาก็ยังหลบหนีออกมาจากหลุมได้อยู่ดี

“มีพลังสูงมาก” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ก่อนหน้าที่ถูกขังอยู่ในนั้นเป็นเพราะเขาไม่อยากออกมา”

ลู่ชิงจิ่ว “ไม่อยาก?”

ไป๋เยวี่ยหู “เขารู้สึกว่าตัวเองผิด”

ลู่ชิงจิ่ว “ผิดเหรอ เขาถูกคุมขังเพราะกินพ่อแม่ของฉัน…” พูดถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกเศร้า “ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น” เขานึกถึงภาพตอนจัดงานศพให้พ่อแม่ ตอนนั้นชายหนุ่มยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ยังมีความเป็นเด็กอยู่กว่าครึ่ง การเสียชีวิตของพ่อกับแม่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาเลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะเติบโตด้วยวิธีนี้

ไป๋เยวี่ยหูอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายจึงไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเพียงแค่ยื่นมือมากดไหล่ลู่ชิงจิ่วเบาๆ

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ตอนนี้เขาต้องการกินฉันใช่มั้ย”

ไป๋เยวี่ยหู “ฉันไม่รู้”

ลู่ชิงจิ่วยิ้มขมขื่น “แสงบนท้องฟ้าเมื่อกี้…”

ไป๋เยวี่ยหูอธิบาย “แสงนั่นเป็นแค่การดึงดูดความสนใจฉัน ให้โอกาสเขาหลบหนี” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าเขาอยากจะไป มันก็มีวิธีเสมอนั่นแหละ”

ลู่ชิงจิ่วหลับตาลง “แล้วฉันทำอะไรได้บ้าง”

ไป๋เยวี่ยหู “ไม่ต้องกลัว ฉันปกป้องนายอยู่แล้ว”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสิ้นหวังแพ้พ่าย “ที่จริงฉันควรจะปกป้องนายไม่ใช่เหรอ การปกป้องดูแลแบบนี้ตกลงหมายความว่าอะไร ฉันก็แค่มนุษย์ธรรมดา เห็นนายบาดเจ็บก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“ไม่” เสียงของไป๋เยวี่ยหูอ่อนลง “นายมีพลังที่นายไม่รู้”

ลู่ชิงจิ่ว “พลังที่ฉันไม่รู้?”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “ใช่” แต่ฉันหวังว่านายจะไม่ต้องรับรู้ตลอดไป เขามองดูนัยน์ตาเศร้าหม่นของลู่ชิงจิ่วแล้วเอ่ยเสริมในใจเงียบๆ

ลู่ชิงจิ่วคิดว่าคำพูดของไป๋เยวี่ยหูเหมือนคำปลอบใจแบบส่งๆ เขาฝืนยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก

ไป๋เยวี่ยหูที่ปกติไม่ค่อยพูดจาสื่อสารกับผู้คนพอเห็นท่าทีฝืนยิ้มเต็มทนของลู่ชิงจิ่ว แม้ในใจจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่รู้จะปลอบโยนเขาอย่างไรดี ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ทำได้เพียงเอี้ยวศีรษะไปจุมพิตลงบนกลุ่มผมของลู่ชิงจิ่วอย่างนุ่มนวล

ลู่ชิงจิ่วมองหลุมลึกตรงหน้า เข้าสู่ภวังค์ความเงียบ

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “พวกเรากลับกันเถอะ”

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า

ระหว่างที่ไป๋เยวี่ยหูพาลู่ชิงจิ่วกลับบ้านอีกครั้ง จิตใจของลู่ชิงจิ่ววุ่นวายสับสน เมื่อกลับถึงบ้าน เขาไม่ได้ทักทายอิ่นสวินแต่ตรงไปที่ห้องและพักผ่อนตามลำพัง

อิ่นสวินมองท่าทางสิ้นหวังของลู่ชิงจิ่วแล้วจึงใช้ความกล้าถามไป๋เยวี่ยหูว่าเกิดอะไรขึ้น

“มังกรที่ถูกคุมขังหนีไปแล้ว” ไป๋เยวี่ยหูตอบอย่างใจเย็น “อาจจะมาหาลู่ชิงจิ่ว”

“อะไรนะ???” อิ่นสวินมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ “หนีออกมา? หนีออกมาได้ยังไง!” เมื่อคิดว่าชีวิตของเพื่อนรักอาจจะเป็นที่ต้องการของมังกรที่ทรงพลัง ทั่วทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล “ชิงจิ่ว…ชิงจิ่วจะไม่เป็นอันตรายใช่มั้ย!”

ไป๋เยวี่ยหู “ฉันอยู่นี่ไง”

อิ่นสวินตอบ “ฉันรู้…แต่…”

“ไม่มีแต่” ไป๋เยวี่ยหูตัดบทอิ่นสวินอย่างไม่ไว้หน้า “ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะปกป้องลู่ชิงจิ่ว”

อิ่นสวินกัดฟัน “แต่นายรับประกันได้มั้ยล่ะว่าจะอยู่กับลู่ชิงจิ่วตลอดไป”

ไป๋เยวี่ยหูตอบอย่างเย็นชา “ทำไมจะไม่ได้?”

อิ่นสวินเงียบ เขาดูออกว่าไป๋เยวี่ยหูพูดประโยคนี้ด้วยความจริงจัง

“ดึกแล้ว นายควรกลับไปต่อเทียน” ไป๋เยวี่ยหูเอ่ยเป็นการปิดท้ายบทสนทนาของพวกเขา

ข้างนอกฝนยังคงตกหนัก อิ่นสวินเลือกที่จะไป เขาไม่มีร่มจึงต้องเปียกฝนอย่างไม่มีทางเลือก เขาเดินกลับบ้านทีละก้าวด้วยความยากลำบากสุดขีด หมู่บ้านเงียบราวกับป่าช้า อิ่นสวินเปิดประตูบ้าน เห็นเทียนที่ใกล้จะมอดและป้ายวิญญาณอีกนับไม่ถ้วน

อิ่นสวินมองไปที่ป้ายวิญญาณแล้วเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มนี้กลับไม่น่ามองเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้

ฝนตกหนักทั้งคืนราวกับต้องการล้างสีของโลกทั้งใบออก

ลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ในห้องนอน มองดูเกล็ดสีดำที่เต็มไปด้วยรอยแผล มันน่าจะเป็นของมังกรที่ถูกคุมขังอยู่ในหลุมตัวนั้น คุณยายของเขาเก็บเกล็ดมังกรนี้ไว้ด้วยอารมณ์ไหนนะ

คุณปู่ที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึงที่แท้ก็คือมังกรตัวนั้นงั้นเหรอ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมเขาถึงต้องกินลูกของตัวเอง ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยล่ะ

ลู่ชิงจิ่วไม่เข้าใจ และไม่มีใครสามารถให้คำตอบเขาได้

เขาเงยหน้าขึ้นมองผ่านหน้าต่าง เห็นแต่ความมืดที่ปกคลุมด้วยสายฝน ฝนตกหนักเหมือนจะไม่มีวันหยุดเช่นเดียวกับวันนั้นที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต…ภูเขาลูกใหญ่ถล่มลงมา มนุษย์ที่อยู่ในนั้นมีขนาดเล็กเสียจนการค้นหาศพกลายเป็นความหวังที่ดูสูญเปล่า

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเจ็บที่หน้าอก เขาสอดเกล็ดนั้นไว้ในสมุดบันทึกและวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง กล่องไม้ที่มีตัวล็อกแบบตัวอักษรถูกล็อกอีกครั้ง มันควรจะถูกเปิดเฉพาะในวันเกิดเท่านั้น โชคดีที่สิ่งของภายในกล่องไม้ถูกนำออกมาแล้ว

อย่างน้อยช่วงเวลาตีสามกว่า ลู่ชิงจิ่วที่นอนไม่หลับถึงค่อยข่มตาหลับลงได้ แต่ประสิทธิภาพการนอนนั้นแย่มาก เขาถึงกับฝันถึงมังกรที่ถูกคุมขัง

เขาของมังกรหัก แต่ยังคงมีดวงตาอยู่ มันคือดวงตาคู่สวยสีดำ นัยน์ตาดำนั้นแฝงไปด้วยความเศร้า จ้องมองลู่ชิงจิ่วราวกับกำลังมองใครคนอื่นผ่านตัวชายหนุ่ม

“คุณเป็นใคร” ในความฝันลู่ชิงจิ่วอดไม่ได้ที่จะถาม

มังกรดำอ้าปากเผยให้เห็นลิ้นที่หายไปครึ่งหนึ่ง

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “คุณ…พูดไม่ได้เหรอ”

มังกรดำพยักหน้า

“ทำไมผมถึงฝันเห็นคุณ คุณต้องการบอกอะไรผมหรือเปล่า” ความฝันกับความจริงเริ่มพร่าเลือน ลู่ชิงจิ่วไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองตื่นแล้วหรือฝันอยู่กันแน่

มังกรดำไม่พูดอะไร ความเศร้าในดวงตาของเขายิ่งแย่กว่าเดิม เขาใช้เขามังกรที่หักไล้แขนของลู่ชิงจิ่วเบาๆ การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างบางเบาคล้ายกลัวจะทำให้ลู่ชิงจิ่วหวาดกลัว

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเจ็บปวดในใจ ไม่รู้ว่าทำไมจึงนึกถึงไป๋เยวี่ยหู ถ้าเขาเดาไม่ผิด ร่างจริงของไป๋เยวี่ยหูก็น่าจะเป็นมังกรดำเช่นเดียวกับที่เห็นอยู่ตรงหน้า ถ้าไป๋เยวี่ยหูกลายเป็นแบบนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด แค่นึกก็รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง

มังกร…สิ่งมีชีวิตที่หยิ่งผยองเช่นนี้จะปล่อยให้พวกเขาพิการไม่สมบูรณ์ไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง พวกเขาควรเป็นตำนานของการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าจะสิ้นอายุขัยก็ควรจากไปอย่างสง่างาม

“ผมไม่เข้าใจว่าคุณอยากพูดอะไร” ลู่ชิงจิ่วว่า “ผม…” เขาต้องการจะพูดอะไรอีก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าพลันสลายหายไปทันใด ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากความฝันมาเจอกับไป๋เยวี่ยหูที่มีท่าทางกังวล

“นายฝันร้าย” ไป๋เยวี่ยหูพูด

ลู่ชิงจิ่วกะพริบตา ก่อนจะตระหนักได้ว่าทั้งร่างของเขาเย็นเฉียบ หน้าผากปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อเย็นๆ เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันฝันถึงมังกรสีดำ”

ไป๋เยวี่ยหูจ้องมองลู่ชิงจิ่วเงียบๆ โดยไม่เอ่ยแทรก

“เขาของเขาหัก ลิ้นของเขาก็หายไป” ลู่ชิงจิ่วพูด “น่าเวทนาเหลือเกิน” เขาคิดจะใช้รอยยิ้มเป็นการบอกไป๋เยวี่ยหูว่าตัวเองไม่เป็นอะไร

ทว่าไป๋เยวี่ยหูกลับพูดว่า “อย่ายิ้มเลย”

ลู่ชิงจิ่วชะงัก

“ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม” ไป๋เยวี่ยหูเอื้อมมือไปกอดลู่ชิงจิ่ว ร่างกายอุ่นร้อนนำพาความอบอุ่นมาสู่ร่างกายเย็นเฉียบของลู่ชิงจิ่ว “จะทำสีหน้ายังไงก็ไม่เป็นไรหรอก”

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจและหลับตาลง “ฉันเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ถ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ ฉันอยู่นี่”

ทั้งสองคนนอนบนเตียงเดียวกัน คนข้างๆ กอดเขาแน่น ทำเหมือนเขาเป็นเด็กทารกในน้ำคร่ำอุ่นๆ ลู่ชิงจิ่วหลับตาลงอีกครั้งแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาไม่ได้ฝันทั้งยังไม่เห็นมังกรสีดำนัยน์ตาเศร้าสร้อยตนนั้นด้วย

เมื่อตื่นนอนในเช้าวันถัดมา ข้างนอกฝนก็หยุดตกแล้ว ดวงอาทิตย์แขวนอยู่กลางท้องฟ้าสีคราม เป็นอีกฉากหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่น

ร่างของไป๋เยวี่ยหูที่อยู่ข้างๆ หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เขาอาจจะไปปลูกผักในสวนแล้ว

ดูเหมือนนี่จะเป็นช่วงเช้าที่ธรรมดาอย่างสุดแสนจะธรรมดา ฝนที่ตกหนักและภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อวานเหมือนเป็นเพียงแค่ความฝันมหัศจรรย์

ถ้านั่นเป็นเพียงความฝันจริงๆ ก็คงจะดี ลู่ชิงจิ่วลุกขึ้นนั่ง เห็นอิ่นสวินยื่นศีรษะเข้ามาจากนอกประตู อิ่นสวินยิ้มยิงฟันมาทางเขา โชว์ฟันเขี้ยวน่ารักที่มุมปาก รอยยิ้มนั้นเจิดจ้าดั่งดอกทานตะวันที่ไล่ตามดวงอาทิตย์ “จิ่วเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์” ลู่ชิงจิ่วเองก็ยกยิ้ม ติดจากรอยยิ้มของอิ่นสวิน เมื่อจัดการอารมณ์ความรู้สึกแล้วก็ร่าเริงขึ้นอย่างรวดเร็ว “อยากกินอะไร”

อิ่นสวินตอบ “อะไรก็ได้ แต่ฉันแอบอยากกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อล่ะ”

“งั้นก็กินก๋วยเตี๋ยว” ลู่ชิงจิ่วกล่าว “นายไปเก็บผักสดๆ ที่สวนมาทีสิ”

“ได้เลย” อิ่นสวินตอบพร้อมรอยยิ้ม

วันธรรมดาๆ วันหนึ่งเริ่มต้นจากเช้าอันแสนธรรมดา

 

* จื่อปู้อวี่ หรือ What the Master Would Not Discuss เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องตำนานต่างๆ ไว้ ประพันธ์โดยหยวนเหมย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 6 ต.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: